ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2011 ได้มีการค้นพบมัมมี่ประหลาดในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และกลายเป็นปริศนาที่หลายๆ คนพยายามตามหากันว่าแท้จริงแล้วมัมมี่ที่พบ เป็นของใครและมาจากไหนกันแน่
นี่เป็นมัมมี่ของหญิงสาวผู้มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในโลงศพที่ทำจากเหล็ก ซึ่งเดิมทีแล้วดูสดใหม่มากจนทางตำรวจเชื่อกันว่า เธอน่าจะเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยของ Scott Warnasch นักโบราณคดีนิติเวชและทีมงาน ดูเหมือนว่ามัมมี่ที่พบนั้นจะมีอายุมากกว่าที่คิดมาก
เพราะนี่ไม่ใช่เหยื่อของคดีฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งปี แต่เป็นร่างของหญิงสาวที่จากไปเมื่อกว่า 1 ศตวรรษก่อนต่างหาก
“เธออาจจะดูเหมือนว่าเพิ่งตายไปได้ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ แต่จริงๆ แล้วเธอจากไปเมื่อ 160 ปีก่อนต่างหาก” Warnasch กล่าว
ดูเหมือนว่าร่างของหญิงสาวจะถูกเก็บรักษาไว้ในโลงศพที่ปิดสนิทจนลมเข้าไม่ได้ตั้งแต่ในช่วงกลางยุค 1800 และนั่นทำให้สภาพของเธอกลายเป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์มากจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างที่เห็น
แต่สิ่งที่น่าสนใจของมัมมี่ร่างนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเก่าแก่เท่านั้น เพราะจากการตรวจสอบโดยละเอียดของนักโบราณคดี ก็มีการพบว่าในมัมมี่ที่พบนั้นมีร่องรอยของการเป็นโรคฝีดาษอยู่ด้วย
นั่นทำให้มัมมี่ร่างนี้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีของการศึกษาโรคในอดีตไป อีกทั้งการที่เธอเป็นโรคฝีดาษเองก็เป็นการอธิบายที่ดีเลยว่าทำไมเธอนั้นถึงถูกฝังไว้ในโลงศพเหล็กแบบนี้
เพราะผู้ที่ตายด้วยโรคร้ายในอดีตจะมักถูกฝังในโลงศพเหล็กแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดต่อของโรคจากศพสู่คนนั่นเอง
หน้าตาของมัมมี่ที่พบในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งวิเคราะห์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน
นอกจากนี้ทางทีมวิจัยได้ตรวจสอบประวัติคนตายในสมัยก่อนและพบว่ามัมมี่ที่พบนั้นน่าจะเป็นของ “Martha Peterson” หญิงสาวแอฟริกันอเมริกันวัย 26 ปี ที่เสียชีวิตไปในสมัยก่อนอีกด้วย
นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เพียงแต่มัมมี่ร่างนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคฝีดาษในอดีต แต่มันยังอาจนำไปสู่การความรู้เรื่องการใช้ชีวิตของคนแอฟริกันอเมริกันในช่วงต้นศตวรรษที่ 19
ที่มา allthatsinteresting, livescience
Advertisement