พบร่างเด็ก 10 ขวบถูก “ฝังแบบแวมไพร์” ตามความเชื่อโรมันโบราณ ป้องกันศพ “ลุกกลับมา”

ในยุคที่ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปกครองมนุษย์ ความกลัวในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสำหรับชาวโรมันโบราณแล้ว หนึ่งในเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้น คือการที่คนตายลุกขึ้นมาจากหลุมศพ

นั่นทำให้เมื่อนักโบราณคดีได้พบกับร่างของเด็กอายุราวๆ 10 ขวบคนหนึ่งที่ถูกฝัง “โดยยัดหินไว้ในปาก” ไว้ในซากโบราณสถานในอิตาลี พวกเขาจึงเข้าใจได้ว่าการฝังแบบนี้น่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมานั่นเอง

 

 

นี่เป็นรูปแบบการฝังที่นักโบราณคดีเรียกกันว่า “การฝังแวมไพร์” โดยจะเป็นการนำเหยื่อที่ตายด้วยโรคร้ายหรืออาการแปลกๆ มาฝังโดยนำของแข็งยัดใส่ไว้ในปาก หรือไม่ก็ตอกลิ่มทะลุหัวใจตรึงร่างไว้กับพื้น

การกระทำเช่นนี้เป็นไปได้ว่าจะถูกเชื่อโดยคนสมัยก่อนว่าช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ หรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้ศพลุกขึ้นมากัดคน แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละที่

 

 

โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่ “La Necropoli dei Bambini” สถานที่ซึ่งใช้ฝังศพเด็กในสมัยโรมันช่วงกลางศตวรรษที่ห้า ซึ่งเดิมทีแล้วเชื่อกันว่ามีไว้ฝังทารกและเด็กเล็กเท่านั้น

นั่นทำให้การค้นพบเด็กอายุราวๆ 10 ขวบในครั้งนี้ไปขยายช่วงอายุของเด็กที่จะถูกฝังที่นี่ขึ้น เพราะจนถึงเมื่อไม่นานมานี้โครงกระดูกของเด็กที่พบที่นี่ ไม่มีร่างไหนเลย ที่อายุมากกว่า 3 ขวบ

แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะดูแปลก แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบโครงกระดูกที่ชาวโรมันมีมาตรการป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับมา เพราะในอดีตเองก็ได้มีการพบโครงกระดูกที่มีการใช้หินทับไว้เป็นจำนวนมาก

 

 

แม้กระทั่งในสุสานเดียวกันนี้เองก็มีร่องรอยว่าร่างของเด็กๆ บางส่วนถูกเอาหินทับมือและเท้าไว้เพื่อไม่ใช้พวกเธอลุกขึ้นมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตามนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีร่างของเด็กที่ถูกยัดหินใส่ปากเพื่อป้องกันการลุกขึ้นมาจากหลุมศพในยุคโรมัน และมีความหลายคลึงกับศพที่เคยถูกค้นพบในปี 2009 ของหญิงชราที่เวนิซเมื่อศตวรรษที่ 16 มากว่า

 

 

ดูเหมือนว่าร่างของเด็กที่พบจะมีร่องรอยของฟันที่เป็นหนองอันเป็นผลพวงของโรคมาลาเลีย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าร่างที่พบนั้นจะมาจากช่วงที่โรคมาลาเลียกำลังระบาดหนัก

อย่างไรก็ตามร่างที่พบนั้นยังไม่ได้มีการตรวจสอบ DNA แต่อย่างไร และในปัจจุบันนักโบราณคดีได้หยุดการขุดค้นสุสานแห่งนี้ไว้ชั่วคราว โดยพวกเขาจะกลับมาดำเนินการขุดค้นกันต่อในฤดูร้อนหน้าต่อไป

 

ที่มา ancient-originssciencedailyarstechnica

Comments

Leave a Reply