ย้อนรอย “มัมมี่ถ้ำวิญญาณ” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมาอย่างยาวนาน

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1940 ในระหว่างที่โลกยังตกอยู่ท่ามกลางสงคราม นักโบราณคดีได้ขุดพบมัมมี่โครงกระดูกเก่าแก่ร่างหนึ่งที่ถ้ำหินในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเนวาดา

ในเวลานั้นมัมมี่โครงกระดูกที่พบถูกตั้งชื่อว่า “มัมมี่แห่งถ้ำวิญญาณ” (Spirit Cave Mummy) และดูจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่ใครจะเชื่อเล่าว่าราว 50 ปีต่อมา พวกเราก็ได้ทราบว่าสิ่งที่พบนั้น มันไม่ใช่แค่โครงกระดูกธรรมดาๆ

 

 

เพราะจากการตรวจสอบหาอายุทางคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้วกระดูกที่พบนั้นมีอายุถึงราวๆ 10,600 ปี (บางแหล่งก็บอกว่า 9,400 ปี) เลยทีเดียว

ซึ่งนั่นหมายความว่านี่คือมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั่นเอง เพราะแม้ว่ามัมมี่ที่พบจะมีลักษณะแทบจะเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว แต่ก็มีร่องรอยที่ชัดเจนมากว่ามีการถูกเก็บรักษาไว้โดยอาศัยความร้อนและแห้งในถ้ำ

 

 

แต่การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้เองก็นำมาซึ่งความขัดแย้งเช่นกัน เนื่องจากชนเผ่า Fallon Paiute-Shoshone ซึ่งเป็นพื้นเมืองอเมริกันในพื้นที่ ได้ออกมาอ้างตัวว่าถ้ำที่มีการชนพบมัมมี่นี้ เป็นที่อยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง

แน่นอนว่าในอดีตรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาจะไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ จนทำให้เกิดการแย่งชิงความเป็นเจ้าของมัมมี่ที่พบมาอย่างยาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ

การต่อสู้นี้ดำเนินมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งในปี 2015 ทางชนเผ่าก็ยอมให้มีการตรวจสอบ DNA ของมัมมี่ที่พบ และนำมาซึ่งความจริงในเวลาต่อมา

 

ภาพใบหน้าของมัมมี่เก่าแก่ในสมัยที่ยังมีชีวิต ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีในปัจจุบัน

 

เพราะจากการวิเคราะห์ DNA ของโครงกระดูกที่พบ เราก็ได้ทราบว่ามัมมี่นี้มีความเกี่ยวข้องกับชนเผ่า Fallon Paiute-Shoshone จริงๆ อย่างที่ทางชนเผ่าอ้างมานั่นเอง

นั่นทำให้สิทธิในการครอบครองมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกนั้นกลับไปอยู่กับชนเผ่าพื้นเมืองในที่สุด และจากธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน เผ่า Fallon Paiute-Shoshone ก็ได้นำมัมมี่ร่างนี้กลับไปฝังไว้ที่สุสานประจำเผ่าต่อไป

 

ถ้ำหินในเนวาดาที่มีการค้นพบมัมมี่โครงกระดูกร่างนี้

 

และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่โลกจะได้เห็นมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุด และแม้ว่าจะมีหลายฝ่ายที่รู้สึกเสียดายกับการนำมัมมี่ที่มีค่าขนาดนี้ไปฝัง แต่อย่างน้อยๆ บรรพบุรุษอายุร่วม 10,600 ปีร่างนี้ก็จะได้กลับไปนอนหลับกับลูกหลานอย่างสงบเสียที

 

ที่มา historynatureallthatsinterestingdailymail

Comments

Leave a Reply