Author:

  • 20 ภาพการ “ถอนฟัน” จากศตวรรษที่ 19 ที่จะทำให้คุณรู้สึกโชคดีสุดๆ ที่เกิดในยุคนี้

    20 ภาพการ “ถอนฟัน” จากศตวรรษที่ 19 ที่จะทำให้คุณรู้สึกโชคดีสุดๆ ที่เกิดในยุคนี้

    เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยเลยที่กลัวทันตแพทย์เอามากๆ ในวัยเด็ก (หรือบางทีก็ยังกลัวอยู่) เพราะทุกครั้งที่ไปหาทันตแพทย์ เรามักพบกับความเสียวปนเจ็บอยู่เสมอ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าวงการทันตแพทย์ในปัจจุบันนั้นมันก้าวหน้าไปจากในสมัยก่อนแค่ไหน เพราะถ้าบอกว่าแพทย์ในปัจจุบันน่ากลัวแล้วล่ะก็ ลองไปดูภาพของการทำทันตกรรมจากเมื่อศตวรรษที่ 19 (และช่วงต้นศตวรรษที่ 20) ต่อไปนี้ดูเสียก่อนสิ   เพราะในช่วงนั้น ทันตแพทย์มักจะใช้คีมขนาดใหญ่ในการถอนฟัน   หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นมีดช่วยในการถอนฟันด้วย   และแน่นอนว่าในสมัยนั้นการถอนฟันแทบจะไม่มีการใช้ยาชา   แต่จะใช้วิธีกดตัวคนที่มาถอนฟันไว้แทน   ที่สำคัญคือการถอนฟันในหลายๆ ครั้งไม่ได้ทำในคลินิกหรือโรงพยาบาล   แต่อาจจะเป็นในเต็นท์ภาคสนาม หรือในบ้านแทน   เอาเข้าจริงๆ ในหลายๆ สถานการณ์ คนที่มาถอนฟันอาจจะไม่ใช่ทันตแพทย์โดยตรงด้วยซ้ำ   พวกเขาอาจจะเป็นเพียงผู้มีความรู้ด้านทันตกรรมแต่ไม่มีใบอนุญาต   หรือแค่คนรู้จักเลยด้วย   แต่ถึงจะได้พบทันตแพทย์จริงๆ   เครื่องมือในสมัยนั้นก็น่ากลัวกว่าในปัจจุบันมากอยู่ดี   จนบางชิ้นเห็นแล้วสงสัยว่าใช้เกี่ยวกับการรักษาฟันจริงๆ เหรอเลยด้วยซ้ำ   เด็กคนนี้ช่างแข้มแข็งจริงๆ   แน่นอนว่าการถอนฟันในรูปแบบนี้   ย่อมทำให้เกิดความเจ็บปวดมากกว่าในปัจจุบัน   แถมยังอาจมีปัญหาตามมาหากลงมือไม่ดี (รอยแดงๆ นั่นไม่ใช่เลือดนะ)   จนบางทีคนไข้อาจจะสลบไปเลยก็มี…

  • พบมัมมี่ผู้หญิงที่อียิปต์ อายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปี และยังไม่เคยมีการเปิดโลงมาก่อน

    พบมัมมี่ผู้หญิงที่อียิปต์ อายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปี และยังไม่เคยมีการเปิดโลงมาก่อน

    แม้ว่ามัมมี่จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศอียิปต์ก็ตาม แต่ก็ใช่ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทุกวันในประเทศ ดังนั้นการค้นพบมัมมี่จึงมักจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบมัมมี่ที่สมบูรณ์มากๆ แล้วด้วย เพราะล่าสุดนี้เองได้มีการค้นพบมัมมี่ร่างใหม่ล่าสุด ซึ่งยังอยู่ในโลงศพที่ไม่มีการเปิด และมีอายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปีเลยทีเดียว     โดยนี่เป็นหนึ่งในสองโลงศพที่ถูกพบโดยทีมนักโบราณคดีของฝรั่งเศสในระหว่างการเข้าสำรวจที่สุสานใหญ่ El-Asasef ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในพื้นที่เมือง Luxor ดูเหมือนว่าหนึ่งในสองโลงศพจะเคยมีการเปิดมาก่อนแล้ว แต่อีกโลงหนึ่งในยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ และเพิ่งจะมีการเปิดออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อเสาร์วันที่ 24 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมานี้เอง     โดยภายในโลงศพที่เพิ่งจะมีการเปิดไปนี้มีร่างของหญิงสาว ผู้ซึ่งคาดว่าเป็นชนชั้นสูง หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับฟาโรห์ในช่วงราชวงศ์ที่ 17-18 ของอียิปต์ หรือช่วง 1580-1292 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง     และนอกจากโลงศพทั้งสองโลงนี้ ทางนักโบราณคดียังค้นพบหน้ากากที่มีการลงสีจำนวนห้าชิ้น กับหุ่น “Ushabti” ซึ่งเป็นงานฝีมือขนาดเล็กที่ใช้เป็นตัวแทนคนใช้ที่จะตามไปรับใช้ผู้เสียชีวิตในโลกหลังความตายอีกราวๆ 1,000 ตัว     เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนว่ากำแพงของตัวสุสานเองก็จะมีร่องรอยของงานศิลปะบนผนังอยู่ด้วย ทำให้การค้นพบครั้งนี้ นับว่าเป็นการค้นพบครั้งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมของงานศิลปะบนผนังที่พบ และนักโบราณคดีก็ยังคงมีการขุดค้นสุสานดังกล่าวเพิ่มเติมกันอยู่ในปัจจุบัน     ที่มา independent, mirror

  • 26 ภาพเทรนด์ทรงผมสุดเท่จากช่วงยุค 80 เอกลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของยุคสมัยได้อย่างดี

    26 ภาพเทรนด์ทรงผมสุดเท่จากช่วงยุค 80 เอกลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของยุคสมัยได้อย่างดี

    ในช่วงยุค 80 มีดาราภาพยนตร์หลายคนที่ไว้ผมทรงประหลาดๆ ทำให้ในช่วงทศวรรษนี้ผู้คนมักจะไว้ทรงผมแปลกๆ ตามดารากันไปเป็นแถว จริงอยู่ว่าในสมัยนั้นทรงผมเหล่านี้อาจจะเป็นอะไรที่ดูดีมาก แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อเราย้อนกลับมาดูทรงผมเหล่านี้อีกครั้ง มันก็อาจจะรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ได้เหมือนกัน ไม่เชื่อก็ลองดูภาพทั้ง 26 ภาพต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจ   อือหือ เปิดมาก็สิงโตเลย   โดนไฟช็อตมารึเปล่าเนี่ย   อันนี้ก็จะเหมือนรังนกนิดๆ   ดูขนาดศีรษะเทียบกันดูสิ   อันนี้มาเป็นครอบครัวเลย   เหมือนจะเห็นแว๊บๆ ว่าทรงนี้ยังมีคนทำอยู่ในปี 2018   ฟูได้อีกนะเธอ   อันนี้เขากันเป็นคู่   ถ้ามีผ้าคาดหัวด้วย ความเท่จะบวกขึ้นไปอีก   ถ้ามีชุดหนังด้วยยิ่งดี   หน้าคุณลูกได้ใจมาก   อันนี้กระจายเลยหัวไหล่ไปอีก   คู่นี้สมกันดีจริงๆ   เห็นรอยแยกของผมนั่นไหม   แหลมข้างฟูข้างก็เท่ไปอีกแบบ   ผู้หญิงยุคนี้ออกแนวเท่ๆ ดีนะ   ส่วนคนนี้จัดเต็มสุดๆ อ่ะ ลูกเหวอหมดแล้ว  …

  • 14 ภาพเด็กๆ ในช่วง “เบบี้บูม” ช่วงเวลาที่โลกมีอัตราการเกิดสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

    14 ภาพเด็กๆ ในช่วง “เบบี้บูม” ช่วงเวลาที่โลกมีอัตราการเกิดสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

    “เบบี้บูมเมอร์ส” เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่เกิดในช่วง “เบบี้บูม” ระยะเวลาราวๆ 20 ปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง (1945-1965) และเป็นชื่อเล่นที่มาจากอัตราการเกิดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในยุคนั้น เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้มาจากการที่คนเราพยายามผลิตประชากรขึ้นมาเพื่อทดแทนคนในช่วงสงครามก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นที่สหรัฐฯ มีเด็กๆ เกิดขึ้นมาถึง 65 ล้านคนเลยทีเดียว นั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะสามารถเห็นภาพที่มีเด็กอยู่เต็มไปหมด ได้เป็นจำนวนมากจากยุคนี้ เหมือนอย่างภาพทั้ง 14 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันที่พยาบาลกับการต้อนรับเด็กใหม่ในโรงพยาบาล Queen Charlotte เมื่อปี 1945     เด็กอ่อนและเด็กแรกเกิดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 1948   นางพยาบาลดูแลเด็กๆ ในแผนกสูติกรรม ลอนดอน 1947   โรงอาหารที่แออัดในโรงเรียน Walsgrave Colliery ที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี 1952   กลุ่มเด็กนักเรียนในสนามเด็กเล่นของโรงเรียน Walsgrave Colliery ประเทศอังกฤษเมื่อปี 1952   Briton Ivy Bourne คุณแม่ที่มีลูกถึง 22 คน ระหว่างอยู่กับแฝดสาม กับแฝดสองของเธอในปี 1953   แฝดสามตัวน้อยๆ…

  • 12 ภาพแปลกสุดพิลึกจากในอดีต ที่อาจจะทำให้คุณขนลุกได้โดยไม่รู้ตัวเลย

    12 ภาพแปลกสุดพิลึกจากในอดีต ที่อาจจะทำให้คุณขนลุกได้โดยไม่รู้ตัวเลย

    โลกของเรานั้นไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็มีเรื่องแปลกๆ อยู่เสมอ บางครั้งเรื่องที่ว่าอาจจะแค่เห็นแล้วรู้สึก แปลกพิลึก แต่บางครั้งเรื่องประหลาดๆ เหล่านั้นก็อาจจะทำให้เราขนลุกเลยได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆไปชม 12 ภาพแปลกสุดพิลึกจากในอดีต ที่อาจจะทำใหคุณขนลุกโดยไม่รู้ตัว   เริ่มกันที่อะไรเบาๆ อย่างหมึกยักษ์พยายามดึงนักดำน้ำลงไปในแท็งก์ของมันที่รัฐโอเรกอน #tentacle #mindbreak   ภาพผู้เข้าแข่งงานประกวด “Miss Lovely Eyes” (สาวตาสวย) ในฟลอริด้าเมื่อปี 1930 เข้าใจว่าใส่หน้ากากให้ตัดสินแค่ตา… แต่มันหลอนอ่ะ   ป้ายขายสมองในเซนต์หลุยส์เมื่อปี 1978 แน่นอนว่าเป็นสมองวัว ซึ่งทานกันในบางประเทศ   ทุ่งใยแมงมุมในออสเตรเลีย นี่เป็นเหตุการณ์ที่มักจะมากับปรากฏการณ์ “ฝนตกเป็นแมงมุม” อีกที โดยแมงมุมจะใช้ใยของตัวเองคล้ายร่มชูชีพในการลอยไปตามลม เพื่อเดินทางไกลๆ ทำให้บางครั้งก็เหมือนมันตกมาจากฟ้านั่นเอง   ภาพการแสดงโอเปรา  “A Masked Ball”  ในปี 1999 ในประเทศออสเตรีย   มอธเหยี่ยวหัวกะโหลก (Death’s head Hawkmoth) นี่เป็นมอธที่มีปีกกว้าง…

  • ย้อนรอย Sarah Rector เด็กหญิงแอฟริกัน-อเมริกันที่รวยจนรัฐบาลบอกว่าเธอเป็น “คนขาว”

    ย้อนรอย Sarah Rector เด็กหญิงแอฟริกัน-อเมริกันที่รวยจนรัฐบาลบอกว่าเธอเป็น “คนขาว”

    ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันได้รับการเลิกทาสแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงถูกกดขี่จากสังคมคนขาวอยู่ดี ดังนั้นใครจะไปคิดเล่าว่าในช่วงเดียวกันนี้เอง จะมีเด็กสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนหนึ่งสามารถขึ้นเป็นมหาเศรษฐีได้     ชื่อของเด็กหญิงคนนั้นคือ Sarah Rector เด็กผู้เกิดมาในพื้นที่ของอินเดียนแดง ในโอคลาโฮมา (ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่เป็นรัฐ) ในครอบครัวซึ่งมีคุณย่าเป็นอดีตทาส เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสัญญา Muscogee หรือ “Creek Nation” กลุ่มที่เกิดจากการรวมตัวของ 5 ชนเผ่าพื้นเมืองในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ และได้รับสัญญาว่าจะได้รับการแบ่งที่ดินในตอนที่โอคลาโฮมาได้เป็นรัฐ   5 ชนเผ่าพื้นเมือง ในสนธิสัญญารัฐโอคลาโฮมา   นั่นทำให้ตอนที่ Sarah อายุได้เพียง 4 ขวบเธอก็ได้รับที่ดินแห่งหนึ่งมาจากสนธิสัญญาที่ว่านี้ โดยมันเป็นที่ดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะแก่การทำการเกษตร นั่นทำให้ที่ดินแห่งนี้กลายเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์ไม่ได้ และรังแต่จะทำให้ครอบครัว Rector ต้องเสียภาษีที่ดินไปเปล่าๆ เท่านั้น แถมจะขายที่ดินก็ขายไม่ได้เพราะกฎหมายของรัฐในตอนนั้นห้ามมีการขายที่ดินที่เป็นของผู้เยาว์     พอดีว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทางบริษัทน้ำมันออกขุดหาน้ำมันไปทั่วพอดี ดังนั้นในเมื่อขายที่ดินไม่ได้ ทางครอบครัวของ Rector จึงให้บริษัทขุดหานำมันเช่าที่ไปเสี่ยงดวงขุดหาน้ำมันเสียเลย และการตัดสินใจครั้งนั้นก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาเลยก็ว่าได้ เพราะในพื้นที่เปล่าๆ ที่พวกเขาได้มานั้น ดันมีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้พอดีเลย     และการค้นพบครั้งนี้เองก็ทำให้ครอบครัวของเธอได้เงินไปเฉลี่ยถึงวันล่ะ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินปัจจุบันได้ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ…

  • 10 ผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินมีชื่อในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล

    10 ผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินมีชื่อในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล

    คนเรานั้นไม่ว่าจะเป็นใครมีชื่อเสียงมาจากไหนสักวันก็ต้องตายจากโลกนี้ไป แต่ถึงแม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่บ่อยครั้งผลงานและชื่อเสียงของพวกเขาก็จะถูกจดจำเอาไว้สืบไป แน่นอนว่าเหล่าศิลปินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และจริงอยู่ว่าผลงานที่ถูกจดจำของพวกเขาจะเป็นผลงานที่ดังที่สุดในชีวิต แต่ในเวลาเดียวกันผลงานชิ้นสุดท้ายของพวกเขาเองก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 10 ผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินมีชื่อในอดีต ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกใบนี้ไป ตลอดกาล   เริ่มกันที่ โกลด มอแน ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์แห่งฝรั่งเศส ปีที่เสียชีวิต: 1926 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ชุดภาพ “The Grandes Décorations”   คีธ แฮริ่ง ศิลปิน “Subway Drawings” สัญชาติอเมริกัน ปีที่เสียชีวิต: 1990 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ   ปาโบล ปีกัสโซ จิตรกรเอกชาวสเปน ปีที่เสียชีวิต: 1972 ผลงานชิ้นสุดท้าย: ภาพวาดตัวเอง   วินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปีที่เสียชีวิต: 1890 ผลงานชิ้นสุดท้าย: “Tree Roots”   ซัลบาโด ดาลี จิตรกรภาพวาดแนวเซอร์เรียลชาวสเปน ปีที่เสียชีวิต: 1983…

  • รู้หรือไม่ 300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์เราเคยบูชาไก่งวงราวกับเป็นพระเจ้ามาก่อน

    รู้หรือไม่ 300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์เราเคยบูชาไก่งวงราวกับเป็นพระเจ้ามาก่อน

    เคยทานไก่งวงกันไหม? สำหรับประเทศไทยแล้วไก่งวงอาจจะไม่ใช่อาหารที่เป็นที่นิยมมากนัก แต่สำหรับทางยุโรปแล้วไก่งวงนับเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับวันขอบคุณพระเจ้า     แต่แม้ว่าไก่งวงจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าเจ้าไก่ที่มักถูกนำไปเป็นอาหารพวกนี้ จะเคยเป็นสัตว์ที่มนุษย์บูชาเสมือนพระเจ้ามาก่อน เพราะในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ไก่งวงเคยได้รับการบูชาจากเผ่ามายาในฐานะสัญลักษณ์ของพลังอำนาจและศักดิ์ศรีมาก่อน     โดยจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มายา คุณ Ana Luisa Izquierdo y de la Cueva ไก่งวงนั้นมีอยู่แทบทุกที่ในแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวกับเผ่ามายา พวกมันมักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของพิธีกรรมทางศาสนา แถมยังถูกยกย่องว่าได้รับพรแห่งพลังที่แข็งแกร่งพอจะทำลายมนุษย์ได้จากความฝันในยามราตรีได้เลย เอาเข้าจริงๆ ไก่งวงนั้นดูศักดิ์สิทธิ์มากขนาดว่าผู้ปกครองเผ่ามายาบางคนถึงกับเอาคำว่าไก่งวง (ในภาษาของชาวมายา) มาตั้งเป็นสมญานามของตัวเองเลยด้วย   กล้องยาสูบของที่มีฉายาว่า “กรงเล็บไก่งวง”   เท่านั้นยังไม่พอ จากหลักฐานของทางนักโบราณคดีที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟลอริดาแล้ว ยังมีความเป็นไปได้มากว่าเผ่ามายาจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่มีการเลี้ยงไก่งวงอีกด้วย ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วเผ่ามายาจะนำไก่งวงมาจากทางเม็กซิโกด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะไก่งวงป่าที่มีสีสันหลากหลาย และนำมาเลี้ยงไว้เพื่อบูชา     แต่ถึงแม้จะบอกว่าเผ่ามายาบูชาไก่งวงก็ตาม โดยมากแล้วชะตาของไก่งวงที่เผ่ามายาเลี้ยงไว้ก็มักจะจบลงในด้วยความตายอยู่ดี เพราะโดยมากแล้วเมื่อจบพิธีกรรมต่างๆ ไก่งวงจะถูกเชือดในฐานะเหยื่อบูชายัญ ก่อนจะนำไปทานเป็นอาหารกันต่อไปนั่นเอง นอกจากนี้จากการตรวจสอบ DNA ของนักวิทยาศาสตร์เราก็พบเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับไก่งวงอีกเล็กน้อย เพราะไก่งวงที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารในปัจจุบันนั้นมีความคล้ายคลึงทาง DNA กับไก่งวงของชาวมายามากเลยทีเดียว     กล่าวคือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไก่งวงเหล่านี้ถูกมนุษย์ทานมาโดยตลอดเลยนั่นเอง  …

  • ย้อนรอยโศกนาฏกรรมยาน Soyuz 11 กับนักบินอวกาศเพียงสามคนที่เสียชีวิตในอวกาศจริงๆ

    ย้อนรอยโศกนาฏกรรมยาน Soyuz 11 กับนักบินอวกาศเพียงสามคนที่เสียชีวิตในอวกาศจริงๆ

    ตั้งแต่มีการแข่งขันเทคโนโลยีทางอวกาศเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น พวกเราก็เห็นข่าวนักบินอวกาศต้องสละชีวิตกันอยู่หลายครั้ง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในบรรดาอุบัติเหตุที่เคยมีมานั้น มีนักบินเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่เสียชีวิตในอวกาศจริงๆ แถมนักบินทั้งสามคนนั้น ยังเป็นนักบินจากภารกิจเดียวกัน ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1971 อีกด้วย     เรื่องราวมันเกิดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายนปีนั้น เมืองทางสหภาพโซเวียตกำลังรอคอยการกลับมาของยานอวกาศ Soyuz 11 ที่ขึ้นไปปฏิบัติการบนห้วงอวกาศมาเป็นเวลากว่า 23 วัน แต่แทนที่พวกเขาจะได้ต้อนรับนักบินกลับมาอย่างฮีโร่ สิ่งที่ทางโซเวียตได้กลับเป็นร่างไร้วิญญาณของ Georgi Dobrovolski, Vladislav Volkov และ Viktor Patsayev สามนักบินของยานอวกาศ Soyuz 11 แทน   จากซ้ายไปขวา Dobrovolski, Volkov และ Patsayev   เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความแปลกใจให้กับโลกมาก เพราะตลอด 23 วันที่ผ่านมา โครงการ Soyuz 11 ดำเนินการมาได้อย่างเรียบร้อยมาก จนทำให้เกิดการถกเถียงมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าที่เป็นที่เป็นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ของยานอวกาศ Soyuz 11 เกิดขึ้นในช่วงที่โซเวียตมาการควบคุมสื่อที่ค่อนข้างเข้มทำให้ทางต่างประเทศแทบไม่มีโอกาสรู้เลยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นักบินต้องเสียชีวิต     ในเวลานั้นมีคนมากมายออกมาเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เช่นหัวหน้านักบินของ NASA ที่ออกมาบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากความเครียดของนักบินก็เป็นได้ หรือทางทีมแพทย์ที่เชื่อว่า ที่นักบินนั้นตายเพราะสารพิษบนยานรั่ว…

  • 16 สิ่งประดิษฐ์สุดแปลกจากในสมัยก่อน ที่สุดโต่งเกินไปนิดจนสุดท้ายก็หายไป

    16 สิ่งประดิษฐ์สุดแปลกจากในสมัยก่อน ที่สุดโต่งเกินไปนิดจนสุดท้ายก็หายไป

    ว่ากันว่ามนุษย์เราเป็นเจ้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ นั้นทำให้เราประดิษฐ์สิ่งอำนวยความสะดวกมากมายออกมาตั้งแต่ในสมัยก่อน จนทำให้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมแบบที่เราเห็นในปัจจุบันไป ในหลายๆ ครั้งสิ่งที่คนเราสร้างขึ้นมานั้นมักจะเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะแปลกหรือว่าสุดโต่งเกินไปนิดจนสุดท้ายก็หายไปจากประวัติศาสตร์ ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่คิดของพวกนี้ขึ้นมานั้นมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ทั้ง 16 อย่างต่อไปนี้   เริ่มกันจากการสาธิตวิธีใช้เจ็ทแพ็ค จากปี 1969   เครื่องทำกาแฟติดรถจากปี 1950 นอกจากกาแฟ แล้วยังอุ่นซุป ต้มน้ำร้อน และต้มไข่ได้ด้วยนะ   ยางเรืองแสงได้จากเมื่อปี 1961 เอาจริงๆ ต้องบอกว่าส่องแสงได้ เพราะแสงนี้มาจากหลอดไฟที่อยู่ที่ล้อแม็กซ์   ไปป์สำหรับสูบสองคน มีชื่อว่า “Double Ender” เปิดตัวมาในปี 1949   เครื่องทำผิวแทน ระบบก็จะคล้ายๆ เครื่องพ่นสเปรย์ แต่เป็นการพ่นให้ผิวแทน เปิดตัวมาเมื่อปี 1949   เครื่องขัดหัวล้าน คิดขึ้นมาในปี 1950 และสามารถใช้เป็นที่นวดศีรษะได้ด้วย   ที่หลบนิวเคลียร์ เมื่อปี 1958 ออกมาแบบมาให้บรรจุคนได้ 8 คน และป้องกันแรงระเบิดจากนิวเคลียร์ 20…

  • พบภาพวาดสีปูนเปียกของ “เลดาและหงส์” ในซากห้องนอนเก่าแก่ที่เมืองปอมเปอี

    พบภาพวาดสีปูนเปียกของ “เลดาและหงส์” ในซากห้องนอนเก่าแก่ที่เมืองปอมเปอี

    เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่มีการเข้าไปสำรวจพื้นที่เมืองปอมเปอีครั้งใหญ่ของกลุ่มนักโบราณคดีหลากหลายกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในเมืองแห่งนี้มากมายในช่วงปีที่ผ่านมา และล่าสุดนี้เองทีมนักโบราณคดีก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจซึ่งถูกฝังอยู่ในเมืองแห่งนี้อีกครั้ง โดยนี่เป็นการค้นพบภาพวาดสีปูนเปียกจากสมัยโรมันโบราณ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ในห้องนอนของเมืองปอมเปอีนั่นเอง     ภาพที่มีการค้นพบนั้นเป็นภาพของตำนานกรีกเรื่อง “เลดาและหงส์”  ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานกรีกโบราณที่มักถูกจิตรกรรุ่นหลัง (อย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี) นำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานอยู่บ่อยๆ โดยภาพที่พบเป็นภาพของหญิงสาวรูปงามชื่อเลดาซึ่งกำลังมีเพศสัมพันธ์กับหงส์ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเทพซูสที่ปลอมตัวมานั่นเอง     การค้นพบในครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการสำรวจบูรณะพื้นที่ที่เรียกว่า Via del Vesuvius ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับถนนหลักของเมืองปอมเปอี ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการค้นพบงานศิลปะโบราณมาหลายครั้งแล้ว ในเบื้องต้นเชื่อกันว่าภาพที่พบนี้เป็นเพียงภาพประดับอิโรติกที่วาดขึ้นเพื่อประดับห้องนอนของผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะในเมือง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยซึ่งไต่เต้าขึ้นมาจากชนชั้นล่างในสมัยนั้น     แต่ไม่ว่าจะมีที่มามาจากไหน นี่ก็เป็นหนึ่งในภาพที่นับว่ามีความสมบูรณ์สูงมากหากเทียบกับงานศิลปะโบราณที่เคยมีการค้นพบในบริเวณใกล้เคียง เพราะนอกจากภาพที่พบจะยังคงมีสีสันงดงามแล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถนำภาพออกจากหินอัคนี เพื่อนำภาพทั้งผืนออกมาให้โลกได้ชมกันอีกด้วย     อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทางนักโบราณคดียังคงมีการถกเถียงกันอยู่ว่าควรจะมีการเคลื่อนย้ายภาพดังกล่าวไปยังโบราณสถานแห่งอื่นเพื่อเปิดให้ประชาชนเขาชมหรือไม่นั่นเอง   ที่มา allthatsinteresting, iflscience

  • 18 ภาพถ่ายสถานที่ฆาตกรรมในอดีต ที่ถูกนำมาแต่งเติมสี คืนความสมจริงให้เหตุการณ์อีกครั้ง

    18 ภาพถ่ายสถานที่ฆาตกรรมในอดีต ที่ถูกนำมาแต่งเติมสี คืนความสมจริงให้เหตุการณ์อีกครั้ง

    ตั้งแต่ที่มีการคิดค้นกล้องถ่ายรูปมา รูปถ่ายก็กลายเป็นส่วนสำคัญในเก็บหลักฐานของทางตำรวจไป นั่นทำให้ตั้งแต่ในอดีตมีภาพสถานที่ฆาตกรรมมากมายที่ถูกเก็บไว้ผ่านยุคผ่านสมัยมา แต่ในภาพถ่ายเก่าๆ เหล่านั้น บางครั้งก็ดูจะขาดความสมจริงในด้านสีได้เหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงใช้วิธีการมากมายในการคืนโทนสีให้แก่ภาพขาวดำในสมัยก่อน จนเกิดเป็นภาพสีของสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม เหมือนดังภาพ 18 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันที่คดีฆาตกรรมมาเฟีย Joe Masseria ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่การที่ศพถือไพ่เอซโพดำเอาไว้ ภาพจากปี 1931   ศพของโจรปล้นธนาคารสองรายที่โชคร้ายตกร่องลิฟต์ในปี 1915   การเปิดหนังสือพิมพ์ดูศพผู้ตายของเจ้าหน้าที่ในปี 1943   คดีสังหารอันธพาล “David the Beetle” ที่แมนฮัตตันเมื่อปี 1939   เจ้าหน้าที่ก้มลงมองร่างของเหยื่อที่โดนรถชน ใต้รถแท็กซี่ที่ขึ้นไปเกยบนถังขยะ   สายสืบของตำรวจกำลังเก็บลายนิ้วมือของผู้ตาย บนดาดฟ้าอาคารที่นิวยอร์ก เมื่อปี 1941   ร่างของ Antonio Pemear ชายผู้ถูกสังหารบนเตียงที่บรูคลิน เมื่อปี 1915   สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมและฆ่าตัวตายตามที่นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์ค 1952   ผู้ตายและตำรวจสองนายที่อพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก เมื่อปี 1957   ภาพการสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์ ที่เมืองชิคาโกในปี…

  • 10 เรื่องแปลกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตระหว่างปฏิบัติการของนักบินอวกาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    10 เรื่องแปลกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตระหว่างปฏิบัติการของนักบินอวกาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    ตั้งแต่ในอดีตการได้ขึ้นไปใช้ชีวิตในอวกาศอาจจะเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็กหลายๆ คน อาจจะเพราะการเป็นนักบินอวกาศมันดูเท่มากๆ ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตในอวกาศนั้นไม่ได้เท่อย่างที่เด็กๆ คิดเสมอไป แถมในบางครั้งยังมีเรื่องแปลกๆ ในการใช้ชีวิตอยู่เต็มไปหมดเลยด้วย เหมือนอย่างการใช้ชีวิตของนักบินอวกาศทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันที่ นักบินอวกาศมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากในอวกาศกันด้วย โดยพวกเขาจะใช้การลงคะแนนเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์แบบพิเศษที่ส่งการลงคะแนนกลับมายังโลกโดยตรงเลยนั่นเอง   พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับวันเวลาที่กำหนดขึ้นเอง เนื่องจากในอวกาศทุกๆ 24 ชั่วโมงนักบินจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้น 15 ครั้ง ดังนั้นพวกเขาเลยต้องกำหนด “วัน” ขึ้นมาเองเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป   พวกเขาดูหนังเกี่ยวกับอวกาศในอวกาศ แน่นอนว่าการอยู่ในอวกาศนานๆ มันจะต้องมีเบื่อกันบ้าง ในสถานีอวกาศจึงมีหนังมากมายเก็บไว้ให้นักบินได้ดู อย่างไรก็ตามนักบินบอกว่าด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างหนังที่อยู่บนสถานีกลับไม่ค่อยมีที่เกี่ยวกับการทำผิดกฎหมาย นั่นทำให้พวกเขามักจะดูหนังไซไฟเสียเป็นส่วนใหญ่   พวกเขาห้ามมีเซ็กซ์กันบนอวกาศ (อย่างน้อยๆ ก็ในทางเทคนิค) อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านักบินจะไม่ได้ถูกห้ามช่วยตัวเองนะ   การทานอาหารยากกว่าที่คิด เนื่องจากไม่มีแรงดึงดูด อาหารจึงมักจะลอยไปลอยมาและอาจสร้างความสกปรก ดังนั้นนักบินจึงมักจะให้อุปกรณ์อย่าง เทปกาว หรือเทปตีนตุ๊กแกในการยึดอาหารไว้กับโต๊ะอยู่บ่อยๆ   พวกเขามีอุปกรณ์พิเศษในการใช้ห้องน้ำ จริงอยู่ว่านักบินยุคแรกๆ จะใช้ถุงหรือแพมเพิสในการทำธุระ แต่นักบินยุคใหม่นั้นจะมีห้องน้ำอยู่ในสถานีอวกาศด้วย แต่ด้วยความที่ข้างบนนั้นไม่มีแรงดึงดูดพวกเขาจึงต้องใช้ห้องน้ำกันด้วย “ท่อ” แบบพิเศษ เพื่อกันของเสียกระจายไป   การนอนมันเหมือนอยู่ในเครื่องดูดฝุ่นชัดๆ เนื่องจากไม่มีแรงดึงดูด…

  • 5 เรื่องราวแปลกๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “เมืองปอมเปอี” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    5 เรื่องราวแปลกๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “เมืองปอมเปอี” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    ในปีคริสต์ศักราชที่ 79 การปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียได้กลบเมืองปอมเปอีในอิตาลีลงไปอยู่ใต้เถ้าถ่านเป็นเวลาเกือบๆ 1,500 ปี ก่อนที่จะมีการขุดค้นขึ้นมาในอีกครั้งในปี 1738 ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อเถอะว่ายังมีเรื่องราวของเมืองปอมเปอีอีกหลายอย่างที่เราอาจจะไม่เคยเห็น ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 5 เรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับเมืองปอมเปอี ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน   โครงกระดูกที่เห็นจากปอมเปอี แท้จริงแล้วคือปูน ไม่ใช่กระดูกจริงๆ ข้อนี้ต้องอธิบายกันนิดหนึ่งว่า ร่างของคนตายในเมืองปอมเปอีที่เราเห็นกัน เกิดจากการที่นักโบราณคดีสมัยก่อนเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในช่องว่างระหว่างเถ้าภูเขาไฟ (ที่ตอนนั้นกลบเมืองอยู่) นั่นทำให้ปูนเข้าไปแทนที่ช่องวางซึ่งเกิดจากที่เนื้อเยื่อของคนในอดีตย่อยสลายไปตามกาลเวลา และทำให้ปูนมีรูปร่างเหมือนคนที่เคยตายอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟไป จริงอยู่ว่าการทำแบบนี้ทำให้คนในสมัยนั้นสามารถขุดค้นเมืองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าท่าทางของศพจะถูกทำลายไปเสียก่อน แต่การเทปูนลงไปในเถ้าภูเขาไฟเลยก็ทำให้โครงกระดูกของคนสมัยก่อนถูกฝังอยู่ใต้ปูนไปตลอดเช่นกัน นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เราดูร่างของชาวเมืองปอมเปอี เราก็กำลังมองโครงกระดูกของพวกเขาที่อยู่ในตัวปูนเองไปในเวลาเดียวกัน   คนในปอมเปอีมีสุขภาพช่องปากที่ดีมาก นี่เป็นเรื่องที่เราทราบได้จากการทำซีทีสแกนร่างที่พบในเมืองเมื่อปี 2015 และเป็นเรื่องที่น่าแปลกพอสมควรเพราะในสมัยนั้นยังไม่น่าจะมีระบบทันตแพทย์ที่ทันสมัยพอจะรักษาฟันผุด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ในสมัยนั้นจะยังไม่มีระบบทันตแพทย์ที่ดี แต่ในยุคที่ภูเขาไฟวิสุเวียก็ระเบิดคนในปอมเปอีก็ยังไม่รู้จักน้ำตาลเช่นกัน ว่าง่ายๆ ว่ายังไม่มีอาหารที่ทำร้ายฟันมากๆ นั่นเอง   มีเด็กเป็นซิฟิลิสอยู่มาก ดูเหมือนว่าการจะรอดชีวิตไปจนอายุ 10 ขวบในสมัยก่อนจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิดมาก เพราะจากการตรวจสอบร่างของเด็กที่พบในเมืองปอมเปอี นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามีเด็กไม่น้อยเลยที่มีอาการของโรคซิฟิลิส ที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นเพราะในสมัยก่อนโรคซิฟิลิสยังไม่มีการรักษาที่ดีก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในตอนที่มีการค้นพบความจริงในข้อนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่าโรคซิฟิลิสไม่ได้เข้ามาในยุโรปเพราะการเดินทางของโคลัมบัสอย่างที่เคยมีการอ้างกันในสมัยก่อนแน่   ร่างที่พบจำนวนมาก ยังคงอยู่ในท่าทางเดียวกับตอนที่ตาย เนื่องจากความตายที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟนั้นรวดเร็วมาก บวกกับชาวเมืองไม่ได้มีการอพยพใดๆ ทำให้คนส่วนมากเสียชีวิตไปในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน…

  • อังกฤษเปิดประมูล กระจกเก่าแก่อายุกว่า 110 ปี ที่ว่ากันว่ามีวิญญาณของกัปตันเรือไททานิก

    อังกฤษเปิดประมูล กระจกเก่าแก่อายุกว่า 110 ปี ที่ว่ากันว่ามีวิญญาณของกัปตันเรือไททานิก

    ถ้าพูดถึงสิ่งของที่มีประวัติโดนผีสิง เชื่อว่าหลายคนคงไม่อยากเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเป็นแน่ แต่ในขณะเดียวกันบนโลกใบนี้เองก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่อยากสะสมของหายาก แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประวัติอาถรรพ์มาจากไหนก็ตาม นั่นเป็นสาเหตุที่ได้มีการเปิดประมูลขายกระจกเก่าแก่อายุกว่า 110 ปี ด้วยราคาเริ่มต้นถึง 10,000 ปอนด์ (ราวๆ 420,000 บาท)     เพราะนี่ไม่ใช่กระจกเก่าแก่ธรรมดาๆ แต่เป็นกระจกที่เชื่อกันว่ามีวิญญาณของ “เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ” กัปตันของเรือไททานิกที่จมลงไปเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1912 สิงอยู่ ตำนานของกระจกบานนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันหนึ่งสาวใช้จากบ้านของเอ็ดเวิร์ดบอกกับคนรู้จักว่า เธอเห็นเอ็ดเวิร์ดที่ตายไปแล้วอยู่ในกระจกบานหนึ่งในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันครบรอบการจมของเรือไททานิก     ตั้งแต่วันนั้นมากระจกบานนี้ก็ถูกส่งต่อๆ กันไปในหมู่คนรู้จักของสาวใช้คนดังกล่าว และเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนมาถึงงานประมูลในที่สุด โดยนอกจากตัวกระจก ใครก็ตามที่ชนะการประมูลกระจกบานนี้จะได้รับจดหมายที่ตัวสาวใช้ของเอ็ดเวิร์ดเขียนอธิบายคุณสมบัติของกระจกให้แก่ญาติๆ เป็นของแถมไปด้วย     การประมูลในครั้งนี้มีกำหนดการที่จะปิดประมูลกันในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งใครก็ตามที่ได้รับกระจกนี้ไป ก็จะมีเวลาอีกกว่า 4 เดือนในการรอชมวิญญาณของ “เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ” ที่ (เชื่อว่า) จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 เมษายน 2019 นั่นเอง     ส่วนใครที่สนใจกระจกชิ้นนี้ก็สามารถไปติดตามการประมูลได้ที่เว็บไซต์ richardwinterton.co.uk นี้เลย…

  • 5 บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีชีวิต ทันเหตุการณ์สำคัญๆ หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด

    5 บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีชีวิต ทันเหตุการณ์สำคัญๆ หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด

    เมื่อเราพูดถึงคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ตามปรกติเราก็มักจะมีภาพลักษณ์ของยุคสมัยที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในหัวเสมอๆ อย่างถ้าพูดถึงเลโอนาร์โด ดา วินชี เราก็จะนึกถึงภาพยุคเรเนสซองส์ขึ้นมาก่อน แต่ชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วยืนยาวกว่าที่คุณคิด ดังนั้นคนคนหนึ่งก็อาจจะผ่านเรื่องราวสำคัญๆ มามากกว่าเพียงแค่ยุคสมัยเดียวก็เป็นได้ ดังนั้นในวันนี้เอง เราจะไปชม 5 บุคคลที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีชีวิตอยู่นานจนทันเหตุการณ์สำคัญๆ หลายอย่างมากกว่าที่เราคิด   เริ่มกันจาก ออร์วิลล์ ไรท์ยังมีชีวิตอยู่ในตอนที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่น จริงอยู่ว่าวิลเบอร์ ไรท์จะเสียชีวิตไปในปี 1912 แต่ออร์วิลล์นั้นมีชีวิตอยู่ถึงปี 1948 เลยทีเดียว ซึ่งทำให้เขามีชีวิตอยู่ทันเห็นการทิ้งระเบิดปรมาณูในปี 1945 นั่นเอง   ปาโบล ปีกัสโซมีชีวิตอยู่นานพอที่จะเล่นเกม “Pong” เมื่อพูดถึงจิตรกรอย่างปีกัสโซหลายๆ คนก็มักจะเผลอเอาเอาไปรวมไว้ยุคเดียวกับจิตรกรเก่าๆ แต่จริงๆ แล้วกว่าที่ปีกัสโซจะเสียชีวิตก็ในปี 1973 เลยทีเดียว ส่วน Pong นั้นแม้จะเชื่อกันว่าเป็นเกมคอมพิวเตอร์ เกมแรกๆ ของโลกแต่ก็เพิ่งถูกคิดค้นในปี 1972 นี้เอง   บัพฟาโล บิลล์ ยังมีชีวิตอยู่ในตอนที่เรือเหาะเยอรมันถล่มปารีส บัพฟาโล บิลล์ เป็นวีรบุรุษคาวบอยที่มีชื่อเสียง ดังนั้นใครจะไปคิดว่า “คาวบอย” จะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเลย แต่มันก็เป็นไปแล้วเพราะบิลล์นั้นจากโลกนี้ไปในปี 1917…

  • จดหมายของไอน์สไตน์ชี้ เขาเคยเตือนถึงการต่อต้านชาวยิว กว่า 10 ปีก่อนนาซีขึ้นครองอำนาจ

    จดหมายของไอน์สไตน์ชี้ เขาเคยเตือนถึงการต่อต้านชาวยิว กว่า 10 ปีก่อนนาซีขึ้นครองอำนาจ

    เวลาที่มีงานประมูลวัตถุโบราณ ในหลายๆ ครั้งเราก็จะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีตัวตนอยู่ และในงานประมูลในเยรูซาเล็มเมื่อไม่นานมานี้เอง เราก็ได้พบกับอะไรที่น่าสนใจอีกแล้ว     เพราะนี่คือจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นโดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เมื่อปี 1922 ให้แก่น้องสาวของเขา มารีอา “มายา” ไอน์สไตน์ เพื่อบอกว่าตัวเขานั้นสบายดี และเตือนเธอให้ระวังตัวถึงการต่อต้านชาวยิวในเยอรมนี นี่อาจจะเป็นจดหมายที่ดูจะเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าไม่ใช่เพราะมันเขียนขึ้นก่อนนาซีขึ้นมามีอำนาจในเยอรมนีกว่าสิบปี     โดยจากคำบอกเล่าของตลาดประมูลในเยรูซาเล็ม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นหลังจากที่เพื่อนของเขาวาลเธอร์ รัทเธอเนา ชาวยิวผู้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศถูกลอบสังหาร จริงอยู่ว่าในจดหมายที่พบจะไม่มีที่อยู่ผู้ส่ง แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นเพราะในช่วงนั้นไอน์สไตน์กำลังซ่อนตัวอยู่ เนื่องจากเขาโดนตำรวจเตือนให้ระวังตัวว่าอาจถูกลอบสังหารเป็นคนต่อไป   วาลเธอร์ รัทเธอเนา ผู้ถูกลอบสังหาร   เป็นไปได้ว่าจดหมายนี้จะถูกเขียนขึ้นในเมืองคีล ประเทศเยอรมนี ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังเอเชียในเวลาต่อมา แต่ถึงแม้ว่าจะส่งจดหมายเตือนน้องสาวไปก็ตาม สุดท้ายตัวอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็กลับมาอยู่ที่เยอรมนีต่อจนกระทั่งนาซีขึ้นครองอำนาจในปี 1933 อยู่ดี ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเรื่อยมา     โดยสุดท้ายแล้วจดหมายฉบับนี้ถูกประมูลออกไปในราคา 39,360 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,230,000 บาท   ที่มา livescience

  • พบกระดูกหญิงสาวพร้อมเด็กในท้องอายุ 3,700 ปีที่อียิปต์ เชื่ออาจตายในระหว่างทำคลอด

    พบกระดูกหญิงสาวพร้อมเด็กในท้องอายุ 3,700 ปีที่อียิปต์ เชื่ออาจตายในระหว่างทำคลอด

    เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ทางสภาโบราณสถานแห่งอียิปต์ได้ออกมาประกาศการค้นพบครั้งใหม่ ที่เมืองคอมออมโบ เมืองที่ตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของประเทศ     โดยนี่เป็นการค้นพบโครงกระดูกหญิงสาวชาวอียิปต์โบราณที่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กับเด็กในท้อง ที่สุสานเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วง 1750-1550 ปีก่อนคริสตกาล นั่นหมายความว่าโครงกระดูกที่พบนี้อาจจะมีอายุมากถึง 3,700 ปีเลยนั่นเอง จากการตรวจสอบในเบื้องต้น เชื่อว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกร่างนี้ น่าจะเสียชีวิตไปในตอนที่อายุได้ 25 ปี และเป็นไปได้ว่าจะมาจากกลุ่มคนเร่ร่อนที่ย้ายถิ่นฐานมาจากภูมิภาคนูเบีย     นอกจากนี้การที่ร่างของทารกในครรภ์อยู่ในสภาพกลับหัว ก็ทำให้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเสียชีวิตในระหว่างการทำคลอด หรือไม่ก็ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ร่างของเธอและลูกถูกห่อไว้ด้วยผ้าห่อศพที่ทำจากหนังสัตว์ ก่อนที่จะฝังไว้กับเครื่องปั้นดินเผาอีกสองชิ้น และประคำที่ทำจากเปลือกของไข่นกกระจอกเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานะของหญิงสาวที่พบได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าสิ่งของเหล่านี้จะเป็นของที่ครอบครัวนำมาฝังไว้พร้อมๆ กับหญิงสาว เพื่อเป็นเกียรติแก่คนตาย ดังที่มีการทำกันในหลายๆ วัฒนธรรมของโลก     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเยลแห่งสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยโบโลญญาในอิตาลี และนักโบราณคดีเองก็เชื่อเป็นอย่างมากกว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะสามารถนำไปสู่ความรู้เพิ่มเติมอื่นๆ เกี่ยวกับการทำคลอดของชาวอียิปต์โบราณต่อไป   ที่มา livescience, allthatsinteresting

  • นักโบราณคดีบอก ปีคริสต์ศักราช 536 คือปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

    นักโบราณคดีบอก ปีคริสต์ศักราช 536 คือปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

    หากพูดถึงปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายๆ คนก็อาจจะมีความเห็นที่ต่างกันไป บางคนอาจจะเลือกปีไหนสักปีหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่บางคนอาจจะบอกว่าปี 2018 นี่ล่ะที่เป็นปีที่เลวร้ายที่สุด แต่สำหรับนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่าง ไมเคิล แม็คคอมิค แล้ว ปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ คือปีคริสต์ศักราชที่ 536 ต่างหาก     การที่ไมเคิลบอกว่าปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับหลายๆ คนเลยเป็นได้ เพราะปีนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างสงครามโลกหรือการระบาดของโรคร้ายใดๆ แต่จากงานวิจัยของไมเคิลแล้ว เหตุผลที่ทำให้ปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้น เกิดจากตัวสภาพอากาศของโลกเองต่างหาก     เพราะในปีนั้นได้เกิดหมอกควันในปริมาณมาก เหนือท้องฟ้าแทบทุกทวีปทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง เรื่อยไปยันบางส่วนของเอเชีย ทำให้โลกต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง นี่อาจจะฟังดูเหมือนพล็อตเรื่องของหนังแนวภูตผีปิศาจสักเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงพื้นโลกก็ทำให้โลกมีปัญหามากกว่าที่คิด อย่างแรกคืออุณหภูมิของโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ภัยแล้งจะมาเยือน แถมพืชที่ปลูกไว้ก็จะตายไปหมด ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงขึ้น     โดยจากการวิเคราะห์ของนักวิทย์ศาสตร์แล้ว อุณหภูมิในหน้าร้อนของโลกช่วงนั้นจะอยู่ที่เพียง 1.5-2.5 องศาเซลเซียสเท่านั้น แถมหมอกที่ว่านี้ยังปกคลุมโลกต่อเนื่องนานถึง 18 เดือนเลยด้วย ลองนึกภาพว่าโลกปลูกอะไรแทบไม่ขึ้นเลยต่อเนื่องกันปีกว่าๆ ดูสิ เชื่อว่าต้องมีมนุษย์ที่อดตายกันบ้างล่ะ ว่าแต่เจ้าหมอกพวกนี้มาจากไหนกัน? จากคำอธิบายของมหาวิทยาลัยเมนของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าในปีนั้นจะเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่ไหนสักแห่งในโลก และอาจจะไม่ใช่แค่ลูกเดียวด้วย  …

  • ชม 26 ภาพสุดแนวจากสหรัฐอเมริกาในยุค 70 นี่ล่ะคือยุคเด็กแนวติดโรลเลอร์สเก็ตอย่างแท้จริง

    ชม 26 ภาพสุดแนวจากสหรัฐอเมริกาในยุค 70 นี่ล่ะคือยุคเด็กแนวติดโรลเลอร์สเก็ตอย่างแท้จริง

    สหรัฐอเมริกาในยุค 70 เป็นช่วงเวลาที่แปลก เพราะแม้ว่าจะอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับสงครามเวียดนามก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่วัฒนธรรมและแฟชั่นของสหรัฐฯ กลับเฟื่องฟูอย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นช่วงที่เราจะเห็นคนแต่งตัวแปลกๆ เดินตามถนน เล่นสเกตบอร์ด หรือ โรลเลอร์สเกต เรียกได้ว่าเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความแนวก็ไม่ผิดนัก และด้วยเหตุผลนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมภาพบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้กัน ไปดูกันดีกว่าว่าสหรัฐอเมริกาในยุค 70 มันจะแนวสุดๆ ฉุดไม่อยู่ขนาดไหน   เริ่มกันที่ การเล่นสเกตบอร์ดในฮอลลีวูดเมื่อปี 1976   สาวในชุดสุดแนวที่ โอไฮโอ 1973   สองสาวในเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย 1971   ทีวีจอยักษ์จากปี 1979   การขี่จักรยานอย่างมีสไตล์   ต้นนี้มันคุ้นๆ นะ แล้วดูพี่แกยิ้มสิ   เป็นยุคที่หาสเกตบอร์ดได้ง่ายพอๆ กับจักรยาน   หญิงสาวในสถานที่ที่เธอบอกว่าเป็น “ห้องครัว” 1975   กลุ่มเด็กๆ ในบรุกลิน บ้านเกิดกัปตันอเมริกา   ชุดเที่ยวงานคานิวัลในดีทรอยต์   จะคุยโทรศัพท์กันทีก็ต้องต่อแถวรอ   ถ้ารุ่นใหญ่หน่อยชุดก็จะออกมาผสมหลายยุคนิดๆ   ภาพแนวๆ…

  • 4 เรื่องราวลึกลับของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และก็ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน

    4 เรื่องราวลึกลับของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และก็ยังเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน

    โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ มีเรื่องมากมายที่คนเรายังไม่รู้ หรือไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และนี่ก็คือเรื่องราวในครั้งนี้ เพราะ #เหมียวศรัทธา กำลังจะพาเพื่อนๆ ไปชม 4 ปริศนาโบราณของโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และยังไขกันไม่ได้แม้ในปัจจุบัน    “คัมภีร์ปีศาจ” นี่เป็นพระคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องของปีศาจไว้สมชื่อ และมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Codex Gigas” โดยเจ้าคัมภีร์ที่หนาสุดๆ เล่มนี้ เชื่อกันว่าถูกเขียนขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยนักบวชที่ทำสัญญากับปีศาจคนหนึ่ง ว่ากันว่านักบวชคนนี้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น โดยเป็นการเขียนขึ้นเพื่อแลกกับการละเว้นโทษประหารของตนเอง และแม้ว่าตำนานส่วนใหญ่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้จะฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยๆ นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันได้ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยคนเพียงคนเดียวในระยะเวลาสั้นๆ จริงๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของหนังสือเล่มนี้คือมีหน้ากระดาษที่หายไปราวๆ 20 หน้า ทำให้เนื้อหาทั้งหมดของมันกลายเป็นปริศนาไป   เส้นนัซกา นี่เป็นลายเส้นลึกลับขนาดใหญ่ กินอาณาเขตพื้นที่กว่า 520 ตารางกิโลเมตร ในทะเลทรายนัซกา ประเทศเปรู ซึ่งว่ากันว่าเขียนขึ้นโดยชาวนัซกาโบราณ เมื่อระหว่างช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 500 เส้นพวกนี้ถูกพบอยู่หลายอันและมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่คน ลิง ปลา นก หรือเสือจากัวร์ แต่ถึงจะมีการค้นพบเส้นนัซกามามาก แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่าคนสมัยก่อนเขียนเส้นพวกนี้มาเพื่ออะไร   ซากโบราณสถานใต้น้ำที่ญี่ปุ่น นี่เป็นสิ่งก่อสร้างอายุราวๆ…

  • “คุณแม่ผู้อพยพ” ภาพที่สะท้อนความลำบากของผู้อพยพ ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

    “คุณแม่ผู้อพยพ” ภาพที่สะท้อนความลำบากของผู้อพยพ ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

    ในปี 1936 โลกได้รู้จักกับภาพภาพหนึ่งที่มีชื่อเสียงขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่     มันเป็นภาพของแม่ลูกสามคน ซึ่งเป็นผู้อพยพเข้าประเทศสหรัฐฯ ที่อาศัยอยู่ในเต็นท์เก่าๆ และกำลังเจอมรสุมชีวิตจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศ สีหน้าท่าทางของเธอดูท้อแท้ ราวกับกำลังเครียดจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ จนไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าช่างภาพจะเก็บรูปของเธอไปเพื่ออะไร นี่เป็นภาพที่ถ่ายไว้เอาไว้โดยช่างภาพสารคดีชาวอเมริกันชื่อ Dorothea Lange ซึ่งในเวลานั้นกำลังทำงานให้ องค์กรบริหารจัดการความปลอดภัยในฟาร์มของรัฐบาลสหรัฐฯ     ภาพนี้ (ภาพแรกสุด) ถูกเรียกกันในภายหลังว่า “Migrant Mother” หรือ “คุณแม่ผู้อพยพ” และกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงสุดๆ ไปจากการที่มันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการใช้ชีวิตของผู้อพยพในประเทศได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้ว่าภาพดังกล่าวจะมีชื่อเสียงขนาดไหน กว่าที่ชื่อของหญิงสาวในภาพ จะกลายเป็นที่รู้จักของประชาชนก็เป็นเรื่องราวหลังจากนั้นราวๆ 40 ปี เลยทีเดียว     ชื่อของเธอคือ Florence Owens Thompson และเธอบอกว่า เธอมีความเห็นที่ค่อนข้างผสมกันเกี่ยวกับรูปถ่ายใบนี้ จริงอยู่ว่าเธอดีใจที่ภาพของเธอมีส่วนช่วยให้คนเข้าใจถึงความลำบากของผู้อพยพ แต่ในขณะเดียวกันภาพถ่ายภาพนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเธอในตอนนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเลย     ถึงอย่างนั้นภาพนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อตัวเธอเลยเสียทีเดียว เพราะในปี 1983 ที่ Florence ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทางครอบครัวของเธอก็ใช้ชื่อเสียงของเธอในภาพนี้ในการเรี่ยไรเงินค่ารักษาเพื่อมาช่วยเธอโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่แม้จะได้รับการรักษาอย่างดีแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเธอเอาไว้ได้ เพราะสุดท้าย Florence ก็เสียชีวิตไปจากโรคหัวใจและมะเร็งในปีเดียวกัน  …

  • 26 ภาพประเทศอียิปต์ในช่วงปี 1870 ไปดูกันว่าดินแดนที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์นี้ เมื่อก่อนเป็นเช่นไร

    26 ภาพประเทศอียิปต์ในช่วงปี 1870 ไปดูกันว่าดินแดนที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์นี้ เมื่อก่อนเป็นเช่นไร

    สำหรับคนหลายๆ คนแล้ว ประเทศอียิปต์คือสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จากในอดีต ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีผู้คนมากมายที่อยากจะลองไปเหยียบประเทศนี้ให้ได้สักครั้ง แต่เชื่อหรือไม่ว่าเสน่ห์ของอียิปต์นั้นไม่ได้โด่งดังแค่ในปัจจุบัน เพราะในอดีตเองก็มีคนมากมายที่หลงรักในเสน่ห์ของดินแดนแห่งนี้ และแน่นอนว่าสองพี่น้อง Zangaki ช่างภาพชาวกรีกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยพวกเขาได้เดินทางไปที่อียิปต์ในช่วงปี 1870-1890 และเก็บภาพของชาวอียิปต์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 มาให้ชาวโลกได้ชมกัน และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของพวกเขา   เริ่มกันจากทหารของเผ่า Bicharin เผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนได้ของอียิปต์   สฟิงซ์ขนาดใหญ่ของกิซ่า   สาวอาหรับสองคน   นักท่องเที่ยวชาวยุโรปและไกด์ในท้องถิ่นปีนพีระมิดแห่งหนึ่งที่กิซ่า   ภาพชายชาวนูเบีย ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในพื้นที่ตามแม่น้ำไนล์   เด็กหนุ่มกับลาของเขา   นักรบของเผ่า Bicharin บนหลังอูฐ   ชายสามคนที่หน้าทางเข้ามหาพีระมิดแห่งกิซ่า   มัมมี่ของฟาโรห์เซติที่ 1 (ซ้าย) และฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 (ขวา)   ผู้หญิงจากชนเผ่า Bicharin   ศาสตราจารย์ชาวอาหรับในกรุงไคโร   ผู้ชายจากชนเผ่า Bicharin   สาวนักเต้นชาวตุรกีในอียิปต์   พ่อค้าในตลาด   ช่างตัดผมในอียิปต์   เสาโอเบลิสก์แห่งเฮลิโอโปลิส…

  • ย้อนรอย “จอร์เจีย แทนน์” หญิงผู้ทำเงินนับล้านดอลลาร์ จากการพรากเด็กไปขาย

    ย้อนรอย “จอร์เจีย แทนน์” หญิงผู้ทำเงินนับล้านดอลลาร์ จากการพรากเด็กไปขาย

    ในช่วงปี 1924-1950 ที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ยังมีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นาม “Tennessee Children’s Home Society” คอยออกให้การช่วยเหลือเด็กๆ จากการที่ถูกพ่อแม่ละเลย นี่อาจจะฟังดูเป็นการกระทำของเหล่าผู้ที่มีจิตใจดีงามต้องการจะปกป้องเด็กๆ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ในบรรดาทีมงานของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ มีคนที่กำลังใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือเด็กเพื่อทำเงินให้กับตัวเองอยู่     หญิงสาวคนนั้นคือ จอร์เจีย แทนน์ หนึ่งใน “เบบี้ฟาร์มเมอร์” ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยเธอนั้นได้รับฉายานี้มาจากการที่เธอมักจะไปพรากเด็กๆ มาจากพ่อแม่ และนำไปขายต่อนั่นเอง จอร์เจียมักลงมือโดยอ้างเหตุว่าพ่อแม่ของเด็กๆ ที่เป็นเป้าหมายของเธอนั้น “ละเลย” ที่จะดูแลลูกๆ ของตัวเอง (ส่วนมากจะเป็นครอบครัวที่ยากจน) ก่อนที่จอร์เจียจะคัดเอาเด็กที่มีเสน่ห์ เพื่อเอาไปขายให้ครอบครัวที่ร่ำรวยต่อไป จริงอยู่ว่าในหลายๆ ครั้งเด็กๆ ที่จอร์เจียพรากจากพ่อแม่จะเป็นเด็กที่ถูกละเลยจริงๆ แต่การดูแลเด็กๆ ที่ได้มาของจอร์เจียเองก็ใช่ว่าจะดีเท่าไหร่ เพราะหากเด็กที่ได้มาไม่สามารถขายได้ เธอก็แทบจะไม่สนใจเด็กพวกนั้นเลยเช่นกัน     ว่ากันว่าตลอดชีวิตการทำงานของเธอ จอร์เจียทำรายได้เป็นล้านเหรียญจากการขายเด็กราว 5,000 คน แต่ในขณะเดียวกันก็มีเด็กๆ ที่ขายไม่ออกต้องตายไปจากการอดอาหารมากกว่าหนึ่งร้อยคนเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ หญิงสาวคนนี้ยังมีเส้นสายกับนายกเทศมนตรีของเมืองอีกด้วย ทำให้บ่อยครั้งการแจ้งความจากทางพ่อแม่ของเด็กๆ ก็ถูกทางตำรวจเพิกเฉยไป แถมช่วงหลังๆ หญิงสาวถึงกับติดสินบนนางพยาบาลเพื่อแอบไปขโมยเด็กจากโรงพยาบาลเลยด้วย  …

  • 5 การทำนายเทคโนโลยีในสมัยก่อน ที่แม้จะเคยดูเพ้อฝัน แต่ก็กลายเป็นจริงแล้วในปัจจุบัน

    5 การทำนายเทคโนโลยีในสมัยก่อน ที่แม้จะเคยดูเพ้อฝัน แต่ก็กลายเป็นจริงแล้วในปัจจุบัน

    คนเราไม่อาจจะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นตั้งแต่อดีต คนเราจึงออกมาทำนายอนาคตไว้เต็มไปหมด ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แล้วแต่กรณีไป บางอันก็ดูเพ้อฝันแบบสุดๆ แต่ทราบหรือไม่ การทำนายที่ดูจะเพ้อฝันเหล่านี้ บางอันก็เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะในวงการวิทยาศาสตร์   เริ่มกันที่รถไฟฟ้าจะเริ่มเป็นที่นิยม นี่เป็นเรื่องที่นักเขียนนิยายไซไฟ John Brunner เขียนเอาไว้ในปี 1969 โดยเป็นหนึ่งในการบรรยายสหรัฐอเมริกาในปี 2010 จริงอยู่ว่ารถไฟฟ้านั้นมีการคิดค้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น กว่าที่รถไฮบริดและรถไฟฟ้า จะเริ่มเป็นที่รู้จักกันจริงๆ มันก็ในปี 2010 ตามที่ John Brunner กล่าวไว้จริงๆ เอาจริงๆ เขาเขียนถึงการก่อการร้ายในสหรัฐฯ และการเข้ารับตำแหน่งของประธานธิบดี “โอโบมิ” (เกือบเป็นโอบามาแล้ว) เอาไว้ด้วยนะ   ดวงจันทร์ของดาวอังคาร ดวงจันทร์ของดาวอังคารถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1877 โดย Asaph Hall อย่างไรก็ตามย้อนกลับไป 151 ปีก่อนหน้านั้น Jonathan Swift นักเขียนเจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง “การเดินทางของกัลลิเวอร์” ได้เคยเขียนในหนังสือของเขาไว้แล้วว่า มีดาวเล็กๆ สองดวงหมุนอยู่รอบดาวอังคาร การทำนายที่ตรงอย่างไม่น่าเชื่อนี้เองทำให้ชื่อของ Swift ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ Deimos…

  • 5 การใช้ชีวิตประจำวันของเผ่ามายา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ยังแปลกสุดๆ ไปเลย

    5 การใช้ชีวิตประจำวันของเผ่ามายา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ยังแปลกสุดๆ ไปเลย

    เผ่ามายาเป็นเผ่าที่แพร่กระจายไปในพื้นที่แถบอเมริกากลาง ตั้งแต่ในช่วงปีคริสต์ศักราช 250-950 และกลายเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่แม้ว่าเผ่ามายาจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากก็ตาม แต่กลับมีคนไม่มากที่รู้ถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคนเผ่านี้ ทั้งๆ ที่พวกเขามีวิถีชีวิตประหลาดๆ อยู่หลายอย่างเลยแท้ๆ ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 5 การใช้ชีวิตประจำวันของเผ่ามายา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ยังแปลกและน่าสนใจสุดๆ ไปเลย   ชาวเผ่ามายาจะใช้ยาสวนทวารในการทำให้ตัวเองเมา ยาที่ว่านี้ มักจะมาจากเครื่องดื่มที่ชื่อว่า “Balché” ซึ่งทำขึ้นมาจากเปลือกไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง หรือไม่ก็ “Pulque” ซึ่งทำมาจากว่านหางจระเข้หมัก และจะมีการนำไปใช้งานในพิธีกรรมต่างๆ ด้วย เอาเข้าจริงๆ ชาวมายาก็ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันตามปรกตินั่นล่ะ แต่ในกรณีที่อยากเมาเร็วๆ พวกเขาก็มีหลักฐานว่าจะเทเครื่องดื่มมึนเมาเข้าไปทางทวารเพื่อเร่งผลของแอลกอฮอล์เลยเช่นกัน   ชาวเผ่ามายาจะเจาะฟันแล้วฝังเครื่องประดับลงไป เผ่ามายานั้นนับว่ามีวิทยาการการทำฟันที่ก้าวไกลมากเมื่อเทียบกับยุคสมัย อย่างไรก็ตามใช่ว่าการทำฟันทุกอย่างของพวกเขาจะดีไป หมด เพราะหนึ่งในสิ่งที่ชาวมายามักจะทำกลับเป็นการเจาะรูที่ฟันเพื่อใส่เครื่องประดับ แถมดูเหมือนว่าการเจาะฟันจะได้รับความนิยมมากเลยด้วย เพราะกะโหลกของชนเผ่ามายาจำนวนมากที่เคยมีการค้นพบล้วนแต่มีการเจาะฟันใส่เครื่องประดับทั้งนั้นเลยด้วย   ชาวเผ่ามายามีพิธีบูชาเทพ 165 องค์ การมีเทพถึง 165 องค์ อาจจะฟังดูเยอะ (หากไม่เทียบกับเทพของญี่ปุ่น) แต่เรื่องที่ทำให้ชาวมายาต่างไปจากที่อื่นคือ เทพของเผ่ามายานั้นมักจะต้องการการบูชายัญมนุษย์นี่สิ โดยเหยื่อบูชายัญส่วนมากของเผ่ามายา จะเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ และมีการเลือกเหยื่อบูชายัญไว้ก่อนพิธีหลายปีเลยด้วย อย่างไรก็ตามในบางครั้งเหยื่อบูชายัญของพวกเขาก็อาจจะมาจากศัตรู หรือทาสได้เช่นกัน…

  • ชม 5 แผนการในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็น่าสนใจมากๆ อยู่ดี

    ชม 5 แผนการในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็น่าสนใจมากๆ อยู่ดี

    การวางแผนนับว่าเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ประเทศประเทศหนึ่งจะสามารถเอาชนะสงครามได้ แต่ก็ใช่ว่าแผนการมากมายที่ถูกคิดนั้นจะถูกนำไปใช้งานหรือสำเร็จมันทุกแผนการเช่นกัน โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่สองแล้วด้วย แต่ถึงแผนการเหล่านั้นจะไม่สำเร็จ แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่น่าสนใจเลย เพราะฉะนั้น ในวันนี้เราจะมาชม 5 แผนการในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็น่าสนใจมากๆ เช่นเดียวกัน   เริ่มกันที่ Operation Bernhard นี่คือแผนการของนาซีที่จะทำลายเศรษฐกิจของทางอังกฤษ ด้วยการฉีดธนบัตรปลอมจำนวนมากเข้าไปในประเทศนั่นเอง โดยธนบัตรเหล่านี้นั้น จะถูกทำขึ้นโดยนักโทษในค่ายกักกัน โดยชาวยิวที่มีฝีมือในการพิมพ์ และแกะสลัก อย่างไรก็ตามแม้ว่าทางนาซีจะมีธนบัตรปลอมอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่มีวิธีที่ดีพอที่จะเอาธนบัตรทั้งหมดเข้าไปในอังกฤษอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เองธนบัตรส่วนมากจึงถูกนำไปใช้จ่ายให้กับสปายแทน และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลงธนบัตรปลอมเหล่านี้ก็ถูกนำไปทิ้งในทะเลต่อไป   Operation Tannenbaum นี่เป็นแผนการที่เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 40 ซึ่งใกล้ๆ กับที่ฮิตเลอร์บอกกับมุสโสลีนีว่าเขาไม่ชอบประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนทำให้ทางทหารเตรียมบุกสวิตเซอร์แลนด์ทันที เอาเข้าจริงๆ แผนการนี้มีการเตรียมการเพียบพร้อมแทบทุกอย่างแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จเพราะฮิตเลอร์ที่เป็นคนบอกเองว่าไม่ชอบสวิตเซอร์แลนด์ กลับไม่ยอมอนุมัติแผนการเสียนี่ เป็นไปได้ว่าที่เป็นเคยนี้อาจจะเพราะฮิตเลอร์คิดว่าการบุกสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงที่ประเทศกำลังรับศึกสองด้านพร้อมกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีก็เป็นได้   Project Habakkuk นี่เป็นแผนการของอังกฤษที่จะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจากวัสดุที่ผลิตจากน้ำแข็งและขี้เลื่อย เนื่องจากหาง่ายกว่าเหล็ก (ในยามสงคราม) มาก อย่างไรก็ตามแผนการนี้ก็ไม่ได้มีการใช้งานขึ้นมาจริงๆ เนื่องจากที่วัสดุที่ใช้นั้นหนักมาก และการสร้างเรือแบบนี้มีค่าใช้จ่ายสูงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แผนการนี้ถูกยกเลิกไปในที่สุด   The Bat Bomb นี่เป็นแผนการที่สหรัฐฯ คิดจะโจมตีญี่ปุ่นด้วยระเบิดที่บรรจุค้างคาวจำนวนมากเอาไว้ โดยตามในแผนการค้างคาวเหล่านี้จะสามารถกระจายไปได้ไกลถึง 20-40 ไมล์ (ราวๆ…

  • ย้อนรอยการค้นหาร่างของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” กับปริศนาที่กินเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ

    ย้อนรอยการค้นหาร่างของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” กับปริศนาที่กินเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ

    ในช่วงปี 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ที่ถูกจับโดย “บอลเชวิค” สมาชิกของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย ในระหว่างการปฏิวัติรัสเซีย ถูกเคลื่อนย้ายที่คุมขังไปมาอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะถูกสังหารไป การสังหารคนในราชวงศ์โรมานอฟนั้นว่ากันว่ากินเวลาราวๆ 20 นาทีและโหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมีร่องรอยว่าคนในราชวงศ์รวมทั้งเด็กๆ (และคนใช้บางส่วน) ถูกทำร้ายด้วยพานท้ายปืน ดาบปลายปืน มีด และอื่นๆ จนถึงแก่ความตาย   ภาพถ่ายห้องที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟถูกสังหาร   เท่านั้นยังไม่พอในระหว่างการนำศพไปซ่อน ผู้ลงมือยังยึดเอาเครื่องประดับทั้งหมดบนตัวศพ ก่อนที่จะราดน้ำกรดลงไปบนศพของคนในราชวงศ์โรมานอฟก่อนที่จะนำไปฝังด้วย นั่นทำให้การหายตัวไปของคนในราชวงศ์โรมานอฟในสมัยนั้นกลายเป็นปริศนาที่ยากที่จะไขให้กระจ่างมาก เพราะนอกจากจะหาศพไม่เจอแล้ว สื่อในประเทศยังถูกควบคุมให้ออกข่าวประณามราชวงศ์โรมานอฟอยู่เรื่อยๆ ด้วย จริงอยู่ว่าในตอนนั้น บอลเชวิคจะยอมรับว่ามีการสังหารคนในราชวงศ์โรมานอฟจริงๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีการเปิดเผยวิธีการหรือสถานที่ที่ลงมือสังหารราชวงศ์โรมานอฟเลย   ภาพการประชุมของบอลเชวิคในปี 1920   เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้กว่าที่จะมีการพบสถานที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟถูกฝังอยู่จริงๆ มันก็เป็นในปี 1979 และด้วยแรงกดดันจากทางรัฐ กว่าที่จะมีการขุดร่างที่ถูกฝังไว้ขึ้นมาจริงๆ มันก็หลังจากที่โซเวียตล่มสลายไปในปี 1991 เลยทีเดียว   โครงกระดูกที่มีการค้นพบ   โดยสถานที่ที่มีการพบหลุมฝังศพของราชวงศ์โรมานอฟนั้นคือใกล้ๆ กับคฤหาสน์ในเยคาเตรินบุร์ก หนึ่งในที่ที่ราชวงศ์โรมานอฟเคยถูกนำมาขังไว้นั่นเอง กระดูกที่พบในวันนั้นถูกนำมาตรวจสอบ DNA ก่อนที่จะนำไปฝังไว้ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1998 และมีการประกาศให้คนในราชวงศ์โรมานอฟที่ตายให้เป็น…

  • ชมจิตวิทยาจากยุค 50 เกี่ยวกับ “วิธีถือบุหรี่เก้าแบบ” ที่บอกความเป็นตัวตนของคุณได้อย่างดี

    ชมจิตวิทยาจากยุค 50 เกี่ยวกับ “วิธีถือบุหรี่เก้าแบบ” ที่บอกความเป็นตัวตนของคุณได้อย่างดี

    ความสามารถในการคาดเดาว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรโดยดูจากเพียงแค่การกระทำนั้นเป็นความสามารถที่ดูมีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ท่านั่ง การทานอาหาร คนเรามักจะชื่นชอบเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาในการมองคนอยู่เสมอ แน่นอนว่าความชื่นชอบในจิตวิทยาเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้นด้วย เพราะในอดีตเองก็มีจิตวิทยาเกี่ยวกับการสังเกตคนมากมายถูกเผยแพร่ออกมาเช่นกัน     และสำหรับในยุค 50 เอง นิตยสาร Caper Magazine ก็ได้ผู้ถึงจิตวิทยาที่น่าสนใจมากๆ ไว้อันหนึ่งเช่นกัน โดยนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสังเกตความคิดของผู้คน จากการจับบุหรี่ทั้งเก้าแบบนั่นเอง ซึ่งบทความจิตวิทยาในครั้งนี้เขียนขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของ Dr. William Neutra และมีเนื้อหาคร่าวๆ ดังนี้   แบบที่ 1 Dr. William บอกว่าคนที่จับบุหรี่แบบนี้เป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคง ดูได้จากความกลัวที่จะเสียบุหรี่ไป และหากมีคนรักก็น่าจะเกาะติดเขาหรือเธอราวกับกาวเลย   แบบที่ 2 Dr. William บอกว่านี่เป็นท่าทางของคนที่กำลังเบื่อคู่เดต และท่าทางจะกำลังกลั้นไม่ให้หาวอย่างเต็มที่   แบบที่ 3 Dr. William บอกว่าคนที่ถือบุหรี่แบบนี้มักจะเป็นคนมีความรู้ แบบที่ใช้สมองเป็นหลัก และมักมีลักษณะที่ช่างครุ่นคิด   แบบที่ 4 Dr. William บอกว่านี่เป็นลักษณะการถือบุหรี่ของคนที่ไว้ใจไม่ได้ อ่อนแอ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยยาก และขี้โกหกเป็นอย่างมาก  …

  • พบซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุด ในทะเลดำ เชื่อเป็นเรือค้าขายสินค้าของชาวกรีกโบราณ

    พบซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุด ในทะเลดำ เชื่อเป็นเรือค้าขายสินค้าของชาวกรีกโบราณ

    เคยสงสัยไหมว่าซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบมามันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการออกมาประกาศจากทางนักวิทยาศาสตร์แล้วว่า ซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการค้นพบนั้น อยู่ที่ทะเลดำนั่นเอง     นี่เป็นซากเรือเก่าแก่ของชาวกรีกโบราณ ที่มีอายุกว่า 2,400 ปี ซึ่งถูกค้นพบโดยทีมนักสำรวจ แองโกล-บัลแกเรีย และได้รับการบันทึกว่าเป็นซากเรืออับปางที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีสภาพครบถ้วนของโลก เรือลำนี้มีความยาวราวๆ 23 เมตร ที่เชื่อกันว่าเป็นเรือค้าขายสินค้าในสมัยก่อน จากสิ่งของที่พบบนเรือ และจากบริเวณที่มีการค้นพบเรือซึ่งมีประวัติศาสตร์เป็นเส้นทางการค้าสายสำคัญระหว่างยุโรปกับเอเชียอีกด้วย     การค้นพบในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการโบราณคดีทางทะเลของทะเลดำ” หรือ “MAP” ซึ่งเป็นปฏิบัติการค้นหาซากเรืออับปางในทะเลดำที่มีกำหนดการทำงานทั้งหมด 3 ปี โดยตลอดปฏิบัติการนี้ ทางโครงการได้ค้นพบซากเรืออับปางที่ทะเลดำมาแล้วกว่า 60 ลำ จากการใช้เทคโนโลยีโซนา บวกกับหุ่นยนต์สำรวจน้ำลึก   เรือที่พบมีลักษณะคล้ายคลึงกับเรือที่ปรากฏบนแจกันไซเรนอายุ 2,500 ปี ที่เคยมีการค้นพบก่อนหน้านี้   เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่เรือลำนี้ไม่ผุพังไปตามกาลเวลาเสียก่อนจะมาจากการที่สภาพของน้ำทะเลในบริเวณที่พบนั้นมีปริมาณออกซิเจนต่ำ จึงทำให้มีปริมาณแบคทีเรียและสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายต่อซากเรืออยู่น้อยตามไปด้วย จริงอยู่ว่าทางทีมงานได้มีการนำชิ้นส่วนซากเรือที่พบขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบอายุของเรือลำนี้ แต่ในปัจจุบันซากเรือที่พบก็ยังคงนอนอยู่ที่ก้นมหาสมุทรต่อไป เนื่องจากการจะเก็บกู้ซากเรือเก่าแก่แบบนี้ จำเป็นที่จะต้องให้ทุนทรัพย์ในปริมาณที่มากนั่นเอง   ที่มา history, bbc

  • “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ภาพแปลกจากศตวรรษที่ 19 ที่ถ่ายคนตายเหมือนยังมีชีวิต

    “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ภาพแปลกจากศตวรรษที่ 19 ที่ถ่ายคนตายเหมือนยังมีชีวิต

    การเอาศพคนตายมาถ่ายรูปกับครอบครัว อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ ในปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 19 การถ่ายรูปในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่การถ่ายภาพแบบนี้ยังเป็นที่นิยมกว่าที่คิดด้วย ที่เป็นเช่นนี้นั้นคาดว่าเป็นเพราะการถ่ายภาพในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ใช้เงินค่อนข้างสูง ในหลายๆ ครั้งคนจึงไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเลยทั้งชีวิต ทำให้ครอบครัวมักจะถ่ายรูปให้แก่คนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นเครื่องจดจำของคนที่จากไป     ภาพในรูปแบบนี้มักถูกเรียกกันว่า “Post-mortem Photography” หรือ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” และเชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกๆ ในปี 1839 โดยในช่วงแรกๆ การถ่ายภาพหลังจากชันสูตรศพ จะไม่มีการแต่งศพใดๆ เลยด้วย จริงอยู่ที่อาจจะมีการเปลี่ยนชุดอยู่บ้าง แต่จะไม่มีการแต่งหน้าศพแต่อย่างใด     เป็นไปได้ว่าที่การถ่ายรูปแบบนี้กลายเป็นที่นิยมขึ้นมาได้ง่าย มาจากการที่คนในสมัยก่อนมักจะตายกันที่บ้านมากกว่าที่โรงพยาบาล ทำให้พวกเขาสามารถเรียกช่างภาพมาถ่ายภาพได้ง่าย แถมยังสามารถจัดฉากหลังให้สวยงามได้ด้วย     อย่างไรก็ตามภาพถ่ายที่มีการแต่งหน้าและจัดท่าทางของศพนั้น เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อีกที โดยในช่วงนี้คนจะมีการจัดท่าทาง ตัดผม หรือแม้กระทั่งเปิดตาศพเพื่อให้เหมือนกับว่ายังมีชีวิตเลยทีเดียว     และก็เป็นในช่วงนี้เองที่มีภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก และท่าทางกับวิธีการจัดภาพของศพเองก็มีทั้งที่แปลกๆ และสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน     การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ค่อยๆ ได้รับความนิยมลดลงเรื่อยๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20…

  • เปิดประวัติ Henry Gunther ทหารอเมริกาคนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    เปิดประวัติ Henry Gunther ทหารอเมริกาคนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    ในตอนที่สัญญาสงบศึกถูกลงนามในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คำสั่งหยุดยิงใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมงที่จะไปถึงแนวรบทั่วทุกหนแห่ง ก่อนที่การฆ่าฟันจะจบลงจริงๆ และในช่วงเวลานี้สั้นๆ นี้เองก็ได้จบชีวิตทหารลงอีกราว 3,000 ราย Henry Gunther เองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่เรื่องราวของเขาอาจจะพิเศษหน่อย เพราะเขานั้นคือทหารสหรัฐอเมริกาคนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั่นเอง   Henry Gunther ทหารสหรัฐฯ คนสุดท้าย ที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   ที่จริงแล้วข่าวการลงนามในสัญญาสงบศึกเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่ทหารมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็มีทหารบางส่วนที่ตัดสินใจจะรบไปจนหยดสุดท้าย และจะหยุดการต่อสู้ต่อเมื่อ คำสั่งหยุดยิงมาถึงจริงๆ เท่านั้น และแน่นอนว่าหนึ่งในกองทหารที่ว่าก็คือกองทหารราบ 313 ที่ Henry Gunther อยู่ ซึ่งไปรบในการต่อสู้ที่ Meuse Argonne   ภาพการต่อสู้ที่ Meuse Argonne   เรื่องราวหลังจากนี้ไปจะถูกเล่าแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วคือกองทหารราบ 313 ถูกลอบโจมตี และยิงกดดันจนไม่สามารถเคลื่อนพลได้ ก่อนที่ Henry Gunther ตัดสินใจวิ่งผ่าดงกระสุนเข้าไปยังกองทหารเยอรมัน เขาโดยยิงเข้าที่ศีรษะจนเสียชีวิต ในเวลา 10.59 นาฬิกา เพียงแค่หนึ่งนาทีก่อนที่จะมีคำสั่งหยุดยิงจะมาถึง   ภาพค่ายกาชาดของสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่อสู้ Meuse Argonne…

  • พบซากเมืองกรีกโบราณเก่าแก่ ที่ชาวเมืองอ้างตัวว่าเป็น “นักโทษ” จากสงครามกรุงทรอย

    พบซากเมืองกรีกโบราณเก่าแก่ ที่ชาวเมืองอ้างตัวว่าเป็น “นักโทษ” จากสงครามกรุงทรอย

    สงครามกรุงทรอย หรือ “สงครามโทรจัน” เป็นตำนานจากสมัยก่อน ที่มีชาวกรีกโบราณจำนวนมากเชื่อมั่นว่าเคยมีการเกิดขึ้นมาจริงๆ  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีชาวกรีกโบราณที่อ้างตัวว่ามีความเกี่ยวข้องกับสงครามในครั้งนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง นักโบราณคดีได้ออกมาประกาศการค้นพบซากเมืองที่ชื่อ Tenea ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวกรีกโบราณซึ่งอ้างตัวว่าเคยเป็นนักโทษของสงครามโทรจันมาก่อนนั่นเอง     เมืองที่พบนี้เชื่อว่าน่าจะเคยถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาก่อนในช่วง 300 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 400 ในบรรดาสิ่งก่อสร้างที่พบยังมีสุสานโบราณซึ่งเก็บกระดูกของชายสองคน หญิงสาวห้าคน และเด็กอีกสองคน โดยพวกเขาถูกฝังไว้พร้อมๆ กับเครื่องประดับมีค่าอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในเครื่องประดับที่พบ ยังมีแหวนที่สลักรูปเทพเซราพิส ซึ่งมีบทบาททั้งในความเชื่อของกรีกและอียิปต์อีกด้วย   โครงกระดูกและเครื่องประดับที่มีการขุดพบ   ส่วนข้อมูลที่ว่าคนในเมือง Tenea อ้างตัวว่าเคยเป็นนักโทษของสงครามโทรจันมาก่อนนั้น มาจากบันทึกของพอซาเนียสนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 143-176 นั่นเอง แต่แม้ว่าเมือง Tenea จะเป็นเมืองที่น่าสนใจมาก แต่เมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ยงต่อไปอย่างยาวนานสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงศตวรรษที่ 4 พื้นที่ที่เมืองนี้ตั้งอยู่ก็ถูกโจมตีโดยชาวกอท ก่อนที่ชาวเมืองจะอพยพออกไปในเวลาต่อมา     อันที่จริงตำแหน่งคร่าวๆ ของเมือง Tenea นั้นถูกค้นพบครั้งแรกมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 แล้ว อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีไม่ได้มีตำแหน่งที่แน่นอนของเมืองแต่อย่างใด ทำให้การค้นพบเมืองในครั้งนี้ จัดว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก เพราะหลังจากที่มีการขุดค้นอย่างจริงจังกันมาตั้งแต่ปี 2016 ในที่สุดนักโบราณคดีก็สามารถค้นหาเมืองจนพบจนได้ และนักโบราณคดีก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการค้นพบนี้นั้นจะนำมาซึ่งข้อมูลเพิ่มเติมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนต่อไป…

  • “การสังหารหมู่หน้าโรงรถที่เคานัส” เหตุการณ์คนในชาติฆ่ากันเองที่ถูกลืม แห่งประเทศลิทัวเนีย

    “การสังหารหมู่หน้าโรงรถที่เคานัส” เหตุการณ์คนในชาติฆ่ากันเองที่ถูกลืม แห่งประเทศลิทัวเนีย

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซีเป็นต้นเหตุใช้ชาวยิวจำนวนมากต้องเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแล้วครั้งเล่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่เป็นที่รู้จักกันนั้นโดยมากแล้วจะเกิดขึ้นที่เยอรมนีเอง หรือไม่ก็ในประเทศโปแลนด์ จากชื่อเสียงของค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั้นยังเกิดขึ้นที่อื่นอีกหลายที่     และหนึ่งในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่มักจะถูกลืมก็เกิดขึ้นที่ประเทศลิทัวเนีย โดยนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 1941 หลังจากที่เยอรมนีบุกมาถึงประเทศลิทัวเนียนั่นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกเรียกด้วยชื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ลิทัวเนีย” “การสังหารหมู่หน้าโรงรถที่เคานัส” หรือ “Kaunas pogrom”     นี่เป็นการสังหารหมู่ที่ค่อนข้างแปลก เพราะเอาเข้าจริงๆ คนที่ลงมือสังหารชาวยิวนั้นแทบจะไม่ใช่ทหารนาซี แต่เป็นคนในประเทศด้วยกันเองต่างหาก เรื่องของเรื่องคือในลิทัวเนียเองมีประชาชนอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจการปกครองของทางโซเวียต ดังนั้นพวกเขาจึงอ้าแขนรับการมาของกองทัพนาซีอย่างเต็มที่ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากเข้าร่วมกับนาซี ประเทศของพวกเขาจะได้ปกครองตนเองเสียที     แน่นอนว่าการเข้าร่วมกับนาซีนั้น มาพร้อมกับวัฒนธรรมการเหยียดชาวยิว นั่นทำให้ในช่วงเวลานั้นชาวยิวในลิทัวเนียจำนวนมากต้องถูกสังหารไป และเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 25–29 มิถุนายน 1941 เพียงหนึ่งวันหลังจากที่นาซีเข้าปกครองลิทัวเนียนั่นเอง     โดยในช่วงนั้น ชาวยิวจะถูกเรียกมารวมตัวกันที่หน้าโรงรถในตอนบ่าย ก่อนที่บางส่วนจะถูกทุบตีจนตายด้วยพลั่ว แท่งเหล็ก หรือวิธีการโหดร้ายอื่นๆ โดยมีผู้ลงมือที่เป็นคนชาติเดียวกัน ท่ามกลางประชาชนที่มุงดูอยู่รอบๆ     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการบันทึกภาพและขั้นตอนแทบทั้งหมดไว้อย่างชัดเจน และกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ดำมืดที่สุดอันหนึ่งของประเทศไปเลย แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การเปิดม่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศเท่านั้น…

  • นักโบราณคดีเผย พบกองทัพทหารดินเผาคล้ายของของจิ๋นซี ที่ประเทศจีน อายุเก่าแก่ 2,100 ปี

    นักโบราณคดีเผย พบกองทัพทหารดินเผาคล้ายของของจิ๋นซี ที่ประเทศจีน อายุเก่าแก่ 2,100 ปี

    เมื่อพูดถึงกองทัพทหารดินเผาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงกองทัพทหารดินเผาที่พบในสุสานจิ๋นซี ฮ่องเต้ก่อนเป็นอย่างแรก แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้ นักโบราณคดีกลับพบกับกองทัพทหารดินเผาคล้ายของจิ๋นซี ฮ่องเต้อีกครั้งในหลุมเก่าแก่อายุ 2,100 ปีที่ประเทศจีน     โดยกองทัพทหารดินเผาที่พบในครั้งนี้นั้น มีขนาดที่เล็กกว่าของจิ๋นซี ฮ่องเต้ค่อนข้างมาก และมีทั้งทหารราบ ทหารม้า ข้าราชการ เรื่อยไปจนถึงตัวตลก และสิ่งก่อสร้างเลยด้วย ในบรรดาสิ่งที่พบ ของที่สูงที่สุดคือหอสังเกตการณ์ดินเผา ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 140 เซนติเมตรเท่านั้น ส่วนรูปปั้นดินเผาที่พบมากที่สุดได้แก่ทหารราบที่มีมากถึงราวๆ 300 คน     จากลักษณะงานฝีมือที่พบ ในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อว่ากองทัพทหารดินเผาจิ๋วเหล่านี้น่าจะถูกทำขึ้นราวๆ 100 ปีหลังจากกองทัพทหารดินเผาของจิ๋นซี ฮ่องเต้ โดยกองทัพทหารดินเผาที่พบน่าจะทำขึ้นให้แก่เจ้าชาย Liu Hong ผู้เป็นลูกชายของจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (141-87 ปีก่อนคริสตกาล) อีกที     นั่นหลายความว่าหากกองทัพทหารดินเผาเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อปกป้องเจ้าชาย Liu Hong ตัวสุสานเองก็น่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงแน่ๆ อย่างไรก็ตามจากคำบอกเล่าของนักโบราณคดี แม้สถานที่ที่พบทหารดินเผาจะมีทางเชื่อมไปยังตัวสุสาน แต่ทางที่ว่ากลับไม่สามารถใช้งานได้ และมีความเป็นไปได้สูงที่สุสานจะถูกทำลายไปแล้ว นั่นเพราะในช่วงปี 1960-1970 เคยมีการปรับที่ดินในบริเวณดังกล่าวไป เพื่อทำรางรถไฟนั่นเอง     แต่แม้จะมีความเป็นไปได้สูงว่าสุสานจะถูกทำลายไปแล้ว ลำพังการค้นพบทหารดินเผาจิ๋วเองก็นับเป็นการค้นพบที่มีค่ามากอยู่ดี…

  • ย้อนรอย “เกมเศรษฐี” กับเรื่องแปลกๆ ที่ยอดขายเกมจะเพิ่มขึ้น ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

    ย้อนรอย “เกมเศรษฐี” กับเรื่องแปลกๆ ที่ยอดขายเกมจะเพิ่มขึ้น ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

    เมื่อมีคนพูดถึงเกมที่ชื่อ “Monopoly” ชื่อว่าคงมีคนบางส่วนที่ยังงงๆ ว่าหมายถึงเกมอะไร แต่หากพูดถึง “เกมเศรษฐี” แล้วละก็ ชื่อว่าทุกๆ คนคงจะร้องอ๋อเลยทีเดียว     เกมเศรษฐี เป็นเกมกระดานที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1904 โดยความคิดของ Elizabeth J. Magie หญิงสาวชาวสหรัฐอเมริกา โดยเดิมทีแล้วมีชื่อว่า “Landlord’s Game” และกลายเป็นเกมที่มีคนรู้จักกันไปทั่วโลกในเวลาต่อมา ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วเกมเศรษฐี ไม่ได้โด่งดังเลยในตอนที่มันถูกคิดค้นขึ้นมา     ช่วงเวลาที่ทำให้เกมเศรษฐีกลายเป็นเกมกระดานชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จักนั้น มาจากเหตุการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ “Great Depression” ในช่วงยุค 1930 และก็ในช่วงนั้นเองที่บริษัท Parker Brothers ได้เข้าซื้อลิขสิทธิ์ของ Landlord’s Game และวางจำหน่ายในฐานะเกม Monopoly นั่นเอง     คงต้องบอกว่าความสำเร็จของเกมเศรษฐีในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่มีปัจจัยอยู่หลายข้อ แต่หนึ่งในนั้นคือการที่เกมเศรษฐีมีราคาที่พอจับต้องได้ในยามที่ประชาชนไม่มีเงินซื้อของฟุ่มเฟือยมากนัก และนอกจากจะราคาถูกแล้วเกมเศรษฐียังย้อนกลับมาเล่นได้เรื่อยๆ แถมยังเล่นได้ทุกเพศทุกวัย นำไปสู่ความโด่งดังในยุคที่ประชาชนมีเงินน้อยและความเครียดสูง จนไม่ค่อยอยากออกจากบ้านไป     อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เกมนี้โด่งดังค้างฟ้า น่าจะมาจาก…

  • ภาพหายาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กอดเด็กหญิงชาวยิว” ถูกประมูลไปในราคากว่า 380,000 บาท

    ภาพหายาก “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กอดเด็กหญิงชาวยิว” ถูกประมูลไปในราคากว่า 380,000 บาท

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่านาซีนั้นเกลียดชังชาวยิวขนาดไหน แต่ถึงแม้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะรังเกียจชาวยิวเพียงใด ชายคนนี้ก็ใช่ว่าจะเกลียดชาวยิวมาตั้งแต่แรก เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีภาพสุดหายากของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่กำลังกอดเด็กสาวความยิวคนหนึ่ง ออกประมูลขายที่รัฐแมริแลนด์ ของสหรัฐอเมริกาด้วย     นี่เป็นภาพที่มีการถ่ายเก็บเอาไว้ในปี 1933 ซึ่งเป็นช่วงที่นาซียังไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนี และเป็นภาพของเด็กผมสีบลอนด์ ที่มีชื่อว่า Rosa Bernile Nienau ซึ่งในเวลานั้นอายุได้ราวๆ หกขวบ โดยบนภาพนั้นมีการเขียนตัวอักษรด้วยหมึกสีน้ำเงินโดยฮิตเลอร์ว่า “Rosa Bernile Nienau อันเป็นที่รัก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มิวนิค 16 มิถุนายน 1933”     Rosa ที่เห็นในภาพนั้น เกิดในวันเดียวกับฮิตเลอร์ และมักถูกเรียกกันว่า “The Führer’s child” (เด็กของท่านผู้นำ) ในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของภาพนี้อยู่ที่ประวัติของ Rosa เองต่างหาก เพราะแม้ว่าเธอจะมีผมสีบลอนด์ที่คล้ายกับชาวอารยันตามแนวคิดของนาซี (ผมสีทองตาสีฟ้า) แต่เด็กสาวคนนี้จริงๆ แล้วเป็นชาวยิวต่างหาก Rosa นับเป็นลูกเสี้ยวยิวก็จริง แต่หากมองตามกฎหมายของนาซีในสมัยนั้นแล้ว เธอจะถือว่าเป็นชาวยิวเต็มตัวอยู่ดี…

  • สองอดีตผู้นำเขมรแดง ถูกตัดสินโทษจากคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว หลังเวลาผ่านมาเกือบ 40 ปี

    สองอดีตผู้นำเขมรแดง ถูกตัดสินโทษจากคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว หลังเวลาผ่านมาเกือบ 40 ปี

    ตั้งแต่วันที่เขมรแดงได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจามและชาวเวียดนามกว่า 1.7 ล้านคน ในกัมพูชา เมื่อช่วงปีคริสต์ศักราช 1975-1979 เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมาได้เกือบๆ 40 ปีแล้ว     แต่เมื่อล่าสุดนี้เองศาลพิเศษของสหประชาชาติ ได้เสร็จสิ้นกระบวนการยุติธรรม และได้มีคำตัดสินออกมาว่า 2 อดีตผู้นำเขมรแดง มีความผิดในกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อดีตผู้นำเขมรแดงทั้งสองคนนี้ได้แก่นาย นวน เจีย วัย 92 ปี ผู้ซึ่งมีอำนาจเป็นรองเพียงแค่ “พล พต” ผู้นำสูงสุดในสมัยนั้น และนาย เขียว สัมพัน วัย 87 ปี ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐนั่นเอง   นายเขียว สัมพัน (ซ้าย) และนายนวน เจีย (ขวา)   โดยนี่นับเป็นการตัดสินโทษที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากนานาชาติเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทำให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นถูกนับเป็นการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” อย่างเป็นทางการในที่สุด ทั้งนี้โทษที่ทั้งสองคนจะได้รับคือการจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเดิมทีแล้วทั้งคู่เคยถูกตัดสินโทษในลักษณะเดียวกันจากความผิดในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อปี 2014 มาแล้ว ทำให้นี่เป็นการโดนลงโทษจำคุกตลอดชีวิตของทั้งคู่    …

  • ย้อนรอย “อิวาน ชิโดเรนโก้” จากเด็กผู้เติบโตมากับศิลปะ สู่สไนเปอร์ที่เก่งที่สุดของโซเวียต

    ย้อนรอย “อิวาน ชิโดเรนโก้” จากเด็กผู้เติบโตมากับศิลปะ สู่สไนเปอร์ที่เก่งที่สุดของโซเวียต

    สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเหตุการณ์ความหายนะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก แต่ในขณะเดียวกันสงครามครั้งนี้ก็สร้างชื่อเสียงให้กับทหารหลายคนเช่นเดียวกัน จริงอยู่ว่าในสงครามโลกครั้งที่สองมีสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน แต่สำหรับทางโซเวียตแล้ว ที่สุดของมือสไนเปอร์ก็คงจะไม่พ้นอิวาน ชิโดเรนโก้นี่ล่ะ     อิวาน มิคาลโลวิช ชิโดเรนโก้ (Ivan Mikhaylovich Sidorenko) เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 1919 ในรัสเซีย และเติบโตมากับศิลปะแทบทั้งชีวิต เขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะเปนซา อิวานศึกษาด้านการวาดภาพอยู่ในมหาวิทยาลัยเรื่อยมา จนกระทั่งสงครามโลกเริ่มขึ้นในปี 1939 อิวานเข้าร่วมกองทัพและได้เข้าประจำการในหน่อยปืนครกในปี 1941 อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ผลงานที่ทำให้เขาเป็นตำนานเลย ชื่อเสียงของเขามาจากการที่เขาแบกปืนโมซิน-นากองท์ไปไล่ยิงทหารนาซี “ในเวลาว่าง” ต่างหาก โดยเขาจะสังหารศัตรูจากระยะไกล และเรียนรู้ที่จะฆ่าคนโดยไม่ให้มีใครเห็น     ผลงานในเวลาว่างของเขาโดนใจผู้บังคับบัญชามากจนเขาถูกย้ายจากหน่วยปืนครกไปเป็นครูฝึกสอนพลซุ่มยิงแทน และด้วยการฝึกสอน “ในสนามรบจริง” ของเขา จำนวนทหารนาซีที่เขาสังหารไปก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อิวานมีคติในการเป็นสไนเปอร์ว่า “หนึ่งนัดหนึ่งชีวิต” ซึ่งต่างจาก ลุดส์มิลา ปาฟลิเชนโก ยอดสไนเปอร์หญิงแห่งรัสเซียที่จะยิงทหารให้บาดเจ็บก่อนหนึ่งนายเพื่อล่อทหารคนอื่นๆ มา คำสอนของอิวานนั้นดีมากจนแม้แต่นักเรียนของเขาเองก็กลายเป็นนักล่าที่ทางนาซีหวาดกลัวไปเลย เพราะแม้ว่านาซีจะส่งสไนเปอร์จำนวนมากมาเพื่อต่อกรกับโซเวียต พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะนักเรียนของอิวานได้เลย     ในสงครามอิวานฝึกสไนเปอร์สุดโหดออกมากว่า 250 คน และภายในเวลาสามปีเขาก็สังหารทหารนาซีไปกว่า 500…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” ไม่ได้มีความโหดร้ายกว่ามนุษย์ทั่วไป อย่างที่เราเคยเชื่อ

    งานวิจัยใหม่ชี้ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” ไม่ได้มีความโหดร้ายกว่ามนุษย์ทั่วไป อย่างที่เราเคยเชื่อ

    มนุษย์สายพันธ์ุนีเอนเดอร์ธัล เป็นมนุษย์ต่างสายพันธ์ุกับมนุษย์ในปัจจุบัน และเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 30,000 ปีก่อน     เดิมทีแล้วนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลน่าจะมีความดุร้ายกว่าบรรพบุรุษมนุษย์มาก เนื่องจากกระดูก (โดยเฉพาะกะโหลก) ของนีเอนเดอร์ธัลที่มีการค้นพบมักจะมาพร้อมๆ กับการร่องรอยการบาดเจ็บอยู่เสมอ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่นักวิทยาศาสตร์ออกมาประกาศว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลไม่ได้ดุร้ายไปกว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เลย     เพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Tübingen ในเยอรมนี ตลอดช่วงปลายยุคหินเก่า (80,000 – 20,000 ปีก่อน) กะโหลกของบรรพบุรุษของมนุษย์นั้นก็มีร่องรอยการถูกทำร้ายพอๆ กับมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล นี่เป็นการทดลองโดยเปรียบเทียบฟอสซิลที่มีการค้นพบในช่วงปลายยุคหินเก่ากว่า 800 ชุด และอาศัยการเปรียบเทียบข้อมูลในหลายๆ ด้าน ทั้งรูปแบบการบาดเจ็บ เพศ อายุเมื่อตอนเสียชีวิต แต่ไม่ว่าจะด้านไหน อัตราการบาดเจ็บของทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย     เหตุผลที่เมื่อก่อนเรามองว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลมีความดุร้ายสูงนั้น น่าจะเป็นเพราะเราเอาข้อมูลของพวกเขาไปเปรียบเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสันนิษฐานว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลมีความดุร้ายสูงกว่าคนปัจจุบันมาก ทั้งที่หากลองเปรียบเทียบมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลกับบรรพบุรุษมนุษย์ในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนเลยว่า บรรพบุรุษมนุษย์ในช่วงนั้นเองก็มีความดุร้ายไม่ต่างจากมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลเลย     นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ว่าลักษณะการใช้ชีวิตของนีเอนเดอร์ธัลจะมาจากสภาพแวดล้อมในสมัยนั้น ซึ่งยากแก่การเอาตัวรอดมากกว่าที่จะมาจากอุปนิสัยจริงๆ นี่อาจจะเป็นงานวิจัยที่ทำให้เราเข้าใจมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลมากขึ้นก็เป็นได้ และอาจทำให้เราต้องตรวจสอบแนวคิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลในสมัยก่อนอีกครั้ง     และข้ออ้างที่ว่าความโหดร้ายของมนุษย์ในปัจจุบันบางส่วนมาจากการที่มีเชื้อสายของชาวนีเอนเดอร์ธัลนั้น อาจจะไม่ใช่ข้ออ้างที่ฟังขึ้นอีกต่อไปแล้ว   ที่มา history, nature, nature

  • พบภาพพระเยซูคริสต์โบราณอายุราว 1,500 ปี และมีรูปลักษณ์ต่างไปจากที่รู้จักกันในปัจจุบัน

    พบภาพพระเยซูคริสต์โบราณอายุราว 1,500 ปี และมีรูปลักษณ์ต่างไปจากที่รู้จักกันในปัจจุบัน

    ชายหนุ่มผมยาว ไว้หนวดเครา สีหน้าอ่อนโยน นี่คือภาพลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ และกลายเป็นลักษณะของพระองค์ที่คนปัจจุบันคุ้นเคยกันมากที่สุดไป     ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อน ภาพลักษณ์ของพระเยซูที่ถูกบันทึกไว้ ไม่ได้เหมือนกับที่เราคุ้นเคยกันเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองกลุ่มนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยไฮฟาในอิสราเอล ได้มีการค้นพบภาพวาดของพระเยซูที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,500 ปี ในซากสิ่งก่อสร้างจากสมัยไบเซนไทน์ ที่ทะเลทรายเนเกฟซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ   ตัวภาพถูกพบบริเวณลูกศร   แม้ว่าภาพที่พวกเขาพบจะเลือนรางไปมาก จนแทบจะเหลือเพียงลายเส้นสีแดงอ่อนๆ แต่ก็ยังมีรายละเอียดมากพอที่จะดูออกว่าเป็นรูปอะไรได้หากเพ่งมองให้ดีๆ โดยจากทำบอกเล่าของ Emma Maayan-Fanar หนึ่งในทีมนักโบราณคดีที่ไปพบรูป บวกกับภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลที่มี ดูเหมือนว่าภาพนี้จะเป็นภาพของพระเยซูในระหว่างพิธีศีลจุ่มนั่นเอง   ภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากร่องรอยที่พบ   และเรื่องที่น่าสนใจคือภาพของพระเยซูที่พวกเขาพบนั้นมีลักษณะเป็นชายผมสั้น ตาโต จมูกยาว แถมยังมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ซึ่งต่างไปจากภาพลักษณ์ของพระเยซูในปัจจุบันมาก โดย Emma ได้อธิบายภาพที่พบไว้ว่าในสมัยก่อนรูปร่างของพระเยซูนั้นมีการอธิบายไว้หลายรูปแบบตามงานศิลปะต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนมาเป็นแบบที่เราคุ้นเคยกันในช่วงศตวรรษที่ 6 อีกที   ภาพเปรียบเทียบร่องรอยที่พบกับภาพจำลองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่   ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะในพระคัมภีร์เองไม่ได้มีการอธิบายลักษณ์ของพระเยซูเอาไว้ก็เป็นได้ แต่แม้จะไม่ได้มีการอธิบายรูปลักษณ์ไว้ จากพระคัมภีร์บท 1 โครินธ์ 11:4 ก็ได้มีการบอกไว้ว่าถ้าผู้ชายไว้ผมยาวจะถือเป็นเรื่องน่าอาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าพระเยซูจริงๆ แล้วจะมีผมสั้นตามภาพที่มีการค้นพบ อย่างไรก็ตามหากพระองค์ปฏิบัติตามกฎหมายยิวแล้ว จะมีความเป็นไปได้สูงที่พระองค์จะไว้หนวดผิดกับภาพที่พบเช่นกัน   สถานที่ที่มีการค้นพบภาพดังกล่าว…

  • เผยข้อมูลการค้นพบ “เรือขนทาส” จากศตวรรษที่ 18 พร้อมเรื่องโหดร้ายของการค้ามนุษย์

    เผยข้อมูลการค้นพบ “เรือขนทาส” จากศตวรรษที่ 18 พร้อมเรื่องโหดร้ายของการค้ามนุษย์

    ด้วยความพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันการค้นพบสิ่งที่ไม่เคยมีการพบมาก่อนก็เริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน และสำหรับเมื่อไม่นานมานี้เองก็ได้มีการค้นพบซากเรือขนทาสที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นครั้งแรกด้วย     เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าในสมัยก่อนการใช้แรงงานทาสเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยู่บ่อยๆ ในแทบทุกสังคมของโลก และในยุโรปเองก็มีการใช้งานทาสกันเยอะมากจนต้องนำเข้าทาสจากแอฟริกาเลยทีเดียว โดยเรือที่ถูกพบในครั้งนี้มีชื่อว่า “São José-Paquete de Africa” มันเป็นเรือขนส่งขนาดเล็ก ซึ่งหนักราวๆ 340 ตันที่ออกเดินทางจากประเทศโมซัมบิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ในเดือนธันวาคม 1794 São José บรรทุกทาสมาเป็นจำนวน 543 คนบนเรือที่มีความยาวสูงสุดเพียง 40 เมตร โดยจะมีการล่ามโซ่เอาไว้เพื่อป้องกันการถูกขโมยเรือ และมีกำหนดการที่จะขายทาสทั้งหมดที่บราซิลต่อไป     แต่แทนที่จะได้ไปขายทาสที่บราซิล ในวันที่ 27 ของเดือนธันวาคม 1794 นั้นเอง เรือลำนี้ก็จมลงที่เคปทาวน์ของประเทศแอฟริกาใต้เสียก่อน จากการที่ตัวเรือแตกออกเป็นชิ้นๆ และสังหารทาสบนเรือไปกว่า 212 คน เชื่อกันว่าทาส 331 รายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์น่าจะถูกขายให้กับแอฟริกาใต้ที่ตอนนั้นอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ส่วนตัวเรือก็ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้มีการเก็บกู้ขึ้นมาแต่อย่างใด Jaco Boshoff นักโบราณคดีทางทะเลในพิพิธภัณฑ์ไอซิโกของเคปทาวน์เล่าว่า การขนส่งทาสนั้นจะทำโดยที่คำนวณไว้แล้วว่าจะมีคนตายในระหว่างการเดินทาง ดังนั้นพวกเขาจึงบรรทุกทาสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้     นั่นทำให้ในเรือน่าจะมีสภาพแออัดมากๆ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทาสเกือบครึ่งต้องเสียชีวิตด้วยก็เป็นได้ การค้นพบเรือ São José นั้นนับว่าเป็นการค้นพบที่มีคุณค่ามากเลยทีเดียว เพราะนอกจากข้อมูลการค้าขายทาสของตัวเรือเองแล้ว บนเรือ São…

  • ย้อนรอยแฟชั่นแปลกแห่งยุค 40 ที่ทำให้สาวๆ ตกแต่งทาสีขาตัวเอง ให้เหมือนใส่ถุงน่องอยู่

    ย้อนรอยแฟชั่นแปลกแห่งยุค 40 ที่ทำให้สาวๆ ตกแต่งทาสีขาตัวเอง ให้เหมือนใส่ถุงน่องอยู่

    ตั้งแต่ในอดีต คนเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองตามแฟชั่นได้ทันยุคทันสมัย นั่นทำให้ในหลายๆ ครั้งในประวัติศาสตร์ คนเราก็จะทำอะไรที่มันดูแปลกเหลือเกิน อย่างในสหรัฐอเมริกาช่วงยุค 1940 สาวๆ ก็มักจะทำตามแฟชั่น ด้วยการตกแต่งทาสีขาตัวเอง ให้เหมือนกับว่าใส่ถุงน่องอยู่นั่นเอง     เรื่องราวมันเกิดขึ้นในช่วงปี 1939 บริษัท DuPont ได้ทดลองทำการผลิตและวางจำหน่ายถุงน่องรุ่นใหม่ ที่ทำจากไนลอนในสหรัฐอเมริกา การวางจำหน่ายในครั้งนี้แม้ว่าจะมีปริมาณไม่มาก แต่มันเป็นการพัฒนาแฟชั่นในประเทศไปอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว เพราะในอดีตถุงน่องที่ทุกๆ คนรู้จักจะทำมาจากผ้าไหมเท่านั้น     นั่นทำให้ในปี 1940 ความต้องการของถุงน่องไนลอนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดที่ว่าแม้บริษัท DuPont จะเร่งการผลิตแบบสุดๆ พวกเขาก็ไม่อาจจะผลิตถุงน่องได้ทันตามความต้องการอยู่ดี หนึ่งในเหตุผลที่ถุงน่องขาดตลาดในสมัยนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ไนลอนถูกนำไปใช้ทำร่มชูชีพในสงครามก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การที่ถุงน่องขาดตลาดก็ทำให้สาวๆ ต้องหาอะไรมาทดแทน     สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุการนี้ คือสิ่งที่ถูกเรียกกันว่า “ถุงน่องน้ำ” โดยที่สาวๆ จะแต่งขาของตัวเองให้เหมือนกับเป็นถุงน่องมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเครื่องสำอาง หรือสีที่ตัวเองมี ไม่น่าเชื่อว่าแฟชั่นนี้จะกลายเป็นที่โด่งดังมากในเวลานั้น ถึงขั้นที่ว่ามีร้านที่รับวาดถุงน่องน้ำโผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีถุงน่องใหม่ๆ ออกขาย ร้านเหล่านี้ก็จะสรรหาวิธีวาดขาของสาวๆ ให้เหมือนกับถุงน่องลายนั้น     แฟชั่นอันนี้โด่งดังเรื่อยมาจนกระทั่งหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงในปี 1945 และไนลอนเริ่มกลับมาวางขายในตลาดอีกครั้ง…

  • 18 ภาพเด็กส่งจดหมายจากปี 1908-1917 ภาพสะท้อนการใช้แรงงานเด็กในต้นศควรรษที่ 20

    18 ภาพเด็กส่งจดหมายจากปี 1908-1917 ภาพสะท้อนการใช้แรงงานเด็กในต้นศควรรษที่ 20

    สำหรับคนที่ดูภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ อาจจะเคยสังเกตว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เด็กๆ มักจะไปทำงานเป็นคนส่งจดหมายกัน นี่อาจจะเป็นเพราะในบรรดางานที่เด็กๆ ถูกส่งไปทำในสมัยนั้น (เช่นฟาร์ม เหมือง หรือโรงงาน) การส่งคนส่งจดหมายอาจจะเป็นงานที่ดูทารุนน้อยที่สุดก็เป็นได้ ดังนั้นในช่วงปี 1908-1917 ที่สหรัฐฯ จึงมีเด็กแบบนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่า Lewis Hine นักสังคมวิทยาและช่างภาพ ได้ไปรวบรวมภาพของพวกเขามา เพื่อใช้อ้างอิงคุณภาพชีวิตของเด็กๆ เลยทีเดียว และนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานของเขา   เริ่มกันที่ George Christopher จากรัฐเทนเนสซี ผู้ทำงานเฉพาะกะกลางวันในปี 1910   Raymond Bykes เด็กชายวัย 14 ที่ทำงานถึงตี 1 ทุกวัน เมื่อปี 1911   Curtin Hines วัย 14 ปีที่มีโอกาสไปเรียน ทำงานตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม เมื่อปี 1913   Percy Neville อายุ 14 ปี ทำงานให้บริษัทหลายแห่ง…

  • ย้อนรอยโครงการอวกาศสหรัฐฯ กว่าจะไปถึงดวงจันทร์พวกเขาต้องเสียอะไรไปบ้าง

    ย้อนรอยโครงการอวกาศสหรัฐฯ กว่าจะไปถึงดวงจันทร์พวกเขาต้องเสียอะไรไปบ้าง

    การที่โครงการอะพอลโลสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้นั้น นับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่ากว่าที่ อะพอลโล 11 จะเกิดขึ้นได้นั้น โลกต้องเสียอะไรไปบ้าง     เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าในช่วงสงครามเย็นสหรัฐฯ กับโซเวียตแข่งขันกันในการเดินทางสู่อวกาศ แต่ทราบกันไหมว่าอีกหนึ่งในเหตุผลที่นาซาพยายามอย่างมากในการไปดวงจันทร์นั้น มาจากการที่พวกเขาอยากทำให้คำพูดของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีก่อนโดนลอบสังหารที่ว่าจะปล่อยจรวดให้ได้ก่อนหมดยุค 60 เป็นจริงนั่นเอง   จอห์น เอฟ. เคนเนดี เคยให้สัญญาไว้ในปี 1961 ว่าจะนำยานอวกาศที่ที่ดวงจันทร์ก่อนจบทศวรรษ   นั่นทำให้นาซาในเวลานั้นทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้โครงการอะพอลโลใกล้เคียงความจริงขึ้นมาอีกขั้น และนำไปสู่ความตายของนักบินอวกาศ และคนงานภาคพื้นดินเป็นจำนวนมาก โดยหากพูดถึงนักบินคนแรกที่ต้องสละชีวิตในสายงานนี้จะเป็น Howard C. Lilly ชายคนที่สี่ของโลกที่เคยบินด้วยความเร็วทะลุกำแพงเสียง โดยเขาเสียชีวิตจากการบินทดสอบเครื่อง D-558-1 ในปี 1948     และราวๆ หนึ่งเดือนต่อมาเอง การทดลองสร้าง “Flying Wing” ในปี 1952 เองก็จบลงด้วยความตายของนักบิน 5 คนเช่นกัน จริงอยู่ว่านั่นเป็นเรื่องก่อนที่จะมีการก่อตั้งนาซาขึ้นมาเสียอีก แต่ทีมงานหลายคนที่อยู่ในโครงการเหล่านี้ก็ถูกย้ายมาประจำการกับนาซาต่อไป   Glen W. Edwards (คนกลาง) หนึ่งในห้านักบินที่เสียชีวิตของ…

  • 6 การรักษาผิดๆ ในวงการแพทย์สมัยก่อน ที่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แถมจะทำให้มันแย่ลงด้วย

    6 การรักษาผิดๆ ในวงการแพทย์สมัยก่อน ที่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แถมจะทำให้มันแย่ลงด้วย

    ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวไกล คนเรามีแนวคิดความเชื่อแบบผิดๆ อยู่มากมาย ทั้งในการทำงาน ทานอาหาร ประเพณี และแน่นอนว่าการแพทย์ก็ด้วย จริงอยู่ว่าบ่อยครั้งแนวคิดและความเชื่อที่ผิดๆ อาจจะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนมากนัก แน่หากความเชื่อที่ว่าอยู่ในวงการแพทย์แล้ว เราคงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแนวคิดความเชื่อแบบผิดๆ อาจจะทำให้คนคนหนึ่งเสียชีวิตได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 6 การรักษาผิดๆ ในวงการแพทย์สมัยก่อน ที่ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แต่จะทำให้มันแย่ลงด้วย   เริ่มกันจาก การรีดเลือด ในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายเป็นพิษ การรีดเลือดออกจากร่างกายช่วยรักษาโรคจึงกลายเป็นที่แพร่หลายในช่วงนั้นไป โดยการรีดเลือดในสมัยนั้นอาจทำได้หลายวิธี ตั้งแต่ในปลิงดูด เรื่อยไปยันการเอามีดกรีดคนไข้กันตรงๆ เลย และในช่วงหนึ่งยังได้รับความนิยมสุดๆ จนต่างตัดผมมีบริการรีดเลือดเลยด้วย   การใช้มูลสัตว์ นี่เป็นการรักษาที่แพร่หลายในหลายๆ วัฒนธรรมทั่วโลก โดยพวกเขาเชื่อว่าจากเอามูลสัตว์มาชโลมแผลจะช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น ซึ่งก็ถือว่าแปลกเหมือนกันเพราะในอีกหลายๆ วัฒนธรรม มูลสัตว์นั่นถูกนำมาใช้เป็นอาวุธสงครามเลยแท้ๆ โดยวัฒนธรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้มูลสัตว์รักษาที่สุดแห่งหนึ่งก็คือประเทศอียิปต์นั่นเอง เพราะไม่เพียงแต่ใช้มูลสัตว์รักษาแผล แต่พวกเขาถึงกับใช้มูลจระเข้ในการคุมกำเนิดเลยด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ได้มีผลอย่างที่คิด ทั้งในด้านการคุมกำเนิด และการรักษาแผล แถมเผลอๆ เชื้อโรคในมูลสัตว์ยังจะทำให้แผลเน่าง่ายขึ้นเลยด้วย   การเจาะกะโหลก นี่เป็นอีกหนึ่งในการรักษาที่มีมาหลายยุคหลายสมัย และยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าเพราะอะไรคนโบราณถึงได้เชื่อกันสุดๆ ว่ามันช่วยรักษาโรคหรืออาการทางจิตได้ มีกะโหลกคนสมัยก่อนมากมายที่ถูกค้นพบว่ามีรูที่เกิดจากการเจาะกระดูก และในบรรดากะโหลกเหล่านั้น ก็มีอยู่หลายอันเลยที่มีร่องรอยว่าการเจาะกะโหลกนั่นล่ะที่ทำให้พวกเขาตาย   การใช้สารหนู ด้วยความที่สารหนูเป็นสารพิษที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ให้เห็นทันทีที่ใช้…

  • ย้อนรอย “บอบบี ฟิชเชอร์” ยอดนักแข่งหมากรุกอัจฉริยะ เจ้าของตำนาน “เกมแห่งศตวรรษ”

    ย้อนรอย “บอบบี ฟิชเชอร์” ยอดนักแข่งหมากรุกอัจฉริยะ เจ้าของตำนาน “เกมแห่งศตวรรษ”

    เคยได้ยินชื่อของโรเบิร์ต เจมส์ ฟิชเชอร์ หรือ “บอบบี ฟิชเชอร์” กันไหม? เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากภาพยนตร์เรื่อง “เดิมพันชาติ รุกฆาตโลก” (Pawn Sacrifice) ที่ฉายในปี 2015 กันมาบ้าง     เขาคือนักแข่งหมากรุกระดับแกรนด์มาสเตอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และว่ากันว่าเป็นหนึ่งในนักเล่นหมากรุกที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก เจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งหมากรุกระดับโลกในปี 1972 บอบบี ฟิชเชอร์เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1943 ในสหรัฐฯ และเริ่มเล่นหมากรุกตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ และเอาชนะ Donald Byrne หนึ่งในนักแข่งหมากรุกที่มีชื่อเสียงในปี 1956 เขาเอาชนะ Byrne ด้วยการสละควีนของตัวเอง จนทำให้เกมในวันนั้นกลายเป็น “เกมแห่งศตวรรษ” ที่นักเล่นหมากรุกระดับสูงทุกคนรู้จักไป   บอบบี ฟิชเชอร์ (ฝั่งดำ) สละควีนของเขา   บอบบีลาออกจากโรงเรียนในตอนที่อายุได้ 16 ปี และทุ่มเทชีวิตให้กับหมากรุก และกลายเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวในสมัยนั้นที่สามารถชนะการแข่งราวเดียว 11 เกมในการแข่งขันเมื่อปี 1964 เขาเก่งขนาดที่ว่าสามารถแข่งกับคู่แข่งพร้อมๆ กัน 50 คนได้…

  • “เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์” ลูกชายผู้ถูกลืมของไอน์สไตน์ ผู้ใช้ชีวิตกว่าครึ่งในโรงพยาบาลจิตเวช

    “เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์” ลูกชายผู้ถูกลืมของไอน์สไตน์ ผู้ใช้ชีวิตกว่าครึ่งในโรงพยาบาลจิตเวช

    ว่ากันว่ายิ่งผู้เป็นพ่อทำตำนานไว้ยิ่งใหญ่เพียงไหน การที่ลูกจะสานต่อตำนานมันก็จะยิ่งยากขึ้นไปตามนั้น นั่นทำให้ลูกหลานของคนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักจะถูกโลกใบนี้ลืมไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์”     เพราะในขณะที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กลายเป็นบุคคลที่แทบจะไม่มีใครในโลกที่ไม่รู้จัก เอดูอาร์ท ไอน์สไตน์ ลูกชายของเขากลับมักถูกลืมว่ามีตัวตนอยู่เสมอไป เอดูอาร์ท เกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1910 โดยเป็นลูกชายคนสุดท้อง ในบรรดาลูกๆ ทั้งสามคนของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับ มิเลวา มาริค ภรรยาคนแรกของเขา   เอดูอาร์ท กับพี่ชายของเขาฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์   ตั้งแต่ยังเด็ก เอดูอาร์ท เป็นคนที่ขี้โรคมาก จนแม้แต่ตอนที่อัลเบิร์ตหย่ากับมาริคไปแล้ว อัลเบิร์ตยังเคยเขียนจดหมายว่าเขาเป็นห่วงพัฒนาการของเอดูอาร์ทมากๆ ให้กับเพื่อนร่วมงานเลยทีเดียว น่าเศร้าที่ความกลัวของอัลเบิร์ตกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะแม้ว่าเอดูอาร์ทจะเติบโตขึ้นมาได้ก็ตาม แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคจิตเภทสคิซโซฟรีเนีย (Schizophrenia) ซึ่งเป็นโรคผิดปกติทางสมองเรื้อรังและร้ายแรง   มิเลวา มาริค และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์   เอดูอาร์ทต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวชอยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยวิธีการรักษาที่ค่อนข้างโหดร้ายกับผู้มีปัญหาทางจิตในสมัยนั้นก็ทำให้อาการของเขามีแต่จะเลวร้ายลง อัลเบิร์ตคาดว่าอาการของเอดูอาร์ทนั้นน่าจะมาจากพันธุกรรม และเขาก็รู้สึกโศกเศร้ากับอาการที่เอดูอาร์ทเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เอดูอาร์ทพยายามฆ่าตัวตายในปี 1930 แต่แล้วเรื่องราวก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อในปี 1933 การมาของพรรคนาซีในเยอรมนีก็ทำให้ชาวยิวในยุโรปจำนวนมากเลือกที่จะหนีไปยังสหรัฐอเมริกา  …

  • ฟังบันทึกเสียงในวันที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง เมื่อเสียงปืนใหญ่ หยุดลงในเวลาไม่ถึงนาที

    ฟังบันทึกเสียงในวันที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง เมื่อเสียงปืนใหญ่ หยุดลงในเวลาไม่ถึงนาที

    ว่ากันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่แนวรบใกล้ๆ แม่น้ำโมแซลล์ ซึ่งไหลผ่านทั้งประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี เอกสารที่แจ้งว่าสงครามได้จบลงแล้วนั้นถูกส่งมาถึงในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 ในเวลา 11 นาฬิกา ตามปกติแล้วเมื่อคำสั่งหยุดยิงมาถึง ในสงครามย่อมต้องมีการเหลื่อมล้ำทางเวลา แต่เชื่อหรือไม่ว่าในแนวรบแห่งนี้ เสียงปืนทั้งหมด หยุดลงในไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ     อย่างที่เราทราบกันดีว่า 11 พฤศจิกายน 2018 เป็นปีที่มีการฉลองครบรอบ 100 ปีการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้มีการจัดพิธีรำลึกขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยหนึ่งในสิ่งที่นำมาจัดแสดงในวันนี้เองก็เป็นบันทึกเสียงในตอนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลง จากพิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum ที่ลอนดอนนั่นเอง     นี่เป็นบันทึกเสียงความยาวราวๆ 1 นาทีที่บันทึกเสียงปืนใหญ่ของทหารสหรัฐอเมริกาเอาไว้ ในช่วงเวลาที่เอกสารแจ้งการจบลงของสงครามมาถึงแนวรบพอดี โดยเป็นการบันทึกเสียงด้วยเทคนิค “Coda to Coda” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของอากาศนั่นเอง   บันทึกเสียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ว่าจากเว็บไซต์ Metro    ไม่น่าเชื่อเลยว่าแทบจะทันทีที่สงครามจบลงเสียงของปืนใหญ่ในบริเวณก็หายไปในทันที เหลือเอาไว้เพียงแค่เสียงนกร้องเบาๆ ในฉากหลังเท่านั้น บันทึกเสียงนี้สร้างความตื้นตันใจให้คนที่มีโอกาสได้ฟังมาก ถึงขนาดที่ว่ามีหลายคนที่ฟังบันทึกเสียงนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานานเลยทีเดียว     ไม่แน่ว่านี้อาจจะเป็นเสียงที่สะท้อนมาจากจิตใจของผู้ที่เข้าร่วมสงครามในสมัยนั้น ที่อยากจะให้การต่อสู้ที่นำมาเพียงแต่ความสูญเสียนี้ จบลงเร็วขึ้นแม้เพียงวินาทีเดียวก็เป็นได้  …

  • 30 ภาพสาวงามในช่วงปี 1930-1950 มาดูกันว่าในอดีต มีสาวแบบไหนถูกเก็บภาพไว้บ้าง

    30 ภาพสาวงามในช่วงปี 1930-1950 มาดูกันว่าในอดีต มีสาวแบบไหนถูกเก็บภาพไว้บ้าง

    ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน ความงามก็เป็นสิ่งที่ผู้คนสนใจอยากชื่นชม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ตลอดชีวิตการทำงานของ Murray Korman ช่างภาพในนิวยอร์กจะเก็บภาพของสาวงามไว้กว่า 450,000 ภาพ ตลอดช่วงปี 1930-1950 เขาได้สะสมผลงานภาพของสาวงาม จนกลายเป็นแหล่งรวมภาพสาวงามในอดีตที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งไป ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาดูภาพความงามของสาวๆ ในผลงานของ Murray Korman มาดูกันดีกว่าว่าในช่วงปี 1930-1950 มีสาวงามแบบไหน ถูกเก็บภาพไว้ให้โลกจดจำบ้าง   เริ่มกันที่ภาพของ Beverly Younger จากช่วงปี 1945   Gregg Sherwood จากเมื่อปี 1978   Kay Dolan จากปี 1939   Irmgard จากปี 1953   Nona Montez จากปี 1939   Heloise Martin เมื่อปี 1936   Valentine Arnaut จากปี 1935   Mary Mile…

  • รวม 9 ตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงจากช่วง “ยุคทองของอนิเมชั่น” เมื่อปี 1920-1960

    รวม 9 ตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงจากช่วง “ยุคทองของอนิเมชั่น” เมื่อปี 1920-1960

    ช่วงปี 20-60 นับว่าเป็นช่วงยุคทองของอนิเมชั่นเลยก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นช่วงที่มีตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผลงานของวอลต์ดิสนีย์ หรือ MGM เชื่อว่าแต่ละคนน่าจะมีตัวละครโปรดในยุคนี้สักตัวสองตัวแน่ๆ ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้รวบรวมตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงจากในช่วงยุคนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน แต่จะมีตัวอะไรบ้าง หรือมีตัวที่เพื่อนๆ ไม่รู้จักรึเปล่าก็คงต้องให้ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้ อนึ่ง: ตัวละครที่นำมาจะเป็นตัวละครออริจินอล ดังนั้นจะไม่รวมตัวละครที่มีที่มาจากในนิทานอย่าง พินอคคิโอหรือสโนว์ไวท์   เริ่มกันจาก มิกกี้ เมาส์ เราคงจะพูดถึงยุคทองของอนิเมชั่นไม่ได้หากไม่พูดถึง “มิกกี้ เมาส์” เพราะนี่เป็นการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆ ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ โดยตัวเอกของเรื่องก็มีชื่อว่า มิกกี้ เมาส์ เลยนั่นล่ะ มันมีลักษณะเป็นหนูสีดำ สวมกางเกงสีแดง ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1928 และกลายเป็นหนึ่งในตำนานของวอลต์ดิสนีย์ไป   บักส์ บันนี เจ้ากระต่ายสีเทาตัวนี้เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในลูนีย์ทูนส์ และปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1940 และโผล่ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ในปัจจุบัน ส่วนค่ายที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เจ้ากระต่ายตัวนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือวอร์เนอร์บราเธอส์ บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของเรานั่นเอง   ทวิตตี้ อีกหนึ่งในตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงของลูนีย์ทูนส์ ที่ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในปี 1942 โดยมันเป็นนก (ถึงจะดูเหมือนเป็ดก็เถอะ) สีเหลือง (ที่ตอนแรกๆ…

  • 5 การศึกษาทางการแพทย์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ แถมยังมีเหตุมีผลสุดๆ เลยด้วย

    5 การศึกษาทางการแพทย์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ แถมยังมีเหตุมีผลสุดๆ เลยด้วย

    กว่าที่การแพทย์ของมนุษย์จะก้าวหน้ามาได้แบบปัจจุบัน มนุษย์เราก็ผ่านการศึกษาทางการแพทย์มามากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาสรีระในสมัยก่อน หรือแม้กระทั่งการทดลองกับมนุษย์ในช่วงสงคราม แต่ถึงแม้ว่าการแพทย์ของมนุษย์จะพัฒนามากขึ้นทุกวันนี้แล้ว คนเราก็ยังไม่หยุดที่จะศึกษาเพิ่มเติม แถมการศึกษาบางอย่างยังฟังดูแปลกแบบสุดๆ เลยด้วย เหมือนอย่าง 5 การศึกษาสุดแปลกต่อไปนี้   เริ่มกันที่การทดลองที่ให้คนดื่มเหล้าจนเมาของวารสาร Human Factors นี่เป็นการทดลองที่ทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการขับขี่ของคนสี่กลุ่มในปี 2006 โดยกลุ่มที่หนึ่งจะถูกเชิญไปดื่มค็อกเทลจนเมาเละเทะ กลุ่มที่สองจะถูกสั่งให้ใช้มือถือโทรศัพท์คุยไปด้วยระหว่างขับรถ กลุ่มที่สามให้ใช้สมอลทอร์คคุยโทรศัพท์ไปด้วยระหว่างขับรถ และกลุ่มที่สี่เป็นคนปกติ แน่นอนว่าผลที่ออกมาของสามกลุ่มแรกนั้นเละเทะสุดๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าการใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนเมาเสียอีก โดยการใช้โทรศัพท์แบบใช้มือถือ ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า   การศึกษาอาการแพ้ถั่วบราซิลผ่านน้ำอสุจิ เรื่องของเรื่องคือมีผู้หญิงที่แพ้ถั่วบราซิลคนหนึ่งเกิดอาการแพ้ถั่วหลังจากมีเซ็กซ์กับแฟนที่กินถั่วบราซิลมา ทั้งๆ ที่เขาทั้งอาบน้ำและแปรงฟันมาแล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมีอาการแพ้ จนเกิดเป็นการทดลองขึ้น โดยในการทดลองนี้แพทย์ได้ฉีดน้ำอสุจิของแฟนที่กินถั่วบราซิลไปได้ 4 ชั่วโมงลงไปที่ผิวของเธอ และพบว่าว่าการแพ้ของหญิงสาวนั้นสามารถเกิดจากโปรตีนของถั่วบราซิลที่อยู่ในน้ำอสุจิได้ด้วย   การทดลองกำลังแขนของศพ นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นในปี 2015 เพื่อพิสูจน์แนวคิดที่ว่าการที่มือมนุษย์ต่างไปจากลิง (ฝ่ามือและนิ้วสี่นิ้วสั้นกว่าลิง แต่มีนิ้วโป้งยาวกว่า) ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่เพื่อใช้เครื่องมือ แต่เพื่อการต่อสู้ด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้แรงของกล้ามเนื้อเข้ามาเป็นตัวแปร นักวิทยาศาสตร์จึงใช้แขนที่ตัดมาจากศพในการทดลองนั่นเอง โดยผลการทดลองพบว่าการกำมือโจมตีของมนุษย์ทำให้เกิดแรงกระแทกมากกว่าการแบมือถึง 2 เท่า ซึ่งหมายความว่าการที่มนุษย์มีมือต่างไปจากลิง มีส่วนช่วยในการต่อสู้จริงๆ   การทดลองที่ให้คนดื่มเลือดตัวเอง การทดลองนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแวมไพร์ หรือโรคแวมไพร์…

  • ย้อนรอย โครงกระดูกจูบกัน อายุ 2,800 ปี ความรักเหนือความตาย ที่มีเรื่องราวมากกว่าที่คุณคิด

    ย้อนรอย โครงกระดูกจูบกัน อายุ 2,800 ปี ความรักเหนือความตาย ที่มีเรื่องราวมากกว่าที่คุณคิด

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Hasanlu Lovers” กันมาก่อนไหม? มันเป็นชื่อของโครงกระดูกสองร่างที่ถูกพบในปี 1972 ที่แหล่งโบราณคดี Teppe Hasanlu ในประเทศอิหร่าน และมีลักษณะพิเศษอยู่ที่ทั้งคู่นั้นตายไปโดยที่กำลังกอดจูบกัน     Hasanlu Lovers ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย โดยคาดกันว่ามีอายุถึง 2,800 ปี และถูกมองมาเป็นตัวอย่างที่ดีของ “ความรักเหนือความตาย” เลยทีเดียว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของ Hasanlu Lovers นั้นมีอะไรมากกว่านั้น เพราะจากหลักฐานทางโบราณคดีดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเป็นจะเป็นชาวเมือง Teppe Hasanlu ที่เสียชีวิตในช่วงที่เมืองกำลังจะล่มสลาย     เป็นไปได้ว่าผู้ที่ทำลายเมืองดังกล่าวจะเป็นกองทัพของอาณาจักร Urartu (ชาวอาร์มีเนียในปัจจุบัน) และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล โดยนอกจากร่างของ Hasanlu Lovers แล้ว ในพื้นที่เมืองแห่งนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกของชาวเมืองที่ถูกสังหารอีกเป็นจำนวนมากอีกด้วย     เท่านั้นยังไม่พอ เรื่องที่ว่าทั้งคู่เป็นคนรักกันจริงๆ หรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่มีการตั้งข้อสงสัยอยู่เช่นกัน เพราะจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าโครงกระดูกร่างหนึ่งของ Hasanlu Lovers นั้นจะเป็นของผู้ชายอายุราวๆ 18-22 ปี แต่อีกร่างหนึ่งกลับไม่สามารถระบุเพศได้ และมีอายุอยู่ในช่วง 30-35…

  • พบมัมมี่แมวจำนวนมากในสุสานที่กรุงไคโร เชื่ออาจมีอายุได้ถึง 6,000 ปี

    พบมัมมี่แมวจำนวนมากในสุสานที่กรุงไคโร เชื่ออาจมีอายุได้ถึง 6,000 ปี

    เรื่องที่ว่าคนอียิปต์ในสมัยก่อนรักแมวมากขนาดไหนนั้น เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เพราะฮอรอโดทัส บิดาแห่งประวัติศาสตร์ยังเคยบอกเลยว่า หากไฟไหม้บ้านที่อียิปต์ สิ่งแรกที่คนจะทำคือวิ่งเข้าไปช่วยแมวออกมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ออกมาบอกว่านักโบราณคดีของพวกเขาได้ค้นพบสุสานแมวขนาดใหญ่เข้า     โดยมีการค้นพบมัมมี่แมวจำนวนมาก พร้อมๆ รูปปั้นแมว ด้วงโบราณ และรูปปั้นเทพบาเตส (ซึ่งก็มีศีรษะเป็นแมว) ในสุสานโบราณที่เพิ่งมีการค้นพบในกรุงไคโร จากข้อมูลของสื่อต่างประเทศ มัมมี่เหล่านี้อาจมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 6,000 ปี และน่าจะเป็นแมวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองเมมฟิส อดีตเมืองหลวงในสมัยอียิปต์โบราณ   ด้วงโบราณที่มีการค้นพบพร้อมๆ กับมัมมี่แมว   การที่มีแมวถูกฝังเป็นมัมมี่มากมายขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าจะมาจากความเชื่อของคนอียิปต์โบราณ ที่ว่าแมวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเทพบาสเต็ท เทพีแห่งความสง่างาม สงบนิ่ง และความสมดุลนั่นเอง ว่ากันตามตรงพวกเขานับถือแมวกันสุดๆ จนมีกฎหมายว่าใครทำแมวตายจะต้องโดนประหารเลยด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียสามารถเอาชนะอียิปต์ ด้วยการเอาแมวมาผูกกับโล่ จนทหารอียิปต์ไม่กล้าต่อสู้     นั่นทำให้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีการขุดพบโบราณวัตถุ หรือแม้กระทั่งมัมมี่ของแมวอยู่หลายครั้ง และแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่การค้นพบมัมมี่แมวโบราณพร้อมกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่ดี       ที่มา washingtonpost, theguardian และ skynews

  • 24 ภาพสุนัขในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ดูแล้วจะเชื่อว่านี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จริงๆ

    24 ภาพสุนัขในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ดูแล้วจะเชื่อว่านี่คือเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จริงๆ

    ว่ากันว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเสมอตั้งแต่ในอดีต พวกมันร่วมทุกข์รวมสุขกับเรา และพร้อมที่จะตามเจ้าของไปในทุกที่ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะลำบากหรืออันตรายเพียงใด และแน่นอนว่าแม้แต่ในสงครามเองก็ไม่เว้น ไม่เชื่อก็ลองดูภาพสุนัขในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้ดูสิ แล้วจะเชื่อว่า สุนัขนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จริงๆ   เริ่มกันจากสุนัขที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามอย่างสิบเอก Stubby สุนัขที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   “สุนัขสงคราม” เป็นคำที่มักใช้เรียกสุนัขเหล่านี้   สิบเอก Jiggs สุนัขบูลล์ด็อกของทหารสหรัฐฯ   ทหารเบลเยียมเอาหมวกของทหารเยอรมันใส่ให้สุนัขในปี 1914 หลังจากที่มันถูกใช้ในการขนกระสุนปืนใหญ่   ภาพของทหารกับสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรีย หนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในการนำไปฝึกสุนัขสงคราม   สุนัขสงครามของเยอรมัน ถ่ายรูปพร้อมหมวก แว่น และกล้องส่องทางไกล   ในสงครามโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่เหมาะกับเป็นสุนัขส่งสารมากที่สุดเลยก็ว่าได้   บ่อยครั้งที่สุนัขพวกนี้จะได้รับปลอกคอแบบพิเศษ สำหรับใส่ข้อความที่จะส่งข้ามสนามรบ   ในบางเวลาสุนัขก็ต้องข้ามเครื่องกีดขวางในสนามรบ อย่างรั้วหนามเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ   โดยมากแล้วสุนัขสงครามจะถูกใช้ในการขนส่งเป็นหลัก ไม่ว่าจะจดหมาย หรือแม้แต่กระสุนปืน   พวกมันถูกฝึกมาไม่ให้ตื่นกลัว แม้พบกับเสียงปืน   เชื่อกันว่าหลายๆ ชัยชนะในสงครามนั้น เกิดจากการส่งข้อความของสุนัข   แถมในตอนที่ไม่ได้ทำภารกิจ พวกมันยังทำหน้าที่จับหนูให้ทหารอีกด้วย…

  • พบภาพวาดสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด เป็นภาพ “วัวสีแดง” อายุราวๆ 40,000 ปี อยู่ที่เกาะบอร์เนียว

    พบภาพวาดสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด เป็นภาพ “วัวสีแดง” อายุราวๆ 40,000 ปี อยู่ที่เกาะบอร์เนียว

    ภาพวาดสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น เดิมทีแล้วเชื่อกันว่าเป็นภาพที่มีการค้นพบที่ถ้ำในฝรั่งเศส และสเปน จนกระทั่งมีการค้นพบภาพวาดที่เกาะบอร์เนียว ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุราวๆ 40,000 ปีเลยทีเดียว     เกาะบอร์เนียวนั้นอยู่ในการปกครองของประเทศที่ต่างกันถึงสามประเทศได้แก่ประเทศบรูไน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้นั้นเป็นของนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัย Griffith จากออสเตรเลียต่างหาก โดยนี่เป็นภาพของสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่มีรูปร่างคล้ายกับวัวที่มีสีแดง ทำให้นอกจากนี่จะเป็นภาพสัตว์ที่เก่าแก่ของมนุษย์แล้ว ภาพที่พบนี้ยังเป็นภาพสัตว์จากจินตนาการภาพแรกๆ ของมนุษย์อีกด้วย   ทางเข้าถ้ำที่มีการค้นพบรูปนี้   อันที่จริงแล้วภาพที่ว่านี้ถูกพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 1994 แล้ว อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะสามารถไขปริศนาอายุของภาพวาดที่พบได้เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยวิธีการวัดอายุที่นักวิทยาศาสตร์ให้ในการหาอายุของภาพนี้นั้น เกี่ยวข้องกับการหาการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีอีกที โดยอาศัยน้ำฝนที่เจือปนธาตุยูเรเนียมเล็กน้อยเป็นตัวชี้วัด เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เป็นผู้วาดภาพบนผนังนี้ขึ้นน่าจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่ถ้ำนี้ในช่วงยุคน้ำแข็ง และวาดภาพวัวสีแดงตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่อาจทราบได้ว่าภาพดังกล่าวถูกวาดขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งหนุ่มกลุ่มแรกที่รู้จักการวาดภาพสัตว์กลับมาเป็นของฝั่งเอเชียอีกครั้ง หลังจากตกไปอยู่ที่บรรพบุรุษของชาวยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตำแหน่งของภาพวาดแอบสแตรคท์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในปัจจุบันเป็นของภาพเครื่องหมายแฮชแท็กอายุ 73,000 ปีของแอฟริกานั่นเอง   ภาพเครื่องหมายแฮชแท็กอายุ 73,000 ปี ที่ถูกพบในแอฟริกา   โดยในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีได้วางแผนที่จะขุดค้นถ้ำที่มีการค้นพบภาพสัตว์ดังกล่าวอีกครั้ง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการค้นพบภาพโบราณเพิ่มเติม หรือไม่ก็หลักฐานใดๆ ที่ให้ข้อมูลของผู้ที่วาดภาพนี้ต่อไป   ที่มา cbsnews, livescience, theguardian

  • ย้อนรอย “Joachim Ronneberg” กับวีรกรรมขัดขวางการทำระเบิดปรมาณูของนาซี

    ย้อนรอย “Joachim Ronneberg” กับวีรกรรมขัดขวางการทำระเบิดปรมาณูของนาซี

    เคยได้ยินเรื่องราวของ Joachim Holmboe Ronneberg กันไหม? เขาคือหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน 8 คนของกองทัพนอร์เวย์ที่บุกเข้าไปขัดขวางแผนการทำระเบิดปรมาณูของกองทัพนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูเหมือนพล็อตหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ สักเรื่องหนึ่งไม่มีผิด แต่เชื่อไหมว่าเขาคนนี้มีตัวตนอยู่จริง และการขัดขวางแผนการทำระเบิดปรมาณูที่ว่าก็เกิดขึ้นจริงๆ ด้วย     เรื่องของเรื่องคือในช่วงปี 1943 ทางนาซีได้เข้าใกล้ความสำเร็จในการทำอาวุธปรมาณูมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และการทดลองที่ว่านั่นก็จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมวลหนักเป็นส่วนประกอบสำคัญเสียด้วย นั่นทำให้โรงงานที่สามารถผลิตน้ำมวลหนักอย่างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Vemork ในนอร์เวย์ กลายเป็นโรงงานสำคัญในการผลิตระเบิดปรมาณูของนาซีไป และกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของฝั่งสัมพันธมิตรมาเป็นเวลานาน     ปัญหาคือเจ้าโรงไฟฟ้าพลังน้ำนี้มีการป้องกันที่ดีมากจนการโจมตีทางอากาศแทบไม่มีผล แถมทหารที่อังกฤษส่งมาเพื่อทำลายที่นี่โดยเฉพาะก็ดันทำงานพลาดอีก แต่แล้วในตอนนั้นเอง Joachim Ronneberg ที่ในเวลานั้นอายุได้เพียง 23 ปีก็ได้รับการอนุญาตจาก Winston Churchill ให้นำทหาร 8 คน เข้าทำการจู่โจมโรงไฟฟ้าดังกล่าว นี่คือ “ปฏิบัติการกันเนอร์ไซด์” ปฏิบัติการที่ทำให้ Ronneberg กลายเป็นตำนานของประเทศนอร์เวย์ไป     จริงอยู่ที่ว่าปฏิบัติการนี้ดูยังไงก็เป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่ Ronneberg และผองเพื่อนก็ตัดสินใจที่จะทำมันอยู่ดี พวกเขากระโดดร่มเข้าไปในพื้นที่ ใช้สกีเดินทางข้ามพื้นที่อันหนาวจัด จนในที่สุดก็มาถึงโรงไฟฟ้าจนได้ พวกเขารีบวางระเบิดที่โรงไฟฟ้าทันทีหลังจากนั้น และด้วยความเร็วของพวกเขานั้น กว่าที่ทหารนาซีในพื้นที่จะรู้ตัว ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว   โรงงานที่สามารถผลิตน้ำมวลหนัก Vemork ในปัจจุบันได้ถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว…

  • งานวิจัย DNA พบ ชาวเปรูโบราณวิวัฒนาการหัวใจ เพื่อใช้ชีวิตบนเทือกเขาแอนดีส

    งานวิจัย DNA พบ ชาวเปรูโบราณวิวัฒนาการหัวใจ เพื่อใช้ชีวิตบนเทือกเขาแอนดีส

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าการอาศัยอยู่บนภูเขาสูงที่มีอากาศเบาบางนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากสำหรับมนุษย์ขนาดไหน แต่สำหรับชาวเปรูโบราณแล้ว การอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆ อย่างหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แม้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าชาวเปรูขึ้นไปอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสเพราะอะไร แต่นักโบราณคดีก็พบหลักฐานที่ว่าพวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดีสครั้งแรกเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อนเลยทีเดียว     และแน่นอนว่าเมื่อขึ้นไปอยู่ข้างบนนานขนาดนั้น ร่างกายของมนุษย์ก็ย่อมเริ่มที่จะมีการปรับตัวเป็นธรรมดา ซึ่งสำหรับชาวเปรูแล้ว การปรับตัวของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 7,000 ปีที่แล้ว โดยจากการตรวจสอบ DNA ของคนในพื้นที่ และนำไปเปรียบเทียบกับ DNA ของคนเปรูในสมัยก่อนที่เคยมีการค้นพบก่อนหน้า ดูเหมือนว่าชาวเปรูในสมัยก่อนจะพัฒนาหัวใจให้ใหญ่กว่าคนทั่วๆ ไปขึ้นมา     นั่นทำให้ความดันโลหิตของพวกเขาค่อนข้างสูง จนง่ายต่อการอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงๆ ที่มีออกซิเจนน้อยกว่าปกติไป นอกจากนี้ DNA ของชาวเปรูที่อาศัยในพื้นที่สูงๆ ของเทือกเขาแอนดีสเอง ยังมีความแตกต่างจากคนที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่าในหลายๆ แห่งเลยด้วย   เป็นไปได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของ DNA เหล่านี้จะมาจากการที่ชาวเปรูบนเขา เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นการเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงชีพก็เป็นได้ นั่นเพราะกลุ่มคนที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่านั้น ยังคงรักษาวิถีชีวิตของการล่าสัตว์และเก็บของป่าไปอีกค่อนข้างนานเลย ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าชาวเปรูในสมัยก่อนน่าจะแยกตัวออกเป็นกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่สูงกับกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่ต่ำกว่าอย่างสมบูรณ์เมื่อราวๆ 8,750 ปีก่อน และอาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีสตั้งแต่ตอนนั้นมา     ตัวเลขที่ออกมานี้แสดงให้เห็นว่าชาวเปรูน่าจะมีการแยกตัวเร็วกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้พอสมควรเลยด้วย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบว่ามนุษย์มีการปรับแต่ง DNA เพื่อให้เข้ากับลักษณะพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็ตาม แต่การค้นพบนี้ก็ช่วยให้เราเข้าใจถึงการปรับตัวของมนุษย์ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน   ที่มา livescience, newsbeezer

  • 5 การฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ อะไรกันที่ทำให้คนเลือกจบชีวิตของตัวเอง

    5 การฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ อะไรกันที่ทำให้คนเลือกจบชีวิตของตัวเอง

    ในเวลาที่ชีวิตขมขื่นจนถึงขีดสุด คนหลายคนก็มักเลือกจะจะจบชีวิตของตัวเองไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น จริงอยู่ว่าการฆ่าตัวตายนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทางออกที่ไม่ดีเท่าไหร่ในสังคม และเป็นบาปมหันต์ในบางศาสนา แต่ในบางครั้งการฆ่าตัวตายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะไปตัดสินก็เป็นได้ บางครั้งเหตุผลที่คนคนหนึ่งจะฆ่าตัวตายนั้นอาจจะซับซ้อนกว่าที่เราคิด ดังนั้นในวันนี้เราจะลองไปชม 5 การฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปดูกันว่าการฆ่าตัวตายที่คนรู้จักกันในอดีตนั้นมีที่เบื้องหลังแบบไหนกัน   เริ่มกันที่การฆ่าตัวตายของ Robin Williams Robin Williams เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลออสการ์ และมีชื่อเสียงเรื่องความเป็นดาราตลกเจ้าอารมณ์ขัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อารมณ์ดีอยู่เสมออย่างที่คิด เพราะ Williams นั้นทั้งติดเหล้าและมีอาการซึมเศร้ารุนแรง แถมก่อนที่เขาจะตายไม่นานชายหนุ่มยังได้รับผลตรวจจากโรงพยาบาลว่าเขานั้นเป็นโรคพาร์กินสันอีกด้วย ในท้ายที่สุด Williams ก็เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2014 โดยมีสาเหตุการเสียชีวิตคล้ายกับขาดอากาศหายใจ และถูกลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายโดยทางตำรวจในภายหลัง   Robert Budd Dwyer Budd Dwyer เป็น วุฒิสมาชิกพรรค Republican ผู้มีชื่อเสียงจากการฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาผู้สื่อข่าว และถูกถ่ายไว้อย่างชัดเจนโดยสถานีโทรทัศน์ ในวันที่ 22 มกราคม 1987 ดูเหมือนว่าสาเหตุการฆ่าตัวตายของเขาจะมาจากความเครียดจากการโดนกล่าวหาว่ารับสินบน ซึ่งแม้เจ้าตัวจะให้การปฏิเสธมาตลอดแต่สุดท้ายก็ถูกตัดสินให้จำคุก 55 ปี และปรับเงินอีกกว่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ เขารับไม่ได้กับคำตัดสินในครั้งนั้นจนตัดสินใจอ่านจดหมายลาตายออกสื่อและยิงตัวตายไปในที่สุด และกว่าที่จะมีการพยายามพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์มันก็ปาเข้าไปในปี 2010 เลยทีเดียว…

  • พบโบราณสถานสำหรับประกอบพิธีกรรม 2 แห่ง ในทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก

    พบโบราณสถานสำหรับประกอบพิธีกรรม 2 แห่ง ในทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลก

    ทะเลทรายอาตากามาเป็นทะเลทรายที่กินพื้นที่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศเปรูไปถึงตอนเหนือของประเทศชิลี ซึ่งแม้ว่าจะเต็มไปด้วยแร่ธาตุ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกเลยเช่นกัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าในพื้นที่สุดแห้งแล้งจนไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ได้ นักโบราณคดีกลับค้นพบโบราณสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมโบราณเข้าได้     โดยนี้เป็นผลงานการค้นพบของกลุ่มนักโบราณคดีร่วม จากมหาวิทยาลัย Paris Nanterre ในฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัย Católica del Norte ในเปรูนั่นเอง โดยนี่เป็นการค้นพบแหล่งโบราณคดีสองแห่ง ที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร โดยแห่งหนึ่งมีอายุ 3,200 ปี และอีกหนึ่งแหล่งมีอายุถึง 5,000 ปีเลยทีเดียว การค้นพบนี้นำมาซึ่งแนวคิดที่ว่าบางส่วนของทะเลทรายอาตากามานั้น อาจจะเคยเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มาก่อนก็เป็นได้     เพราะการที่คนจะอาศัยในที่แห่งนี้ได้ แถมยังมีชีวิตที่สุขสบายพอที่จะสร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรม เป็นหลักฐานอย่างดีว่าอย่างน้อยๆ ในพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเคยมีแหล่งน้ำมาก่อน โดยในแหล่งโบราณคดีแห่งแรก (อายุ 3,200 ปี) มีการค้นพบอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ และเครื่องประดับที่ทำจากทองคำจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่คนในสมัยก่อนนำมาเป็นเครื่องบูชาต่อพระเจ้า นอกจากนี้ในแหล่งโบราณคดีดังกล่าว ยังมีการขุดพบโครงกระดูกทารก 28 ร่างที่ถูกฝังไว้พร้อมเครื่องประดับอีกด้วย   จุดที่มีการค้นพบทารก (ลูกศรสีดำ) และจุดที่มีการค้นพบเครื่องทอง (ลูกศรสีขาว)   ส่วนในแหล่งโบราณคดีอีกแห่ง (อายุ 5,000 ปี) ในตอนแรกถูกคิดว่าเป็นที่อยู่อาศัยของคนในสมัยนั้น แต่กลับไม่มีการพบบ้านอยู่เลย…

  • 22 ภาพการฉลองจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันว่าหลังสงครามมีภาพดีๆ แบบไหนบ้าง

    22 ภาพการฉลองจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันว่าหลังสงครามมีภาพดีๆ แบบไหนบ้าง

    ในเวลาที่คนเราทำอะไรใหญ่ๆ สำเร็จ บ่อยครั้งสิ่งที่ตามมาก็มักจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง โลกจะได้พบกับงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และคราวนี้เราก็จะได้มีโอกาสไปชม 22 ภาพการเฉลิมฉลองการจบสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าในวันนั้นมีภาพดีๆ แบบไหนออกมาให้โลกเห็นกันบ้าง   เริ่มกันที่รอยยิ้มของทหารที่แม้จะได้รับบาดเจ็บในสงครามแต่ก็สามารถกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย   การฉลอง “V-E Day” วันที่ฝั่งสัมพันธมิตร ได้รับชัยชนะในสงครามที่ฝั่งยุโรป   ประชาชนที่ออกมาเฉลิมฉลองเต็มถนน หลังจากการยอมแพ้ของเยอรมนีในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945   นักบวชในฝรั่งเศสโชว์หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวการยอมแพ้ของเยอรมนีในการเฉลิมฉลอง   พ่อค้ารายหนึ่งแต่งกายล้อเลียนฮิตเลอร์ในวัน V-E Day   การต่อตัวบนรถเพื่อเฉลิมฉลองของชาวอังกฤษในกรุงลอนดอน   การฉลองชัยชนะของทหารที่กำลังเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล   ภาพถ่ายในวันแห่งชัยชนะของเหล่าทหารที่กำลังขึ้นเรือกลับประเทศ   วอลสตรีทที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่ออกมาฉลองชัยชนะ   ทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บในสงครามเดินผ่านกระดาษที่โปรยลงมาจากตึกเพื่อฉลองชัยชนะของประเทศ   การลงนามยอมแพ้ระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายสัมพันธมิตร 2 สิงหาคม 1945   เหล่าสาวๆ โบกมือให้กับทหารที่กลับมาจากสงคราม หลายคนในภาพเป็นภรรยาของใครสักคนบนเรือลำนั้น   ทหารผ่านศึกโชว์สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ แม้ตัวเองจะบาดเจ็บก็ตาม   ทหารอังกฤษที่ได้กลับมาพบกับครอบครัวอีกครั้งหลังจากสงครามจบลงในที่สุด   ทหารและประชาชนในวอชิงตัน ดี.ซี.…

  • “The Robbers Cave Experiment” การทดลองจิตวิทยาที่ทำให้เด็กเกลียดคนที่ไม่ใช่พรรคพวก

    “The Robbers Cave Experiment” การทดลองจิตวิทยาที่ทำให้เด็กเกลียดคนที่ไม่ใช่พรรคพวก

    เคยได้ยินการทดลองที่ชื่อ “The Robbers Cave Experiment” กันมาบ้างไหม? นี่คือการทดลองที่จัดทำขึ้นเพื่อหาว่า การจะทำให้คนสองกลุ่มเกลียดกันนั้นจำเป็นจะต้องทำอะไรบ้างนั่นเอง     นี่เป็นการทดลองที่จัดขึ้นโดย Muzafer Sherif นักจิตวิทยาชาวตุรกี-อเมริกัน ที่มีการจัดทำขึ้นในปี 1954 และเป็นการทดลองกับเด็กๆ 22 คน โดยในการทดลองดังกล่าว Sherif ได้แบ่งเด็กเป็นสองกลุ่มเท่าๆ กัน โดยเรียกว่าทีม “Eagles” (อินทรีย์) และทีม “Rattlers” (งู) ก่อนที่จะพาเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่ภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐโอคลาโฮมา     ในช่วงแรกของการทดลอง Sherif ได้ให้เด็กๆ ในแต่ละกลุ่มแยกกันอยู่คนละที่โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งเข้าค่ายอยู่นอกจากกลุ่มของตัวเองด้วย และเมื่อเด็กๆ ในกลุ่มเริ่มรักกันดีแล้ว Sherif ก็เริ่มแผนการขั้นต่อไป ด้วยการแนะนำเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มให้รู้จักกันในฐานะทีมคู่แข่งก่อน และในการแข่งขันต่อจากนี้ไป ทีมที่ชนะเท่านั้นที่จะได้รับรางวัล     น่าแปลกที่แม้จะไม่ต้องยุอะไรมากปัญหาก็เกิดขึ้นในทันทีเมื่อทีม Rattlers เข้ายึดสนามเบสบอลในพื้นที่เพื่อใช้ฝึก ก่อนจะมีการปักธงไว้และบอกฝั่ง Eagles ว่าห้ามมายุ่ง เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากทีมงานแกล้งให้ทีมหนึ่งมาทานอาหารช้าอีกทีมก็ทานอาหารที่มีทั้งหมดไปแล้วด้วย และนั่นก็ทำให้ความขัดแย้งในหมู่เด็กๆ รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่แค่เถียงกันปากต่อปาก เด็กๆ ก็เริ่มลงไม้ลงมือกันจริงๆ…

  • เปิดเรื่องราว “โรคต้นไม้มนุษย์” อาการประหลาดที่ทำให้ผิวคนกลายเป็นเหมือนเปลือกไม้

    เปิดเรื่องราว “โรคต้นไม้มนุษย์” อาการประหลาดที่ทำให้ผิวคนกลายเป็นเหมือนเปลือกไม้

    Epidermodysplasia Verruciformis อาจจะเป็นชื่อที่ฟังดูประหลาดสำหรับหลายๆ คน แต่เชื่อเถอะว่าชื่อของมันไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่แปลก เพราะนี่เป็นชื่อของโรคอันสุดแสนจะประหลาด ที่ทำให้คนที่เป็นมีผิวที่คล้ายกับ “เปลือกไม้” งอกออกมาจากมือและเท้านั่นเอง     ด้วยอาการแบบนี้เองที่ทำให้ Epidermodysplasia Verruciformis บางครั้งก็ถูกเรียกกันว่า “โรคต้นไม้มนุษย์” โดยมันเป็นกลุ่มโรคทางผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ และมาพร้อมกับความเสี่ยงเป็นมะเร็งที่สูงตามไปด้วย สาเหตุที่เกิดโรคเช่นนี้ขึ้นก็ถูกสันนิษฐานไว้โดยทีมแพทย์ว่าน่าจะมาจากการผสมผสานทางพันธุกรรมของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ Epidermodysplasia Verruciformiswart นั่นเอง     โดยเดิมทีไวรัส Epidermodysplasia Verruciformiswart นั้นก็เกิดขึ้นยากมากแล้ว ขนาดที่ว่าในหนึ่งปีจะมีคนเป็นโรคนี้เพียงแค่ราวๆ 600 คนเท่านั้น แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นเอง จะมีคนที่ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสได้อย่างที่ควรอยู่ด้วย ทำให้โรคออกอาการรุนแรงจนมือเท้าสามารถมองเห็นเป็นต้นไม้เด่นชัดได้     อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเกิดอาการแบบนี้นั้นเรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย จนทำให้แพทย์หลายๆ คนแทบจะไม่มีโอกาสได้ศึกษาโรคนี้เลยด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ดีเอามากๆ เพราะนอกจากจะต้องทนกับความเจ็บปวด และความอับอายที่จะให้ใครเห็นมือแล้ว อาการนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่แน่ชัดอีกด้วย     สิ่งเดียวที่ทีมแพทย์ทำให้ผู้ป่วยได้คือการตัดเนื้อเยื่อส่วนที่มีอาการทิ้งและนำเนื้อจากส่วนอื่นมาแปะแทน ซึ่งก็นำมาซึ่งการผ่าตัดมากมายหลายครั้ง แถมมือที่ออกมายังมีลักษณะคล้ายคนโดนไฟไหม้มาอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะด้วยความแปลกของโรคนี้ทำให้แพทย์ไม่อาจบอกได้เลยว่าอาการที่พวกเขาเป็นนั้นจะกลับมาลุกลามอีกครั้งหลังจากการผ่าตัดหรือไม่ด้วย   ที่มา allthatsinteresting, dailymail

  • “คริสทัลล์นัคท์” เหตุการณ์ที่ปลุกปั่นความเกลียดชังชาวยิว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

    “คริสทัลล์นัคท์” เหตุการณ์ที่ปลุกปั่นความเกลียดชังชาวยิว ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

    เชื่อว่าหากพูดถึงเหตุการณ์สังหารชาวยิวไม่ว่าใครก็คงนึกถึงการสังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนเป็นอย่างแรก ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าความเกลียดชังชาวยิวนั้น มันมีมาก่อนที่สงครามจะเกิดเสียอีก โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในช่วงนั้น ก็คือ “คริสทัลล์นัคท์” (Kristallnacht) หรือคืนกระจกแตก (The Night of Broken Glass) นั่นเอง     คริสทัลล์นัคท์เป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิวในวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 1938 เกือบๆ หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มต้นขึ้น และส่งผลให้มีชาวยิวเสียชีวิตกว่า 91 ราย จริงอยู่ว่าตัวเลขนี้อาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับความยิวที่เสียชีวิตในสงครามโลก แต่นี่ก็นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งของเยอรมนีเลยก็ว่าได้     เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อมีชาวยิวชื่อเฮอร์เชล กรินสปัน เขาลอบสังหารเจ้าหน้าที่การทูตของนาซี ในสถานทูตเยอรมันที่ประเทศฝรั่งเศส แม้ไม่อาจฟันธงได้ว่าการกระทำของเขานั้นมาจากความโกรธแค้นที่นาซีปฏิบัติต่อชาวยิว หรือว่านี่เป็นเพียงแผนการของนโยบายทางเชื้อชาติของนาซีกันแน่ แต่การกระทำของเขาก็ทำให้มีคนเยอรมันจำนวนมากลุกขึ้นต่อต้านชาวยิว     ในวันนั้นมีการจลาจลที่เกิดขึ้นจากความเกลียดชังขึ้นทั่วท้องถนนของเยอรมนี มีคนจำนวนมากเข้าไปทำลาย บ้าน ร้านค้า และโบสถ์ของชาวยิว ที่เหตุการณ์เลวร้ายถึงขั้นนี้นั้นเชื่อกันว่ามาจากการปลุกปั่นของทางพรรคนาซี เพราะมีการบันทึกไว้ว่า ไฮน์ริช มูลเลอร์หน่วยตำรวจลับของฮิตเลอร์ได้ทำการส่งโทรเลขไปห้ามตำรวจไม่ให้เข้าไปยุ่งกับการจลาจลของชาวเยอรมนี     นั่นทำให้ในเวลาเพียง 2 วัน 2 คืนเท่านั้นในเยอรมนีก็มีโบสถ์ของชาวยิวถูกเผาไปกว่า 1,000 แห่ง ร้านค้าชาวยิวถูกทำลายไปร่วม…

  • ย้อนรอย “มัมมี่ถ้ำวิญญาณ” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมาอย่างยาวนาน

    ย้อนรอย “มัมมี่ถ้ำวิญญาณ” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมาอย่างยาวนาน

    ย้อนกลับไปในช่วงปี 1940 ในระหว่างที่โลกยังตกอยู่ท่ามกลางสงคราม นักโบราณคดีได้ขุดพบมัมมี่โครงกระดูกเก่าแก่ร่างหนึ่งที่ถ้ำหินในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเนวาดา ในเวลานั้นมัมมี่โครงกระดูกที่พบถูกตั้งชื่อว่า “มัมมี่แห่งถ้ำวิญญาณ” (Spirit Cave Mummy) และดูจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่ใครจะเชื่อเล่าว่าราว 50 ปีต่อมา พวกเราก็ได้ทราบว่าสิ่งที่พบนั้น มันไม่ใช่แค่โครงกระดูกธรรมดาๆ     เพราะจากการตรวจสอบหาอายุทางคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้วกระดูกที่พบนั้นมีอายุถึงราวๆ 10,600 ปี (บางแหล่งก็บอกว่า 9,400 ปี) เลยทีเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่านี่คือมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั่นเอง เพราะแม้ว่ามัมมี่ที่พบจะมีลักษณะแทบจะเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว แต่ก็มีร่องรอยที่ชัดเจนมากว่ามีการถูกเก็บรักษาไว้โดยอาศัยความร้อนและแห้งในถ้ำ     แต่การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เองก็นำมาซึ่งความขัดแย้งเช่นกัน เนื่องจากชนเผ่า Fallon Paiute-Shoshone ซึ่งเป็นพื้นเมืองอเมริกันในพื้นที่ ได้ออกมาอ้างตัวว่าถ้ำที่มีการชนพบมัมมี่นี้ เป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง แน่นอนว่าในอดีตรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาจะไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ จนทำให้เกิดการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมัมมี่ที่พบมาอย่างยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ การต่อสู้นี้ดำเนินมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งในปี 2015 ทางชนเผ่าก็ยอมให้มีการตรวจสอบ DNA ของมัมมี่ที่พบ และนำมาซึ่งความจริงในเวลาต่อมา   ภาพใบหน้าของมัมมี่เก่าแก่ในสมัยที่ยังมีชีวิต ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีในปัจจุบัน   เพราะจากการวิเคราะห์ DNA ของโครงกระดูกที่พบ เราก็ได้ทราบว่ามัมมี่นี้มีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่า…

  • อังกฤษพบ “ระเบิดบิน” ของนาซีช่วงสงครามโลก เชื่อถูกยิงตกระหว่างบินไปลอนดอน

    อังกฤษพบ “ระเบิดบิน” ของนาซีช่วงสงครามโลก เชื่อถูกยิงตกระหว่างบินไปลอนดอน

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีอยู่หลายๆ ครั้งที่เยอรมนีพยายามทำการโจมตีกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าหนึ่งในอาวุธที่พวกเขาใช้นั้นมี “ระเบิดบินได้” อยู่ด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง นักประวัติศาสตร์ ได้มีการขุดพบระเบิดบินไร้คนขับ “เยอรมัน V1” หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่น “Doodlebug” ที่ป่าในมณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ     นี่เป็นระเบิดที่เป็น “บรรพบุรุษ” ของจรวดขีปนาวุธนำวิถีในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในอาวุธนับพันที่ถูกใช้ตอบโต้การโจมตีของสัมพันธมิตร ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่เยอรมนีจะแพ้สงครามไป ดูเหมือนว่าจรวดดังกล่าวนี้จะถูกยิงออกมาจากฐานยิงในประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งในเวลานั้นถูกปกครองโดยเยอรมนี และถูกยิงสกัดจนมาตกที่ป่าแห่งนี้ก่อนที่จะมีโอกาสได้บินไปถึงกรุงลอนดอน     แต่แม้ว่าระเบิด V1 จำนวนมากจะถูกยิงตกก่อนได้ทำความเสียหายก็ตาม การโจมตีในครั้งนั้นก็ทำให้มีคนอังกฤษเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากอยู่ดี นอกจากนี้หลังจากการโดนโจมตีด้วยระเบิด V1 ทางอังกฤษก็ต้องรับมือกับจรวด V2 ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก V1 อีกทีในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ระเบิดรุ่นที่พบนั้นได้ถูกให้ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์สงครามในกรุงลอนดอนว่า มีปีกกว้างกว่า 5 เมตร และบรรทุกหัวรบที่มีน้ำหนักร่วม 850 กิโลกรัมเอาไว้ โดยนี่เป็นการอ้างอิงจากข้อมูลของระเบิด V1 ที่ทางพิพิธภัณฑ์มี     อย่างไรก็ตามการขุดพบระเบิด V1 ในครั้งนี้ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวของนักประวัติศาสตร์ด้านสงครามโลกครั้งที่สองในอังกฤษ เพราะเมื่อกลางปีนี้ทางประเทศอังกฤษยังสามารถปิดโปรเจกต์การขุดค้นจุดตกของจรวด V2 ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 3 ปีอีกด้วย…

  • 20 ภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบ ของเหล่าคนมีชื่อเสียงของโลก ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไป

    20 ภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบ ของเหล่าคนมีชื่อเสียงของโลก ก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไป

    หากจะพูดถึงสิ่งที่เก็บความทรงจำเอาไว้มากที่สุด “รูปถ่าย” ก็คงจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้คนนึกถึงกัน เพราะนี่คือสิ่งที่เก็บรักษาความทรงจำเอาไว้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า หรือแม้กระทั่ง “ชีวิต” ของคนที่ตายไปแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ภาพสุดท้ายก่อนตายของผู้คนมักจะเป็นภาพที่ทรงพลังที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 20 ภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบ ของเหล่าคนมีชื่อเสียงของโลก ไปดูกันดีกว่าว่าก่อนที่พวกเขาจะจากโลกนี้ไปตลอดกาล พวกเขาถ่ายภาพแบบไหนเอาไว้กัน   เริ่มกันจากภาพสุดท้ายที่มีการค้นพบของนักประดิษฐ์อัจฉริยะ “นิโคลา เทสลา” ภาพนี้ถ่ายในปี 1943 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต   ภาพสุดท้ายของ “แอนน์ แฟรงก์” เด็กชาวยิวที่มีชื่อเสียงที่สุด ในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ภาพนี้ถ่ายในปี 1943 เป็นเวลา 2 ปีก่อนที่เธอจะเสียชีวิต   ภาพสุดท้ายของนักฟิสิกส์อัจฉริยะ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ภาพนี้ถ่ายในปี 1955 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต   ภาพสุดท้ายของนักเขียนที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน “มาร์ค ทเวน” ภาพนี้ถ่ายในปี 1910 ปีเดียวกับที่เขาเสียชีวิต  …

  • 5 การดัดแปลงร่างกายของผู้หญิงจากทั่วโลก ที่อาจเป็นต้นตำหรับของการศัลยกรรมความงาม

    5 การดัดแปลงร่างกายของผู้หญิงจากทั่วโลก ที่อาจเป็นต้นตำหรับของการศัลยกรรมความงาม

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการศัลยกรรมเพื่อความงามนั้น เริ่มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆ คนอาจจะมองว่าความงามที่แท้จริงเริ่มหายากขึ้นทุกวันแล้ว ว่าแต่ทราบกันไหมว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เรานั้นดัดแปลงร่างกายกันมานานกว่าที่คิดเยอะ และทำกันในหลายๆ วัฒนธรรมของโลกเลยด้วย ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาทำในยุคการศัลยกรรมพลาสติก ไม่เชื่อก็ลองไปดูการดัดแปลงร่างกายจากในอดีตทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ดูสิ แล้วจะรู้ว่าการดัดแปลงร่างกายนั้นมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ความสวย   เริ่มกันที่การเจาะปากใส่จานของเผ่า Surma และ Mursi เราอาจจะเคยเห็นการเจาะปากแบบนี้ในภาพยนตร์อย่าง Black Panther กันมาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าเจาะปากใส่จานแบบนี้มีประวัติมาตั้งแต่เมื่อ 8,700 ปีก่อนคริสตกาลเลย โดยนี่เป็นพิธีกรรมที่ทำขึ้นในการเตรียมเพื่อการแต่งงานของผู้หญิง โดยจะมีการพาผู้หญิงที่อาจจะอายุต่ำสุดได้ถึง 13 ปี ไป “ยืดปาก” ด้วยวิธีต่างๆ และใส่จานที่จะขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง   การยืดคอของชาวกะยัน นี่เป็นชนเผ่าที่อาศัยในประเทศพม่า (และที่แม่ฮ่องสอน) โดยคนไทยรู้จักกันในชื่อกะเหรี่ยงคอยาว ซึ่งมีการดัดแปลงร่างกายของตัวเองด้วยการยืดคอสมชื่อ โดยพวกเขาจะใส่ห่วงที่คอตั้งแต่ยังเด็กและค่อยๆ ใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนมีลักษณะคอยาว อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าคอของพวกเขาจะไม่ได้ยาวขึ้นจริงๆ แต่กระดูกไหปลาร้าถูกน้ำหนักห่วงกดลงไปเรื่อยๆ ต่างหาก เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังการดัดแปลงร่างกายเช่นนี้จะมาจากการป้องกันเผ่าอื่นมาจับผู้หญิงไป ด้วยการทำให้พวกเธอแลดูไม่น่าดึงดูดนั่นเอง   การทำเท้าดอกบัวของจีน นี่เป็นแฟชั่นสุดฮิตในยุคสมัยจีนโบราณ ที่บางครั้งก็ถูกเรียกว่าการรัดเท้า ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากชนชั้นสูงที่เป็นนางระบำ ในช่วงศตวรรษที่ 10…

  • “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา” เหตุการณ์ประชาชนเข่นฆ่ากันเองสุดโหด ที่โลกหลงลืม

    “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา” เหตุการณ์ประชาชนเข่นฆ่ากันเองสุดโหด ที่โลกหลงลืม

    เคยได้ยินเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดากับรึเปล่า นี่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กินเวลาราวๆ 100 วันในช่วงปี 1994 และน่าแปลกที่แทบไม่มีใครเข้าไปหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่     การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศรวันดา ซึ่งในสมัยก่อนเคยถูกปกครองโดยเบลเยียม และเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองสองชนเผ่าใหญ่ๆ ได้แก่เผ่าทุตซี และเผ่าฮูตู โดยจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในประเทศเกิดจากการที่ในสมัยที่ประเทศรวันดายังคงเป็นเมืองขึ้นอยู่ เผ่าทุตซีที่มีจำนวนน้อยกว่าเผ่าอื่นๆ กลับเป็นชนชั้นปกครองของประเทศ และได้รับอภิสิทธิ์เหนือชนเผ่าอื่นๆ (เช่นเผ่าฮูตูที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ) แต่เรื่องราวกันก็เลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อเบลเยียม สั่งให้ชนพื้นเมืองในพื้นที่ลงทะเบียนว่าตนเองเป็นคนจากเผ่าไหนกันแน่ระหว่าง เผ่าฮูตูและเผ่าทุตซี     แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้บ่มเพาะความไม่พอใจแก่เผ่าฮูตูเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อประเทศรวันดาได้รับอิสรภาพจากเบลเยียม รัฐบาลชาวทุตซีก็ต้องเจอกับการปฏิวัติของชาวฮูตูแทบจะในทันที การปฏิวัติในครั้งนี้ ทำให้ชาวทุตซีจำนวนมากต้องออกจากประเทศไป หรือไม่ก็กลายเป็นกลุ่มต่อต้าน และแน่นอนว่าชาวฮูตูก็กดขี่ชาวทุตซีคืนเช่นกัน จนทำให้รวันดาตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าเป็นเวลานาน     ความขัดแย้งในประเทศดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งประธานาธิบดี จูเวนาล ฮับยาริมานา ของฮูตูพยายามเจรจาสันติภาพกับชาวทุตซี แต่กลับถูกมิซไซล์ยิงถล่มเครื่องบินจนเสียชีวิตไปเสียก่อน ที่มาของมิซไซล์นั้นเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ค่อนข้างมาก เพราะมีแนวคิดที่ว่าจริงๆ แล้วมิซไซล์เหล่านี้ถูกยิงมาจากทหารฮูตูหัวรุนแรง ที่ไม่พอใจในการเจรจาสันติภาพเสียเอง แต่แม้ว่าจะยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสังหารประธานาธิบดี ประชาชนจำนวนมากก็มองว่านี่เป็นความผิดของชาวทุตซี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรวันดาด้วยมือชาวรวันดาไป     การฆ่าล้างสังหารในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายร่วมแล้วกว่า 800,000 ราย และกลายเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติไป โดยที่แทบจะไม่มีใครเลยที่กล้าพอจะยื่นมือมาหยุดยั้ง สุดท้ายแล้วการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ก็จบลงด้วยการเข้ายึดอำนาจจากกองกำลังของชาวทุตซีที่นำโดยนายพอล คากาเม ก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปในเวลาต่อมา    …

  • ย้อนภาพ “เยอรมนี” ในช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ ที่ธนบัตรมีค่าไม่ต่างจากเศษขยะ

    ย้อนภาพ “เยอรมนี” ในช่วงสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ ที่ธนบัตรมีค่าไม่ต่างจากเศษขยะ

    หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ไม่นาน จักรวรรดิเยอรมันก็ล่มสลายลงและถูกแทนที่ด้วย “ไรช์เยอรมัน” หรือที่รู้จักกันในชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “สาธารณรัฐไวมาร์” ในเวลานั้นสาธารณรัฐไวมาร์ต้องพบกับสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากที่ต้องใช้เงินราวๆ 4.2 มาร์คแลกเงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 4,200,000,000,000 มาร์คต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐไป   ภาวะเงินเฟ้อในเวลานั้นรุนแรงมากจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปเล่นเป็นของเล่นได้โดยที่ไม่มีใครว่าเลยทีเดียว บางคนก็นำธนบัตรไปเผาทำความอบอุ่น เนื่องจากฟืนมีมูลค่ามากกว่าธนบัตรเหล่านั้นเสียอีก   ธนบัตรที่โดนนำไปใช้เป็นฟืน   ค่าเงินถูกจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปต่อเป็นว่าวเลย   ในช่วงปี 1923 คนงานได้รับเงินค่าแรงถึงวันล่ะ 3 ครั้ง แถมยังเป็นจำนวนเยอะมากขนาดที่ต้องเอารถเข็นมาเข็น ถึงอย่างนั้นเงินดังกล่าวกับแทบเอาไปทำอะไรไม่ได้ เพราะบ่อยครั้งร้านค้าก็ไม่ยอมวางขายสินค้า     นั่นเป็นเพราะชาวไร่ชาวนาตัดสินใจว่าการเก็บสินค้าของตนไว้น่าจะมีค่ามากกว่าเอาไปแลกกองกระดาษ (ธนบัตร) ที่เอามาก็ไม่ได้ใช้ ทำให้ชนชั้นกลางที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าแรงในประเทศแทบจะอดตายกัน   วอลล์เปเปอร์ติดผนังที่ทำจากธนบัตร 1 มาร์ค รวมๆ แล้วราคาถูกกว่าวอลล์เปเปอร์ที่ถูกที่สุดในท้องตลาดอีก   การเก็บธนบัตรในธนาคาร   เงินในสมัยนั้นไร้ค่ามากจนเกิดเรื่องเล่าว่ามีคนเผลอทิ้งรถเข็นที่ใส่เงินไว้เต็มรถเอาไว้กลางทาง แต่พอเจ้าของกลับมาเขาก็พบว่ามีคนขโมยรถเข็นของเขาไปโดยทิ้งกองธนบัตรเอาไว้เลยทีเดียว   กองธนบัตรของสาธารณรัฐไวมาร์ ทั้งหมดในภาพมีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ   อัตราเงินเฟ้อแบบสุดๆ ของประเทศดำเนินมาจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 1923 ที่ทางรัฐบาลได้มีการออกธนบัตรเรนเทนมาร์กที่ตัดเลข…

  • 14 ภาพโมเมนต์ดีๆ กับคนในครอบครัว ของเหล่าคนที่โลกมองว่าเป็นวายร้ายสุดโฉด

    14 ภาพโมเมนต์ดีๆ กับคนในครอบครัว ของเหล่าคนที่โลกมองว่าเป็นวายร้ายสุดโฉด

    ในโลกในนี้มีคนหลายคนที่ถูกโลกมองว่าเป็นคนเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ หรือหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอย่างบินลาดิน แต่แม้ว่าจะเป็นสุดโฉดมาจากไหน คนเหล่านี้ก็ยังมีโมเมนต์ดีๆ กับคนในครอบครัวให้เห็นกันอยู่ แถมส่วนมากในภาพเหล่านี้พวกเขาก็มักจะดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วย ทำให้ภาพเหล่านี้กลายเป็นภาพที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 14 ภาพเหล่าคนที่โลกมองว่าเป็นวายร้ายสุดโฉดกับครอบครัวของเขากัน ไปดูกันดีกว่าว่าคนเหล่านี้ เขาทำตัวแบบไหนกันเวลาอยู่กับคนในครอบครัว   เริ่มกันที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับเอฟา เบราน์ และสุนัขสองตัวที่เธอเลี้ยง   อุซามะห์ บิน ลาดินกับหนึ่งในลูกชายของเขา อารี บิน ลาดิน   เบนิโต มุสโสลินีให้ลูกชาย โรมาโน มุสโสลินีขี่คอในวัยเด็ก   โจเซฟ สตาลินอุ้มลูกสาวของเขาสเวตลานา อัลลีลูเยวาในสมัยที่เธอยังไม่แปรพักตร์   ซัดดัม ฮุสเซ็นกับ รานา ฮุสเซ็น ลูกสาวของเขา โชคไม่ดีที่เจ้าตัวไม่ถูกโรคกับลูกชายเท่าไหร่   อีดี อามิน กำลังอุ้ม มวันกา อามิน ผู้เป็นลูกชาย   ฟรันซิสโก ฟรังโก กับคาร์เมนซิตาผู้เป็นลูกสาว และสุนัขที่เลี้ยงไว้   พล พตกับหลานๆ ของเขา ส่วนตัวพล…

  • 21 ภาพแปลกๆ ของการแพทย์จากช่วงปี 1900-1940 ไปดูกันว่าสมัยนั้นการรักษาเป็นอย่างไร

    21 ภาพแปลกๆ ของการแพทย์จากช่วงปี 1900-1940 ไปดูกันว่าสมัยนั้นการรักษาเป็นอย่างไร

    การแพทย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานานแสนนาน แต่ถึงอย่างนั้นคนธรรมดาก็มักจะไม่เข้าใจการแพทย์ทั้งหมดอยู่ดี นั่นทำให้บางครั้งเราก็มองการแพทย์บางอย่างว่าช่างแปลกจริงๆ แต่ความคิดแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนในปัจจุบันเท่านั้นหรอก เพราะในอดีตเองก็มีการรักษามากมายที่ถูกมองว่าแปลกเช่นกัน ดูอย่างภาพ 21 อันต่อไปนี้สิ เพราะนี่คือภาพแปลกๆ ของการแพทย์จากในช่วงปี 1900-1940 ยังไงล่ะ   เริ่มจากการเอกซเรย์ทรวงอกของโรงพยาบาลที่ปารีส ในปี 1914   รถ (ม้า) พยาบาล ที่ใช้กันในอาสาสมัครในเวียนนา ประเทศออสเตรีย   รถม้าพยาบาลอีกรูปแบบหนึ่ง คราวนี้เป็นของสหรัฐอเมริกาในปี 1911   ต่อกันด้วยหน่วยโรงพยาบาลรถไฟที่ใช้งานในช่วงยุค 1900   ความพยายามในการทำการคลอดลูกแบบไม่เจ็บปวดในปี 1939 ด้วยการให้แม่ดมยาระงับปวด   การให้ออกซิเจนเด็กเกิดใหม่ในกรุงเบอร์ลินช่วงปี 1939   ปอดเหล็กที่ใช้ในการยืดชีวิตผู้ป่วย โปลิโอในช่วงปี 1938   การฝึกใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ของพยาบาลในปี 1938 ดูเหมือนว่าเจ้าเครื่องนี้จะมีระบบการทำงานคล้ายปอดเหล็กด้านบน   คนไข้ตัวน้อยในเต็นท์ออกซิเจนที่โรงพยาบาล Princess Beatrice เมื่อราวๆ ปี 1937   อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาหวัดและไข้หวัดใหญ่ในปี 1929  …

  • พบมุกตลกอายุราว 2,000 ปี ใน “ห้องน้ำ” โรมันโบราณ บอกเล่าอารมณ์ขันยุคเก่าได้อย่างดี

    พบมุกตลกอายุราว 2,000 ปี ใน “ห้องน้ำ” โรมันโบราณ บอกเล่าอารมณ์ขันยุคเก่าได้อย่างดี

    เวลาที่เรานั่งในห้องน้ำ บางครั้งเราก็อาจจะพบกับข้อความเขียนเล่นแบบ “แน่จริงอย่าเบ่ง” กันมาบ้าง จริงอยู่ว่านี่จะเป็นการขีดเขียนที่ทำให้ห้องน้ำสกปรก แต่ก็เป็นมุกตลกๆ ที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะแม้แต่ในโรมันเมื่อ 2,000 ปีก่อน (บางแหล่งก็บอกว่าแค่ 1,800 ปี) เองก็มีการเล่นมุกในห้องน้ำกับเขาเหมือนกัน     มุกในห้องน้ำของชาวโรมันที่กล่าวมานี้ ถูกค้นพบในรูปแบบของกระเบื้องเคลือบสลับสี ที่ใช้เป็นพื้นของห้องน้ำเก่าแก่ ที่มีการค้นพบในซากเมือง Antiochia ad Cragum ในประเทศตุรกี     โดยบนกระเบื้องที่พบนั้น มีภาพของตัวละครจากตำนานกรีกและโรมันในรูปแบบที่แตกต่างไปจากปกติมาก อย่างเช่นภาพของตำนานแกนีมีดที่ถูกลักพาตัวไปโดยซูสที่แปลงร่างเป็นนกอินทรี ซึ่งตามปกติแกนีมีดต้องถือไม้เท้า และห่วง ก็ถูกแก้เป็นถือไม้ติดฟองน้ำสำหรับทำความสะอาดแทน แถมซูสยังแปลงร่างเป็นนกกระสาอีกด้วย     เท่านั้นยังไม่พอ ดูเหมือนว่าซูสที่กำลังแปลงร่างเป็นนกกระสานั้นยังกำลัง “ทึ้ง” อวัยวะเพศของแกนีมีดอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นการเปรียบถึงการ “ทำความสะอาด” อวัยวะเพศด้วยปาก ก่อนหรือหลังการมีเซ็กส์นั่นเอง     ส่วนภาพอีกด้านหนึ่งของกระเบื้องนั้นแม้จะเลือนไปบ้าง แต่ก็น่าจะเป็นภาพของนาร์ซิสซัส ชายหนุ่มผู้หลงรักเงาตัวเองตามตำนานกรีก     แต่แทนที่นาร์ซิสซัสจะเป็นชายรูปงาม นาร์ซิสซัสในกระเบื้องกลับมีจมูกยาวซึ่งถูกมองว่าอัปลักษณ์โดยคนโรมันแทน แถมแทนที่จะชื่นชอบเงาตัวเอง นาร์ซิสซัสบนกระเบื้องก็กำลังชื่นชมอวัยวะเพศของตัวเองอยู่ด้วย จริงอยู่ว่ามุกตลกในห้องน้ำที่พบนั้นจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังให้ข้อมูลมากพอที่จะทำให้เข้าใจได้ว่าภาพที่เห็นนั้นต้องการจะสื่ออะไร…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ ไดโนเสาร์ “พาราซอโรโลฟัส” อาจเป่าเขาตัวเอง เหมือนเป็นทรัมเป็ต

    นักวิทยาศาสตร์พบ ไดโนเสาร์ “พาราซอโรโลฟัส” อาจเป่าเขาตัวเอง เหมือนเป็นทรัมเป็ต

    ด้วยความที่ฟอสซิลไดโนเสาร์ส่วนมากที่มีการค้นพบบนโลกมักจะมีสภาพเป็นโครงกระดูก ดังนั้นคำถามที่ว่าเสียงร้องของไดโนเสาร์จริงๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไรจึงเป็นคำถามที่ตอบได้ค่อนข้างยาก แม้แต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์เอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เองก็มีการค้นพบที่อาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์บอกได้ว่าเสียงร้องของไดโนเสาร์นั้นน่าจะเป็นอย่างไรจนได้ ถึงจะเป็นเพียงในหมู่ไดโนเสาร์จำพวก “พาราซอโรโลฟัส” ก็ตาม     โดยมีการค้นพบว่าไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสนั้น จะเป่าเขาของตัวเองคล้ายทรัมเป็ต เพื่อสร้างเสียงร้องเรียกพวกนั่นเอง ไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสเป็นไดโนเสาร์กินพืชที่มีชีวิตอยู่ในยุคครีเตเชียสตอนปลาย และมักพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ มีลักษณะเด่นอยู่ที่เขาซึ่งมีรูปร่างคล้ายหงอนที่ลู่ไปด้านหลัง ซึ่งตัวอย่างเขาของพาราซอโรโลฟัสที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ก็เป็นของสายพันธุ์ที่ยังไม่มีการตั้งชื่อ ที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ส่วนศีรษะที่คล้ายคลึงกับเป็ดนั่นเอง   เขาของพาราซอโรโลฟัสสายพันธุ์ไร้นามที่ใช้ในการศึกษา   โดยจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนเจ้าเขาที่คล้ายหงอนของพาราซอโรโลฟัสจะมีลักษณะกลวง และเชื่อมไปยังหลอดลมของไดโนเสาร์ ทำให้พาราซอโรโลฟัสสามารถ “เป่าลม” ผ่านเขาได้นั่นเอง จริงอยู่ว่าแนวคิดที่ว่าไดโนเสาร์พาราซอโรโลฟัสใช้เขาในการส่งเสียงนั้นมีมาก่อนหน้านี้ค่อนข้างนานแล้ว อย่างไรก็ตามการศึกษาในครั้งนี้ก็ทำให้เราทราบได้ว่าแม้ในหมู่ไดโนเสาร์จำพวกพาราซอโรโลฟัสเอง หากมาจากคนละสายพันธุ์ก็จะมีรูปแบบของเสียงที่แตกต่างกันไปด้วย   เขาของพาราซอโรโลฟัสสายพันธุ์ไร้นามที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์   เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นเพื่อใช้จำแนกพวกพ้องโดยเฉพาะ ซึ่งตัวไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ยังไม่มีการตั้งชื่อนี้เองก็มีระดับค่าความถี่ของเสียงอยู่ที่ระหว่าง 48-75 เฮิรตซ์นั่นเอง นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนใจอันหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะในบรรดาฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ไม่มีเส้นเสียงเหลืออยู่นั้น พาราซอโรโลฟัสเป็นไดโนเสาร์เพียงไม่กี่ประเภทที่เราสามารถเรียนรู้เสียงร้องของมันได้   จากโครงกระดูกที่พบ พาราซอโรโลฟัสมีทั้งสายพันธุ์ที่เดิน 4 ขา และ 2 ขา   และหากเป็นไปได้ด้วยดี การศึกษาครั้งนี้ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการไขปริศนาเสียงของไดโนเสาร์ตัวอื่นๆ ต่อไปก็เป็นได้   ที่มา history, livescience

  • เปิดเรื่องราว “เหมืองเพชรเมียร์นี” เพชรขนาดใหญ่ที่ทำให้โซเวียตยิ่งใหญ่ในสงครามเย็น

    เปิดเรื่องราว “เหมืองเพชรเมียร์นี” เพชรขนาดใหญ่ที่ทำให้โซเวียตยิ่งใหญ่ในสงครามเย็น

    เคยได้ยินเรื่องของเหมืองเมียร์นี (บางที่ก็เรียกเหมืองเมียร์) กันไหม นี่เป็น “อดีต” เหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งตั้งอยู่ในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โซเวียตยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามเย็นเลย     เหมืองเมียร์นีเป็นเหมืองเพชรแบบเปิด มีการขุดค้นตั้งแต่ในช่วงปี 1955  และเปิดทำการจริงๆ โดยคำสั่งของโจเซฟ สตาลินในปี 1957 เนื่องจากเหมืองเมียร์นีมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นจัด การสร้างเหมืองในยุคแรกๆ เป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เพราะพื้นที่ที่มีการพบเหมืองนั้นส่วนใหญ่จะถูกปกคลุมไปด้วยเพอร์มาฟรอส และที่มักจะละลายเป็นโคลนในหน้าร้อน นอกจากนี้อากาศที่นี่ยังหนาวมากจนน้ำมันแข็งเป็นน้ำแข็งเลยด้วย แต่ด้วยความพยายามของโซเวียตในสมัยนั้น สุดท้ายเหมืองแห่งนี้ก็เปิดทำการได้สำเร็จจนได้     และคงต้องบอกว่าความพยายามของโซเวียตได้รับผลตอบเช่นอย่างใหญ่หลวงเลยก็ไม่ผิดนักเพราะเหมืองเมียร์นีสามารถผลิตเพชรได้มากถึงปีล่ะ 10 ล้านกะรัตเลยทีเดียว ช่วยเหลือเศรษฐกิจของโซเวียตในสงครามเย็นได้อย่างดี หลุมของเหมืองเพชรแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 1.2 กิโลเมตร และลึก 525 เมตร เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งมีการขุดเมืองที่บิงแฮมแคนยอนในสหรัฐอเมริกา     ที่แห่งนี้ลึกมากจนทำให้ที่บริเวณหลุมมีการไหลเวียนทางอากาศที่จะดูดสิ่งที่อยู่บนฟ้าลงมา และในอดีตเองก็เคยมีเฮลิคอปเตอร์ถูกดูดลงไปจริงๆ มาแล้ว ทำให้ที่แห่งนี้ต้องออกกฎห้ามอากาศยานบินผ่านกันเลยทีเดียว นอกจากนี้บุคคลภายนอกหรือนักท่องเที่ยวจะต้องได้รับอนุญาตก่อนจากเจ้าหน้าที่ก่อนถึงจะเขาไปเยี่ยมชมได้     เหมืองเมียร์นีผลิตเพชรให้กับมนุษย์เรื่อยมาแม้โซเวียตจะล่มสลายไป แต่แล้วจู่ๆ ในปี 2004 เหมืองที่ว่าก็ถูกปิดตัวลงไปอย่างกะทันหัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีน้ำท่วมและพวกเขาเริ่มขุดเหมืองลึกจนเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตามเหตุผลเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะต่อมาในปี…

  • แม่ลูกตกบันไดหนีไฟ ภาพยอดเยี่ยมจากอดีต กับเรื่องราวน่าเศร้าที่ถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมา

    แม่ลูกตกบันไดหนีไฟ ภาพยอดเยี่ยมจากอดีต กับเรื่องราวน่าเศร้าที่ถูกเล่าอย่างตรงไปตรงมา

    มีอยู่บ่อยครั้งที่ภาพซึ่งกลายเป็นตำนานพูดถึงกันของโลก มักจะเป็นภาพที่มีเหตุการณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังที่น่าสนใจ แต่ในบางครั้งภาพที่กลายเป็นตำนาน ก็อาจจะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาได้เช่นกัน     นี่คือ “Fire Escape Collapse” ภาพของคุณแม่คนหนึ่งและลูกสาวของเธอ ที่ตกลงมาจากบันไดหนีไฟในเหตุการณ์ไฟไหม้ และถูกถ่ายไว้อย่างพอดิบพอดีโดยช่างภาพนาม Stanley Forman นี่เป็นภาพที่ได้รับรางวัลสองชิ้นได้แก่รางวัล Pulitzer Prize และ World Press Photo of the Year ในปี 1976 และเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 1975     เรื่องราวของภาพนี้ก็ง่ายๆ ตรงๆ Diana Bryant คุณแม่วัย 19 ปีกับลูกสาววัย 2 ขวบของเธอหนีออกมาจากอาคารที่ไฟไหม้ในเมืองบอสตัน และกำลังยืนรอความช่วยเหลือจากนักดับเพลิงอยู่บนบันไดหนีไฟ     แต่ในระหว่างที่นักดับเพลิงกำลังจะยื่นบันไดรถดับเพลิงเข้าไปช่วยเหลือพวกเธอ บันไดหนีไฟก็หักลงมาเสียก่อน โดยจากการรายงานของนักดับเพลิงหญิงสาวผู้เป็นแม่เสียชีวิต ส่วนตัวเด็กนั้นรอดมาได้เพราะได้ร่างของแม่เป็นเบาะพอดี     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นภาพที่มักจะถูกนำไปเตือนสติการความปลอดภัยของอาคารในเวลาต่อมา ทำให้ที่บอสตันต้องมีการแก้ไขกฎหมายควบคุมคุณภาพของบันไดหนีไฟกับใหม่ เพื่อป้องกันไม่ใช่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก     ส่วนนักดับเพลิงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่คนส่วนมากก็เข้าใจกันดีว่าพวกเขาทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว และไม่ได้มีการกล่าวโทษทีมดับเพลิงแต่อย่างใด…

  • “ฟริทซ์ ฮาเบอร์” นักเคมีที่น้อยคนนักจะรู้จัก ผู้มีผลงานทั้งช่วยคน และฆ่าคนในเวลาเดียวกัน

    “ฟริทซ์ ฮาเบอร์” นักเคมีที่น้อยคนนักจะรู้จัก ผู้มีผลงานทั้งช่วยคน และฆ่าคนในเวลาเดียวกัน

    หากจู่ๆ พูดชื่อ “ฟริทซ์ ฮาเบอร์” ขึ้นมา เชื่อว่าคงมีคนไม่มากที่ร้องอ๋อขึ้นมาในทันที แต่รู้หรือไม่ว่าเขาคนนี้เป็นถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก และแก๊สสังหารฆ่าคนในเวลาเดียวกัน     ฟริทซ์ ฮาเบอร์ เป็นนักเคมีชาวเยอรมนี เกิดเมื่อปี 1868 ได้เข้าทำงานเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยคาลส์รูเออเมื่อปี 1894 และมีผลงานสำคัญคือการคิดค้นกระบวนการฮาเบอร์-บ็อช นี่เป็นปฏิกิริยาการตรึงไนโตรเจนของแก๊สไนโตรเจนและแก๊สไฮโดรเจน เพื่อใช้ผลิตแอมโมเนีย โดย แอมโมเนียเหล่านี้ ก็มักถูกนำใช้ไปในการทำปุ๋ยนั่นเอง     ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติปุ๋ยที่ผลิตจากแอมโมเนียเหล่านี้ ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกกว่าหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้ผลงานของฟริทซ์นับว่าเป็นอะไรที่สำคัญกับโลกใบนี้มากๆ อย่างไรก็ตามการคิดค้นกระบวนการฮาเบอร์-บ็อชไม่ใช่ผลงานเพียงอย่างเดียวของฟริทซ์ เพราะเขายังเป็นหนึ่งในผู้พัฒนา แก๊สคลอรีน และแก๊สพิษอื่นๆ ซึ่งมีการใช้งานในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกด้วย     ผลงานของฟริทซ์ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เขาได้รับฉายาว่า “บิดาแห่งสงครามเคมี” หลังจากนั้น แต่แม้ว่าเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในการพัฒนาอาวุธเคมีให้เยอรมนีต่อหลังจากที่สงครามจบ ผลงานที่เขาสร้างให้กับโลกก็ทรงคุณค่ามากพอที่จะทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 1918 อยู่ดี     ฟริทซ์ ฮาเบอร์เสียชีวิตในปี 1934 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในตอนที่เขาอายุได้ 65 ปี ทิ้งเอาไว้ซึ่งผลงานที่ทั้งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังหารผู้คนมากมายเอาไว้ อย่างไรก็ตามการกระทำของเขาอาจจะอธิบายได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ฟริทซ์เคยกล่าวว่า “ในยามสงบนักวิทยาศาสตร์จะเป็นของโลก แต่ในยามสงครามนักวิทยาศาสตร์จะเป็นของประเทศของเขา”…

  • ชาวอังกฤษประมูล ตำราเวทมนตร์โบราณที่ทำให้ “ผู้หญิงแก้ผ้าเต้นรำ” ในราคากว่า 9 แสนบาท

    ชาวอังกฤษประมูล ตำราเวทมนตร์โบราณที่ทำให้ “ผู้หญิงแก้ผ้าเต้นรำ” ในราคากว่า 9 แสนบาท

    สำหรับเหล่าคนที่สนใจในสิ่งลึกลับแล้ว ในหลายๆ ครั้ง หนังสือตำราเวทมนตร์โบราณก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากได้มาครอบครองกันเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำมาตำราเหล่านั้นใช้งานได้จริงหรือไม่     นั่นเป็นเหตุผลให้เมื่อล่าสุดนี้เองตำราเวทมนตร์จากศตวรรษที่ 17 ที่เขียนโดยหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม “Cunning Men of Essex” กลุ่มซึ่งมีเชื่อเสียงในฐานะของกลุ่มผู้ใช้เวทมนตร์ในอดีต ได้ถูกประมูลไปในราคาถึงราวๆ 9400,000 บาทเลยทีเดียว โดยนี่เป็นตำราเวทมนตร์ที่เชื่อกันว่ามีอายุราว 350 ปีและหนา 476 หน้า และเขียนขึ้นโดยอ้างอิงความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ของผู้คนในพื้นที่มณฑลเอสเซ็กซ์ของอังกฤษเป็นหลัก     ข้างในหนังสือเล่มนี้ บรรจุเวทมนตร์ไว้หลากหลายชนิดตั้งแต่ เวทที่ทำให้คนมาหลงรัก เวทลดน้ำหนัก เรื่อยไปยันเวทที่บอกว่าคนป่วยจะตายไหม แต่เวทมนตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดสนใจที่สุดในงานประมูลก็คงจะเป็น เวทที่ทำให้ผู้หญิงแก้ผ้าเต้นรำนั่นเอง เพราะตามที่ในหนังสือเล่มนี้บอก หากพูดว่า “Ala Aymala” หรือสลักคำนี้ไว้บนไขเทียน ผู้หญิงจะแก้ผ้าเต้นรำทันที     โดยจากที่บันทึกไว้ในตำรา ดูเหมือนว่าเวทมนตร์บทนี้จะใช้ได้แค่ในวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่เวทมนตร์ที่เขียนไว้ในตำรานี้จะใช้ได้จริงนั้นมีอยู่ต่ำมากๆ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นสินค้าประมูลที่น่าสนใจมากๆ ชิ้นหนึ่งสำหรับนักสะสมอยู่ดี     ส่วนเรื่องราวของกลุ่ม “Cunning Men of Essex” ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญด้านการใช้เวทมนตร์ในช่วงยุคกลาง และมีการสืบทอดเรื่อยมาจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเชื่อกันว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ใช้เวทมนตร์ต่อสู้กับศาสตร์ของแม่มด…

  • ชม 15 ภาพปอดเหล็กในอดีต ไปดูกันว่าโรคโปลิโอที่ยังไม่มีวัคซีน มันอันตรายขนาดไหน

    ชม 15 ภาพปอดเหล็กในอดีต ไปดูกันว่าโรคโปลิโอที่ยังไม่มีวัคซีน มันอันตรายขนาดไหน

    ในช่วงศตวรรษที่ 20 โรคโปลิโอได้กลายเป็นหนึ่งในโลกที่กลายเป็นที่น่าหวาดกลัวที่สุดของคนทั้งโลกไป มันทำให้เด็กเป็นแสนๆ คนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ และเมื่อติดเชื้อไปแล้วไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถรักษาได้เลย ในเวลานั้นทางเดียวที่จะช่วยเหลือคนที่เป็นโรคโปลิโอที่แพทย์มี ก็มีแค่ Iron lungs หรือ “ปอดเหล็ก” เท่านั้น โดยนี้เป็นเครื่องหายใจชนิดหนึ่ง และมีชื่อเสียงเรื่องขนาดที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้เราจะไปชม 15 ภาพปอดเหล็กในอดีต ไปดูกันดีกว่าว่าโรคโปลิโอในสมัยที่ยังไม่มีวัคซีนนั้น มันอันตรายขนาดไหนกัน   นี่คือ Iron lungs หรือ Drinker Respirator เครื่องมือยืดชีวิตคนเป็นโรคโปลิโอในสมัยก่อน   มันจะช่วยให้คนไข้สามารถหายใจได้ ด้วยการใช้แรงขับดันลม   อย่างไรก็ตามนอกจากหายใจแล้ว คนไข้ก็แทบจะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย   พวกเขาหันหัวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแทบไม่มีทางมองด้านหลังได้เลย   นั่นทำให้ปอดเหล็กในบางครั้งก็มีการติดกระจกไว้ให้   และมาในหลากหลายขนาด เพื่อใช้กับคนที่มีขนาดตัวต่างๆ กันไป   ปอดเหล็กมีทั้งขนาดเล็กสำหรับเด็กแรกเกิด   และบางครั้งก็มีรูปร่างแตกต่างไปตามรุ่นและสถานที่ที่ใช้งาน   ถึงอย่างนั้นปอดเหล็กก็มันจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะใช้งานอย่างสะดวกอยู่ดี   แถมในหลายๆ ครั้งคนเป็นโปลิโอขั้นร้ายแรงยังจำเป็นต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิตอีก   นั่นทำให้ในบางครั้งจึงต้องมีการใช้ปอดเหล็กสำหรับคนไข้หลายๆ คนพร้อมกัน   ไม่เช่นนั้นโรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยไปด้วยปอดเหล็กอย่างที่เห็น…

  • 5 อาชีพแปลกๆ แต่ก็มีอยู่จริงบนโลก แถมบางอันยังมีมาจนในปัจจุบันอีกด้วย

    5 อาชีพแปลกๆ แต่ก็มีอยู่จริงบนโลก แถมบางอันยังมีมาจนในปัจจุบันอีกด้วย

    โลกของเรานั้นมี งานให้เลือกทำมากมายมาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนตัดฟืน ชาวนา หรืออัศวิน และงานอื่นๆ อีกมากมายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่ในขณะเดียวกันในโลกใบนี้เองบางครั้งก็จะมีงานประหลาดๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำอยู่จริงๆ เช่นกัน เหมือนอย่างอาชีพแปลกๆ ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้   ตัวตลกประจำงานศพ นี่เป็นงานที่ทำกันอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 4 ในโรมันโบราณ เพื่อช่วยดึงความสนใจของแขกไปจากความเศร้าของการสูญเสียคนรัก ด้วยการล้อเล่นกับคนตาย หรือในบางครั้งก็เอาหน้ากากที่ทำจากหน้าคนตายมาใส่เลยด้วย แม้จะฟังดูไม่เคารพคนตายอยู่บ้าง แต่คงต้องบอกว่าแนวคิดของคนเรามันต่างกันไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมล่ะนะ   คนลองกลิ่นปาก นี่เป็นงานที่อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับการลองอาหารก็ได้ โดยงานของพวกเขาคือการไปดมกลิ่นปากสมชื่อ เพื่อใช้ในการอ้างอิงประสิทธิภาพของหมากฝรั่งหรือน้ำยาดับกลิ่นปากเป็นหลัก ที่สำคัญงานแบบนี้ยังมีอยู่ในปัจจุบันด้วย เพียงแต่หายากขึ้นมาก และเน้นไปที่การดมกลิ่นปากสัตว์เลี้ยงแทนนั่นเอง   คนเลี้ยงกา มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Ravenmaster” ซึ่งนับว่าเป็นชื่อที่เท่สุดๆ ถ้าไม่นับว่าจริงๆ แล้วงานนี้ก็แค่คนเลี้ยงนกนั่นล่ะ ซึ่งอาชีพนี้ก็เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษนั่นเอง โดยในสมัยนั้นมีความเชื่อว่าหอคอยแห่งลอนดอนจะต้องมีกาเฝ้าอยู่ 6 ตัว ไม่เช่นนั้นอังกฤษจะล่มสลาย ดังนั้นทางวังจึงมีการจ้างคนมาดูแลกาทั้งหก (และกาสำรอง) เพื่อให้มีกาบินอยู่ที่หอคอยเสมอๆ   คนรอสีแห้ง สำหรับคนที่ชอบวาดภาพสีน้ำ คงจะเคยรู้สึกรำคาญที่จะต้องรอให้สีน้ำแห้งกันมาบ้าง ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการจ้างคนมาค่อยดูสีให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ…

  • ชมเรื่องราวของ “แอนน์ ฮอดเจส” หญิงคนเดียวในโลก ที่นอนอยู่เฉยๆ ก็ถูกอุกกาบาตตกใส่

    ชมเรื่องราวของ “แอนน์ ฮอดเจส” หญิงคนเดียวในโลก ที่นอนอยู่เฉยๆ ก็ถูกอุกกาบาตตกใส่

    ว่ากันว่าทั้งชีวิตคนคนหนึ่งจะมีโอกาสโดยฟ้าผ่าเพียงแค่ 1 ใน 3,000 เท่านั้น ทั้งที่เราก็เห็นฟ้าผ่ากันอยู่บ่อยๆ ดังนั้นลองคิดดูสิว่าในชีวิตคนหนึ่งคนจะมีโอกาสโดนอุกกาบาตตกใส่สักเท่าไหร่กัน เพราะนี่คือเรื่องราวของ แอนน์ ฮอดเจส มนุษย์เพียงคนเดียวของโลกที่มีการรายงานว่าถูกอุกกาบาตตกใส่!!     เรื่องมันเกิดขึ้นในเมืองซิลาคอกา รัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1954 โดยในระหว่างที่เธอกำลังงีบอยู่ ก็มีอุกกาบาตหนัก 3.9 กิโลกรัมตกลงมากระแทกที่เหนือต้นขาของเธอเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอุกกาบาตลูกดังกล่าวจะตกทะลุหลังคาลงมาด้วยความเร็วสูงจนทะลุหลังคาเป็นรู และกระแทกเขากับวิทยุและเด้งมากระแทกกับแอนน์อีกที หลังคาและวิทยุจึงได้ช่วยลดแรงกระแทกของอุกกาบาตลงไปมาก     แต่ถึงแม้แรงกระแทกจะลดไปมากก็ตาม อุกกาบาตลูกดังกล่าวก็ทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้ให้เธออยู่ดี ในตอนแรกครอบครัวของแอนน์คิดว่าหินที่พบมาจากการแกล้งกันของเด็กๆ หรือไม่ก็ของที่หล่นมาจากเครื่องบินเท่านั้น แต่หลังจากมีการตรวจสอบหินที่พบ นักธรณีวิทยาก็บอกว่าหินที่ตกใส่แอนน์ มันมาจากนอกโลกต่างหาก     มีคนมากมายที่พยายามจะซื้ออุกกาบาตที่พบในช่วงแรกๆ ที่มีการประกาศข่าวของแอนน์ออกไปให้คนในประเทศรู้ ถึงขั้นที่ว่ามีคนยืนข้อเสนอให้เป็นเงินสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้นเลยด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากอุกกาบาตที่พบจำเป็นต้องถูกทัพอากาศตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน ดังนั้นตอนที่ครอบครัวของแอนน์ได้หินคืนมาหลังจากนั้นเกือบๆ ปี ก็ไม่มีใครสนใจที่จะซื้อหินก้อนดังกล่าวจากเธออีกแล้ว     นั่นทำให้แอนน์ตัดสินใจบริจาคหินอุกกาบาตลูกนั้นให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในแอละแบมาไป โดยที่ไม่ได้เงินใดๆ จากอุบัติเหตุในครั้งนี้เลย เธอใช้ชีวิตจนถึงปี 1972 แล้วจึงเสียชีวิตไปในวัย 52 ปีนั่นเอง   ที่มา rarehistoricalphotos และ allthatsinteresting

  • 22 ภาพร้านเหล้าเมื่อ 100 ปีก่อน ไปดูกันว่าต้นศตวรรษที่ 20 ร้านเหล้ามันมีหน้าตาแบบไหน

    22 ภาพร้านเหล้าเมื่อ 100 ปีก่อน ไปดูกันว่าต้นศตวรรษที่ 20 ร้านเหล้ามันมีหน้าตาแบบไหน

    เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ร้านเหล้า” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายยุคสมัย และแม้ว่าบางครั้งจะถูกเรียกด้วยชื่ออื่นๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมๆ แล้วมันก็เป็นสถานที่ที่คนมาดื่มของมึนเมาอยู่ดี จริงอยู่ที่ในปัจจุบันร้านเหล้าอาจจะเต็มไปด้วยแสงสี และบทเพลง ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าหากย้อนเวลาไปสักร้อยปี ร้านเหล้าที่เราเห็นจะต่างไปจากที่เราคุ้นเคยกันหรือไม่ เพราะในวันนี้เราจะไปชม 22 ภาพร้านเหล้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กัน ไปดูกันดีกว่าว่าเมื่อ 100 ปีก่อน ร้านเหล้ามันมีหน้าตาแบบไหนกัน   เริ่มกันที่ร้านเหล้า Old Absinthe ในนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1903   ซาลูนที่เท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1910   บาร์ใน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 1893   บาร์ของ J.W. Swart ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา 1885   ซาลูน Yellow Aster ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 1900   ซาลูนและโรงแรม Table Bluff ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 1889   บาร์ไม่ทราบชื่อในวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา 1907  …

  • ชม “Artist’s Shit” ผลงานศิลปะสุดแหวกจากปี 1961 ที่ทำให้อุจจาระราคาแพงกว่าทอง

    ชม “Artist’s Shit” ผลงานศิลปะสุดแหวกจากปี 1961 ที่ทำให้อุจจาระราคาแพงกว่าทอง

    ในอดีตมีคนเคยบอกว่าแทบทุกสิ่งเป็นงานศิลปะได้ขอเพียงมีจินตนาการ เชื่อว่าคำพูดคำนี้คงเป็นคำที่ใช้บรรยายผลงานของ Piero Manzoni ศิลปินชาวอิตาลีได้เป็นอย่างดีเลย     เพราะในปี 1961 นายคนนี้ได้ออกผลงานศิลปะสุดแปลกที่ไม่เหมือนใครออกมาให้โลกเห็น ด้วยการทำ “อุจจาระอัดกระป๋อง” ออกมาในชาวโลกได้ชื่นชมเสียเลย งานศิลปะชิ้นนี้มีชื่อว่า “Merda d’artista” ในภาษาอิตาลีหรือ “Artist’s Shit” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหากจะแปลแบบตรงๆ ก็คงจะเป็น “ขี้ศิลปิน” เลยนั่นเอง     ผลงานชิ้นนี้ถูกทำออกมาในรูปแบบของกระป๋องเหล็ก 90 กระป๋องที่มีตัวเลขกำกับ และมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ในภาษาอังกฤษ อิตาลี และเยอรมันว่า “Artist’s Shit บรรจุสิ่งหมักหมม 30 กรัม ผลิตและบรรจุภัณฑ์ ในเดือนพฤษภาคม 1961”  โดยผลงานชิ้นนี้เป็นการรวมแนวคิดที่หลากหลาย โดยหนึ่งในนั้นเป็นการแสดงเป็น “เอกลักษณ์” เฉพาะตัวของศิลปินเอาไว้ในผลงาน และหากมองกันแค่จุดนี้ “Artist’s Shit” ก็เป็นผลงานที่แสดงตัวตนของ Manzoni ไว้อย่างชัดเจนจริงๆ     ว่ากันว่าในสมัยก่อนพ่อของ Manzoni ซึ่งทำโรงงานอาหารกระป๋องเคยด่าเขาที่เลือกจะเป็นศิลปินว่า “งานของแกมันขี้ชัดๆ” เขาเลยได้ความคิดในการทำผลงานนี้ขึ้นมา แต่แทนที่ผลงานของเขาจะได้รับการตอบรับด้วยความรังเกียจ กลับมีคนจำนวนมากที่ชื่นชอบผลงานของ Manzoni โดยผลงานของเขามีราคาเฉลี่ยถึงกระป๋องล่ะ 37…

  • นักโบราณคดีพบ “ระบบทางลาด” อายุ 4,500 ปีที่อียิปต์ เชื่อช่วยไขปริศนาการสร้างพีระมิดได้

    นักโบราณคดีพบ “ระบบทางลาด” อายุ 4,500 ปีที่อียิปต์ เชื่อช่วยไขปริศนาการสร้างพีระมิดได้

    ความลับที่อยู่เบื้องหลังการสร้างพีระมิดแห่งอียิปต์นั้น แม้จะมีทฤษฎีมากมายถูกคิดค้นออกมาโดยนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอย่างไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี     อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางนักโบราณคดีของอียิปต์ก็ได้พบเข้ากับหลักฐานชิ้นใหม่ล่าสุด ที่อาจจะมาช่วยไขความลับเบื้องหลังการขนอิฐขนาดใหญ่ขึ้นไปบนพีระมิดแล้วก็เป็นได้ เพราะเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง ได้มีการค้นพบร่องรอยของ “ระบบทางลาด” เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 4,500 ปีใกล้ๆ กับเหมืองหินโบราณดี Hatnub ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของทะเลทรายในอียิปต์เข้าแล้ว     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสถาบันโบราณคดีแห่งประเทศฝรั่งเศสในกรุงไคโร และมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลในอังกฤษ โดยการค้นพบในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ว่าที่ว่าหินที่ใช้สร้างมหาพีระมิดแห่งกีซานั้น น่าจะถูกขนย้ายด้วยระบบเส้นทาง ที่มีทางลาดอยู่กลางบันไดคล้ายทางขึ้นลงบันไดสำหรับคนพิการในปัจจุบัน     Yannis Gourdon ผู้อำนวยการของภารกิจร่วมในครั้งนี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าระบบเส้นทางในลักษณะนี้จะทำให้มนุษย์สามารถขนย้ายหินขนาดใหญ่ผ่านทางลาดชันได้มากกว่าปกติ เป็นไปได้ว่าคนในสมัยก่อนจะวางหินบนเลื่อนที่ทำจากไม้ และใช้เชือกผูกเลื่อนไว้กับเสาไม้อีกที ซึ่งการทำแบบนี้ จะช่วยเพิ่มแรงในการดึงขึ้น ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายหินเป็นไปได้โดยง่ายนั่นเอง     นี่เป็นระบบที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน อย่างไรก็ตามเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานระบบดังกว่ามีการบันทึกไว้ในสมัยของฟาโรห์คูฟู ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการใช้งานทางลาดจะมีที่มามาจากในยุคสมัยดังกล่าวหรือก่อนหน้า จริงอยู่ว่านักวิทยาศาสตร์หลายๆ กลุ่มจะลงความเห็นกันว่าพีระมิดนั้นสร้างด้วยระบบทางลาดมานานแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เรามีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า “ประเภทของทางลาด” ที่เคยมีการใช้ในสมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่   หนึ่งในแนวคิดการใช้ทางลาดเพื่อสร้างพีระมิด   แต่ถึงแม้การค้นพบนี้จะไขปริศนาเรื่องวิธีใช้ทางลาดได้ แต่ปริศนาการสร้างพีระมิดแห่งอียิปต์นั้น ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่างอยู่ดี   ที่มา livescience, realmofhistory

  • เปิดประวัติมัมมี่ “ญวนนิตา” เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง อีกหนึ่งเหยื่อบูชายัญของเผ่าอินคา

    เปิดประวัติมัมมี่ “ญวนนิตา” เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง อีกหนึ่งเหยื่อบูชายัญของเผ่าอินคา

    หากพูดถึงมัมมี่ที่สมบูรณ์และมีคือเสียงที่สุดของเผ่าอินคา หลายๆ คนก็อาจจะคิดถึงเหยื่อบูชายัญเด็กทั้งสามคนแห่งภูเขาไฟ Llullaillaco ขึ้นมาก่อน (อ่านเรื่องราวของพวกเขาได้ที่นี่ ชม 3 มัมมี่เด็กอายุกว่า 500 ปี เผยรายละเอียดพิธีบูชายัญของ “เผ่าอินคา” ในอดีต) แต่เชื่อหรือไม่ว่าเด็กสามคนนี้ ไม่ใช่มัมมี่เพียงกลุ่มเดียวที่มีการพบจากการบูชายัญของเผ่าอินคาหรอก เพราะก่อนหน้านั้นที่จะมีการพบเด็กแห่งภูเขาไฟ Llullaillaco นักโบราณคดีก็เคยค้นพบมัมมี่เด็กอินคาร่างหนึ่งมาก่อนหน้านั้นแล้ว     นี่คือมัมมี่ของเด็กหญิงอายุราวๆ 12-15 ปีที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “ญวนนิตา” (Juanita) ซึ่งถูกค้นพบในปี 1995 ที่ภูเขาอัมปาโต (Ampato) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก เธอยังมีเส้นผมกับผิวหนังที่สมบูรณ์แทบไม่มีการเสื่อมสลายจากการที่ถูกเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำบนภูเขา และอาจจะไม่มีการค้นพบเลยก็ได้ หากน้ำแข็งบนภูเขาไม่ละลายจากการปะทุของภูเขาไฟใกล้ๆ   ด้วยสภาพสถานที่ที่เธอถูกค้นพบ ญวนนิตาในบางครั้งจึงถูกเรียกว่า “เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง”   ญวนนิตาเป็นเด็กหญิงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15 และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในเหยื่อของพิธี “Capacocha” ซึ่งเป็นความเชื่อในการบูชายัญของเผ่าอินคา พิธี Capacocha โดยรวมแล้วจะเป็นการส่งเหยื่อบูชายัญไปให้แก่พระเจ้าตามความเชื่อของชาวอินคา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์   ภาพด้านซ้ายเป็นภาพสถานที่ที่มีการพบร่างของญวนนิตา ซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่โดยอ้างอิงจากหลักฐานที่พบ   ดูเหมือนว่าเหยื่อบูชายัญจะมีการกำหนดไว้หลายปีก่อนที่จะมีการทำพิธีจริงๆ และเด็กที่ถูกเลือกก็มักจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เธอจะได้ทานทั้งผักและเนื้อสัตว์ แถมยังได้รับอนุญาตให้ดื่มสุราและใช้สารเสพติดจากต้นโคคา ดูเหมือนว่าการกระทำเหล่านี้จะทำลงไปเพื่อให้เหยื่อบูชายัญไม่ขัดขืนในระหว่างทำพิธี และก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลมากด้วย…

  • 5 การค้นพบทางประวัติศาสตร์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่าง “การก่อสร้าง”

    5 การค้นพบทางประวัติศาสตร์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่าง “การก่อสร้าง”

    ในขณะที่บนโลกใบนี้มีคนจำนวนมากพยายามตามหาของอย่างวัตถุโบราณด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี คนบางคนก็มักจะเจออะไรแปลกๆ โดยไม่ตั้งใจอยู่เสมอๆ และก็ไม่รู้ทำไมว่าคนเหล่านั้นก็มักจะเป็นช่างก่อสร้างเสียด้วย อาจจะเป็นเพราะงานประเทศนี้จะต้องมีการขุดทำลายสิ่งก่อสร้างอยู่บ่อยๆ ก็เป็นได้ ผลงานการค้นพบของพวกเขาจึงมากมายจริงๆ เหมือนกับ 5 การค้นพบทางประวัติศาสตร์สุดแปลก ที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างเหล่านี้   มัมมี่เด็กทารก ในอพาร์ตเมนต์ที่ปารีส ในปี 1850 มีคู่รักในปารีสคู่หนึ่งต้องการทำการปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาอยู่เล็กน้อยก็เลยมีการจ้างช่างก่อสร้างมาทำงาน แต่กลายเป็นว่าระหว่างทำงานกับกำแพงอยู่นั่นเองก็มีร่างของมัมมี่เด็กตกออกมาเสียอย่างนั้น ในช่วงแรกๆ ผู้คนสงสัยกันว่าเด็กที่พบน่าจะเป็นของคู่รักเจ้าของห้อง แต่จากการตรวจสอบของแพทย์แล้ว เชื่อกันว่าเด็กที่พบน่าจะเป็นมัมมี่อยู่ที่นั่นเป็นเวลานานกว่านั้นมากและไม่น่าใช่เด็กของคู่รักเจ้าของห้อง อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบเลยว่าเด็กคนดังกล่าวไปอยู่ในห้องได้อย่างไร   จดหมายถึงซานตาคลอส ในปล่องไฟ นี่เป็นจดหมายที่มีการพบในระหว่างการทุบทำลายบ้านหลังเก่าในอังกฤษ โดยเป็นของเด็กชายที่ชื่อดาวิด ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และมีข้อความที่ว่า “ถึงซานตาคลอส กรุณาส่ง Rupert annual (หนังสือการ์ตูน) ชอล์คหนึ่งกล่อง ของเล่นทหารกับอินเดียนแดง รองเท้าแตะ และของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณพอจะมอบให้ได้มาให้ผมหน่อย ด้วยรัก ดาวิด” โดยหลังจากพบจดหมายนี้ ที่อังกฤษก็มีการตามหาตัวเด็กชายคนนี้กันในโซเชียล จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็พบกับดาวิดที่แม้จะแก่มากแล้วแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ และจดหมายฉบับนี้ก็ได้กลับไปหาเจ้าของในที่สุด   มัมมี่เด็กอายุกว่า 700 ปี ถูกฝังไว้ใต้ถนน นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในระหว่างการซ่อมถนนในประเทศจีนในปี 2011 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของเด็กสาวที่มาจากราชวงศ์หมิง และมีความสมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ เธอถูกฝังไว้พร้อมๆ กับโลงศพขนาดใหญ่…

  • “รูบี บริดเจส” เด็กหญิงผิวสีคนแรกที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคนขาว และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ

    “รูบี บริดเจส” เด็กหญิงผิวสีคนแรกที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคนขาว และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ

    ในสมัยที่สังคมสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยการเหยียดผิว มีกฎที่รู้กันเองในสังคมถูกกำหนดขึ้นเพื่อไม่ให้คนผิวดำได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามใช้รถไฟบางสาย การห้ามใช้ม้านั่ง หรือกระทั่งการเปิดโรงเรียนเฉพาะคนขาว แต่ในบรรดาคนดำที่ในตอนนั้นยังจำใจก้มหน้ายอมรับความไม่เท่าเทียมอยู่ยังมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมเหล่านั้น     เพราะนี่คือเรื่องราวของรูบี บริดเจส เด็กหญิงผิวสีคนแรกที่ได้สิทธิ์เข้าโรงเรียนประถมของคนผิวขาวเมื่อปี 1960 นั่นเอง เดิมทีแล้วรูบี บริดเจสเป็นหนึ่งในเด็กแอฟริกันอเมริกันหลายคนที่เข้ารับการทดสอบความเหมาะสมว่าเธอจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนคนขาวได้หรือไม่ โดยนี่เป็นการสอบข้อเขียนที่ขึ้นชื่อว่ายากมากๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กผิวสีสอบผ่านโดยเฉพาะ เพื่อเป็นข้ออ้างให้โรงเรียนในนิวออร์ลีนส์สามารถแบ่งแยกสีผิวได้นานขึ้นอีกสักนิด     อย่างไรก็ตามในบรรดาคนที่สอบตกนั้นยังมีเด็กผิวสีถึงหกคนที่สามารถผ่านบททดสอบเหล่านี้ได้ด้วยดี และแน่นอนว่ารูบีก็เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น โดยเธอได้รับสิทธิ์เข้าเรียนที่โรงเรียนประถม William Frantz ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านนั่นเอง ภาพการเดินทางไปเข้าเรียนของรูบีในวันที่ 14 พฤศจิกายน 1960 นั่นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพที่เปลี่ยนแปลงสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะรัฐนิวออร์ลีนส์นั้นมีชื่อเสียงเรื่องรังเกียจคนดำสุดๆ มาก่อนด้วย     แน่นอนว่าการมาของรูบีไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ปกครองอื่นๆ เท่าไหร่ เพราะมีผู้ปกครองจำนวนมากที่พาเด็กๆ กลับบ้านทันทีหลังจากที่เห็นเธอ แถมทั้งโรงเรียนยังแทบไม่มีอาจารย์คนไหนยอมสอนเธอเลยด้วย คนคนเดียวที่สอนเธอไปตามปกติคือ Barbara Henry ที่มาจากเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซต และตัดสินใจสอนเธอต่อไป แม้ทั้งห้องจะมีเธอคนเดียวก็ตาม     จริงอยู่ว่าหลายวันหลังจากนั้นผู้ปกครองอื่นๆ ก็เริ่มพาเด็กกลับมาเรียนแต่ก็เป็นการมาพร้อมการประท้วงครั้งใหญ่ โดยทุกๆ ครั้งที่เด็กหญิงมาเรียนจะต้องมีคนมาชูป้ายต่อต้านเป็นจำนวนมาก เด็กหญิงถูกห้ามทานอาหารของโรงเรียน แถมการต่อต้านยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…

  • 5 สิ่งประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์ ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์

    5 สิ่งประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์ ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์

    เมื่อพูดถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งคนเราก็มักจะนึกถึงสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเอเลี่ยน วิญญาณ หรือไม่ก็องค์กรลับขึ้นมาก่อน แต่ในความจริงแล้วบนโลกของเรามีเรื่องที่ยังอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์มากกว่านั้น เรื่องเหล่านี้บางครั้งก็จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มาจากในอดีต ซึ่งมักเกิดจากการบันทึกที่ไม่ดี หรือเนื้อหาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีสิ่งประดิษฐ์ในอดีตมากมายที่ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจอธิบายได้เลยว่ามันทำงานอย่างไร เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้   เพลิงแห่งกรีก นี่เป็นสิ่งที่ถูกบันทึกไว้จากช่วงศตวรรษที่ 7 โดยเป็นปืนไฟที่ยิงออกมาจากเรือเพื่อเผาเรือลำอื่นๆ โดยมันจะ “เกาะติดผิว” และ “ไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำ” แม้นี่จะเป็นสิ่งที่ฟังดูเหมือนนาปาล์มไม่มีผิด แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าในศตวรรษที่ 7 จะมีคนทำนาปาล์มได้จริงๆ เหรอ และถึงแม้ว่าสูตรของเพลิงแห่งกรีกจะมีการบันทึกไว้ก็ตาม แต่ทางตระกูลที่เป็นเจ้าของก็ไม่เคยยอมเปิดเผยสูตรที่ว่าออกมาเลย   เหล็กดามัสกัส นี่คือเหล็กในตำนานของยุโรปสมัยก่อน ที่มีชื่อเสียงเรื่องลวดลายพิเศษ และเป็นความฝันของช่างตีเหล็กหลายๆ คน เพราะไม่มีใครเลยที่มีสูตรการสร้างเหล็กที่ว่านี้และได้รับการยอมรับว่าเป็นของจริง จริงอยู่ที่ว่าในปัจจุบันเราสามารถทำเหล็กที่มีลักษณะ “คล้ายๆ กัน” หรืออาจจะ “ดีกว่า” ออกมาได้แล้ว แต่เหล็กในตำนานที่เรียกว่าดามัสกัสก็ยังคงเป็นปริศนาของโลกใบนี้อยู่ดี   ตำราแห่งวอยนิช นี่เป็นตำราที่ถูกค้นพบในปี 1912 และเขียนด้วยรหัสลับที่ไม่มีใครอ่านออก กับภาพประหลาดจำนวนมาก อย่างไรก็ตามมันกลับดูมีแบบแผนเกินกว่าจะเป็นการเขียนมั่วๆ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีคนมากมายพยายามที่จะไขปริศนาหนังสือเล่มนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครไขมันได้แบบจริงๆ อยู่ดี โดยความหวังล่าสุดในการไขตำราแห่งวอยนิชนั้น อยู่ที่ผลงานวิจัยของนักวิจัยชาวแคนาดา ที่จะออกมาในเดือนตุลาคม…

  • “เฮราคลิออน” เมืองโบราณใต้นำแห่งอียิปต์ ตำนานจากอดีตที่กลายเป็นความจริง

    “เฮราคลิออน” เมืองโบราณใต้นำแห่งอียิปต์ ตำนานจากอดีตที่กลายเป็นความจริง

    เมื่อพูดถึงเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำหลายๆ คนก็อาจจะนึกถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่อย่าง “แอตแลนติส” ขึ้นมาเป็นแห่งแรก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วแอตแลนติสไม่ใช่เมืองใต้น้ำเพียงเมืองเดียวบนโลกใบนี้ เพราะที่อียิปต์เองก็มีเมืองใต้น้ำคล้ายๆ แอตแลนติสอยู่กับเขาเหมือนกัน     มันคือเมืองเฮราคลิออน (Heracleion) สถานที่ซึ่งจมลงใต้มหาสมุทรเมื่อราวๆ 1,200 ปีก่อน ที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2001 โดยทีมนักสำรวจที่มาที่นี่เพื่อตามหาเรือรบฝรั่งเศสที่เชื่อกันว่าจมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ แต่แทนที่จะเจอเรือรบอย่างที่คิดทีมนักสำรวจกลับได้พบกับ เมืองใต้นำที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยธรรมชาติ และห่างไกลจากโจรผู้ฉวยโอกาส ทำให้ในเมืองนั้นยังคงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง และสมบัติ     โดยการค้นพบที่น่าสนใจนั้นประกอบด้วย วิหารโบราณ รูปปั้นฟาโรห์ขนาดใหญ่ และรูปปั้นเทพต่างๆ ซึ่งมีขนาดเล็กลงมา สฟิงซ์ แผ่นจารึกในภาษากรีกกับอียิปต์ และโลงศพอีกเป็นจำนวนมาก     เท่านั้นยังไม่พอในเมืองแห่งนี้ยังมีซากเรืออยู่ถึง 64 ลำ และสมอเรืออีกกว่า 700 ชิ้น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเมืองแห่งนี้นั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่มาก่อน     ส่วนรูปปั้นที่มีการพบในเมืองนี้นั้น เชื่อว่าเป็นของฟาโรห์เนคทาเนโบที่หนึ่งซึ่งครองราชย์ในช่วง 378-362 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง     ที่จริงเมืองเฮราคลิออนนั้นเคยมีการพูดถึงมาก่อนแล้วโดยนักประวัติศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณนามว่า เฮอรอโดทัส (Herodotus) โดยอ้างว่าเฮราคลิออนเป็นเมืองที่เฮราคลีส (ก็เฮอร์คิวลีสนั่นล่ะ) เหยียบเป็นที่แรกในอียิปต์  …

  • “นาซิโน แอฟแฟร์” เหตุการณ์สุดโหดจากคำสั่งของสตาลิน ที่ทำให้คนฆ่าและกินกันเองบนเกาะร้าง

    “นาซิโน แอฟแฟร์” เหตุการณ์สุดโหดจากคำสั่งของสตาลิน ที่ทำให้คนฆ่าและกินกันเองบนเกาะร้าง

    การต่อสู้กันของคนกลุ่มหนึ่งบนพื้นที่ปิดแบบในเรื่องฮังเกอร์เกมส์ หรือแบทเทิลรอยัลนั้น เป็นเรื่องที่อาจจะฟังดูน่าสนุก แต่นั่นก็เป็นเพราะเราทราบกันดีว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งขึ้นเท่านั้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมนุษย์โดนจับไปขังรวมกันในเกาะร้าง ก่อนจะปล่อยให้ฆ่ากันเองเพื่อความอยู่รอดบนโลกจริงๆ เพราะนี่ชื่อสิ่งที่โจเซฟ สตาลินเคยทำกับนักโทษของเขานั่นเอง     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เรียกกันว่า “นาซิโน แอฟแฟร์” (Nazino Affair) เกิดขึ้นในช่วงปี 1933 ที่สตาลิน และพรรคพวก ออกคำสั่งให้จับใครก็ตามที่ “ทำความผิด” และส่งไปค่ายใช้แรงงานในไซบีเรีย อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เพราะค่ายใช้แรงงานที่ว่าส่วนหนึ่งไม่มีเครื่องมือทำงานอยู่เลยด้วยซ้ำ และเอาเข้าจริงๆ ที่เหล่านั้นส่วนมากก็เป็นเพียงสถานที่ที่สตาลินเอา “ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับสหภาพโซเวียต” มาขังไว้เฉยๆ เท่านั้น โดยหนึ่งในค่ายใช้แรงงานที่ว่าก็คือเกาะนาซิโน ซึ่งมีคนถูกส่งมาถึง 5,000-6,000 ราย แถมในจำนวนนั่น ยังมีนักโทษถึง 27 รายที่ตายไปเพราะความอดอยากก่อนจะมาถึงเกาะนี้อีกด้วย   เกาะนาซิโน บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “เกาะกินคน”   แต่คนที่ตายไปก่อนนั้นอาจจะถือว่าโชคดีแล้วก็ได้ เพราะในเวลาต่อมาคนที่อยู่บนเกาะกเริ่มรับรู้ถึงความโหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ นั่นเพราะที่เกาะนี้มีอาหารไม่เพียงพอต่อคนทั้งหมด เพาะปลูกยาก จะต่อแพหนีส่วนมากแพก็จมไประหว่างทางก่อน แถมต่อให้ล่องแพออกไปได้จริงทางโซเวียตก็เตรียมทหารเฝ้าน่านน้ำไว้แล้วอีกด้วย     นั่นทำให้เกิดการแย่งชิงเสบียงที่เหลืออยู่น้อยนิดกันในหมู่คนบนเกาะ จนนักโทษบางคนต้องกินแป้งละลายน้ำ และเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่คนบนเกาะเริ่มฆ่ากันเองเพื่อกินเนื้อมนุษย์เลย ความโกลาหลในครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องไปเป็นเดือนๆ จนในที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายนปีนั้นนักโทษทั้งหมดบนเกาะ…

  • ย้อนเบื้องหลังภาพ “การจูบ” ในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น อาจจะไม่โรแมนติกอย่างที่คิด…

    ย้อนเบื้องหลังภาพ “การจูบ” ในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น อาจจะไม่โรแมนติกอย่างที่คิด…

    14-15 สิงหาคม 1945 นับเป็นวันที่สำคัญมากๆ วันหนึ่งของทางสหรัฐอเมริกาเลยก็ไม่ผิดนัก เพราะนี่เป็นวันที่สหรัฐฯ ประกาศชัยชนะต่อกองทัพญี่ปุ่น และนำไปสู่การจบสงครามโลกครั้งที่สองลงอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา วันที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “Victory over Japan Day” หรือ “V-J Day” และกลายเป็นวันที่ผู้คนออกมาฉลองกันเต็มท้องถนนไปหมด     และในเวลานี้เองที่ช่างภาพจากนิตยสาร Time สามารถจับภาพกะลาสีเรือสหรัฐฯ จูบฉลองกับหญิงสาวบนถนนไทม์สแควในนครนิวยอร์ก จนกลายเป็นภาพอันเป็นสัญลักษณ์ของวันแห่งชัยชนะไป ว่าแต่รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังภาพที่เห็นนี้ มีเรื่องราวมากกว่าแค่จูบฉลองชัยชนะ เพราะภาพนี้ถูกถ่ายออกมาโดยช่างภาพที่ต่างกันสองคน จนกลายเป็นภาพที่มีการถกเถียงกันเรื่องการลอกงานไป     แต่การถกเถียงดังกล่าวกลับกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะทหารที่เห็นในภาพนั้น ไม่ได้รู้จักกับผู้หญิงที่เขาจูบมาก่อนเลย!! แถมจากคำบอกเล่าของฝ่ายหญิง เธอนั้นถูกฝ่ายชายใช้กำลังกึ่งๆ บังคับให้จูบอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอก่อนที่ฉากถ่ายรูปที่เห็นจะเกิดขึ้น George Mendonsa ชายที่เห็นในภาพยังเดินทางมาที่ไทม์สแควเพื่อดูหนังกับผู้หญิงที่จะกลายเป็นภรรยาของเขาในเวลาต่อมาอีกด้วย     โดยภรรยาของเขาให้ความเห็นกลับเรื่องนี้ในภายหลังว่า สามีของเธอไม่เคยจูบเธอแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเอาเรื่องชายหนุ่มอีกต่อไป ดูเหมือนว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นจะมาจากการที่เขาดื่มสุรามา และมองว่าหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นพยาบาลมาจากกองทัพเหมือนกัน เขาจึงกล้าที่จะจูบเธอ ไม่แปลกเลยที่การกระทำของเขาถูกมองว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนรุ่นหลัง อย่างไรก็ตามคนในสมัยก่อนเลือกที่จะยกโทษให้กับเขาด้วยเหตุผลที่ว่าสถานการณ์พาไปนั่นเอง   George Mendonsa ในวัยชรา  …

  • “เอริค ฮาร์ทมานน์” ตำนานปีศาจสีดำแห่งเยอรมนี ผู้ยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกร่วม 353 ลำ

    “เอริค ฮาร์ทมานน์” ตำนานปีศาจสีดำแห่งเยอรมนี ผู้ยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกร่วม 353 ลำ

    ในปี 1918 มันเฟรท ฟ็อน ริชท์โฮเฟิน หรือ  “เรดบารอน” ได้ทำสถิติยิงเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามตกกว่า 80 ลำไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อ่านเรื่องราวของเขาได้ที่ เปิดตำนาน “เรดบารอน” ปีศาจแห่งทัพอากาศเยอรมัน) ในเวลานั้นคงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่ทำลายสถิติของเขาได้อีกแล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ ในที่สุดก็มีนักบินที่มีฝีมือมากพอที่จะทำลายสถิติของเรดบารอนปรากฏตัวขึ้นในเยอรมนีจนได้ นี่คือเรื่องราวของ เอริค ฮาร์ทมานน์ (Erich Hartmann) ตำนาน “ปีศาจสีดำ” ผู้ยิงเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตร ตกไปทั้งหมดถึง 353 ลำเลยทีเดียว     เอริค ฮาร์ทมานน์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1922 และเดินทางไปมาระหว่างจีนกับเยอรมนีในช่วงต้นๆ ของชีวิต ก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในตอนที่อายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น เขาเข้าร่วมกองทัพเมื่อปี 1939 ในตอนที่อายุได้ 18 ปี และเริ่มต่อสู้บนน่านฟ้าเมื่อปี 1942 และในช่วงปลายปีนั้นเองเขาก็ยิงเครื่องบินโซเวียตตกไปแล้วสองลำ ก่อนที่จะเริ่มตำนานของตัวเองขึ้น ในเดือนเมษายน 1943 เอริคยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกไป 11 ลำ จนได้กลายเป็นเอซไพล็อตของกองบิน และในอีกสี่เดือนต่อมา เขาก็ยิงเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรตกไปอีกถึง 40 ลำเลยทีเดียว…

  • เรื่องราวของ เรือดำน้ำนาซี “U-1206” ที่ต้องจมไปตลอดกาลเพียงเพราะ “ห้องน้ำพัง”

    เรื่องราวของ เรือดำน้ำนาซี “U-1206” ที่ต้องจมไปตลอดกาลเพียงเพราะ “ห้องน้ำพัง”

    การใช้ชีวิตในเรือดำน้ำช่วงสงครามโลกนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะลูกเรือไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเรือที่ตัวเองอยู่ จะถูกโจมตีเมื่อไหร่ จริงอยู่ว่าการที่เรือดำน้ำจะถูกทำลายอาจจะมีเหตุผลหลากหลาย แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่า “ห้องน้ำ” จะกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เรือจมได้ ว่าแต่เชื่อไหมล่ะว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มันมีเรือดำน้ำที่จมเพราะห้องน้ำจริงๆ     เดิมทีแล้วการปล่อยสิ่งปฏิกูลลงสู่ท้องทะเลในเรือดำน้ำของเยอรมนีจะทำได้เพียงในน้ำตื้นเท่านั้น ปัญหาคือเมื่อสงครามดำเนินไปนานเข้า การที่เรือดำน้ำลอยลำอยู่เหนือน้ำก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากขึ้นไปด้วย นั่นทำให้ในปี 1945 เยอรมนีได้ คิดค้นระบบห้องน้ำแรงดันสูงขึ้น เพื่อให้เรือดำน้ำสามารถทิ้งสิ่งปฏิกูลได้ แม้ไม่มีการลอยลำขึ้นมาเหนือน้ำก็ตาม ระบบที่ว่านี้ทำงานโดยใช้ระบบแรงดัน และแอร์ล็อกในการปล่อยของเสียออกไปจากเรือดำน้ำ ทำให้มีการใช้งานค่อนข้างซับซ้อนจนต้องมีการฝึกลูกเรื่อเพื่อให้ใช้งานระบบที่ว่าอย่างถูกต้อง     โดยเรือ U-1206 ที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในทะเลเหนือเมื่อเดือนเมษายนปี 1945 ก็เป็นหนึ่งในเรือดำน้ำรุ่นใหม่ซึ่งใช้ระบบปล่อยสิ่งปฏิกูลที่ว่านั่นเอง ปัญหาคือหลังจากที่ออกเรือไปได้ไม่นาน กัปตันของเรือนาย Karl-Adolf Schlitt ก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้ห้องน้ำของเรือดูสักครั้ง แต่เขานั้นเขาไม่ได้เรียนวิธีใช้ห้องน้ำความดันสูงนี้มาก่อนเลย นั่นทำให้เขาไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้อย่างที่ควรจะเป็น และสุดท้ายก็จำเป็นต้องเรียกวิศวกรมาช่วยในที่สุด     แต่แทนที่เรื่องราวจะจบลงตรงนั้น พวกเขากลับสื่อสารกันไม่ดีจนวิศวกรเปิดวาล์วผิด ทำให้มีน้ำทะเลและสิ่งสกปรกทะลักเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนที่จะน้ำเหล่านั้นจะเริ่มไหลเข้าไปในตัวเรือ เนื่องจากในเรือดำน้ำมีสารเคมีมากมายที่จะกลายเป็นก๊าซคลอรีนเมื่อโดนน้ำ Schlitt จึงจำเป็นต้องสั่งให้เรือลอยลำเป็นการด่วนเพื่อกำจัดก๊าซคลอรีนที่เป็นพิษออกไป     และก็เป็นโชคร้ายของพวกเขาที่การลอยลำในครั้งนี้ทำให้เครื่องบินของอังกฤษเห็นเข้าพอดี เรือดำน้ำ U-1206 จึงถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก จนสุดท้าย Schlitt และลูกเรือที่เหลือจึงต้องสละเรืออย่างช่วยไม่ได้ไป Schlitt และลูกเรือจำนวนหนึ่งก็สามารถรอดชีวิตไปจนจบสงคราม เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป ส่วนเรือดำน้ำ U-1206 นั้นก็ยังคงจมอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลเหนือ…

  • พบทางลับใต้ดินในพีระมิดที่เทโอทิวาคาน เชื่อเป็น “ทางไปสู่ปรโลก” ตามแนวคิดชาวแอซเท็ก

    พบทางลับใต้ดินในพีระมิดที่เทโอทิวาคาน เชื่อเป็น “ทางไปสู่ปรโลก” ตามแนวคิดชาวแอซเท็ก

    เทโอทิวาคาน เป็นเมืองโบราณในประเทศเม็กซิโก ที่มีชื่อเสียงว่าเป็น “เมืองแห่งพีระมิด” และเป็นเมืองลึกลับที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างขึ้น     และเมื่อไม่นานนี้ ความลึกลับของเมืองเทโอทิวาคานก็เพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่งแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมายืนยันการค้นพบทางเดินลับใต้พีระมิดในเมืองแห่งนี้ด้วย นี่เป็นทางเดินที่ถูกสร้างไว้ใต้ “พีระมิดแห่งพระจันทร์” หนึ่งในสองพีระมิดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเทโอทิวาคาน และนำไปสู่ห้องลับซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดินอีกที     จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาห้องดังกล่าวอยู่ลึกลงไปใต้ดินราวๆ 8 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ราวๆ 15 เมตรเลยทีเดียว นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีความต้านทานไฟฟ้าในการสำรวจพีระมิด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงกับการขุดทำลายพื้นของพีระมิดเอง     โดยการสำรวจเมืองเทโอทิวาคานในครั้งนี้ อยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติ กับสถาบันธรณีฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติของเม็กซิโก ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าห้องใต้ดินที่พบน่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทำพิธีเกี่ยวกับความตายของชาวแอซเท็ก หรือใครก็ตามที่เคยอยู่ในเมืองนี้มาก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงการที่ห้องนี้ถูกฝังไว้ใต้ดินอาจจะมาจากแนวคิดเรื่องปรโลกก็เป็นได้ โดยห้องทำพิธีจะเป็นตัวแทนของโลกหลังความตาย ส่วนบันไดจะเป็นตัวแทนของทางสู่ปรโลก     เดิมทีแล้วความเป็นไปได้ที่ว่าพีระมิดแห่งนี้จะมีทางลับอยู่เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงตั้งแต่ที่มีการค้นพบเทโอทิวาคานในยุคแรกๆ แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันการมีอยู่ของห้องลับได้จริงๆ และแม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มีรายงานที่ว่าจะมีการขุดค้นพีระมิดแห่งพระจันทร์เพื่อสำรวจห้องลับใต้ดินที่พบหรือไม่ แต่จากวัตถุโบราณหลายๆ ชิ้นในพีระมิดนี้ นักโบราณคดี ก็เชื่อว่าห้องที่อยู่ในห้องลับใต้ดินนั้น น่าจะเป็นกระดูกของเหยื่อบูชายัญ เครื่องประดับโบราณ และเพชรพลอยเช่นเดียวกับที่ผ่านๆ มานั่นเอง     ส่วนเรื่องที่ว่าใน “พีระมิดแห่งพระอาทิตย์” จะมีห้องลับแบบนี้เช่นกันหรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป   ที่มา history, iflscience

  • เปิดประวัติ “บ้านผีสิง” เครื่องเล่นยอดฮิตในสวนสนุก ที่เกิดขึ้นมาเพราะ “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ”

    เปิดประวัติ “บ้านผีสิง” เครื่องเล่นยอดฮิตในสวนสนุก ที่เกิดขึ้นมาเพราะ “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ”

    สำหรับคนที่ชื่นชอบในการท้าทายกลับความกลัวแล้ว บ้านผีสิงคงเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่น่าสนใจที่สุดในสวนสนุกเลยก็เป็นได้ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าบ้านผีสิงพวกนี้มันดังขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน     ไม่มีใครทราบว่าตำนานบ้านผีสิงของจริงนั้น เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ในทางกลับกัน บ้านผีสิงแบบหลอกๆ ที่เราเห็นจัดกันในงานวัด งานโรงเรียน หรือสวนสนุกนั้นกลับเพิ่งโด่งดังขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ต้องบอกว่าเดิมทีแล้วในวันฮาโลวีนที่ต่างประเทศนั้น จะคล้ายกับวันปล่อยผีที่จะให้เด็กๆ แกล้งคนอื่นได้ตามใจ ถึงขั้นที่ว่าในปี 1879 เด็กในรัฐเคนตักกี้ของสหรัฐฯ ถึงกับเอาศพคนไปวางไว้ที่รางรถไฟเพื่อให้คนกลัวเลย     การแกล้งแรงๆ แบบนี้แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้างแต่ก็ถูกปล่อยผ่านเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 1933 ที่สหรัฐฯ กำลังพบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ความเครียดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในประเทศก็พุ่งถึงขีดสุดจนได้ การแกล้งกันในปีนั้นรุนแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ มีทั้งการตัดสายโทรศัพท์ หรือการพลิกรถที่จอดอยู่เลยทีเดียว จนถึงขั้นที่ว่าฮาโลวีนในปีนั้นโดนเรียกว่า “ฮาโลวีนสีดำ” เลยทีเดียว     นั่นทำให้บางเมืองในสหรัฐฯ คิดจะแบนวันฮาโลวีนไปเลย แต่ก็นับว่าโชคดีที่อีกหลายๆ เมืองร่วมกันคิดวิธีที่จะ “ควบคุม” เด็กๆ ในวันฮาโลวีนขึ้นมาแทน นี่เป็นจุดกำเนิดของธรรมเนียมในวันฮาโลวีนหลายๆ อย่าง โดยหนึ่งในนั้นคือการจัดงานปาร์ตี้และ “บ้านผีสิง” ที่ทำขึ้นเองในบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ออกไปก่อเรื่องข้างนอก และกลายเป็นที่นิยมของประชาชนไปในปี 1937     อันที่จริงสิ่งดึงดูดความสนใจในรูปแบบคล้ายๆ บ้านผีสิง มีการใช้งานมาตั้งแต่ในยุค…

  • ชม “จอห์น ทอร์ริงตัน” มัมมี่น้ำแข็งแห่งทีมสำรวจขั้วโลก ที่ผ่านมาเป็นร้อยปีก็ยังไม่เน่า

    ชม “จอห์น ทอร์ริงตัน” มัมมี่น้ำแข็งแห่งทีมสำรวจขั้วโลก ที่ผ่านมาเป็นร้อยปีก็ยังไม่เน่า

    คณะสำรวจของจอห์น แฟรงคลินนั้น เรียกได้ว่าเป็นคณะสำรวจที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านความลึกลับเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อราวๆ 170 ปีก่อน คณะสำรวจกว่า 134 คนของเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ในระหว่างการออกเดินทางไปยังมหาสมุทธอาร์กติก และไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา   จอห์น แฟรงคลิน ผู้นำคณะสำรวจที่หายไปอย่างลึกลับ   อย่างไรก็ตามในบรรดาลูกเรือที่หายไปของแฟรงคลิน มีการพบศพลูกเรือคนหนึ่งภายหลัง และกลายเป็นหนึ่งในลูกเรือที่มีคือเสียงที่สุดของจอห์น แฟรงคลินไป เขาคือจอห์น ทอร์ริงตันหนุ่มชาวอังกฤษวัย 20 ปี ที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางสำรวจของแฟรงคลิน และถูกฝังเอาไว้ที่อาร์กติกแคนาดา เมื่อปี 1846     ทอร์ริงตันถูกพบในปี 1984 พร้อมกับโลงศพสีดำของเขา และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขาเน่าเปื่อยลงไปอย่างที่ควรเป็นเลย จากการตรวจสอบมัมมี่ที่พบดูเหมือนว่าทอร์ริงตันจะถูกเก็บรักษาไว้ด้วยสภาพอากาศในพื้นที่ซึ่งทั้งเย็นและมีความชื้นต่ำ และกลายเป็นมัมมี่ไปในสภาพที่ยังยิงฟัน และดวงตาเปิดโพลงค้างไว้อย่างน่ากลัว     เป็นไปได้ว่าหนวดเคราของเขาจะถูกโกนออกไปหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว และเป็นไปได้ว่าร่างของเขาถูกเก็บไว้ในระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการฝังที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่แม้ว่าจะมีการตรวจสอบศพไปเท่าไหร่ นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจฟันธงได้ว่าเขาเสียชีวิตเพราะอะไร จริงอยู่ว่าเขามีน้ำหนักน้อยมากซึ่งมาจากการขาดอาหารที่มีคุณภาพ แต่ในขณะเดียวกันในตัวของเขาก็มีสารตะกั่วตกค้างอยู่มากด้วย   โลงศพของทอร์ริงตันที่มีการค้นพบเมื่อปี 1984   นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าทอร์ริงตันจะเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม ความอดอยาก หรือการได้รับพิษสารตะกั่วเกินขนาดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม การที่ทอร์ริงตันถูกฝังก็หมายความว่าในตอนที่เขาตาย ต้องมีลูกเรืออย่างน้อยๆ หนึ่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่และฝังเขา…

  • ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย

    ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย

    ชาวอะบอริจินเป็นกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเผ่าหนึ่งของโลก และเชื่อกันว่าพวกเขาอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่ทวีปออสเตรเลียหลายพันปีก่อนคนขาวอีก แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของชาวอะบอริจินมีมาก่อนหน้านั้นนานกว่าที่คิด     เพราะจากหลักฐานการทดสอบทางพันธุกรรม ชาวอะบอริจินนั้น มีร่องรอยทางพันธุกรรมสามารถย้อนรอยกลับไปได้ถึง 75,000 ปีก่อน ซึ่งเก่าแก่กว่ากลุ่มบรรพบุรุษอื่นๆ ของมนุษย์ที่สามารถย้อนรอยกลับไปได้เพียง 42,000 ปีเท่านั้น นั่นทำให้ในปัจจุบันชาวอะบอริจินถือว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยนี่เป็นผลการทดลองจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่ได้จากการเก็บตัวอย่าง DNA จากน้ำลายของชาวอะบอริจิน 83 คน กับ DNA ของชนพื้นเมืองที่ปาปัวนิวกินี 25 คน     การค้นพบในครั้งนี้นำมาซึ่งแนวคิดที่ว่า สายพันธุกรรมของชาวอะบอริจิน น่าจะแยกออกมาจากกลุ่มชาวยูเรเชียที่อพยพออกมาจากทวีปแอฟริกาเมื่อราวๆ 57,000 ปีก่อนอีกที ดูเหมือนว่าชาวอะบอริจินจะเดินทางไปยังออสเตรเลียหลังจากนั้น และมาสร้างอารยธรรมที่ทวีปออสเตรเลีย ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วชาวอะบอริจินกับชนพื้นเมืองที่ปาปัวนิวกินีจะเคยมีเชื้อสายเดียวกันมาก่อนอีกด้วย และเพิ่งจะถูกแยกสายพันธุกรรมกันเมื่อราวๆ 37,000 ปีก่อนนี้เอง     โดยเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่ามาจากการที่เดิมทีแล้วออสเตรเลียกับปาปัวนิวกินีน่าจะเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน ก่อนที่จะถูกแยกออกจากกันจากสายน้ำ ทำให้ชนพื้นเมืองที่อยู่ที่นี่ถูกแยกออกเป็นสองกลุ่มในภายหลัง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน การที่ชาวอะบอริจินถูกจัดเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากอยู่ดี เพราะนี่หมายความว่าอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดยังมีชีวิตอยู่แม้ในปัจจุบันนั่นเอง   ที่มา history, cnn, allthatsinteresting

  • “การกระโจนสู่เสรีภาพ” ภาพของผู้ไขว่คว้าหาเสรีภาพ กับเรื่องราวที่น่าเศร้ากว่าที่เห็น

    “การกระโจนสู่เสรีภาพ” ภาพของผู้ไขว่คว้าหาเสรีภาพ กับเรื่องราวที่น่าเศร้ากว่าที่เห็น

    เป็นที่รู้กันว่าในช่วงสงครามเย็น มีคนมากมายที่พยายามจะแอบหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออกของโซเวียตและปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกที่ปกครองด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร แน่นอนว่าหลังจากที่มีการก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมา การทำแบบนั้นก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทราบหรือไม่ว่าในช่วงต้นๆ ของความขัดแย้งนี้ การหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออก มันเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการ “การกระโจนสู่เสรีภาพ” เท่านั้น     นี่คือภาพของคอนราด ชูมานทหารยามวัย 19 ปี ของเยอรมันตะวันออก ในขณะที่เขาตัดสินใจกระโดดข้ามเขตแดนเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตกในปี 1961 และกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นี่เป็นการกระทำในสมัยที่เขตแดนเบอร์ลินยังมีเพียงแค่รั้วลวดหนามกั้นไว้ และเป็นช่วงเวลาที่ตัวกำแพงกำลังเริ่มสร้างได้เพียงแค่ 3 วัน     ถึงอย่างนั้นนี่ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่คอนราดจะสามารถหนีข้ามฝั่งไปได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นคนในทางเยอรมันตะวันตกตะโกนมาหาเขาแบบกึ่งๆ ท้าทายว่า “ข้ามมาสิ” คอนราดก็ตัดสินใจโดดข้ามฝั่งมันในตอนนั้นเลย ภาพของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของชายผู้แสวงหาเสรีภาพหลังจากนั้น และได้รับรางวัลมากมายจากสื่อมวลชน  อย่างไรก็ตามสำหรับตัวคอนราดแล้ว การตัดสินใจในวันนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ดี และความน่าอับอายในเวลาเดียวกัน     นั่นเพราะสำหรับคนที่เป็นทหารอย่างเขา การแปรพักตร์มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แถมเขายังรู้สึกไม่ดีต่อครอบครัวที่เขาทิ้งไว้ที่เยอรมันตะวันออกตลอดมา คอนราดได้ไปอาศัยอยู่ที่บาวาเรียและสร้างครอบครัวใหม่หลังจากนั้น และกว่าที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นอิสระจริงๆ มันก็หลังจากที่กำแพงเบอร์ลินโดนถล่มในปี 1989   คอนราดและภาพของเขา 20 ปีหลังจากการกระโดดครั้งนั้น   น่าเศร้าที่เรื่องราวของคอนราดไม่ได้จบลงโดยดีสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่สามารถกลับไปพบกลับครอบครัวอีกครั้งคอนราด ก็พบว่าไม่มีใครในบ้านอยากนับญาติกับเขาอีกต่อไปแล้ว ท้ายที่สุดในวันที่…

  • รู้หรือไม่ ราชาโคเคน “ปาโบล เอสโคบาร์” เคยทำให้ “ฮิปโปโปเตมัส” ล้นประเทศโคลอมเบีย

    รู้หรือไม่ ราชาโคเคน “ปาโบล เอสโคบาร์” เคยทำให้ “ฮิปโปโปเตมัส” ล้นประเทศโคลอมเบีย

    เคยได้ยินเรื่องของ “ปาโบล เอสโคบาร์” กันไหม นายคนนี้คือราชาโคเคนที่มีชื่อเสียงในฐานะ อาชญากรที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์     เขามีอำนาจมากขนาดไหนงั้นเหรอ? ก็ถึงขนาดที่ทางโคลอมเบียต้องทำสัญญาขอให้เขาสร้างคุกขังตัวเองเลยทีเดียว!! ซึ่งแน่นอนว่าอาชญากรที่มีอำนาจขนาดนี้ ย่อมต้องมาพร้อมกับความผิดยาวเป็นหางว่าวเป็นธรรมดา ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าหนึ่งในความผิดของปาโบล เอสโคบาร์ มีเรื่องแปลกๆ ที่ว่าเขาทำฮิปโปล้นประเทศมาแล้วด้วย!!     เรื่องของเรื่องคือในช่วงยุค 80 เอสโคบาร์เหลือเงินอยู่เยอะมากๆ (ช่วงนั้นเขาทำเงินได้ราวๆ วันละ 2,000 ล้านบาท) เขาก็เลยลงทุนสร้างสวนสัตว์ขึ้นมาเสียเลย ในสวนสัตว์ของเขามีสัตว์แปลกๆ อยู่เพียบ และในบรรดาสัตว์ที่เขาเอามาเลี้ยงในสวนสัตว์นี้ (ด้วยการนำเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย) ก็คือฮิปโปจำนวน 4 ตัวนั่นเอง     จริงอยู่ว่าฮิปโปอาจจะดูเป็นสัตว์ที่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในแอฟริกามีคนตายเพราะฮิปโปราวๆ ปีละ 500 รายเลยทีเดียว ลองนึกภาพว่าสัตว์แบบนั้นหลุดออกมาจากสวนสัตว์ดูสิ เพราะในตอนที่ เอสโคบาร์ โดนยิงตาย รัฐบาลโคลอมเบียก็ได้เข้ามาดูแลสวนสัตว์ของเขาแทน โดยในช่วงนั้นได้มีการเอาสัตว์ที่อยู่ที่นั่นส่งไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกทั้งที่เป็นสวนสัตว์ และศูนย์อนุรักษ์ ปัญหาคือฮิปโปนั้นถูกทิ้งไว้ในสวนสัตว์เดิมของมัน แถมวันหนึ่งมันยังหนีออกไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้สำเร็จด้วย     ด้วยความที่ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ ฮิปโปจากสวนสัตว์เหล่านี้จึงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนจากที่เคยมีแค่ 4 ตัว ในปี…

  • นักโบราณคดีพบโบราณวัตถุมีล้ำค่า หลังมีโจรขับรถพุ่งชนร้านค้าในอังกฤษเพื่อขโมยตู้ ATM

    นักโบราณคดีพบโบราณวัตถุมีล้ำค่า หลังมีโจรขับรถพุ่งชนร้านค้าในอังกฤษเพื่อขโมยตู้ ATM

    เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในมณฑลเอสเซกซ์ประเทศอังกฤษได้เกิดเหตุถูกคนร้ายนำรถพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง เพื่อหวังขโมยตู้ ATM แม้ว่าคนร้ายในวันนั้นจะต้องกลับไปมือเปล่า แต่ร้านค้าแห่งนี้ก็ต้องเสียหายอย่างหนัก และต้องมีการซ่อมแซมบริเวณหน้าร้านกันเป็นเวลานาน     แต่แล้วในความโชคร้ายเหล่านั้น เมื่อล่าสุดนี้เองทางร้านก็ได้พบกับเรื่องดีๆ จนได้ เพราะในระหว่างการซ่อมแซมร้านนั่นเอง พวกเขาก็พบกับวัตถุโบราณฝังไว้ใต้พื้นร้านเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าก่อนที่จะกลายมาเป็นร้านค้า ที่แห่งนี้จะเคยเป็นบ้านเก่าแก่ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1520 และที่ใต้ร้านนั้นเองก็ได้มีการขุดพบเตาผิงแบบยุคกลาง พร้อมกับวัตถุโบราณอีกจำนวนหนึ่ง     เตาผิงที่พบนั้นเชื่อกันว่ามาจากช่วงศตวรรษที่ 15 และมีความเก่าแก่กว่าตัวบ้านโบราณเสียอีก ซึ่งแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพบเตาผิงแบบนี้ในประเทศ แต่มันก็เป็นเตาพิงแบบที่ค่อนข้างหาได้ยากในอังกฤษอยู่ดี ส่วนวัตถุโบราณที่พบเป็นของที่มาจากศตวรรษที่ 16-18 เช่นหม้อน้ำแบบมีขาตั้งสามขาจากยุคราชวงศ์ทิวดอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าใช้ในการขับไล่สิ่งชั่วร้ายในสมัยก่อน     โดยทางนักโบราณคดีได้กล่าวว่า พวกเขาดีใจมากกับการค้นพบครั้งสำคัญในครั้งนี้ เพราะนี้อาจจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่ข้อมูลของพ่อค้ารายใหญ่ที่เคยอาศัยและทำการค้าอยู่ที่นี่ในอดีตก็เป็นได้ และแม้ว่าการค้นพบครั้งสำคัญนี้จะทำให้การซ่อมแซมช้าลงไปบ้างก็ตาม แต่ในที่สุดร้านค้าแห่งนี้ก็จะกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 30 ตุลาคม 2018 นี้   ที่มา metro, livescience และ eadt

  • เปิดตำนาน “อินทรีโลหิต” การลงทัณฑ์ของไวกิ้ง ที่โหดสุดๆ จนไม่มีใครเชื่อว่ามีการใช้งานจริงๆ

    เปิดตำนาน “อินทรีโลหิต” การลงทัณฑ์ของไวกิ้ง ที่โหดสุดๆ จนไม่มีใครเชื่อว่ามีการใช้งานจริงๆ

    เคยได้ยินเรื่อง “Blood Eagle” หรือ “อินทรีโลหิต” ของไวกิ้งกันมาก่อนไหม นี่เป็นการทรมานและประหารชีวิตโดยการหักกระดูกซี่โครง และกระดูกสันหลังของเหยื่อมาทำเป็น “ปีก” ให้กับเหยื่อ แถมบางครั้งยังดึงปอดออกมาด้วย     นี่เป็นวิธีการลงโทษที่ปรากฏออกมาในกลุ่มชาวสแกนดิเนเวียโบราณ ที่อ้างว่าเหยื่อจะยังคงมีชีวิตจนกว่าจะจบการลงโทษ และถูกอธิบายไว้อย่างละเอียดในตำนานและเรื่องเล่าหลายเรื่องในสมัยนั้น การลงโทษแบบอินทรีโลหิตที่เก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 867 หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย เมื่อราชาแห่งนอร์ทัมเบรีย (มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษในปัจจุบัน) ฆ่าผู้นำของไวกิ้งด้วยการโยนใส่หลุมงูพิษ   Ragnar Lothbrok ผู้นำของไวกิ้งที่ถูกฆ่า   นั่นทำให้ลูกชายของผู้นำไวกิ้งโกรธมากจนบุกอังกฤษ และจับราชาแห่งนอร์ทัมเบรียสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วย วิธีอินทรีโลหิต อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าวิธีการประหารแบบอินทรีโลหิตนั้นน่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งและไม่มีอยู่การใช้งานจริงๆ เพราะการที่อ้างว่าเหยื่อจะยังมีชีวิตตลอดกระบวนการนั้นเป็นไปได้ยากมาก นอกจากนี้เรื่องของราชาแห่งนอร์ทัมเบรียที่กล่าวมาก็มีจุดบอดอยู่มาก เช่นเรื่องที่ในนอร์ทัมเบรียนั้นแทบไม่มีงูพิษเนื่องจากอากาศหนาวเกินไป ทำให้การฆ่าผู้นำไวกิ้งด้วยการโยนใส่หลุมที่เต็มไปด้วยงูพิษเป็นไปได้ยาก   ภาพราชาแห่งนอร์ทัมเบรียในตอนที่ทราบข่าวการมาล้างแค้นของไวกิ้ง   เป็นไปได้ว่าอินทรีโลหิตจะเป็นเพียงเรื่องเล่าในสมัยก่อนที่ทำขึ้นเพียงเพื่อให้ภาพลักษณ์ของไวกิ้งดูน่ากลัวก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามการลงทัณฑ์แบบอินทรีโลหิตนั้นไม่ได้เกิดกับราชาแห่งนอร์ทัมเบรียคนเดียวเท่านั้น เพราะมีเรื่องเล่าว่าราชาอื่นๆ อย่างน้อย 4 คนก็ถูกประหารด้วยวิธีนี้ นอกจากนี้อินทรีโลหิตยังมีขั้นตอนการลงมือสืบทอดต่อกันมาในยุคสมัยที่ละเอียดเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ไม่เคยมีการใช้มาจริงๆ แต่หากจะทำก็จะสามารถทำได้จริงอย่างสมบูรณ์แบบ (แต่ไม่รับประกันว่าเหยื่อจะรอดจนสุดกระบวนการรึเปล่านะ)   บันทึกบนแผ่นหินของไวกิ้งที่มีการแสดงภาพการทำพิธีที่คล้ายกับอินทรีโลหิต   และแม้ว่า อินทรีโลหิต “อาจจะ” เป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม…

  • นักโบราณคดีพบโครงกระดูกครอบครัวนอนกอดกันในปอมเปอี คาดเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิด

    นักโบราณคดีพบโครงกระดูกครอบครัวนอนกอดกันในปอมเปอี คาดเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิด

    นับตั้งแต่ที่โดเมนีโก ฟอนตานาค้นพบซากเมืองปอมเปอีในช่วงศตวรรษที่ 16 เวลาก็ผ่านเลยมาแล้วกว่า 300 ปี ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมีการค้นพบอะไรใหม่ๆ ในเมืองแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ แม้แต่ในปัจจุบัน และล่าสุดนี้เองก็ได้มีการค้นพบครั้งใหม่เกิดขึ้นที่เมืองแห่งนี้อีกครั้ง โดยคราวนี้นักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกจำนวนหนึ่งซึ่งถูกฝังอยู่ที่ห้องเล็กๆ ในมุมหนึ่งของเมืองปอมเปอี     นี่เป็นโครงกระดูกที่เชื่อกันว่าเป็นของครอบครัวคนสมัยก่อนที่เสียชีวิตไปในขณะที่กำลังกอดกัน ในเหตุการณ์ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดเมื่อปีคริสต์ศักราชที่ 79 โดยจากการรายงานของทางสื่อของอิตาลี โครงกระดูกที่พบเป็นของคนห้าคน ซึ่งประกอบด้วยผู้หญิงสองคน และเด็กอีกสามคน ซึ่งเป็นไปได้ว่าหนีเข้าไปในห้อง และมีร่องรอยของการนำเฟอร์นิเจอร์ไปกั้นประตูไว้ด้วย     โชคร้ายที่หลังคาของห้องที่ครอบครัวนี้เข้าไปหลบไม่แข็งแรง มันจึงพังลงมาทับร่างของพวกเธอ ก่อนที่ความร้อนจากภูเขาไฟจะเผาร่างของครอบครัวผู้โชคร้ายไป เป็นเรื่องแปลกมากที่โครงกระดูกที่พบนั้นไม่ได้ถูกรบกวนหรือเคลื่อนย้ายเลยตลอดเวลาเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา เพราะบริเวณที่มีการพบโครงกระดูกเหล่านี้นับว่าเป็นพื้นที่ที่มีโจรบุกรุกเข้ามาอยู่บ่อยครั้งในสมัยก่อน     ในบริเวณใกล้ๆ กับห้องที่มีโครงกระดูก นักโบราณคดียังมีการค้นพบเหรียญเงินจากศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพื้นที่บริเวณนี้เคยมีโจรผ่านมาสำรวจหาของมีค่า และแม้ว่าการค้นพบโครงกระดูกในครั้งนี้จะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก แต่มันก็ไม่ใช่การค้นพบสำคัญๆ เพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้     เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นพบร่องรอยบันทึกบนผนังที่อาจจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะล้มล้างแนวคิดที่ว่าภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดขึ้นในเดือนสิงหาคมอีกด้วย (อ่านข่าวเกี่ยวกับการค้นพบที่ว่าได้ที่นี่ ข้อความบนผนังจากอดีตเผย “ภูเขาไฟวิสุเวียส” อาจปะทุช้ากว่าที่เราคาดการถึง 2 เดือน)     โดยการค้นพบทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจครั้งใหญ่ในเมืองปอมเปอี ซึ่งเป็นการสำรวจครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ช่วงยุค…

  • “Aid From The Padre” ภาพของนักบวชผู้กล้า ที่ฝ่ากระสุนเข้าไปหาทหารที่บาดเจ็บ

    “Aid From The Padre” ภาพของนักบวชผู้กล้า ที่ฝ่ากระสุนเข้าไปหาทหารที่บาดเจ็บ

    จะเกิดอะไรขึ้นหากนักบวชคนหนึ่งต้องมาเห็นทหารบาดเจ็บสาหัสจากการถูกซุ่มยิง ซึ่งสำหรับนักบวช Luis Padilla แล้ว เขาเลือกที่จะวิ่งเข้าไปหาทหารคนนั้น     นี่คือภาพของนักบวช Padilla ที่กำลังพยุงร่างของทหารที่บาดเจ็บกลางดงกระสุน ในระหว่างการจลาจลต่อต้านประธานาธิบดีในเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1962 ดูเหมือนว่าที่ Padilla เสี่ยงชีวิตมาในพื้นที่ต่อสู้นั้น เขาจะมีเป้าหมายเพียงแค่การสวดส่งวิญญาณให้กับทหารที่ตายไปก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นทหารที่ยังมีโอกาสรอด Padilla ก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปช่วยเขาไว้     นับว่าโชคดีมากที่ทางศัตรูเองก็คิดหนักกับการยิงนักบวช (ทั้งในด้านความเชื่อและภาพลักษณ์) ทำให้แม้ว่าจะอยู่กลางดงกระสุนแต่สุดท้ายนักบวชคนนี้ก็สามารถรอดมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ด้วยดี ภาพที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกถ่ายเอาไว้ได้โดย Hector Rondón Lovera ผู้ที่ในเวลานั้นกำลังนอนหมอบเพื่อหลบกระสุนอยู่พอดี เขาตั้งชื่อภาพนี้ (ภาพแรกสุด) ว่า “Aid From The Padre” และได้รางวัล World Press Photo of the Year ในปีต่อมา   เป็นไปได้ว่าที่ Aid From The Padre มีชื่อเสียงขึ้นมา อาจเพราะจะมีป้ายร้านด้านหลัง โดยในป้ายเขียนว่า “carnicería” ซึ่งแปลได้ทั้ง “ร้านเนื้อ”…

  • 4 สถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างบนโลกใบนี้ ที่มีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การไร้ซึ่งผู้คน

    4 สถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างบนโลกใบนี้ ที่มีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การไร้ซึ่งผู้คน

    ในโลกนี้แม้จะเต็มไปด้วยมนุษย์แต่ก็ยังมีสถานที่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างไร้ซึ่งผู้คน บ่อยครั้งสถานที่เหล่านั้นจะเป็นป่าลึก หรือที่อันตราย แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่สถานที่ที่เคยมีคนอยู่จะถูกทิ้งร้างไป แต่ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่มีคนอยู่อีกต่อไปแล้ว บ่อยครั้งเมืองเหล่านั้นกลับมีเบื้องหลังที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชม 4 เมืองร้างบนโลกใบนี้ ซึ่งมีความน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่ความไร้ซึ่งผู้คน   อิสลา ดิ ลาส มูเนเคส อิสลา ดิ ลาส มูเนเคส (Isla De Las Munecas) นั้นแปลตรงๆ ว่า “เกาะแห่งตุ๊กตา” ตั้งอยู่ใกล้กับ เม็กซิโกซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก เดิมทีแล้วที่นี่อยู่ภายใต้การดูแลของ ดอน จูเลียต ซานตานา ผู้เดินทางมาอาศัยอยู่พร้อมกับครอบครัว เขาอ้างว่าตัวเองไปพบกับศพเด็กผู้หญิงที่ลอยมากับน้ำเลยไปเก็บรวบรวมตุ๊กตามากประดับไว้รอบๆ เกาะเพื่อเอาใจวิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้น แม้ว่าครอบทางครอบครัวของซานตานาจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการคิดไปเองของเขาเท่านั้น แต่ในปี 2001 ก็มีคนพบศพซานตานาในจุดเดียวกับที่เขาอ้างว่าพบศพเด็กผู้หญิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้เกาะนี้ถูกทิ้งร้างเท่านั้น แต่ยังทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวสยองขวัญไปในเวลาต่อมา   เกาะโพเวกเลีย นี่เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ๆ เมืองเวนิส ในอิตาลี เลยเคยเป็นปราการควบคุมการเดินทางทางน้ำเข้าสู่เมืองเวนิส เพื่อเป็นด่านตรวจรักษาโรคที่อาจจะติดมากับคนบนเรือ ทำให้ที่แห่งนี้มีคนตายเป็นจำนวนมาก แถมในศตวรรษที่ 20 เกาะแห่งนี้ยังถูกทำเป็นสถานกักกันผู้มีอาการทางจิต ซึ่งมีการทดลองกับผู้ป่วยอีกด้วย ทำให้ชื่อเสียงในด้านลบของที่แห่งนี้ยิ่งกลายเป็นที่โด่งดังขึ้นไปอีก นั่นทำให้หลังจากที่สถานกักกันปิดตัวลงในปี 1968 แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนเกาะดังกล่าวเป็นศูนย์พักพิงผู้ยากไร้ ก็ไม่มีใครที่กล้าพอจะมาอาศัยอยู่ที่นี่อีก…

  • เปิดตำนาน “เรดบารอน” ปีศาจแห่งทัพอากาศเยอรมัน เจ้าของผลงานยิงเครื่องบินรบกว่า 80 ลำ

    เปิดตำนาน “เรดบารอน” ปีศาจแห่งทัพอากาศเยอรมัน เจ้าของผลงานยิงเครื่องบินรบกว่า 80 ลำ

    เคยได้ยินเรื่องของ “เรดบารอน” แห่งกองทัพอากาศประเทศเยอรมนีกันไหม? นี่เป็นฉายาของยอดนักบินแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผู้มีผลงานยิงเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามตก “อย่างน้อย” 80 ลำใน ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชื่อจริงๆ ของชายคนนี้คือ มันเฟรท ฟ็อน ริชท์โฮเฟิน ผู้เกิดในครอบครัวขุนนางในโปแลนด์ และเข้าเรียนในโรงเรียนทหารตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี และเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเวลาต่อมา     ดูเหมือนว่าชีวิตในสงครามสนามเพลาะจะไม่ใช่สถานที่ที่เขาชอบเท่าไหร่นัก มันเฟรทจริงยื่นเรื่องขอย้ายหน่วยมาอยู่กับกองทัพอากาศเยอรมัน และในที่นั่นเองที่มันเฟรทได้กลายเป็นตำนาน ในเวลาเพียงหนึ่งปีมันเฟรทก็สามารถเลื่อนขั้นจากพลสำรวจ (ที่ขึ้นเครื่องไปกับนักบิน) จนกลายเป็นนักบินเดี่ยวอย่างเต็มตัว ก่อนที่จะยิงเครื่องบินศัตรูได้ถึง 15 เครื่องในเวลาอันสั้น จนได้เป็นเอซไพล็อตของกองบินไป     เขาได้รับการเลื่อนขั้นจนได้ควบคุมฝูงบินของตัวเอง และในช่วงเวลานี้เองที่เครื่องบินของเขาได้รับการทาสีเป็นสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ หลังจากวันนั้นมาเขาก็มีผลงานอย่างต่อเนื่องจนได้รับฉายาว่า “เรดบารอน” จากการที่เกิดในตระกูลขุนนาง และขับเครื่องบินสีแดง     หนึ่งในตำนานของเขามาจากนักบินของอังกฤษ ที่บอกว่าแม้ตัวเองจะขับเครื่องบินที่น่าจะเร็วกว่าของ มันเฟรท แต่ก็ไม่สามารถไล่ตามเครื่องบินปีก 3 ชั้นสีแดงของเขาได้เลย และพอละสายตาไปเพียงครู่เดียว เครื่องบินของเขาก็หายไปแล้ว เรื่องราวแบบนี้กลายเป็นข่าวลือกันในทหารของศัตรู จนทำให้บางครั้ง เรดบารอนก็ถูกมองว่าเป็นปีศาจแห่งสงครามไป     น่าเสียดายที่ตำนานของมันเฟรทจบลงในตอนที่เขาอายุได้เพียง 25 ปี เท่านั้น เพราะในวันที่…

  • เปิดประวัติปุ่ม “WASD” ที่เกมเมอร์มักวางมือแบบนี้เวลาเล่นเกม มีที่มามากกว่าที่คิด

    เปิดประวัติปุ่ม “WASD” ที่เกมเมอร์มักวางมือแบบนี้เวลาเล่นเกม มีที่มามากกว่าที่คิด

    สำหรับคนที่เป็น PC เกมเมอร์แล้ว การใช้งานปุ่ม WASD อาจจะเป็นอะไรที่ฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณไปแล้วก็เป็นได้ ถึงขั้นที่มีคำพูดว่าหากอยากรู้ว่าให้เป็นเกมเมอร์ให้ดูวิธีวางมือบนคีย์บอร์ดกันเลยทีเดียว     ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าในสมัยก่อนมันไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ เพราะหากสังเกตกันให้ดีๆ แล้ว เกมในสมัยก่อนอย่าง Doom ภาคแรกนั้น จะให้การควบคุมทั้งหมดอยู่บนคีย์บอร์ดเลย โดยการเดินมักจะอยู่ที่ลูกศรทิศทาง ไม่ก็แป้นตัวเลข นั่นเป็นเพราะเกมเดินยิงในสมัยนั้นโดยมากแล้วจะมีมุมมองเพียงซ้ายกับขวาเท่านั้น ทำให้สามารถยัดการควบคุมทั้งหมดลงบนคีย์บอร์ดได้ง่าย     เรื่องมันเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งการมาของเกม Quake ซึ่งเป็นเกมเดินยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งแรกๆ ที่มีการใช้ระบบมุมมองบนล่างซ้ายขวา และในช่วงเวลานี้เองที่การควบคุมเกมของแต่ละคนเริ่มแตกต่างกันไปอย่างไม่มีแบบแผน     แต่แล้วในปี 1997 เราก็ได้เห็น Dennis Fong หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Thresh” คว้าถ้วยรางวัลในการแข่งขันเกม Quake โดยการวางมือขวาบนเมาส์ และมือซ้ายบนปุ่ม WASD     มันเป็นแนวคิดที่แปลกแต่ก็ฉลาดมาในสมัยนั้น เพราะปุ่ม WASD อยู่ใกล้กับปุ่ม Shift และ Ctrl ซึ่งมีการใช้งานสูง แถมยังสามารถกดตัวเลขเพื่อเปลี่ยนปืนได้ง่ายกว่าลูกศรที่มือขวา นั่นทำให้หลังจากนั้นมามีคนมากมายเริ่มเลียนแบบ Thresh จนทาง ค่ายผู้สร้างเกมหลายๆ ค่ายเอาการกำหนดปุ่มควบคุมของเขาไปใช้ในเกมของตัวเอง ทำให้ WASD กลายเป็นปุ่ม…

  • 8 เรื่องน่าสนใจของฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เรื่องราวของเผด็จการโหดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    8 เรื่องน่าสนใจของฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เรื่องราวของเผด็จการโหดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    ว่ากันว่าชีวิตในวัยเด็กจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะโตมาเป็นคนแบบไหน และไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ต้องเคยมีช่วงเวลาในวัยเด็กมาก่อน เรื่องเหล่านี้ใช้ได้กับทุกๆ คนไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสุดโหดอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จริงอยู่ว่าเรื่องราวที่ทำให้ฮิตเลอร์มีชื่อเสียงนั้นมักมาจากในสมัยที่เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในสมัยเด็กเอง ชีวิตของฮิตเลอร์ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่มากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 8 เรื่องน่าสนใจของฮิตเลอร์ในวัยเด็ก ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน   เริ่มกันที่รู้หรือไม่ว่า สมัยเป็นวัยรุ่นฮิตเลอร์เคยใช้มรดกที่มีจนหมด หนังสือชีวประวัติบางเล่มถึงกับบอกว่า เขาต้องไปอยู่ในศูนย์พักอาศัยของคนไร้บ้านอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ผู้เป็นป้าจะเขามาช่วยเหลือ   เขาเคยถูกทารุณกรรมในบ้าน นี่เป็นเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่เชื่อกันว่าเขียนโดยพี่น้องของฮิตเลอร์ ว่าด้วยเรื่องที่อาลัวส์ ฮิตเลอร์มักจะทำร้ายร่างกายลูกๆ จนแม่ต้องเข้ามาปกป้องนั่นเอง   ฮิตเลอร์เคยแอบชอบสาวชาวยิวมาก่อน นี่เป็นคำบอกเล่าของเอากุสท์ คูบีเซคเพื่อนสนิทของเขา ที่บอกว่าฮิตเลอร์เคยแอบชอบสาวชาวยิวชื่อ Stefanie Isak แถมยังเคยแอบสะกดรอยตาม วางแผนลักพาตัว หรือแม้กระทั่งคิดจะฆ่าตัวตายพร้อมๆ กันเลยด้วย   ฮิตเลอร์เคยทำร้ายร่างกายน้องสาวตัวเอง ดูเหมือนว่าการถูกทารุณกรรมในบ้านจะทำให้ฮิตเลอร์หัวรุนแรงตามไปอีกคน เพราะจากบันทึกของ “พอลล่า” น้องสาวต่างมารดาของฮิตเลอร์ เธอมักเห็นฮิตเลอร์เป็นเหมือนพ่อที่ในเวลานั้นเสียไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เธอเขาหาพี่ชาย ฮิตเลอร์ก็มักจะตอบสนองด้วยการตบตีเธอเสมอๆ   ฮิตเลอร์มีพี่น้องมากมาย แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น มีเพียงคนเดียวที่รอดมาจากวัยเด็ก เนื่องจากพ่อของฮิตเลอร์มีลูกกับผู้หญิงหลายคน ฮิตเลอร์จึงมีพี่น้องถึง 5 คน อย่างไรก็ตามมีเพียง พอลล่า น้องสาวที่อายุห่างจากฮิตเลอร์ 7 ปี เท่านั้นที่รอดจากวัยเด็กไปได้ (เธอเสียชีวิตในปี 1960)…

  • เปิดเรื่องราวเกาะ “โอคุโนะชิม่า” เกาะซึ่งเต็มไปด้วยกระต่าย แต่กลับมีประวัติน่ากลัวกว่าที่คิด

    เปิดเรื่องราวเกาะ “โอคุโนะชิม่า” เกาะซึ่งเต็มไปด้วยกระต่าย แต่กลับมีประวัติน่ากลัวกว่าที่คิด

    เกาะโอคุโนะชิม่าเป็นเกาะแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดฮิโรชิม่า มีชื่อเสียงเรื่องการถูกยกย่องว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยกระต่าย จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นไป     แต่รู้หรือไม่ว่าในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเจ้าตัวน้อยน่ารักเหล่านี้ มันมีเบื้องหลังที่ไม่น่ารักเท่าไหร่อยู่ด้วย เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เกาะแห่งนี้เคยเป็นฐานทัพลับของทางญี่ปุ่นมาก่อนนั่นเอง ไม่มีใครทราบว่ากระต่ายที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มีที่ไปที่มาอย่างไร อย่างไรก็ตามคนในพื้นที่เชื่อในความเป็นไปได้อยู่สองแบบ โดยแบบหนึ่งคือมีกลุ่มเด็กๆ เอากระต่ายมาปล่อยไว้ที่นี่ในยุค 70     ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือกระต่ายเหล่านี้เคยถูกใช้ในการทดลองอาวุธเคมีของทางกองทัพญี่ปุ่นตั้งแต่ในช่วงปี 1929 เชื่อกันว่าหนึ่งในอาวุธเคมีเหล่านั้นก็คือ “แก๊สมัสตาร์ด” อาวุธเคมีสุดร้ายแรงซึ่งมีสนธิสัญญาห้ามการใช้งานตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   สิ่งปลูกสร้างที่เชื่อกันว่าเป็นโรงงานแก๊สพิษ ในสมัยสงคราม   ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงนักประวัติศาสตร์ ก็ประมาณการว่าแก๊สพิษที่ผลิตจากเกาะแห่งนี้ จะกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนราวๆ 80,000 คน ในช่วงที่ญี่ปุ่นบุกโจมตีประเทศจีนเลยทีเดียว การที่มีประวัติศาสตร์แบบนี้ทำให้เกาะแห่งนี้มีอีกชื่อเล่นที่เรียกกันโดยคนในพื้นที่ว่า “เกาะแห่งพิษ” ไป     น่าแปลกที่จากการตรวจสอบกระต่ายที่อยู่บนเกาะในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กลับไม่พบร่องรอยสารเคมีในกระต่ายอย่างที่ควรเป็นในหมู่สัตว์ที่ใช้ในการทดลองอาวุธเลย หลายๆ คนให้ความเห็นกับเรื่องนี้ว่า เป็นไปได้ว่ากระต่ายรุ่นที่ถูกทดลองในอดีตอาจจะตายไปหมดแล้ว และกระต่ายที่เห็นในปัจจุบันเป็นรุ่นที่ถูกนำมาปล่อยในภายหลังโดยกลุ่มเด็กๆ ในยุค 70 หรือไม่ก็สารเคมีที่มีการทดลองในสมัยก่อน อาจจะไม่ส่งผลกับกระต่ายรุ่นลูกก็เป็นได้     ในปัจจุบันเกาะแห่งนี้มีกระต่ายอยู่ที่ราวๆ 1,000 ตัว อย่างไรก็ตามการขยายพันธุ์ที่มากเกินไปนี้ก็กำลังส่งผลกับระบบนิเวศบนเกาะโดยตรงเช่นเดียวกัน เพราะในปัจจุบันแหล่งอาหารที่มีอยู่บนเกาะเริ่มลดน้อยลงจากการเพิ่มจำนวนของกระต่ายบนเกาะ…

  • “Omayra Sánchez” ภาพของเด็กผู้เป็นเหยื่อภูเขาไฟระเบิด กับเรื่องราวที่เฉียดแทงลึกไปในใจ

    “Omayra Sánchez” ภาพของเด็กผู้เป็นเหยื่อภูเขาไฟระเบิด กับเรื่องราวที่เฉียดแทงลึกไปในใจ

    ในปี 1985 ได้มีภาพภาพหนึ่งได้รับรางวัล World Press Photo of the Year และกลายเป็นที่พูดถึงของคนทั้งโลกไป โดยมันเป็นภาพที่ดูเผินๆ อาจจะเหมือนภาพสยองขวัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเรื่องราวที่น่าเศร้ากว่าที่คิด     นี่คือภาพของ Omayra Sánchez เด็กสาววัย 13 ผู้เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ภูเขาไฟ Nevado del Ruiz ระเบิด ที่ถูกถ่ายไว้โดย Frank Fournier นักข่าวชาวฝรั่งเศสในโคลัมเบีย การระเบิดของภูเขาไฟในครั้งนี้นำมาซึ่งเหตุแผ่นดินไหว น้ำท่วม และดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยหนึ่งในพื้นที่เหล่านั้นก็คือเมือง Armero ที่ Sánchez อาศัยอยู่ ซึ่งมีตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงถึง 20,000 คน     และแม้แต่ตัว Sánchez เองจะรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพขาถูกคอนกรีตทับอยู่ใต้น้ำ และต้องใช้มือเกาะกิ่งไม้ไว้เพื่อให้จมน้ำ แน่นอนว่าหลังจากที่มีการพบตัวเธอเจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยเหลือเธอออกจากที่นั่น และ Sánchez เองก็ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี และมีแรงมากพอที่จะให้สัมภาษณ์ด้วยซ้ำ     อย่างไรก็ตามหลังจากเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มที่จะไม่ไหว ก่อนที่สถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อทีมกู้ภัยพบว่าทางเดียวที่จะเอาเธอออกมาจากซากคอนกรีตได้ คือการที่จะต้องตัดขาของเธอทิ้งเท่านั้น ทว่าในตอนนั้น ทีมแพทย์ไม่มีอุปกรณ์ที่จะช่วยเธอจากการเสียเลือดได้ อีกทั้งเด็กสาวในปัจจุบันก็อ่อนแอเป็นอย่างมากด้วย ดังนั้นหากฝืนไปตัดขาเธอแล้วละก็ Sánchez  จะต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน…

  • 4 การสันนิษฐานของนักโบราณคดี ที่ผิดไปคนละโลกอย่างไม่น่าเชื่อ บวกของแถมนิดหน่อย

    4 การสันนิษฐานของนักโบราณคดี ที่ผิดไปคนละโลกอย่างไม่น่าเชื่อ บวกของแถมนิดหน่อย

    ตามปกติแล้ว เวลามีการค้นพบทางประวัติศาสตร์ การสันนิษฐานเบื้องต้นของนักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญก็มักจะได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุด และบ่อยครั้งการสันนิษฐานดังกล่าวก็มักจะถูกต้องเสียด้วย แต่ก็ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่นักโบราณคดีสันนิษฐานผิดเลยเช่นกัน แถมบางครั้งยังมั่วสุดๆ ผิดไปคนละโลกเลยด้วย เหมือนดังเช่นการค้นพบทั้ง 4+1 ครั้งต่อไปนี้   จารึกหินที่ Runamo นี่เป็นร่องรอยบนหินที่นักโบราณคดี พยายามไขความลับกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และเชื่อกันว่าเป็นภาษาโบราณที่สูญหายไปเมื่อนานมาแล้ว แต่แล้วในช่วงยุค 1800 เมื่อเทคโนโลยีเรื่องพัฒนาไป ในที่สุดนักโบราณคดีก็พบความจริงของจารึกหินที่ Runamo จนได้ เพราะแท้จริงแล้วเจ้าร่องรอยบนหินที่เราเห็นนั้น มันก็แค่รอยแตกของหินเท่านั้นเอง… อ้าว…   รูบนกะโหลกมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล ในปี 1921 ได้มีการพบกะโหลกมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล ที่ในเวลานั้นอ้างกันว่ามีอายุราว 38,000 ปีและมีรูอยู่ที่ด้านข้างของกะโหลก ซึ่งในยุคโบราณขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเจาะกะโหลกเพื่อรักษาโรค ดังนั้นนักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงคิดทฤษฎีสุดประหลาดที่ว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลถูกยิงด้วยปืนจากคนที่ย้อนเวลาไปขึ้นมา โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้นความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมา เพราะไม่เพียงแต่รูบนกะโหลกจะไม่ได้มาจากปืนเท่านั้น แต่กะโหลกที่พบนั้น จริงๆ แล้วก็มีอายุถึง 125,000-300,000 ปีเลยด้วย ส่วนรูที่อยู่บนกะโหลกเองนั้น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของกะโหลกเสียชีวิตแต่อย่างใดเลย   อนุสรณ์สถานเกรท ซิมบับเว ในเวลาที่มีการค้นพบอนุสรณ์สถานแห่งนี้ มีนักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าเกรท ซิมบับเวสร้างโดยคนจากฝั่งยุโรป (ทั้งๆ ที่มันตั้งอยู่ในตอนใต้ของแอฟริกา) และพยายามหาหลักฐานมายืนยันอยู่เป็นเวลานาน โชคดีที่ในเวลาต่อมามีคนที่พิสูจน์ได้ว่าที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาโดยอาณาจักรซิมบับเวในสมัยก่อนจริงๆ ส่วนเหตุผลที่ที่นักโบราณคดีกลุ่มดังกล่าวเชื่อว่าเกรท ซิมบับเวสร้างขึ้นโดยคนจากฝั่งยุโรปนั้น…

  • โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ความผิดพลาดของนาซา ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศ

    โศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ความผิดพลาดของนาซา ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วประเทศ

    17 ปี หลังจากอะพอลโล 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ ในวันที่ 28 มกราคม 1986 ทางนาซาได้เตรียมปล่อยจรวด OV-099 หรือที่รู้จักกันในนาม “ชาเลนเจอร์” ขึ้นสู่อวกาศ ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่คอยชมผ่านทางโทรทัศน์     อย่างไรก็ตามเพียงแค่ 73 วินาทีหลังออกบิน กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ก็แตกออกเป็นชิ้นๆ ส่งผลให้นักบินเจ็ดคนเสียชีวิต และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาต้องผวา เดิมทีแล้วกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์เคยมีการปฏิบัติการมาแล้วกว่า 9 ครั้ง ทำให้ทางนาซาค่อนข้างมั่นใจว่าการปล่อยกระสวยอวกาศในยังนี้จะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ     อย่างไรก็ตามจากการที่ยานเคยปฏิบัติการมาหลายครั้ง ทำให้วงแหวนยางที่อยู่ระหว่างรอบต่อของจรวดไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร บวกกับอากาศที่เย็นจัดทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะ จนเกิดแก๊สรั่วและไฟลุกเมื่อมีการปล่อยจรวดนั่นเอง ที่จริงแล้วความเป็นไปได้ที่กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์จะระเบิดนั้น เคยมีการพูดถึงมาก่อนโดยวิศวกรของนาซา ซึ่งต้องการที่จะขอเลื่อนวันปล่อยจรวดออกไป ปัญหาคือผู้บริหารหลายคนของนาซาไม่เชื่อ และฝืนจะให้ทำการบินให้ได้     นั่นทำให้นาซาต้องเสียนักบินทั้งเจ็ดคนไป แถมจากรายงานทางวิทยุสื่อสาร นักบินทั้งหมดก็ไม่ได้เสียชีวิตทันทีเสียด้วย เพราะแรงระเบิดนั้นไปไม่ถึงห้องนักบิน อย่างไรก็ตามการที่กระสวยระเบิดไปก็ทำให้นักบินทั้งเจ็ดต้องดิ่งลงมาจากความสูง 15 กิโลเมตรโดยไม่สามารถสละยานได้ ก่อนที่จะกระแทกเข้ากับมหาสมุทรแอตแลนติกในที่สุด     แต่สิ่งที่ทำให้โศกนาฏกรรมของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์กลายเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องที่การปล่อยจรวดครั้งนี้มีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศนั่นเอง เพราะนอกจากผู้ใหญ่จำนวนมากแล้วในเวลานั้นเองก็ยังมีเด็กอีกหลายคนที่เฝ้าดูการขึ้นบินในครั้งนี้อยู่ด้วย และเด็กเหล่านั้นเองก็ได้เห็นภาพอันโหดร้ายซึ่งเกิดขึ้นจากความประมาทของมนุษย์เข้าไปอย่างจัง   ภาพโศกนาฏกรรมของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านทาง CNN  และไม่แน่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้…

  • 4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ

    4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ

    ในการใช้ชีวิตบางครั้งคนเราก็อาจจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในวินาทีสุดท้ายอยู่เหมือนกัน และในบางครั้งการตัดสินใจเหล่านั้น ก็อาจจะนำมาซึ่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เสียด้วย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ   มาร์ติน ลูเธอร์ คิงพูดว่า ข้าพเจ้ามีความฝัน (I have a dream) เดิมทีแล้วในตอนที่ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 27 สิงหาคม 1963 เขาได้มีการเตรียมบทพูดมาเป็นอย่างดี และไม่มีคำว่า “ข้าพเจ้ามีความฝัน” อยู่เลย อย่างไรก็ตาม Mahalia Jackson ที่ฟังเขาอยู่ในตอนนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “เล่าความฝันให้พวกเขาฟังสิ” ด้วยเหตุนี้เอง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จึงตัดสินใจใส่คำพูดจากใจจริงไม่มีเขียนอยู่ในบทพูดลงไปในสุนทรพจน์ และคำพูดจากใจจริงนี้เองก็ทำให้สุนทรพจน์ของเขาในวันนั้น กลายเป็นตำนานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไป   ธีโอดอร์ โรสเวลต์ รอดชีวิตเพราะเอาบทพูดใส่กระเป๋าเสื้อ ในปี 1912 โรสเวลต์ ได้ลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งและกำลังจะต้องไปกล่าวสุนทรพจน์ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เดินทางอยู่นั้น เจ้าตัวก็พับบทพูดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ นับว่านี่เป็นการกระทำที่โชคดีสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากขึ้นเวทีไปไม่นานก็มีคนลอบยิงเขาที่หน้าอกพอดี กระดาษที่หนาร่วมๆ 50…

  • 4 คนไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์ ที่ดูแล้วจะพูดว่านี่มัน “ฟอร์เรสท์ กัมพ์” ในโลกจริงชัดๆ

    4 คนไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์ ที่ดูแล้วจะพูดว่านี่มัน “ฟอร์เรสท์ กัมพ์” ในโลกจริงชัดๆ

    “ชีวิตก็เหมือนกล่องที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะได้รสอะไร” นี่เป็นคำคมจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องฟอร์เรสท์ กัมพ์ ที่สอนให้เรารู้ว่าในชีวิตของคนคนหนึ่ง เราอาจจะพบกับอะไรที่ไม่คาดฝันได้เสมอๆ ถึงอย่างนั้นน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าคนที่มีชีวิตน่าสนใจสุดๆ แบบฟอร์เรสท์ กัมพ์นั้นจะมีอยู่จริง เพราะในโลกอันโหดร้ายนี้ ไม่น่าจะมีคนที่ทำตามที่คนอื่นบอกทุกอย่างแล้วได้ดีหรอกใช่ไหม? แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกใบนี้ก็ดันมีคนที่ชีวิตคล้ายๆ ฟอร์เรสท์ กัมพ์อยู่จริงๆ นี่สิ แถมยังไม่ใช่แค่คนสองคนอีกด้วย ไม่เชื่อก็ไปดูคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา 4 คนนี้สิ   ยางคยองจง ยางคยองจง เป็นคนเกาหลีที่มีชีวิตน่าทึ่งมาก เพราะในปี 1938 เมื่อตอนอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกเกณฑ์เข้าไปในกองทัพญี่ปุ่นเพื่อรบกับสหภาพโซเวียต และถูกจับกุมไว้ในฐานะเชลยศึกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้นทางโซเวียตก็ได้ประกาศสงครามกับนาซีเยอรมัน ซึ่งหยางก็ถูกส่งไปรบในฐานะทหารโซเวียดด้วย และแน่นอนว่าเขาถูกจับกุมโดยทางนาซีในปี 1942 นั่นเอง น่าแปลกที่ ยางไม่ได้เสียชีวิตจากการเป็นเชลย แต่กลับถูกส่งไปรบกับทางสหรัฐฯ ต่อในปี 1944 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาโดนจับตัวโดยทหารของศัตรู นับว่าเป็นโชคดีมากที่สงครามจบลงในช่วงนั้นพอดี ยางจึงได้ใช้ชีวิตที่เหลือในสหรัฐอเมริกาสืบไป   ทิโมธี เด็กซ์เตอร์ เขาคือชายที่ได้ชื่อว่าซื้อบื้อที่สุด แต่ก็โชคดีที่สุดในโลกในเวลาดียวกัน เพราะเขานั้นโดนหลอกอยู่เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นการหลอกซื้อธนบัตรที่ไม่มีคุณค่า หรือหลอกให้ซื้อถาดทำความอุ่นเตียงไปขายต่อในที่ที่ไม่มีใครต้องการ แต่ไม่รู้เพราะอะไรชายคนนี้ล้วนแต่ผ่านเรื่องเหล่านั้นมาได้เพราะโชคเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ สกุลเงินที่ไม่มีค่าก็ดีดขึ้นเพราะสงครามจบ หรือซื้อถาดทำความอุ่นเตียงที่ซื้อมาถูกดัดแปลงเป็นกระทะจนขายดิบขายดีไป นั่นทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยสุดๆ…

  • ย้อนรอย “คดีเชือดแห่งซาเซโบ” ที่มาของ “เนวาดา-ตัน” ฆาตกรผู้โด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ต

    ย้อนรอย “คดีเชือดแห่งซาเซโบ” ที่มาของ “เนวาดา-ตัน” ฆาตกรผู้โด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ต

    ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 1 มิถุนายน 2004 ที่เมืองซาเซโบ จังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่นได้เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าที่จะกลายเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ถูกจดจำของโลกอินเตอร์เน็ตไป นี่คือ “คดีเชือดสังหารแห่งซาเซโบ” เหตุการณ์ที่เด็กสาววัย 11 ขวบสังหารเพื่อนร่วมห้องโดยการปาดคอด้วยมีดคัตเตอร์ แถมเมื่อคนในเหตุการณ์พยายามถ่ายรูปเธอไว้เป็นหลักฐาน เธอก็หันกลับมายิ้มให้กล้องในสภาพเปื้อนเลือดด้วย     แน่นอนว่าเด็กสาวผู้ลงมือก่อเหตุถูกจับในวันเดียวกันทันที และจากคำสารภาพของเธอ ดูเหมือนว่าเหตุจูงใจในการก่อคดี จะมาจากการที่เพื่อนของเธอเข้ามาล้อเลียนเธอว่า “อ้วน” ในโซเชียลมีเดีย มีรายงานบอกว่า เด็กสาวผู้ลงมือเป็นเด็กน่ารักเรียนเก่ง แต่กลับชอบเก็บตัว มีพฤติกรรมรุนแรงในบางครั้ง ชอบดูหนังที่มีเนื้อหารุนแรง และมีประวัติเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก   หนังเรื่อง Battle Royale จากเมื่อปี 2000 คือหนึ่งในหนังที่ว่ากันว่าเด็กสาวคนนี้ชอบดูที่สุด   นอกจากนี้ในบันทึกของเธอ หลักฐานที่บอกว่าเด็กสาวนั้นวางแผนที่จะฆ่าเพื่อนคนดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้วอีกด้วย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาพยายามฆ่า และต้องเข้ารับการบำบัดในสถานพินิจ จริงอยู่ว่าตามปกติแล้วฆาตกรที่ยังเป็นเยาวชนจะไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อหรือภาพจากทางตำรวจ แต่ในท้ายที่สุดก็มีคนแอบนำภาพของเธอไปเผยแพร่จนได้   ในเวลานี้ภาพของเด็กสาวเป็นที่รู้จักไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้ว   น่าแปลกที่แทนที่โพสต์เผยแพร่ภาพของเธอจะได้ผลตอบรับในทางลบ อินเตอร์เน็ตกลับสนใจในความน่ารักของเด็กสาว และตั้งชื่อให้เธอว่า “เนวาดา-ตัน” จากเสื้อที่เธอใส่ในเวลาก่อเหตุ จนเด็กคนดังกล่าวกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไป เนวาดา-ตันกลายเป็นที่โด่งดังที่สุดในปี 2007 จากการที่เธอกลายเป็นหัวข้อพูดคุยใน 2channel (คล้ายๆ…

  • “ขายเด็กสี่คน” ภาพในตำนานของแม่ที่ประกาศขายลูกแท้ๆ ซึ่งมีเรื่องราวมากกว่าที่คิด

    “ขายเด็กสี่คน” ภาพในตำนานของแม่ที่ประกาศขายลูกแท้ๆ ซึ่งมีเรื่องราวมากกว่าที่คิด

    ในวันที่ 5 สิงหาคม 1948 ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของรัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ได้มีภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังประกาศขายลูกๆ ถูกแพร่ออกไปต่อสายตาของสาธารณชน สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเป็นอย่างมาก     หากไม่รู้ความจริง ไม่ว่าใครเห็นภาพถ่ายนี้ก็คงคิดว่านี่เป็นภาพที่มีการจัดฉากขึ้นมาแน่ๆ แต่ปัญหาคือไม่ใช่แค่ภาพดังกล่าวจะเป็นของจริงเท่านั้น แต่เด็กๆ ที่เห็นในภาพทุกคน (บวกกับที่อยู่ในท้องแม่ด้วย) ก็โดนขายออกไปจริงๆ ด้วย นี่เป็นภาพที่มีการถ่ายไว้ที่เมืองชิคาโก และมีคำบรรยายในต้นฉบับว่า คนในภาพคือภรรยาของอดีตคนขับรถขนถ่านที่ถูกไล่ออกจากงาน และถูกไล่ออกจากอพาร์ตเมนต์ เธอจึงตัดสินใจขายเด็กๆ ในบ้านของตัวเอง เด็กที่ถูกขายออกไปนั้นมีชื่อว่า RaeAnn Mills, Milton, David, Lana และ Sue Ellen โดยสองคนแรกถูกขายออกไปในปี 1950 และต้องกลายเป็นทาสของพ่อแม่คนใหม่ไป   RaeAnn Mills (ซ้าย) กับ Milton (ขวา) หลังจากที่ถูกขายออกไป ในเวลานั้นพวกเขายังไม่รู้เลยว่าจะต้องพบกับอะไรบ้าง   จากคำบอกเล่าของ RaeAnn Mills เธอต้องถูกทำร้ายร่างกายและบังคับใช้แรงงานเป็นเวลานาน ส่วน Milton เองก็เคยถูกเรียกว่า “เจ้าทาส” อยู่บ่อยๆ ด้วย RaeAnn ในตอนที่อายุได้ 17 ปี ถูกลักพาตัวและข่มขืน…

  • “Atomic Energy Lab” ของเล่นสุดแนวจากสมัยก่อน ที่ให้เด็กๆ เล่นกับ “กัมมันตรังสี” จริงๆ

    “Atomic Energy Lab” ของเล่นสุดแนวจากสมัยก่อน ที่ให้เด็กๆ เล่นกับ “กัมมันตรังสี” จริงๆ

    หากพูดถึงปรมาณูหรือกัมมันตรังสี เชื่อว่าคงไม่มีใครนึกถึงคำว่าของเล่นเด็กขึ้นมาเป็นอย่างแรกแน่ๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตนั้น เคยมีคนที่คิดของเล่นเด็กที่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาณู และกัมมันตรังสี ออกมาขายจริงๆ ด้วย     นี่คือ “Gilbert U-238 Atomic Energy Lab” ของเล่นสุดแนวจากบริษัทของเล่น Alfred Gilbert ในสหรัฐอเมริกา ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ผ่านการนั่งดูปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในบ้าน!! ที่สำคัญเจ้าของเล่นที่เห็นนี้นั่น ไม่ใช่เพียงแค่ของจำลองที่มีแค่ไฟหรือเสียงเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือที่มีการใช้ธาตุยูเรเนียมอย่างจริงจัง และในชุดของเล่นยังมีการแถมไกเกอร์เคาน์เตอร์ (เครื่องมือวัดปริมาณกัมมันตรังสี) มาให้เลยด้วย     นอกจากนี้ในคู่มือของชุดของเล่นชิ้นนี้ ยังมีการอธิบายการเล่น “ซ่อนหา” โดยการเอาวัตถุกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในชุดเครื่องเล่นไปซ่อน เพื่อให้อีกฝ่ายตามหาด้วยไกเกอร์เคาน์เตอร์อีก อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มขนลุกว่าเอาของแบบนี้มาขายได้อย่างไร คงต้องบอกว่าเอาเข้าจริงๆ ระดับกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในชุดเครื่องเล่นนี้มีระดับกัมมันตภาพรังสีที่ต่ำมากๆ จน “ค่อนข้างปลอดภัย” ต่อการใช้งาน     แต่ถึงจะปลอดภัยอย่างไร การเล่นกับกัมมันตภาพรังสีก็ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมเท่าใดอยู่ดี เพราะแม้กระทั่งในยุค 50 ที่มีการปล่อยของเล่นตัวนี้ออกมา Gilbert U-238 Atomic Energy Lab ก็ขายได้เพียง 5,000…

  • พบรูปสลักไม้รูปร่างประหลาดชวนขนลุกจำนวน 19 ตัวที่เปรู เชื่อมีความเก่าแก่ถึง 750 ปี

    พบรูปสลักไม้รูปร่างประหลาดชวนขนลุกจำนวน 19 ตัวที่เปรู เชื่อมีความเก่าแก่ถึง 750 ปี

    สำหรับทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศเปรูนับว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญมากๆ แห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่ที่นี่จะมีมาชู ปิกชูของชาวอินคาเท่านั้น แต่ยังมีโบราณสถานจากวัฒนธรรมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก และล่าสุดนี้เองในแหล่งโบราณคดีที่ Chan Chan ซึ่งเชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อ 850 ปีก่อนโดยวัฒนธรรมชิมู ก็ได้มีการค้นพบรูปสลักประหลาดจำนวน 19 ตัว ที่มีรูปร่างหน้าตาแลดูน่าขนลุกขึ้น     การค้นพบครั้งนี้เป็นเกิดขึ้นในระหว่างการบูรณะกำแพงรอบๆ โบราณสถาน Utzh An ที่เริ่มต้นโครงการในปี 2017 และมีกำหนดที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 2020 โดยนี่เป็นรูปสลักจากไม้ ที่บางส่วนมีการใส่หน้ากากที่ทำจากดินเหนียวคล้าย “ผีไร้หน้า” จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Spirited Away ซึ่งถูกประดับไว้ระหว่างทางเดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าของสิ่งปลูกสร้างจากสมัยโบราณ     แม้ว่ารูปสลักทั้งหมดจะมีส่วนสูงอยู่ที่ประมาณ 70 เซนติเมตรแต่รูปสลักแต่ละอันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป โดยที่นอกจากหน้ากากดินเหนียวแล้ว รูปสลักบางตัวยังมีการถืออาวุธ หรือโล่ป้องกันตัวอีกด้วย นักโบราณคดีเชื่อว่ารูปสลักที่พบนั้นน่าจะมีอายุราวๆ 750 ปี และถูกสร้างขึ้นในช่วงใกล้เคียงกับที่เผ่าอินคาล่มสลาย     ในเบื้องต้นเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้จะถูกทำขึ้นเพียงเพื่อประดับทางเดินเท่านั้น เพราะด้านบนของรูปปั้นที่พบเองก็ยังมีการวาดภาพของสัตว์ต่างๆ ไว้บนกำแพงด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ทางนักโบราณคดีก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า รูปปั้นเหล่านี้ อาจมีความหมายมากกว่านั้นเช่นกัน    …

  • พบอาวุธโบราณอายุราว 15,500 ปี ในเท็กซัส เชื่ออาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาเหนือ

    พบอาวุธโบราณอายุราว 15,500 ปี ในเท็กซัส เชื่ออาจเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาเหนือ

    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีการรายงานข่าวการค้นพบวัตถุโบราณที่คาดว่าจะเป็นส่วนปลายของหอกในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และเชื่อกันว่านี่จะเป็นการค้นพบอาวุธโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเลยด้วย     ปลายหอกที่ถูกค้นพบในที่นี้มีอายุราวๆ 15,500 ปี ซึ่งแม้จะไม่ถือว่านานเมื่อเทียบกับอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการค้นพบบนโลก (ที่คาดว่ามาจากเมื่อ 400,000 ปีก่อนคริสตกาล) แต่ก็มีความสำคัญมากกับทางอเมริกาเหนือเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า มนุษย์ชนเผ่าโคลวิส (Clovis) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดียนแดงนั้นเพิ่งจะเดินทางมาอาศัยในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อราวๆ 13,000 ปีก่อนเท่านั้น     หากปลายหอกที่ถูกค้นมาจากเมื่อ 15,500 ปีก่อนจริงๆ นั่นจะหมายความว่ามนุษย์ชนเผ่าโคลวิสน่าจะเดินทางมายังทวีปอเมริกานานกว่าที่เราทราบมาก หรือไม่ก็ในอดีตเคยมีมนุษย์อีกเผ่าหนึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือมาก่อน และจากการที่ปลายหอกซึ่งถูกพบมีลักษณะที่แตกต่างไปจากของชนเผ่าโคลวิสค่อนข้างมาก ทำให้วิทยาศาสตร์เชื่อว่า การค้นพบในครั้งนี้อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์ในอดีตของทวีปอเมริกาอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กันเลยก็เป็นได้     เพราะการค้นพบในครั้งนี้ ได้ไปช่วยเสริมความน่าจะเป็นของทฤษฎีที่ว่า ในสมัยก่อนมนุษย์ไม่ได้เดินทางมาในอเมริกาด้วยการเดินเท้าจากอะแลสกา แต่เป็นการเดินทางมาด้วยเรือจากทางแปซิฟิกต่างหาก นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้มีคุณค่าอยู่ที่เพียงความเก่าแก่ของอาวุธที่พบเท่านั้น แต่ยังนับว่ามีคุณค่าเป็นอย่างมากในการสืบหาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของทวีปอเมริกาเหนืออีกด้วย     อย่างไรก็ตามทฤษฎีที่มีการเผยแพร่ออกมา ยังจำเป็นที่จะต้องรอการพิสูจน์ที่ชัดเจนกันต่อไป   ที่มา history, allthatsinteresting

  • พบกระดูกเด็กวัยรุ่น 2 ร่างจากยุคเหล็ก ถูกฝังไว้พร้อมทองคำจำนวนมากในคาซัคสถาน

    พบกระดูกเด็กวัยรุ่น 2 ร่างจากยุคเหล็ก ถูกฝังไว้พร้อมทองคำจำนวนมากในคาซัคสถาน

    เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการขุดพบโครงกระดูก 2 ร่างจากยุคเหล็ก ที่คาดว่ามีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี และถูกประดับประดาไว้ด้วยทองคำเป็นจำนวนมาก ที่ภูเขา Tarbagatai ในประเทศคาซัคสถาน     โครงกระดูกที่พบนั้น ในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นของเด็กวัยรุ่นเพศชายที่เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 19 ปี และเด็กวัยรุ่นเพศหญิงที่เสียชีวิตเมื่ออายุ 16 ปี โครงกระดูกเพศชายถูกฝังไว้พร้อมๆ กับเครื่องประดับหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอทองคำ มีดสั้นที่ทำจากทองและสัมฤทธิ์ และสิ่งที่น่าจะเป็นเหรียญทองอีกเป็นจำนวนมาก จากร่องรอยที่มีการขุดพบ เชื่อว่าโครงกระดูกของวัยรุ่นเพศหญิงน่าจะถูกปล้นโดยโจรปล้นสุสาน ในขณะที่โครงกระดูกของเด็กวัยรุ่นเพศชายไม่มีร่องรอยของการขุดค้นมาก่อน     นั่นหมายความว่าเดิมทีแล้ว โครงกระดูกทั้งสองน่าจะถูกฝังไว้พร้อมๆ กับทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และน่าจะเป็นลูกหลานของครอบครัวที่มีฐานะในสมัยก่อน โดยในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อว่าโครงกระดูกที่พบ น่าจะเป็นของชนเผ่าเร่ร่อน “ชากา” ซึ่งเข้ามาในพื้นที่อยู่ราวๆ หนึ่งศตวรรษ ก่อนที่จะถูกพิชิตโดยชาวตุรกี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบของมีค่าเป็นจำนวนมากในพื้นที่แห่งนี้ เพราะเมื่อต้นปี 2018 เอง ก็มีการขุดพบเพชรพลอยจำนวนมากในที่แห่งนี้มาแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าเผ่าชากาในพื้นที่แห่งนี้ น่าจะมีฐานะที่ร่ำรวยมากเลยทีเดียว     อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ ยังต้องมีการนำโครงกระดูกไปตรวจสอบเพิ่มเติมโดยทางนักวิทยาศาสตร์ก่อน เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่มีการค้นพบต่อไป   ที่มา archaeology และ allthatsinteresting

  • 5 วิธีการทรมานสุดเพี้ยนในอดีต ที่โหดหรือไม่โหดไม่รู้ แต่เรื่องแปลกนี่ต้องยกให้เลยจริงๆ

    5 วิธีการทรมานสุดเพี้ยนในอดีต ที่โหดหรือไม่โหดไม่รู้ แต่เรื่องแปลกนี่ต้องยกให้เลยจริงๆ

    ตั้งแต่ในสมัยก่อน มนุษย์เราได้สรรหาสารพัดวิธีการที่จะนำมาทรมานผู้อื่น บางครั้งวิธีการเหล่านั้นก็อาจจะโหดร้าย ทารุณ เหนือกว่าที่จะจินตนาการ แต่ในบางครั้งวิธีการทรมานที่ถูกใช้ก็อาจจะดูแปลกแบบสุดๆ ได้เช่นกัน เหมือนอย่างวิธีการทรมานสุดเพี้ยนในอดีตทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้ ที่โหดหรือไม่โหดไม่รู้ แต่เรื่องแปลกนี่ต้องยกให้เลยจริงๆ   การทรมานด้วยการจักจี้ เราอาจจะเคยเห็นการทรมานแบบนี้มาในการ์ตูนอยู่บ่อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่าการจักจี้นั้นเคยเป็นการทรมานที่ถูกใช้จริงๆ มาก่อน ทั้งในอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น หรือกระทั่งในค่ายกักกันนาซี การทรมานแบบนี้มีอยู่หลากหลายวิธี แต่หนึ่งในนั้นคือการเอาเกลือหรือน้ำหวานทาที่เท้าของเหยื่อ และให้แพะเลียไปเรื่อยๆ นี่อาจจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่การหัวเราะอย่างต่อเนื่องก็อาจจะนำไปสู่การ วิงเวียน อาเจียน หรือเป็นลมได้เลย นอกจากนี้ การเลียของแพะที่นานเกินไปยังอาจจะทำให้ผิวหนังลอกออกอย่างรุนแรงได้อีกด้วย   Schwedentrunk การทรมานนี้บางครั้งก็เรียกว่า “เครื่องดื่มแห่งสวีเดน” เป็นการทรมานที่ถูกคิดต้นขึ้นในช่วงสงครามสามสิบปีระหว่างเยอรมนีและสวีเดน (ระหว่างปี 1618-1648) โดยนี่จะเป็นการทรมานโดยบังคับให้เหยื่อดื่มสิ่งสกปรกอย่างปัสสาวะ อุจจาระ หรืออาเจียน (หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นน้ำต้มเดือด) เข้าไปในปริมาณมากๆ จนท้องป่อง ก่อนที่มีการเหยียบ กระทืบ หรือทับท้องด้วยของหนักอีกที   ห้องสีขาว นี่เป็นการทรมานที่เน้นไปที่การโจมตีทางจิตใจเป็นหลักและมีประวัติถูกใช้มาแล้วหลายครั้งในโลก โดยจะเป็นการนำเหยื่อมาใส่ชุดขาวและขังไว้ในห้องที่ทุกอย่างเป็นสีขาว และแม้กระทั่งอาหารที่ได้รับก็จะเป็นสีขาว นี่เป็นการทรมานที่เน้นเรื่องความโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่ายามของที่คุมขังต้องไม่ทำให้เหยื่อรู้ตัวว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ เลยทีเดียว โดยมากแล้วเหยื่อที่ถูกทรมานเช่นนี้จะเริ่มมีอาการประสาทหลอน…

  • 22 ภาพความน่ากลัวของรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กยุค 70-80 เพราะที่นั่นไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป

    22 ภาพความน่ากลัวของรถไฟใต้ดินในนิวยอร์กยุค 70-80 เพราะที่นั่นไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป

    เมื่อพูดถึงรถไฟใต้ดิน เชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดถึงความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เพราะถึงแม้จะแออัดไปบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวการจราจรบนถนน แต่รู้กันไหมว่าสำหรับนครนิวยอร์กในช่วงยุค 70-80 มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะในช่วงนี้รถไฟใต้ดินของสหรัฐฯ นับว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ลองดูในภาพต่อไปนี้สิ   ในช่วงยุค 70-80 รถไฟใต้ดินของสหรัฐฯ นับว่าเป็นแหล่งมั่วสุมขนาดใหญ่ที่หนึ่ง   เนื่องจากในเวลานั้นยังไม่มีการตรวจตราที่เข้มงวด   นั่นทำให้ที่แห่งนี้มีคนอยู่ทุกประเภท   และในหลายๆ ครั้งก็จะเต็มไปด้วยผู้ไม่หวังดี   ในบางเวลาของวันที่สถานีจะเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ   มีคนไร้บ้านอาศัยอยู่เต็มไปหมด   แถมตัวรถไฟก็เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนสกปรก   และเจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอต่อการดูแลพื้นที่ทั้งหมด   นั่นทำให้คนที่มาใช้บริการ มักรู้สึกหวาดระแวงอยู่เสมอๆ   เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่เห็นเป็นคนดีหรือไม่   ทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลีกเลี่ยงที่จะให้งานรถไฟใต้ดิน   แต่ในบางครั้งคนเราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเดินทางได้อยู่ดี   อัตราอาชญากรรมในที่แห่งนี้พุ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงปลายยุค 70   จนถึงขั้นที่ว่าในปี 1980 ทางรัฐต้องจ้างตำรวจเพิ่มเติมจำนวนมาก   ในปีนั้นมีการจ้างตำรวจกว่า 2,300 นายเข้ามาดูแลพื้นที่   และมีการสอดส่องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง…

  • 21 ภาพหาชมยากจากสงครามเกาหลี สงครามอันน่าสลด ที่แบ่งแยกสองพี่น้องออกจากกัน

    21 ภาพหาชมยากจากสงครามเกาหลี สงครามอันน่าสลด ที่แบ่งแยกสองพี่น้องออกจากกัน

    สำหรับหลายๆ คนแล้ว สงครามเกาหลีนับว่าเป็นสงครามที่ได้รับความสนใจน้อยมาก จนถึงขั้นที่ว่ามีคนตั้งฉายาให้เป็น สงครามที่ถูกลืมเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นสงครามครั้งนี้เองก็เป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความสูญเสียไม่แพ้สงครามอื่นๆ ในโลก และมีภาพที่น่าสนใจมากมายที่ถูกบันทึกเอาไว้ในระหว่างสงครามในครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 21 ภาพหายากจากสงครามเกาหลี สงครามที่ถูกลืมซึ่งน้อยคนนักจะเข้าใจ   เริ่มกันที่ภาพเด็กเกาหลีที่แบกน้องชายเอาไว้ โดยมีรถถังเป็นฉากหลัง ที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1950   การเดินทัพของทหารเกาหลีเหนือในกรุงโซล   ภาพทหารสหรัฐฯ ที่ถูกจับโดยทหารเกาหลีเหนือ   การยกพลขึ้นฝั่งของทหารสหรัฐฯ ในวันที่ 15 กันยายน 1950   ภาพทหารแห่งกองทหารที่ 31 เตรียมขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออินช็อน 18 กันยายน 1950   ภาพการโจมตีทางอากาศที่ถ่ายจากเครื่อง USAF RF-80   ทหารสหรัฐฯ (ขวา) จับกุมคนเกาหลีเหนือในวันที่ 20 กันยายน 1950   เด็กเกาหลี นั่งบนซากบ้านที่ไฟไหม้ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1951…

  • เปิดตำนาน “วูดเฮนจ์” สถานที่ซึ่งเป็นสโตนเฮนจ์แห่งเยอรมนี กับประวัติการบูชายัญในอดีต

    เปิดตำนาน “วูดเฮนจ์” สถานที่ซึ่งเป็นสโตนเฮนจ์แห่งเยอรมนี กับประวัติการบูชายัญในอดีต

    ในยุคสมัยที่ข้อมูลหาได้ง่ายเพียงแค่เปิดอินเตอร์เน็ตเช่นนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโตนเฮนจ์ สิ่งก่อสร้างหินปริศนาแห่งประเทศอังกฤษอีกแล้ว แต่รู้กันไหมว่าที่เยอรมนีเอง ก็มีอะไรคล้ายกันนี้อยู่เช่นกัน มันคือโบราณสถานที่มีอายุราวๆ 4,300 ปีซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน Pömmelte ในเยอรมนี และมีชื่อเรียกว่า “สโตนเฮนจ์แห่งเยอรมัน” หรือ “วูดเฮนจ์”     วูดเฮนจ์ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1991 โดยเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ และเรียงกันเป็นวงกลมหลายชั้น ซึ่งแม้จะไม่ได้โด่งดังเท่ากับสโตนเฮนจ์ของอังกฤษ แต่ที่แห่งนี้ก็มีเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน เพราะในบริเวณที่มีการค้นพบวูดเฮนจ์นั้น ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของเด็ก และหญิงวัยรุ่นจำนวนมากเช่นกัน และจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์พวกเขานั้นได้จบชีวิตลงจากการสังหารที่โหดร้ายรุนแรงอีกด้วย     จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงการสังหารหมู่ธรรมดาในสมัยนั้น แต่จากการที่ไม่มีโครงกระดูกของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เลย ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าโครงกระดูกเหล่านี้ น่าจะมาจากการบูชายัญเสียมากกว่า เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนจะมีการใช้ที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 250 ปี ตลอดช่วง 2300-2050 ปีก่อนคริสตกาล ส่งผลให้มีโครงกระดูกจำนวนมากถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ไป     อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการประกอบพิธีกรรมที่ว่าจะถูกยกเลิกไปกลางคัน เพราะในบริเวณหนึ่งของวูดเฮนจ์ยังมีวัตถุโบราณที่น่าจะเคยใช้ในการประกอบพิธีฝังเอาไว้และกลบด้วยขี้เถ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากการเผาเสาทิ้งบางส่วน เป็นไปได้ว่าในช่วง 2050 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการยกเลิกประกอบพิธีกรรมไป คนในสมัยนั้นจึงเอาอุปกรณ์ที่เคยใช้ทั้งหมดใส่ลงไปในหลุม และเผาเสาไม้เพื่อเอาขี้เถ้าไปกลบหลุมเสียนั่นเอง     ในปัจจุบันวูดเฮนจ์ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือระหว่างทางการและผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ และได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้คนจากทุกมุมโลกได้มาเยี่ยมชมสืบไป…

  • Heinz Meixner ผู้ขับรถหนีจากคอมมิวนิสต์ ลอดใต้ด่านเบอร์ลินตะวันออก ทำทุกสิ่งเพื่อความรัก

    Heinz Meixner ผู้ขับรถหนีจากคอมมิวนิสต์ ลอดใต้ด่านเบอร์ลินตะวันออก ทำทุกสิ่งเพื่อความรัก

    ว่ากันว่าคนเราสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อความรัก คำพูดนี้ใช้ได้ดีมากในกรณีของ Heinz Meixner เพราะสำหรับเขาแล้วเพื่อที่จะได้อยู่กับคนที่รัก ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตเขาก็ไม่กลัว เรื่องราวของ Heinz Meixner เกิดขึ้นในเยอรมนีเมื่อปี 1963 ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดของสงครามเย็นพุ่งขึ้นถึงขีดสุด     ในเวลานี้เองที่ Meixner หลงรักสาวคนหนึ่งในกรุงเบอร์ลินตะวันออก ซึ่งอยู่ในการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองหลายๆ อย่างในตอนนั้น Meixner จึงไม่สามารถครองรักกับหญิงสาวที่เขาชอบได้ นั่นทำให้ Meixner วางแผนที่จะพาคนรัก (และแม่ของเธอ) หนีไปยังออสเตรีย บ้านเกิดของเขา เพื่อที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ ปัญหาคือกำแพงเบอร์ลินที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา และด่านตรวจ “ชาร์ลี” ที่มีการคุมเข้มตลอด 24 ชั่วโมง     นับว่าเป็นโชคดีของ Meixner ที่เขาสังเกตเห็นว่าด่านตรวจ “ชาร์ลี” มีเหล็กกั้นที่สูงจากพื้นถึง 95 เซนติเมตร Meixner จึงออกหารถซึ่งเตี้ยพอที่จะลอดเหล็กกั้นดังกล่าวได้ทันที เขาซื้อรถ Austin-Healey Sprite ซึ่งหากเปิดประทุนและถอดกระจกหน้าออกจะมีความสูงเพียง 90 เซนติเมตร ให้ภรรยากับแม่ยายซ่อนอยู่หลังเบาะและในกระโปรงหลัง ก่อนที่จะขับรถไปที่ด่านตรวจชาร์ลีในวันที่ 5 พฤษภาคม     เขาถูกสายตรวจของด่านตรวจเรียกให้หยุดและลงจากรถ แต่แทนที่จะทำตาม Meixner ก็ตัดสินใจขับรถพุ่งลอดใต้เหล็กกั้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งหนีเข้าไปยังกรุงเบอร์ลินตะวันตก…

  • “Durdak Garcham” ประเพณีประหลาดของชาวทิเบต ที่ให้โครงกระดูกออกมาเต้นระบำ

    “Durdak Garcham” ประเพณีประหลาดของชาวทิเบต ที่ให้โครงกระดูกออกมาเต้นระบำ

    บนปกของนิตยสาร National Geographic ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน 1928 ได้มีการนำภาพสุดประหลาดของคนที่ใส่ชุดโครงกระดูกมาลง จนกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงของสมัยนั้นไป     นี่คือภาพที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1925 และนำมาผ่านเทคนิค Autochrome เพื่อแต่งเติมสีให้กับภาพขาวดำก่อนจะนำไปขึ้นปกนิตยสาร โดยเป็นภาพของนักเต้นชาวทิเบตที่กำลังประกอบพิธีกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ พิธีกรรมการเต้นที่เห็นนี้มีชื่อว่า “Durdak Garcham” หรือ “ระบำเทพเจ้าแห่งโครงกระดูก” ซึ่งเป็นพิธีกรรมของชาวพุทธเชื้อสายหิมาลายัน (น่าจะเป็นนิกายวัชรยาน)     ว่ากันว่าผู้เต้นจะเป็นตัวแทนของ “Chitipati” คู่รักผู้เป็นผู้ปกครองพื้นดินของสุสาน ผู้มีตาแห่งภูมิปัญญา ใส่มงกุฎที่ทำจากกะโหลกเล็กๆ ถือคทาที่ทำจากหัวและกระดูกสันหลังมนุษย์ และครอบครองกะโหลกที่เรียกว่า Kapala     อย่างไรก็ตามการเต้นระบำเทพเจ้าแห่งโครงกระดูก บางครั้งก็จะถูกบอกว่าเป็นการแสดงโดยพระสี่รูปซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพแห่งความดีของพระยมราชแทน จึงเป็นไปได้ว่าการเต้นระบำนี้ อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่     แต่ไม่ว่าจะมีรากฐานมาจากไหน การประกอบพิธีในรูปแบบนี้ก็มีจุดร่วมเดียวกันคือ เพื่อสะท้อนถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ รวมถึงร่างกายและจิตใจนั่นเอง   ที่มา rarehistoricalphotos, cultofweird, posttoday

  • โครงกระดูกที่เคนย่าเผยการ “สังหารหมู่” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อราวๆ 10,000 ปีก่อน

    โครงกระดูกที่เคนย่าเผยการ “สังหารหมู่” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อราวๆ 10,000 ปีก่อน

    ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราได้พบการสังหารหมู่อยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากสงคราม การแย่งชิงพื้นที่ หรือการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ประวัติศาสตร์ก็เปื้อนไปด้วยเลือดเสมอมา ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าการสังหารหมู่ที่เก่าแก่ที่สุดมันเป็นอย่างไรกัน?     นี่คือหนึ่งในฟอสซิลโครงกระดูกของชนเผ่าเร่ร่อน ที่มีอายุราวๆ 10,000 ปี ซึ่งมีการขุดพบที่ แหล่งโบราณคดี “Nataruk” ห่างออกไปจากทะเลสาบเทอร์คานาในประเทศเคนย่าราวๆ 30 กิโลเมตร โครงกระดูกที่ถูกพบนั้นมีอยู่อย่างน้อยๆ 27 ร่าง และทั้งหมดล้วนแต่มีร่องรอยของการถูกทุบด้วยของแข็ง หรือถูกโจมตีด้วยธนู ทำให้นี่กลายเป็นการสังหารหมู่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการขุดพบบนโลกใบนี้ไป ในบรรดาโครงกระดูกนั้นเป็นผู้หญิงอยู่ 8 ร่าง และมีโครงกระดูกของเด็กอีกราวๆ 6 ร่าง แถมหนึ่งในผู้หญิงเหล่านั้นยังเป็นหญิงท้องแก่อีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ปรานีของฝั่งผู้โจมตีได้อย่างดี   หนึ่งในโครงกระดูกของผู้หญิงที่ถูกพบ มีร่องรอยของการโดนมัดมือก่อนที่จะถูกสังหาร   แม้จะไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าฝ่ายที่โจมตีเป็นใครมาจากไหน แต่จากหลักฐานหัวธนูที่ทำจากหินออบซิเดียน ซึ่งหาได้ยากในพื้นที่ นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าใครก็ตามที่สังหารกลุ่มคนเหล่านี้ น่าจะอพยพมากจาพื้นที่อื่น นอกจากนี้การยังมีหลักฐานว่าร่างของผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ได้มีการถูกฝังหลังจากที่ตาย ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้มากว่าการสังหารหมู่ในครั้งนี้ น่าจะเกิดขึ้นในสงครามระหว่างเผ่าอีกด้วย     นี่เป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์ว่ามนุษย์มีการก่อสงครามและการสังหารหมู่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ทั้งๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ในสมัยก่อนมีความสมบูรณ์มากพอที่เผ่าทั้งสองจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้แท้ๆ เป็นไปได้ว่าความรุนแรงและกระหายเลือดจะเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ก็เป็นได้ เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 10,000 ปี มนุษย์ก็ยังคงไม่หยุดที่จะฆ่าฟันกันเองอยู่ดี  …

  • 4 เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในอดีต ที่อาจสามารถเลี่ยงได้ง่ายๆ เพียงแต่ฟังคำเตือนสักนิด

    4 เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในอดีต ที่อาจสามารถเลี่ยงได้ง่ายๆ เพียงแต่ฟังคำเตือนสักนิด

    มีอยู่บ่อยครั้งที่มนุษย์เราไม่เชื่อฟังคำเตือนจากคนอื่น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือแม้กระทั่งเพื่อนๆ นั่นทำให้พวกเขาต้องพบกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวด ทั้งๆ ที่อาจจะสามารถหลบเลี่ยงเหตุการณ์เหล่านั้นได้ง่ายๆ และนี่คือ 4 เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในอดีต ที่อาจสามารถเลี่ยงได้ง่ายๆ หากคนในสมัยนั้น ยอมฟังคำเตือนของคนที่ออกมาบอกสักนิด   ภัยพิบัติกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ นี่เป็นเหตุการณ์ที่กระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์แตกเป็นเสี่ยงๆ ในเวลา 73 วินาทีหลังออกบิน ทำให้สมาชิกลูกเรือทั้งเจ็ดคนเสียชีวิต ซึ่งแม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เชื่อไหมว่าเคยมีคนเตือนทาง NASA ไปแล้ว ชายคนดังกล่าวคือ Roger Boisjoly ผู้ที่ทราบว่าระบบไอพ่นของกระสวยอวกาศจะต้องทำงานผิดพลาดแน่ๆ และพยายามหยุดการปล่อยจรวด โชคร้ายที่ NASA ไม่เชื่อว่า “ความผิดพลาดในการออกแบบ” ที่ Roger บอกจะเป็นความจริง และฝืนที่จะปล่อยกระสวยต่อไป จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในครั้งนี้   การลอบสังหารอับราฮัม ลินคอล์น เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าก่อนที่อับราฮัม ลินคอล์นจะถูกสังหาร มีคนจำนวนมากที่เคยเตือนให้เขาระวังตัวมาก่อน แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น คนที่มั่นใจว่าลินคอล์นตกอยู่ในอันตรายที่สุดก็คงไม่พ้น Charles Colchester Colchester เป็น “ผู้มีญาณทิพย์” ชาวอังกฤษที่ออกมาเตือนผู้คนว่า ลินคอล์นกำลังอยู่ในอันตรายในช่วงราวๆ 1 สัปดาห์ก่อนถูกลอบสังหาร มีข่าวลือว่า Colchester ได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งข้อมูลภายในของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ใช่ “ญาณทิพย์” อย่างที่หลายๆ…

  • 5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด

    5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด

    สิ่งของหลายอย่างบนโลก ไม่ว่าจะเป็นของกิน เครื่องดื่ม ของใช้ หรือแม้แต่ฉากในภาพยนตร์ที่เราชอบกัน บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่คนทำไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมผลผลิตเหล่านั้นมันกลับออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนทำให้ความบังเอิญธรรมดาๆ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไป และสิ่งของที่เกิดจากความบังเอิญเหล่านั้น กลายเป็นสิ่งที่โลกต้องจดจำไปได้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 5 ผลผลิตที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งเกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วนๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่อย่างใด   คุกกี้ช็อกโกแลตชิป คุกกี้ช็อกโกแลตชิปนั้นแรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ Ruth Wakefield เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งจะทำคุกกี้ช็อกโกแลต แต่กลับไม่มีดาร์กช็อกโกแลตสำหรับทำขนมเหลืออยู่ เธอจึงเอาช็อกโกแลตแบบหวานมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่คุกกี้โดยหวังว่ามันจะละลายในระหว่างอบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ละลาย และออกมาเป็นคุกกี้ช็อกโกแลตชิปแบบที่เรารู้จักไป   ไอศกรีมโคนวาฟเฟิล เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1904 ในงาน St. Louis World’s Fair เมื่อ Arnold Fornachou พ่อค้าไอศกรีมคนหนึ่ง ขายไอศกรีมดีมาก จนถ้วยกระดาษที่เตรียมมาใส่ไอศกรีมหมด และบังเอิญว่าในเวลานั้นข้างๆ ร้านของเขามีร้านขายวาฟเฟิลแบบกรอบเปิดอยู่พอดี ด้วยเหตุนี้แทนที่จะปิดร้านกลับ Fornachou ก็เลยซื้อวาฟเฟิลแบบกรวยมาทำเป็นโคน และกลายเป็นต้นกำเนิดของไอศกรีมวาฟเฟิลไป   ชีสเบอร์เกอร์ จากคำกล่าวอ้างของร้าน Rite Spot ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1920 เชฟหนุ่มชื่อ Lionel Sternberger เผลอทำเนื้อที่ต้องใส่ในเบอร์เกอร์ไหม้ไปเล็กน้อย…

  • เปิดตำนาน “Lyudmila Pavlichenko” สไนเปอร์หญิงที่เก่งที่สุด ผู้สังหารทหารนาซีร่วม 309 ราย

    เปิดตำนาน “Lyudmila Pavlichenko” สไนเปอร์หญิงที่เก่งที่สุด ผู้สังหารทหารนาซีร่วม 309 ราย

    หากพูดถึงสไนเปอร์ที่เก่งที่สุด เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดถึง “มัจจุราชสีขาว” อย่าง Simo Häyhä เป็นคนแรก แต่ถ้าพูดถึงสไนเปอร์ “หญิง” ที่เก่งที่สุดล่ะ เพื่อนๆ จะนึกถึงใครขึ้นมา?     นี่คือ Lyudmila Mykhailivna Pavlichenko สไนเปอร์หญิงจากกองทัพโซเวียตเจ้าของสถิติยิงสังหารทหารนาซีไป 309 ราย Lyudmila เข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารสไนเปอร์หญิง 2,000 คนแห่งกองทัพโซเวียตเมื่อตอนที่เธออายุได้ 24 ปี และเป็นหนึ่งในสไนเปอร์หญิงเพียง 500 คนที่รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย     เธอเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ในช่วงที่ผู้หญิงยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่ และคาดว่าจะได้เข้ารับหน้าที่ในฐานะพยาบาลของกองทัพในช่วงแรก อย่างไรก็ตามจากผลงานเก่าๆ ของเธอในกองทัพอาสาสมัครเพื่อความร่วมมือกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือ (DOSAAF) Lyudmila ก็ถูกย้ายไปอยู่หน่วยพลแม่นปืนแทน จากคำบอกเล่าของตัว Lyudmila เอง วิธีการสังหารศัตรูของเธอนั้นค่อนข้างจะโหดมาก โดยเธอจะยิงทหารคนหนึ่งให้บาดเจ็บเพื่อหลอกล่อให้เพื่อนๆ มาช่วยและกลายเป็นเหยื่อคนต่อไปของเธอ     วิธีการรบเช่นนี้เองทำให้เธอกลายเป็นที่หวาดกลัว และโกรธแค้นของทหารนาซีไป ถึงขั้นที่ว่าเคยมีจดหมายมาขู่ว่าจะ “หั่นเธอเป็น 309 ชิ้น” เลยทีเดียว แต่แทนที่จะกลัวเธอกลับรู้สึกยินดีมาก และบอกว่า “พวกเขารู้สถิติของฉันด้วย”  ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ Lyudmila ก็บาดเจ็บอยู่หลายครั้ง…

  • งานวิจัยเผย “ลีโอนาร์โด ดา วินชี ” วาดภาพงดงามออกมาได้ อาจเพราะอาการ “ตาเหล่”

    งานวิจัยเผย “ลีโอนาร์โด ดา วินชี ” วาดภาพงดงามออกมาได้ อาจเพราะอาการ “ตาเหล่”

    ตั้งแต่ในสมัยก่อน คนเราสงสัยกันมาตลอดว่าด้วยเหตุใดกันคนอย่าง ลีโอนาร์โด ดา วินชี จึงสามารถวาดภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ออกมาได้ จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะเกี่ยวกับพรสวรรค์และการฝึกฝนเป็นหลัก แต่จากการวิจัยของแพทย์ล่าสุดนี้เอง ไม่แน่นะว่าการที่ลีโอนาร์โด ดา วินชี วาดภาพที่งดงามออกมาได้แบบนี้ อาจจะมาจากอาการ “ตาเหล่” ก็เป็นได้     อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่าอาการดวงตาทั้งสองข้างไม่ได้เพ่งมองไปที่จุดเดียวกัน ที่เราเรียกว่า ตาเหล่ หรือตาเขนั้น มันเกี่ยวข้องกับการวาดภาพอย่างไรกัน? เรื่องนี้คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัย City University of London ได้อธิบายไว้ว่า อาการตาเหล่ จะมีลักษณะการมองเห็นในมุมมองที่ต่างไปจากคนปกติ ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นอาการที่ไม่ดีแต่กลับมีประโยชน์ต่อผลงานในเชิงศิลป์มาก นั่นเป็นเพราะการมองเห็นภาพสามมิติของคนเรามาจากการประมวลผลของสมอง โดยอาศัยข้อมูลจากดวงตาทั้งสอง เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาเอานิ้วมาวางใกล้ๆ จมูกและหลับตาทีละข้าง นิ้วเราจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน     ด้วยเหตุนี้เองอาการตาเหล่จึงทำให้คนที่มีอาการสามารถถ่ายทอดภาพสามมิติลงบนพื้นภาพใบที่เป็นสองมิติได้ดี เพราะสมองให้ความสำคัญกับข้อมูลภาพสามมิติที่ได้รับจากตาของข้างต่างจากคนทั่วไป และนั่นก็ทำให้การเปลี่ยนวิวที่เห็นจากสามมิติเป็นสองมิติผ่านการมองด้วยตาเพียงข้างเดียวของคนที่ตาเหล่ มีประสิทธิภาพกว่าคนที่ไม่มีอาการในหลายๆ สถานการณ์ โดยจากการวิจัยภาพจำนวนหนึ่งของ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ทางแพทย์เชื่อว่าอาการตาเหล่ของเขานั้นไม่รุนแรง และไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้เขาสามารถพลิกแพลงการมองได้ดีกว่าคนอื่นๆ แถมยังไม่ดูแปลกแยกมากนัก     นอกจากนี้ทางทีมแพทย์ที่ทำการวิจัยเองก็เชื่อว่าน่าจะยังมีศิลปินอีกหลายคนในประวัติศาสตร์ที่มีอาการตาเหล่ โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าเรมบรันต์ หรือปิกัสโซเองก็น่าจะมีอาการเช่นนี้เหมือนกัน   ที่มา independent, allthatsinteresting, msn

  • พบรถม้าศึกโบราณจากยุคเหล็ก ถูกฝังแบบครบถ้วนทั้ง ตัวรถ ม้าลาก และคนขับ

    พบรถม้าศึกโบราณจากยุคเหล็ก ถูกฝังแบบครบถ้วนทั้ง ตัวรถ ม้าลาก และคนขับ

    ในสมัยก่อนมนุษย์เราใช้ม้ารถด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งในการเดินทาง การค้า และสงคราม การขุดพบรถม้าโบราณจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร แต่เรื่องที่ทำให้การค้นพบในครั้งนี้แปลก อยู่กับสิ่งที่มาพร้อมกับรถม้าต่างหาก เพราะนี่เป็นการค้นพบรถม้าศึกโบราณจากยุคเหล็ก ที่ถูกฝังแบบครบถ้วนทั้งตัวรถม้า ม้าที่ลากรถ และแม้กระทั่งคนที่กำลังควบคุมรถม้าศึกคันนั้นอยู่นั่นเอง     นี่เป็นการค้นพบโดยบริษัทพัฒนาพื้นที่ Persimmon Homes Yorkshire ในระหว่างการเตรียมการก่อสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ที่เมือง Pocklington เมืองค้าขายเล็กๆ ของอังกฤษ โดยคุณ Simon Usher กรรมการผู้จัดการบริษัท Persimmon Homes Yorkshire ได้ออกมากล่าวยืนยันว่า บริษัทของเธอได้มีการพบรถม้าโบราณจริงๆ และได้มีการจัดทีมนักโบราณคดีเข้าขุดค้นพื้นที่ที่มีการค้นพบรถม้าแล้ว     แม้ว่าคุณ Simon จะยังไม่ขอให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับรถม้าที่พบจนกว่าที่การขุดค้นรถม้าจะเสร็จสิ้นลง แต่เขาก็ได้กล่าวว่ารถม้าคันนี้จะถูกนำไปออกรายการ Digging for Britain ของทาง BBC อย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบรถม้าในพื้นที่เมือง Pocklington เพราะในปี 2017 เองก็เคยมีการขุดพบรถม้าที่มีซากม้าลากอยู่ด้วยมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่มีการขุดพบรถม้าที่มีร่างผู้ควบคุมอยู่ด้วยในพื้นที่     ที่มา allthatsinteresting, yorkshirepost, archaeology

  • นักโบราณคดีพบ “ค้อนเทพธอร์ขนาดจิ๋ว” ในหุบเขาทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์

    นักโบราณคดีพบ “ค้อนเทพธอร์ขนาดจิ๋ว” ในหุบเขาทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์

    เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา ในหุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์ (Þjórsárdalur) ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ได้มีข่าวการขุดพบวัตถุโบราณขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายค้อนมโยลเนียร์ อาวุธของเทพธอร์     นี่เป็นค้อนมโยลเนียร์จำลองขนาดจิ๋ว ที่ทำขึ้นจากการแกะสลักหินทราย เชื่อกันว่าถูกใช้เป็นสร้อยคอกึ่งเครื่องรางโดยชาวไวกิ้งในช่วงปีคริสต์ศักราช 793-1066 การค้นพบในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบค้อนมโยลเนียร์จำลอง ที่ถูกสร้างขึ้นจากงานแกะสลักหินทราย (โดยมากแล้วค้อนมโยลเนียร์จำลองที่เคยค้นพบจะเป็นเครื่องเงิน)     หุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์ที่มีการค้นพบสร้อยคอรูปค้อน ดังกล่าวนับว่าเป็นสถานที่สำคัญในการขุดค้นวัตถุโบราณจากยุคไวกิ้งเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ในปี 1920 นักโบราณคดีได้มีการค้นพบวัตถุโบราณในที่แห่งนี้มาแล้วกว่า 20 ครั้ง พื้นที่บริเวณนี้ถูกพบเป็นครั้งแรกโดย Bergur Þór Björnsson ผู้เป็นชาวบ้านในพื้นที่โดยบังเอิญ และเชื่อกันว่าน่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูกของชาวไวกิ้งในสมัยนั้น   Bergur Þór Björnsson ผู้ค้นพบพื้นที่ดังกล่าว   เป็นไปได้ว่าสร้อยคอรูปค้อนที่พบจะเป็นผลงานที่เกิดจากการที่ศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาเผยแพร่ในหมู่ชาวไวกิ้ง และผสมผสานกับความเชื่อของชาวนอร์สโบราณจนออกมาเป็นเครื่องรางในลักษณะนี้ โดยนอกจากสร้อยคอที่พบแล้ว นักโบราณคดียังมีการขุดพบ หินลับมีด อีเต้อ และหัวเข็มขัด ในบริเวณใกล้ๆ กับสร้อยคออีกด้วย     ในปัจจุบันนักโบราณคดีมีกำหนดการที่จะเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณที่พบไปยังกรุงเรคยาวิก เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์เพื่อทำการวิจัยวัตถุโบราณที่พบต่อไป โดยพวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพบข้อมูลเกี่ยวกับอายุที่ชัดเจน และที่มาของวัตถุโบราณจากการวิจัยในครั้งนี้ และแน่นอนว่าจะมีการขุดค้นหุบเขาธยอร์ซาดาเลอร์เพื่อตามหาสิ่งที่อาจจะถูกฝังที่นั่นต่อไป   ที่มา allthatsinteresting, ancient-origins, foxnews

  • “Kombat” ภาพถ่ายผู้กล้าแห่งโซเวียต ผู้ปลุกใจกองกำลังและจากไปหลังจากนั้นเพียง 2 นาที

    “Kombat” ภาพถ่ายผู้กล้าแห่งโซเวียต ผู้ปลุกใจกองกำลังและจากไปหลังจากนั้นเพียง 2 นาที

    ในเวลาโลกกำลังลุกไหม้ไปด้วยสงครามนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบกับภาพที่กลายเป็นตำนานสักภาพสองภาพ และสำหรับทางโซเวียตแล้ว ภาพที่เป็นตำนานเช่นนั้นคงไม่พ้นภาพ “Kombat” ของช่างภาพ Max Alpert     นี่เป็นภาพที่ Max Alpert ถ่ายได้ในระหว่างการรบที่หมู่บ้าน Khorosheye ซึ่งเป็นหมู่บ้านในพื้นที่ประเทศยูเครนในปัจจุบัน และถูกถ่ายไว้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1942 นั่นเอง เขาคือ Alexey Yeremenko ผู้บังคับหมู่ที่ 4 ประจำกองร้อยปืนเล็กที่ 220 ผู้ซึ่งกล่าวปลุกใจจนทำให้ทางทหารกลับมามีใจสู้อีกครั้ง แต่ก็ต้องแลกด้วยการที่เขาถูกยิงจนตาย หลังจากที่ภาพนี้ถูกถ่ายออกมาได้ไม่ถึง 2 นาที     ว่ากันตามตรงในตอนที่ภาพนี้ถูกถ่ายไม่มีใครรู้ว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใคร เพราะในเวลานั้นทุกคนต่างต้องการเอาชีวิตในสงครามอยู่ และหน่วยหมู่ที่ 4 ในภาพก็ไม่มีใครรอดกลับมาสักคนเลยด้วย นั่นทำให้ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าชายคนดังกล่าวกำลังให้กำลังใจทหารของโซเวียตอยู่ และภาพภาพนี้ก็ถูกทางโซเวียตใช้ในการประชาสัมพันธ์กองทัพก็เท่านั้น จนกระทั่ง 23 ปีหลังจากนั้น ในปี 1965 ในที่สุดตัวจริงของชายในภาพก็ถูกเปิดเผยออกมา หลังจากที่ทางครอบครัวของ Alexey ออกมาเห็นรูปดังกล่าวเขา และบอกว่าคนในภาพนั้นต้องเป็น Alexey อย่างแน่นอน     แต่แม้ว่า Alexey Yeremenko จะเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อเสียงของเขาก็จะยังคงอยู่ในฐานะฮีโร่ของโซเวียตตลอดไป พร้อมๆ กับอนุสาวรีย์…

  • เปิดตำนาน “กระดานวีจี” ผีถ้วยแก้วของตะวันตก ซึ่งเบื้องหลังไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

    เปิดตำนาน “กระดานวีจี” ผีถ้วยแก้วของตะวันตก ซึ่งเบื้องหลังไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

    รู้จักกระดานวีจี (Ouija) ไหม? นี่เป็นกระดานที่ใช้ทั้งในการละเล่น และการติดต่อกับโลกวิญญาณที่โด่งดังของทางยุโรป ซึ่งหากจะพูดแล้วก็คงคล้ายๆ กับผีถ้วยแก้วของไทยนั่นเอง กระดานวีจี มาจากคำว่า Oui ในภาษาฝรั่งเศส และ Ja ในภาษาเยอรมัน ซึ่งทั้งสองคำแปลว่า “ใช่” ทั้งคู่     กระดานวีจีประกอบไปด้วยกระดานที่มีการพิมพ์ตัวหนังสือเอาไว้ และอุปกรณ์รูปหัวใจที่เรียกว่า “Planchette” ซึ่งใช้ในการเลื่อนไปบนกระดาน ระหว่างที่ผู้เล่นเอามือวางไว้ข้างบนนั้น ว่ากันว่ากระดานวีจีมาจากสมัยกรีกโบราณหรือเก่าแก่กว่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ กระดานวีจีกลับเพิ่งจะมีการคิดค้นขึ้นในปี 1890 นี้เอง แถมเดิมทีแล้วยังถูกใช้ในฐานะเกมเพื่อการเล่นสนุกเฉยๆ ด้วย     กระดานวีจีเป็นเกมที่ถูกคิดค้นโดย Elijah Bond และขายให้กับ William Fuld ในเวลาต่อมา ก่อนที่สุดท้ายจะตกไปอยู่ในมือของบริษัทของเล่น Parker Brothers ในปี 1966 กระดานวีจีนั้นเดิมทีแล้วถูกเรียกว่ากระดานพูดได้ จากการที่ในหมู่คนเล่นมักจะมีการแอบขยับ Planchette จนเหมือนกับว่ากระดานพูดได้นั่นเอง     เรื่องของกระดานวีจีแลดูสดใสเรื่อยมาจนกระทั่งมี ตำนานของ Pearl Curran ผีจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ถูกเชื่อกันว่าจะออกไปสิงตามกระดานวีจีออกมา จนทำให้ภาพลักษณ์ของกระดานวีจี เปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสารกับวิญญาณไป หลังจากวันนั้นมากระดานวีจีก็มักจะถูกใช้ในเชิงความเชื่อมาตลอด ไม่ว่าจะการตามหาของที่หาย ถามชะตากรรมของทหารที่ไปร่วมสงคราม หรือแม้กระทั่งเรียกปีศาจร้าย…

  • “เลโอนิด โรโกซอฟ” นายแพทย์โซเวียตสุดแกร่ง ผู้ผ่าตัดไส้ติ่งตัวเองในทวีปแอนตาร์กติกา

    “เลโอนิด โรโกซอฟ” นายแพทย์โซเวียตสุดแกร่ง ผู้ผ่าตัดไส้ติ่งตัวเองในทวีปแอนตาร์กติกา

    หลายๆ คนอาจจะรู้กันดีว่าแพทย์ นั้นเป็นงานที่ยากลำบากขนาดไหน แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าในโลกของเรานั้นมีแพทย์ที่ผ่าตัดตัวเองมาแล้วอยู่ด้วย     นี่คือเรื่องราวของเลโอนิด โรโกซอฟ (Leonid Rogozov) นายแพทย์ในคณะสำรวจขั้วโลกของโซเวียต และประจำการอยู่ที่สถานี Novolazarevskaya เมื่อช่วงปี 1960-1961 ในสถานที่แห่งนั้นมีเพียงเลโอนิดคนเดียวที่เป็นแพทย์ซึ่งมีความสามารถมากพอที่จะทำการผ่าตัดได้ ดังนั้นในตอนที่เขาเกิดอาการปวดท้องในวันที่ 29 เมษายน 1961 ทุกคนก็รู้สึกเป็นกังวลเป็นอย่างมาก     เลโอนิดเข้าใจทันทีว่าตัวเองมีอาการของไส้ติ่งอักเสบ แต่ปัญหาคือในสถานีซึ่งถูกตัดขาดจากโลกแห่งนี้ เขาคงไม่สามารถหาคนมาช่วยผ่าตัดเขาได้ทันเวลาอย่างแน่นอน นั่นทำให้หลังจากนอนรอหนทางอื่นๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดเมื่อเวลา 2.00 นาฬิกาของ วันที่ 1 พฤษภาคม เลโอนิดจึงได้ตัดสินใจทำการผ่าตัดตัวเอง ด้วยความช่วยเหลือของวิศวกรเครื่องกล และนักอุตุนิยมวิทยาที่มาทำหน้าที่เป็นลูกมือจำเป็น     เลโอนิด ผ่าเปิดท้องตัวเองด้วยการมองผ่านกระจกที่ลูกมือถือให้ และเริ่มทำการผ่าตัดในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน และใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง 45 นาทีในการผ่าตัดทั้งหมด จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ในระหว่างผ่าตัดไปได้ราวๆ 30-40 นาที คุณหมอก็ต้องหยุดพักจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ แต่สุดท้ายเข้าก็กลับมาผ่าตัดจนสำเร็จได้ สร้างความนับถือในบรรดาผู้ช่วยเป็นอย่างมาก     หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นเลโอนิดก็ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ราวๆ…

  • 5 ความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับเซ็กซ์จากสมัยก่อน ที่บางอันก็แปลกจนรู้สึกว่าดีแล้วที่มันหายไป

    5 ความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับเซ็กซ์จากสมัยก่อน ที่บางอันก็แปลกจนรู้สึกว่าดีแล้วที่มันหายไป

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมาตั้งแต่สมัยก่อน เราสามารถมีความเชื่อได้กับทุกการกระทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะการกิน การนอน หรือแม้กระทั่งการมีเซ็กซ์ โดยเฉพาะอย่างหลังในหลายๆ ครั้งก็แปลกอย่างไม่น่าเชื่อด้วย เหมือนอย่าง 5 ความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์จากสมัยก่อนเหล่านี้ ที่บางอันก็แปลกจนรู้สึกว่าดีแล้วที่เดียวนี้คนไม่ได้เชื่อแล้วต่อไปนี้   ทุกสิ่งเกิดจากการช่วยตัวเองของเทพ นี่เป็นเรื่องราวของเทพอาทุม หรือที่บางครั้งก็เรียกกันว่าอาเทมของอียิปต์ ซึ่งนับว่าเป็นเทพของแรกในความเชื่อเรื่องการสร้างโลก โดยได้มีการระบุไว้ว่าเทพอาทุมจะใช้มือของตัวเองในการเป็นตัวแทนเพศหญิงในการสร้างเทพอื่นๆ ซึ่งนี่ก็เป็นการสื่อถึงการช่วยตัวเองอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าตามแนวคิดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะเกิดขึ้นมาจากน้ำอสุจิของเทพอาทุมนั่นเอง   การฉีดปรอทใส่ท่อปัสสาวะรักษาโรคหนองใน (และซิฟิลิส) ได้ นี่เป็นความเชื่อในการรักษาโรคหนองในที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีการค้นพบในเรือ Mary Rose ของอังกฤษ พร้อมๆ กับเครื่องมือที่ใช้ในการฉีดปรอทใส่ท่อปัสสาวะ และดูเหมือนว่าคนสมัยก่อนจะมีการใช้วิธีนี้รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายๆ ชนิดมาอย่างต่อเนื่องจนในศตวรรษที่ 19 ในตอนที่เราทราบว่าปรอทเป็นพิษกับมนุษย์เลยทีเดียว   การถึงจุดสุดยอด (ของผู้ชาย) จะทำให้เสียสุภาพ นี่เป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า ที่เชื่อว่าการถึงจุดสุดยอดของผู้ชายจะเป็นการปล่อยพลังชีวิตออกมา และทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้ นั่นทำให้ผู้ชายในลัทธิพยายามอย่างมากที่จะไม่ถึงจุดสุดยอดทั้งจากการช่วยตัวเองและการมีเซ็กซ์ โดยที่พวกเขามักจะยอมถึงจุดสุดยอดในกรณีที่ได้พลังชีวิตจากฝ่ายหญิงมาก่อนเท่านั้น เพราะมีความเชื่อว่าการถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงจะนำมาซึ่งพลังชีวิตโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรไปนั่นเอง   มีเซ็กซ์กันคนที่ไม่รู้จักเพื่อตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ ตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมีย ผู้หญิงทุกคนจะต้องไปที่วิหารของเทพอิชทาร์สักครั้งในชีวิต เพื่อมีเซ็กซ์กับใครก็ตามที่เลือกเธอ เพื่อเป็นการตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ และความเสริมมั่งคั่งของชุมชน แต่ในขณะเดียวกันที่เมโสโปเตเมียก็มีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงที่แต่งงานจะต้องเป็นหญิงพรหมจรรย์ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงที่มาที่วิหารน่าจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วทั้งนั้นนั่นเอง   ใช้ลูกอัณฑะบีเวอร์ในการคุมกำเนิด…

  • 6 สัตว์เลี้ยงของเหล่าผู้นำสุดโหดในโลกไปนี้ มาดูกันว่าแต่ละคนจะเลี้ยงสัตว์แบบไหนไว้กัน

    6 สัตว์เลี้ยงของเหล่าผู้นำสุดโหดในโลกไปนี้ มาดูกันว่าแต่ละคนจะเลี้ยงสัตว์แบบไหนไว้กัน

    สำหรับหลายๆ คนแล้วการเลี้ยงสัตว์มีข้อดีตรงที่ว่าไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน สัตว์เลี้ยงของคุณก็จะอยู่กับคุณเสมอไม่มีแบ่งแยก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะได้ยินว่าเหล่าคนโหดๆ ในประวัติศาสตร์ก็มีสัตว์เลี้ยงของเขาเหมือนกัน ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าสัตว์เลี้ยงที่ว่านั้นเป็นตัวอะไร เพราะในวันนี้เราจะไปชม 6 สัตว์เลี้ยงของเหล่าผู้นำสุดโหดของโลกไปนี้ ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเลี้ยงสัตว์กับเขาเหมือนกัน   แมวของวลาดีมีร์ เลนิน เลนินเป็นผู้นำนักปฏิวัติ คนแรกของสหภาพโซเวียตเจ้าของแนวคิดส่วนใหญ่ในลัทธิเลนิน แต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้กลับเป็นทาสแมวเสียอย่างนั้น มีภาพหลักฐานมากมายที่บอกให้เรารู้ว่าเลนินเลี้ยงแมวอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าแมวที่เขาเลี้ยงนั้นมีกี่ตัว หรือว่ามีชื่อว่าอะไร   Blondi สุนัขของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ Blondi เป็นสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ซึ่งเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมมากในเยอรมนีในสมัยนั้น และพวกเขาก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ โชคร้ายที่มันต้องมาจบชีวิตลงจากการที่ฮิตเลอร์เอาไซยาไนด์ที่ได้มาจากไฮน์ริช ฮิมเลอร์ให้มันกิน เพื่อพิสูจน์ว่าของที่อยู่ในแคปซูลเป็นยาพิษจริงๆ หรือไม่   Ras สิงโตของเบนิโต มุสโสลินี เบนิโต มุสโสลินีได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิฟาสซิสต์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะอยากได้สัตว์เลี้ยงที่ดูแข็งแกร่ง จนเขามีสิงโตที่ได้รับการฝึกอยู่จำนวนหนึ่งเลย และในบรรดาสิงโตเหล่านั้น ตัวที่เขาชอบมากที่สุดก็มีชื่อว่า Ras นั่นเอง   สุนัขทดลองของ โจเซฟ สตาลิน หากบอกว่าที่ฮิตเลอร์เอายาพิษให้สุนัขตัวเองกินโหดแล้ว คุณยังไม่ได้พบกับสตาลิน เพราะชายคนนี้เลี้ยงสุนัขไว้เพื่อใช้งานโดยเฉพาะเลย กล่าวคือนอกจากเขาจะให้สุนัขเป็นองครักษ์แล้ว สตาลินยังมีโครงการที่จะเอาสุนัขไปติดระเบิดเพื่อให้วิ่งไประเบิดพลีชีพรถถังของนาซีอีกด้วย   ฮิปโปของปาโบล เอสโคบาร์ เขาคือราชาโคเคน อาชญากรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยาเสพติด และในเวลาว่างเขาก็ให้เงินที่มีในการสร้างสวนสัตว์ไว้เก็บสัตว์ที่ลับลอบนำเขามาจากแอฟริกา…

  • “อลิซาเบธ บาโธรี่” ฆาตกรโฉดผู้สังหารผู้หญิงกว่า 650 ราย หรือเพียงแค่เหยื่อผู้ถูกใส่ความ

    “อลิซาเบธ บาโธรี่” ฆาตกรโฉดผู้สังหารผู้หญิงกว่า 650 ราย หรือเพียงแค่เหยื่อผู้ถูกใส่ความ

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของ “อลิซาเบธ บาโธรี่” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นชื่อที่ปรากฏขึ้นมาใน ภาพยนตร์ การ์ตูน และเกมอยู่หลายเรื่อง และมีชื่อเสียงในด้านการสังหารผู้หญิงเพื่อความต้องการในความงามของตัวเอง อลิซาเบธ บาโธรี่เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1560 ในตระกูลขุนนาง และเชื่อกันว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้มีความเชื่อในเรื่องความอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์ และด้วยเหตุผลนี้เองเธอจึงสังหารผู้หญิงเพื่อเอาเลือดสดๆ ไปอาบ   ภาพวาดของอลิซาเบธ บาโธรี่ในตอนที่เธออายุประมาณ 25 ปี   ตลอดชีวิตของเธอ อลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังความตายของผู้หญิงกว่า 650 คน การกระทำนี้เองที่ทำให้เธอตำนาน จนถึงขั้นที่เธอถูกตั้งฉายาว่า The Bloody Countess หรือ Countess Dracula เลยทีเดียว ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปีในปี 1602 ซึ่งมีข่าวการหายตัวไปของผู้หญิงในพื้นที่ซึ่งตั้งใจจะมาเป็นคนใช้ของบาโธรี่ ทำให้หลายๆ คนได้เข้ามาถามบาโธรี่ถึงสาเหตุการหายตัวไปของหญิงสาวคนนั้น     แต่หลังจากที่ เคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ คู่แต่งงานของบาโธรี่เสียชีวิตไปโดยทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของเธอ เมื่อปี 1604 การถามหาสาเหตุก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นข่าวลือ ในเวลานั้นมีคนหลายคนออกมาบอกว่าบาโธรี่เป็นคนสังหารสาวใช้ที่หายไป และอ้างว่าเห็นบาโธรี่สังหารผู้หญิงคนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วย ถึงขั้นที่ว่ามีการกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกกินคนด้วยกันเอง…

  • “Operation Vittles” การทิ้งขนมจากฟ้า ที่ทำให้สหรัฐฯ ชนะใจคนเยอรมันในช่วงสงครามเย็น

    “Operation Vittles” การทิ้งขนมจากฟ้า ที่ทำให้สหรัฐฯ ชนะใจคนเยอรมันในช่วงสงครามเย็น

    ในช่วงเวลาสามปีหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง เบอร์ลินได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแบ่งแยกแห่งประเทศเยอรมนี ด้วยความที่ประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยผู้ชนะสงครามอย่างสหรัฐอเมริกาและโซเวียต     เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากที่ทางโซเวียตตัดการขนส่งทั้งหมดที่เข้าสู่เบอร์ลินโดยหวังว่าการขาดแคลนอาหารจะทำให้คนในเบอร์ลินฝ่ายประชาธิปไตย หันมาสนใจในแนวคิดคอมมิวนิสต์ แต่ในตอนนี้นเองฝ่ายพันธมิตรก็นึกวิธีที่จะซื้อใจคนเยอรมันขึ้นมาได้เช่นกัน โดยพวกเขาตัดสินใจที่จะนำเครื่องบินที่พวกเขามี ออกโปรยอาหารให้แก่ชาวเบอร์ลินในสมัยนั้น นี่คือปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “Operation Vittles” หรือที่รู้จักกันในชื่อ การขนส่งทางอากาศที่กรุงเบอร์ลิน และการทิ้งระเบิดขนมที่เบอร์ลิน     เดิมทีแล้วปฏิบัติการในครั้งนั้นจะเน้นไปที่การส่งอาหารทางอากาศให้แก่ชาวเบอร์ลินเป็นหลัก แต่วันหนึ่งผู้พัน Gail Halvorsen ได้ไปเห็นเด็กๆ ในเยอรมนีไม่มีขนมกิน ดังนั้นเขาจึงได้เรี่ยไรขนมจากทหารและนำไปโปรยให้เด็กๆ ในเมือง     นี่เป็นปฏิบัติการที่น่ารักมากๆ จากทหารเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาจะใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนร่มชูชีพผูกกับขนม และโปรยมันลงมาจากฟ้าราวกับหลุดออกมาจากนิทานไม่มีผิด การกระทำของผู้พัน Gail Halvorsen กลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วหลังจากนั้น ทางสหรัฐฯ จึงได้ตัดสินใจเพิ่มขนมไปในปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ และประชาชนในประเทศก็ร่วมใจกันส่งขนมมาให้กับทางกองทัพเป็นจำนวนมาก     จะบอกว่าปฏิบัติการในครั้งนี้ได้รับความนิยมท่วมท้นจากทางเยอรมนีเลยก็ไม่ผิดนัก โดยสหรัฐฯ ได้ทิ้งขนมหวานลงจากท้องฟ้าไปมากถึง 23 ตัน ในเวลาเพียงหนึ่งปีเลยทีเดียว ความสำเร็จของ Operation Vittles ทำให้ทางโซเวียตยกเลิกการตัดการขนส่งในปีต่อมา เพราะพวกเขารู้ดีว่าการกระทำของพวกเขา มีแต่จะทำให้สหรัฐฯ ได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น   ที่มา mentalfloss, smithsonianmag

  • ข้อความบนผนังจากอดีตเผย “ภูเขาไฟวิสุเวียส” อาจปะทุช้ากว่าที่เราคาดการถึง 2 เดือน

    ข้อความบนผนังจากอดีตเผย “ภูเขาไฟวิสุเวียส” อาจปะทุช้ากว่าที่เราคาดการถึง 2 เดือน

    ตั้งแต่ในอดีตพวกเราเชื่อกันว่าการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟวิสุเวียสเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 79 และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่เมืองปอมเปอีกับเฮอร์คิวเลเนียมไป     อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงของทางนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีมาจนถึงปัจจุบัน และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีได้มีการค้นพบข้อความบนผนังในเมืองปอมเปอี ที่มีการระบุข้อความซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ของวันที่ภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุขึ้นก็เป็นได้     นี่เป็นข้อความที่ถูกเขียนโดยถ่านว่า “16 วันก่อนวัน Calends (วันแรกของเดือนในปฏิทินโรมันโบราณ) ของเดือนพฤศจิกายน เขาดื่มด่ำกับอาหารปริมาณมากเกินงาม” แม้ข้อความที่พบจะไม่ได้สื่อความหมายสำคัญอะไร แต่การลงวันที่ว่าเป็น 16 วันก่อนวัน Calends ของเดือนพฤศจิกายนนั้น หมายความว่าอย่างน้อยๆ ในวันที่ 17 ตุลาคม คนในเมืองปอมเปอีควรจะยังให้ชีวิตตามปกติอยู่ การค้นพบในครั้งนี้เผยให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าภูเขาไฟวิสุเวียสอาจจะปะทุช้ากว่าที่เราเคยคาดไว้ถึง 2 เดือน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 24 ตุลาคมมากกว่า 24 สิงหาคม     นั่นเพราะข้อความที่ถูกเขียนด้วยถ่านมักจะบอบบางมาก และจะเลือนหายไปหลังจากที่เขียนภายในเวลาไม่กี่เดือน หรือไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นการที่ข้อความยังคงอยู่มาถึงปัจจุบันจึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเมืองถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟ หลังจากที่มีการเขียนข้อความนี้ขึ้นไม่นานนั่นเอง     จริงอยู่ว่าเดิมทีแล้วหลักฐานการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียสถูกเขียนไว้โดย “Pliny” ผู้เป็นทนายความและนักประพันธ์ในกรุงโรมว่าเกิดขึ้นในวันที่ 24…

  • ซากเรือเรือไวกิ้งโบราณ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เชื่อถูกใช้เป็นสุสานของราชาหรือราชินี

    ซากเรือเรือไวกิ้งโบราณ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เชื่อถูกใช้เป็นสุสานของราชาหรือราชินี

    ตามปกติการค้นพบซากเรือโบราณมักจะเกิดขึ้นในการสำรวจท้องทะเลเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่นักโบราณคดีใช้เรดาร์ตรวจสอบพื้นที่ในมณฑลแอสต์โฟลด์ (Østfold) ประเทศนอร์เวย์ เชื่อว่าพวกเขาคงไม่คิดหรอกว่าจะเจอกับซากเรือ แต่มันก็เป็นไปแล้ว เพราะจากการสำรวจครั้งล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเรือขนาด 20 เมตร ของชาวไวกิ้ง ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปี ฝังอยู่ได้ดินลึกลงไปเพียงราวๆ 50 เซนติเมตร     นี่เป็นเรือไวกิ้งขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการค้นพบ ซึ่งเชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นเหมือนสุสานให้แก่ราชาหรือราชินีของชาวไวกิ้งในสมัยก่อน และจากเปิดเผยของทางนักโบราณคดี การค้นพบในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อีกทั้งสถานที่ที่เรือลำนี้ถูกฝังเอาไว้ ยังเป็นในพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งตามปกติมักจะเป็นพื้นที่ซึ่งโบราณวัตถุมีโอกาสที่จะถูกทำลายสูง ดังนั้นในตอนที่เรดาร์ตรวจพบบางสิ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน นักโบราณคดีจึงรู้สึกแปลกใจมาก     จากเค้าโครงที่ในเรดาร์นักโบราณคดีเชื่อว่าเรือลำดังกว่าน่าจะมีหลุมศพอยู่ราวๆ 10 หลุม อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังไม่มีการขุดค้นขึ้น พวกเขาจึงไม่อาจฟันธงได้ว่าจะมีอะไรอยู่ใต้ดินบ้าง นอกจากนี้ในปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลใดๆ เลยที่จะบอกได้ว่าเรือที่ถูกฝังนั้นมีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร นอกไปเสียจากว่า เรือลำดังกล่าวถูกลากขึ้นมาบนบกจากทางน้ำในอ่าวออสโลฟยอร์ดเท่านั้น และนอกจากตัวเรือ แล้วเรดาร์ยังมีการตรวจพบบ้านยาวจำนวนห้าหลังฝังอยู่ใกล้ๆ ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นอดีตชุมชนของชาวไวกิ้งในสมัยนั้น     ดังนั้นหากการขุดค้นสำเร็จได้ด้วยดี การค้นพบในครั้งนี้อาจจะให้ข้อมูลที่สำคัญมากๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมไวกิ้งในสมัยโบราณเลยก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ยังไม่มีกำหนดการใดๆ เกี่ยวกับการขุดค้นเรือที่พบในครั้งนี้ และทางนักประวัติศาสตร์เองก็ยังต้องมีการตรวจสอบสภาพของเรือที่ถูกฝังอีกว่าจะมีสภาพดีพอที่จะขุดขึ้นมาหรือไม่   ภาพตัวอย่างของเรือไวกิ้งที่มีการจำลองขึ้นมา   ซึ่งเจ้ามีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรือที่ว่านั้น ก็มีกำหนดการอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2019 ทำให้กว่าที่เราจะได้เห็นเจ้าเรือลำที่ว่าจริงๆ (ถ้านักประวัติศาสตร์ตัดสินออกมาว่าขุดได้)…

  • โปรเจกต์ “Stargate” เมื่อสหรัฐอเมริกาทดลองใช้ “ผู้มีพลังจิต” ในการต่อกรกับทางโซเวียต

    โปรเจกต์ “Stargate” เมื่อสหรัฐอเมริกาทดลองใช้ “ผู้มีพลังจิต” ในการต่อกรกับทางโซเวียต

    ในปี 2017 ทาง CIA ได้เปิดเผยข้อมูลมากมายที่เคยเป็นความลับให้แก่ประชาชนได้รับรู้ และภายในหน้ากระดาษกว่า 12 ล้านแผ่นที่ได้รับการเปิดเผยออกมาในปีนั้น ก็ยังมีโปรเจกต์ที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่งด้วย นี่คือโปรเจกต์ “Stargate” โครงการที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1972-1995 ระหว่างความตึงเครียดของสงครามเย็น และเกี่ยวข้องกับการใช้ “ผู้มีพลังจิตอ่านใจ” ในการต่อกรกับทางโซเวียต     จากข้อมูลที่ได้รับการปล่อยออกมา ทางกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้มีการการรับสมัครผู้มีพลังจิต โดยเฉพาะคนที่อ้างว่าอ่านใจคนอื่นได้มาเพื่อใช้ในการจารกรรมข้อมูลจากทางโซเวียต นี่เป็นโปรเจกต์ที่ได้รับความร่วมมือจาก “ยูริ เกลเลอร์” ชายผู้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะผู้ใช้พลังจิตงอเหล็ก อ่านใจ หรือแม้กระทั่งควบคุมคนอื่นได้     โปรเจกต์นี้ถูกย้ายจากการควบคุมของ CIA ไปอยู่กับกองทัพ (หน่วยข่าวกรองกลาโหม หรือ DIA) ในช่วงปลายยุค 70 นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนการการฝึกผู้มีพลังจิตเพื่อเป็นสปาย ไปเป็นการฝึกผู้มีพลังจิตเพื่อต่อต้านสปายที่ (อาจจะ) มีพลังจิตของทางโซเวียต และการควบคุมการใช้พลังจิตในประเทศแทน โดยนักการเมืองของนอร์ทแคโรไลนา Charlie Rose ได้ให้คำจำกัดความของโปรเจกต์ในช่วงนี้ว่า “มันก็เหมือนเรดาร์ถูกๆ นั่นล่ะ เพราะถ้าทางโซเวียตมีแต่พวกเขาไม่มี พวกเราจะแย่เอา”     จากคำกล่าวอ้างของผู้เกี่ยวข้องในโปรเจกต์ หน่วยงานพลังจิตของพวกเขาเคยถูกส่งไปช่วยงานตามหาตัวประกันในอิหร่าน…

  • “เลโอโปลด์ที่ 2”  ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดแห่งเบลเยียม ผู้สังหารชาวคองโกร่วม 10 ล้านคน

    “เลโอโปลด์ที่ 2” ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดแห่งเบลเยียม ผู้สังหารชาวคองโกร่วม 10 ล้านคน

    เมื่อผู้ถึงประเทศเบลเยียมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีภาพในหัวที่ต่างๆ กันออกไป ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะนึกถึงภาพ “ประวัติศาสตร์เปื้อนเลือด” แน่ๆ แต่เชื่อไหมล่ะว่าประเทศนี้ก็มีเรื่องราวสุดโหดกับเขาเช่นกัน เพราะนี่เป็นเรื่องของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยียม ชายผู้ที่ว่ากันว่าโหดร้ายพอๆ กับฮิตเลอร์หรือสตาลินเลยทีเดียว     โดยในยุคปลายศตวรรษที่ 19 นั้นมีประเทศในยุโรปหลายประเทศที่เข้าไปล่าอาณานิคมในแอฟริกา และเบลเยียมก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยพวกเขาได้ประเทศคองโกไปครอบครอง นั่นทำให้ตลอดระยะเวลา 23 ปี คนในประเทศคองโกต้องตกเป็นทาสของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 อย่างเต็มตัว เพราะเลโอโปลด์ที่ 2 ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาด้วยทรัพย์สินส่วนตัว เพื่อดูแลการเก็บเกี่ยวผลผลิตในคองโกโดยเฉพาะนั่นเอง     จริงอยู่ว่าตามปกติการ “ดูแล” แรงงานทาสในต่างแดนก็มักจะต้องมีการใช้ความรุนแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่บริษัทของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 นั้นโหดกว่าที่อื่นเป็นพิเศษ ภายใต้การดูแลของบริษัทแห่งนี้ ชาวบ้านในแต่ละที่จะต้องส่งยอดสินค้า (โดยมากแล้วเป็นยางพารา) ให้ได้เท่ากับที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษรุนแรง ตั้งแต่การเฆี่ยน การทรมาณ ไปจนถึงขั้นประหารชีวิต     โดยการประหารชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของทหารซึ่งเป็นชาวคองโกที่ภักดีต่อกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 และในการประหารแต่ล่ะครั้งจะต้องมีการตัดมือ ของเหยื่อเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการเบิกกระสุนอีกด้วย     ปัญหาคือการออกกฎเช่นนั้นทำให้เกิดปัญหาขึ้น กล่าวคือทางทหารตัดสินใจ “ทุจริต”…

  • “หลุมแก๊สดาร์วาซา” สถานที่ซึ่งลุกไหม้ราว “ประตูสู่ขุมนรก” และไม่เคยมอดดับมากว่า 40 ปี

    “หลุมแก๊สดาร์วาซา” สถานที่ซึ่งลุกไหม้ราว “ประตูสู่ขุมนรก” และไม่เคยมอดดับมากว่า 40 ปี

    ทะเลทรายการากุม (Karakum) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก กินพื้นที่ประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร ในจังหวัดอาฮาล ประเทศเติร์กเมนิสถาน แม้นี่จะดูเหมือนกับทะเลทรายธรรมดาๆ ที่หาดูได้ทั่วไปในโลก แต่ลึกเข้าไปกลางทะเลทรายนั้น ยังมีสถานที่สุดแปลกและน่ากลัว จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ประตูสู่ขุมนรก” อยู่     นี่คือ “หลุมแก๊สดาร์วาซา” หลุมแก๊สขนาดใหญ่ที่ว่ากันว่าลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงมาตั้งแต่ปี 1971 และยังคงมีการเผาไหม้มาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในปัจจุบัน แม้จะมีความแตกต่างในบันทึกของสาเหตุการกำเนิดของหลุมแก๊สดาร์วาซาอยู่บ้าง แต่เชื่อกันว่าที่หลุมแก๊สติดไฟขึ้นมานั้น เดิมทีแล้วเกิดจากการที่นักธรณีวิทยาจุดไฟเพื่อจะกำจัดแก๊สมีเทนซึ่งเป็นพิษนั่นเอง     เดิมทีแล้วพวกเขาคำนวนว่าไฟจะลุกไหม้อยู่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะมอดไป แต่กลายเป็นว่าหลุมเพลิงแห่งนี้กลับเผาไหม้อย่างต่อเนื่องมากว่า 47 ปีแทน และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย ด้วยความที่ว่าการสำรวจหลุมแก๊สนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ทำให้ในปัจจุบันเราไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดของปริมาณแก๊สที่อยู่ในหลุม ดังนั้นจากคำนวนเวลาที่เพลิงในหลุมแก๊สนี้จะมอดลง จึงเป็นอะไรทำแทบจะเป็นไปไม่ได้     แต่ดูเหมือนว่าการปล่อยให้หลุมแก๊สนี้ลุกไหม้ต่อไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศเติร์กเมนิสถานมากกว่าก็เป็นได้ เพราะประตูสู่ขุมนรกแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไปแล้ว จนถึงปัจจุบันได้มีการค้นพบหลุมแก๊สที่มีลักษณะคล้ายกันในบริเวณใกล้เคียงอีก 2 หลุม แต่ถึงอย่างนั้นหลุมทั้งสองกลับไม่มีท่าทีว่าจะติดไฟ ทำให้ในปัจจุบันไม่มีหลุมแก๊สที่ไหนที่จะน่าสนใจได้เท่ากับประตูสู่ขุมนรกอีกแล้ว     ที่มา thevintagenews, allthatsinteresting

  • 7 ทริคดีๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันจากเมื่อ 100 ปีก่อน ที่บางอันก็ยังใช้ได้ในปัจจุบัน

    7 ทริคดีๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันจากเมื่อ 100 ปีก่อน ที่บางอันก็ยังใช้ได้ในปัจจุบัน

    ในปัจจุบันเราอาจจะหาทริคการใช้ชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต หรือบางครั้งก็ตามโฆษณาสินค้าต่างๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเมื่อ 100 ปีก่อนเอง หากหยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาดูเพื่อนๆ ก็จะสามารถอ่านทริคดีๆ ที่จะทำให้ใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้นเช่นกัน แถมบางอย่างยังใช้ได้แม้แต่ในปัจจุบันอีกด้วย ดังเช่นทริคข้างกล่องบุหรี่ต่อไปนี้   เอาเสี้ยนที่ตำมือออก การโดนเสี้ยนตำอาจจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญสุดๆ แต่คุณสามารถแก้ไขมันได้ง่ายๆ ด้วยการนำขวดมาใส่น้ำร้อนจนเกือบเต็ม และแปะไว้ที่ส่วนที่เสี้ยนตำแบบในภาพ แล้วขวดจะดูดเสี้ยนออกไปให้คุณเอง   การหั่นขนมปังอย่างง่าย จริงอยู่ว่าโดยมากแล้วขนมปังจะหั่นมาให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเกิดคุณอยากหั่นเอง ก็ลองเอามีดจุ่มน้ำร้อนก่อนเอามาหั่นสิ แล้วความร้อนจะทำให้คุณหั่นขนมปังได้ง่ายขึ้น   แยกแก้วที่ติดกันออก บางครั้งการฝืนแยกแก้ว อาจทำให้แก้วแตกได้ ดังนั้นหากแก้วติดกันก็ลองใส่น้ำเย็นลงในแก้วใบข้างบน แล้วเอาแก้วใบล่างไปแช่ในน้ำอุ่นๆ ดูสิ แก้วจะหลุดจากกันอย่างง่ายดายเลย   คืนชีพให้ดอกไม้ ดอกไม้ที่ซื้อมาเริ่มจะไม่สวยแล้วใช่ไหม เอาก้านดอกจุ่มลงไปในน้ำร้อนๆ แล้วปล่อยดอกไม้แช่ไว้จนน้ำเริ่มเย็นดูสิ แล้วดอกไม้จะมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลย แล้วก็อาลืมตัดปลายก้านดอกออกด้วยนะ   การวาดเป็ดโดยไม่ยกปากกา หรือดินสอ อันนี้ไม่มีอะไรให้อธิบายมาก วาดไปตามภาพได้เลย จริงอยู่ว่ามันอาจจะดูไม่มีสาระเท่าไหร่ แต่ก็อาจจะเอาไปใช้เรียกรอยยิ้มจากเด็กๆ ได้เป็นอย่างดีก็เป็นได้   จะรู้ได้อย่างไรว่าเนยที่มีเป็นเนยแท้รึเปล่า หากไม่มีแพ็กเกจให้ดู สิ่งที่คุณทำได้ คือทาเนยลงบนกระดาษจุดไฟเผา หากกลิ่นที่ออกมาเป็นกลิ่มหอมเนย แสดงว่าเป็นเนยแท้…

  • “การชูธงที่ไรชส์ทาค” ภาพการปักธงธรรมดาที่มีเบื้องหลัง ทั้งการจัดฉาก และตัดแต่งภาพ

    “การชูธงที่ไรชส์ทาค” ภาพการปักธงธรรมดาที่มีเบื้องหลัง ทั้งการจัดฉาก และตัดแต่งภาพ

    ตั้งแต่ในอดีต การที่ได้เห็นธงของประเทศโบกสะบัด มักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และสำหรับชาวโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว การได้เห็นภาพเช่นนั้นก็ช่วยเรียกขวัญกำลังใจกลับคืนสู่ประเทศได้ดีเลยทีเดียว   ภาพการชูธงที่ไรชส์ทาค อันต้นฉบับ ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1945   นี่คือภาพ “การชูธงที่ไรชส์ทาค” ภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการถ่ายไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1945 และเป็นสัญลักษณ์แสดงชัยชนะของสหภาพโซเวียตต่อนาซีเยอรมันอีกด้วย อย่างไรก็ตามภาพนี้มีความแตกต่างจากภาพ “การปักธงที่อิโวจิมา” ของฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ออกมาก่อนอย่างมาก เพราะนี้เป็นภาพที่เต็มไปด้วยการจัดฉาก และการแก้ไข     เดิมทีแล้วภาพการชูธงที่ไรชส์ทาคก็ได้แรงบันดาลใจมาจากการปักธงที่อิโวจิมามาตรงๆ อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของโซเวียต สั่งให้ Yevgeny Khaldei ผู้เป็นช่างภาพเดินทางไปถ่ายภาพที่เบอร์ลินโดยตรงเลย กว่าจะได้ภาพนี้ออกมา Khaldei เลือกสถานที่อยู่หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นประตูบรันเดินบวร์ค หรือท่าอากาศยานเบอร์ลินเท็มเพิลโฮฟ จนสุดท้ายก็มาจบที่อาคารไรชส์ทาคสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ในกรุงเบอร์ลิน     อันที่จริงพวกทหารได้มีการปักธงไว้ที่นี่มาก่อนหน้านั้นหลายวันแล้ว แต่ก็มีการเอาธงออก เพื่อที่จะถ่ายภาพดังกล่าวโดยเฉพาะ ปัญหาคือหลังจากถ่ายภาพดังกล่าวเสร็จ เจ้าหน้าที่กองเซนเซอร์ของโซเวียตกลับสังเกตเห็นว่าที่ข้อมือของทหารในภาพนั้นมีนาฬิกาอยู่ทั้งสองข้างเสียนี่     จริงอยู่ว่ามีเสียงบอกว่าบอกว่าสิ่งที่เหมือนนาฬิกานี้ จริงๆ แล้วเป็นเข็มทิศ Adrianov ต่างหาก อย่างไรก็ตามการที่มีสิ่งที่เหมือนนาฬิกาอยู่บนข้อมือถึงสองอันก็อาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทหารในภาพปล้นนาฬิกามาจากศพก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เองภาพดังกล่าวจึงถูกนำไปปรับปรุ่งแก้ไขใหม่อีกครั้ง โดยมีการเพิ่มความชัดเจนของควันในภาพ และลบนาฬิกาที่ข้อมือขวาออกไป และรายละเอียดเล็กๆ…

  • ฮิโร โอโนดะ สุดยอดชายชาติทหาร ผู้ใช้เวลาสามสิบปีรบในป่า โดยไม่รู้ว่าสงครามจบไปแล้ว

    ฮิโร โอโนดะ สุดยอดชายชาติทหาร ผู้ใช้เวลาสามสิบปีรบในป่า โดยไม่รู้ว่าสงครามจบไปแล้ว

    ร้อยตรี ฮิโร โอโนดะ เป็นทหารที่ตลอดทั้งชีวิตถูกเรียกด้วยฉายาอันหลากหลาย แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนแล้ว เขาคือสุดยอดของชายชาติทหาร โอโนดะเป็นทหารหน่วยข่าวกรองที่ถูกส่งไปยังเกาะลูบัง ประเทศฟิลิปปินส์ ฝ่ายใต้คำสังที่ว่าให้เขาลอบโจมตีทหารพันธมิตรไปเรื่อยๆ ตามมอบตัว และห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด     คำสั่งนี้เองที่ทำให้โอโนดะเข้าไปอยู่ในภูเขาพร้อมเพื่อนทหารจำนวนหนึ่ง และต่อสู้อยู่ในนั้นเรื่อยมา โดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่า สงครามนั้นจบลงไปตั้งแต่ปี 1945 แล้ว จริงอยู่ว่าในช่วงนั้น มีอยู่บ่อยครั้งที่พวกเขาได้รับใบปลิวจากคนในพื้นที่ที่บอกว่า สงครามมันจบลงไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมแล้ว แต่ด้วยความเชื่อมั่นในประเทศของตัวเอง โอโนดะและเพื่อนๆ กลับเชื่อว่าใบปลิวที่พบเป็นเพียงข่าวลวง กว่าที่หนึ่งในทหารของโอโนดะจะเริ่มสงสัยว่าสงครามจบลงจริงๆ ก็เมื่อปี 1949 แต่การที่เขาไม่ได้กลับมาอีกเลยหลังจากที่ออกจากกลุ่มไปมอบตัวเมื่อปี 1950 กลับทำให้พวกโอโนดะหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปแทน     แต่ต่อให้พวกเขาระวังตัวแค่ไหน ระหว่างการออกปฏิบัติการพวกเขาก็ค่อยๆ โดนยิงตายไปทีละคนอยู่ดี จนกระทั่งในปี 1972 หน่วยทหารที่อยู่ในภูเขาก็เหลือเพียงแค่โอโนดะเท่านั้น โชคดีของเขาที่ในปี 1974 มีนักเดินทางชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้ามาหาเขาในป่า ทำให้โอโนดะทราบว่าสงครามโลกครั้งที่สองนั้นจบลงแล้วจริงๆ     อย่างไรก็ตามโอโนดะก็ยังไม่ยอมมอบตัวอยู่ดี โดยเขายื่นคำขาดว่าหากไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหาเขา เขาจะอยู่ในป่าแห่งนี้ต่อไป นั่นทำให้ทางรัฐบาลญี่ป่นทำการออกหาตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่โอโนดะรู้จักอย่างเร่งด่วน และในปีนั้นเองพวกเขาก็พบกับนายโยชิมิ ทานิกุจิผู้บังคับบัญชาของโอโนดะ และพาเขาไปพบกับโอโนดะในป่าทันที นั่นคือวันที่โอโนดะยอมออกมาจากป่าจริงๆ…

  • จอร์จ สตินนีย์ เหยื่อความอยุติธรรมแห่งการตัดสินคดี ที่ใช้เวลากว่า 70 ปีในการพิสูจน์ความจริง

    จอร์จ สตินนีย์ เหยื่อความอยุติธรรมแห่งการตัดสินคดี ที่ใช้เวลากว่า 70 ปีในการพิสูจน์ความจริง

    ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินคดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และยิ่งประเทศกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่การเหยียดชนชาติเป็นเรื่องปกติด้วยแล้ว การที่คนคนหนึ่งจะกลายเป็นคนร้ายเพียงเพราะสีผิว ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย นี่เป็นเรื่องราวของ “จอร์จ สตินนีย์ จูเนียร์” เด็กชายผิวสีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยจากการสืบสวนที่ไม่เป็นธรรมเมื่อปี 1944 และกลายเป็นเด็กผิวสีที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา     สตินนีย์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กหญิงสองคนในเซาท์แคโรไลนาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี และถูกลงมติว่ามีความผิดจริงโดยคณะลูกขุน (ซึ่งเป็นคนผิวขาวทั้งหมด) หลังจากที่มีการพิจารณาคดีได้เพียงแค่หนึ่งวัน ในความเป็นจริงแล้วการตัดสินคดีในครั้งนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูกขุนใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการลงมติ หรือการที่หลักฐานของคดีมีเพียงคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ที่ว่าสตินนีย์รับสารภาพหลังถูกจับกุม น่าแปลกที่ทางตำรวจไม่มีการบันทึกคำรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้แต่อย่างใด และสตินนีย์ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตทันทีหลังจากที่คำตัดสินออกมา โดยที่ไม่มีโอกาสได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย   สตินนีย์ กับเด็กหญิงสองคนที่ทางตำรวจบอกว่าถูกเขา “สังหาร”   นอกจากนี้จากการรายงานของสื่อท้องถิ่น ครอบครัวของสตินนีย์เอง ก็ถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปในตอนที่สตินนีย์ถูกจับอีกด้วย ความไม่เป็นธรรมของการตัดสินคดีในครั้งนี้ถูกเปิดเผยออกมาหลังจากนั้นนานพอสมควร แต่กว่าที่จะเป็นเช่นนั้น สตินนีย์ก็ต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้ความเป็นธรรมเสียแล้ว เพราะเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1944 หลังจากที่ถูกกักขังมายาวนานกว่า 81 วัน สตินนีย์ก็ถูกส่งเข้าไปในห้องประหารในที่สุด เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และจบชีวิตลงโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงความจริงเบื้องหลังคดีในครั้งนี้เลย   ฉากการประหารชีวิตของสตินนีย์ ที่ถูกจำลองขึ้นในหนังเรื่อง Carolina Skeletons (ตัวละครในหนังชื่อ Linus Bragg)   บางคนก็บอกว่าการตัดสินคดีครั้งนี้เกิดขึ้นจากอคติที่มีต่อคนผิวสีในสมัยนั้น ในขณะที่หลายๆ…

  • นาร์ซิสซัส จากหนุ่มรูปงามแห่งเทพปกรณัมกรีก สู่อาการหลงตัวเองแบบรุนแรงทางการแพทย์

    นาร์ซิสซัส จากหนุ่มรูปงามแห่งเทพปกรณัมกรีก สู่อาการหลงตัวเองแบบรุนแรงทางการแพทย์

    เคยได้ยินตำนานของดอกนาร์ซิสซัสไหม? นี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าจากเทพปกรณัมกรีกซึ่งเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มที่ชื่อนาร์ซิสซัส ผู้เป็นหนุ่มรูปงามที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เรื่องราวของนาร์ซิสซัสนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละตำรา แต่หนึ่งในเรื่องที่มีชื่อเสียงคือเรื่องของนาร์ซิสซัส และเอคโค ซึ่งมีเรื่องราวคร่าวๆ อยู่ว่า     นาร์ซิสซัสเป็นหนุ่มรูปงามที่มีคนรักมาก และเจ้าตัวก็ทราบดีว่าตัวเองรูปงามขนาดไหน แต่ด้วยความที่เป็นคนทะนงตนมาก เขาจึงมองว่าคนที่มารักเขาล้วนไม่คู่ควรกับเขา และทำให้นาร์ซิสซัสไม่เคยมีความรักเสียที ปัญหาคือหนึ่งในคนที่มาชอบนาร์ซิสซัสนั้นดันมีเหล่าเทพอยู่ด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือเอคโค ผู้ซึ่งโดนคำสาปให้พูดได้แค่สิ่งที่คนอื่นพูดออกมาก่อนเท่านั้น (เป็นที่มาของเสียงเอคโคที่เรารู้จักนั่นล่ะ)     ด้วยเหตุนี้เองเอคโคที่ชอบนาร์ซิสซัสจึงไม่สามารถบอกรักเขาได้ และทำได้แค่ตามเขาไปเรื่อยๆ และการกระทำนี้เองที่ทำให้นาร์ซิสซัสรำคาญแบบสุดๆ เพราะรู้สึกว่าเอคโคกำลังล้อเลียนตัวเองด้วยการพูดซ้ำสิ่งที่ตนกล่าว นั่นทำให้สุดท้ายนาร์ซิสซัสปฏิเสธรักของเอคโคไป และเมื่อไม่สามารถทำให้นาร์ซิสซัสรักได้เอคโคก็เสียใจมากจนตรอมใจตายไปในที่สุด เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเทพโกรธมากจนสาปนาร์ซิสซัสให้หลงรักตัวเองเสีย และคำสาปนี้เองก็ทำให้นาร์ซิสซัสที่ไปเห็นเงาตัวเองในน้ำหลงรักในเงานั้นมากจนไม่ย่อมขยับไปไหน จนสุดท้ายก็ตายกลายเป็นดอกไม้ไปในที่สุด (บางที่บอกว่านาร์ซิสซัสไม่ได้โดนสาปด้วยซ้ำ แค่ไปเห็นตัวเองในน้ำก็หลงรักแล้ว)     แต่ไม่ว่าจะอ้างอิงตำนานชิ้นไหน นาร์ซิสซัสก็จะมีลักษณะเด่นเรื่องความหลงตัวเองและทะนงตนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เองชื่อนาร์ซิสซัสจึงถูกนำไปเป็นชื่อเรียกของโรคหลงตัวเอง หรือนาซิซีติส (Narcisisitic) ไป คนที่มีอาการนาซิซีติสนั้น มักจะคลั่งไคล้ตัวเองมากเกินกว่าปกติ มีความเครียดอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกลัวความขายหน้า ไม่ยอมใช้ตัวเองตกอันดับ และมักต้องการให้คนอื่นสนใจตัวเองอยู่เสมอ     เชื่อกันว่าในปัจจุบันมีคนที่เข้าข่ายกลุ่มอาการนี้มากขึ้นจากสมัยก่อนด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย และด้วยความที่ว่าโรคนี้ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด คนที่อยู่ในกลุ่มนี้จึงอาจจะถูกเกลียดโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายมากๆ และเฉกเช่นนาร์ซิสซัสที่หลงรักเงาของตัวเองจนตาย คนที่มีอาการนาซิซีติสหนักๆ เองก็อาจจะลุกลามไปเป็นโรคซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตายได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีและถูกต้อง   ที่มา britannica, psychologytoday, honestdocs และ greekmyths-greekmythology

  • 5 สิ่งที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของเทพในอดีต ที่แปลกจนสงสัยว่าเทพหน้าตาแบบนี้จริงๆ เหรอ

    5 สิ่งที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของเทพในอดีต ที่แปลกจนสงสัยว่าเทพหน้าตาแบบนี้จริงๆ เหรอ

    หากกล่าวถึงเทพที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกๆ แล้ว เชื่อว่าภาพในหัวหลายๆ คนคงเป็นเทพคธูลูจากผลงานของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์เป็นอันดับแรกๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีเทพที่รูปร่างสุดแปลกที่คนเคยนับถือกันอยู่จริงๆ เอาเข้าจริงๆ เราไม่อาจทราบได้ว่าคนในสมัยก่อนคิดว่าเทพของพวกเขาหน้าตาเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือไม่ แต่จากสิ่งที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของเทพทั้ง 5 ชิ้นนี้แล้ว เชื่อว่าเทพในความคิดของพวกเขาก็คงมีรูปร่างที่ไม่ปกติเท่าไหร่   Shigir Idol Shigir Idol มักถูกรู้จักกันในฐานะของประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ซึ่งมีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก มีความสูงมากกว่า 5 เมตรและมีส่วนบนเป็นรูปศีรษะที่มีตาเป็นขีดๆ และปากเป็นรูปตัว O แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอยู่ว่า Shigir Idol นี้ทำมาเพื่ออะไรกันแน่ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ไม่น้อยที่เชื่อว่านี่เป็นรูปสลักของเทพ ที่ทำขึ้นเป็นเหมือน “ป้ายห้ามเข้า” ในสมัยก่อน ที่ห้ามไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง   หน้ากากชิวเตกตลี นี่คือหน้ากากของชิวเตกตลี (Xiuhtecuhtli) เทพแห่งไฟและชีวิตหลังความตายของแอซเท็ก ที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ และมีหน้าตาประหลาดอย่าบอกใคร เชื่อกันว่าถูกสวมโดยเหยื่อบูชายัญในสมัยก่อน จริงอยู่ว่าหน้าตาจริงๆ ของชิวเตกตลีอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนี้เป๊ะๆ เสียทีเดียวแต่จากหน้ากากแล้ว เทพองค์นี้ก็คงไม่หล่อเท่เท่าไหร่แน่ๆ ล่ะ   รูปปั้นมิคท์ลันเตชูห์ตลี นี่เป็นอีกหนึ่งในพระเจ้าของแอซเท็กที่มีรูปร่างดูแล้วชวนขนลุกอย่าบอกใคร โดยเทพมิคท์ลันเตชูห์ตลี (Mictlantecuhtli) จะเป็นเจ้าผู้ครองโลกใต้พิภพชั้นล่างสุด และเกี่ยวข้องกับสัตว์อย่าง นกฮูก แมงมุม…

  • 7 คำแนะนำในการไปเดตจากสมัยก่อน แต่จะดังหรือพังในสมัยนี้ คุณเป็นคนตัดสิน

    7 คำแนะนำในการไปเดตจากสมัยก่อน แต่จะดังหรือพังในสมัยนี้ คุณเป็นคนตัดสิน

    ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนตามนิตยสารก็มักจะมีมุมแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการไปเดตอยู่ แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีกว่าสังคมนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นคำแนะนำจากสมัยก่อนก็ใช่ว่าจะใช้กับปัจจุบันได้เสมอไป ถึงอย่างนั้นคำแนะนำของสมัยก่อนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 7 คำแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับการไปเดตจากสมัยก่อนกัน แต่จะออกมาดัง หรือออกมาพังนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปตัดสินกันเองนะ   1. อย่าใส่ต่างหู นิตยสาร The San Francisco Call เมื่อปี 1912 บอกว่า “โลกใบนี้มีผู้หญิงอยู่สองแบบ สาวๆ ที่มีอารยะ กับคนที่ใส่ต่างหู” ดูเหมือนว่าในสมัยนั้นการใส่ต่างหูจะถูกมองว่าเป็นคนหยาบคายมากเลยทีเดียว อยากรู้จริงๆ ว่าคนสมัยนั้นจะทำหน้ายังไงถ้าเป็นแฟชั่นในปัจจุบัน   2. อย่าทานชีส นิตยสาร Etiquette, Health and Beauty เมื่อปี 1889 บอกว่า “คนเป็นสุภาพสตรี เขาแทบจะไม่ทานชีสในปาร์ตี้อาหารเย็นกันหรอก” ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรเป็นเบื้องหลัง (อาจจะเกี่ยวกับกลิ่น?) แต่จะบอกว่าการที่ผู้หญิงทานชีส “ดูไม่ดี” ในสมัยนั้นก็คงได้   3. อย่าทำตัวมีอารมณ์ขัน นิตยสาร How to Be a Lady เมื่อปี…

  • ภาพ “บ้าน” ของเด็กผู้เติบโตในค่ายกักกันนาซี ลายเส้นยุ่งเหยิงที่ออกจากจิตใจที่มีบาดแผล

    ภาพ “บ้าน” ของเด็กผู้เติบโตในค่ายกักกันนาซี ลายเส้นยุ่งเหยิงที่ออกจากจิตใจที่มีบาดแผล

    จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณบอกให้เด็กที่เติบโตมาในค่ายกักกันในช่วงสงคราม วาดภาพของ “บ้าน” ออกมา? ภาพที่พวกเด็กเหล่านั้นวาดออกมาจะเสียดแทงจิตใจขนาดไหนกัน     นี่คือภาพของ David Seymour ที่ถูกถ่ายมาจากศูนย์ฟื้นฟูจิตเวชสำหรับเด็กในวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เมื่อปี 1948 โดยเป็นภาพของเด็กสาวที่ถูกเรียกว่า “Tereszka” หญิงสาวผู้เติบโตมาในค่ายกักกันของนาซีเยอรมัน ข้อมูลที่เราทราบเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้มีอยู่น้อยมาก แต่จากภาพที่ปรากฏมาในสายตาของคนทั้งโลก ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดวงตาของเธอ ไม่ใช่ดวงตาของเด็กที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว เป็นไปได้ว่าในระหว่างที่อยู่ในค่ายกักกัน เด็กสาวคนนี้อาจจะต้องพบประสบการณ์ที่เจ็บปวดมามากกว่าที่จะบรรยายได้     และจากภาพที่เธอวาด หลายๆ คนก็ตีความไปถึงความสับสนวุ่นวายในจิตใจของเด็กสาว หรือแม้กระทั่งรั้วลวดหนามของค่ายกักกันเอง ตลอดช่วงสงครามเชื่อกันว่ามีเด็กชาวยิวกว่า 216,000 คนถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่เมื่อจบสงคราม ทางโซเวียตกลับพบเด็กชาวยิวหลงเหลือในค่ายเพียง 451 คนเท่านั้น ในบรรดาเด็กเหล่านั้นยิ่งมีน้อยคนมากที่ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพราะพวกเขามักไม่เหลือญาติพี่น้องอีกต่อไป ไม่รู้ที่ไปที่มาของตัวเอง หรือไม่ก็จะมีความผิดปกติทางอารมณ์อย่างรุนแรงจนต้องเขารับการรักษาในศูนย์ฟื้นฟูจิตเวช     หากโชคดีพวกเด็กๆ จะได้ถูกรับอุปการะหลังจากนั้น แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลที่พวกเขาได้รับก็มักจะเป็นเรื่องฝังลึกที่รักษาไม่หายไปอีกนานอยู่ดี   ที่มา rarehistoricalphotos

  • 17 ภาพเหล่าสัตว์จากสมัยก่อน ที่ทำตัวเหมือนคนไม่มีผิด สงสัยจะอยู่กับมนุษย์นานไปหน่อย

    17 ภาพเหล่าสัตว์จากสมัยก่อน ที่ทำตัวเหมือนคนไม่มีผิด สงสัยจะอยู่กับมนุษย์นานไปหน่อย

    การเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อน นั่นทำให้เราสามารถเห็นภาพของเหล่าสัตว์เลี้ยงในภาพถ่ายเก่าๆ อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าการมาอาศัยอยู่กับมนุษย์ย่อมทำให้นิสัยของเหล่าสัตว์เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอยู่บ้าง แต่ก็มีบางเวลาเหมือนกันที่เหล่าสัตว์เลี้ยงทำตัวเหมือนเป็นมนุษย์ไม่มีผิด เกิดเป็นภาพเก่าๆ สุดน่ารัก เหมือนกับภาพถ่ายจากสมัยก่อนทั้ง 17 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากน้องหมูนั่งรถในมณฑลเอสเซ็กซ์ประเทศอังกฤษ กันยายน 1934   น้องแมวนั่งเล็มหนวด เมื่อเดือนเมษายน 1932   น้องกระต่ายยิงลูกเทนนิสจากปืนใหญ่ของเล่น เมื่อปี 1956   น้องแมวตากหนูบนราวตากผ้า เมื่อปี 1933   น้องหมาน้องแมว กับรถของเล่นเมื่อปี 1933   เวลาน้ำชาสุขสันต์ของคนสองคน และสัตว์อีกสองตัว เมื่อปี 1936   น้องแมวกับวันชิลๆ และเพลงสุดโปรด   คุณแมวน้ำที่มาเรียนร้องเพลงในปี 1926 ไม่ได้จะกินหัวคนสอนจริงๆ นะ   Ginger แมวที่หนักที่สุดในลอนดอน (เมื่อปี 1935) ในร้านอาหาร   คุณห่านใส่แว่นสัตว์เลี้ยงของนักแสดงหญิง Fay Webb เมื่อปี 1925   ลูกหมูที่มารักษาโรคผิวหนัง เมื่อปี…

  • 14 ภาพการเอกซเรย์จากสมัยก่อน มาดูกันว่าเครื่องมือที่คนในอดีตกลัว มันน่ากลัวจริงๆ หรือไม่

    14 ภาพการเอกซเรย์จากสมัยก่อน มาดูกันว่าเครื่องมือที่คนในอดีตกลัว มันน่ากลัวจริงๆ หรือไม่

    ในช่วงแรกๆ ที่มีการคิดค้นการเอกซเรย์ออกมา ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่านี่เป็นเครื่องมือที่มีความอันตรายค่อนข้างสูง แต่ถึงอย่างนั้นการเอกซเรย์ก็ช่วยเหลือในการรักษาชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นไว้เป็นจำนวนมากอยู่ดี ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าการเอกซเรย์ในสมัยก่อนนั้นมันเป็นอย่างไรกัน ที่คนกลัวกันขนาดนั้นเป็นเพราะหน้าตาของมันใช่หรือไม่ มาหาคำตอบไปด้วยกันกับ 14 ภาพการเอกซเรย์จากสมัยต่อไปนี้   นี่คือเครื่องเอกซเรย์รุ่นแรกๆ ในประเทศออสเตรีย กับการใช้งานในช่วงปี 1910   ส่วนนี่คือเครื่องเอกซเรย์ของศาสตราจารย์มินาร์ด ในโรงพยาบาลโคชิน ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 1914   เครื่องเอกซเรย์ของสถาบัน Roentgen ประเทศเยอรมนี 1929 จะสังเกตว่าเทคโนโลยีเครื่องเอกซเรย์จะดูล้ำสมัยมากเมื่อเทียบกับของอื่นๆ สมัยนั้น   ภาพผลการเอกซเรย์แผ่นหลังของ Judith Allen นักแสดงมีชื่อของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1930   การสาธิตการทำงานของอุปกรณ์เอกซเรย์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ลอนดอน เมื่อปี 1932   นักรังสีในชุดป้องกันรุ่นเก่าที่ไม่จำเป็นแล้วในการเอกซเรย์ในปัจจุบัน เมื่อปี 1934   เครื่องเอกซเรย์ศีรษะรุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบป้องกันที่ดียิ่งขึ้นในงานนิทรรศการทางการแพทย์ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 1934 จากคำอธิบาย เครื่องนี้ใช้ง่ายขนาดว่าสามารถเสียบปลั๊กกับบ้านคนธรรมดาได้เลย   การเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อการตรวจโรคเกี่ยวกับปอดด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง ในรีโอเดจาเนโร 1937   การตรวจเอกซเรย์ ของแพทย์สนามสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง…

  • เปิดตำนาน “เพชรโฮป” อัญมณีสีน้ำเงินต้องสาป ที่เชื่อว่าจะนำเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ

    เปิดตำนาน “เพชรโฮป” อัญมณีสีน้ำเงินต้องสาป ที่เชื่อว่าจะนำเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ

    เคยได้ยินเรื่องราวของเพชรต้องสาปไหม มันเป็นเพชรขนาดใหญ่หนักราวๆ 45 กะรัตที่มีสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งถูกเก็บไว้ที่ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน ที่สหรัฐอเมริกา และว่ากันว่าจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ     ไม่มีใครรู้ว่าเพชรเม็ดนี้ถูกค้นพบเมื่อใด แต่ว่ากันว่าเพชรเม็ดดังกล่าวถูก พ่อค้าชาวฝรั่งเศส Jean Baptiste Tavernier นำมาขายให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในช่วงศตวรรษที่ 17 เพชรเม็ดนี้ตกทอดมาถึงมือของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ในเวลาต่อมา และในช่วงนี้เองที่ตำนานเพชรต้องสาปเริ่มต้นขึ้น     พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ถูกประหารชีวิตในการปฏิวัติฝรั่งเศสหลังจากนั้น ส่วนเพชรเม็ดนี้ได้สูญหายไปอย่างลึกลับ เป็นไปได้ว่าจะถูกขโมยไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับอื่นๆ ในระหว่างความวุ่นวายของการปฏิวัติ อย่างไรก็ตามในปี 1830 ได้มีบันทึกว่ามีคนซื้อเพชรเม็ดนี้เอาไว้อีกครั้ง โดยชายคนดังกล่าวมีชื่อว่าเฮนรี่ ฟิลิป โฮป และทำให้เพชรสีน้ำเงินเม็ดดังกล่าวได้รับชื่อ “เพชรโฮป” ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน   ภาพของเฮนรี่ ฟิลิป โฮป   ดูเหมือนว่าเพชรเม็ดนี้จะมีรูปร่างเปลี่ยนไปจากในอดีตพอสมควร ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมาจากการเจียระไนใหม่ โดยช่างเจียระไนชาวดัตช์ แต่แม้รูปร่างจะเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คำสาปของเพชรเม็ดนี้ลดน้อยลงไปเลย เพราะหลังจากที่เพชรเม็ดนี้ตกทอดไปในตระกูลโฮป ได้ไม่นานคนในตระกูลก็เริ่มพบกับโชคร้ายทันที…

  • รู้หรือไม่ ในสงคราม นาซีเคยปลอมระเบิดเป็นของกินของใช้ อย่าง “ช็อกโกแลตแท่ง” มาแล้ว

    รู้หรือไม่ ในสงคราม นาซีเคยปลอมระเบิดเป็นของกินของใช้ อย่าง “ช็อกโกแลตแท่ง” มาแล้ว

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีอยู่หลายครั้งที่ฝั่งนาซีพยายามจะตัดสายการลำเลียงเสบียงของฝั่งอังกฤษ และหลายๆ ครั้งพวกเขาก็เลือกที่จะใช้การซ่อนระเบิดไปบนเรือของอังกฤษนั่นเอง     โชคดีที่ทางอังกฤษมีหน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมที่ค่อนข้างมีฝีมือมาก จนสามารถเก็บกู้การลอบวางระเบิดของทางนาซีได้เป็นอย่างดี และในระหว่างการทำงานของพวกเขานั่นเอง Laurence Fish ศิลปินหนุ่มคนหนึ่งในสมัยนั้น ก็คอยรับหน้าที่วาดภาพแบบแปลนของระเบิดจากข้อมูลที่หน่วยป้องกันการก่อวินาศกรรมมอบให้ เพื่อเป็นข้อมูลในการสอดส่องดูแลต่อไป     โดยหนึ่งในภาพที่น่าสนใจของ Laurence คือแบบแปลนระเบิดช็อกโกแลตแท่ง ที่ออกแบบมาให้ทำงานในทันทีที่ช็อกโกแลตถูกหักออก ซึ่งว่ากันว่าทางนาซีเคยพยายามที่จะใช้ในการลอบสังหาร Winston Churchill นั่นเอง     ภาพเหล่านี้ถูกค้นพบในช่วงปี 2015 และกลายเป็นที่สนใจมากของนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะความคิดสร้างสรรค์ของนาซีในการทำระเบิดนั้น มันช่างเหนือความคาดหมายในหลายๆ ด้านจริงๆ     เพราะนอกจากช็อกโกแลตแท่งแล้ว ทางนาซียังเคยแอบวางกับดักระเบิดมาในอาหารการกิน น้ำมันเครื่อง นาฬิกา หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ที่คล้ายคลึงกับกระติกน้ำเลยด้วย     จากข้อมูลของ Jean Bray ภรรยาผู้เป็นม่ายของ Laurence กล่าวว่าภาพของสามีที่เธอพบนั้นมีทั้งหมด 25 ภาพ ซึ่งมีขนาดตั้งแต่กระดาษ A4 ไปจนถึง A1 และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ     หลังจากที่สงครามจบลง Laurence ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปินอย่างเป็นตัว ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปในปี…

  • “Shell Shock” กลุ่มอาการของเหล่าผู้โดนความโหดร้ายของสงครามกลืนกินจนเป็นบ้า

    “Shell Shock” กลุ่มอาการของเหล่าผู้โดนความโหดร้ายของสงครามกลืนกินจนเป็นบ้า

    สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถูกเรียกว่ามหาสงครามอย่างมีที่มาที่ไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่สงครามที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของโลกในสมัยนั้น แต่มันยังเป็นสงครามที่ส่งคนจำนวนมากไปสู่ความตายและความบ้าคลั่งอีกด้วย และในสงครามครั้งนี้เองที่ทำให้มนุษย์รู้จักกับอาการที่ชื่อว่า “Shell Shock” อาการที่มักจะเกิดขึ้นกับทหารที่เห็นภาพความโหดร้ายของสงครามอย่างต่อเนื่อง   “ดวงตาแห่งความบ้าคลั่ง” รูปภาพเกี่ยวกับอาการ Shell Shock ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด   ว่ากันว่า Shell Shock เป็นชื่อที่ทหารตั้งให้กับกลุ่มอาการที่ทหารสะสมความเครียดและความกลัวจนสติแตก และมีที่มาจากมาจากการที่ทหารหวาดกลัว “กระสุนปืนใหญ่” ในสมัยนั้น อาการของ Shell Shock มีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่ตัวสั่น นอนฝันร้าย ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ได้ เรื่อยไปยันการไร้สติโดยสิ้นเชิงคล้ายหุ่นไร้วิญญาณ และอาจจะมีผลยาวนานไปจนจบสงครามหรือตลอดชีวิตได้เลย     อาการนี้มักถูกนำไปรวมกับอาการ PTSD หรืออาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะทหาร) ที่มักเชื่อว่าอาการทั้งสองไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะอาการ Shell Shock มักถูกมองว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นทันทีทันใด และในช่วงแรกๆ ที่อาการนี้เป็นที่รู้จัก อาการดังกล่าวยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ จนถึงขั้นที่ว่าใครที่มีอาการจะถูกประหารชีวิตเลยด้วย     โชคดีที่ต่อมาทางรัฐบาลอังกฤษได้ออกมาบอกว่า Shell Shock ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ และอาการทางจิตที่ว่านี้ก็กลายเป็นหนึ่งในความรู้คู่กองทัพไปในเวลาหลังจากนั้น   ที่มา rarehistoricalphotos, apa

  • “ไมเคิล คอลลินส์” นักบินที่ถูกลืมแห่งอะพอลโล 11 ผู้รู้จัก “ความโดดเดี่ยว” ดีที่สุด

    “ไมเคิล คอลลินส์” นักบินที่ถูกลืมแห่งอะพอลโล 11 ผู้รู้จัก “ความโดดเดี่ยว” ดีที่สุด

    เมื่อพูดถึงอะพอลโล 11 เชื่อว่าหลายๆ คนคงคิดถึงนีล อาร์มสตรองเป็นคนแรก และถ้ารู้ลึกสักนิดก็คงจะมีหลายๆ คนที่พูดชื่อของบัซ อัลดรินแถมขึ้นมาอีกชื่อ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าอะพอลโล 11 ยังมีนักบินที่ขึ้นไปปฏิบัติการอีกคน ชื่อของเขาคือ ไมเคิล คอลลินส์ ชายอีกคนที่ร่วมเดินทางไปยังดวงจันทร์อีกคน เขาได้รับหน้าที่รอคอยนักบินทั้งสองอยู่บนยานแม่ รอคอยการกลับมาของเพื่อนๆ ตามลำพัง     จริงอยู่ว่าหน้าที่ของเขาอาจจะฟังดูเป็นเรื่องง่ายเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของนีล อาร์มสตรองและบัซ อัลดริน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าการรอคอยของคอลลินส์นั้นเป็นได้ทุกอย่างนอกจากคำว่าสบาย เพราะตั้งแต่ที่ปล่อยยานลูกลงไปสู่พื้นผิวดวงจันทร์คอลลินส์ ก็ต้องรอคอยเพื่อนๆ อย่างโดดเดียวในอวกาศนานถึง 21 ชั่วโมงครึ่ง และลอยไปยังอีกด้านของดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยว โดยไร้ซึ่งการติดต่อจากโลกหรือเพื่อนๆ     จากบันทึกของเขาตลอดเวลาที่อยู่บนอวกาศ เขาไม่ได้อิจฉาเพื่อนๆ ทั้งสองเลย กลับกันในหัวของเขาเต็มไปด้วยความกลัวที่ว่าเพื่อนของเขาจะไม่กลับมา และเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้กลับไปที่โลก แม้กระทั่งภาพถ่ายจากอวกาศของเขาก็เต็มไปด้วยเงาของความโดดเดี่ยว เพราะในภาพที่เรียกได้ว่าถ่ายติดคนทั้งโลก และยานของเพื่อนทั้งสองของเขานั้น ก็ยังมีเพียงคอลลินส์เท่านั้นที่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในภาพด้วย   ภาพของ “มนุษย์ทุกคน” ที่คอลลินส์เป็นคนถ่าย ภาพแห่งความเดียวดายที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่ติดในภาพ   นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคอลลินส์ที่เพื่อนทั้งสองของเขาสามารถติดต่อกลับมาหาเขาได้สำเร็จ ทำให้ความคิดที่ว่าเขาจะต้องกลับโลกอย่างผู้มีบาดแผล หายไปเป็นปลิดทิ้ง แม้ว่าชื่อเสียงของคอลลินส์จะเป็นที่พูดถึงน้อยมากเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญสำหรับชายคนนี้เลย เพราะสำหรับเขาแล้วการที่ได้กลับบ้านพร้อมๆ กับเพื่อน…

  • “วงแหวนนางฟ้า” ปรากฏการณ์เห็ดขึ้นเป็นวง “ประตูสู่อีกโลก” ที่เป็นได้ทั้งเรื่องดีและข่าวร้าย

    “วงแหวนนางฟ้า” ปรากฏการณ์เห็ดขึ้นเป็นวง “ประตูสู่อีกโลก” ที่เป็นได้ทั้งเรื่องดีและข่าวร้าย

    ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน การที่จู่ๆ เห็ดจะขึ้นเป็นวงแหวนในป่ามักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของบางสิ่งบางอย่างจากต่างโลก และกลายเป็นที่มาของเรื่องเล่าเรียกกันว่า “วงแหวนภูต” “วงแหวนเอลฟ์” หรือ “วงแหวนนางฟ้า”     การพบวงแหวนเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนในพื้นที่ บางครั้งเรื่องเล่าก็บอกว่าวงแหวนนางฟ้าจะนำมาซึ่งโชคดี ในขณะที่ในอีกหลายๆ เรื่องเล่าวงแหวนนางฟ้าก็จะนำมาซึ่งสิ่งชั่วร้าย วงแหวนเหล่านี้บางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปยังดินแดนของชาวเอลฟ์ ดินแดนของนางฟ้า หรือแม้กระทั่งอีกโลกหนึ่ง     ในฝรั่งเศสและเยอรมนี วงแหวนเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ชั่วร้าย อันเป็นผลงานจากพิธีกรรมของแม่มด แต่ในอังกฤษ สแกนดิเนเวียน และเซลติก วงแหวนนี้กลับมักถูกมองว่าเกิดจากการเต้นรำของเหล่าภูติแทน แต่แม้ว่าแนวคิดเรื่องวงแหวนนางฟ้าแต่แตกต่างกันไปในแต่ละที่ โดยมากแล้วในสมัยก่อนมักจะมีคำสอนที่ห้ามไม่ให้เข้าไปใกล้วงแหวนเหล่านี้อยู่เสมอๆ     ในตำนานหลายๆ เรื่องการเข้าไปในวงแหวนจะทำให้ผู้ที่เข้าไปตายตั้งแต่ยังเด็ก กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ถูกขังอยู่ในนั้นตลอดกาล สูญเสียดวงตา หรือแม้กระทั่งโดนบังคับให้เต้นไปจนตาย โชคดีที่ในปัจจุบันเราทราบกันแล้วว่าเหตุการณ์วงแหวนนางฟ้านั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด กล่าวคือเห็ดบางชนิด (อย่างเห็ดแชมปิญอง เห็ดหัวกรวด) จะมีการกระจายเส้นใยเห็ดออกไปในระยะทางเท่าๆ กันรอบทิศ     นั่นทำให้หากกลุ่มของเส้นใยสมบูรณ์มันจะเกิดเป็นดอกเห็ดซึ่งล้อมวงกันเป็นวงกลมแบบพอดิบพอดีนั่นเอง ส่วนเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับวงแหวนเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ เด็กๆ ในสมัยนั้นเก็บเห็ดในวงแหวนไปทานก็เป็นได้ เพราะในบรรดาเห็ดที่มีการกระจายเส้นใยในรูปแบบนี้ มีอยู่หลายชนิดที่มีพิษกับมนุษย์นั่นเอง     ที่มา ancient-origins, britannica

  • พบร่างเด็ก 10 ขวบถูก “ฝังแบบแวมไพร์” ตามความเชื่อโรมันโบราณ ป้องกันศพ “ลุกกลับมา”

    พบร่างเด็ก 10 ขวบถูก “ฝังแบบแวมไพร์” ตามความเชื่อโรมันโบราณ ป้องกันศพ “ลุกกลับมา”

    ในยุคที่ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปกครองมนุษย์ ความกลัวในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสำหรับชาวโรมันโบราณแล้ว หนึ่งในเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้น คือการที่คนตายลุกขึ้นมาจากหลุมศพ นั่นทำให้เมื่อนักโบราณคดีได้พบกับร่างของเด็กอายุราวๆ 10 ขวบคนหนึ่งที่ถูกฝัง “โดยยัดหินไว้ในปาก” ไว้ในซากโบราณสถานในอิตาลี พวกเขาจึงเข้าใจได้ว่าการฝังแบบนี้น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมานั่นเอง     นี่เป็นรูปแบบการฝังที่นักโบราณคดีเรียกกันว่า “การฝังแวมไพร์” โดยจะเป็นการนำเหยื่อที่ตายด้วยโรคร้ายหรืออาการแปลกๆ มาฝังโดยนำของแข็งยัดใส่ไว้ในปาก หรือไม่ก็ตอกลิ่มทะลุหัวใจตรึงร่างไว้กับพื้น การกระทำเช่นนี้เป็นไปได้ว่าจะถูกเชื่อโดยคนสมัยก่อนว่าช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ หรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้ศพลุกขึ้นมากัดคน แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละที่     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่ “La Necropoli dei Bambini” สถานที่ซึ่งใช้ฝังศพเด็กในสมัยโรมันช่วงกลางศตวรรษที่ห้า ซึ่งเดิมทีแล้วเชื่อกันว่ามีไว้ฝังทารกและเด็กเล็กเท่านั้น นั่นทำให้การค้นพบเด็กอายุราวๆ 10 ขวบในครั้งนี้ไปขยายช่วงอายุของเด็กที่จะถูกฝังที่นี่ขึ้น เพราะจนถึงเมื่อไม่นานมานี้โครงกระดูกของเด็กที่พบที่นี่ ไม่มีร่างไหนเลย ที่อายุมากกว่า 3 ขวบ แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะดูแปลก แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบโครงกระดูกที่ชาวโรมันมีมาตรการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับมา เพราะในอดีตเองก็ได้มีการพบโครงกระดูกที่มีการใช้หินทับไว้เป็นจำนวนมาก     แม้กระทั่งในสุสานเดียวกันนี้เองก็มีร่องรอยว่าร่างของเด็กๆ บางส่วนถูกเอาหินทับมือและเท้าไว้เพื่อไม่ใช้พวกเธอลุกขึ้นมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีร่างของเด็กที่ถูกยัดหินใส่ปากเพื่อป้องกันการลุกขึ้นมาจากหลุมศพในยุคโรมัน และมีความหลายคลึงกับศพที่เคยถูกค้นพบในปี 2009 ของหญิงชราที่เวนิซเมื่อศตวรรษที่ 16 มากว่า     ดูเหมือนว่าร่างของเด็กที่พบจะมีร่องรอยของฟันที่เป็นหนองอันเป็นผลพวงของโรคมาลาเลีย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าร่างที่พบนั้นจะมาจากช่วงที่โรคมาลาเลียกำลังระบาดหนัก…

  • นักโบราณคดีพบ วิหารโบราณพร้อมภาพวาดฝาพนัง ในเมืองที่ถูกฝัง “ปอมเปอี”

    นักโบราณคดีพบ วิหารโบราณพร้อมภาพวาดฝาพนัง ในเมืองที่ถูกฝัง “ปอมเปอี”

    ปอมเปอี คืออดีตเมืองของอาณาจักรโรมัน ในประเทศอิตาลี เป็นที่รู้จักกันในนามเมืองที่ถูกฝังไปในเถ้าภูเขาไฟวิสุเวียส และเป็นสถานที่แห่งความตายที่มีชาวเมืองเสียชีวิตไปกว่า 30,000 ราย แต่ในบรรดาประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความตายนั้นเอง เมืองปอมเปอี ก็ยังเก็บรักษาเรื่องดีๆ เอาไว้เช่นกัน เพราะล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีได้ขุดพบวิหารโบราณที่ถูกฝังไว้โดยภายได้เถ้าภูเขาไฟในเมืองแห่งนี้     มันเป็นวิหารที่มีภาพงานศิลปะอันงดงามวาดเอาไว้บนกำแพง และมีความสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อเนื่องจากถูกเก็บรักษาไว้ได้เถ้าภูเขาไฟ มันเป็นภาพของนกยูงที่มีความเหมือนจริงมากเดินอยู่ในสวนด้านใต้ภาพของสัตว์ที่คล้ายกับปลาไหลสีทองสองตัว ซึ่งกำลังมองไปยังแท่นบูชาที่มีไข่ มะเดื่อ และถั่ววางอยู่     เป็นไปได้ว่าแท่นบูชาที่เป็นสัญลักษณ์แทนความอุดมสมบูรณ์ส่วน สัตว์ซึ่งหน้าตราคล้ายกับปลาไหลสีทองที่ว่าน่าจะเป็นภาพงูขดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “Lares” หนึ่งในเทพที่ชาวโรมันให้ความเคารพ แต่นั่นไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่มีการขุดพบ เพราะที่กำแพงอีกด้านก็มีการพบกำแพงที่ถูกทาเป็นสีแดงฉาน และมีภาพของสุนัขที่กำลังต่อสู้กับหมูป่าวาดเอาไว้อีกด้วย     นอกจากนี้ที่อีกมุมหนึ่งของห้องยังมีภาพของชายที่มีศีรษะเป็นสุนัขที่น่าจะเป็นเทพอะนูบิสของอียิปต์ในเวอร์ชันของโรมันอีกด้วย นักโบราณคดีบอกว่าภาพเหล่านี้มีความบอบบางมากดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงมือทำการดูแลรักษามันอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นแสงและสภาพอากาศในปัจจุบันอาจจะทำลายภาพเหล่านี้ไปอย่างรวดเร็วเลยก็เป็นได้     จริงอยู่ว่าการถูกค้นเมืองปอมเปอีจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แต่ในสมัยนั้นนักโบราณคดีมักจะไม่มีการบันทึกสิ่งที่ค้นพบเอาไว้เลย ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ในปัจจุบันเอง นักโบราณคดีก็ยังคงเชื่อกันว่าเมืองแห่งนี้ยังมีสิ่งที่พวกเราจะสามารถเรียนรู้ได้จากการขุดค้นอีกมากมายเลยทีเดียว   ที่มา thesun, ancient-origins, ancient, history

  • Ilha da Queimada Grande ดินแดนร้างแห่งอสรพิษ เกาะที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุดในโลก

    Ilha da Queimada Grande ดินแดนร้างแห่งอสรพิษ เกาะที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุดในโลก

    Ilha da Queimada Grande เป็นเกาะที่อยู่นอกชายฝั่งของเมืองเซาเปาโล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล และเป็นเกาะร้างที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ช่วงปี 1920     แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องแปลกก็คงจะไม่ได้ เพราะ Ilha da Queimada Grande เป็นดินแดนแห่งอสรพิษที่มีประชากรงูอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่ว่าทุกๆ 1 ตารางเมตร จะมีงูอยู่ราวๆ 5 ตัวเลยทีเดียว ในอดีตไม่มีใครทราบว่างูปริมาณมากมายขนาดนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้ได้อย่างไร แต่จากตำนานพื้นบ้านของคนในพื้นที่ ว่ากันว่างูเหล่านี้ถูกโจรสลัดนำมาปล่อยไว้เพื่อดูแลขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้     อย่างไรก็ตามจากทฤษฎีในปัจจุบัน เดิมทีที่แห่งนี้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศบราซิล ก่อนที่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อ 10,000 ปีก่อนทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นเกาะไป และงูเหล่านี้ก็เป็นผู้อยู่อาศัยของเกาะมาตั้งแต่ต้น แต่การที่งูไปติดอยู่บนเกาะเช่นนี้ก็ทำให้พวกมันต้องวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน อย่างงู “Golden Lancehead” ที่พบได้เฉพาะที่นี่ ก็วิวัฒนาการพิษของตัวเองจนรุนแรงมากกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า     นั่นเป็นเพราะในเกาะที่แยกตัวออกจากแผ่นดินเช่นนี้ งูพิษจำเป็นที่จะต้องล่านกต่างถิ่นเป็นอาหาร ดังนั้นมันจึงต้องมีพิษที่แรงพอที่จะสังหารนกในทันทีที่ถูกกัดนั่นเอง นอกจากนี้การอยู่บนเกาะที่หาอาหารได้ยากก็ยังทำให้ Golden Lancehead กลายเป็นงูที่ดุร้ายมากมันแทบจะโจมตีทุกสิ่งที่เข้าใกล้ จนทำให้อัตราการโดนงูกัดในบราซิลกว่า 90% มาจากงูสายพันธุ์นี้ทั้งหมด     นั่นทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะที่แทบจะไม่มีคนอยากย่างกรายเข้าไป อย่างไรก็ตามในเกาะนี้เองก็มีขุมทรัพย์ที่ไม่น่าเชื่อซ่อนอยู่เช่นกัน…

  • 22 ภาพการทดลองนิวเคลียร์มีชื่อของโลก “ระเบิดแห่งความตาย” ที่อาจทำลายโลกทั้งใบ

    22 ภาพการทดลองนิวเคลียร์มีชื่อของโลก “ระเบิดแห่งความตาย” ที่อาจทำลายโลกทั้งใบ

    ว่ากันว่าวันที่ 14 กรกฎาคม 1945 เป็นวันที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปทั้งใบ เมื่อสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกที่สถานที่ทดสอบทรินิตี และเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ นับตั้งแต่วันนั้นมา โลกของเราก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งนิวเคลียร์ และนำมาซึ่งการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแล้วครั้งเล่ามาจนถึงในปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจึงจะไปชม 22 ภาพของการทดลองนิวเคลียร์ ที่มีชื่อเสียงของโลก ไปดูกันดีกว่าว่าการทดลองอาวุธที่ทำให้โรเบิร์ต โอปเฟนไฮเมอร์หัวหน้าโครงการแมนฮัตตันหลุดปากออกมาว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้า ได้กลายเป็น “ความตาย” ผู้ทำลายโลกทั้งใบ” มันเป็นอย่างไรกัน   เริ่มกันที่ “แกดเจ็ต” ระเบิดนิวเคลียร์ที่มีการทดลองลูกแรกของโลกหลังจากจุดชนวน 9 วินาที 16 กรกฎาคม 1945   ภาพทหารสหรัฐฯ สังเกตการณ์การทดลองนิวเคลียร์ ที่บิกีนีอะทอลล์ 25 กรกฎาคม 1946   ภาพการระเบิดที่บิกีนีอะทอลล์ แบบใกล้ชิด 25 กรกฎาคม 1946   การระเบิดที่บิกีนีอะทอลล์ จากมุมสูง 25 กรกฎาคม 1946   การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ของเครื่องบิน B-36H ในการทดลองนิวเคลียร์ที่มีโค้ดเนมส์ว่า Ivy 16 พฤศจิกายน 1952…

  • พบสุสานนักบวช “ไคเรส” สหายเพียงหนึ่งเดียวของฟาโรห์ ผู้มากตำแหน่งแห่งอียิปต์โบราณ

    พบสุสานนักบวช “ไคเรส” สหายเพียงหนึ่งเดียวของฟาโรห์ ผู้มากตำแหน่งแห่งอียิปต์โบราณ

    เมื่อพูดถึงคนที่มีอำนาจปกครองอย่างฟาโรห์ การที่คนแบบนั้นจะมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดย่อมเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตาสำหรับหลายๆ คนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เอาเข้าจริงๆ การได้เป็นฟาโรห์อาจจะเป็นอะไรที่เหงากว่าที่คิดก็เป็นได้     เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีการขุดพบสุสานของนักบวชชื่อ ไคเรส (Kaires) ผู้ซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็น “สหายเพียงคนเดียวของฟาโรห์” และ “ผู้เก็บรักษาความลับแห่งมอร์นิ่งเฮ้าส์” สถานที่ซึ่งฟาโรห์ทานอาหารเช้าและแต่งกาย นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในนครสุสานอบูเซียร์ ที่ประเทศอียิปต์ และเชื่อกันว่ามาจากสมัยที่ฟาโรห์เนเฟอร์อิร์คาเร (Neferirkare) กำลังการครองราชย์ เมื่อช่วง 2,446-2,438 ปีก่อนคริสตกาล หรือไม่ก็บรรพบุรุษของเขา   รูปปั้นของนักบวชไคเรส ที่ถูกค้นพบ   ไคเรสนั้นเป็นคนที่มีตำแหน่งหลากหลายมาก เพราะนอกจากสองตำแหน่งที่ระบุไว้ด้านบนแล้ว เขายังมีตำแหน่ง “ผู้ดูแลผลงานของกษัตริย์ทั้งหมด” และ “บุคคลที่สำคัญที่สุดของบ้านแห่งชีวิต” หอสมุดที่เก็บปาปิรุสไว้เป็นจำนวนมาก แม้จะไม่อาจทราบได้ว่าเขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฟาโรห์จริงๆ หรือไม่ แต่คนคนนี้จะต้องเป็นบุคคลที่สำคัญมากคนหนึ่งในอียิปต์โบราณเป็นแน่     เพราะเขานั้นถูกฝังไว้ในสถานที่ที่ตามปกติจะอนุญาตให้ฝังเพียงแค่เชื้อพระวงศ์ และชนชั้นสูงเท่านั้น แถมสุสานของเขายังมีการปูหินบะซอลเป็นฐาน ซึ่งตามปกติจะทำให้กับฟาโรห์เท่านั้นอีกด้วย น่าเสียดายที่ในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบมัมมี่ของไคเรส อย่างไรก็ตามการขุดค้นในครั้งนี้ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะได้เห็นใบหน้าของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็เป็นได้     ที่มา livescience, heritagedaily, ancient-origins

  • “เด็กหญิงกับอีแร้ง” ภาพถ่ายรางวัลยอดเยี่ยมจากปี 1993 ที่ทำให้ช่างภาพฆ่าตัวตาย

    “เด็กหญิงกับอีแร้ง” ภาพถ่ายรางวัลยอดเยี่ยมจากปี 1993 ที่ทำให้ช่างภาพฆ่าตัวตาย

    ผลงานภาพสะเทือนใจที่ได้รับรางวัลนั้นมีมากมายหลายภาพที่มีเบื้องหลังที่โหดร้ายกว่าที่เห็น แต่หากจะพูดถึงภาพถ่ายสะเทือนใจที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด ก็คงไม่พ้นภาพของเด็กหญิงกับอีแร้งจากเมื่อปี 1993     นี่เป็นภาพเด็กหญิงชาวแอฟริกา ที่รูปร่างผอมแห้งและกำลังจะหิวตาย กับนกแร้งที่เฝ้าคอยที่จะจิกกินซากศพของเธอ ภาพนี้อยู่ถ่ายไว้โดยช่างภาพหนังสือพิมพ์ชื่อ Kevin Carter ผู้เดินทางไปยังซูดาน ในเดือนมีนาคม 1993 แม้ว่านี่จะเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นความโหดร้ายของโลกได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างคำถามให้กับผู้พบเห็นมากมายเช่นกัน   ภาพของ Kevin Carter ในสมัยที่กำลังถ่ายภาพความรุนแรงในแอฟริกา   และหนึ่งในคำถามเหล่านั้นคือ “เด็กที่เห็นเป็นอย่างไรต่อไป” และ “ทำไมตากล้องเอาแต่ถ่ายภาพและไม่ช่วยเด็กคนนี้” จากคำบอกเล่าของ Carter ดูเหมือนว่าเขาจะช่วยไล่นกแร้งออกไปก็จริง แต่เป็นหลังจากที่เขาถ่ายภาพเสร็จแล้ว ส่วนเด็กในภาพก็แข็งแรงพอที่จะเดินเองได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ทราบว่าเธอนั้นเป็นอย่างไรต่อไป เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ Carter ถูกมองว่าเป็นนักข่าวที่เห็นแก่ชื่อเสียง และเลือกที่จะทำผลงานมากกว่าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จนเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคนทั่วโลก   Carter มักถ่ายภาพในเหตุการณ์รุนแรงอยู่เสมอๆ   ในความเป็นจริงแล้วคนที่ทำงานในถิ่นทุรกันดารอย่าง Carter มักจะถูกสอนไม่ให้สัมผัสเหยื่อความหิวโหยในพื้นที่ เนื่องจากพวกเขาอาจจะมีโรคติดต่อร้ายแรงก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็บอกว่ารู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือเด็กคนดังกล่าว ถึงขั้นที่ว่าไม่นานหลังจากที่เขาได้รับรางวัลภาพถ่ายยอดเยี่ยมในปี 1994 Carter ก็จบชีวิตของตัวเองลงในเดือนกรกฎาคม 1994     และในวาระสุดท้ายของชีวิต Carter ก็ได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ว่า “ผมเสียใจมากๆ ความเจ็บปวดนี้มันทาทับความดีใจไปเสียจนหมด ผมสิ้นหวัง ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า…

  • นักวิทย์ไขปริศนา “สาเหตุ” การสร้างรูปปั้นโมอาย แท้จริงแล้วมันเกี่ยวกับแหล่งน้ำดื่ม

    นักวิทย์ไขปริศนา “สาเหตุ” การสร้างรูปปั้นโมอาย แท้จริงแล้วมันเกี่ยวกับแหล่งน้ำดื่ม

    ตั้งแต่ในอดีต มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ทำการถกเถียงกันถึงที่มาของรูปปั้นหินแห่งเกาะอีสเตอร์ที่ประเทศชิลี มันคือรูปปั้นหินที่รู้จักกันในนาม โมอาย หนึ่งในมรดกโลกและหนึ่งในปริศนาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของโลกใบนี้ รูปปั้นโมอายเชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1250-1500 โดยชาวเกาะอีสเตอร์ที่มีชื่อว่า Rapa Nui และมีอยู่ทั้งหมดราวๆ 887 อันทั่วเกาะ อย่างไรก็ตามไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าชาวเกาะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร หรือทำขึ้นมาเพื่ออะไร     แต่ล่าสุดนี้เองทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันของสหรัฐอเมริกาก็ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาสามารถไขปริศนา “สาเหตุ” ของการสร้างรูปปั้นโมอายได้แล้ว!! ดูเหมือนว่าบนเกาะอีสเตอร์นั้นมีแหล่งน้ำจืดอยู่ค่อนข้างน้อย ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในเกาะจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำใต้ดินในการดำเนินชีวิต และรูปปั้นโมอายทั่วเกาะก็เป็นสัญลักษณ์ของแหล่งน้ำที่ดื่มได้นั่นเอง การค้นพบนี้มาจากการศึกษาแหล่งน้ำบนเกาะจากการวิจัย ซึ่งพบว่าทั้งเกาะนั้นมีทะเลสาบที่พอจะเป็นแหล่งน้ำได้เพียงแค่สองที่เท่านั้น แถมยังอยู่ในบริเวณที่เข้าไปได้ยากด้วย     นอกจากนี้หลักฐานการเก็บน้ำฝนของคนบนเกาะก็ยังมีอยู่ไม่มากและไม่น่าจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิต นั่นทำให้พวกนักวิจัยเชื่อว่าชาวเกาะจะต้องใช้น้ำใต้ดินเป็นแหล่งน้ำหลักแน่ๆ จริงอยู่ว่าน้ำใต้ดินเหล่านี้นั้นมักจะไหลลงไปในทะเล แต่มนุษย์ก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ในจังหวะที่มันกำลังจะไหลลงไปรวมกับน้ำเค็มเลย เพราะจากการวัดค่าความเค็ม น้ำใต้ดินเหล่านี้อยู่ในระดับที่ร่างกายคนเรารับได้ แม้น้ำจืดจะร่วมกับน้ำเค็มไปบางส่วนก็ตามที     ในปัจจุบันแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะจากการเดินทางมาที่เกาะของนักเดินทางเมื่อปีศตวรรษที่ 18 เอง ก็มีการบันทึกไว้ว่า ชาวเกาะตักน้ำทะเลไปบริโภคด้วย นั่นหมายความว่ารูปปั้นโมอายส่วนใหญ่บนเกาะจะถูกวางเอาไว้ในที่ต่างๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของจุดที่มีน้ำที่ดื่มได้ หรือไม่ก็ชี้ไปยังจุดที่มีแหล่งน้ำที่ว่านั่นเอง อย่างไรก็ตามการที่ชาวเกาะบริโภคน้ำในรูปแบบนี้ จะทำให้พวกเขาแทบจะไม่ต้องใช้เกลือในการทำอาหารเลย เนื่องจากพวกเขาได้รับเกลือที่จำเป็นในชีวิตประจำวันจากการดื่มน้ำแล้ว     ที่มา allthatsinteresting, dailymail, news

  • เอกสารรัฐบาลเผย สหรัฐฯ เกือบจะใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” ในสงครามเวียดนามแล้ว

    เอกสารรัฐบาลเผย สหรัฐฯ เกือบจะใช้ “อาวุธนิวเคลียร์” ในสงครามเวียดนามแล้ว

    เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม 2018 หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐฯ ได้มีการนำเอกสารที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการว่ามิได้เป็นความลับอีกต่อไป ออกมาเปิดเผยแก่สาธารณชน มันเป็นเอกสารที่มีชื่อว่า “Fracture Jaw” ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1968 และเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์ไปยังเวียดนามใต้ เพื่อเตรียมการใช้งานในขั้นต่อไป     นี่เป็นคำขอที่เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม และกองทัพกำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมากในศึกที่ Khe Sanh หากคำขอที่ว่านี้ผ่าน ประวัติศาสตร์ของโลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เราทราบมากเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายพล William Westmoreland ได้ลงนามอนุมัติการปฏิบัติการไปแล้วด้วย   ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson (ซ้าย) และนายพล William Westmoreland (ขวา)   นับว่าโชคดีมากที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ทำการแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เสียก่อน และประธานาธิบดี Lyndon ก็ได้ออกมาคัดค้านปฏิบัติการดังกล่าวทันที จากการให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดี Lyndon จะกลัวว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจจะทำให้ความขัดแย้งที่รุนแรงอยู่แล้ว กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นไปอีก   ข้อความที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ใช้แจ้งกับประธานาธิบดี  …

  • นักวิทยาศาสตร์บอก เหยื่อภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ บางส่วนอาจ “ศีรษะระเบิด” ตาย

    นักวิทยาศาสตร์บอก เหยื่อภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ บางส่วนอาจ “ศีรษะระเบิด” ตาย

    การระเบิดของภูเขาไฟวิซุเวียสในปีคริสต์ศักราชที่ 79 นับว่าเป็นหนึ่งในการระเบิดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมแห่งเมืองปอมเปอี และเมืองเฮอร์คิวเลเนียมอีกด้วย     แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดของมหาวิทยาลัยวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ดูเหมือนว่าเหยื่อจำนวนหนึ่งจากการระเบิดของภูเขาวิซุเวียส เสียชีวิตไปจากการที่สมองละลายและกะโหลกระเบิด โดยสาเหตุการเสียชีวิตที่ฟังดูน่าสยดสยองนี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากความร้อนสูง ซึ่งอาจจะมาจากขี้เถ้าที่มาพร้อมกับการระเบิดของภูเขาวิซุเวียสนั่นเอง     นี่เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบโครงกระดูกจำนวนมากใกล้ๆ เมืองเฮอร์คิวเลเนียม ซึ่งหากนำไปตรวจสอบจะพบไอเอิร์น และไอเอิร์นออกไซด์ในปริมาณมาก การพบสารเหล่านี้ในจำนวนมาก บวกกับรอยแตกที่กะโหลก เป็นหลักฐานอย่างดีว่าความร้อนจากภูเขาไฟทำให้เกิดแรงดันในสมอง ซึ่งมากพอที่จะทำให้กะโหลกระเบิด และสังหารเหยื่อในทันที     นอกจากนี้การที่กระดูกที่พบอยู่ในสภาพขดตัว (คล้ายกับการที่เหยื่อซึ่งถูกไฟคลอกมักจะเป็น) ยิ่งชี้ให้เห็นเขาไปอีกว่ากล้ามเนื้อของพวกเขาถูกเผาไหม้ไปในเวลาอันรวดเร็วด้วยความร้อนสูง อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อโต้แย้งเลยเพราะมีนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่าการที่ศีรษะของมนุษย์จะระเบิดออกนั้นเป็นไปได้ยากมาก     เพราะแม้แต่ในเตาเผาศพในปัจจุบันซึ่งมีความร้อนสูงถึงราวๆ 1,000 องศาเซลเซียส กะโหลกของมนุษย์ก็ไม่มีร่องรอยว่าจะระเบิดออกมาอยู่ดี เนื่องจากคนเรามีปากและจมูกที่จะช่วยขับแรงดันในศีรษะออกมานั่นเอง ถึงอย่างนั้นก็ใช้ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ว่ากะโหลกของคนเราจะบอบบางลงจากการถูกเผาไหม้ ทำให้ในปัจจุบันทฤษฎีที่ออกมา จึงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป   ที่มา livescience, newshub, cnet

  • “เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิล” กลุ่มก้อนแผ่กัมมันตรังสี ที่ว่ากันว่ามีพิษรุนแรงที่สุดในโลก

    “เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิล” กลุ่มก้อนแผ่กัมมันตรังสี ที่ว่ากันว่ามีพิษรุนแรงที่สุดในโลก

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่อง “The Elephant’s Foot” หรือ “เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิล” กันไหม มันไม่ใช่เท้าของช้างจริงๆ ซึ่งถูกสารกัมมันตรังสีแต่อย่างใด แต่เป็นกลุ่มก้อนมีพิษที่ว่ากันว่ามีความรุนแรงที่สุดในโลกต่างหาก เท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลเป็นกลุ่มก้อนของโคเรียม (Corium) ที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลของกัมมันตรังสีในเหตุการณ์เมื่อปี 1986 และถูกตั้งชื่อตามรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเท้าช้างจริงๆ     กลุ่มก้อนโคเรียม ที่ว่านี้แผ่กัมมันตรังสีรุนแรงมากถึง 10,000 เรินต์เกน (หน่วยวัดความแรงของสนามรังสี) ต่อชั่วโมง ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือคนเราจะได้รับรังสีในระดับที่อันตรายถึงชีวิตในเวลาเพียง 30 วินาทีหลังจากที่เข้าใกล้มัน จริงอยู่ที่เมื่อเวลาผ่านไปปริมาณการแผ่รังสีของเท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลก็ค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นการแผ่กัมมันตรังสีทั้งหมดในเชอร์โนบิล ก็จะคงอยู่ต่อเนื่องไปอีกนานกว่า 100,000 ปีเลยทีเดียว     และที่ภาพของเท้าช้างแห่งเชอร์โนบิลออกมาเหมือนกับภาพ ที่ถ่ายผ่านฟิลเตอร์ “Noise” หรือ “Grainy” แบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่ากล้องไม่ดี แต่เป็นเพราะกัมมันตรังสีที่รุนแรงทำให้คุณภาพของฟิล์มตกลงไปต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มก้อนนี้มีการซ้อนตัวหลายชั้นและมีความทนทานสูงมาก ถึงขั้นที่ว่าใช้สว่านเจาะไม่เข้า ทำให้ความคิดที่จะเคลื่อนย้ายหรือทำลายมันเป็นไปแทบจะไม่ได้ (ถึงแม้ทางโซเวียดจะบอกว่า AK ยิงเข้าก็ตาม)     ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าเท้าช้างอันนี้จึงยังคงหลับไหลอยู่ในเมืองร้างแห่งเชอร์โนบิล แม้แต่ในปัจจุบันก็ตาม…

  • “คร็อบเซอร์เคิล” ปรากฏการณ์วงธัญพืชล้มปริศนา ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว

    “คร็อบเซอร์เคิล” ปรากฏการณ์วงธัญพืชล้มปริศนา ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว

    เคยได้ยินเรื่องของตำนาน “คร็อบเซอร์เคิล” หรือวงธัญพืชกันไหม นี่คือเรื่องที่ว่ากันว่าเกิดขึ้นในทุ่งข้าวโพด (และทุ่งธัญพืชอีกหลายชนิด) ในหลากหลายประเทศทั่วโลก     โดยนี่เป็นเหตุการที่ผลผลิตในทุ่งธัญพืชล้มลงเป็นวงกลม ที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปเมื่อมองจากมุมสูง และมักจะถูกมองว่าเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว เชื่อกันว่าการที่พืชล้มในรูปแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1678 จากหลักฐานภาพวาดในสมัยนั้น แต่กว่าที่เหตุการณ์คร็อบเซอร์เคิลจะกลายเป็นที่โด่งดังขึ้นมา ก็เป็นในช่วงยุค 70 ที่อังกฤษ     เพราะในปี 1972 มีเหตุการณ์ชายสองคนลองซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ ในกรุงลอนดอน เพื่อดูแสงประหลาด ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าเป็น “ยูเอฟโอ” แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เห็นยูเอฟโอในวันนั้น แต่พวกเขาก็ได้พบกับคร็อบเซอร์เคิลที่เกิดขึ้นในทุ่งธัญพืชใกล้ๆ แทน และตั้งแต่วันนั้นมา ก็มีรายงานของการค้นพบในรูปแบบนี้เข้ามาเรื่อยๆ จากทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ก็มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นปรากฏออกมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากการล้มของต้นไม้นั้นเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน และในคร็อบเซอร์เคิล “ของจริง” ต้นพืชที่พบจะไม่หักแต่เพียงแค่ล้มลงเท่านั้น     ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนจึงเชื่อว่าการที่จะทำเช่นนี้ได้จำเป็นที่จะต้องใช้คลื่นไมโครเวฟเลยทีเดียว แถมเหตุการนี้ยังทำให้ต้นไม้ในคร็อบเซอร์เคิลโตเร็วกว่าต้นไม้รอบๆ พอสมควรเลยด้วย อีกหนึ่งในทฤษฎีที่เป็นไปได้ของคร็อบเซอร์เคิล เชื่อกันว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าจนพืชล้มลงไปอย่างที่เห็น     อย่างไรก็ตามเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคร็อบเซอร์เคิลอาจจะมาจากฝีมือของมนุษย์เอง เพราะในปี 2000 เอง ก็มีกลุ่มคนอังกฤษออกมาอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคร็อบเซอร์เคิลหลายๆ แห่งบนโลก…

  • โปแลนด์พบ กระดูกเด็กโบราณอายุราว 115,000 ปี เชื่อเคยถูกกินโดยนกยักษ์มาก่อน

    โปแลนด์พบ กระดูกเด็กโบราณอายุราว 115,000 ปี เชื่อเคยถูกกินโดยนกยักษ์มาก่อน

    ก่อนอื่นคงต้องอธิบายก่อนว่า ก่อนหน้านี้ร่างของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศโปแลนด์นั้น มีอายุอยู่ที่ราวๆ 50,000 ปี ซึ่งถือว่าค่อนมีอายุน้อยเมื่อเทียบกับการค้นพบในที่อื่นๆ นั่นทำการค้นพบกระดูกของเด็กที่มีความเก่าแก่ถึง 115,000 ปี ในถ้ำที่จังหวัดมาวอปอลสกา เมื่อไม่นานมานี้ กลายเป็นการค้นพบชิ้นส่วนของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไป     นี่เป็นการค้นพบกระดูกนิ้วมือของเด็กมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลเพศหญิงที่มีอายุราวๆ 5-7 ปี ซึ่งถูกค้นพบโดยมหาวิทยาลัย Jagiellonian และได้รับการตีพิมพ์ใน วารสารโบราณคดียุคเพลิโอะลีธอิค โดยนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้กล่าวเกี่ยวกับการค้นพบในครั้งนี้ว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญมาก เพราะมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เราทราบเกี่ยวกับมนุษย์โบราณในยุโรปไปเลยก็ได้ เพราะนอกจากจะเป็นกระดูกที่มีอายุเก่าแก่แล้ว นิ้วมือของเด็กที่พบยังหลุดออกมาจากร่างเจ้าของ การการถูกนกขนาดใหญ่ในสมัยนั้น กินเข้าไปอีกด้วย     นี่เป็นข้อสันนิษฐานที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้น จากการตรวบสอบนิ้วมือที่เหลืออยู่ไม่ถึง 1 เซนติเมตร และมีสภาพย่ำแย่มากจนไม่สามารถตรวจสอบ DNA ได้เลย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็พบกับร่องรอยการถูกย่อยโดยระบบย่อยอาหารของสัตว์ตระกูลนกบนนิ้วมือดังกล่าว จึงทำให้เป็นไปได้มากว่านิ้วมือนี้จะเคยถูกกินเข้าไปมาก่อน นี่อาจจะเกิดจากการโจมตีเด็กโดยตรงของนกในอดีต หรือมาจากการกินซากศพของเด็กหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วก็ได้     การค้นพบนิ้วมือในครั้งนี้ทำให้ทางโปแลนด์เชื่อเป็นอย่างมากว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบร่องรอยของมนุษย์โบราณเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ และหากเป็นไปได้ นักโบราณคดีก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบโครงกระดูกของมนุษย์ ในถ้ำที่มีการค้นพบนิ้วมือในครั้งนี้ต่อไป     ที่มา ancient-origins, newsweek, scienceinpoland

  • เปิดตำนานแห่ง “ไซเรน” ปีศาจแห่งปกรณัม ที่หลอกล่อนักเดินเรือไปสู่ความตาย

    เปิดตำนานแห่ง “ไซเรน” ปีศาจแห่งปกรณัม ที่หลอกล่อนักเดินเรือไปสู่ความตาย

    เคยได้ยินเรื่องของปีศาจในเทพปกรณัมกรีกที่คอยใช้เสียงของมันหลอกล่อเหล่านักเดินเรือไปสู่ความตายของตัวเองไหม?     มันคือ “ไซเรน” ปีศาจที่มีรูปร่างราวกับเป็นผลของการผสมพันธุ์อันผิดพลาดระหว่าง คนกับ ปลา หรือนกไม่มีผิด เพราะแม้ว่าพวกมันจะมีรูปร่างที่สวยและเสียงอันไพเราะ แต่กลับเป็นสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลไปเสีย ว่ากันว่าหากได้ยินเสียงของไซเรน ผู้ฟังจะตกอยู่ในภาวะไร้สติ จนเป็นเหตุผลให้นักเดินเรือหลายรายเผลอนำเรือเข้าชนหินโสโครก จมน้ำ และถูกนำไปเป็นอาหารในที่สุด     ลักษณะของไซเรนแตกต่างกันไปในแต่ล่ะตำนาน บ้างก็ว่าเป็นครึ่งคนครึ่งปลาคล้ายกับนางเงือก ในขณะที่บางตำนานก็บอกว่าเป็นครึ่งคนครึ่งนก หรือแม้กระทั่งในงานศิลปะที่มักวาดไซเรนออกมาเป็นหญิงงามธรรมดา อาจจะเพราะตำนานของไซเรนโผล่ออกมาในเทพปกรณัมหลายเรื่อง (โดยเรื่องที่โด่งดังที่สุดเชื่อกันว่ามาจากตำนานโอดิสซีย์) ทำให้ไซเรนในปกรณัมมีคำบรรยายและที่มาของไซเรนต่างกันออกไปแต่ละเรื่อง     นักเขียนบางคนบอกว่าไซเรนนั้นเป็นลูกสาวของฟอร์ซี่ส์เทพเจ้าแห่งทะเลลึก ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นลูกสาวของเทิร์ปซิคอเร หนึ่งในเก้าเทพธิดาผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่กวี แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดของไซเรนจะเป็นเช่นไร สุดท้ายไซเรนก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลที่คอยลากผู้ที่หลงใหลในเสียงของเธอไปสู่ความตายอยู่ดี ตามปกติแล้ว การจะหลีกหนีเสียงของไซเรนได้ มีแต่ต้องอุดหูไว้ เหมือนที่โอดิสซีอุสสั่งให้ลูกเรือของเขาทำ หรือไม่ก็หาเสียงเพลงที่ “ทรงพลังกว่า” มากลบ ดังเช่นที่ออร์ฟีอัสทำในตำนานของเจสันกับขนแกะทองคำ     ว่ากันว่าหากมีคนได้ฟังเพลงของไซเรนและรอดชีวิตไปได้ พวกไซเรนจะท้อแท้กับเรื่องที่เกิดขึ้น จนเก็บตัวไม่ออกไปรบกวนนักเดินเรืออีก และตายไปในที่สุดเลยด้วย เรื่องของไซเรนนั้นเป็นไปได้ว่าแต่งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้นักเดินเรือหลงหันหัวเรือจากเสียงที่ได้ยินในทะเลก็เป็นได้ หรือไม่ก็ทำอาจจะเป็นการแต่งขึ้นมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับการที่คนนำเรือไปชนโขดหินโสโครก     ซึ่งหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง การอุดหูและการเล่นเพลงของออร์ฟีอัส อาจจะเป็นตัวแทนของการหาอะไรมาตัดเสียงรบกวนรอบข้างในระหว่างการแล่นเรือก็เป็นได้   ที่มา ancient-origins, greekmythology, crystalinks

  • เปิดประวัติ “ทันตกรรม” ศาสตร์ที่ยืนยงคู่กับมนุษย์ และอยู่มานานกว่า 9,000 ปี

    เปิดประวัติ “ทันตกรรม” ศาสตร์ที่ยืนยงคู่กับมนุษย์ และอยู่มานานกว่า 9,000 ปี

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักหมอฟันกันเป็นอย่างดี แต่ทราบกันหรือไม่ว่า การทำฟันนั้น มันมีมานานกว่า 9,000 ปีเลยทีเดียว แถมการถอนฟันเฉยๆ ยังมีมาก่อนหน้านั้นอีกนานเลยด้วย     หลักฐานของการทำฟันในรูปแบบที่ควรเรียกว่าการทำฟันจริงๆ ที่มีความเก่าแก่ที่สุดนั้น ถูกค้นพบในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาลในปากีสถาน โดยเป็นการรักษาฟันด้วยระบบสว่านที่ทำจากไม้และสายธนู     นอกจากนี้เมื่อปี 2012 เองก็มีการขุดพบการอุดฟันด้วยขี้ผึ้งเมื่อ 6,500 ปีก่อนอีกด้วย ซึ่งแม้ว่าจะไม่อาจทราบได้ว่าการทำเช่นนี้ได้ผลจริงไหม แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยลดความเจ็บปวดได้มากแน่ๆ     ดูเหมือนว่าในสมัยก่อนคนจะคิดว่าอาการฟันผุนั้นเกิดจากสิ่งมีชีวิตจำพวกหนอน เนื่องจากรูที่เกิดจากการการฟันผุมักจะมีรู้ร่างคล้ายรูที่หนอนเจาะนั่นเอง     แต่หากจะพูดถึงสมัยที่การทำฟันแพร่หลายและพัฒนาไปอย่างไม่น่าเชื่อ ก็คงไม่พ้นในสมัยอียิปต์โบราณ เพราะจากบันทึกในกระดาษปาปิรุสจากเมื่อ 1,700 ปีก่อนคริสตกาล ที่อียิปต์มีการทำฟันมาตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลเลย แถมการทำฟันของอียิปต์โบราณยังไม่ได้มีแค่การถอนหรืออุดฟัน แต่ยังมีการใช้ยาเพื่อให้ถอนฟันง่ายขึ้น และมีการทำฟันปลอมด้วยฟันที่ได้รับบริจาคมาจากคนอื่นอีกด้วย     แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าการทำฟันปลอมของอียิปต์เป็นการทำฟันในขณะที่คนไข้ยังมีชีวิต หรือเป็นเพียงการทำฟันปลอมให้ศพเพื่อความสมบูรณ์สวยงามเท่านั้น แต่นี่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการทันตแพทย์เป็นอย่างดี เมื่อก่อนเองก็มีการทำทันตแพทย์เพื่อความสวยงามแทนกัน คล้ายกับการดัดฟันแฟนซีในสมัยนี้ โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งของการทำฟันรูปแบบนี้ อยู่ที่ชนเผ่ามายาที่มีการนำอัญมณีมาฝังเข้าไปในฟันนั่นเอง     น่าแปลกที่ในช่วงยุคกลางของทางยุโรปการทำฟันกลับถูกผลักไปเป็นงานของช่างตัดผมหรือหมอทั่วๆ ไปแทนที่จะเป็นทันตแพทย์โดยเฉพาะ และกว่าที่วงการทันตกรรมจะเริ่มคล้ายคลึงกับในปัจจุบัน…

  • “การลุกฮือของดาโคตา” สงครามชนพื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่การประหารชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    “การลุกฮือของดาโคตา” สงครามชนพื้นเมือง ซึ่งนำไปสู่การประหารชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    ในปี 1862 สหรัฐอเมริกา ต้องพบการการลุกฮือของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันจากเผ่าดาโคตาที่รัฐมินนิโซตา และนำไปสู่สงครามที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายรวมกันนับพัน     นี้เป็นสงครามที่ทางสหรัฐฯ บอกว่าเกิดจากการที่เผ่าดาโคตาบุกโจมตีประชาชนจำนวนมาก และนำไปสู่การประหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และการขับไล่ชนเผ่าดาโคตาออกไปจากมินนิโซตาในเวลาต่อมา แต่หากมองให้ลึกลงไปแล้ว สงครามครั้งนี้มีที่ไปที่มามากกว่าที่เราคิด เพราะเมื่อปี 1805 เผ่าดาโคตาเคยทำสนธิสัญญากับทางสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนพื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตร กับเงินและอาหารจากทางสหรัฐฯ     ปัญหาคือแทนที่พวกเขาจะได้รับเงินและอาหารตามสัญญา ทางสหรัฐฯ กลับเปลี่ยนเงื่อนไขของสัญญา และส่งเงินไปให้คนขาวในพื้นที่ซึ่งคอยขายสินค้าให้เผ่าดาโคตาแทน เผ่าดาโคตาจึงต้องอยู่แบบขาดแคลนทั้งพื้นที่ทำกินและอาหารที่จะช่วยประทังชีวิต ดังนั้นเมื่อเกิดโรคระบาดในพืชพันธุ์เมื่อปี 1861 เผ่าดาโคตาจึงตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     นั่นทำให้ในปี 1862 ชาวดาโคตา “ส่วนหนึ่ง” จึงตัดสินใจโจมตีคนขาวในพื้นที่ เป็นไปได้ว่าเพื่อขโมยอาหารและล้างแค้นทางสหรัฐฯ การต่อสู้เล็กๆ บานปลายไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบหลังจากนั้น และถึงแม้ว่าในที่สุดสหรัฐฯ จะกำราบเผ่าดาโคตาลงได้ แต่พวกเขาก็ต้องเสียประชาชนที่ไม่มีทางสู้ไปถึง 450-800 ราย นี่ไม่ใช่การกระทำที่คนในประเทศจะยอมรับได้ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น จึงต้องเข้าร่วมในการตัดสินโทษผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมสงครามชาวเผ่าดาโคตากว่า 300 คนหลังสงครามจบ ว่ากันว่ามันเป็นการตัดสินโทษที่ไม่มีทั้งทนายและพยานของฝ่ายดาโคตา จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลงความเห็นภายเดียวของทางสหรัฐอเมริกาเลยด้วยซ้ำ     ท้ายที่สุดแล้วชาวเผ่าดาโคตา…

  • ย้อนรอย “ปัญหาวายทูเค” เรื่องเล็กๆ ที่ เชื่อกันว่าทำให้ระบบคอม “พังลง” พร้อมกันทั้งโลก

    ย้อนรอย “ปัญหาวายทูเค” เรื่องเล็กๆ ที่ เชื่อกันว่าทำให้ระบบคอม “พังลง” พร้อมกันทั้งโลก

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ปัญหาวายทูเค” กันมาบ้าง มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบบันทึกข้อมูลของหลายๆ บริษัทในปี 2000 และทำให้เกิดปัญหายุ่งยากไปทั่วทั้งโลก ปัญหาวายทูเคมาจากตัวอักษรย่อ Y2K ที่มาจากคำว่า “Year 2 kilo” ซึ่งกิโลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงน้ำหนัก แต่เป็นหน่วยเลขของกรีก ดังนั้นวายทูเคจึงหมายถึง “ปี 2000” ตรงๆ เลยนั่นเอง     ปัญหาวายทูเคเกิดขึ้นจากการที่ระบบบันทึกข้อมูลส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจะบันทึกเลขปี ด้วยเลขเพียงสองหลักเช่นป 1995 จะถูกบันทึกด้วยเลข 95 เท่านั้น ซึ่งทำให้เมื่อถึงปี 2000 การใส่ตัวเลข 00 ลงในระบบ จะทำให้ระบบคิดว่าปีที่ใส่มาเป็นปี 1900 แทน แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่เอาเข้าจริงๆ อันตรายกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่แค่การจองตั๋วเดินทางจะมั่วไปหมดเท่านั้น แต่บันทึกหลายๆ อย่างทางประวัติศาสตร์จะเกิดการปะปนกันมั่วไปหมดจนอาจแยกไม่ออกเลยก็เป็นได้     ปัญหาวายทูเคมีโด่งดังขึ้นครั้งแรกในปี 1984-1985 จากการที่มีหนังสืออธิบายถึงปัญหานี้ไว้ออกวางจำหน่าย บวกกับการที่ในวันที่ 9 กันยายน 1999 มีคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าใจค่าตัวเลย 9999 ได้ ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมากว่าระบบคอมพิวเตอร์จะพังลงพร้อมกันทั้งโลกอยู่ช่วงหนึ่ง จนทำให้มีบริษัทจำนวนมากเลือกที่จะจ่ายเงินก้อนโตเพื่ออัปเดตระบบของตัวเองเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น  …

  • ชม “หน้ากากกะโหลกกวาง” 11,000 ปี หลักฐานความเชื่อของคนโบราณ ที่ผ่านมาหลายยุคสมัย

    ชม “หน้ากากกะโหลกกวาง” 11,000 ปี หลักฐานความเชื่อของคนโบราณ ที่ผ่านมาหลายยุคสมัย

    เมื่อพูดถึง “ความเชื่อ” ของชนเผ่าโบราณ ภาพในหัวของหลายๆ คนก็อาจจะเป็นคนป่าที่แต่งตัวแปลกๆ ใส่กะโหลกของสัตว์ไว้บนหน้า ว่าแต่เพื่อนๆ เคยเห็นกันไหมว่า “หน้ากาก” เหล่านั้นมันหน้าตาเป็นจริงๆ เป็นอย่างไร นี่คือหนึ่งในหน้ากาก จากยุคหินกลาง ที่มีอายุราวๆ 11,000 ปี ที่ถูกค้นพบในนอร์ทยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ     มันเป็นหน้ากากที่ทำจากกะโหลกกวาง จำนวน 33 ชิ้นที่ถูกพบพร้อมๆ เครื่องประดับ เครื่องมือ และอาวุธอีกเป็นจำนวนมาก เป็นไปได้ว่าในสมัยที่มนุษย์ยังอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วยความเชื่อและไสยศาสตร์ หน้ากากอันนี้จะถูกใช้ในพิธีกรรมของการล่าสัตว์เป็นหลัก     เพราะหากดูจากสิ่งที่พบพร้อมๆ กันแล้ว เชื่อกันว่านี่น่าจะเป็นเครื่องมือของกลุ่มนักล่ากลุ่มใหญ่พอสมควร นี่อาจจะเป็นหน้ากากที่ทำขึ้นจากความเชื่อที่ว่าการใส่หน้ากากที่ทำจากสัตว์จะช่วยให้คนสามารถ “พรางตัว” ไปกับเหยื่อในพื้นที่ได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็การใส่หน้ากากจะทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับ “จิตวิญญาณ” ของป่าก็เป็นได้     ไม่ว่าจะเป็นทางไหน การใช้หน้ากากในรูปแบบนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในการล่าสัตว์ของมนุษย์ไป และกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติของเหล่าชนเผ่าที่ถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกเป็นเวลานาน   ที่มา ancient-origins, haaretz

  • การสังหารหมู่ที่ชินชอน เมื่อสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าสังหารพลเรือนเป็นหมื่น ในสงครามเกาหลี

    การสังหารหมู่ที่ชินชอน เมื่อสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าสังหารพลเรือนเป็นหมื่น ในสงครามเกาหลี

    สงครามเกาหลีเอาเข้าจริงๆ เป็นสงครามที่มีคนรู้จักน้อยกว่าสงครามอื่นๆ ทั้งที่สงครามนี้เป็นสงครามที่มีเรื่องน่าสนใจมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะทราบว่าในสงครามครั้งนี้มี “ข่าว” ที่ว่าทหารสหรัฐฯ ลงมือสังหารพลเรือนชาวเกาหลีกว่า 35,000 รายด้วย     นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 70 ปีก่อน ในเหตุการณ์ที่ชื่อว่าการ “Sinchon Massacre” หรือการสังหารหมู่ที่ชินชอน เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม 1950 ไปจนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 1950 ในระหว่างสงครามเกาหลี แน่นอนว่านี่เป็นการกล่าวหาของฝั่งเกาหลีเหนือที่ในตอนนั้นกำลังต่อสู้กับทางเกาหลีใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ว่าการกล่าวหานี้จะเกิดขึ้นเพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น โดยจากคำกล่าวอ้างของทางเกาหลีเหนือ ในวันที่ 18 ตุลาคม ได้มีเครื่องบินเข้าจู่โจมพื้นที่ชินชอนจนทำให้มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 900 คน ตามด้วยการเข้าโจมตีประชาชนอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา     การกล่าวหาในครั้งนี้ทำให้เกิดแนวคิดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการปั้นน้ำเป็นตัวของฝั่งเกาหลีเหนือล้วนๆ หรือกระทั่งแท้จริงแล้วเกาหลีเหนือเป็นผู้ลงมือสังหารประชาชนเสียเอง แต่ในอีกมุมหนึ่ง ทางเกาหลีเหนือก็บอกว่าเมื่อปี 1952 มีกลุ่มทนายความ ผู้พิพากษา และอาจารย์ จากทั้งประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรีย อิตาลี เบลเยียม จีน โปแลนด์ และบราซิล ออกมาสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน…

  • เปิดเรื่องราวตำนานของ “แฮตเชปซุต” ฟาโรห์หญิงแห่งอียิปต์ ที่มักถูกหลงลืมโดยผู้คน

    เปิดเรื่องราวตำนานของ “แฮตเชปซุต” ฟาโรห์หญิงแห่งอียิปต์ ที่มักถูกหลงลืมโดยผู้คน

    ในปี 1903 เคยมีการค้นพบมัมมี่เพศหญิงร่างหนึ่งที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์อียิปต์เป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นเอง กลับไม่มีใครทราบเลยว่ามัมมี่ร่างนี้มีความสำคัญขนาดไหน     นั่นคือครั้งแรกที่มีการค้นพบร่างของ “แฮตเชปซุต” ฟาโรห์หญิงแห่งอียิปต์โบราณ ผู้ครองราชย์ในช่วง 1507-1458 ปีก่อนคริสตกาล และมีชื่อเสียงในฐานะฟาโรห์หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งอียิปต์ จริงอยู่ที่ว่าในอียิปต์โบราณมีอยู่หลายครั้งที่ผู้หญิงได้ครองอำนาจ แต่ฮัตเชปซุตคือผู้ที่ปกครองอียิปต์ให้เจริญรุ่งเรือง และยาวนานกว่าฟาโรห์หญิงคนอื่นมาก     เดิมทีแล้วฮัตเชปซุตแต่งงานกับฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 และต้องสำเร็จราชการแทนฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ซึ่งเป็นลูกชายต่างสายเลือด ไม่นานหลังจากที่ทุตโมสที่ 2 สิ้นพระชนม์ไป อย่างไรก็ตามในขณะรับบทบาทเป็นฟาโรห์จำเป็น ฮัตเชปซุตกลับได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากภายในประเทศ จนถึงขั้นที่ว่าแม้ทุตโมสที่ 3 จะโตพอที่จะขึ้นครองราชย์แล้ว ฮัตเชปซุตก็ยังคงรักษาสถานะฟาโรห์ของเธอเอาไว้ได้ นั่นทำให้ตลอด 21 ปีนั้นอียิปต์ได้อยู่ใต้การปกครองร่วมระหว่างฟาโรห์ทั้งสองนั่นเอง     เป็นไปได้ว่าที่ฮัตเชปซุตครองราชย์ได้นานขนาดนี้ อาจจะมาจากความสามารถในการชักจูงคนสูงก็เป็นได้ เพราะในภาพสลักจากสมัยโบราณ มีอยู่บ่อยครั้งที่มีการบันทึกว่า การครองราชย์ของเธอเป็นความต้องการของเทพ นอกจากนี้ในระหว่างการปกครองของเธอ ยังมีหลักฐานที่ว่าเธอนั้นปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่หลายครั้งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นที่มีหนวดเครา หรือบันทึกบางส่วนจากสมัยก่อน     นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียวเพราะในสมัยนั้นน่าจะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะแม้แต่รูปปั้นที่มีหนวดเคราของเธอ ก็ยังมีการทำส่วนเอวให้คล้ายกับผู้หญิงอยู่ด้วย ถึงอย่างนั้นฮัตเชปซุตก็ยังครองราชย์ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรนัก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปกครองของเธอเป็นอย่างดี     ฮัตเชปซุตได้สร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ หลายแห่ง…

  • นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน “ภาชนะประหลาด” จากยุคสำริด มีร่องรอยว่าเคยใส่ “ฝิ่น”

    นักวิทยาศาสตร์ยืนยัน “ภาชนะประหลาด” จากยุคสำริด มีร่องรอยว่าเคยใส่ “ฝิ่น”

    เมื่อหลายสิบปีก่อนได้มีการค้นพบภาชนะรูปร่างแปลกตาในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีอายุมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการค้าขายในช่วงยุคสำริดหรือ 1650-1350 ปีก่อนคริสตกาล     แต่ภาชนะไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าสนใจเพียงอย่างเดียวของการค้นพบในครั้งนี้ เพราะจากการวิจัยของประเทศอังกฤษ เจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในภาชนะเหล่านี้มาก่อนมันคือ “ฝิ่น” นั่นเอง นี่เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1960 จากความสงสัยในรูปร่างอันแปลกประหลาดของภาชนะที่ใส่ แต่กว่าที่เราจะหาหลักฐานมายืนยันทฤษฎีนี้ได้ก็เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น     เพราะจากการตรวจสอบของมหาวิทยาลัยยอร์ก นักวิทยาศาสตร์พบว่าภายในของภาชนะรูปร่างแปลกนี้เคยมีการบรรจุน้ำมันพืชซึ่งมีส่วนผสมของโอเปียม อัลคาลอยด์ ซึ่งพบในฝิ่นเอาไว้ ตามปกติโอเปียม อัลคาลอยด์มักถูกผสมในยาที่มีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรงอย่าง ยาแก้ปวด ยามอร์ฟีน และโคเดอีน จึงเป็นไปได้ว่าน้ำมันที่พบนี้อาจจะใช้ในการทาตามร่างกายเพื่อเป็นยา หรืออาจจะใช้เป็นน้ำหอม แต่ถึงจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ดีว่าทำไมภาชนะที่ใช้ใส่น้ำมันที่พบจึงจำเป็นต้องมีรูปร่างแปลกตาขนาดนั้น และมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าภาชนะที่พบเพียงแค่ถูกนำมาใส่น้ำมันหลังจากที่เคยใส่ฝิ่นเท่านั้น     อย่างไรก็ตาม Rebecca Stacey หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้อธิบายว่าตัวอย่างภาชนะที่นักวิทยาศาสตร์มีอยู่ไม่มาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลทดลองครั้งนี้อาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปจากสินค้าที่ใช้ขายจริงในสมัยนั้น แต่การที่พบร่องรอยของฝิ่นก็ทำให้เกิดข้ออภิปรายใหม่ๆ ที่น่าสนใจของภาชนะที่พบได้เป็นอย่างดีเช่นกัน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีหลักฐานการใช้ฝิ่นในสมัยก่อนของมนุษย์ด้วย เพราะหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้ฝิ่นสามารถย้อนไปได้ถึงในช่วง 6,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว     ที่มา livescience, independent, dailymail

  • พบมีดโบราณที่ทำจากกระดูก อายุกว่า 90,000 ปี เชื่อเก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน

    พบมีดโบราณที่ทำจากกระดูก อายุกว่า 90,000 ปี เชื่อเก่าแก่ที่สุดในวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน

    เมื่อพูดถึงยุคหิน เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึงเครื่องมือที่ทำจากหินขึ้นมาเป็นอย่างแรกตามชื่อยุค แต่เอาเข้าจริงๆ ในสมัยนั้น หินไม่ใช่สิ่งเดียวที่มนุษย์นำมาทำอาวุธหรอกนะ     เพราะนี่คือมีดโบราณที่ทำขึ้นจากกระดูก ที่มีการขุดพบที่ถ้ำ Dar es-Soltan 1 ในประเทศโมร็อกโก ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุราวๆ 90,000 ปี และนับว่าเก่าแก่กว่ามนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลถึง 40,000 ปี การค้นพบในครั้งนี้ทำให้เราทราบว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ในแอฟริกา มีการใช้กระดูกในการทำเครื่องมือมานานกว่าที่เราเคยคิด และเป็นการค้นพบเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดของวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน (Aterian) ในแอฟริกาเหนือด้วย โดย “อะทีเรียน” คือชื่อที่ใช้เรียกวัฒนธรรมอุตสาหกรรมเครื่องมือในตอนกลางของแอฟริกาเหนือ เชื่อกันว่าสูญหายไปแทบจะทั้งหมดเมื่อ 20,000 ปีก่อน   มีดจากกระดูกถูกค้นพบอยู่สามเล่ม โดยเล่มซ้ายเป็นเล่มที่เก่าแก่ที่สุด   ดูเหมือนว่ามนุษย์โบราณที่มีวัฒนธรรมแบบอะทีเรียน จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการตัดวัตถุที่ไม่แข็งมาก อย่างหนังสัตว์ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความคมมากกว่าพลังทำลาย โดยกระดูกที่ใช้ในการทำมีดเล่มนี้ จะมาจากส่วนซี่โครงของสัตว์ที่มีขนาดใกล้เคียงกับวัว และมักจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 13 เซนติเมตร     นอกจากมีดที่พบจะทำให้เราทราบถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีในหมู่มนุษย์โบราณที่แอฟริกาได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังแสดงให้เห็นถึงลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมแบบอะทีเรียนอีกด้วย เพราะมีดที่พบนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากมีดที่พบในทางซาฮาราแอฟริกาค่อนข้างมากเลยนั่นเอง     ในเบื้องต้นนักโบราณคดีหลายคนที่เชื่อว่าการปรากฏขึ้นของมีดที่พบ น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกิดมาจากความเปลี่ยนแปลงทางทรัพยากรในช่วง 90,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีต้องค้นหาหลักฐานกันต่อไป   ที่มา ancient-origins, sciencenews, dailymail

  • พบภาพสกัดหินจาก 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ที่อินเดีย เชื่อเป็นอารยธรรมที่ไม่เคยถูกพบ

    พบภาพสกัดหินจาก 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ที่อินเดีย เชื่อเป็นอารยธรรมที่ไม่เคยถูกพบ

    ว่ากันว่าภาพสกัดหินในสมัยก่อนมักจะบอกเล่าเรื่องราวในสมัยนั้นเอาไว้ ดังนั้นจากค้นพบภาพสกัดหินในสมัยก่อน จึงนับว่าเป็นการค้นพบหลังสำคัญอยู่เสมอ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มนุษย์เราได้พบกับภาพสลักหินที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูง โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย     มันเป็นภาพที่มีอายุอยู่ในช่วง 10,000 ปีก่อนคริสตกาล และมีการแสดงภาพของหลายๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ ป่า มนุษย์ นก หรือแม้กระทั่งรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งล้วนแต่ชี้ให้เห็นถึงอารยธรรมเก่าแก่ที่ไม่เคยมีการพบมาก่อน แต่สิ่งที่มีอยู่ในรูปภาพนั้นไม่ใช่สิ่งเดิมที่น่าสนใจของภาพที่มีการค้นพบ เพราะการที่ไม่มีภาพของการทำการเกษตรเลย ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานได้ว่า อารยธรรมทำภาพนี้ขึ้นน่าจะใช้ชีวิตอยู่กับการล่าสัตว์และเก็บของป่าเป็นหลัก     อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจของภาพดังกล่าวอยู่คือการมีสัตว์ ซึ่งไม่น่าจะมีอยู่ในพื้นที่อินเดียในอดีตอย่างแรดอยู่ด้วย ซึ่งนำไปสู่แนวคิดสองแบบ แนวคิดที่ว่าประกอบไปด้วยหินก้อนดังกล่าวอาจจะถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่อยู่เดิม หรือไม่ก็ในสมัยก่อนในอินเดียเคยมีแรดมาก่อน     แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้อาจจะทำให้เกิดคำถามมากมายกว่าคำตอบ แต่ก็ทำให้เหล่านักโบราณคดีทราบว่าที่อินเดียอาจจะเคยมีอารยธรรมเก่าแก่ซ่อนอยู่มากกว่าที่คิดก็เป็นได้ และจากสถานที่ที่มีการพบภาพในครั้งนี้ ยังทำให้พวกเขาเชื่ออีกว่าจะมีการพบภาพแบบนี้จากสมัยก่อนในอนาคตอันใกล้อีกเป็นจำนวนมาก     ที่มา allthatsinteresting, ancient-origins, smithsonianmag

  • ชม “มดแวมไพร์” อายุ 98 ล้านปีจากพม่า ที่เสียบร่างเหยื่อ ดูดเลือด และทำโลหะชีวภาพได้

    ชม “มดแวมไพร์” อายุ 98 ล้านปีจากพม่า ที่เสียบร่างเหยื่อ ดูดเลือด และทำโลหะชีวภาพได้

    ในโลกของเราเต็มไปด้วยความลึกลับอีกมาก นั่นทำให้บ่อยครั้งที่คนเราจะหวาดกลัวต่ออะไรที่ตัวเองไม่รู้จัก แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าในบางครั้ง สิ่งที่น่าหวาดกลัวแบบสุดๆ อาจจะเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันกว่าที่คิดก็เป็นได้     นี่คือ Linguamyrmex vladi มดสายพันธุ์โบราณที่ถูกพบอยู่ในอำพันที่พม่า และมีอายุกว่า 98 ล้านปี มันเป็นมดที่อยู่ในกลุ่ม Haidomyrmecines หรือที่รู้จักกันในฉายา “มดนรก” นั่นเอง มดนรกสายพันธุ์ที่พบไม่ได้น่ากลัวแค่เพียงชื่อเท่านั้น เพราะแทนที่จะมีขากรรไกรแนวนอนเหมือนมดทั่วๆ ไป มดสายพันธุ์นี้กลับมี “อวัยวะที่เคลื่อนไหวแนวตั้ง” ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนปากขนาดใหญ่และมีหนามแทน     โดยเจ้ามดสายพันธุ์นี้จะใช้อวัยวะดังกล่าวในการตะครุบเหยื่อ ก่อนที่จะปักส่วนปลายที่แหลมคมเข้าไปในร่างของเหยื่อเพื่อ “ดูดเลือด” ผ่านท่อเล็กๆ ที่อยู่บริเวณขากรรไกรล่าง ซึ่งทำหน้าที่คล้ายๆ กับปากยุง ความสามารถนี้ ทำให้ไม่แปลกเลยที่มดสายพันธุ์ใหม่นี้จะได้รับชื่อเล่นว่า “มดแวมไพร์” แต่นั่นยังไม่ใช่ความน่ากลัวทั้งหมดของมัน เพราะนอกจากการล่าที่น่าสยดสยองแล้ว เจ้ามดสายพันธุ์นี้ยังสามารถทำโลหะชีวภาพได้ด้วย     นี่เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทราบจากการเอกซเรย์มดสายพันธุ์นี้ และพบว่าพวกมันสามารถ “เสริมความแข็งแกร่ง” ของอวัยวะอย่างส่วนเขาของมันด้วยโลหะได้ เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นความสามารถในการแยกโลหะจากอาหารที่ทาน และย้ายมันไปรวมไว้ยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย อย่างเขาของมันเพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น     นับว่าโชคดีจริงๆ ที่มดสายพันธุ์ดังกล่าวสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ยุคครีเทเชียสแล้ว ไม่เช่นนั้นคำว่าเจ็บแค่เท่ามดกัด อาจจะมีความหมายเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากเลยทีเดียว  …

  • เชิญชมตำนาน Snallygaster สัตว์ร้ายแห่งรัฐแมริแลนด์ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยจัดทีมล่า

    เชิญชมตำนาน Snallygaster สัตว์ร้ายแห่งรัฐแมริแลนด์ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยจัดทีมล่า

    คิดว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์ร้ายในตำนานจากในสมัยก่อนกันมาบ้าง ว่าแต่เชื่อว่าคงมีไม่มากที่จะรู้จัก Snallygaster สัตว์ร้ายแห่งรัฐแมริแลนด์สหรัฐอเมริกา     นี่คือสัตว์ร้ายที่ว่ากันว่ามีรูปร่างคล้ายมังกร ที่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องเล่าเริ่มต้นขึ้นในหมู่คนเยอรมันซึ่งอพยพเข้าไปในสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 17 ชื่อของมันเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “schnelle geist” หรือ วิญญาณที่ว่องไว ในภาษาเยอรมันอีกที และกลายเป็นที่มาที่คนในสมัยนั้นจะแขวนตราหกเหลี่ยมฟาร์มเพื่อไล่มัน     เรื่องราวของ Snallygaster เปลี่ยนจากความเชื่อไร้มูลไปเป็นสัตว์ลึกลับแห่งรัฐแมริแลนด์จากการที่ในปี 1909 มีการลงข่าวการ “พบเห็น” ตัว Snallygaster ในหนังสือพิมพ์เมืองเฟรเดอริก แน่นอนว่าข่าวที่ออกมานั้นถูกเปิดเผยทีหลังว่าเป็นข่าวปลอม อย่างไรก็ตามในช่วงที่ข่าวนี้โผล่ออกมาก็ทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมาก     และที่สำคัญคือหนึ่งในคนที่เชื่อในข่าวนี้ ยังเป็น “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 26 อีกด้วย ความเชื่อในครั้งนี้ถึงขั้นที่ทำให้ประธานาธิบดีจัดตั้งหน่วยพรานออกล่า Snallygaster เลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ทางสถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาเองก็ได้มีการตั้งค่าหัวของสัตว์ตัวนี้ไว้สูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ     เป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้ว Snallygaster จะเป็นเรื่องเล่าที่มาจากตำนานของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันมากกว่า เพราะเจ้า Snallygaster นั้น มีลักษณะโดยรวมคล้ายกับภาพ Michi-Peshu หรือ “เสือใต้น้ำ” ของชนพื้นเมืองเลย แต่แม้ว่าความจริงของเจ้า Snallygaster จะเป็นอย่างไร…

  • อันตรายจากอดีต พบหนังสือจากยุคเรอเนซ็องส์ปนเปื้อน “สารหนู” ในห้องสมุดที่เดนมาร์ก

    อันตรายจากอดีต พบหนังสือจากยุคเรอเนซ็องส์ปนเปื้อน “สารหนู” ในห้องสมุดที่เดนมาร์ก

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องการค้นพบของจากสมัยก่อนที่มีอันตรายอยู่บ้าง บางครั้งมันก็อาจจะมาในรูปแบบของโรคร้ายที่แผงอยู่ในศพ หรือไม่ก็สารพิษตามสิ่งของต่างๆ และการค้นพบในครั้งนี้เองก็เป็นประเภทหลัง เพราะเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมานักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางตอนใต้ของเดนมาร์กได้พบกับหนังสือสามเล่มจากยุคเรอเนซ็องส์ที่มีการปนเปื้อนของ “สารหนู” เอาไว้     เดิมทีแล้วหนังสือทั้งสามเล่มนี้เป็นของที่ตกทอดมาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลานาน และมีกำหนดการจะถูกนำไปเอกซเรย์ เนื่องจากหนังสือในสมัยนั้น มักจะมีการนำกระดาษจากหนังสือในสมัยโบราณมารีไซเคิล     นั่นหมายความว่าหากตรวจสอบให้ดี ปกของหนังสือจากยุคเรอเนซ็องส์อาจจะมีชิ้นส่วนของหนังสือจากสมัยก่อนหน้าอย่างหนังสือกฎหมายโรมันติดอยู่ได้เลย อย่างไรก็ตามเช่นที่จะพบกับชิ้นส่วนของหนังสือจากสมัยก่อน การเอกซเรย์ในครั้งนี้กลับทำให้พวกเขาพบว่าหนังสือเหล่านี้มีสารหนูประกอบอยู่เป็นจำนวนมากแทน   ผลการรับสารหนูจากในหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี 1859   โชคดีที่นี่ไม่ใช่การวางยาพิษบนหนังสืออย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ เพราะสารหนูที่พบนั้น มาจากส่วนของหน้าปกที่เป็นสีเขียวเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้สารหนูเป็นส่วนผสมของสีเขียวนั้น มีให้เห็นมาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว เพราะในศตวรรษที่ 19 เองยังเคยมีความเชื่อที่บอกว่าสีวาดภาพ และสีย้อมผ้าที่ทำจากสารหนูนั้นปลอดภัย (ตราบใดที่ไม่ถูกกิน) เลยด้วยซ้ำ ทำให้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผลงานจากในอดีตมีการเจือปนของสารหนู     อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสารหนูเหล่านี้จะถูกทาลงใบในระหว่างการเก็บรักษาหนังสือในช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงหรือหนูมาทำลายหนังสือก็เป็นได้ ในเวลานี้หนังสือที่พบสารหนูทั้งสามเล่มได้ถูกนำไปเก็บแยกไว้จากหนังสืออื่นๆ เป็นที่เรียบร้อย และจะมีการตรวจสอบหนังสือที่เหลือในห้องสมุดกันต่อไป   ที่มา livescience, ancient-origins

  • นักวิทย์เผย โลงศพมัมมี่ 2,100 ปีที่เคยเชื่อว่าเป็น “เหยี่ยว” แท้จริงแล้วเป็นของ “เด็กทารก”

    นักวิทย์เผย โลงศพมัมมี่ 2,100 ปีที่เคยเชื่อว่าเป็น “เหยี่ยว” แท้จริงแล้วเป็นของ “เด็กทารก”

    ในปี 1925 ปีมัมมี่เก่าแก่ชิ้นหนึ่งถูกบริจาคมายังพิพิธภัณฑ์ Maidstone ในอังกฤษ มันเป็นโลงศพของมัมมี่ขนาดเล็กที่เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นของนกเหยี่ยวจากสมัยอียิปต์โบราณที่มีอายุราวๆ 2,100 ปี     แต่จากการศึกษาร่างของมัมมี่ที่พบอย่างละเอียดในปี 2018 นี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับเรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับมัมมี่ร่างนี้เข้าจนได้ เพราะเมื่อพวกเขาใช้เทคโนโลยีซีทีสแกนในการตรวจสอบร่างของมัมมี่ข้างในโลง โดยไม่จำเป็นต้องเปิดโลงออก และพบว่า สิ่งที่อยู่ในโลงศพดังกล่าว ไม่ใช่ “นกเหยี่ยว” แต่เป็น “ทารก” ของมนุษย์     นี่คือร่างของมัมมี่ทารกซึ่งคลอดออกมาตาย ที่คาดกันว่ามีอายุราวๆ 23-28 สัปดาห์ และได้รับการทำเป็นมัมมี่อย่างประณีต ราวกับว่ามัมมี่ที่พบมีความพิเศษกว่ามัมมี่ทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้ น่าจะมาจากการที่ทารกคนดังกล่าวมีร่องรอยการเป็นโรค “Anencephaly” หรือ “มนุษย์กบ” อันเป็นความพิการ ซึ่งทำให้ส่วนหัวของทารกมีลักษณะบิดเบี้ยวคล้ายนกหรือกบ     และรูปร่างอันบิดเบี้ยวนี้เองที่ทำให้ทารกคนนี้มีความพิเศษ เพราะการที่คนมีหัวเป็นนกทำให้เขามีรูปร่างคล้ายเทพในสายตาของคนอียิปต์โบราณ เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนมัมมี่ร่างนี้อาจถูกเชื่อว่ามีพลังอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตามเราไม่มีหลักฐานของคนที่พยายามใช้ “พลัง” ของมัมมี่ที่พบ หรือแม้กระทั่งสถานที่ซึ่งมัมมี่ร่างนี้ถูกฝัง     จริงอยู่ว่ามัมมี่ที่พบนั้นยังคงมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก แต่การที่ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่อยู่ในโลงศพไม่ใช่เหยี่ยวแต่เป็นทารก ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ ชิ้นหนึ่งอยู่ดี  …

  • นักวิทย์เผย โครงกระดูก “เอเลี่ยน” ในชิลี แท้จริงแล้วเป็นของมนุษย์ที่ “กลายพันธุ์”

    นักวิทย์เผย โครงกระดูก “เอเลี่ยน” ในชิลี แท้จริงแล้วเป็นของมนุษย์ที่ “กลายพันธุ์”

    ในปี 2003 ที่ La Noria เมืองร้างกลางทะเลทรายของชิลี เคยมีการขุดพบโครงกระดูกขนาด 15 เซนติเมตร ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับสิ่งที่คนเรารู้จักกันในฐานะ “เอเลี่ยน” มากๆ ร่างหนึ่ง     โครงกระดูกที่พบนี้ถูกเรียกว่า Ata และกลายเป็นที่โด่งดังไปในอินเตอร์เน็ตในฐานะของหลักฐานอย่างดีที่บอกว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง จนกลายเป็นที่ถกเถียงกันของสังคมออนไลน์มาเป็นเวลานาน แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง Ramón Navia-Osorio นักธุรกิจชาวสเปนผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกที่พบได้อนุญาตให้ทางแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าตรวจสอบโครงกระดูกของ Ata แล้ว     เดิมทีแล้วปี 2013 ทีมวิจัยในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเคยออกมาประกาศว่า Ata แท้จริงแล้วเป็นโครงกระดูกของมนุษย์มาก่อน อย่างไรก็ตามงานวิจัยในตอนนั้นไม่ได้มีคำอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างอันผิดปกติของโครงกระดูกที่พบ โชคดีที่ในการศึกษาโครงกระดูกในครั้งนี้ ได้มีการค้นพบความน่าจะเป็นที่ทำให้โครงกระดูกของ Ata มีความผิดแปลกเช่นนี้ โดยสาเหตุที่เป็นไปได้ที่สุดนั้น ถูกระบุไว้ว่าเป็น “การกลายพันธุ์” นั่นเอง     จากคำบอกเล่าของนักจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกัน Garry Nolan ดูเหมือนว่าตัว Ata จะมีการกลายพันธุ์ของยีนอย่างน้อย 7 ตัว ซึ่งทำให้กระดูกมีการผิดรูปไปจากที่ควรเป็น และทำให้กระดูกดูมีอายุขัยมากกว่าความเป็นจริง ว่าง่ายๆ ว่า Ata นั้นแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพียงเด็กทารกที่ตายหลังจากเกิดมาได้ไม่นานเท่านั้น     อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ใช่ว่าจะไม่มีข้อโต้แย้งเลย เพราะ Fowzan Alkuraya นักพันธุศาสตร์…

  • 5 วิธีการสืบสวนคดีสุดเก่าแก่ จากสมัยอียิปต์โบราณ มาดูกันว่าสมัยนั้นเขาสืบคดีกันอย่างไร

    5 วิธีการสืบสวนคดีสุดเก่าแก่ จากสมัยอียิปต์โบราณ มาดูกันว่าสมัยนั้นเขาสืบคดีกันอย่างไร

    ว่ากันว่าในอดีตการสืบสวนคดีทำได้ลำบากกว่าในสมัยนี้มาก เพราะในอดีตนั้นมีเทคโนโลยีที่จะช่วยในการสืบสวนอยู่น้อยทำให้การสืบสวนในหลายๆ ครั้งเป็นไปได้อย่างยากลำบากเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นเคยสงสัยกันไหมว่าในสมัยก่อนเรามีการสืบสวนคดีกันแบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมเก่าแก่อย่างอียิปต์แล้วด้วย เพราะวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 วิธีการสืบสวนคดีสุดเก่าแก่ จากสมัยอียิปต์โบราณกัน   พวกเขาใช้ “ลิง” ในการจับคนร้าย ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนคนเราก็จะมีการฝึกสัตว์ในการช่วยจับคนร้าย แต่ในสมัยอียิปต์โบราณอาจจะแปลกกว่าที่อื่นสักหน่อย เพราะที่นี่เขาใช้ลิงจับโจรกัน ที่จริงแล้วในสมัยนี้มีการใช้สัตว์หลากหลายชนิดในการจับคนร้าย ดังนั้นลิงจึงไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่พวกเขาใช้ เพราะสัตว์อย่างสุนัขที่พวกเราคุ้นเคยกัน ก็มีหลักฐานการใช้งานปรากฏอยู่ในสมัยอียิปต์โบราณเช่นกัน   การ “ไม่แจ้งความ” นับว่ามีโทษ เพราะในสมัยก่อนการสืบสวนคดีไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งคดีเลยหายไปโดยไม่มีการสืบด้วยซ้ำ นั่นทำให้ทางอียิปต์ออกกฎหมายให้ในกรณีที่มีการพบคดีแต่ไม่มีการแจ้งความ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจะโดนลงโทษอย่างหนัก ว่ากันว่ากฎหมายนี้รุนแรงถึงขั้นที่ว่าลูกน้องของโจรปล้นสุสานแจ้งจับหัวหน้าตัวเองเพราะกลัวโดนลงโทษเลยทีเดียว   คนร้าย (และพยาน) จะถูกโบยจนกว่าจะสารภาพ เอาเข้าจริงๆ นี่เป็นวิธีการสืบสวนที่ใช้งานในหลายยุคสมัยมากไม่ใช่แค่ในอียิปต์โบราณ แถมบางครั้งมันไม่ได้จบอยู่แค่การโบยคนร้ายด้วย เพราะหากพยานให้การเข้าข้างคนร้าย พวกเขาก็จะถูกโบยเช่นกัน นั่นทำให้คนที่ต้องขึ้นศาลในสมัยก่อนเกือบทั้งหมดมักจะถูกตัดสินว่ามีความผิด เนื่องจากในสมัยนั้นการสารภาพจะถูกนับว่าเป็นหลักฐานไปในตัวด้วยเลยนั่นเอง   พยานจะต้องบอกว่าจะให้ศาลลงโทษอย่างไรหากพวกเขาโกหก การเป็นพยานในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย แถมในสมัยนั้นยังมีบทลงโทษในการให้การเท็จที่ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มการสืบสวนศาลจะให้พยานสาบานว่าจะพูดความจริง และระบุไว้ว่าหากคำที่พูดออกมาเป็นการโกหกจะให้ศาลลงโทษอย่างไร เช่น “หากฉันพูดโกหก ฉันจะยอมโดนตัดขา” เป็นต้น ระดับของโทษที่เป็นที่ยอมรับจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของคดี และหากคำให้การถูกตัดสินออกมาว่าเป็นเท็จแล้วละก็…

  • 21 ภาพศิลปะในสมัยก่อน ที่ถูกนำมาตกแต่งให้มีความฮาร่วมสมัย ขำได้แม้ไม่รู้จักภาพมาก่อน

    21 ภาพศิลปะในสมัยก่อน ที่ถูกนำมาตกแต่งให้มีความฮาร่วมสมัย ขำได้แม้ไม่รู้จักภาพมาก่อน

    ว่ากันว่างานศิลปะในสมัยก่อนจะมีเสน่ห์ในแบบของมันอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้ว่าคนทุกคนจะเข้าถึงเสน่ห์ที่ว่าได้ บางครั้งอาจจะเพราะความแตกต่างทางยุคสมัย ทำให้ภาพเก่าๆ นั้นไม่เหลือเสน่ห์ในสายตาคนสมัยใหม่อีกต่อไป แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเอาภาพเก่าๆ มาทำเป็นมีมให้คนเข้าถึงกันง่ายขึ้นล่ะ ไม่แน่นะว่าคนเราอาจจะเข้าถึงภาพง่ายขึ้นก็เป็นได้ ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้สิ   เริ่มจากมีมสุดฮิต อย่าคิดนอกใจ   ไหนๆ ก็โกนคิ้วแล้วเจาะจมูกด้วยจะเป็นไรไป   วันหนาวๆ กับโมนาลิซ่า   สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น   เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ   ปราชญ์ธรรมดาโลกไม่จำ   หยิบหูฟังทีไรเป็นแบบนี้ทุกที   ถ้าเป็นบ้านเราก็คงเป็นแอร์ล่ะนะ วันไหนร้อนๆ นี่แบบในภาพเลย   แบบว่าเงินหมดเลยมาทำงานพิเศษอ่ะนะ   ไม่ต้องถามนะว่าทำไมหุ่นเป็นแบบนี้   อยากเลี้ยงหมาบางครั้งก็ต้องทำใจ   เอาแบบนี้เลยเหรอหนู   นี่มัน Dr. Gregory House!!   ลอร์ดโวลเดอมอร์จะเอาดีด้านนี้แทนแล้วสินะ   ว่างๆ ก็ไปอยู่กับ Suicide Squad   ของแท้ต้องมีหูข้างเดียว (แวนโก๊ะตัดหูตัวเองไปข้างหนึ่ง)   นิ้วจิ้มลงแก้วแล้วลูก…

  • ย้อนรอย “จดหมายแอนแทรกซ์” การก่อการร้ายทางจดหมายที่ทำให้คนทั้งโลกหวาดกลัว

    ย้อนรอย “จดหมายแอนแทรกซ์” การก่อการร้ายทางจดหมายที่ทำให้คนทั้งโลกหวาดกลัว

    ในเดือนตุลาคมปี 2001 ในสมัยที่การส่งจดหมายที่เป็นกระดาษยังไม่ได้เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างในปัจจุบัน โลกก็ได้พบกับการก่อการร้ายแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนจนได้     นี่เป็นเรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นมาจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งในอเมริกาที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคแอนแทรกซ์ จนทำให้มีผู้ป่วยถูกส่งเข้าไปในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก นี่คือโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งสามารถพบได้ตามธรรมชาติในดิน และมักแพร่ระบาดในสัตว์กินพืช ซึ่งตามปกติแล้วจะติดต่อไปสู่คนจากการบริโภคเนื้อสัตว์ปรุงไม่สุก     อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเจ้าเชื้อโรคแอนแทรกซ์ ที่พบนั้นไม่ได้มาจากดินหรือเนื้อสัตว์ แต่เป็นจากจดหมายที่สำนักข่าวได้รับต่างหาก ดูเหมือนว่าจากการตรวจสอบของทาง FBI หนึ่งในจดหมายที่สำนักข่าวต้นเรื่องได้รับ จะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคแอนแทรกซ์ในปริมาณมาก เท่านั้นยังไม่พอเพราะจดหมายที่พบนั้นยังมีการส่งไปในสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง และมีการออกส่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หรือก็คือตั้งแต่ที่มีการก่อการร้ายที่ตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์นั่นเอง     นั่นทำให้ทางสหรัฐฯ ก็ได้ลงความเห็นว่านี่ต้องเป็นจดหมายที่ถูกส่งด้วยจุดประสงค์ในการก่อการร้ายอย่างแน่นอน จนทำให้ทางสหรัฐฯ ต้องออกระบบป้องกันการโจมตีทางเคมีในประเทศใหม่อีกครั้งเลยทีเดียว ตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้นทางสหรัฐฯ ได้พยายามตามหาคนที่ส่งจดหมายเชื้อโรคเหล่านี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามมีผู้ต้องสงสัยเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตามตัวพบจากหลักฐานที่มี     เพราะว่าการสืบที่มาของจดหมายนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าที่คิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในสมัยนั้นการได้รับจดหมายจากคนที่ไม่รู้จักจึงกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับหลายๆ ประเทศไป นับว่าเป็นโชคดีมากที่หลังจากการโจมตีด้วยจดหมายแอนแทรกซ์กลายเป็นเรื่องหวาดกลัวของคนในโลกได้ไม่นาน เทคโนโลยีก็เปลี่ยนการส่งจดหมายที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงในอดีต เป็นระบบ E-mail อย่างในปัจจุบันพอดี และนั่นก็เป็นการปิดฉากการก่อการร้ายด้วยจดหมายที่หลายๆ คนหวาดกลัวลงไปพร้อมๆ กัน   ที่มา history, cnn

  • 5 เรื่องราวสุดเหลือเชื่อ เกี่ยวกับ “ไสยศาสตร์และความเชื่อ” ของพรรคนาซีในอดีต

    5 เรื่องราวสุดเหลือเชื่อ เกี่ยวกับ “ไสยศาสตร์และความเชื่อ” ของพรรคนาซีในอดีต

    เราอาจจะทราบกันดีว่าในสมัยสงครามนาซีนั้นแทบจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ พวกเขาทำการทดลองกับมนุษย์ แถมยังมีการให้เด็กๆ ไปเข้าร่วมสงคราม ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าในบรรดาสิ่งที่นาซีทำ มันเคยมีสิ่งที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์และความเชื่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านโหราศาสตร์ พลังจิต หรือแม้กระทั่งศาสนาเลยทีเดียว และนี่คือตัวอย่างบางส่วนของเรื่องเหล่านี้   พวกนาซีจ้างผู้มีพลังจิตเพื่อหาเบนิโต มุสโสลินี เอาเข้าจริงๆ ฮิตเลอร์ เคยแบนการใช้งานคนมี “พลังจิต” มาก่อน แต่หลังจากมุสโสลินีโดนจับ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผู้นำหน่วย SS ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาตัวมุสโสลินีให้เจอ แรกๆ ก็เป็นการใช้หน่วยข่าวกรองตามหาตามปกติอยู่หรอก แต่หลังจากที่หาไม่เจอเสียทีฮิมม์เลอร์ก็ตัดสินใจติดต่อ “ผู้มีพลังลึกลับ” ที่ตัวเองเคยจับมาก่อนให้มาช่วยตามหามุสโสลินีโดยแลกกับอิสรภาพ จริงอยู่ว่านี่ดูจะเป็นแผนการที่ดูงมงายและสุดท้ายทางนาซีสามารถหาตัวมุสโสลินีได้เอง แต่ฮิมม์เลอร์ก็แอบเก็บผู้ที่ทายตำแหน่งของมุสโสลินีได้ถูกต้องเอาไว้หลังจากนั้นอยู่ดี โดยอ้างว่าพลังลึกลับนี่ล่ะที่จะทำให้เขาชนะสงคราม   พลตรีของนาซีเคยทำให้ฮิมม์เลอร์เชื่อว่าพระเยซูเป็นชาวเยอรมัน นี่เป็นแนวคิดสุดบ้าคลั่งของ Karl Wiligut ผู้ซึ่งบอกว่าชาวเยอรมันมีอยู่มาตั้งแต่ 228,000 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยที่ยังมีดวงอาทิตย์สามดวง และบนโลกยังมียักษ์กับคนแคระ น่าแปลกที่มีคนเชื่อนายคนนี้มากกว่าที่คิด เพราะแม้แต่ฮิมม์เลอร์หนึ่งในผู้นำพรรคนาซีก็เชื่อในตัวเขา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเคยถึงขั้นที่อ้างว่าพระเยซูเป็นชาวเยอรมัน และมีชื่อจริงๆ ว่า Krist เท่านั้นยังไม่พอ Karl Wiligut ยังเคยได้รับสนับสนุนในการสร้างสิ่งก่อสร้างทางความเชื่ออย่าง “ปราสาทคาเมล็อต” ของเยอรมันด้วย   ฮิตเลอร์เคยจ้างคนมาหาชาวยิวด้วย…

  • ไขปริศนา “มัมมี่สาวในโลงเหล็ก” แห่งเมืองนิวยอร์ก แท้จริงแล้วเธอไม่ใช่เหยื่อคดีฆาตกรรม

    ไขปริศนา “มัมมี่สาวในโลงเหล็ก” แห่งเมืองนิวยอร์ก แท้จริงแล้วเธอไม่ใช่เหยื่อคดีฆาตกรรม

    ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2011 ได้มีการค้นพบมัมมี่ประหลาดในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และกลายเป็นปริศนาที่หลายๆ คนพยายามตามหากันว่าแท้จริงแล้วมัมมี่ที่พบ เป็นของใครและมาจากไหนกันแน่ นี่เป็นมัมมี่ของหญิงสาวผู้มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในโลงศพที่ทำจากเหล็ก ซึ่งเดิมทีแล้วดูสดใหม่มากจนทางตำรวจเชื่อกันว่า เธอน่าจะเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน     อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยของ Scott Warnasch นักโบราณคดีนิติเวชและทีมงาน ดูเหมือนว่ามัมมี่ที่พบนั้นจะมีอายุมากกว่าที่คิดมาก เพราะนี่ไม่ใช่เหยื่อของคดีฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งปี แต่เป็นร่างของหญิงสาวที่จากไปเมื่อกว่า 1 ศตวรรษก่อนต่างหาก “เธออาจจะดูเหมือนว่าเพิ่งตายไปได้ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วเธอจากไปเมื่อ 160 ปีก่อนต่างหาก” Warnasch กล่าว     ดูเหมือนว่าร่างของหญิงสาวจะถูกเก็บรักษาไว้ในโลงศพที่ปิดสนิทจนลมเข้าไม่ได้ตั้งแต่ในช่วงกลางยุค 1800 และนั่นทำให้สภาพของเธอกลายเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์มากจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างที่เห็น แต่สิ่งที่น่าสนใจของมัมมี่ร่างนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเก่าแก่เท่านั้น เพราะจากการตรวจสอบโดยละเอียดของนักโบราณคดี ก็มีการพบว่าในมัมมี่ที่พบนั้นมีร่องรอยของการเป็นโรคฝีดาษอยู่ด้วย     นั่นทำให้มัมมี่ร่างนี้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีของการศึกษาโรคในอดีตไป อีกทั้งการที่เธอเป็นโรคฝีดาษเองก็เป็นการอธิบายที่ดีเลยว่าทำไมเธอนั้นถึงถูกฝังไว้ในโลงศพเหล็กแบบนี้ เพราะผู้ที่ตายด้วยโรคร้ายในอดีตจะมักถูกฝังในโลงศพเหล็กแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดต่อของโรคจากศพสู่คนนั่นเอง   หน้าตาของมัมมี่ที่พบในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งวิเคราะห์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน   นอกจากนี้ทางทีมวิจัยได้ตรวจสอบประวัติคนตายในสมัยก่อนและพบว่ามัมมี่ที่พบนั้นน่าจะเป็นของ “Martha Peterson” หญิงสาวแอฟริกันอเมริกันวัย 26 ปี ที่เสียชีวิตไปในสมัยก่อนอีกด้วย นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เพียงแต่มัมมี่ร่างนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคฝีดาษในอดีต แต่มันยังอาจนำไปสู่การความรู้เรื่องการใช้ชีวิตของคนแอฟริกันอเมริกันในช่วงต้นศตวรรษที่…

  • เปิดประวัติ “ความผิดพลาด” เมื่อ 20 ก.พ. 1971 วันที่สหรัฐฯ โดน “นิวเคลียร์” ที่ไม่มีจริง

    เปิดประวัติ “ความผิดพลาด” เมื่อ 20 ก.พ. 1971 วันที่สหรัฐฯ โดน “นิวเคลียร์” ที่ไม่มีจริง

    เชื่อว่าตามในหนังหรือเกมเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องสัญญาณเตือนภัยอาวุธนิวเคลียร์กันมาบ้าง ว่าแต่ทราบกันไหมว่าเจ้าระบบที่ว่านี้เคยสร้างความแตกตื่นขนาดไหนไว้ให้กับโลกใบนี้     มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1971 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่จู่ๆ ก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นพร้อมๆ กันทั่วประเทศอย่างมีปริศนา ทำให้เกิดความแตกตื่นเป็นอย่างมากในสังคม นั่นเพราะสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น และสงครามเวียดนาม ทำให้ประชาชนหลายๆ คนหลงเชื่อไปว่า นี่อาจจะเป็นการเปิดฉากการโจมตีด้วย “อาวุธนิวเคลียร์” ของฝั่งคอมมิวนิสต์ก็เป็นได้   วิดีโอคลิปที่มีการบันทึกเสียงเตือนภัยดังกล่าว จากช่อง CONELRAD6401240    แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้คือระบบเตือนภัยแบบพิเศษที่เรียกกันว่า “Emergency Broadcast System” หรือ “EBS” ของทางสหรัฐฯ เองต่างหาก นี่เป็นระบบที่จะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังสื่อต่างๆ ทั่วประเทศภายในเวลาเพียง 10 นาที หากมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือ “เหตุร้าย” ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ ตามปกติระบบนี้จะมีการทดสอบทุกๆ วันเสาร์ อย่างไรก็ตามในวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 1971 ระบบดังกล่าวกับมีการส่ง “สัญญาณจริง” แทนที่จะเป็น “สัญญาณฝึกซ้อม” ออกมา จนเกิดความแตกตื่นในสังคมอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น     แต่ในความเป็นจริงประชาชนของสหรัฐฯ…

  • เปิดประวัติอันยาวนานของ “เซ็กส์ทอย” จากหินทรายสู่ซิลิโคน ตลอด 32,000 ปีที่ผ่านมา

    เปิดประวัติอันยาวนานของ “เซ็กส์ทอย” จากหินทรายสู่ซิลิโคน ตลอด 32,000 ปีที่ผ่านมา

    ในปัจจุบันเราอาจจะเห็นอุปกรณ์ที่ช่วยมอบความสุขในการ “ช่วยตัวเอง” หลากหลายรูปแบบ วางขายอยู่เกลื่อนตามอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น ดิลโด้ ไข่สั่น หรือเซ็กส์ทอยอื่นๆ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าไอ้เจ้าของแบบนี้ถือกำเนิดมายาวนานกว่าที่เราคิด แถมยังมีเซ็กส์ทอยที่หน้าตาแปลกๆ โผล่ออกมาในประวัติศาสตร์เต็มไปหมดเลยด้วย ว่ากันว่าเรื่องราวของเซ็กส์ทอยนั้นย้อนกลับไปได้ไกลถึงเมื่อ 32,000 ปีก่อน ที่มนุษย์เพศหญิงในยุคหินเก่า จะใช้หินทรายมาทำเป็นดิลโด้ (และใช้เป็นเครื่องมื่ออื่นๆ อย่างเช่นค้อน)     ต่อมาในช่วง 51 ปีก่อนคริสตกาล ก็มี “ข่าวลือ” ของคนโบราณที่บอกว่า คลีโอพัตราใช้ “เซ็กส์ทอย” ที่ทำมาจากการนำผึ้งไปใส่ไว้ในผลไม้จำพวกน้ำเต้าหรือกล่องกระดาษปาปิรุส (นึกภาพไวเบรเตอร์เข้าไว้) และตั้งแต่นั้น “เซ็กส์ทอย” ก็กลายเป็นของที่อยู่คู่กับมนุษย์เสมอมา และมีการพัฒนาความแปลกและการใช้งานขึ้นเรื่อยๆ ตามรสนิยมของคนละยุคสมัย อย่างในช่วงศตวรรษที่ 5 เองก็มีบันทึกของสาวเอเชียใช้งาน “Ben-wa balls” อุปกรณ์คล้ายลูกบอลที่ทำจากแร่เงินในการช่วยตัวเอง     อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเซ็กส์ทอยจะมาเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเอาในช่วงศตวรรษที่ 18-19 โดยในช่วงนี้เองมีบันทึกของนักเดินเรือที่ว่าพวกเขาจะนำ “แขนเสื้อยาง” ไปด้วยในการเดินเรือในระยะไกล (ซึ่งฟังจากชื่อก็คงไม่พ้น จ๋องกระปิ๋ม) และต่อมาอีกเล็กน้อยในยุควิกตอเรีย ก็มีการคิดค้น “เครื่องสั่นแบบใช้ไอน้ำ” ขึ้นมาจนได้ โดยเจ้าเซ็กส์ทอยชิ้นนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาอาการฮิสทีเรียดังนั้นหน้าตาก็จะดูไม่ค่อยเป็นมิตรมากนัก   “The…

  • 23 ภาพถ่ายสุดงามของ “อินเดียนแดง” นี่คือกลุ่มคนที่อาศัยในอเมริกามาก่อนชาวยุโรป

    23 ภาพถ่ายสุดงามของ “อินเดียนแดง” นี่คือกลุ่มคนที่อาศัยในอเมริกามาก่อนชาวยุโรป

    ชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่ออินเดียนแดง เป็นกลุ่มคนที่อาศัยในทวีปอเมริกามานาน ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามาตั้งรกราก อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกเขากลับค่อยๆ ลดลงไปอย่างน่าใจหาย นั่นทำให้ในปี 1906 J.P. Morgan ได้ตัดสินใจออกทุนให้กับ Edward Sheriff Curtis เพื่อไปเก็บภาพของอินเดียนแดงเอาไว้ด้วยความกลัวที่ว่าพวกเขาจะหายไป และนี่ คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากรูปภาพกว่า 40,000 ภาพของ Curtis ผู้ซึ่งใช้เวลากว่า 20 ปีคลุกคลีไปกันคนในชนเผ่าเหล่านี้   เริ่มกันจากภาพของผู้นำเผ่า Klamath ในรัฐออริกอนปี 1923   นักรบเผ่า Apsaroke บนหลังม้า 1908   หญิงสาวจากเผ่า Jicarrilla เมื่อราวๆ ปี 1910   สมาชิกเผ่า Navajo ในอาริโซน่า 1904   แม่ลูกจากเผ่า Apsaroke 1908   ผู้นำเผ่า Sioux 1905   สาวเผ่า Tewa กับทรงผมที่เรียกกันว่า “butterfly whorl”…

  • 5 คนร้ายจากอดีต ที่ไม่ว่าดูยังไงก็โดนจับเพราะ “ทำตัวเองแท้ๆ” ตำรวจแทบไม่ต้องสืบด้วยซ้ำ

    5 คนร้ายจากอดีต ที่ไม่ว่าดูยังไงก็โดนจับเพราะ “ทำตัวเองแท้ๆ” ตำรวจแทบไม่ต้องสืบด้วยซ้ำ

    ในหนังตลกเพื่อนๆ อาจจะเคยเห็นผู้ร้ายทำเรื่องที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่จนตัวเองโดนจับกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดว่าคนร้ายที่ทำอะไรแบบนี้มันจะไปมีอยู่จริงบนโลกได้อย่างไร แต่รู้หรือไม่ว่าไว้เรื่องแบบนี้มีจริงๆ เพราะมีคนร้ายหลายคนเลยที่ไม่ว่าดูยังไงก็โดนจับเพราะ “ทำตัวเองแท้ๆ” ไม่เชื่อก็ดูอย่างเรื่องราวของเหล่าผู้ร้าย 5 คนต่อไปนี้สิ   Anthony Garcia Garcia เป็นสมาชิกแก๊งมีชื่อในลอสแอนเจลิส ผู้ซึ่งออกปล้นสังหารร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะลอยนวลไปได้นานถึงสี่ปี แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรเจ้าตัวถึงได้สักภาพร้านเหล้าที่ตัวเองเคยไปปล้นไว้บนหน้าอกด้วยการสักถาวร นั่นทำให้ในตอนที่เขาโดนจับด้วยคดีเล็กๆ อย่างใบขับขี่หมดอายุ ตำรวจก็บังเอิญไปเห็นรอยสักของเขาเข้า จนทำให้ Garcia ต้องรับโทษในคดีที่เขาก่อในที่สุดนั่นเอง   Marque Moore Moore เป็นผู้ต้องหาของคดีขโมยรถจักรยาน ที่สามารถลอยนวลไปได้เป็นเวลานานมาก อาจจะเพราะนี่เป็นคดีที่ไม่ใหญ่เท่าคดีฆาตกรรม ก็ได้ แต่การจะทำเงินจากของที่ขโมยมา Moore จะต้องเอาจักรยานไปขายให้ได้ และเขาก็เลือกที่จะโฆษณาขายจักรยานในอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ปัญหาคือคนที่ไปเห็นจักรยานที่ Moore ขายเข้า ดันเป็นเจ้าของจักรยานเองเสียอย่างนั้น ทำให้เจ้าของจักรยานแจ้งเรื่องกับตำรวจ จนจับตัว Moore ได้ในที่สุด   Hannah Sabata เธอคือหญิงสาววัย 19 ปีผู้ถูกจับในข้อหาเกี่ยวกับการปล้นธนาคารในเท็กซัส เนื่องจากเธอโพสต์ข้อความและวิดีโอโอ้อวดว่าตัวเองไปปล้นธนาคารในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ตามปกตินี่คงถูกมองว่าเป็นการละเล่นเพ้อเจ้อของผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ปัญหาคือในวันที่เธอลงวิดีโอ ดันมีการปล้นธนาคารเกิดขึ้นจริงๆ แถมจากกล้องวงจรปิดตำรวจยังพบภาพของหญิงสาวที่เหมือนกับเธออีก นั่นทำให้นี่กลายเป็นเป็นคดีที่คนร้ายถูกจับด้วยหลักฐานที่คนร้ายเป็นคนนำไปโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตเองเลยก็ว่าได้ ฟังดูเหมือนเป็นการกระทำของคนไม่ปกติใช่ไหม? นั่นเพราะจากประวัติของเธอแล้ว Sabata เคยเข้ารักษาโรคทางจิตหลายครั้งในโรงพยาบาลมาแล้วนั่นเอง…

  • 5 การดัดแปลงสายพันธุ์สัตว์ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจริงบนโลก และไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นอาหาร

    5 การดัดแปลงสายพันธุ์สัตว์ของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจริงบนโลก และไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นอาหาร

    กลายเป็นเรื่องชินชาไปแล้วที่เมื่อพูดถึงการดัดแปลงพันธุกรรมหรือ “จีเอ็มโอ” แล้ว หลายๆ คนจะนึกถึงอาหารออกมาเป็นอย่างแรก อย่างการดัดแปลงสายพันธุ์หมูให้มีเนื้อแดงมากขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าบางครั้งมนุษย์ก็ทำการดัดแปลงสายพันธุ์สัตว์เพื่อเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ใช่การนำไปทำเป็นอาหารเช่นกัน เหมือนกับการดัดแปลงสายพันธุ์ต่อไปนี้   นักวิทยาศาสตร์แคนาดากำลังพยายามสร้างผึ้งที่ทนต่อโรคและอากาศหนาว ผึ้งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของแคนาดามาก ทั้งทางตรงอย่างน้ำผึ้งและทางอ้อมอย่างการผสมเกสรพืช อย่างไรก็ตามด้วยโรคในผึ้ง และอากาศโลกที่เปลี่ยนไป ปริมาณผึ้งในธรรมชาติของแคนาดาจึงกำลังลดลงอย่างน่าใจหาย นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาผึ้งของแคนาดาเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องน้ำเข้าผึ้งจากต่างประเทศก็เป็นได้   นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ พยายามสร้างลิงที่เป็นออทิสติกและโรคจิตเภท นี่อาจจะฟังดูเลวร้ายสำหรับหลายๆ คน อย่างไรก็ตามนี่เป็นหนทางในการศึกษาอาการทางจิตของมนุษย์โดยไม่ต้องทดลองกับมนุษย์จริงๆ นี่เป็นโครงการที่การทดลองส่วนใหญ่จัดขึ้นในประเทศจีน เนื่องจากหากทำในสหรัฐฯ ที่เป็นบ้านเกิดพวกเขาอาจจะต้องมีเรื่องกระทบกระทั่งกับกลุ่มปกป้องสิทธิสัตว์หลายครั้งเลยก็เป็นได้   นักวิทยาศาสตร์อินเดียสร้างด้วงที่มีสามตา นี่เป็นงานวิจัยที่ทำให้ด้วงมีตาที่สามงอกออกมาระหว่างตาทั้งสองดวง แถมยังใช้งานได้จริงอีกด้วย นี่เป็นการงอกอวัยวะใหม่แลกกับเขาที่เล็กลงหรือหายไป นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเพราะตามปกติการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายสิ่งมีชีวิตจะมาจากยีนหลายตัวมาก โดยการทดลองในครั้งนี้เชื่อกันว่าจะสามารถนำไปสู่การสร้างอวัยวะเทียมในห้องเล็บเลยก็เป็นได้   นักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนามได้สร้างม้าน้ำทองคำ นี่เป็นผลงานที่เกิดจากการผสมยีนของแมงกะพรุนกับทอง และฉีดให้กับไข่ของม้าน้ำ โดยการทำแบบนี้จะทำให้ม้าน้ำมีสีทองเป็นประกาย ซึ่งเชื่อกันว่าจะนำไปสู่การตัดแต่งสายพันธุ์ที่ดีขึ้นในอาหาร นอกจากนี้ทีมงานยังบอกด้วยว่าการทดลองนี้ยังอาจนำไปสู่การทดแทนยีนที่ไม่ดีของมนุษย์ด้วยยีนอื่นๆ ที่ดีกว่า และในปัจจุบันทีมของพวกเขาก็กำลังทดลองกับสัตว์อย่างหนู เพื่อคิดค้นอินซูลินรูปแบบใหม่ที่ช่วยรักษาโรคเบาหวาน   นักวิทยาศาสตร์จีนดัดแปลงหมูเป็นสัตว์เลี้ยง จริงอยู่ที่การดัดแปลงสายพันธุ์สุกรจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด แต่ทราบหรือไม่ว่าที่จีนมีการดัดแปลง “หมูจิ๋ว” เพื่อมาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งที่จริงที่จริงแล้วหมูจิ๋วเป็นหมูสายพันธุ์ที่มีอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องดัดแปลงพันธุกรรมด้วยซ้ำ แต่ที่มีการสร้างหมูจิ๋วขึ้นมา มันมาจากความบังเอิญล้วนๆ เพราะเดิมทีแล้วนี่เป็นการกระทำเพื่อสร้างหนูทดลองในงานวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดต่างหาก นั่นทำให้ทางทีมวิจัยวางแผนที่จะขายหมู่ที่ว่าในราคา…

  • พบสุสานโบราณอายุราว 2,200 ปี พร้อมรูปวาดบนผนังของ “คนใช้แก้ผ้าถือเหยือก”

    พบสุสานโบราณอายุราว 2,200 ปี พร้อมรูปวาดบนผนังของ “คนใช้แก้ผ้าถือเหยือก”

    เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีในประเทศอิตาลีได้ออกมาประกาศข่าวการค้นพบสุสานโบราณใน Cumae เมืองที่เชื่อกันว่าในอดีตเคยเป็นอาณานิคมแห่งแรกของกรีกในพื้นที่ของอิตาลี นี่เป็นสุสานโบราณที่ภายในประกอบด้วยเตียงสำหรับศพ 3 ตัว ประตูทางเข้าที่ในอดีตถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ และรูปวาดบนผนัง     จริงอยู่ว่าสุสานแห่งนี้จะมีร่องรอยของการถูกปล้นสุสานอยู่บ้าง แต่นักโบราณคดีก็ยังสามารถหาวัตถุโบราณที่ช่วยในการตามรอยที่มาของตัวสุสานได้จำนวนหนึ่ง นี่เป็นสุสานที่มีอายุราวๆ 2,200 ปีที่สร้างขึ้นในสมัยโรมันโบราณ 200-300 ปีก่อนคริสตกาล และน่าจะใช้ในการฝังผู้ที่มีฐานะพอสมควร อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสิ่งที่ได้รับความสนใจที่สุดในการค้นพบครั้งนี้จะเป็นตัวรูปวาดบนพนังมากกว่า โดยมันเป็นภาพของคนใช้หรือไม่ก็ทาสในร่างเปลือยที่กำลังถือเหยือกสีเงินและแจกันสำหรับไวน์อยู่     จริงอยู่ที่ว่าคนใช้ที่แก้ผ้าทำงานจะดูเป็นเรื่องที่แปลกในปัจจุบัน แต่ในยุคโรมันโบราณการแก้ผ้าเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างจะบ่อยเลยทีเดียว เพราะจากหลักฐานในอดีต แม้แต่กลาดิเอเตอร์หญิงก็มีการแก้ผ้าสู้ในโคลอสเซียมอยู่บ่อยๆ นักโบราณคดีเชื่อว่านี่น่าจะเป็นภาพที่วาดขึ้นในตอนที่สุสานสร้างเสร็จ อย่างไรก็ตามแนวการวาดภาพแบบนี้กลับดู “ล้าหลังมาก” เทียบกับสมัยที่มีการวาดขึ้น เพราะในช่วง 200-300 ปีก่อนคริสตกาล แทบจะไม่มีช่างภาพคนไหนแล้วที่วาดภาพในลักษณะนี้ เนื่องจากภาพอื่นๆ ที่มาจากยุคสมัยเดียวกันมักจะเป็นการวาดด้วยโทนสีแดงและสีขาวเป็นหลักเท่านั้น     อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่ถูกวาดอยู่บนกำแพงสุสาน เพราะจากร่องรอยความเสียหายของภาพ นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเดิมทีแล้วตัวภาพน่าจะถูกวาดยาวไปถึงกำแพงด้านข้างเลย นั่นทำให้นักโบราณคดีตั้งใจที่จะโยกย้ายภาพที่พบ พร้อมๆ กับชิ้นส่วนอื่นๆ ของภาพที่กระจัดกระจายอยู่ ออกมาจากสุสานก่อนเพื่อป้องกันการทรุดโทรมไปมากกว่านี้     และพวกเขาตั้งใจว่าจะทำการประกอบภาพขึ้นมาอีกครั้งจากชิ้นส่วนที่พบในภายหลังอีกด้วย ซึ่งนั่นหลายความว่าเราอาจจะได้เห็นรูปเต็มๆ ของภาพวาดบนกำแพงที่ว่านี้แบบเต็มๆ อีกครั้งในอนาคตนั่นเอง  …

  • “The Isolator” อุปกรณ์ดีๆ จากปี 1925 ที่จะช่วยตัดปัญหาเสียงรบกวนระหว่างทำงานให้คุณ

    “The Isolator” อุปกรณ์ดีๆ จากปี 1925 ที่จะช่วยตัดปัญหาเสียงรบกวนระหว่างทำงานให้คุณ

    ในชีวิตการทำงานร่วมกับคนอื่น (โดยเฉพาะในออฟฟิศ) เราอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งรบกวนอันไม่พึงประสงค์กันอยู่บ่อยๆ บางครั้งอาจจะมาจากเพื่อนร่วมงานที่พูดไม่หยุด หรือเสียงเครื่องใช้ต่างๆ รอบตัว จริงอยู่ว่าในปัจจุบันเราอาจจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยการใส่หูฟัง แต่ถ้ายุคสมัยที่คุณอยู่มันยังไม่มีหูฟัง หรือแค่อุดหูเฉยๆ สำหรับคุณมันยังไม่พอล่ะ จะทำอย่างไรดี ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้เอาอุปกรณ์ดีๆ สำหรับการแก้ปัญหาสิ่งรบกวนมาฝาก     เพราะนี่คือ “The Isolator” หรือหมวกปลีกวิเวก อุปกรณ์สุดเจ๋งจากปี 1925 ที่จะช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอก และช่วยให้คุณสามารถจดจ่ออยู่กับการทำงานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว นี่เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบโดย Hugo Gernsback นักเขียน บรรณาธิการ และนักประดิษฐ์ ผู้มีปัญหาเป็นอย่างมากกับสิ่งรบกวนรอบๆ ตัว     มันเป็นหมวกคลุมหน้าที่มีองค์ประกอบหลักทำจากไม้ และมีสรรพคุณที่ถูกอ้างโดย Gernsback ว่าจะตัดเสียงรบกวนได้มากถึง 95% นอกจากนี้ยังลดขอบเขตการมอง ทำให้ผู้ใส่มีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าเท่านั้นด้วย นอกจากนี้ The Isolator รุ่นที่วางจำหน่าย ยังมาพร้อมกับถังออกซิเจนที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคนใส่ง่วงนอนจากความมืด ความเงียบ และการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ในหมวกอีกด้วย     แม้ว่านี่อาจจะดูเป็นเรื่องน่าขำ แต่ The Isolator ก็ทำงานของมันได้อย่างดีเยี่ยม (อย่างน้อยๆ ก็สำหรับ Hugo Gernsback) และเชื่อเถอะว่าถ้าคุณเอามันมาใช้ในปัจจุบัน…

  • ชม 19 ภาพประวัติศาสตร์เยอรมนีบุกโปแลนด์ สงครามที่เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง

    ชม 19 ภาพประวัติศาสตร์เยอรมนีบุกโปแลนด์ สงครามที่เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง

    ในช่วงเดือนกันยายน 1939 ประเทศเยอรมนีที่นำโดยพรรคนาซี ได้ทำการบุกโจมตีประเทศโปแลนด์ และสามารถยึดครองประเทศโปแลนด์ได้ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือนนิดๆ อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ก็นับเป็นสงครามครั้งสำคัญ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองในฝั่งทวีปยุโรป และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้ร่วมรวมภาพของการบุกโจมตีประเทศโปแลนด์ในปี 1939 มาให้เพื่อนๆ ได้ชม ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงต้องให้ไปชมกันเอง ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันที่ภาพการลงนามสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนีกับโซเวียตในวันที่ 24 สิงหาคม 1939 เพื่อร่วมกันปกครองโปแลนด์   เมืองที่ยังไม่ถูกโจมตี มองจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันในปี 1939   เรือรบเยอรมันยิงถล่มสถานีขนส่งทหารของโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939   ทหารเยอรมันใน Westerplatte ท่าเรือของเมือง Danzig รัฐกึ่งอิสระของโปแลนด์หลังจากที่มีการยอมแพ้เมื่อวันที่ 7 กันยายน 1939   ภาพถ่ายทางอากาศของการทิ้งระเบิดในโปแลนด์ เมื่อเดือนกันยายน 1939   รถถังสองคันของเยอรมนี เคลื่อนผ่านแม่น้ำ Bzura ในเดือนกันยายน 1939   ทหารเยอรมันนั่งพักข้างถนนที่จะไปเมือง Pabianice ในปี 1939   ภาพหน่วยสำรวจของเยอรมันที่มีเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่ในฉากหลัง   การเคลื่อนพลของฝั่งนาซีในชานกรุงวอร์ซอ…

  • 5 เหล่าสรรพสัตว์ที่เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ จนได้เป็น “ฮีโร่” แห่งสงคราม

    5 เหล่าสรรพสัตว์ที่เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ จนได้เป็น “ฮีโร่” แห่งสงคราม

    การสงครามมักจะมาพร้อมกับวีรบุรุษ จริงอยู่ว่าวีรบุรุษส่วนมากนั้นมักจะเป็น “มนุษย์” ผู้ทำผลงานได้ดีในสงคราม ว่าแต่ทราบกันหรือมีว่าในบรรดาวีรบุรุษของสงครามนั้น ยังมีเหล่าผู้กล้าที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ด้วย พวกมันคือเหล่าสัตว์ที่เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับมนุษย์ และสามารถทำผลงานจนตัวเองเป็นที่จดจำ แม้ว่ามันจะไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม ดั่งเช่นเหล่าสรรพสัตว์ทั้ง 5 ตัวต่อไปนี้   สิบเอก Bill วีรบุรุษสายเลือดแคนาดาแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 Bill เป็นแพะที่ถูกทหารแคนาดาพาเข้าสงครามในฐานะมาสคอต แต่ไปๆ มาๆ กลับสร้างผลงานสุดเจ๋ง ด้วยการขวิดทหารอย่างน้อยๆ สามรายลงไปในสนามเพลาะในตอนที่มีการยิงปืนใหญ่ถล่ม จนทำให้พวกเขารอดตาย นั่นทำให้สิบเอก Bill ได้รับเหรียญรางวัลถึงสองชิ้นในปี 1914 และในตอนที่มันเสียชีวิต ร่างของมันก็ถูกเก็บรักษาไว้ในฐานะ วีรบุรุษแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกด้วย   Siwash เจ้าเป็ดทหารเรือ Siwash เป็นมาสคอตที่ทหารเรือคนหนึ่งได้มาจากการพนันโป๊กเกอร์ และเข้าร่วมสงครามที่ตาราวาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1943 โดยมันมีชื่อเสียงมาจากการต่อสู้มือเปล่า (หรือควรเรียกว่าปีกเปล่าดี) กับไก่ของฝั่งญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามหลังจากสงคราม Siwash ก็ได้ปลดประจำการไปอยู่ที่สวนสัตว์ Lincoln และมารู้กันทีหลังว่าจริงๆ แล้วมันเป็นตัวเมียอีกด้วย   สิบเอก Reckless ทหารผ่านศึกแห่งสงครามเกาหลี Reckless เดิมทีมีชื่อว่า Ah Chim Hai หรือ “เปลวเพลิงในรุ่งอรุณ” เป็นม้าที่ถูกเจ้าของขายให้ทหารอเมริกันเพื่อหาเงินรักษาน้องสาว มันรับหน้าที่ขนกระสุนในปี…

  • 6 ภาพถ่ายที่ดูเหมือนจะธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากกว่าที่คิด

    6 ภาพถ่ายที่ดูเหมือนจะธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับซ่อนเรื่องราวเอาไว้มากกว่าที่คิด

    ว่ากันว่าภาพถ่ายนั้นมีอยู่สองรูปแบบ ได้แก่ภาพถ่ายที่แค่มองก็รับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และภาพถ่ายที่เหมือนจะเป็นภาพธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีอะไรซ่อนอยู่กว่าที่เห็น ภาพถ่ายแบบหลังเป็นภาพถ่ายที่จะมีคุณค่า ก็ต่อเมื่อคุณรู้เบื้องหลังของมันเท่านั้น และในหลายๆ ครั้งเรื่องราวของภาพถ่ายที่ว่า ก็มักจะเป็นอะไรที่สะเทือนอารมณ์สุดๆ เสียด้วย เหมือนกับภาพถ่ายทั้ง 6 ภาพต่อไปนี้   ภาพบ้านใน Fredericksburg นี่อาจจะเป็นภาพที่ดูเหมือนกับเป็นบ้านธรรมดา แต่รู้หรือไม่ว่าในศตวรรษที่ 19 Fredericksburg เคยเป็นสนามรบของสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกามาก่อน และนั่นทำให้หลังจบสงครามที่แห่งนี้เคยมีศพกองอยู่เกลื่อนไปหมด ถ้าอย่างนั้นศพพวกนั้นหายไปไหนกัน? แน่นอนว่าหลังสงครามจะต้องมีการเก็บศพไปกำจัด ปัญหาคือเนื่องจากความรีบร้อนในการทำงาน ทหารสหภาพจึงเอาศพส่วนมากไปกองทิ้งไว้ในบ้านที่เมืองร้างเฉยๆ และเดินทัพออกไป ว่าง่ายๆ ว่าในตอนที่ตากล้องเดินทางไปถ่ายภาพนี้มา ภายในบ้านที่เห็นนั้นกำลังเต็มไปด้วยซากศพที่ย่อยสลายมาได้ราวๆ 2 ปีเลยนั่นเอง   ภาพถ่ายครอบครัว Lawson นี่เป็นภาพถ่ายครอบครัวที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดา เพราะ Charles ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว (คนด้านบนขวา) จ่ายเงินถ่ายภาพนี้ไว้เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะสังหารสมาชิกในครอบครัวเกือบทั้งหมดทิ้ง ดูเหมือนว่าเหตุจูงใจของเขาจะมาจากการที่เจ้าตัวหาเงินเลี้ยงดูที่บ้านไม่ไหว บวกกับการที่ Marie ลูกสาวของเขา (คนขวาบน) ท้อง จากการมีเพศสัมพันธ์ในครอบครัว (กับ Charles เองนั่นล่ะ) นั่นทำให้ในวันคริสต์มาสปี 1929 Charles ได้ใช้ปืนลูกซองสังหารคนในครอบครัวอย่างเลือดเย็น ก่อนจะฆ่าตัวตายในป่าใกล้ๆ ทิ้งเอาไว้เพียงลูกชายคนโต (ซ้ายบน) ที่ไม่อยู่ที่บ้านพอดีเท่านั้น  …

  • 4+1 เรื่องจริงที่หลายคนทราบในปัจจุบัน แต่กลับเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด”

    4+1 เรื่องจริงที่หลายคนทราบในปัจจุบัน แต่กลับเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด”

    ตั้งแต่ในอดีตโลกของเรามีทฤษฎีสมคบคิดมากมายออกมาให้เห็น หลายๆ ครั้งทฤษฎีเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ความหวาดระแวงไปเอง หรือไม่ก็การใส่ร้ายธรรมดาๆ แต่ถึงอย่างนั้น ในบางครั้งทฤษฎีที่ดูเหมือนจะไร้หลักฐานและไม่น่าเชื่อเหล่านั้น ก็ดันกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้เช่นกัน เหมือนกับ 4+1 เรื่องจริงที่หลายคนทราบในปัจจุบัน แต่กลับเคยถูกมองว่าเป็นเพียง “ทฤษฎีสมคบคิด” ต่อไปนี้   บุหรี่ทำให้คนเป็นมะเร็ง จริงอยู่ว่านี่เป็นเรื่องที่เราทราบกันเป็นอย่างดีในปัจจุบัน แต่ในสมัยก่อนมันไม่ใช่เลย เพราะในสมัยก่อนนั้นบุหรี่เคยถูกมองว่าดีต่อสุขภาพ ถึงขั้นที่มีการเอาหมอมาโฆษณาบุหรี่เลยทีเดียว เรื่องราวมันเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งแรกในยุค 50 ที่มีงานวิจัยว่าบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งออกมา อย่างไรก็ตามบริษัทบุหรี่ได้ (พยายาม) มองว่างานวิจัยนั้นเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น นั่นทำให้กว่าคนเราจะเชื่อในความน่ากลัวของบุหรี่จริงๆ มันก็หลังจากนั้นอีกนานเลย (วันงดสูบบุหรี่โลกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 1988)   สหรัฐฯ เคยวางแผนก่อการร้ายในประเทศตัวเอง นี่เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีมาตั้งแต่อดีต แต่ก็มักถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้อยู่เสมอ เพราะใครจะไปวางแผนทำร้ายประชาชนของตัวเอง แต่ปัญหาคือมันดันมีจริงๆ มาแล้วนี่สิ เพราะในสมัยก่อนในสหรัฐฯ เคยมีการ “วางแผน” ก่อการร้ายในประเทศตัวเองเพื่อใส่ความคิวบามาแล้วภายใต้ชื่อ Operation Northwoods นับว่าโชคดีมากที่ในสมัยนั้นประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้ปฏิเสธแผนการในครั้งนี้ไป แต่จากที่แผนการนี้รั่วออกมาก็ทำให้มีคนจำนวนมากไม่ไว้ใจรัฐบาลสหรัฐฯ อีกต่อไป และมองว่าการก่อการร้ายในประเทศหลายๆ อันหลังจากนั้น (เช่นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001) อาจจะเป็นแผนของรัฐบาลสหรัฐฯ…

  • 8 ฆาตกรในอดีตที่มีเหตุจูงใจในการลงมือสุดเพี้ยน เฮี้ยนจนนึกว่าเสียสติไปแล้ว

    8 ฆาตกรในอดีตที่มีเหตุจูงใจในการลงมือสุดเพี้ยน เฮี้ยนจนนึกว่าเสียสติไปแล้ว

    โดยมากแล้วการที่คนเราจะก่อคดีฆาตกรรมมักจะต้องมีเหตุจูงใจ บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับเห็นใจฆาตกรขึ้นมา ในขณะที่ฆาตกรอีกหลายคนอาจจะมีเหตุจูงใจที่ง่ายๆ อย่างความโลภและเงิน แต่ในโลกใบนี้เองก็ยังมีฆาตกรอีกประเภทหนึ่งที่มีเหตุจูงใจในการก่อคดีที่ประหลาดสุดๆ และนั่นคือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ กับ 8 ฆาตกรที่มีเหตุจูงใจสุดเพี้ยนราวกับเสียสติไปแล้วต่อไปนี้   Armin Meiwes เขาคือฆาตกรผู้ที่ใฝ่ฝันในการกินมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตอนที่เขาไปเห็นโฆษณาของชายคนหนึ่งที่บอกว่า “ช่วยกินฉันทั้งเป็นที” เขาจึงติดต่อไปหาชายคนนั้น มีเซ็กส์ด้วย ก่อนที่จะสังหารเขาแล้วกินเข้าไปอย่างสมใจอยากนั่นเอง   Richard Trenton Chase เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่อว่าตัวเองถูก “นาซี” วางยาที่จะทำให้เลือดของเขากลายเป็นผง เจ้าตัวก็เลยออกฆ่าคนเพื่อดื่มเลือดและกินเนื้อคน เพื่อเอาชีวิตรอด แถมยังบอกว่าตัวเองมี UFO ของนาซีบินตามด้วย   Richard Angelo เขาเป็นบุรุษพยาบาลที่วางยาคนไข้ของตัวเอง ทำให้พวกเขามีอาการโคม่า เพื่อที่จะ “ช่วยชีวิต” คนไข้ที่ตัวเองวางยา จะได้ดูเป็นฮีโร่ที่ที่มีฝีมือในสายตาเพื่อนร่วมงาน ปัญหาคือจากคนไข้อย่างน้อย 35 คนที่โดนเขาวางยา มีคนไข้ราวๆ 10 คนต้องเสียชีวิต เพราะการ “ช่วยเหลือ” ของเขาไม่ประสบความสำเร็จ   Robert Lyons เขาเป็นชายอายุ 39 ปี ที่ก่อเหตุฆาตกรรมมารดาของตัวเองในปี 2011…

  • พบฟอสซิล “Ledumahadi mafube” ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่เคยตัวใหญ่ที่สุดในโลก

    พบฟอสซิล “Ledumahadi mafube” ไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่เคยตัวใหญ่ที่สุดในโลก

    ตามปกติการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์ก็นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์สายพันธ์ุใหม่ที่เคยมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงต้องนับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าปกติเป็นธรรมดา เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวการค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์อายุราวๆ 200 ล้านปีจากยุคจูราสสิก ที่มีน้ำหนักถึง 12 ตัน และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น     ไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่ถูกพบนี้ถูกตั้งชื่อว่า “Ledumahadi mafube” ซึ่งมาจากภาษา Sesotho ภาษาท้องถิ่นที่พูดกันบริเวณที่มีการขุดพบฟอสซิลในแอฟริกาใต้ และมีความหมายว่า “ฟ้าผ่าใหญ่ในรุ่งอรุณ” Ledumahadi mafube เชื่อกันว่าเป็นสายพันธุ์ใกล้ชิดกับ Brontosaurus ไดโนเสาร์คอยาวที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายยุคจูราสสิค และทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของไดโนเสาร์เลยก็ว่าได้ โดย Ledumahadi mafube นั้นจากโครงสร้างทางกายภาพแล้วน่าจะเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์กลุ่ม sauropods ที่เป็นกลุ่มไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่     อย่างไรก็ตามไดโนเสาร์กลุ่ม sauropods มักจะเป็นไดโนเสาร์ที่เดินสี่ขา ผิดกับ Ledumahadi mafube สามารถยืนสองขาได้หากต้องการ และคาดว่าน่าจะวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่เดินสองขาอีกที ว่าง่ายๆ ว่าไดโนเสาร์สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงจากพันธุกรรม ทำให้มันกลายเป็นสายพันธุ์ที่ทรงคุณค่าในการศึกษาเป็นอย่างมาก     นอกจากนี้การที่ Ledumahadi mafube มีความใกล้เคียงทางพันธุกรรมกับไดโนเสาร์อื่นๆ ที่พบในอาร์เจนตินาทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อน ไดโนเสาร์สามารถเดินทางข้ามทวีปได้ นั่นหมายความว่าการมีอยู่ของ Ledumahadi mafube จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของทฤษฎีที่ว่าในสมัยก่อนทวีปต่างๆ ของโลกเคยอยู่ติดกันนั่นเอง     แม้ว่าในด้านขนาดตัว Ledumahadi…

  • 11 โฆษณาชวนเชื่อ ของสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่โน้มน้าวคนได้เป็นอย่างดี

    11 โฆษณาชวนเชื่อ ของสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่โน้มน้าวคนได้เป็นอย่างดี

    สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่ชาวสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีเหตุผลที่จะเข้าร่วมสงครามที่รุนแรงเหมือนกับสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทหารมากมายที่ตัดสินใจเดินทางไปรบที่ยุโรปเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าหนึ่งในเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากการที่สหรัฐอเมริกามีการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถโน้มน้าวใจคนจำนวนมากได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 11 ภาพโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกัน ไปดูกันว่าโฆษณาที่โน้มน้าวใจคนให้เข้าร่วมสงครามได้นั้น มันเป็นอย่างไรกัน   เริ่มกันจากโปสเตอร์ชื่อดังอย่าง  “ฉันต้องการคุณ!! สำหรับกองทัพสหรัฐฯ” โดย  James Montgomery Flagg   “เดินไปสู่ที่ของคุณ” ภาพโฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาในปี 1915   “ตื่นเถิดอเมริกา! อารยธรรมเรียกหาทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง หรือเด็ก” จากปี 1917 โดย  James Montgomery Flagg   “เกณฑ์ทหาร / คุณอยู่ฝั่งไหนของหน้าต่างกัน?” จากปี 1917 โดย Laura Brey   “คุณ!! ไปซื้อพันธบัตรเสรีภาพ ไม่งั้นฉันจะตาย” เมื่อปี 1917 โดย Charles Raymond Macauley   “ช่วยกาชาด” โดย Herman Roeg…

  • 16 ภาพสุดเสียดแทง ของเด็กๆ ที่ไปอยู่ใน “ด้านที่ไม่ดีเท่าไหร่” ของประวัติศาสตร์

    16 ภาพสุดเสียดแทง ของเด็กๆ ที่ไปอยู่ใน “ด้านที่ไม่ดีเท่าไหร่” ของประวัติศาสตร์

    ว่ากันว่าเด็กๆ ก็เหมือนผ้าขาวที่ผู้ใหญ่และสังคมจะแต่งเติมสีสันลงไปจนกลายเป็นตัวต้นของเขาในอนาคต นั่นทำให้เราสามารถเห็นเด็กๆ ถูกพาไปอยู่ได้ในทุกๆ ที่ที่พ่อแม่จะอยากให้ลูกเป็นในอนาคต จริงอยู่ที่ว่าโดยมากแล้วจะเป็นสถานที่ที่ดี แต่ในบางครั้งเด็กๆ ก็ถูกพาไปอยู่ในด้านที่ไม่ดีเท่าไหร่ของประวัติศาสตร์เช่นกัน เหมือนกับภาพเด็กๆ ต่อไปนี้   เด็กน้อยในชุด KKK (กลุ่มองค์กรเหยียดผิวของสหรัฐอเมริกา) ทักทายกับตำรวจที่เป็นคนผิวสี   เด็กๆ ที่ถือป้ายประท้วงให้กับโบสถ์ Westboro ที่รังเกียจพวกรักร่วมเพศ   เด็กชายผู้ถือป้ายเหยียดชนชาติในการประท้วงของ “กลุ่มน้ำชา” กลุ่มอนุรักษนิยมเชิงเสรีนิยมที่ต่อต้านโอบามา   ทหารเด็กของนาซีเยอรมนีหลังจากยอมจำนนมีนาคม 1945   เด็กๆ ในการประท้วงต่อต้านการแต่งงานเพศเดียวกันของฝรั่งเศส   เด็กๆ ที่เป็นพวกชุดดำ (Blackshirts) กองกำลังอาสาที่สนับสนุนระบบฟาสซิสต์ในอิตาลี   เด็กๆ บนรถของฝ่ายต่อต้านการรวมกลุ่มทางเชื้อชาติ (ว่าง่ายๆ ก็เหยียดชนชาตินั่นล่ะ)   เด็กๆ ถือป้ายประท้วงในการรวมตัวของกลุ่มน้ำชา   เด็กๆ ที่ค่ายฝึกของ Sons of Confederate Veterans ชูธง KKK   ฮิตเลอร์กับ Hitlerjugend กองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน   ทหารเด็กของเวียดกง  …

  • มีจริงหรือไม่ “Starlite” เทคโนโลยีปริศนาที่อ้างว่าทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียส

    มีจริงหรือไม่ “Starlite” เทคโนโลยีปริศนาที่อ้างว่าทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียส

    ถ้ามีคนมาบอกเรื่องวัสดุประหลาดที่ทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับว่าสามารถทนความร้อนของพื้นผิวดวงอาทิตย์ได้เพื่อนๆ จะเชื่อกันไหม เพราะนี่เป็นสรรพคุณของ Starlite พลาสติกพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดย Maurice Ward เมื่อปี 1986 นั่นเอง     Starlite นั่นนอกจากจะถูกอ้างโดย Maurice Ward ว่าทนความร้อนได้กว่า 10,000 องศาเซลเซียสแล้ว เจ้าตัวยังบอกว่าพลาสติกชนิดนี้ยังสามารถป้องกันนิวเคลียร์ได้อีกด้วย เรื่องแบบนี้แน่นอนว่ายอมเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นธรรมดา และนอกจากสรรพคุณของ Starlite จะดูเกินจริงแบบสุดๆ แล้ว ตัว Maurice Ward เองยังไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เป็นเพียงช่างตัดผมด้วย ปัญหาคือเมื่อทางรายการ Tomorrow’s World ของ BBC ลองเอา Starlite ไปทดลองจริงๆ เมื่อปี 1990 พวกเขากลับพบว่า Starlite นั้นสามารถป้องกันไข่จากไฟที่มีอุณหภูมิสูงถึง 1,200 องศาเซลเซียสได้จริงๆ และไม่ใช่แค่ว่าที่เปลือกไข่จะไม่มีรอยไหม้เท่านั้น แต่ไข่ข้างในเองก็ยังมีสภาพดิบเหมือนไม่ได้โดนความร้อนเลยด้วย   รายการ Tomorrow’s World ที่มีการทดลอง Starlite จากช่อง mauricewardstarlite  หลังจากการทดลองที่ BBC จบลงสถาบันอาวุธปรมาณูของอังกฤษหรือ “AWE” ก็เชิญตัว Maurice Ward ไปทำเพื่อจัดแสดงความสามารถของ Starlite…

  • เปิดเรื่องราว “ทิทูบา” จากทาสอินเดียนแดงสู่ “แม่มดร้าย” ผู้ให้ความร่วมมือแห่งซาเลม

    เปิดเรื่องราว “ทิทูบา” จากทาสอินเดียนแดงสู่ “แม่มดร้าย” ผู้ให้ความร่วมมือแห่งซาเลม

    “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ว่ากันว่าเป็นการล่าแม่มดที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหรัฐฯ ในอดีต โดยเป็นการกล่าวหาเด็กๆ ในหมู่บ้านว่าถูกปีศาจสิง และเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นแม่มด (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เปิด “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ตัวอย่างความเลวร้ายจากความเชื่อและการกล่าวหาผู้อื่น) แต่เพื่อนๆ รู้กันหรือไม่ว่าในบรรดาคนในหมู่บ้านที่โดนจับไปขัง ไม่ก็โดนประหารไปนั้น ยังมีทาสคนหนึ่งที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นทาส โดยอาศัยการล่าแม่มดที่ไม่เป็นธรรมครั้งนี้อยู่ด้วย     ชื่อของเธอคือ “ทิทูบา” หญิงสาวสายเลือดอินเดียนแดงที่เดินทางมายังบอสตัน ในฐานะทาสของ ซามูเอล ฟาริส นักธุรกิจที่ร่ำรวยและรัฐมนตรีของซาเลม เมื่อปี 1680 ทิทูบา รับหน้าที่ดูแลลูกสาววัยเก้าขวบของซามูเอลที่ชื่อ อลิซาเบธ แพร์ริส หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เบ็ตตี้” หนึ่งในสองเด็กสาวที่เป็นจุดเริ่มต้นของคดีล่าแม่มดแห่งซาเลมนั่นเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 1692 ในตอนที่เด็กๆ ในหมู่บ้านซึ่งเป็นเพื่อนของเบ็ตตี้ได้กล่าวหาว่าเธอและหญิงสาวอีกสามคนเป็นแม่มด โดยอ้างว่าเธออบ “เค้กแม่มด” ให้เบ็ตตี้ทาน     แต่แทนที่จะเอาความเจ็บแค้นไปลงกับเด็กๆ ทิทูบากลับมองเห็นการกล่าวหาในครั้งนี้ว่าเป็นโอกาส  ทำให้ในบรรดาผู้หญิงที่โดนสอบสวน มีเพียงทิทูบาเท่านั้นมียอมรับว่าตัวเองเป็นแม่มด “มีปีศาจมาหาฉันและความคุมให้ฉันทำงานให้” หญิงสาวกล่าว ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่สมจริงมากจนทุกคนเชื่อจริงๆ ว่าเธอเป็นแม่มด โดยอ้างว่าถ้าเธอไม่ทำตามที่ปีศาจ (ที่เป็นชายผมขาว) สั่งเธอจะต้องตาย หญิงสาวถึงกับอ้างชื่อของผู้ถูกกล่าวหาที่เหลือด้วย โดยบอกว่าเธอนั้นมี “หนังสือ” ที่ระบุชื่อของคนที่ร่วมมือกับปีศาจอยู่ จนชาวบ้านหวาดกลัวเป็นอย่างมากและถามหาแม่มดคนอื่นๆ…

  • พบภาพวาดยุคโรมันโบราณที่วาดขึ้นแบบ “การ์ตูนคอมมิค” และมี “กรอบคำพูด”

    พบภาพวาดยุคโรมันโบราณที่วาดขึ้นแบบ “การ์ตูนคอมมิค” และมี “กรอบคำพูด”

    เมื่อพูดถึงการ์ตูนที่เป็นภาพในปัจจุบันเชื่อว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คงไม่พ้น “มังงะ” ที่ใช้เรียกหนังสือการ์ตูนของฝั่งญี่ปุ่น หรือไม่ก็ “คอมมิค” ที่มักใช้สื่อถึงการ์ตูนของฝั่งตะวันตก แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนมาบอกว่าการ์ตูนในรูปแบบนี้มีมานานกว่าที่เราคิด เพราะล่าสุดนี้ได้มีการค้นพบภาพวาดโบราณที่มีลักษณะคล้ายการ์ตูนคอมมิคขึ้นมานั่นเอง     นี่เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่ถูกค้นพบในสุสานจากยุคโรมันโบราณ ที่ประเทศจอร์แดน ซึ่งเป็นภาพของเมือง Capitolias เมื่อราวๆ พันปีก่อน ในภาพดังกล่าวมีชาวเมืองนับร้อยใช้ชีวิตประจำวัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทพต่างๆ โดยเฉพาะ Dionysus เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และการเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ภาพที่พบในครั้งนี้มีความแตกต่างจากภาพที่เคยถูกพบมาก่อนหน้า กลับอยู่ที่รูปแบบของภาพวาดที่ออกมา เพราะนี่เป็นภาพวาดที่มีการเขียนตัวอักษบรรยายการกระทำของคนในภาพด้วยคำพูดของคนในภาพเอง     นี่เป็นเทคนิคที่คล้ายกับการใช้ “กรอบคำพูด” ที่พบกันบ่อยๆ ในปัจจุบัน โดยตัวอักษรที่ปรากฏในภาพจะเขียนด้วยตัวอักษรกรีก แต่อ่านด้วยภาษาท้องถิ่นของอราเมอิก “ข้อความที่จารึกไว้มีความคล้ายคลึงกับ กรอบคำพูดในการ์ตูนคอมมิคมาก” Jean-Baptiste Yon นักวิจัยของห้องวิจัยประวัติศาสตร์และโลกโบราณในฝรั่งเศส หรือ “HiSoMA” กล่าว เธอยังอธิบายต่อด้วยว่า พวกเขา (คนโบราณ) บรรยายการกระทำของคนในภาพวาด ด้วยข้อความที่เป็นการพูดของตัวละครเองเช่น “ฉันกำลังตัดหิน” หรือ “อนิจจา!! ฉันตายแน่!!” ซึ่งนับว่าแปลกมากในสมัยนั้น     แม้ว่าสุสานโรมันโบราณแห่งนี้จะมีการค้นพบมาตั้งแต่ช่วงปี 2016 แล้วแต่การค้นพบในครั้งนี้ก็อาจจะเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการศิลปะและวรรณกรรมเลยก็เป็นได้ ในเวลานี้ยังไม่มีข้อมูลอย่างระเอียดของการค้นพบทั้งหมดในสุสานโบราณแห่งนี้ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้วางกำหนดการเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาพบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง…

  • นักดำน้ำสำรวจซากเรือนักสำรวจอาร์ติกที่เคยสูญหายของ “แฟรงคลิน” พบวัตถุโบราณ 9 ชิ้น

    นักดำน้ำสำรวจซากเรือนักสำรวจอาร์ติกที่เคยสูญหายของ “แฟรงคลิน” พบวัตถุโบราณ 9 ชิ้น

    ว่ากันว่าใต้ท้องทะเลบนโลกของเราเต็มไปด้วยซากเรืออับปางจากหลากหลายยุคสมัย และภายในเรือเหล่านั้น ก็มีเรือจำนวนมากเช่นกันที่มีสมบัติ และบันทึกที่มีประวัติศาสตร์สำคัญในอดีตซ่อนเอาไว้เต็มไปหมด     HMS Erebus คือหนึ่งในซากเรืออับปางเหล่านั้น โดยนี่เป็นหนึ่งในเรือของคณะนักสำรวจแห่งราชนาวีอังกฤษ ที่เดินทางไปสำรวจทวีปอาร์กติกภายใต้การนำของ John Franklin ก่อนที่ทั้งคณะจะหายไปอย่างลึกลับเมื่อราวๆ 170 ปีก่อน และเรือ HMS Erebus ถูกพบอยู่ที่ก้นสมุทร ตลอดเวลาหลังจากที่เรือลำนี้ถูกพบว่าจมลงไปใต้ทะเลก็ได้มีการพยายามดำน้ำสำรวจเรือลำนี้อยู่หลายครั้ง นำมาซึ่งวัตถุโบราณมากมาย และล่าสุดนี้เองการดำน้ำสำรวจซากเรือ HMS Erebus ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง     ในครั้งนี้นักโบราณคดีก็ได้พบกับวัตถุโบราณเพิ่มเติมอีก 9 ชิ้นซึ่งหนึ่งในนั้นคือเหยือกเซรามิก และ Artificial Horizon หรือ “ขอบฟ้าจำลอง” อุปกรณ์ที่ใช้บอกว่าเรือเอียงหรือโคลงไปเท่าใดนั่นเอง     แต่นอกจากวัตถุโบราณที่มีการค้นพบแล้ว นักดำน้ำกลับไม่สามารถเข้าไปในห้องของ John Franklin เนื่องจากสภาพอากาศหนาวจัด ทำให้ไม่สามารถ เก็บกู้เอกสารหรือบันทึกการเดินเรือของ HMS Erebus ออกมาได้     นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะโบราณคดีหลายๆ คนเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าหากมีการพบบันทึกการเดินเรือ พวกเขาอาจจะไขปริศนาการหายตัวไปอย่างลึกลับของคณะสำรวจที่นำโดยนาย John Franklin ในสมัยก่อนก็เป็นได้   ที่มา livescience, brinkwire, theturtleislandnews

  • 11 คำพูดทำนายอนาคตในอดีต ที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว “พังสุดๆ” ผิดไปคนละโลก…

    11 คำพูดทำนายอนาคตในอดีต ที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว “พังสุดๆ” ผิดไปคนละโลก…

    ตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีความพยายามในการทำนายอนาคตออกมามากมาย บางครั้งคำพูดของพวกเขาก็อาจจะตรงมากอย่างน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายๆ คนที่ทำนายอนาคตได้ผิด ลองนึกภาพคุณไปบอกเพื่อนๆ ไว้ว่าหน้าอย่างคนนั้นคนนี้คงหาแฟนไม่ได้หรอกแล้ววันต่อมาคนที่ด่าก็ดันหาแฟนได้เสียอย่างนั้นสิ เชื่อว่าความรู้สึกมันก็คงประมาณนั้นล่ะ   “การเคลื่อนที่บนราง (รถไฟ) ด้วยความเร็วสูงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้โดยสารจะหายใจไม่ออกและตาย” Dr. Dionysy Larder ศาสตราจารย์ปรัชญาธรรมชาติและดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน เคยกล่าวไว้ ในปี 1800   “เจาะหาน้ำมัน? หมายถึงคุณจะเจาะดินหาน้ำมันเหรอ? บ้าไปแล้ว!!” สมาคมปฏิเสธความคิดในการเจาะหาน้ำมันของ Edwin Drake ในปี 1859   “โทรศัพท์มีข้อด้อยมากเกินไปที่จะเรียกว่าสื่อการสื่อสารจริงๆ” บันทึกภายในของสหภาพตะวันตก จากปี 1876   “ทุกๆ คนที่คุ้นเคยกับหัวข้อนี้จะบอกว่ามันจะล้มเหลวแน่นอน” Henry Morton ประธานสถาบันเทคโนโลยี Stevens กล่าวเกี่ยวกับหลอดไฟของ Edison ในปี 1880   “การบินด้วยเครื่องยนต์ที่หนักกว่าอากาศมันใช้งานไม่ได้จริง และไม่มีนัยสําคัญ ไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้ไปเลย” Simon Newcomb นักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์มีชื่อ กล่าวไว้ 18 เดือนก่อนสองพี่น้อง Wright จะบิน…

  • ล้มทฤษฎี!! สโตนเฮนจ์ไม่ได้สร้างขึ้นมาในปี 1954 ภาพที่เห็นเป็นการ “บูรณะ” ต่างหาก

    ล้มทฤษฎี!! สโตนเฮนจ์ไม่ได้สร้างขึ้นมาในปี 1954 ภาพที่เห็นเป็นการ “บูรณะ” ต่างหาก

    เนื่องจากช่วงนี้มีข่าวลือออกมาในโลกอินเตอร์เน็ตว่า แท้จริงแล้วสโตนเฮนจ์นั้นสร้างขึ้นมาในปี 1954 และมีการให้ภาพหลักฐานเป็นการก่อสร้างด้วยอุปกรณ์ทันสมัย ซึ่งแท้จริงแล้วมาจากการบูรณะสโตนเฮนจ์ในปี 1958 ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา เลยจะมาพูดถึงการ “บูรณะ” ของสโตนเฮนจ์กันเสียหน่อย   หนึ่งในรูปที่มีการถูกแอบอ้าง คาดว่าน่าจะมาจากการบูรณะในปี 1958   สโตนเฮนจ์เป็นอนุสรณ์สถาน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากแท่งหินขนาดยักษ์ และจากการตรวจสอบด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี ก็พบว่าก้อนหินชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดนั้นมีอายุมากถึง 2,400-2,200 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว อย่าว่าแต่ตัวสโตนเฮนจ์เองเลย เพราะแม้แต่ประวัติการบูรณะของสโตนเฮนจ์ก็มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 18 แล้ว เนื่องจากในปี 1797 มีก้อนหินก้อนหนึ่งตกลงมาจากที่ที่ควรจะเป็น ทำให้มีการพูดคุยถึงการบูรณะอนุสรณ์สถานแห่งนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตามกว่าจะมีการนำหินก้อนดังกล่าวกลับไปวางไว้ทีเดิมมันก็หลังจากนั้นอีกนานเลย   ภาพถ่ายของสโตนเฮนจ์ก่อนการบูรณะ จากปี 1877 จะสังเกตเห็นว่าก้อนหินหลายอันตกลงมาจากที่ที่ควร   การบูรณะครั้งใหญ่ของสโตนเฮนจ์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1901 และมีการพยายามบูรณะเพิ่มเติมอีกครั้งในปี 1920 อย่างไรก็ตาม ภาพงานบูรณะที่มีชื่อเสียง (และถูกนำไปแอบอ้าง) มากที่สุดคือภาพการบูรณะในปี 1958 นั่นเอง เพราะในการบูรณะเมื่อปี 1958 มีการนำก้อนหินขนาดใหญ่กลับไปวางในที่ที่มันตกลงมา และเป็นที่มาของรถเครนที่มีการอ้างถึงในภาพบ่อยๆ นั่นเอง   ภาพการบูรณะสโตนเฮนจ์ในหนังสือพิมพ์เมื่อปี 1920…

  • “กลุ่มอาการลาซารัส” อาการประหลาดที่ทำให้คนเรา “คืนชีพ” จากความตายได้เอง

    “กลุ่มอาการลาซารัส” อาการประหลาดที่ทำให้คนเรา “คืนชีพ” จากความตายได้เอง

    เคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ตายแล้วจู่ๆ กลับฟื้นขึ้นมาไหม จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านั้นอาจจะมีที่มาที่หลากหลาย แต่หนึ่งในเหตุผลของอาการเหล่านี้คือปรากฏการณ์ที่มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า “กลุ่มอาการลาซารัส” นั่นเอง     กลุ่มอาการลาซารัส หรือ Lazarus syndrome เป็นปรากฏการณ์ที่การไหลเวียนโลหิตกลับมาทำงานได้เอง หลังจากที่ความพยายามในการช่วยฟื้นคืนชีพ (ปั๊มหัวใจ) ล้มเหลว ว่าง่ายๆ ว่าผู้ป่วยจะมีภาวะหัวใจหยุดเต้น “เหมือนกับว่าตาย” อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งต่อให้มีการปั๊มหัวใจก็ไม่พื้น แต่ต่อมากลับ “คืนชีพ” ขึ้นมาได้เอง กลุ่มอาการลาซารัส ได้ชื่อมาจาก “นักบุญลาซารัส” ผู้ที่คืนชีพจากความตายด้วยพรของพระเยซู โดยตั้งแต่ปี 1982 มีการบันทึกปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ที่ราวๆ 25 เหตุการณ์ ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมาก     นั่นทำให้กลุ่มอาการลาซารัสยังไม่มีการทราบสาเหตุที่แน่ชัด บ้างก็ว่าอาจเกิดจากการที่แรงกดตอนปั๊มหัวใจทำให้มีแรงดันในช่องอกสูง ดังนั้นเมื่อหยุดปั๊มหัวใจเลือดจึงค่อยๆ เข้าไปในช่องอกมากขึ้น ทำให้หัวใจกลับมาเต้น นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่ากลุ่มอาการลาซารัสอาจจะเกิดขึ้นได้จากการออกฤทธิ์ที่ล่าช้าของยาที่ใช้ในการกู้ชีพเช่นอะดรีนาลีนก็เป็นได้ นอกจากนี้ก็ยังมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง หรือการได้รับยาเอพิเนฟรีนในปริมาณมากเป็นต้น     คนไข้ที่มีกลุ่มอาการลาซารัสและเป็นที่รู้จักได้แก่ชายวัย 66 ปี ที่หัวใจหยุดเต้นระหว่างผ่าตัดจนทีมแพทย์ลงความเห็นว่าตาย แต่กลับมามีชีวิตใน 10 นาทีหลังจากการลงความเห็น เมื่อปี 2001 และชายวัย…

  • 6 กระดูกและฟอสซิลในอดีต ที่จะตายทั้งที ก็ดันมาตายในตอนที่ไม่เท่สุดๆ เสียอย่างนั้น

    6 กระดูกและฟอสซิลในอดีต ที่จะตายทั้งที ก็ดันมาตายในตอนที่ไม่เท่สุดๆ เสียอย่างนั้น

    สิ่งมีชีวิตบนโลกไม่สามารถดูดีได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นคนส่วนมากก็มักจะอยากถูกจดจำในด้านดีๆ ของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้สำหรับทุกๆ คน เพราะความตายไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ดังนั้นในบางครั้งความตายก็จะมาเยือนเราในเวลาที่เราดูแย่ที่สุดก็เป็นได้ เหมือนกับเหล่าโครงกระดูกและฟอสซิลในประวัติศาสตร์เหล่านี้   ฟอสซิลแมงมุมขายาว นี่คือฟอสซิลของแมงมุมขายาวโบราณที่ว่ากันว่าเป็นบรรพบุรุษของแมงโหย่งที่ถูกค้นพบในประเทศพม่า อย่างไรก็ตามฟอสซิลชิ้นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ติ่งน้อยๆ (ที่มีความยาวครึ่งหนึ่งของขนาดลำตัว) ของเจ้าแมงมุมมากกว่า เพราะไม่ใช่แค่เจ้าแมงมุมตายกลายเป็นฟอสซิลในระหว่างที่กำลังแข็งตัวเท่านั้น แต่เจ้าตัวน้อยของมันยังแข็งตัวอยู่แบบนั้นมานานกว่า 99 ล้านปีเลยทีเดียว   การต่อสู้ของไดโนเสาร์ นี่เป็นฟอสซิลที่ถูกพบในปี 1971 โดยเป็นการล่าเหยื่อของ Velociraptor ที่กำลังพยายามจะปลิดชีพ Protoceratops อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ Velociraptor จะใช้เล็บแทงคอ Protoceratops เหยื่อของมันกลับเอาคืนด้วยการหักแขนขวาของ Velociraptor เสียก่อนทำให้ผู้ล่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบกว่าที่คิด ปัญหาคือก่อนที่ผลการต่อสู้จะออกมาทั้งคู่ก็ต้องตายไปเสียก่อนจากคลื่นทราย และกลายเป็นฟอสซิลอย่างที่เราเห็นไป ซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ท่าทางของ Velociraptor มันไม่เหลือความน่าเกรงขามเลยสักนิด   ฟอสซิลเห็บติดใยแมงมุม คิดว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ดีเท่าไหร่หรือเปล่า มองมาดูเห็บตัวนี้กันดีกว่า เพราะนี่คือเห็บอายุ 99 ล้านปีที่โชคร้ายไปติดอยู่ในใยแมงมุม และในขณะที่มันกำลังพยายามจะออกจากใยอยู่นี่เอง มันก็โดนยางไม้เขาซ้ำจนกลายเป็นอำพันสุดงามอย่างที่เห็น   การปะทะกันของกวางมูซ นี่เป็นการต่อสู้คล้ายๆ กรณีของไดโนเสาร์ด้านบน มันเป็นการพุ่งเขาชนกันเพื่อต่อสู้ของกวางมูซหนุ่มสองตัวเพื่อแย่งอาณาเขต (ไม่ก็ตัวเมีย) ปัญหาคือระหว่างที่สู้กันอยู่พวกมันก็โดนภัยธรรมชาติกลืนหายไปเสียก่อน ทิ้งไว้เพียงร่างที่แช่อยู่ในน้ำแข็งเท่านั้น   โครงกระดูกแห่งปอมเปอี นี่เป็นโครงกระดูกของชายที่ว่ากันว่าโชคร้ายที่สุดในโลกที่ถูกค้นพบในเมืองปอมเปอี และกลายเป็นมีมบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง เขาถูกทับโดยบล็อกหินขนาดใหญ่ในระหว่างวิ่งหนีจากการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียส และเสียชีวิตลงในสภาพอย่างที่เห็น  …

  • The Origin of the World ภาพวาด “ของลับ” สุดอื้อฉาว กับปริศนานางแบบที่เพิ่งถูกไข

    The Origin of the World ภาพวาด “ของลับ” สุดอื้อฉาว กับปริศนานางแบบที่เพิ่งถูกไข

    ในปี 1866 Gustave Courbet จิตรกรชาวฝรั่งเศสได้ฝากผลงานสุดอื้อฉาวภาพหนึ่งไว้กับโลก และกลายเป็นผลงานที่มีการโต้เถียงกันมาอย่างยาวนานในหมู่นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อของผลงานชิ้นนี้คือ “The Origin of the World” แปลว่า “จุดเริ่มต้นของโลก” โดยเป็นภาพวาด “ของลับ” ของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในสังคมฝรั่งเศสเมื่อศตวรรษที่ 19     อย่างที่เห็นว่าภาพดังกล่าวนี้มีความล่อแหลม จนในปี 2011 ทาง Facebook เคยเซนเซอร์โปรไฟล์ที่ใช้ภาพดังกล่าวจนเกิดเป็นคดีความมาแล้วเลยด้วย ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่มีหลายๆ คนสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นนางแบบของภาพอันอื้อฉาวนี้ โดยในสมัยก่อนคนส่วนมากเชื่อกันว่านางแบบของภาพภาพนี้น่าจะเป็นนางแบบชาวไอริช Joanna Hiffernan ผู้เป็นคนรักของ Courbet   ภาพวาดของ Joanna Hiffernan คนรักของ Courbet   อย่างไรก็ตาม Hiffernan นั้นมีผมสีแดงทำให้หลายๆ คนสงสัยว่าทำไมหญิงสาวในภาพของ Courbet จึงมีเส้นขนสีดำกันแน่ นั่นทำให้มีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงในภาพน่าจะเป็นหญิงสาวคนอื่น และล่าสุดนี้เองจากทฤษฎีของนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส Claude Schopp เขาคาดว่านางแบบของภาพภาพนี้น่าจะเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ที่ชื่อ Constance Queniaux เสียมากกว่า   Constance Queniaux หญิงที่อาจเป็นนางแบบของ The Origin of the World   นี่เป็นทฤษฎีที่อ้างอิงจากจดหมายของ Alexandre…

  • 6+1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “เรื่องเพศ” ในอียิปต์โบราณ เอกลักษณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

    6+1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “เรื่องเพศ” ในอียิปต์โบราณ เอกลักษณ์ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

    วัฒนธรรมของโลกนั้นเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยสิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบันอาจจะถูกมองเป็นเรื่องแปลกในอนาคตก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ภาษา ความเป็นอยู่ และแน่นอนว่าเรื่องเพศก็ด้วย ชื่อว่าหลายๆ คนคงพอจะรู้เรื่องความเป็นเอกลักษณ์ของเรื่องเพศในสมัยก่อนอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องเพศของคนอียิปต์โบราณมาก่อนเลยก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ นี่คือ 6+1 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเพศในสมัยอียิปต์โบราณที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน   การสมสู่กับศพเป็นที่กังวลมากของคนอียิปต์ เราทราบกันดีกว่าคนอียิปต์มีการรักษาศพที่ดีมากๆ แต่คนที่เป็นผู้ทำมัมมี่กลับไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีทุกคน เพราะมีข่าวลือที่ถูกบันทึกไว้อย่างน้อยๆ หนึ่งคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับการที่คนทำมัมมี่สมสู่กับศพของหญิงสาวรูปงาม นั่นทำให้หลังจากนั้นมาคนอียิปต์จะไม่มอบร่างคนสวยให้ช่างทำมัมมี่ในทันที และทางช่างทำมัมมี่เองก็จะช่วยกันดูแลสอดส่องเพื่อนร่วมงานด้วย หากเห็นใครสมสู่กับศพ ชายคนนั้นจะถูกประณาม   พวกเขาใช้มูลจระเข้และยางไม้ในการคุมกำเนิด จากที่บันทึกไว้ในปาปิรุส คนอียิปต์จะนำ “กัมอะราบิก” ยางที่ได้จากต้นไม้สกุลอะคาเซียมา “ปกปากมดลูก” ระหว่างร่วมเพศซึ่งได้ผล “ในระดับหนึ่ง” นอกจากนี้ยังมีการนำมูลของจระเข้ไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆ ยัดใส่ในของลับผู้หญิงเพื่อคุมกำเนิดด้วย   การมีเซ็กส์กับสัตว์เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด เป็นไปได้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการที่คนอียิปต์นับถือในพระเจ้าที่มีหัวเป็นสัตว์ ทำให้มีการกล่าวถึงการสมสู่ระหว่างคนและสัตว์ในผลงานศิลป์ของอียิปต์อยู่บ่อยครั้ง และแม้จะมีข้อห้ามในเรื่องนี้อยู่แต่ก็ยังมีคนที่ฝ่าฝืนทำมันอยู่ดี   ไม่มีใครใส่ใจเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ สำหรับชาวโรมันสาวพรหมจรรย์อาจจะถือเป็นอะไรที่มีค่ามากๆ แต่สำหรับชาวอียิปต์แล้ว พรหมจรรย์ไม่ใช่อะไรที่มีค่าขนาดนั้น แถมตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้แต่งงานทั้งคู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเสียด้วย   การนอกใจถือเป็นความผิดมหันต์ แม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองหลังแต่งงานในอียิปต์กลับเป็นอะไรที่มีความผิดรุนแรงมากๆ ถึงขั้นมีว่าการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาคนอื่นอาจจะนำไปสู่การที่ทั้งคู่โดนเฆี่ยน โดนตัดแขนตัดขา หรือว่ารุนแรงถึงขั้นประหารเลยทีเดียว น่าแปลกที่ในกรณีที่ชายแต่งงานแล้วไปมีชู้กับหญิงสาวซึ่งยังไม่ได้แต่งงาน ชายที่แต่งงานแล้วกลับโดนลงโทษเพียงแค่การประณามจากสังคมเท่านั้น   การแต่งงานกันเองในหมู่พี่น้องเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในหมู่คนชั้นสูง…

  • 15 ภาพถ่าย “การเดินแถวมรณะบาตาอาน” การเคลื่อนย้ายเชลยที่ราวกับเดินทางในนรก

    15 ภาพถ่าย “การเดินแถวมรณะบาตาอาน” การเคลื่อนย้ายเชลยที่ราวกับเดินทางในนรก

    การเดินแถวมรณะแห่งบาตาอาน หรือ “Bataan Death March” เป็นการเคลื่อนย้ายเชลยศึกชาวฟิลิปปินส์และอเมริกัน 60,000–80,000 คนจากบาตาอานไปยังค่ายโอดอนเนลในประเทศฟิลิปปินส์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี 1943 นี่เป็นการเดินแถวย้ายเชลยศึกที่กินเวลาราวๆ 3 เดือนและมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เกิดเป็นภาพสุดเศร้าของการเดินทางในนรก เหมือนดังเช่นที่เห็นได้ในภาพถ่ายทั้ง 15 ภาพต่อไปนี้   การเดินแถวมรณะแห่งบาตาอาน เกิดจากการที่มีนักโทษสงครามมากกว่าที่ญี่ปุ่นคิด นั่นทำให้ทางญี่ปุ่นต้องบังคับให้นักโทษเดินไปค่ายกักกันเอง   ทหารสหรัฐฯ ที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานยอมจำนนแก่ทางญี่ปุ่น   ทหารญี่ปุ่นเฝ้าการเดินขบวนอยู่ห่างๆ   นักโทษที่โดนผูกมือไว้ที่หลัง   นักโทษที่เดินไม่ไหวแล้วจะโดนหิ้วไปใน “หาบทำมือ”   นักโทษที่เสียชีวิตระหว่างการเดินถูกนำมาเรียงไว้ข้างทาง   การแบกเพื่อนๆ ที่บาดเจ็บและเจ็บป่วยของนักโทษสหรัฐฯ   ภาพการหยุดพักข้างทางระหว่างการเดิน   นักโทษอเมริกันและฟิลิปปินส์ขณะก้าวไปบนหนทางอันโหดร้าย   ทหารญี่ปุ่นที่จำนวนหนึ่งป้องกันนักโทษหนีระหว่างพักจากการเดินที่ยาวนาน   การคัดแยกอุปกรณ์ของทหารที่ยึดได้จากทหารสหรัฐฯ   ทหารญี่ปุ่นที่ยืนเฝ้าทหารสหรัฐฯ ระหว่างพักจากการเดิน   โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการเดินเท้าที่บาตาอาน   เหล่านักโทษผู้รอดชีวิตจากการเดินจะต้องเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันต่อไป   และกว่าที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากค่ายก็ในปี 1945 เลยทีเดียว  …

  • 5 หลุมศพในอดีตที่แค่ตัวหลุมก็น่ากลัวแล้ว แต่หากได้รู้ความเป็นมาจะยิ่งสยองขนหัวลุก

    5 หลุมศพในอดีตที่แค่ตัวหลุมก็น่ากลัวแล้ว แต่หากได้รู้ความเป็นมาจะยิ่งสยองขนหัวลุก

    หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมการฝังศพแน่นอนว่าคงจะไม่พ้นหลุมศพ บางครั้งแม้ว่าเราไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในหลุมศพนั้นเป็นใคร แต่เพียงแค่ตัวหลุมศพเองก็สร้างเรื่องเล่าสยองขวัญออกมาได้มากมาย นั่นเพราะหลุมศพมักจะมีบรรยากาศที่ชวนขนหัวลุกเฉพาะตัวของมันที่จะจุดประกายความกลัวของผู้คน และยิ่งถ้าได้รู้ความเป็นมาของมัน ความน่ากลัวก็จะยิ่งมากขึ้นอย่างเป็นทวีคูณ เหมือนกับหลุมศพทั้ง 5 อันต่อไปนี้ที่แค่ตัวหลุมศพก็น่ากลัวแล้ว แต่หากได้รู้ความเป็นมาของมันคุณจะยิ่งสยองขนหัวลุกสุดๆ อย่างแน่นอน   หลุมศพของ Kitty Jay Kitty Jay เป็นหญิงสาวที่แขวนคอตายในช่วงปี 1700 ในโรงนาที่อังกฤษ และสาเหตุการตายของเธอก็หายไปตามกาลเวลา ว่ากันว่าเธออาจจะโดนข่มขืน หรือไม่ก็มีลูกนอกสมรส อย่างไรก็ตามการฆ่าตัวตายในยุคนั้นจัดว่าเป็นบาปมาก ทำให้คนที่ฆ่าตัวตายจะโดนฝังแบบอาชญากรที่ถูกประหาร ซึ่งเป็นการฝังที่สี่แยกเพื่อไม่ให้วิญญาณกลับมาหลอกหลอนคนได้นั่นเอง แต่จุดที่น่าสนใจของหลุมศพอันนี้อยู่ที่มีใครบางคนเอาดอกไม้มาวางที่หลุมศพนี้เสมอๆ แถมยังมีคนเห็นเงาดำอยู่ที่หลุมที่ว่า และบางครั้งก็เห็นหญิงสาวปริศนาในกระจกหลังเวลาขับรถผ่านอีกด้วย   หลุมศพของ Inez Clark นี่เป็นหลุมศพที่มีรูปปั้นเด็กหญิงอยู่ในตู้กระจก เชื่อกันว่าเธอมีชื่อว่า Inez Clark อย่างไรก็ตามจากบันทึกของสุสานกลับไม่มีเด็กหรือคนชื่อนี้อยู่ในสุสานเลย มีข่าวลือที่ว่าเธอถูกทิ้งโดยแม่ และถูกรับเลี้ยงโดยปู่ย่าตายายก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อไป ชื่อศพกับบนสุสานเลยไม่ตรงกัน ตำนานเกี่ยวกับหลุมศพนี้มีอยู่ว่า Inez ตายในพายุฝนฟ้าคะนองจากการถูกขังไม่ให้เข้าบ้าน ดังนั้นเวลามีพายุ รูปปั้นเด็กหญิงจะหายไปอย่างลึกลับสร้างความหวาดกลัวแก่คนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   Lilly E. Gray หลุมศพนี้มีชื่อเสียงเรื่องคำจารึก ที่เขียนว่าเธอเป็น “เหยื่อของสัตว์ร้าย 666” นำมาซึ่งข่าวลือน่ากลัวมากมายของปีศาจและซาตาน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องราวจริงๆ จะไม่ใช่อย่างนั้น ความเป็นจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นคือ…

  • เปิดตำนาน “Gloomy Sunday” บทเพลงจากฮังการี ที่ว่ากันว่าทำให้คนฟัง “ฆ่าตัวตาย”

    เปิดตำนาน “Gloomy Sunday” บทเพลงจากฮังการี ที่ว่ากันว่าทำให้คนฟัง “ฆ่าตัวตาย”

    ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว บทเพลงเป็นหนึ่งในสื่อที่เข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ดีที่สุด บางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกฮึกเหิม บางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุก และบางบทเพลงทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีความสุข แต่ในบรรดาเพลงเหล่านั้นเองก็ยังมีบทเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกด้านลบอยู่เช่นกัน แม้โดยมากแล้วจะเป็นความรู้สึก เหงา เศร้า หรืออกหัก แต่บางครั้งความรู้สึกด้านลบพวกนั้นก็เป็นอะไรที่รุนแรงมากๆ อย่าง “ความอยากตาย” และเพลงที่ว่ากันว่าสื่อถึง “ความอยากตาย” ที่โด่งดังที่สุดก็คงไม่พ้น “Gloomy Sunday” นั่นเอง   คำเตือน : นี่คือบทเพลง Gloomy Sunday ของแท้จากปี 1932 โดยช่อง Historic Mysteries    Gloomy Sunday หรือ “วันอาทิตย์มืดมน” เป็นบทเพลงของ Rezső Seress นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวฮังการี ที่แต่งขึ้นเมื่อปี 1932 เพลงนี้ถูกเรียกด้วยชื่อเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “บทเพลงแห่งความตาย” “บทเพลงสังหาร” หรือ “บทเพลงฆ่าตัวตายแห่งฮังการี” จากข่าวลือที่ว่าใครก็ตามที่ฟังเพลงนี้จะต้องฆ่าตัวตาย   Rezső Seress เจ้าของเพลง Gloomy Sunday   เนื้อร้องของ Gloomy Sunday แท้จริงแล้วมาจากบทกลอนของ László Jávor โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่ขอให้คนรักที่ตายไปมาร่วมงานศพของตน…

  • นักวิทย์กล่าว รอยสักมัมมี่โบราณ 5,300 ปี แท้จริงแล้วอาจเป็นการ “ฝังเข็ม” เพื่อรักษา

    นักวิทย์กล่าว รอยสักมัมมี่โบราณ 5,300 ปี แท้จริงแล้วอาจเป็นการ “ฝังเข็ม” เพื่อรักษา

    เดิมทีแล้วเมื่อพูดถึงเหตุผลในการสักของคนสมัยโบราณ หลายๆ คนก็คงจะบอกว่าเป็นการกระทำเพื่อพิธีกรรมอะไรบางอย่าง คล้ายกับการที่คนไทยในอดีตสักยันต์ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้มีพลังอำนาจอาคมต่างๆ แต่แล้วความคิดที่ว่าการสักนั้นเกิดขึ้นเพราะความเชื่อและพิธีกรรมเท่านั้นอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปก็ได้ เพราะล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า รอยสักในอดีตนั้นอาจจะเป็นผลมาจากการรักษาก็เป็นได้     นี่เป็นผลมาจากการศึกษาร่างของ Ötzi มัมมี่เก่าแก่จากเมื่อ 5,300 ปีก่อน ที่มีการค้นพบเมื่อปี 1991 ในอิตาลี โดยบนร่างของมัมมี่เก่าแก่นี้มีรอยสักอยู่ 61 แห่ง แต่ละแห่งล้วนเป็นรูปร่างง่ายๆ อย่างเส้นตรงหลายๆ ขีดหรือรูปเครื่องหมายบวกในบางจุด อย่างไรก็ตามรอยสักเหล่านี้กลับมีที่ไปที่มากว่าที่คิด จากการตรวจสอบร่างของ Ötzi นักวิทยาศาสตร์พบว่าเขาเป็นโรคร้ายหลายชนิด และเคยได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรกับวิธีการบางอย่างที่คล้ายคลึงกับการ “ฝังเข็ม” ในปัจจุบัน     พวกเขาเชื่อว่าการฝังเข็มเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดลวดลายบนร่างกายของ Ötzi เนื่องจากรอยสักที่พบนั้นนอกจากจะมีรูปร่างที่ค่อนข้าง “ธรรมดา” แล้ว ลวดลายส่วนมากยังอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับจุดฝังเข็มในปัจจุบันอีกด้วย     Albert Zink หัวหน้าสถาบันวิจัยเพื่อการศึกษามัมมี่ในโบลซาโน ประเทศอิตาลีกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่ารอยสักที่อกจะมาจากการรักษาอาการปวดท้อง ซึ่งแม้ว่าเราจะเคยเชื่อว่าการฝังเข็มเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศจีนเมื่อ 2,200 ปีก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ว่าการฝังเข็มจะมีมาก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ในตอนที่เสียชีวิตในกระเพาะของ Ötzi ยังมีเห็ดสายพันธุ์ Birch Polypore อยู่ด้วย ซึ่งเห็นสายพันธุ์นี้มีชื่อเสียงเรื่องการลดไข้ และลดอาการผื่นคัน นั่นทำให้แนวคิดที่ว่ามัมมี่ร่างนี้เป็นของชายที่ได้รับการรักษาหลากหลายรูปแบบมีน้ำหนักมากพอสมควร…

  • เทโอทิวาคาน “เมืองแห่งพีระมิด” ที่มีผู้สร้างสุดลึกลับ จนเชื่อกันว่าสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว

    เทโอทิวาคาน “เมืองแห่งพีระมิด” ที่มีผู้สร้างสุดลึกลับ จนเชื่อกันว่าสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว

    เทโอทิวาคาน (Teotihuacan) เป็นเมืองโบราณที่มีชื่อเล่นว่า “เมืองแห่งพีระมิด” ตั้งอยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโกไปทางเหนือราวๆ 50 กิโลเมตร เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อราวๆ 2,100 ปีก่อน ในช่วงเวลาประมาณ 150 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้สร้างเมืองแห่งนี้     ดูเหมือนว่าผู้ที่สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นจะทิ้งเมืองไปอย่างมีปริศนา ก่อนที่ตัวเมืองจะถูกใช้โดยชาวแอซเท็ก และถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1987 ชื่อของเมืองเทโอทิวาคาน (และสิ่งก่อสร้างหลายๆ อย่างในเมือง) ถูกตั้งขึ้นโดยชาวแอซเท็กที่เข้ามาอยู่ที่นี่ในภายหลังแปลว่า “เมืองที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง” ว่ากันว่าเทโอทิวาคานเคยมีคนอาศัยอยู่กว่า 100,000 คนซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น มีพีระมิดที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่งคือ “พีระมิดแห่งพระอาทิตย์ “และ “พีระมิดแห่งพระจันทร์” และถนนขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าถนนแห่งความตาย (Avenue of the Dead)     นอกจากนี้เทโอทิวาคานยังมีโครงสร้างเมืองที่มีแบบแผน โดยคนมีฐานะจะอยู่สูงกว่าคนทั่วๆ ไปทำให้เชื่อกันว่าอดีตผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้ น่าจะมีระบบชนชั้นที่ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ในเมืองมีร่องรอยของการทำพิธีบูชายัญทั้งคนและสัตว์ มีรูปปั้นของเทพงูมีปีกอย่าง “เควท์ซาลโคท์ล” (Quetzalcoatl) เทพที่เป็นที่นับถือของชาวแอซเท็ก และมีระบบการเขียนที่ซับซ้อนบันทึกเอาไว้ เรื่องเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์และลึกลับผิดกับยุคสมัยของเมืองแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี (แม้ว่าพิธีบูชายัญอาจจะมาจากชาวแอซเท็กในภายหลังก็ตาม)     นั่นทำให้เทโอทิวาคานมักถูกมองว่าสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็คนโบราณที่ได้รับความรู้มาจาก…

  • พบแขนเทียมโบราณจากยุคสำริด อายุราว 3,500 ปี เชื่ออาจเคยถูกใช้ในพิธีกรรม

    พบแขนเทียมโบราณจากยุคสำริด อายุราว 3,500 ปี เชื่ออาจเคยถูกใช้ในพิธีกรรม

    อวัยวะเทียมเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คนพิการสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แถมยังพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีจนมีความทันสมัยขึ้นทุกวัน จนในปัจจุบันแทบจะแยกระหว่างอวัยวะเทียมกับของจริงไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าอวัยวะเทียมมันมีความเก่าแก่กว่าที่เราคิดเยอะ     นี่คือมือเทียมโบราณอายุกว่า 3,500 ปีจากยุคสำริด ที่ถูกค้นพบโดยนักล่าสมบัติในสวิตเซอร์แลนด์ และเปิดเผยออกมาโดยทางนักโบราณคดีเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน 2018 ที่ผ่านมา จากข้อมูลของทางนักโบราณคดี มือเทียมพบที่มีขนาดเล็กกว่ามือคนจริงๆ เล็กน้อย ทำจากทองแดงกับดีบุก ประดับประดาด้วยทองคำ และเชื่อกันว่าเป็นอวัยวะเทียมที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบในยุโรป     เป็นไปได้ว่าช่างฝีมือสมัยก่อนจะติดมือเทียมนี้เข้ากับส่วนปลายของแขน โดยจากรูปร่างที่เหมือนกับว่าเคยมีอะไรวางอยู่บนนั้นมาก่อน โดยสิ่งที่ว่าอาจจะเป็นรูปปั้นหรือคทา นั่นทำให้เชื่อกันว่ามือที่พบอาจจะมีการใช้งานในฐานะมือเทียมสำหรับคนพิการจริงๆ หรืออาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในสมัยนั้นก็เป็นได้ นอกจากนี้ในบริเวณที่มีการค้นพบมือเทียมในครั้งนี้ยังมีการค้นพบมีดสั้นสำริด หมุดสำริด เศษทองสองชิ้นที่เชื่อว่าหลุดออกมาจากมือเทียม และเครื่องประดับผมอีกด้วย     ดูเหมือนว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากการที่นักล่าสมบัตินำเครื่องตรวจจับโลหะไปค้นหาที่ใกล้ๆ ทะเลสาบ Biel ในกรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ และนำไปสู่การค้นพบหลุมฝังศพโบราณในเวลาต่อมา “เขา (เจ้าของมือเทียม) จะต้องเป็นคนระดับสูงอย่างแน่นอน เพราะการที่มือประดับด้วยทองคือสัญลักษณ์ของพลัง เป็นเครื่องหมายพิเศษของชนชั้นสูง หรือแม้กระทั่งเทพ” นักโบราณคดีกล่าว   หลุมฝังศพโบราณที่ถูกพบใกล้ๆ สถานที่ค้นพบมือเทียม   ในขณะนี้ทางนักวิทยาศาสตร์ได้วางแผนที่จะตรวจสอบทางเคมีกับมือที่พบเพื่อตรวจสอบว่ามือที่พบนั้นทำขึ้นในพื้นที่หรือนำเข้ามาจากสถานที่อันห่างไกลกันแน่ เนื่องจากมือเทียมที่เก่าแก่ขนาดนี้ ไม่เคยมีการพบมาก่อนในยุโรปนั่นเอง ในขณะนี้มือเทียมที่ถูกค้นพบได้มีการนำไปจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ New Biel เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมือที่พบก็ยังคงเป็นปริศนาในปัจจุบัน   ที่มา livescience, express, foxnews

  • 23 ภาพเหล่าสัตว์ที่ใช้ในสงคราม อีกหนึ่งพลังที่นำชัยชนะแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    23 ภาพเหล่าสัตว์ที่ใช้ในสงคราม อีกหนึ่งพลังที่นำชัยชนะแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    มนุษย์เราใช้สัตว์ในการทำสงครามมาตั้งแต่สมัยก่อน โชคดีที่ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีมากมายเข้ามาทดแทนสัตว์เหล่านั้น แต่บางครั้งเราก็ยังได้เห็นสัตว์บางอย่างในสงครามอยู่เป็นบางครั้งบางคราวอยู่ดี     ว่ากันว่าจุดเปลี่ยนของการใช้สัตว์ในสงครามอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพราะนั่นเป็นสงครามใหญ่โตครั้งสุดท้ายที่เรายังพอเห็นการใช้สรรพสัตว์จำนวนมากในสงคราม ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรนานาชนิด ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 23 ภาพเหล่าสรรพสัตว์แห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกัน ไปชมกันดีกว่าว่าในสงครามครั้งนี้มีสัตว์ประเภทไหนบ้างที่มีบทบาทในการนำมาซึ่งชัยชนะของเหล่าทหาร   นี่คือภาพของทหารเยอรมัน ที่ปล่อยสุนัขส่งข้อความ หลังจากมีการโจมตีด้วยแก๊สในปี 1918   ม้าศึกของเยอรมันที่แบกปืนกล Maxim M1910 ที่ยึดมาจากทางโซเวียตเอาไว้   สุนัขพยาบาลของอังกฤษนำผ้าพันแผลมาส่งให้ทหารในช่วงปี 1915   นกพิราบที่มีกล้องขนาดเล็กติดตั้งไว้ของเยอรมัน   การขนย้ายล่อลงจากเรือในเมืองอเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์เมื่อปี 1915   สิบเอก Stubby สุนัขที่มีการติดยศมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   สมาชิกหน่วยทหารม้าของอังกฤษ กับการปล่อยม้าพักผ่อนในฝรั่งเศส   หน่วยพยาบาลเยอรมันหลังถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ในเดือน พฤษภาคม 1918   หน่วยพยาบาลเสี้ยววงเดือนแดง (คล้ายๆ หน่วยพยาบาลกาชาด) กับพาหนะคู่กาย 1916   ทหารประจำโรงพยาบาลกับหมีโคอาล่าใน ไคโร 1915  …

  • Wojtek จากหมีที่ถูกรับเลี้ยงโดยทหาร สู่ฮีโร่ “หมีแบกกระสุน” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    Wojtek จากหมีที่ถูกรับเลี้ยงโดยทหาร สู่ฮีโร่ “หมีแบกกระสุน” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    เมื่อพูดถึงสัตว์ที่ถูกใช้ไปในสงคราม หลายๆ คนอาจจะคิดถึงสุนัขหรือม้าขึ้นมาเป็นอย่างแรก อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิพลของเกมๆ หนึ่ง เชื่อว่าคงมีหลายคนเหมือนกันที่นึกถึงสัตว์ตัวใหญ่อย่าง “หมี” ว่าแต่รู้กันหรือไม่ว่าในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีหมีที่เป็นฮีโร่ของสงครามอยู่จริงๆ ด้วย!!     ชื่อของมันคือ Wojtek หมีสีน้ำตาลน้ำหนักราวๆ 250 กิโลกรัม ที่ถูกรับเลี้ยงตั้งแต่ยังเด็กโดยหน่วยปืนใหญ่ของโปแลนด์ในเดือนเมษายน 1942 มันถูกเลี้ยงมาด้วยนมในขวดวอดก้า และเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนและทหารกล้า     ว่ากันว่าเจ้าหมีตัวนี้กินเบียร์ และสูบบุหรี่ด้วย แถมยังถูกฝึกโดยคนในหน่วยให้จับขาทหารใหม่ห้อยหัวเพื่อข่มขวัญเด็กใหม่ และสร้างเสียงหัวเราะในเหล่าทหาร แถมยังเข้าไปอาบน้ำได้เองอีกด้วย     เจ้า Wojtek กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำหน่วยไปตั้งแต่ในตอนนั้น มันวิ่งตามผลส้มที่ทหารใช้ในการฝึกขว้างระเบิด ช่วยเหลือในการขนส่งกระสุนปืน แถมยังมีทหารหลายคนที่เชื่อว่าเจ้าหมีสามารถช่วยใส่กระสุนปืนใหญ่ได้ (ในความเป็นจริงมันแค่ถือกระสุนเปล่าเล่นเท่านั้น) เรียกขวัญกำลังใจให้กับทหารได้เป็นอย่างดี     จริงอยู่ว่าเจ้าหมีจะไม่ได้ทำอะไรมากมายเหมือนกับที่เป็นฮีโร่สัตว์ตัวอื่นๆ แต่ชื่อเสียงของมันก็โด่งดังมากพอที่จะทำให้หน่วยทหารของมันมีตราประจำหน่วยเป็นรูปหมีถือกระสุนปืนเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ในด้านความเชื่อเลยก็ไม่ผิด     อย่างไรก็ตามในตอนที่สงครามจบลง ทหารที่รับเลี้ยงเจ้าหมีกลับไม่อยากพามันกลับโปแลนด์เท่าไหร่นัก เพราะกังวลว่าหมีแบบ Wojtek อาจถูกทางรัฐบาลที่ถูกควบคุมโดยโซเวียตนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ก็เป็นได้     ท้ายที่สุด Wojtek ก็ถูกรับไปเลี้ยงไว้ที่ฟาร์มในสกอตแลนด์กับอดีตทหารชาวโปแลนด์อีกคนหนึ่ง และถึงแม้จะมีการย้ายที่อยู่ไปมาบ้างหลังจากนั้น แต่ Wojtek  ก็มีชีวิตอย่างสงบสุขตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา    …

  • ชาวเน็ตโหวต 10 อันดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20

    ชาวเน็ตโหวต 10 อันดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20

    ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีเหตุการณ์มากมายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกหรือการพัฒนาของเทคโนโลยี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ศตวรรษนี้จะเป็นช่วงที่มนุษย์พัฒนาไปมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่มีคนสนใจมากที่สุดเช่นกัน นั่นทำให้เกิดคำถามที่ว่าในศตวรรษที่น่าสนใจนี้ เหตุการณ์ใดกันที่ผู้คนคิดว่าสำคัญที่สุด นำไปสู่การลงคะแนนเสียงของชาวอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์ Ranker และมีการเข้าไปโหวตแล้วมากกว่าหนึ่งแสนครั้ง และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็จะพาเพื่อนๆ ไปชม 10 อันดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีคนโหวตให้มีความสำคัญมากที่สุดกัน   อันดับที่ 10 : การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เกิดขึ้นเมื่อปี 1990 โดยเป็นการทำลายกำแพงที่สร้างขึ้นช่วงสงครามเย็นเพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกของเยอรมนีตะวันตก (สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) ออกจากเยอรมนีตะวันออก (สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี รัฐบริวารของสหภาพโซเวียต) ที่โอบอยู่โดยรอบ   อันดับที่ 9 : ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มีอีกชื่อว่า Great Depression เป็นเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เกิดในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรปในปี 1929 ก่อนจะขยายตัวไปทั่วโลก โดยมีหนึ่งในเหตุผลมาจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นนิวยอร์ค   อันดับที่ 8 : การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ภาษาอังกฤษเขียนว่า Holocaust นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรปที่โหดร้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยฝีมือของนาซีเยอรมันนั่นเอง   อันดับที่ 7 : สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นี่เป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเรียกตั้งแต่ “มหาสงคราม” เรื่อยไปจนถึง “สงครามที่จะหยุดสงครามทั้งหมด” กินเวลาในช่วงปี 1914-1918…

  • 5+1 ภาพยนตร์ในอดีต ที่เกิดอุบัติเหตุจนนักแสดงนำเสียชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังได้ออกฉาย

    5+1 ภาพยนตร์ในอดีต ที่เกิดอุบัติเหตุจนนักแสดงนำเสียชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังได้ออกฉาย

    ในการถ่ายทำภาพยนตร์อาจมีอยู่หลายครั้งที่นักแสดงได้รับบาดเจ็บ แต่ถึงอย่างการที่จะเห็นนักแสดงบาดเจ็บจนเสียชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะได้เห็นกันบ่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยเช่นกัน ว่าแต่ในอดีตเคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนบางที่มีนักแสดงเสียชีวิต? ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 ตัวอย่างภาพยนตร์ในอดีตที่เกิดอุบัติเหตุจนนักแสดงตาย แต่สุดท้ายก็ยังได้ออกฉาย   The Crow นี่เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1994 โดยมีต้นฉบับมาจากการ์ตูนชื่อเดียวกันที่เขียนโดย James O’Barr นี่เป็นหนังที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ Brandon Lee ลูกชายของ Bruce Lee โด่งดัง อย่างไรก็ตามระหว่างการถ่ายทำกลับเกิดความผิดพลาดกับกระสุนของปืนที่ใช้ในฉาก ทำให้ Brandon ถูกยิง จนเสียชีวิตในระหว่างการถ่ายทำนั่นเอง   Twilight Zone: The Movie นี่เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1983 และมีหนึ่งในนักแสดงหลักคือ Vic Morrow อย่างไรก็ตามในฉากหนึ่งของเรื่องซึ่งตัวละครของ Vic ถูกโจมตีโดยทหารทหารอเมริกันในเวียดนาม กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้เฮลิคอปเตอร์ในฉากตก จนทำให้ไปพัดตัดร่างของ Vic พร้อมกับเด็กๆ ที่เข้าฉากอีกสองคนจนถึงแก่ความตาย   Top Gun Top Gun เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 1986 เกี่ยวกับนักบินในกองทัพเรือ…

  • Ruth Snyder กับภาพความตายบนเก้าอี้ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนคดีธรรมดาๆ ให้กลายเป็นไม่ธรรมดา

    Ruth Snyder กับภาพความตายบนเก้าอี้ไฟฟ้า ที่เปลี่ยนคดีธรรมดาๆ ให้กลายเป็นไม่ธรรมดา

    Ruth Snyder เป็นนักโทษประหารชีวิตหญิงที่แม้ว่าจะก่อคดีที่แปลก แต่เดิมทีแล้วคดีของเธอก็ไม่ใช่คดีที่คนในสหรัฐฯ สนใจกันมากนัก แต่แล้วเรื่องราวก็เปลี่ยนไป เมื่อภาพความตายบนเก้าอี้ไฟฟ้าของเธอหลุดออกสู่สายตาประชาชนและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป     ในวันที่ 20 มีนาคม 1927 Ruth ได้อ้างกับทางตำรวจว่ามีชาวอิตาเลียนตัวใหญ่สองคนบุกเข้ามาในบ้านและทุบเธอจนหมดสติ ก่อนที่จะสังหารสามีของเธอและหนีไปพร้อมกับเพชรพลอยในบ้าน มันเป็นคดีที่จัดฉากได้แย่สุดๆ เพราะนอกจากตัวเธอจะดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งถูกทุบหมดสติแล้ว ตำรวจยังพบเพชรพลอยที่ Ruth บอกว่าถูก “ขโมย” อยู่ใต้ฟูกของเตียงของเธอเองด้วย   ภาพของ Ruth Snyder ในสมัยที่ยังมีชีวิต   นั่นทำให้สุดท้าย Ruth ก็จนมุมจนต้องสารภาพความจริงว่าแท้จริงแล้วเธอร่วมมือกับ Henry Judd Gray ชู้รักของเธอในการฆ่าสามีเพื่อเอาเงินประกัน แถมยังมีการปลอมแปลงเอกสารประกันไว้ด้วย   Henry Judd Gray พนักงานขายชุดคอร์เซตชู้รักของ Ruth   นี่เป็นคดีที่ดูงี่เง่ามากๆ สำหรับคนที่รู้เรื่องถึงขนาดว่านักข่าวพาดหัวว่า “Dumbbell Murder” เพื่อล้อเลียนความงี่เง่าของแผนฆาตกรรมในครั้งนี้เลย (Dumbbell ล้อมาจากคำว่า Dumb ที่แปลว่าโง่)     อย่างไรก็ตามด้วยวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างโหดร้ายบวกกับโทษอื่นๆ ทำให้สุดท้าย Ruth กับ Henry ถูกสั่งประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในเดือน มกราคม…

  • ผู้เชี่ยวชาญถอดรหัสปาปิรุสโบราณอายุ 1,300 ปี เชื่อมาจากคาถา “เวทมนตร์ แห่งความรัก”

    ผู้เชี่ยวชาญถอดรหัสปาปิรุสโบราณอายุ 1,300 ปี เชื่อมาจากคาถา “เวทมนตร์ แห่งความรัก”

    เมื่อความรู้และเทคโนโลยีในการถอดรหัสของมนุษย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จึงมีความพยายามในการถอดรหัสข้อความบนกระดาษปาปิรุสจากยุคโบราณ และทุกๆ ครั้งที่มีการถอดรหัส ก็จะทำให้เราได้ทราบเรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับอียิปต์โบราณ และในครั้งนี้เองก็ถึงคราวของกระดาษปาปิรุสโบราณอายุกว่า 1,300 ปีที่จะถูกนำมาถอดรหัสบ้างแล้ว     นี่เป็นกระดาษปาปิรุสที่มีภาพของสัตว์ที่รูปร่างคล้ายนกสองตัวที่มีส่วนลำตัวช่วงล่าง “เชื่อมกัน” ด้วยสิ่งที่อาจเป็น “อวัยวะเพศ” เบื้องต้นเชื่อกันว่านกด้านซ้ายเป็นตัวผู้และนกด้านขวาเป็นตัวเมีย โดยนี่เป็นอาจการพยายามที่จะแสดงความแตกต่างทางเพศอยู่ก็ได้ นอกจากนี้ในกระดาษยังมีข้อความที่เขียนไว้ด้วยอักษรคอปติก รูปแบบหนึ่งของอักษรกรีกที่มีการใช้กันในภาษาอียิปต์ โดยข้อความที่ยังพอหลงเหลืออยู่ของส่วน “คาถา” สามารถแปลได้ว่า “ข้าพเจ้าขออัญเชิญ… ผู้ซึ่งเป็นพระคริสต์ เทพแห่งอิสราเอล” นอกจากนี้ก็มีประโยคสั้นๆ ที่ว่า “ท่านจะสูญสลาย” และมีการพูดถึง “บุตรของอาดัมทุกคน”      ดูเหมือนว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มใหญ่กว่านี้ และถูกใช้โดย “จอมเวท” เพื่อประกอบพิธีอะไรสักอย่างในยุคสมัยที่คริสต์ศาสนาเพิ่งเข้ามาในอียิปต์ได้ไม่นาน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเวทมนตร์หรือพิธีกรรมแห่งความรัก และมีความเกี่ยวข้องกับรักต้องห้าม “ตำราคริสเตียนในอียิปต์ที่มีการพูดถึงเวทมนตร์แห่งความรักมักมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักต้องห้ามของชายที่ไปหลงรักผู้หญิงที่เขาไม่อาจเอื้อม เช่นผู้หญิงที่เด็กเกินไป หรือหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว” Korshi Dosoo อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยสตราสบูร์กในประเทศฝรั่งเศส ผู้ร่วมแปลกระดาษปาปิรุสแผ่นนี้กล่าว     อย่างไรก็ตามจากความไม่สมบูรณ์ของแผ่นกระดาษ บวกกับที่มาของกระดาษปาปิรุสที่ยังเป็นปริศนา ทำให้การถอดรหัสในครั้งนี้ไม่สามารถทำได้อย่างราบรื่นเท่าที่ควรจะเป็น เพราะการที่ไม่สามารถหาคนที่บริจาค หรือ ชื่อหนังสือที่เป็นต้นฉบับได้ ก็ทำให้โอกาสที่จะค้นพบเนื้อหาส่วนที่เหลือของหนังสือเวทมนตร์เล่มนี้หดหายไปด้วยนั่นเอง   ที่มา livescience, technologybreakingnews

  • ที่มาของ “สต็อกโฮล์มซินโดรม” อาการทางจิตสุดแปลกที่ “ตัวประกัน” หลงรัก “คนร้าย”

    ที่มาของ “สต็อกโฮล์มซินโดรม” อาการทางจิตสุดแปลกที่ “ตัวประกัน” หลงรัก “คนร้าย”

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยรู้จักกับอาการทางจิตที่มีชื่อว่า “สต็อกโฮล์มซินโดรม” (Stockholm syndrome)  มันเป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นในบางครั้งกับคนที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกัน โดยเฉพาะในกรณีที่คนร้ายปฏิบัติตัวค่อนข้างดีกับเหยื่อ     ลักษณะของสต็อกโฮล์มซินโดรมสามารถอธิบายง่ายๆ ว่าคือการ “หลงรัก” ในตัวคนร้าย จนในบางครั้งเหยื่อก็รู้สึกว่าสิ่งที่คนร้ายทำไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หรือแม้กระทั่งเข้าข้างคนร้ายในบางกรณีเลยด้วย ชื่อของอาการสต็อกโฮล์มซินโดรม กลายเป็นที่รู้จักครั้งแรกจากคดีปล้นธนาคารโดยนาย Jan-Erik Olsson ในวันที่ 23 สิงหาคม 1973 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เขาจับเจ้าหน้าที่ของธนาคาร 4 คนเป็นตัวประกัน และเจรจาต่อรองขอเงินกว่า 2 ล้านบาท รถยนต์สำหรับหนี และการปล่อยตัวนักโทษคนหนึ่ง   Jan-Erik Olsson (คนกลาง) ในตอนที่ถูกตำรวจที่ใส่หน้ากากกันแก๊สควบคุมตัว   การเจรจาเหมือนว่าจะเป็นไปได้ดีสำหรับ Olsson ในตอนแรก อย่างไรก็ตามทางตำรวจปฏิเสธที่จะให้เขาพาตัวประกันออกไปด้วย ดังนั้นการปล้นธนาคารในครั้งนี้จึงกลายเป็นเรื่องยืดเยื้อยาวนานถึงห้าวัน และถูกเสนอข่าวไปทั่วประเทศ   หน่วยซุ่มยิงที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้   น่าแปลกที่ Olsson ดูแลตัวประกันของเขาเป็นอย่างดี เขาเอาเสื้อคลุมให้ตัวประกันหญิงเมื่อเห็นว่าเธอตัวสั่น ปลอบโยนตัวประกันตอนที่ฝันร้าย บอกตัวประกันให้อย่ายอมแพ้ตอนที่ติดต่อที่บ้านไม่ได้ มอบกระสุนปืนให้ตัวประกันเป็นเครื่องราง หรือแม้กระทั่งให้ตัวประกันออกไปเดินคลายเครียด (โดยผูกเชือกไว้) ในตอนที่มีอาการโรคกลัวที่แคบ  …

  • 5 โศกนาฏกรรมทางลิฟต์ ซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีต ที่อ่านแล้วจะทำให้คุณอยากใช้บันไดขึ้นตึก

    5 โศกนาฏกรรมทางลิฟต์ ซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีต ที่อ่านแล้วจะทำให้คุณอยากใช้บันไดขึ้นตึก

    สำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตขึ้นลงลิฟต์อยู่เป็นประจำ เชื่อว่าคงมีอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็มักความคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากลิฟต์ที่เราขึ้นมีปัญหา โดยเฉพาะเวลาที่จู่ๆ ลิฟต์ก็สั่นอย่างไม่มีเหตุผล จริงอยู่ว่าลิฟต์ส่วนมากนั้นมักจะมีการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี แต่ในประวัติศาสตร์โลกเองก็มีคดีน่ากลัวๆ เกี่ยวกับลิฟต์ที่ถูกนำเสนอออกมาเช่นกัน เหมือนกับคดีโศกนาฏกรรมและอุบัติเหตุทางลิฟต์ทั้งห้าอันต่อไปนี้   เหตุการณ์ในท้องที่มินาโตะ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2006 โดยเด็กชายวัย 16 ปีที่ชื่อฮิโรสุเกะ อิจิคาวะได้ถูกลิฟต์ในที่อยู่อาศัย “ดีดขึ้น” ในขณะที่เขากำลังเดินออกจากลิฟต์ได้ครึ่งตัว จนทำให้เขาถูกหนีบกับขอบประตูลิฟต์จนขาดอากาศหายใจในเวลาต่อมา เรื่องในครั้งนี้ทำให้ที่ญี่ปุ่นมีการตรวจสอบลิฟต์แทบทั้งประเทศขึ้นทันที และพบว่ามีลิฟต์อย่างน้อยๆ 41 ที่ซึ่งจะมีปัญหา “ดีดขึ้นเอง” แม้ว่าจะไม่มีการจ่ายไฟฟ้าก็ตาม   คดีของสามีภรรยา Wadsworth พวกเขาเป็นคู่รักที่อยู่ด้วยกันมากว่า 60 ปี อย่างไรก็ตามวันหนึ่งพวกเขากลับต้องไปติดในลิฟต์ของบ้านสามชั้นที่พวกเขาอาศัยอยู่ ปัญหาคือที่รัฐจอร์เจียในช่วงยุค 80 ยังไม่มีกฎหมายการตรวจสอบลิฟต์และไม่ได้มีข้อบังคับให้ในลิฟต์มีโทรศัพท์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ทั้งคู่เสียชีวิตอยู่ในลิฟต์โดยที่ไม่มีใครทราบไป กว่าที่เพื่อนบ้านจะสงสัยว่าพวกเขาหายไปไหนมันก็เป็นเวลาหลังจากนั้นหลายวันเลยทีเดียว   ความโชคดีของ Betty Lou Oliver ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1945 เกิดอุบัติเหตุเครื่องบิน B-25 พุ่งชนตึกเอ็มไพร์สเตท จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หญิงสาวนาม Betty Lou Oliver คือหนึ่งในผู้ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ โดยหน่วยกู้ภัยพบเธออยู่ที่ชั้น 75…

  • 5 ความเชื่อเกี่ยวกับ “ความตาย” จากในอดีตทั่วโลก ที่จะทำให้คุณอึ้งกับความแปลกของมัน

    5 ความเชื่อเกี่ยวกับ “ความตาย” จากในอดีตทั่วโลก ที่จะทำให้คุณอึ้งกับความแปลกของมัน

    ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันโลกของเรามีความเชื่อเรื่องความตายมาหลากหลายรู้แบบ ตั้งแต่เรื่องธรรมดาๆ อย่างการฝังศพ เรื่อยไปยังความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ในหลายๆ ศาสนา แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกใบนี้เองยังมีความเชื่อแปลกๆ เกี่ยวกับความตายที่น่าสนใจมากกว่านั้น เหมือนกับความเชื่อทั้ง 5 ข้อ ที่เพื่อนๆ จะได้ชมกันต่อไปนี้   ความเชื่อเรื่อง “ไวน์จากศพ” ในบอร์เนียว เกาะบอร์เนียวเป็นเกาะที่อยู่บริเวณใจกลางกลุ่มเกาะมลายู และแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามประเทศได้แก่ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามที่นี่มีประเพณีการจัดงานศพที่แปลกสุดๆ ไปเลย ร่างของคนตายจะถูกทำความสะอาดและนำไปเก็บไว้เพื่อเอา “ไวน์จากศพ” ซึ่งเป็นน้ำจากการย่อยสลายก่อนที่จะนำศพไปฝัง โดยน้ำเหล่านี้จะถูกนำไปชโลมร่างกาย หรือผสมในอาหารต่อไปนั่นเอง   การกินศพผู้เสียชีวิตของชนเผ่าอเมซอน เผ่าวารีเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าอเมซอน ซึ่งในเผ่านี้จะมีความเชื่อในการกินศพของญาติๆ ผู้ที่จากไป นั่นเป็นเพราะ พื้นดินถือว่าเป็นสิ่งสกปรก และศพไม่ควรที่จะถูกฝังลงดิน แต่ในขณะเดียวกันการปล่อยศพของคนรู้จักไว้โดยไม่ทำอะไรเลย ก็อาจจะทำให้คนที่รู้จักเสียใจทุกครั้งที่เห็นเห็นศพด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ทางออกที่ดีของปัญหาเหล่านี้อยู่ที่การกินศพของญาติที่จากไปเสียเลย เพราะนอกจากจะเป็นการกำจัดศพแล้ว นี่ยังเป็นวิธีที่จะทำให้คนเป็นได้ตัดขาดจากคนตายอย่างสมบูรณ์นั่นเอง   การควบคุมตัวภรรยาผู้ตายเพราะกลัวเธอกัดศพของชาว LoDagaa ชาว LoDagaa ในอดีตมีความเชื่อว่าการสัมผัสสิ่งสกปรกบนตัวคนตายอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น พวกเขาจึงมีพิธีล้างศพที่จะกระทำโดยหญิงชรา โดยพิธีที่ว่านี้อาจกินระยะเวลานานเป็นเดือนเพื่อให้คนรู้จักได้มีโอกาสมาพบศพเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตามในกรณีที่คนตายเป็นผู้ชาย ระหว่างทำพิธีพวกเขาจะมีการควบคุมตัวภรรยาของผู้ตายไว้ เนื่องจากความกลัวที่ว่าหญิงสาวจะ “กัดศพสามี” เพื่อฆ่าตัวตายตามคนรักไปนั่นเอง นอกจากนี้ญาติๆ คนไหนที่แสดงท่าทางเสียใจมากจนเกินไปก็อาจจะโดนพาไปกักตัวเช่นกัน  …

  • วลาดิเมียร์ โคมารอฟ ชายผู้สละชีวิต “ตกลงมาจากอวกาศ” เพื่อช่วย “ยูริ กาการิน”

    วลาดิเมียร์ โคมารอฟ ชายผู้สละชีวิต “ตกลงมาจากอวกาศ” เพื่อช่วย “ยูริ กาการิน”

    หากพูดถึงนักบินอวกาศที่มีชื่อเสียงคงมีหลายคนไม่น้อยที่นึกถึงยูริ กาการินนักบินอวกาศคนแรกของโลกที่สามารถเดินทางกลับโลกอย่างปลอดภัย แต่รู้กันหรือไม่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของยูริ กาการิน ยังมีชายผู้ซึ่งที่สละชีวิตของตัวเองเพื่อให้กาการินมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งคน เขาคือวลาดิเมียร์ โคมารอฟ นักบินหลักของยานอวกาศ Soyuz 1 และเพื่อนที่ดีของยูริ กาการิน   ภาพของ วลาดิเมียร์ โคมารอฟ   เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1967 ราวๆ 6 ปี หลังจากที่ยูริ กาการินกลายเป็นมนุษย์คนแรกของโลกขึ้นไปบนอวกาศได้สำเร็จ ทางสหภาพโซเวียตได้มีกำหนดการปล่อยยานอวกาศ Soyuz 1 ขึ้นสู่อวกาศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามกำหนดการของ Soyuz 1 ค่อนข้างมีปัญหามากจนกินเวลานานกว่าที่ควรเป็น ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มจะทนไม่ไหว จนมีการกำหนดเส้นตายของการปล่อยจรวดขึ้น   ยูริ กาการินวีรบุรุษของประชาชน และเพื่อนสนิทของ วลาดิเมียร์ โคมารอฟ   นั้นทำให้การทำงานในโปรเจกต์นี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ถึงแม้จะพยายามแค่ไหน ยานอวกาศก็ไม่พร้อมมากพอจะขึ้นบินอยู่ดี จนทางวิศวกรอยากให้มีการเลื่อนกำหนดการปล่อยยานออกไปก่อน ถึงขั้นที่กาการินเคยพยายามฝากข้อความ 10 หน้าที่เกี่ยวข้องกับการขอเลื่อนกำหนดการให้กับเพื่อนใน KGB เลยทีเดียว โชคร้ายของพวกเขาที่ไม่มีใครกล้าพอที่จะส่งข้อความของกาการินไปให้กับเบื้องสูง สุดท้าย Soyuz 1 จึงต้องดำเนินการปล่อยตามกำหนดการทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อม     ในตอนนั้นมีเพื่อนของ…

  • 20 เหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน จนถึงไม่กี่วินาที

    20 เหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน จนถึงไม่กี่วินาที

    ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีเหตุการณ์มากมายที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้บางครั้งคนเราก็สงสัยกันว่าช่วงเวลาสั้นๆ ในเหตุการณ์ไหนกันบ้างในโลกที่มีคนตายมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะไปดูที่สุดของเหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ภายในเวลาเพียง ไม่กี่วินาที ไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน และไม่กี่ปี อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ในหนังสือ Lapham’s Quarterly เมื่อปี 2013   คนตายเป็นจำนวนมากใน 5 ปี : “แบล็กเดท” จำนวนผู้เสียชีวิต 30 ล้านคน มีอีกชื่อว่า “กาฬมรณะ” เป็นการระบาดของกาฬโรคในยุโรปเมื่อปี 1347-1351 เฉลี่ยแล้วมีคนเสียชีวิตราวๆ 16,427 คนต่อวัน   คนตายเป็นจำนวนมากใน 5 ปี : “โรคระบาดใหญ่ในเอเธนส์” จำนวนผู้เสียชีวิต 15,000 คน นี่เป็นเหตุการณ์โรคระบาดในกรีกโบราณเมื่อช่วง 430-426 ปีก่อนคริสตกาล เฉลี่ยแล้วมีคนเสียชีวิตราวๆ 78 คนต่อวัน   คนตายเป็นจำนวนมากใน 4 ปี : “การก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่”  จำนวนผู้เสียชีวิต 30 ล้านคน นี่เป็นความอดอยากในจีนจากนโยบายของเหมาเจ๋อตุงในปี 1959-1962…

  • พบแท่นบูชาหินสลักอายุกว่า 1,500 ปีในซากเมืองมายา เชื่อบอกเล่าเรื่องราว “ราชาโบราณ”

    พบแท่นบูชาหินสลักอายุกว่า 1,500 ปีในซากเมืองมายา เชื่อบอกเล่าเรื่องราว “ราชาโบราณ”

    เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2018 ที่ผ่านมาพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยาแห่งชาติในกัวเตมาลาได้ออกมาประกาศการค้นพบแท่นบูชาหินสลักอายุกว่า 1,500 ปีในซากเมืองมายาโบราณ La Corona ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา มันเป็นการค้นพบวัตถุโบราณที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในซากเมืองแห่งนี้ และเชื่อว่ามาจากยุคคลาสสิกของเผ่ามายา ซึ่งอยู่ในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 250 – 900     จากการตรวจสอบรูปสลักบนแท่นบูชาที่พบ ดูเหมือนว่าแท่นบูชาอันนี้จะมีการบันทึกเรื่องราวของอำนาจแห่งราชวงศ์ Kaanul ซึ่งปกครองที่พื้นที่ในบริเวณนั้นมากเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี Marcello Canuto ผู้อำนวยการร่วมของโครงการโบราณคดีในพื้นที่ La Corona เล่าว่า การค้นพบในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจราชาของพื้นที่ La Corona ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองกับทาง Kaanul     ราชาคนดังกล่าวจะมีชื่อว่า Chak Took Ich’aak ซึ่งจากภาพที่สลักไว้ในแท่นบูชา เขากำลังถืองูสองหัวที่มีเทพโผล่ออกมาเอาไว้ ดูเหมือนว่าการใช้งูเหมือนสื่อในภาพจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะราชาแห่ง Kaanul ก็ถูกรู้จักกันในฐานะราชาแห่งงูเช่นกัน นอกจากนี้บนแท่นบูชายังมีอักขระปฏิทินมายาสลักไว้ด้วย โดยหากเทียบกับปฏิทินแบบปัจจุบัน เวลาที่สลักไว้จะเป็นวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 544     เป็นไปได้ว่าแท่นบูชาที่พบนั้นจะบันทึกเรื่องราวการขึ้นเป็นใหญ่ของราชวงศ์ Kaanul เอาไว้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโครงการโบราณคดีในพื้นที่…

  • 25 ภาพ อันน่าหดหู่ของเด็กๆ ที่ต้องใช้แรงงานอย่างไม่สมวัยในสหรัฐฯ ต้นศตวรรษที่ 20

    25 ภาพ อันน่าหดหู่ของเด็กๆ ที่ต้องใช้แรงงานอย่างไม่สมวัยในสหรัฐฯ ต้นศตวรรษที่ 20

    ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกามีการใช้แรงงานเด็กที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ ด้วยความที่อุตสาหกรรมเติบโตไปอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างของชนชั้นก็จะยิ่งเห็นได้ชัดไปตามนั้น ด้วยเหตุนี้เองชนชั้นกลางและชนชั้นล่างจำนวนมากตัดสินใจส่งลูกหลานไปทำงานก่อนวัยอันควร เกิดเป็นภาพอันน่าหดหู่ของเด็กๆ ที่ต้องใช้แรงงานอย่างไม่สมวัย เหมือนดังที่เพื่อนๆ จะได้เห็นในภาพถ่ายของคณะกรรมการแรงงานเด็กแห่งชาติสหรัฐฯ ทั้ง 25 ภาพต่อไปนี้   นี่เป็นภาพของเด็กอายุเพียง 7 ขวบที่ต้องทำงานส่งหนังสือพิมพ์ ทั้งๆ ที่ทอนเงินไม่เป็นด้วยซ้ำ ตุลาคม 1914   เด็กสาวที่ทำงานประจำอยู่ในโรงปั่นฝ้ายในออกัสตา รัฐจอร์เจีย มกราคม 1909   หนึ่งในเด็กๆ ที่ทำงานส่งจดหมายในรัฐคอนเนตทิคัต ต้องทำงานเป็นกะจนถึงสี่ทุ่ม   คนงานโรงงานทอผ้าในเซาท์แคโรไลนา เมื่อเดือนธันวาคม 1908   Willie ระหว่างช่วงพักเที่ยงในโรงงานที่รัฐโรดไอแลนด์เมษายน 1909   Callie Campbell วัย 11 ขวบ กับการทำงานเก็บฝ้ายในเดือนตุลาคม 1916   Shorpy Higginbotham “เด็กถือจาระบี” วัย 14 ขวบที่ทำงานในเหมืองถ่านหินธันวาคม 1910   เด็กสาวสองคนที่ทำงานปั่นด้ายในรัฐนอร์ทแคโรไลนา พวกเธอบอกว่าได้เงิน 50 เซ็นต์…

  • เปิดตำนานช่างตีดาบ “มาซามุเนะ” ชายผู้ว่ากันว่าเป็นช่างตีดาบที่เก่งที่สุดในญี่ปุ่นสมัยก่อน

    เปิดตำนานช่างตีดาบ “มาซามุเนะ” ชายผู้ว่ากันว่าเป็นช่างตีดาบที่เก่งที่สุดในญี่ปุ่นสมัยก่อน

    หากพูดถึงดาบในตำนานของญี่ปุ่นเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงดาบของมุรามาสะเป็นอย่างแรก แต่ถ้าหากเราพูดถึงดาบในตำนาน “ที่ยังหลงเหลืออยู่จริงๆ” ดาบที่ว่าเหล่านั้นก็คงไม่พ้นผลงานของช่างตีดาบนามมาซามุเนะแน่ๆ ช่างตีดาบมาซามุเนะ (正宗) มีอีกชื่อหนึ่งว่า โกโระ นิวโด มาซามุเนะ (五郎入道正宗) เขาคือช่างตีดาบที่ชีวิตอยู่ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185-1333) และมีชื่อเสียงในฐานะนักตีดาบที่ยอดเยี่ยมในสมัยนั้น     ว่ากันว่าเขาเป็นช่างตีดาบคนแรกๆ ที่ใช้การตีดาบแบบผสมเหล็กหลายชนิดเข้าด้วยกัน โดยใช้เหล็ก “กาวากาเนะ” ที่มีคาร์บอนสูงเป็นใบดาบ ใช้เหล็ก “ฮากานะ” ที่ผ่านการตีซ้อนกันหลายครั้งเป็นคมดาบ และใช้เหล็กคาร์บอนต่ำที่มีความยืดหยุ่นสูงชื่อ “ชิกาเนะ” เป็นไส้ในทำให้ได้มาซึ่งดาบที่คมกริบแต่ไม่เปราะบางมากนักออกมา     วิธีการตีดาบของมาซามุเนะแพร่กระจายออกไปในหมู่ช่างตีดาบหลังจากนั้น แต่ก็แทบไม่มีใครเลยที่จะเก่งกาจไปกว่าตัวมาซามุเนะเอง ช่างตีดาบเพียงคนเดียวที่ว่ากันว่าเก่งพอๆ กับมาซามุเนะก็คือมุรามาสะผู้สร้างผลงานดาบคำสาปกระหายเลือดอันเลื่องชื่อ ตามตำนานของญี่ปุ่นบอกว่าทั้งสองคนเคยประลองดาบกันแล้วที่แม่น้ำ แต่แม้จะบอกว่าเป็นการประลองแต่มันเป็นเพียงการเปรียบเทียบกันว่าดาบของใครดีกว่าเท่านั้น ไม่ใช่การดวลดาบกันจริงๆ แต่อย่างใด     ผลของการประลองคือเพียงแค่นำปลายดาบจุ่มลงไปในน้ำ ดาบของมุรามาสะก็ สามารถตัดใบไม้ กิ่งไม้ และปลาได้ ในขณะที่ดาบของมาซามุเนะตัดได้ทุกอย่างยกเว้นปลา (บางตำราก็บอกว่าปลาว่าย “ทะลุ” ดาบไปเลย) นี่เหมือนกับเป็นชัยชนะของมุรามาสะ แต่นักบวชที่ผ่านมาเห็นกลับบอกว่าที่ผลการประลองเป็นเช่นนั้นเพราะว่าดาบของมุรามาสะตีขึ้นจากความกระหายเลือดมันจึงทำลายได้ทุกอย่าง ในขณะที่ดาบของมาซามุเนะตีขึ้นจากความสงบนิ่งมันจึงปล่อยให้ปลารอดชีวิต ตำนานที่ว่านี้ทำให้เห็นความพิเศษของดาบที่มาซามุเนะตีได้เป็นอย่างดี แถมดาบหลายๆ เล่มของมาซามุเนะยังมีหลักฐานคงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งต่างจากดาบของมุรามาสะที่หลายๆ เล่มไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน…

  • SHC ปรากฏการณ์สุดหลอนที่ คนลุกเป็นไฟ ไหม้เป็นเถ้าถ่าน กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์

    SHC ปรากฏการณ์สุดหลอนที่ คนลุกเป็นไฟ ไหม้เป็นเถ้าถ่าน กับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์

    22 ธันวาคม 2010 มีการพบศพของ Michael Faherty ชายวัย 76 ปี เสียชีวิตอยู่ในบ้านจากการถูกไฟไหม้ อย่างไรก็ตามไม่มีการพบหลักฐานว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย หรือการฆาตกรรมในที่เกิดเหตุเลยแม้แต่ชิ้นเดียวจนทำให้คดีที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องที่สร้างความงุนงงแก่เจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก     สุดท้ายคดีที่เกิดขึ้นก็ถูกลงความเห็นว่าเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Spontaneous Human Combustion หรือ SHC ปรากฏการณ์แปลกๆ ที่ร่างกายมนุษย์เกิดการลุกไหม้ขึ้นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ถูกอธิบายไว้เป็นในช่วงศตวรรษที่ 18 โดย Paul Rolli ว่า “นี่คือปรากฏการณ์ที่ร่างกายมนุษย์เกิดการติดไฟจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย โดยไม่มีหลักฐานการจุดไฟจากภายนอก”     SHC ถูกบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในช่วงปีคริสต์ศักราช 1400 โดยผู้เสียชีวิตคืออัศวินที่ชื่อ Polonus Vorstius หลังจากที่ทานไวน์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงเข้าไป ก่อนที่จะ “ลุกเป็นไฟ” ในเวลาต่อมา จุดร่วมของปรากฏการณ์ SHC ที่เกิดขึ้นกว่า 200 คดีทั่วโลกนั้นมีอยู่ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักติดสุรา 2. เหยื่อมักเป็นผู้หญิงสูงอายุ 3. โดยมากแขน ขาของผู้ตายจะไม่ถูกเผาไปด้วย 4. ความเสียหายต่อสิ่งรอบกายผู้ตายจะมีน้อยมาก 5. การเผาไหม้ของร่างกายมักทิ้งสารตกค้างของไขมัน…

  • Bélmez Faces รอยเปื้อนสุดสยองแห่งสเปน ที่ปรากฏขึ้น เคลื่อนที่ และบางทีก็หายไปได้เอง

    Bélmez Faces รอยเปื้อนสุดสยองแห่งสเปน ที่ปรากฏขึ้น เคลื่อนที่ และบางทีก็หายไปได้เอง

    จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งมีรอยเปื้อนประหลาดโผล่ขึ้นมาที่ในบ้าน แถมไม่ว่าจะพยายามลบอย่างไรมันก็โผล่ขึ้นมาใหม่ด้วย หลายๆ คนอาจจะบอกว่างั้นก็ปล่อยมันไว้เฉยๆ สิ ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ถ้าเจ้ารอยเปื้อนที่ว่ามันดันเป็นรูปหน้าคนเสมอล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ห้องครัวของบ้านหลังหนึ่งใน Bélmez de La Moraleda หมู่บ้านเล็กๆ ที่ดาลูเซีย ประเทศสเปน และมีชื่อเรียกว่า “Bélmez Faces” หรือ “ใบหน้าแห่ง Bélmez”     ดูเหมือนว่ารอยเปื้อนรูปหน้าคนสุดหลอนนี้จะปรากฏขึ้นมาครั้งแรกในปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara เจ้าของบ้านในตอนนั้นพบรอยเปื้อนรูปใบหน้าประหลาดที่พื้นในห้องครัว แถมยังขยับย้ายที่เองได้ด้วย ด้วยความกลัว María และครอบครัวก็รีบลบใบหน้าประหลาดนั่นทิ้งทันที แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ใบหน้านี้ก็จะกลับมาอยู่เสมอๆ แม้ว่าจะทำลายปูนทิ้งและฉาบปูนลงไปใหม่เลยก็ตาม     เท่านั้นยังไม่พอเพราะใบหน้าที่กลับมานั้นมันไม่ได้กลับมาเพียงหน้าเดียว แต่กลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหน้าของผู้หญิงและผู้ชาย แถมบางทีมันก็หายไปได้เองอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาสำรวจในบ้านหลังนี้ ก่อนที่จะมีการขุดพบว่าที่ใต้บ้านนั้นมันมีกระดูกฝังเอาไว้ด้วย!! แต่ถึงแม้ว่าจะมีการขนกระดูกออกไปและฉาบปูนใหม่ รอยเปื้อนสุดประหลาดเหล่านี้ก็ยังคงโผล่ขึ้นมาอยู่ดี     นั่นทำให้มีหลายๆ คนเชื่อกันว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้แท้จริงแล้วน่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์มากกว่า เป็นไปได้ว่าคนในบ้านจะเป็นคนทำภาพที่ว่าขึ้นมาเองเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามต่อให้มีการปิดตายห้องเป็นเวลาสามเดือน ก็ยังมีรอยเปื้อนใหม่ปรากฏขึ้นมาอยู่ดี แถมรอยเปื้อนเก่าๆ ยังย้ายที่ได้ด้วย และแม้ว่า María Gómez…

  • พบมัมมี่เก่าแก่จากยุคน้ำแข็งของ ลูกหมาป่า และกวางแคริบู เชื่ออายุมากกว่า 50,000 ปี

    พบมัมมี่เก่าแก่จากยุคน้ำแข็งของ ลูกหมาป่า และกวางแคริบู เชื่ออายุมากกว่า 50,000 ปี

    ภูมิภาค Klondike เป็นดินแดนของรัฐยูคอนในประเทศแคนาดา เดิมทีแล้วมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นแหล่งทองคำขนาดใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวของสถานที่แห่งนี้ เพราะล่าสุดนี้เองรัฐบาลยูคอนได้ออกมาประกาศการค้นพบมัมมี่เก่าแก่จากยุคน้ำแข็งของลูกสุนัขหมาป่า และกวางแคริบู ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือเพอร์มาฟรอสต์นั่นเอง     นี่เป็นซากมัมมี่ที่เชื่อกันว่ามีอายุมากกว่า 50,000 ปีที่ถูกค้นพบโดยคนงานเหมืองที่กำลังทำการขุดหาทองคำในภูมิภาค Klondike เมื่อปี 2016 และถูกนำมาจัดแสดงที่ดอว์สันเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา มัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าที่ถูกพบนั้นอยู่ในสภาพที่ดีมาก มันมีชิ้นส่วนของร่างกายครบถ้วน ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถเห็นผิวหนังกับเส้นขนได้อย่างชัดเจน แถมจากการแถลงการณ์ของรัฐบาลยูคอน มัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าที่พบนี้ ยังเป็นมัมมี่ลูกสุนัขหมาป่าเพียงตัวเดียวที่เคยมีการขุดพบบนโลกใบนี้ด้วย     ส่วนมัมมี่ของกวางแคริบูนั้นแม้ว่าจะถูกพบเพียงแค่ครึ่งตัวส่วนหน้าเท่านั้น แต่ก็มีความสมบูรณ์สูงเช่นกัน มันยังมีผิวหนัง เส้นขน กล้ามเนื้อ และกระดูกอยู่อย่างครบถ้วนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากมากในมัมมี่ที่มีอายุกว่า 50,000 ปี     สัตว์ที่พบทั้งสองตัวนั้นเชื่อกันว่าเดิมทีแล้วน่าจะอาศัยอยู่ในทุ่งทุนดรากับสัตว์อื่นๆ เช่นแมมมอธ และด้วยความที่พื้นที่ที่พวกมันอาศัยมีลักษณะค่อนข้างแห้งและเย็นจัด ก็ทำให้มัมมี่เหล่านี้ถูกเก็บรักษาผ่านกาลเวลามาอย่างสมบูรณ์แบบมาก การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากในทางวิทยาศาสตร์ เพราะนอกจากมัมมี่ที่พบจะมีความเก่าแก่มากแล้ว มันยังสมบูรณ์มากพอที่จะถูกใช้ในการศึกษาและตรวจสอบสัตว์ดึกดําบรรพ์ โดยในปัจจุบันนี้ ทางนักวิทยาศาสตร์เองก็กำลังพยายามศึกษามัมมี่ทั้งคู่ เพื่อหาอายุในตอนที่พวกมันยังมีชีวิต และสาเหตุที่ทำให้พวกมันตายอยู่นั่นเอง   ที่มา allthatsinteresting, theguardian, Yukon

  • 23 ภาพอาวุธและเทคโนโลยีที่มีการใช้งานในช่วง “สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”

    23 ภาพอาวุธและเทคโนโลยีที่มีการใช้งานในช่วง “สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”

    สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีชื่อเรียกอยู่หลายอย่างทั้ง “มหาสงคราม” และ “สงครามที่จะจบสงครามทั้งหมด” นี่เป็นสงครามที่แต่ละประเทศขนเอาเทคโนโลยีทางทหารทั้งหมดของตัวเองมาสาดใส่กัน เกิดเป็นสงครามที่มีการสูญเสียชีวิตมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ไม่ผิดนัก แต่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย แต่เทคโนโลยีที่ปรากฏขึ้นมาในสงครามครั้งนี้ก็เป็นต้นแบบของเทคโนโลยีมากมายในอนาคตเช่นกัน ดังเช่นเทคโนโลยีในภาพต่อไปนี้   เริ่มกันที่ภาพทหารอเมริกากำลังให้เครื่องตรวจจับเสียง เพื่อหาว่าจะมีเครื่องบินฝ่ายศัตรูบินผ่านมาไหม   รถไฟหุ้มเกราะของออสเตรียในแคว้นกาลิเซีย ประเทศสเปน 1915   ด้านในของรถไฟหุ้มเกาะเมื่อปี 1918 ภาพนี้ถ่ายจากที่ยูเครน   การใช้จักรยานปั่นไฟโดยหน่อยสื่อสารเยอรมัน กันยายน 1917   นายทหารบนรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์ 1918   รถถัง Medium Mark A Whippet ของอังกฤษซึ่งออกแบบมาให้มีความคล่องตัวกว่ารถถังรุ่นก่อนๆ 22 สิงหาคม 1918   กระสุนปืนของ 38 cm SK L/45 ปืนใหญ่ติดรางรถไฟของเยอรมัน ซึ่งเดิมทีออกแบบมาเพื่อติดตั้งบนเรือรบ จากปี 1918   ทหารเยอรมันที่ใส่หน้ากากกันแก๊สและหมวกเหล็กที่มีการเสริมแผ่นเหล็กอีกชั้น   จุดสังเกตการณ์ของอังกฤษที่ได้รับการตกแต่งให้เหมือนต้นไม้เพื่อตบตาศัตรู   กองทัพตุรกีใช้เครื่องมือสื่อสารแบบใหม่ที่ใช้แสงอาทิตย์เป็นสื่อกลาง   พาหนะที่ออกแบบโดยทางกาชาด ออกแบบมาเพื่อขนย้ายคนเจ็บระหว่างสนามเพลาะ   จรวดส่งสัญญาณของฝั่งสหรัฐฯ ในเสี้ยววินาทีที่มีการปล่อยออกไป…

  • ทฤษฎีใหม่สุดแปลก พระเยซูคริสต์ใช้ “กัญชา” ในการแสดงปาฏิหาริย์รักษาผู้คน!!

    ทฤษฎีใหม่สุดแปลก พระเยซูคริสต์ใช้ “กัญชา” ในการแสดงปาฏิหาริย์รักษาผู้คน!!

    อย่างที่เราทราบกันว่าการใช้กัญชาเพื่อการรักษาเริ่มที่จะกลายเป็นที่ยอมรับในหลายๆ ประเทศแล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนเดินมาบอกว่า การใช้กัญชารักษามีมานานกว่าที่เราคิดมาก นานถึงขั้นที่ว่าพระเยซูคริสต์เองก็เคยใช้กัญชาในการแสดงปาฏิหาริย์การรักษามาแล้ว!! นี่เป็นทฤษฎีที่ถูกเผยแพร่ออกมาโดยคุณ David Bienenstock นักเขียนและบรรณาธิการของนิตยสาร “High Times” ซึ่งมีความเชื่อว่ากัญชาน่าจะนิยมใช้ในทางแพทย์ในทางตะวันออกกลางเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว     แนวคิดที่ว่าพระเยซูคริสต์ใช้กัญชาในการรักษานั้นมาจากชื่อของพืชประหลาดในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสูตรการทำน้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์ใน Exodus (อพยพ) 30: 22-25 พืชที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “Q’aneh-bosm” ซึ่งในพระคัมภีร์ภาษาไทยระบุไว้ว่าเป็นตะไคร้ อย่างไรก็ตาม Chris Bennett นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกัญชาผู้ออกหนังสือจำนวนมากกลับบอกว่า Q’aneh-bosm บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “Keneh-bosm” และมีความเป็นไปได้ว่ารากศัพท์ของคำว่า “Kan” จาก Keneh จะแปลว่า กัญชา หรือพืชจำพวกกก ส่วน Bosm น่าจะแปลว่า กลิ่นหอม นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าตัวตนที่แท้จริงของ Q’aneh-bosm จะเป็นกัญชานั่นเอง     อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนออกมาโต้แย้งเลย เพราะ Lytton John Musselman ศาสตราจารย์วิชาพฤกษศาสตร์ที่ Old Dominion University ก็ได้ออกมาบอกว่า Q’aneh-bosm นั้นน่าน่าจะแปลว่า “ว่านน้ำ” มากกว่า นี่เป็นแนวคิดที่ตรงกับที่นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนเชื่อ เพราะตั้งแต่ในอดีตว่านน้ำมักจะถูกใช้ในการรักษาอยู่เสมอ อีกทั้งยังถูกใช้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันเลยอีกด้วย  …

  • รวม 29 ภาพแนวรบฝั่งตะวันออกระหว่างโซเวียตและนาซีเยอรมันในช่วงปี 1942-1943

    รวม 29 ภาพแนวรบฝั่งตะวันออกระหว่างโซเวียตและนาซีเยอรมันในช่วงปี 1942-1943

    มีหลายๆ คนพูดว่าสงครามโลกครั้งที่สองในฝั่งของสหรัฐนั้น มันไม่ต่างอะไรกับสงครามของวีรบุรุษ ทหารที่มาร่วมสงครามมีเหตุผลที่จะมาเขาร่วม แถมยังมีผลงานมากมายที่ถูกเผยแพร่ออกไปให้โลกได้รับรู้ ผิดกับสงครามในแนวรบฝั่งตะวันออกของเยอรมันโดยสิ้นเชิง เพราะแนวรบในด้านนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การทำลายล้าง และความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ภายใต้ชื่อของสงครามระหว่างโซเวียตและเยอรมนีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เราจะมาดู 29 ภาพการรบระหว่างโซเวียตและเยอรมนี มาดูกันดีกว่าว่าสงครามที่คนบอกว่าเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่นาซีเยอรมันแพ้สงครามมันเป็นอย่างไรกันแน่   ทหารโซเวียตเคลื่อนพลผ่านสตาลินกราดแนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง   ผู้บัญชาการของหน่วยคอซแซค (พลม้า) ที่ปฏิบัติหน้าที่ในยูเครน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1942   พลปืนต่อต้านรถถังชาวเยอรมัน พร้อมรับการจู่โจมที่แนวหน้าการรบในรัสเซีย 1942   ประชาชนรัสเซียที่ออกมาตักน้ำ ระหว่างการปิดล้อมเมืองของเยอรมนีในเลนินกราด 1942   การปิดล้อมในครั้งนั้นทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอดตาย อย่างไรก็ตามสุดท้ายเยอรมนีก็ไม่สามารถยึดเมืองแห่งนี้ได้   หลักฐานของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างการเข้ายึดครองเมือง Rostov ประเทศรัสเซียเมื่อปี 1942   ทหารเยอรมันขนส่งอาวุธข้ามแม่น้ำเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1942   หญิงชาวรัสเซียมองดูบ้านที่ลุกเป็นไฟในช่วงปี 1942   การดำเนินการสังหารชาวยิวในเคียฟเมืองหลวงของประเทศยูเครนเมื่อปี 1942   ทหารเยอรมันกับปืนกลในช่วงการรบที่สตาลินกราดฤดูใบไม้ผลิปี 1942   ทหารเยอรมันข้ามแม่น้ำรัสเซียบนรถถังของพวกเขาเมื่อวันที่…

  • เปิดเรื่องราวของ Freddie หนึ่งในสามกลุ่มเด็กสาวผู้ลอบสังหารนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง

    เปิดเรื่องราวของ Freddie หนึ่งในสามกลุ่มเด็กสาวผู้ลอบสังหารนาซีในสงครามโลกครั้งที่สอง

    เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2018 ที่ผ่านได้มีข่าวการจากไปของคุณยายวัย 92 ปีคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Freddie Oversteegan ในเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันเกิดครบรอบ 93 ปีของเธอ แม้ว่านี่จะเป็นเหมือนข่าวการจากไปของคนชราธรรมดาๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น เพราะหญิงสาวที่ดูใจดีคนนี้ ในสมัยเด็กเคยมีวีรกรรมที่สุดยอดมากๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง   Freddie Oversteegan ในช่วงปลายของชีวิต   ในปี 1940 ทหารนาซีได้บุกเข้ามาในเนเธอร์แลนด์ก่อนที่จะได้รับชัยชนะและปกครองประเทศไปเป็นเวลานาน นั่นทำให้ Freddie Oversteegan ที่ในตอนนั้นอายุได้เพียงราวๆ 14 ปี ได้เข้าร่วมกองกำลังต่อต้านของชาวดัตช์ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวต่อต้านนาซี ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในนักลอบสังหารของพวกเขาในเวลาเพียง 2 ปี   Freddie Oversteegan ในตอนที่อายุ 16 ปี   นับจากวันนั้นมา Freddie และเพื่อนๆ (พี่สาวกับเพื่อนอีกหนึ่งคน) ก็เริ่มทำงานล่อทหารนาซีเยอรมันและผู้ให้ความร่วมมือชาวดัตช์มาสังหาร ด้วยความที่มีลักษณ์ที่ดูเป็นเด็กเสียยิ่งกว่าวัยของตัวเอง ไม่นาน Freddie และเพื่อนๆ กลายเป็นนักลอบสังหารที่ทำงานได้เป็นอย่างดีในกองกำลังต่อต้านของชาวดัตช์เลยก็ว่าได้ ผลงานที่มีชื่อเสียงของพวกเธอคือการล่อนายทหาร SS…

  • ชมทฤษฎีจากคนที่เชื่อว่า “โลกแบน” กับการพยายามอธิบายเหตุการณ์ “จุดราตรีเสมอภาค”

    ชมทฤษฎีจากคนที่เชื่อว่า “โลกแบน” กับการพยายามอธิบายเหตุการณ์ “จุดราตรีเสมอภาค”

    คนเรานั้นรู้ว่าแท้จริงแล้วโลกกลมมาตั้งแต่ในอดีต และที่ผ่านมาก็มีคนที่ออกมาพิสูจน์เรื่องนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโคลัมบัส กาลิเลโอ และเหล่าคนมีชื่ออื่นๆ จากหลากหลายวงการ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่เชื่อว่าโลกแบนอยู่ในปัจจุบันอยู่ดี พวกเขาคิดว่าแนวคิดเรื่องโลกกลมที่ผ่านๆ มาทั้งหมดเป็นเพียงข้อมูลชวนเชื่อของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น และมีการนำแนวคิดทางวิชาการมากมายมาเพื่อยืนยันความคิดของพวกเขาเอง   รูปแบบแผนที่ของโลกที่แบน   และล่าสุดนี้เองพวกเขาก็ได้ออกมาพยายามอธิบายเกี่ยวกับ “จุดราตรีเสมอภาค” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้กลางวันเท่ากับกลางคืนเนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งพอดีกับเส้นศูนย์สูตรนั่นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ที่อธิบายได้ยากมากหากโลกไม่ได้เป็นทรงกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนก็สามารถหาทฤษฎีมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นจนได้ จากข้อมูลของ Samuel Birley Rowbotham เจ้าของบทความเกี่ยวกับทฤษฎีโลกแบนที่มีชื่อเสียง ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้วเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนจะใช้แผนที่ที่มีขั้วโลกเหนือเป็นศูนย์กลางของแผนที่ และคิดว่าดวงอาทิตย์นั้นเป็นก้อนแก๊สที่ลุกเป็นเพลิงอยู่ตลอดเวลาที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วรอบโลก     พวกเขาบอกว่าดวงอาทิตย์ที่ว่าจะมีรูปแบบการเคลื่อนที่ และความสูงจากพื้นที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 กิโลเมตรเหนือพื้นโลกนั่นเอง และในช่วงจุดราตรีเสมอภาคดวงอาทิตย์ก็จะเคลื่อนที่ตามเส้นศูนย์สูตรพอดี ทำให้กลางวันกับกลางคืนเท่ากันนั่นเอง อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี่มีจุดบอดอยู่ นั่นก็คือการที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือพื้นโลกไป 5,000 กิโลเมตร จะทำให้ดวงอาทิตย์ “ไม่มีวันตก” เนื่องจากดวงอาทิตย์จะไม่เคลื่อนที่ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ เส้นขอบฟ้านั่นเอง   หากอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมของทฤษฎีดวงอาทิตย์ไม่มีวันตก เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชมกันได้ที่ช่องยูทูบ Wolfie6020   นอกจากนี้การที่จะให้ดวงอาทิตย์ตกในทิศที่ถูกต้องในวันที่มีจุดราตรีเสมอภาค แสงอาทิตย์ของเหล่าคนที่เชื่อว่าโลกแบนยังต้องมีการโค้งและหักเหที่แปลกประหลาดมากอีกด้วย นั่นทำให้จนถึงปัจจุบันยังไม่มีโมเดลโลกแบนใดๆ ที่สามารถแก้ปัญหาจุดราตรีเสมอภาคได้อย่างแท้จริง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนพยายามที่จะทำมัน ดังนั้นไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะได้เห็นทฤษฎีใหม่แบบแปลกๆ จากเหล่าผู้คนที่เชื่อว่าโลกใบนี้แบนก็เป็นได้   ที่มา livescience และช่องยูทูบ Flat Out

  • รู้หรือไม่ ก่อนที่กาลิเลโอจะโดนคริสตจักรจับ เขาเคยหลอกหน่วยอินควิสซิเตอร์สำเร็จมาแล้ว

    รู้หรือไม่ ก่อนที่กาลิเลโอจะโดนคริสตจักรจับ เขาเคยหลอกหน่วยอินควิสซิเตอร์สำเร็จมาแล้ว

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่ากาลิเลโอ กาลิเลอีคือชายที่เป็น “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์” ผู้พัฒนากล้องโทรทรรศน์ และพิสูจน์ให้เรารู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าจากหลักฐานในจดหมายของกาลิเลโอ ชายคนนี้เคยพยายามหลอกการไต่สวนของคริสตจักรด้วย     มันเป็นเรื่องในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมถูกปกครองด้วยความเชื่อทางศาสนา นั่นทำให้การนำเสนอความคิดทางวิทยาศาสตร์อาจจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โดยผู้ที่รับหน้าที่ “ไต่สวน” เหล่าคน “นอกรีต” ของคริสตจักรคือหน่วย “อินควิสซิเตอร์” นั่นเอง นั่นทำให้เมื่อปี 1613 การที่กาลิเลโอส่งจดหมายซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้นพบหลักฐานในทฤษฎีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์และมีการอ้างอิงถึงคำพูดในพระคัมภีร์ให้เพื่อนของเขา จึงกลายเป็นหลักฐานอย่างดีที่ทางอินควิสซิเตอร์จะสามารถใช้ในการตัดสินว่ากาลิเลโอเป็นคนนอกรีต     เอาเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการหาว่านักวิทยาศาสตร์เป็นคนนอกรีต เพราะในปี 1600 เอง นักคณิตศาสตร์ชื่อ Giordano Bruno ก็เคยโดนจับเผามาแล้วเพราะเขาออกตัวสนับสนุนทฤษฎีคล้ายๆ กันมาก่อน โชคดีที่กาลิเลโอไหวตัวทัน เขารีบฝากจดหมายอีกฉบับให้เพื่อนที่รู้จักส่งไปยังทางวาติกันทันที โดยมีการอ้างว่าเนื้อหาในจดหมายฉบับที่ทางอินควิสซิเตอร์มีนั้นมีการแอบ “เปลี่ยนแปลง” เพื่อใส่ร้ายเขา และจดหมายที่เขาฝากเพื่อนมาให้ทางวาติกันต่างหากที่เป็น “ต้นฉบับ” ที่มีเนื้อความจริงๆ     เมื่อทางวาติกันได้รับจดหมายของกาลิเลโอทั้งสองฉบับ พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องปวดหัว เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าจดหมายฉบับไหนกันแน่ที่เป็นจดหมายจริงๆ ที่กาลิเลโอตั้งใจจะส่ง การไต่สวนของกาลิเลโอจึงถูกยกเลิกไป นั่นทำให้การลงโทษกาลิเลโอจบลงที่เพียงการเตือนไม่ให้เขาสนับสนุนทฤษฎีโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกในปี 1616 อย่างไรก็ตามกาลิเลโอกลับไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี เขาออกหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของเขาออกมาอีกครั้ง จนทำให้เขาต้องถูกกักบริเวณในบ้านจากการตัดสินของศาลกรุงโรมเมื่อปี 1633  …

  • 5 เหล่าชนชั้นสูงในอดีต ผู้มีความ “หมกมุ่น” กับเรื่องแปลกๆ และใช้อำนาจทำในสิ่งที่ต้องการ

    5 เหล่าชนชั้นสูงในอดีต ผู้มีความ “หมกมุ่น” กับเรื่องแปลกๆ และใช้อำนาจทำในสิ่งที่ต้องการ

    การที่คนเราจะมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพียงแต่บางครั้งคนเราก็คลุกคลีอยู่กับความชอบมากเกินไปจนกลายเป็นความหมกมุ่นได้เช่นกัน ตามปกติแล้วความหมกมุ่นมักจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็จริง แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะหากคนที่หมกมุ่นเป็นคนที่มีอำนาจอยู่ในมือมากๆ พวกเขามักจะใช้อำนาจที่ตัวเองมีในการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จนบางครั้งก็ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนไปตามๆ กัน เหมือนกับเหล่าชนชั้นสูงในอดีตต่อไปนี้   Friedrich Wilhelm I กษัตริย์แห่งปรัสเซียผู้หมกมุ่นอยู่กับคนสูง Friedrich ปกครองแคว้นปรัสเซียอดีตราชอาณาจักรของเยอรมนีตั้งแต่ปี 1713-1740 และมีชื่อเสียงในฐานะผู้เพิ่มกำลังพลทหารของอาณาจักรขึ้นกว่า 2 เท่า อย่างไรก็ตามชายคนนี้มีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง คือไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ชอบคนตัวสูงเหลือเกิน ถึงขั้นที่ว่ามีกองกำลังสำหรับคนที่สูงกว่า 180 เซนติเมตรไว้เลยทีเดียว ปัญหาคือนอกจากคนที่เข้ามาสมัครเองแล้ว Friedrich ยังมักจะ “ซื้อตัว” เด็กๆ ที่ตัวสูงจากชาวบ้านอีกด้วย แถมบางครั้งเขายังพยายามทำให้คนที่สูงอยู่แล้วสูงขึ้นไปอีกด้วยการผืนยืดร่างของพวกเขาด้วยเครื่องมือพิเศษ (ที่เอาเข้าจริงๆ แทบไม่ต่างจากการทรมานเลย) อีกด้วย   ราชินี Juana ที่ 1 แห่งคาสทีลผู้หมกมุ่นอยู่กับสามีที่ตายไปแล้ว ราชินี Juana มีฉายาว่า “Juana ผู้ฟั่นเฟือน” เธอรักสามีของเธอมากถึงขั้นที่ว่า เมื่อสามีของเธอทิ้งเธอไปหาหญิงอื่น เธอก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและไม่ทานอาหาร แถมเมื่อสามีของเธอตายไปในเวลาต่อมา จิตใจของเธอก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราชินี Juana นำศพของสามีมาอยู่ด้วยและไม่ยอมจากไปไหน ว่ากันว่าตลอด 5 สัปดาห์หลังสามีของเธอตาย จริงสาวก็ไม่ยอมให้ใครปิดหลุมศพของเขา แถมเธอยังมักไปกอดจูบเท้าของศพอยู่เสมอๆ…

  • 5 ผู้คุมหญิงสุดโหดแห่งนาซีเยอรมันช่วงสงครามโลก ที่โหดร้ายไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ชายเลย

    5 ผู้คุมหญิงสุดโหดแห่งนาซีเยอรมันช่วงสงครามโลก ที่โหดร้ายไม่ได้น้อยไปกว่าผู้ชายเลย

    เมื่อพูดถึงนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าใครก็คงนึกถึงภาพความโหดร้ายของพวกเขา อย่างไรก็ตามด้วยภาพลักษณ์ทางสังคมของคนในสมัยนั้น เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คน คงเป็นภาพของเหล่าชายฉกรรจ์กันทั้งนั้น ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าในบรรดานาซีเยอรมันเองก็มีผู้หญิงที่มี “ชื่อเสีย” อยู่มากมายเช่นกัน โดยส่วนมากแล้วพวกเธอจะเป็นผู้คุมของคุกหรือค่ายกักกันหญิง ซึ่งแม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้มีความโหดร้ายน้อยไปกว่าผู้ชายแต่อย่างไร เหมือนดังเช่นเหล่าผู้คุมหญิงสุดโหด 5 คนต่อไปนี้   Hermine Braunsteiner เธอทำงานในค่ายกักกันใน Majdanek ในช่วงปี 1942-1944 และได้ฉายาว่า “เดอะเมีย” ที่แปลว่า “ม้าตัวเมีย” จากการที่เธอมักกระทืบนักโทษจนตายเสมอ นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในผู้คุมเพียงไม่กี่คนที่หนีไปกบดานอยู่ที่เมืองนิวยอร์กได้สำเร็จ (ถึงจะถูกส่งกลับมาในปี 1973 ก็ตาม) เธอถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตในปี 1981 จากการสังหารนักโทษ 80 คน ให้การสนับสนุนในการสังหารเด็ก 102 คน และร่วมมือในการสังหารนักโทษอีก 1,000 คนนั่นเอง   Ilse Koch ถ้าหากพูดถึงผู้หญิงที่โหดร้ายที่สุดในเยอรมัน เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนนึกถึงเธอขึ้นมาเป็นคนแรก Ilse นั้นเดิมทีแล้วเป็นผู้หญิงธรรมดา ที่ได้มาเป็นผู้คุมหญิงของค่ายกักกัน Buchenwald จากการแต่งงานกับผู้บังคับบัญชาของค่ายกักกันในปี 1937 เธอมีชื่อเล่นว่า “แม่มดแห่ง Buchenwald ”…

  • 25 ภาพชีวิตประจำวันใน “Ghetto” สลัมชาวยิวแห่งโปแลนด์ช่วงที่ถูกปกครองโดยนาซี

    25 ภาพชีวิตประจำวันใน “Ghetto” สลัมชาวยิวแห่งโปแลนด์ช่วงที่ถูกปกครองโดยนาซี

    ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง ใช่ว่าชาวยิวทุกคนจะถูกส่งไปยังค่ายกักกันทั้งหมด โดยเฉพาะในโปแลนด์แล้วด้วย เพราะโดยมากแล้วชาวยิวจะถูกแยกออกไปอยู่ใน “Ghetto” พื้นที่สลัมสำหรับชาวยิวเสียมากกว่า นั่นทำให้ในปี 1941 ในพื้นที่เล็กๆ ของสลัมในวอร์ซอต้องมีผู้อยู่อาศัยมากถึง 460,000 ราย ซึ่งแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ในที่แห่งนี้จะนับว่าดีมากเมื่อเทียบกับค่ายกักกัน แต่ก็เลวร้ายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อบอกว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ด้วยกันอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปดู 25 ภาพชีวิตประจำวันของคนในสลัมแห่งวอร์ซอ ไปชมกันว่าชาวยิวที่ไม่ได้อยู่ในค่ายกักกัน มีสภาพความเป็นอยู่แบบไหนกัน   หญิงสาวผู้ที่กำลังจะหิวตาย นอนข้างทางเดินในวอร์ซอ   การซื้อขายผักใน “ตลาด” ข้างถนน   หญิงชราชาวยิวขายของใช้มีอยู่น้อยนิดเพื่อเงิน   ชายชาวยิวขายขนมปังของตัวเองแลกเงิน   ทุกสิ่งที่ขายได้จะถูกขายแลกเงินซื้ออาหาร แม้ว่าจะเป็นเศษเชือกก็ตาม   การซื้อขายผ้าปูเตียงบนท้องถนน   ร้านน้ำชาทำมือในตลาด   เด็กหนุ่มที่พยายามขายขนมด้วยเก้าอี้   เด็กๆ ที่กำลังขายหนังสือพิมพ์และสายรัดแขน   เด็กหนุ่มหน้าร้านขายของในสลัม เขาถอดหมวกออกตามกฎหมายที่ให้ถอดหมวกเมื่อเจอชาวเยอรมัน (ในที่นี้น่าจะเป็นตากล้อง)   เหล่าชาวยิวและเด็กๆ โพสท่าให้กล้อง   ชายคนหนึ่งที่กำลังอดอยาก ขอทานร่วมกับเด็กๆ (ที่อาจจะเป็นลูกของเขา)…

  • หลักฐานใหม่ชี้ พระสันตะปาปา “หญิง” อาจมีตัวตนอยู่จริง หลังถกเถียงกันมานาน

    หลักฐานใหม่ชี้ พระสันตะปาปา “หญิง” อาจมีตัวตนอยู่จริง หลังถกเถียงกันมานาน

    พูดถึงพระสันตะปาปาแล้ว ไม่ว่าภาพในหัวที่เรานึกถึงจะเป็นใครอย่างน้อยๆ ภาพที่ออกมาก็คงจะเป็นผู้ชายก่อนเป็นอย่างแรก ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนเคยมีข้อมูลของพระสันตะปาปาที่เป็นผู้หญิงอยู่ด้วย!!     นี่คือพระสันตะปาปาหญิงโจน หรือพระสันตะปาปาหญิง Johannes Anglicus หนึ่งในพระสันตะปาปาที่เชื่อกันว่าดำรงตำแหน่งอยู่ช่วงศตวรรษที่ 13 ผู้ที่ว่ากันว่าขึ้นเป็นพระสันตะปาปาโดยปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ก็ความลับแตกเพราะคลอดลูกบนหลังม้า อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนมากในปัจจุบันกลับเชื่อว่าเธอนั้นเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น และพระสันตะปาปาหญิงไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่อย่างใด เนื่องจากหลักฐานโบราณเกี่ยวกับพระสันตะปาปาในอดีต มักจะไม่มีการพูดถึงเธอเลย     แต่หลังจากที่มีการถกเถียงมาอย่างยาวนานนั่นเอง ล่าสุดนี้ทางมหาวิทยาลัย Flinders ในแอดิเลด ออสเตรเลียก็ได้มีการออกมาแสดงทฤษฎีที่น่าสนใจที่จะบอกเราว่าพระสันตะปาปาหญิงนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่จริง โดยอ้างอิงจาก “เหรียญ” ในสมัยก่อนนั่นเอง นี่เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นจากการตรวจสอบเหรียญเงินที่ชื่อ “Deniers” ซึ่งเป็นเหรียญเงินที่ใช้กันในยุโรปตะวันตกในยุคกลาง และได้อิทธิพลมาจากเหรียญเงินโรมันโบราณ “Denarius”     เหรียญเงินที่ว่านี้สั่งจัดทำโดยมีด้านหนึ่งเป็นชื่อของจักรพรรดิแห่งแฟรงค์ และอีกด้านหนึ่งเป็นชื่อย่อของพระสันตะปาปาในสมัยนั้น เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อกันว่านี่น่าจะเป็นชื่อย่อของพระสันตะปาปาโจนที่ 8 ผู้ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 872-882     อย่างไรก็ตามในบรรดาเหรียญเงินของพระสันตะปาปาโจนที่ 8 ที่พบนั้นมีอยู่รุ่นหนึ่งที่มีลักษณะการลงชื่อแตกต่างไปจากรุ่นอื่นมากๆ อยู่   ภาพเปรียบเทียบการออกแบบเหรียญทั้งสอง ความแตกต่างใหญ่ๆ อยู่ที่ตัว S กับตัว O จะสลับที่กัน นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆ ก็จะต่างกัน…

  • พบรูปสลักสฟิงซ์เก่าแก่ จากยุคราชวงศ์ทอเลมี ระหว่างการลดระดับน้ำใต้ดินวิหารโบราณ

    พบรูปสลักสฟิงซ์เก่าแก่ จากยุคราชวงศ์ทอเลมี ระหว่างการลดระดับน้ำใต้ดินวิหารโบราณ

    สฟิงซ์เป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับอียิปต์มาเป็นเวลานาน มันเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกัน และเป็นความเชื่อที่มีอยู่ในหลายวัฒนธรรม     อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ได้มีการออกมาเปิดเผยการค้นพบล่าสุดของรูปสลักสฟิงซ์โบราณ ในทางตอนใต้ของเมืองอัสวานประเทศอียิปต์นั่นเอง     นี่เป็นสฟิงซ์ที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างสูง มีลำตัวเป็นสิงโต และหัวเป็นคนซึ่งใส่เครื่องประดับศีรษะเหมือนงู รูปสลักที่พบมีความสูงราว 38 ซม. และกว้าง 28 ซม. เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในยุคของราชวงศ์ทอเลมี ราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ในช่วง 305-30 ปีก่อนคริสตกาล นั่นทำให้สฟิงซ์ที่พบมีอายุกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการลดระดับน้ำใต้ดินในวิหารโบราณ “Kom Ombo” ที่อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำไนล์นั่นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบวัตถุโบราณในวิหารโบราณ Kom Ombo เพราะก่อนหน้านี้เองก็มีการขุดพบภาพแกะสลักที่ซับซ้อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้งานเครื่องมือผ่าตัดรุ่นแรกๆ ของแพทย์ในสมัยโบราณมาแล้ว     จริงอยู่ว่าราชวงศ์ทอเลมีจะเป็นราชวงศ์ที่มีเชื่อสายมาจากกรีก มาซิโดเนียแต่ราชวงศ์นี้ก็ยังคงมีการหยิบยืมวัฒนธรรมจากชาวอียิปต์โบราณมาค่อนข้างมากเพราะจากภาพวาดของทอเลมีที่ 1 โซเตอร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เองก็มีการใส่เครื่องประดับแบบฟาโรห์ในอดีต แถมรูปปั้นสฟิงซ์ที่พบเองก็เป็นงานศิลป์ในรูปแบบอียิปต์โบราณด้วยเช่นกัน   ที่มา livescience