Author:

เรื่องของการ ‘ศัลยกรรม’ สามารถทำให้เราออกแบบใบหน้าของเราได้ ว่าอยากมีหน้าเป็นอย่างไร หรือคล้ายๆ กับใครที่เราชอบ และนี่เองจึงได้ทำให้หนุ่มคนหนึ่งเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองให้เหมือนกับ Michael Jackson ไอดอลที่เขาชื่นชอบ ซึ่งต้องบอกว่าถึงไม่เหมือนแต่ก็มาทรงเดียวกันจริงๆ     Leo Blanco หนุ่มวัย 22 ปีชาวอาร์เจนตินาทุ่มเงินเป็นเงินกว่า 22,000 ปอนด์ (ราวๆ 910,000 บาท) เปลี่ยนตัวเองให้ดูเหมือนกับ Michael Jackson ราชาเพลงป๊อปไอดอลในดวงใจของเขา ชายผู้นี้เล่าว่าตัวเขาเองเป็นหนุ่มที่มาจากบัวโนสไอเรส และผ่านมีดหมอมาแล้วถึง 11 ครั้งด้วยกัน รวมทั้งยังมีการทำกรรมวิธีต่างๆ ด้านความงามอีกอย่างเช่นการฉีดโบท็อกซ์และอื่นๆ อีกมากมาย     ส่วนเงินที่เขานำมาศัลยกรรมนั้นเป็นเงินที่ได้จากงานแสดงเป็น Michael นั่นเอง ซึ่งเขาบอกว่าตอนนี้ยังเหมือนไม่พอและมีแผนว่าจะศัลยกรรมต่ออีกในอนาคต “ถ้าหากครั้งหนึ่งคุณมีโอกาสได้ศัลยกรรมแล้วล่ะก็มันไม่มีจะหยุดได้แน่ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะหยุดแค่ 1 – 2 ครั้ง เชื่อผมเถอะคุณต้องการมันอีกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” Leo กล่าว     โดยรายการศัลยกรรมคร่าวๆ ของ Leo ก็มีการผ่าตัดเปลี่ยนทรงหู 2…

คำเตือน: บทความนี้อาจมีเนื้อหาหรือภาพที่ดูรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   ในวันนี้ (24 มกราคม 2019) ได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาบริเวณย่านธุรกิจใจกลางเมือง ได้พบกับ ‘บาร์บีคิวสุนัขปลอม’ ตั้งอยู่     โดยเจ้าบาร์บีคิวปลอมที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่นี้ เป็นผลงานจากองค์กรพิทักษ์สัตว์ People for the Ethical Treatment of Animals (PETA) ที่นำมาตั้งไว้ย่านศูนย์การค้า Pitt Street Mall ส่วนจุดประสงค์ของการทำเช่นนี้ก็เพื่ออยากรณรงค์ให้ชาวออสเตรเลีย งดกินเนื้อสัตว์ในวันชาติที่กำลังมาจะมาถึงในวันเสาร์ที่ 26 มกราคมนี้นั่นเอง     การตกแต่งแท่นของบาร์บีคิวสุนัขปลอม มีการใช้ทั้งข้าวโพด หัวหอมและเห็ด เป็นส่วนในการตกแต่ง และนอกจากนี้ยังมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ถ้าคุณไม่กินเนื้อสุนัข ทำไมถึงกินเนื้อแกะล่ะ มาเป็นวีแกนกันเถอะ”      “แน่นอนว่าไอเดียการทำ ‘บาร์บีคิวสุนัข’ นี้ อาจเป็นเรื่องที่ทำให้ชาวออสเตรเลียรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก… แต่ขณะเดียวกันสัตว์จำนวนหลายล้านตัวก็ต้องทนต่อความโหดร้าย และทุกข์ทรมานกับการถูกเพาะพันธุ์ เลี้ยงดู และถูกฆ่าตามระบบอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์” “ใครก็ตามที่ผลักไสเรื่องการนำเนื้อสุนัขมาเป็นอาหาร ก็ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองถึงความเท่าเทียมต่อสัตว์ที่น่าเวทนาประเภทอื่นๆ ด้วย”…

บางครั้งโลกอินเทอร์เน็ตก็มีบางเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นประเด็นให้เถียงกันขึ้นมาได้ แต่ว่าก็มีให้เห็นมาแล้วหลายครั้งหลายคราในกรณีต่างๆ และล่าสุดก็มีอีกเรื่องที่หลายคนคิดไม่ถึงกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกแล้ว เมื่อทางชาวเน็ตต่างชาติได้ถกเถียงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันว่า ตัวอักษร ‘X’ ในภาษาอังกฤษนั้นมีวิธีเขียนยังไงกันแน่… โดยเรื่องมีอยู่ว่าทวิตเตอร์ของศิลปินชาวฟิลาเดลเฟียนามว่า Sixers Smasey ได้วาดไดอะล็อกวิธีการเขียนตัว X ขึ้นมา ซึ่งทำให้เห็นว่าอย่างน้อยๆ เราสามารถที่จะเขียนตัว X ได้ถึง 8 แบบเลยทีเดียว     “นี่เป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับฉันเลยทีเดียวว่า X ว่าคุณมีวิธีเขียนตัว X ยังไงกันแน่ โดยบรรทัดที่เป็น ‘สี’ คือเส้นแรกที่ขีดนะ” แคปชั่นเขียนไว้ดังนี้   วิธีการวาดตัว X ทั้ง 8 แบบ   จากนั้นโพสต์นี้ก็ได้รับรีทวีตไปเกือบๆ 20,000 ครั้ง แถมยังมีคนกดไลก์กว่า 76,000 คน รวมทั้งมีคอมเมนต์เข้ามาพูดคุยต่างๆ ถึงวิธีเขียนตัว X ของพวกเขาเอง แถมยังมีการบัฟกันเล็กๆ ด้วย   มันต้อง 8 อยู่แล้ว สำหรับใครที่เขียนจากล่างขึ้นบน เขาคนนั้นคงต้องเป็นคนที่วางกระดาษชำระไว้กับแกนแบบผิดทางแน่ๆ   อย่างนี้น่ะเหรอ…

คำเตือน: บทความนี้อาจมีภาพที่ดูน่ากลัวไปบ้าง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   สำหรับใครที่เคยสัมผัสกับประสบการณ์มีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในลำคอ อย่างก้างปลาหรือกระดูกสักอย่าง คงจะรู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน แต่เชื่อหรือว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่มี ‘แผงยา’ ติดอยู่ในลำคอถึง 17 วันเต็มๆ โดยที่เธอไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน…     เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงไม่ประสงค์จะออกนามวัย 40 ปีคนหนึ่งในประเทศไอร์แลนด์เหนือในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และได้รับการบันทึกลงในวารสารทางการแพทย์ BMJ Case Reports  เธอกล่าวว่าหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมากินยากลางดึกของวันดังกล่าว เช้าวันต่อมาเธอก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ที่บริเวณลำคอ ด้วยความสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ เธอจึงรีบเข้าโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งเธอได้บอกอาการกับคุณหมอแผนก หู คอ จมูกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวรวมถึงมีการกลืนอาหารที่ยากกว่าเดิม แต่ทางคุณหมอเมื่อตรวจอาการเสร็จก็บอกว่าเธอปกติดีไม่มีอะไร เพราะไม่มีอาการหายใจติดขัดและสามารถเคลื่อนไหวคอในทิศทางต่างๆ ได้อย่างไม่มีความเจ็บปวด รวมทั้งไม่เจอสิ่งแปลกปลอมใดๆ จากการเอกซเรย์   เอกซเรย์ไม่พบว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดๆ มีแต่แผลเล็กน้อยเท่านั้น   ทว่าก็แพทย์พบความผิดปกติเล็กน้อยจากผลการเอกซเรย์ เนื่องจากว่ามีรอยขีดข่วนบางอย่างที่ช่องคอของเธอ แต่ทางคุณหมอก็เชื่อว่าเป็นแผลจากการกินยาทั่วๆ ไป จึงได้ปล่อยตัวกลับบ้านและบอกว่าถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นใน 2 วันให้กลับมาอีกที แน่นอนว่าอาการของเธอยังคงไม่ดึขึ้น 3 วันให้หลังเธอจึงกลับไปพบคุณหมออีกครั้ง ซึ่งคราวนี้คุณหมอได้รักษาอาการด้วยการใช้สเตียรอยด์และยาแก้ปวด อาการของเธอก็ดีขึ้นและกลับบ้านไป หลังจากนั้น 5 วันต่อมาเธอก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการเดียวกับครั้งก่อนๆ ซึ่งในคราวนี้ทางแพทย์ได้ใช้การเอกซเรย์แบบพิเศษตรวจหาดู…

เรื่องของอาหาร นอกจากจะต้องใช้เสน่ห์ปลายจวักทำให้อร่อยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่มีส่วนเอามากๆ กับความสุนทรีย์ในการกินก็คือเรื่องของหน้าตาอาหาร ที่สามารถใช้ศิลปะตกแต่งให้ดูสวยงามเพิ่มคุณค่าให้กับมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และในวันนี้ #เหมียวจิวยี่ จะพาเพื่อนๆ ไปดูศิลปะการแต่งจานซูชิ ที่ไม่ใช่มาเล่นๆ แต่ว่าในในธีม ‘สตาวอร์ส’ แล้วมันก็ดูงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ…   สวยไหมล่ะ   Okitsugu Kado เชฟพรสวรรค์จากแดนปลาดิบ คือคนที่จัดเรียงจานซูชิเหล่านี้ เขาทั้งแกะสลักผักต่างๆ ด้วยฝีมืออันเยี่ยมยอด และจัดเรียงสิ่งต่างๆ ได้อย่างลงตัวจนบางคนแทบจะไม่กล้าแตะอาหารเหล่านี้เลย (ก็มันสวยนี่เนาะ) เอาเป็นว่าอย่าเสียเวลา ไปดูศิลปะบนจานอาหารจากฝีมือของเขากันเลยดีกว่า แล้วคุณจะทึ่งจนอยากจับมีดมาลองแกะสลักบ้างแน่ๆ   บอกทีว่านี่แตงกวาใช่ไหม   น่ากินจริงๆ เล้ย   ฝีมือเค้าเยี่ยมยอดจริมๆ   ซามูไรมาเยือนเจ้าแล้ว   ไม่กล้าตักกินเลยทีเดียว   อย่างงามอ่ะ   เจ้าฆ่าพ่อข้า เอ้าโทษๆ ผิดเรื่อง   ดาร์ธเวเดอร์ แล้วนั่นตัวอะไรล่ะนี่   ทหารสตรอมทรูปเปอร์มาเข้าเวรแล้ว   มีดในมือนี่มันสั่นไปหมด   ที่มา: designyoutrust, grapee

สำหรับโลกอินเทอร์เน็ตนั้น Meme หรือ ‘มีม’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้อย่างอื่นเลยจริงๆ ดังเช่นในอดีตที่มีมีมตลกๆ มากมายออกมาได้ไปตัดต่อเล่นกันขำๆ และเมื่อก้าวสู่ปี 2019 นี้ลองเดาสิว่ามีมแรกของปีจะเป็นเช่นไรกัน ติ๊กต่อกๆ คิดกันไม่ออกใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เฉลยแล้วกัน มีมนั้นคือตัวละครชื่อว่าซาสึเกะ จากการ์ตูนเรื่อง ‘นารูโตะ’ นั่นเอง โดยที่มาของเรื่องนี้คือฉากหนึ่งใน Naruto Shippuden ตอนที่ 259 ซึ่งเป็นฉากที่อุจิวะ อิทาจิ บีบคอซาสึเกะเพื่อพูดถึงเรื่องความอ่อนแอของเขานั่นเอง   ฉากการบีบคอที่ว่านี้  จากนั้นเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ชื่อว่า @mazarenai ก็เห็นว่าฉากนี้มันน่าจะเอาไปทำอะไรฮาๆ ได้เขาเลยตัดต่อเป็นภาพแมวกำลังบีบคอซาสึเกะซะอย่างงั้น     ต่อมาโพสต์นี้ก็ฮิตแบบกระจุยกระจายมีการรีทวีตไปกว่า 10,000 ครั้งแล้วก็มีคนทำตามอย่างมากมายด้วยภาพต้นฉบับที่มีคนตัดมาแจก   ภาพต้นฉบับที่ว่านี้   แล้วจะเกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องถาม ชาวเน็ตเล่นกันเละซิครับงานนี้ เลยกลายเป็นความฮาไปโดยปริยาย   ไหนว่าไม่ทำร้ายใครไง น้องสไปเดอร์   นายมันอ่อนน่ะ ซาสึเกะ   เอ๋ ผิดเรื่องรึเปล่านะ   เปล่านะไม่ใช่ผม  …

สำหรับเด็กๆ แล้วการมาโรงเรียนสายก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่คุณครูพยายามแก้ไขให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้มาตรการหรือการลงโทษ ซึ่งคุณครูแต่ละคนก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าในประเทศจีนมีการลงโทษแปลกๆ เกิดขึ้นอยู่กรณีหนึ่ง เมื่อคุณครูลงโทษนักเรียนที่มาโรงเรียนสายด้วยการ ‘โกนผม’ ทว่าในท้ายที่สุดเธอก็กลับถูกลงโทษซะเอง…     เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนชั้นมัธยมศึกษาในเขต Yongnian มณฑลเหอเป่ย เมื่อคุณครูท่านหนึ่งสั่งลงโทษนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวนหนึ่งที่มาโรงเรียนสายด้วยการ ‘โกนผม’ (แต่ยังเหลือผมอยู่นิดหน่อย) เพื่อให้นักเรียนจดจำเป็นบทเรียน     แต่ก็แน่นอนว่าในเรื่องนี้มีพ่อแม่ของเด็กบางคนที่ไม่พอใจกับการลงโทษเช่นนี้ จึงได้นำเรื่องไปร้องเรียนกับทางโรงเรียนในเวลาต่อมา และในท้ายที่สุดนั่นก็ทำให้คุณครูท่านนี้ถูกไล่ออกมาจากโรงเรียนไปโดยปริยาย ซึ่งการไล่ออกนี้อาจจะหมายถึงความที่เธออาจจะหางานในการเป็น ‘คุณครู’ ให้กับที่อื่นได้ยากอีกด้วย…   วิดีโอในเรื่องนี้   ที่มา: shanghaiist, miaopai

หนึ่งในสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เรานอกจากการกินแล้ว ก็คือ ‘การพักผ่อน’ เพราะธรรมชาติของคนเราไม่ใช่เครื่องจักรที่สามารถทำงานได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดพัก และถ้าเราฝืนร่างกายของเราโดยไม่พักผ่อนเลย ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แล้วก็ไม่แน่เหมือนกันว่าอาจเกิดความรุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตเหมือนกับในกรณีนี้ เมื่อตำรวจจราจรจีนท่านหนึ่ง ต้องเสียชีวิตหลังจากเขาทำงานติดต่อกันเป็นเวลาถึง 24 ชั่วโมง ก่อนที่เพื่อนร่วมงานจะไปพบเข้าและรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ทันการณ์แต่อย่างใด…   นายตำรวจผู้เสียชีวิต   ในเช้าวันพุธที่ผ่านมา (16 ม.ค.) นายตำรวจวัย 55 ปีแห่งนครฉงชิ่งชื่อว่า Jiang Ruihua ถูกนำตัวส่งพยาบาลในท้องถิ่นด้วยภาวะเลือดออกในสมองอย่างฉับพลัน ซึ่งในเวลาต่อมาเขาถูกประกาศว่าเสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อย แหล่งข่าวท้องถิ่นรายงานว่านายตำรวจ Jiang ทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 24 โมงเต็มๆ ก่อนที่เพื่อนร่วมงานของเขาชื่อว่า Dai Jun จะไปพบตัวขณะนอนสลบคาชุดเครื่องแบบอยู่ในออฟฟิศ จึงได้เรียกรถพยาบาลมารับตัวไป     สำหรับนายตำรวจ Jiang ผู้เสียชีวิตนั้น เป็นผู้ที่เข้าร่วมกับทีมตำรวจตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 1986 และเคยได้รับรางวัล ‘จราจรดีเด่น’ ถึงสองครั้งด้วยกัน “หลังจากทำงานเป็นเวลา 24 ชั่วโมงติดต่อกัน เจ้าหน้าที่ Jiang กำลังจะก้าวขาออกไปจากออฟฟิศเพื่อทำหน้าที่จราจรในชั่วโมงเร่งด่วน แต่เขาก็ประสบกับอาการเลือดออกในสมองอย่างฉับพลันและทรุดตัวลงไปเสียก่อน และแม้ว่าจะพยายามช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล เขาเสียชีวิตในเวลาต่อมาในวัย 55…

เรื่องของ ‘การกิน’ เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราไม่ควรจะมองข้าม เพราะมันเป็นเรื่องสามารถส่งผลต่อสุขภาพของเราได้โดยตรงว่าจะทำให้มีสุขภาพดี หรือมีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือนก็มีความเป็นไปได้ และบางทีถ้าลองดูกรณีนี้แล้วเราอาจจะใส่ใจกับเรื่องของการกินมากยิ่งขึ้น เมื่อคุณป้าคนหนึ่งถูกส่งเข้าโรงพยาบาลแล้วคุณหมอก็พบว่า เธอมีนิ่วกว่า 806 ก้อนอยู่ในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นผลมาจากการกินอาหารมันๆ ทุกมื้อ!!     เรื่องนี้มีอยู่ว่าเมื่อ 19 ปีที่แล้วคุณป้าแซ่ Fan วัย 66 ปีผู้อาศัยอยู่ในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ไปหาคุณหมอแล้วได้รับการวินิจฉัยว่ามี ‘นิ่วในถุงน้ำดี’ (Gallstone) อยู่จำนวนหนึ่ง แต่แล้วเธอก็ปฏิเสธการผ่าตัดออก และใช้ชีวิตตามปกติด้วยการใช้ยาแก้ปวดระงับอาการ จากนั้นก็ไม่มีเกิดขึ้นจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ มานี้ เมื่อคุณป้าเริ่มมีอาการชัดขึ้นอย่างเช่นการเป็นกรดไหลย้อน รวมทั้งอาการปวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ     จนในท้ายที่สุดแล้วเธอไม่สามารถทนรับความเจ็บปวดในอีกต่อไป ลูกสาวของเธอจึงพาตัวไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งทางแพทย์ได้ตรวจดูเพื่อหาสาเหตุแล้วก็ต้องทึ่งเมื่อพบว่า เธอมีนิ่วในถุงน้ำดีอยู่ถึง 806 ก้อน ซึ่งบางก้อนมีขนาดใหญ่จนเกือบเท่าขนาดลูกกอล์ฟเลยทีเดียว!!   นิ่วที่ตรวจพบ   คุณหมอได้นำก้อนนิ่วที่น่าตกตะลึงเหล่านี้ไปทำการทดสอบ แล้วก็พบว่าส่วนประกอบหลักๆ ของก้อนนิ่วเหล่านี้ประกอบด้วย ‘คอเลสเตอรอล’ ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการกินอาหารของเธอ โดยคุณป้า Fan เล่าให้ฟังว่า เธอชอบกินอาหารที่มันๆ อย่างมาก โดยในทุกๆ มื้อเธอจะต้องมีอาหารมันๆ…

‘รองเท้า’ อีกหนึ่งเครื่องแต่งกายตามปัจจัยสี่ ที่จะช่วยให้เท้าของเราไม่โดนสิ่งสกปรก หรือถูกของแหลมคมทิ่มแทงใส่ และบางครั้งมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องบ่งบอกแฟชั่นตามสไตล์ที่เราชอบได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามที มีชายคนหนึ่งที่ปฏิเสธอุปกรณ์ชิ้นนี้อย่างไม่ไยดี ด้วยการเลิกใส่รองเท้ามาแล้วถึง 50 ปีด้วยกัน ซึ่งนั่นเองทำให้เขากลายเป็นที่จดจำ และเป็นตำนานแห่งเมืองเบอร์มิงแฮมไปโดยปริยาย!!   Pete McKenzie เจ้าของตำนาน   Pete McKenzie ชายสุดฮิปปี้เจ้าของฉายา ‘Pete the Feet’ ย้ายจากมณฑลคัมเบรีย มาใช้ชีวิตที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ในช่วงยุค 1960s และที่นี่เองที่เขาตัดสินใจเลิกสวมใส่รองเท้าไปตลอดกาล เพราะเหตุผลง่ายๆ นั่นคือรองเท้าหรือสิ่งอื่นใดที่ห่อหุ้มเท้ามันทำให้เท้าของเขา ‘มีเหงื่อ‘ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ…     “ผมไม่ชอบรองเท้า แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คืออะไรที่มันอยู่บนเท้าผมก็ไม่ชอบหมดแหละ แม้แต่ตอนแต่งงานผมยังไม่ใส่รองเท้าไปโบสถ์เลย”  “เมียของผมเคยเห็นผมใส่รองเท้าแค่ครั้งเดียวหรือสองครั้งเองแหละมั้ง แต่ลูกสาวหรือหลานๆ ของผมไม่เคยเห็นผมใส่มันแน่ๆ” “มันไม่เหมาะกับผมน่ะ เจ้าสิ่งสิ่งนั้น มันไม่เหมาะกับเท้าของผม ตั้งแต่ได้ถอดมันผมเลยตัดสินใจถอดมันไปทั้งชีวิตเลยละกัน ซึ่งนั่นทำให้ผมได้ฉายานี้มา และผมจะไม่กลับไปใส่รองเท้าอีกเป็นอันขาดในชีวิตนี้” Pete ให้สัมภาษณ์ในปี 2014   ภาพงานแต่งงานของเขาในปี 1970   Pete มักจะมาปรากฏตัวด้วยลุคฮิปปี้แบบเท่ๆ…

สนามบินเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากหน้าหลายตามาใช้บริการร่วมกัน เพราะว่าเป็นการเดินทางที่นับว่ารวดเร็วที่สุดในปัจจุบันในการเดินไปไหนมาไหน อย่างเช่นไปต่างจังหวัด ต่างรัฐหรือต่างประเทศ และด้วยความที่มันสะดวกเช่นนี้เอง จึงทำให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มักมีคนลักลอบเอาสิ่งต่างๆ ผิดกฎหมายเข้าออกอยู่เสมอๆ ดั่งที่เราเห็นข่าวกันอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมามีการค้นพบที่ต้องเรียกว่าทึ่งจริงๆ เพราะเจ้าหน้าที่สนามบินแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนีได้พบว่า มีชายลักลอบจะเอางูออกนอกประเทศด้วยการยัดมันเอาไว้ในกางเกงที่เขาสวมอยู่!!   สนามบิน Berlin-Schönefeld Airport ประเทศเยอรมนี   เรื่องราวแปลกๆ นี้เกิดขึ้นเมื่อวันคริสต์มาสอีฟปีที่ผ่านมา (25 ธ.ค. 2018) ที่สนามบิน Berlin-Schönefeld Airport ประเทศเยอรมนี ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่ได้สังเกตว่ามีชายคนหนึ่งที่มีกางเกงตุงๆ ผิดปกติ จึงได้ขอทำการเข้าตรวจค้น แล้วสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็ทำต้องถึงกับตะลึงงัน   ใส่ถุงไว้อย่างดี   เพราะมันคืองูตัวยาวกว่า 40 เซนติเมตรถูกใส่ไว้ในกระสอบมัดไว้อย่างดี แล้วซ่อนเอาไว้ในกางเกงอีกทีหนึ่ง ซึ่งในที่สุดเขาก็สารภาพว่าพยายามจะลักลอบนำเจ้างูตัวนี้ไปยังประเทศอิสราเอลนั่นเอง ในภายหลังได้ตรวจสอบว่าเจ้างูตัวนี้คืองูสายพันธุ์โบอา งูไม่มีพิษที่มีขนาดใหญ่คล้ายๆ กับงูเหลือม แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ยึดงูตัวนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย และส่งมันไปที่ศูนย์ช่วยเหลือในรัฐบรันเดินบวร์ค ส่วนทางชายคนที่ลักลอบกำลังเข้าสู่กระบวนการตัดสินความผิดอยู่…   แอ่แฮร้   คำแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน กล่าวว่า นี่เป็นการค้นพบที่แปลกประหลาดในปี 2018 ที่ผ่านมาเลยทีเดียว เพราะคงไม่ใช่ใครก็ได้แน่ๆ ที่กล้าเอางูใส่ไว้ในกางเกงเช่นนี้   ที่มา: dailymail, Berliner Zeitung

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันว่าอยากจะบ้านพักสวยๆ ได้นั่งจิบไวน์กินพิซซ่ารสดั้งเดิมตามแบบฉบับชาว ‘อิตาลี’ พร้อมๆ กับการได้ขี่รถเวสป้าเท่ๆ คุยกับชาวบ้านชนบทในแดนมักกะโรนี ในตอนนี้ความฝันอันสวยหรูนี้อาจจะไม่ใช่เพียงแค่สิ่งในจินตนาการอีกต่อไป เพราะมีเขตชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี บอกว่าคุณสามารถซื้อบ้านในชุมชนแห่งนี้ได้ด้วยเงินเพียงแค่ 1 ยูโร (ราวๆ 35 บาท) เพียงเท่านั้น!!     โดยเหล่าบ้านที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่เมืองแซมบูก้า แคว้นปกครองตนเองซิซิลี ดินแดนที่ตั้งอยู่บนภูเขา และสามารถมองเห็นเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมกับวิวชายหาดต่างๆ ได้อย่างมากมาย     ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ออกมาจากปากของนาย Giuseppe Cacioppo นายกเทศมนตรีเองเลยว่า ภายในเมืองแห่งนี้มีบ้านราคาแค่ 35 บาทวางขายอยู่จริงๆ     โดยเป็นผลจากแคมเปญที่ทางจังหวัด ต้องการจะให้ผู้คนย้ายมาอยู่ที่นี่มากขึ้นนั่นเอง หลังจากที่เมืองนี้ประสบปัญหาเดียวกับชุมชนอื่นๆ นั่นคือผู้คนต่างก็ย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่ๆ มากยิ่งขึ้นนั่นเอง      “บ้านราคาต่ำที่สุดในเมืองนี้มีราคาแค่ 1 ยูโรเท่านั้น เราไม่ได้เป็นตัวกลางสำหรับการซื้อขายระหว่างเจ้าของเก่าและเจ้าของใหม่หรอก แต่ถ้าคุณอยากได้บ้านที่นี่ล่ะก็ คุณจะได้รับมันในเวลาเพียงอึดใจเดียวแน่ๆ”  “แซมบูก้าเป็นที่รู้จักกันในนามของ ‘เมืองแห่งความงดงาม’ มันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จนถึงขนาดถูกยกให้เป็นสวรรค์บนโลกเลยล่ะ” นาย Giuseppe Cacioppo นายกเทศมนตรีของเมืองและสมาชิกสภาการท่องเที่ยวกล่าว     ส่วนวิธีการที่คุณจะได้บ้านมาครอบครองได้ในราคานี้ จะมีข้อแม้อยู่ว่าคุณจะต้องตกแต่งบ้านหลังนั้นๆ ให้ดูสวยสดงดงามภายใน 3…

เป็นธรรมดาที่คนอยู่ด้วยกัน อาจมีบางเรื่องที่เข้าใจผิดกันหรือต้องทะเลาะเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถึงอย่างไรแล้ววิธีที่แก้ไขหาทางออกในปัญหาที่มีต่อกันได้ ก็น่าจะเป็นการพูดคุยกันเพื่อปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง แต่ว่าบางครั้งเวลาที่คนเราโมโหเอามากๆ ก็อาจจะมีอารมณ์ชั่ววูบจนทำให้เกิดสิ่งรุนแรงตามมาได้ อย่างเช่นในเหตุการณ์น่าเศร้านี้ที่เพื่อนร่วมห้องทะเลาะกัน และลงเอยด้วยการใช้มีดแทงอีกฝั่งหนึ่งตาย จากเหตุผล ‘เปิดเพลงเสียงดัง’!?     กลางดึกวันที่ 12 มกราคม เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งเมืองตงซาน มณฑลกวางตุ้ง ได้รับแจ้งเหตุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บภายในหอพักของบริษัทแห่งหนึ่ง จึงได้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน และที่นั่นเองพวกเขาได้ทำการจับกุมตัวชายวัย 31 ปีแซ่ Chen ขณะที่อีกคนหนึ่งคือชายแซ่ Li วัย 29 ปีถูกส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งในคืนเดียวกันนั้นเองเขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อย   อาวุธที่ใช้   จากการสอบคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเผยออกมาว่า นาย Chen กับนาย Li มีปากเสียงกันในเรื่อง ‘ความดัง’ ของเสียงเพลง เลยทำให้นาย Chen เกิดโมโหชักมีดปลายแหลมแทงเพื่อนร่วมห้องจนเสียชีวิต สำหรับโทษที่ชายคนนี้จะได้รับยังไม่มีการเผยออกมา แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกโซเชียล เพราะชาวเน็ตบางคนมองว่าเหตุผลในการฆ่ากันตายมันเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเอามากๆ นั่นเอง   ทำยังไงถึงจะเนียนๆ แชร์ข่าวนี้ให้รูมเมทเห็นดี   เราแค่ใส่หูฟังก็จะไม่เป็นการรบกวนคนอื่นแล้วล่ะ ที่มา: shanghaiist, weibo,…

ช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนน ‘ความปลอดภัย’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นแล้วความรอบคอบในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ เพื่อให้เราปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยเหตุนี้แล้วทางการของเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง จึงได้ออกกฎหมายสั่งปรับ ‘คนที่เล่นโทรศัพท์ขณะข้ามถนน’ ไว้เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีผู้ถูกปรับเงินเป็นรายแรกจากกฎหมายข้อนี้แล้ว     เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 ม.ค.) คนเดินเท้าคนหนึ่งถูกปรับเงินเป็นจำนวน 10 หยวน (ราวๆ 46 บาท) จากสาเหตุใช้โทรศัพท์มือถือขณะข้ามทางม้าลาย ซึ่งนับเป็นรายแรกที่มีคนถูกปรับจากกฎหมายข้อนี้   ใบปรับเงิน   การตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการเพิ่มความระมัดระวังให้กับคนเดินเท้ามากยิ่งขึ้น เพราะบางทีขณะที่มองจอโทรศัพท์อาจไม่ได้มองรอบข้างหรือไปขวางกั้นการเดินของคนอื่นๆ รวมถึงเป็นการประหยัดเวลาให้กับรถที่หยุดให้ผู้คนได้ข้ามถนนด้วย     ด้วยจุดประสงค์เช่นนี้ ความมุ่งหมายที่ทางการท้องถิ่นหวังเอาไว้ก็คือ ให้คนเดินเท้าข้ามถนนในเวลาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งนอกจากการปรับเงินเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้แล้ว ก็ยังมีแคมเปญอื่นๆ อีก   มาสคอตมาแจกตุ๊กตารณรงค์ให้ข้ามถนนด้วยความปลอดภัย   อย่างเช่นการนำมาสคอตมาแจกตุ๊กตามอบเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ปฏิบัติตามกฎได้เป็นอย่างดี อาทิมาสคอต ‘แกะผู้เชื่องช้า’ ก็จะมาแจกตุ๊กตาแกะน่ารักๆ ให้กับคนที่เดินช้าเพื่อหวังว่าครั้งหน้าจะมีการเดินที่เร็วยิ่งขึ้น มาสคอต ‘เดอะ แฟลช’ มาแจกตุ๊กตาให้กับเด็กๆ…

ด้วยความที่เป็นงานที่ต้องขับรถเป็นเวลานาน และต้องมีความทรหดประมา่ณนึง จึงทำให้อาชีพ ‘คนขับรถบรรทุก’ ดูเหมือนจะกลายเป็นอาชีพสำหรับผู้ชายไปโดยปริยาย แต่ว่าที่ประเทศญี่ปุ่นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่หันเหกลายมาเป็นคนขับรถบรรทุก แต่เธอไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ เท่านั้น เพราะว่าชาวเน็ตของที่นั่นยกให้เธอเป็นคนขับรถบรรทุกที่สวยที่สุดในประเทศเลยทีเดียว   https://www.instagram.com/p/Brje97Tjnkb/   Rino Sasaki สาวชาวจังหวัดโคงิ เป็นลูกสาวของพนักงานขับรถบรรทุกระยะไกลคนหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกนั้นเธอเล่าว่าอาชีพคนขับรถบรรทุกไม่เคยจะมีอยู่ในหัวเลย   คุณพ่อของเธอ https://www.instagram.com/p/Bd7V4vynAj3/   จนกระทั่งเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว พ่อของเธอมีอาการป่วยแต่ก็ยังคงดึงดันทำงานอยู่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้เห็นถึงความลำบากของเขา และเกิดความสงสารคุณพ่อที่ต้องขับรถไกลเป็นพันๆ กิโลเมตรอย่างเดียวดายและไร้คนดูแล   https://www.instagram.com/p/BqUfBkvjn7V/   สาววัย 21 ปีคนนี้จึงหันเหจากอาชีพคุณครูสอนเต้นมาจับพวงมาลัยแทน จนในที่สุดเธอสามารถสอบได้ใบขับขี่รถบรรทุกและร่วมเดินทางไปกับคุณพ่อ แต่แม้ถึงจะออกทริปร่วมกับคุณพ่อในเวลานั้น แต่เธอก็ยังคงอยากที่จะสอนเต้นต่อไป ทว่าในที่สุดก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะการออกเดินทางไปทั่วประเทศเช่นนี้ไม่สามารถกลับบ้านได้ตรงกับตารางที่วางเอาไว้ ในที่สุดเธอจึงยุติอาชีพสอนเต้นอย่างเด็ดขาด และกลายมาเป็นนักขับรถบรรทุกมืออาชีพแทน!!   https://www.instagram.com/p/BpMd3ljDLtv/   อย่างไรก็ตามเธอกล่าวว่าไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจเช่นนี้เลย เพราะเธอได้ใช้เวลาร่วมกับคุณพ่อได้ดูแลเขาเป็นอย่างดี อีกทั้งคุณพ่อก็ได้สอนสกิลใหม่ๆ ในการขับรถบรรทุกให้ทุกวันๆ   https://www.instagram.com/p/BgYbDPkngW0/   จนในตอนนี้เธอได้กลายเป็นหนึ่งในจำนวน ‘Tragirl’ (ผู้หญิงคนขับรถบรรทุก) ที่มีอยู่จำนวนน้อยมากๆ ในประเทศ และยังได้รับความสนใจจากสังคมโซเชียลเป็นอย่างมาก…

ในเวลาที่เราไปนอนกินลมท้าแดดอยู่แถวๆ ริมทะเล มันช่างเป็นเวลาที่แสนจะมีความสุขจริงๆ ที่ได้อยู่กับตัวเอง และธรรมชาติอันแสนงดงาม แต่ว่าบางทีเราก็คงต้องระวังตัวเองอยู่เหมือนกันเพราะว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นมาได้อยู่เสมอ เหมือนดั่งเหตุการณ์นี้ที่เหล่าคนรักทะเลต้องหนีกันกระเจิง เพราะขณะที่กำลังเดินอยู่บนหาดทรายสีสะอาดริมทะเล จู่ๆ ก็มีจระเข้ที่ไหนโผล่มาก็ไม่รู้!!   คลิปขณะคนหนีจระเข้กันกระเจิง https://www.instagram.com/p/BsmNF21hdE1/   คลิปจากวิดีโอหนึ่งได้เผยถึงเหตุการณ์นี้ ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินเดินนวยนาดอยู่ริมหาดในอุทยาน Parque Nacional Natural Tayrona ทางตอนเหนือของประเทศโคลอมเบีย จู่ๆ ก็มีเจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำแอบโผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ซะอย่างนั้น   เกือบชะตาขาดแล้วไหมล่ะตู   เมื่อนักท่องเที่ยวสังเกตเห็นว่าบนหาดมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฎขึ้นมา พวกเขาก็วิ่งหนีกันจ้าล่ะหวั่น เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ได้ออกมากล่าวเตือนนักท่องเที่ยวว่า ให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดีเพราะอุทยานแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่ดูแลสัตว์ป่า รวมถึงเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้คนด้วย ดังนั้นแล้วการที่เจอสัตว์อย่างจระเข้ในพื้นที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้…   ให้มันรู้นี่ถิ่นใคร   ในภายหลังเจ้าหน้าที่ได้แยกหาดนี้ให้เป็นสัดส่วนระหว่างที่อยู่อาศัยของสัตว์และพื้นที่สำหรับคนได้ใช้ประโยชน์ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้   เอ๋ วิ่งเร็ววิ่งง!!   “มันสำคัญมากนะที่ต้องตระหนักเอาไว้ว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับคนเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ปกป้องสัตว์ทั้งหลายด้วย” Luz Elvira Angarita ผู้ดูแลอุทยานแห่งชาติกล่าว   ที่มา: mirror, notimerica

คิดถึงกันบ้างไหมกับ ‘ฤดูร้อน’ ของประเทศไทยเราที่มันร้อนจนตับแทบจะแลบออกมา ร้อนจนพาลให้หงุดหงิดโมโหจนอยากจะให้กระโดดน้ำแล้วนอนแช่ทั้งวันให้รู้แล้วรู้รอด แตุ่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีประเทศอื่นๆ อีกที่ประสบปัญหาเดียวกัน อย่างเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลียนี้ เมื่อพบว่าเนื้อดิบที่ถูกทิ้งเอาไว้ในรถมันกลับสุกขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ!!   เนื้อตอนแรก   เรื่องนี้มีอยู่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (15 ม.ค.) พนักงานร้านคาเฟ่ชื่อว่า Mildura Dockside Café รัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลียทิ้งเนื้อสเต็กเอาไว้ในรถที่จอดในร่มเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. แต่แล้วเวลาราวๆ 16.00 น. พนักงานคนนี้ก็กลับไปที่รถอีกครั้งแล้วก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดใจ เพราะว่าเนื้อที่ถูกทิ้งเอาไว้มันสุกจนแทบจะไหม้เลยก็ว่าได้ ไม่น่าเชื่อนี่อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีใหม่ในการปรุงอาหารหรือนี่!!   สุกเฉยเลยง่ะ   โดยรายงานจากสำนักอุตุนิยมวิทยาระบุว่าเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริเวณแถบเมือง Mildura และ Swan Hill ทางตอนเหนือของรัฐวิคตอเรีย มีอุณหภูมิที่สูงมากๆ ถึง 45.8 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว “ด้วยคลื่นความร้อนขนาดนี้ โปรดพึ่งระลึกไว้เสมอว่าอย่าทิ้งเด็ก คนแก่หรือสัตว์เลี้ยงเอาไว้ในรถอย่างเด็ดขนาด” พนักงานผับคนนี้โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นภาพที่จัดฉากเอาไว้หรือว่าภาพปลอมหรือเปล่า เพราะมันไม่มีทางเลยที่เนื้อจะสุกได้ถึงขนาด สุกมาก (Well-Done) เช่นนี้   ไม่เหลือเนื้อแดงๆ สักนิด  …

‘การค้ามนุษย์’ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในแทบจะทุกๆ ประเทศบนโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบัน ซึ่งในบางกรณีก็เกิดจากความสมัครใจ บางกรณีก็เกิดจากความบังคับ และบางรายก็ถูกล่อลวงมาจากความไม่รู้ และนี่คืออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความโหดร้าย เมื่อวัยรุ่นชายคนหนึ่งถูกล่อลวงโดยแก๊งค์ค้ามนุษย์ และตกเป็นทาสเซ็กส์ข้ามประเทศเป็นเวลาหลายเดือนด้วยกัน!!   ทีมตำรวจแถลงข่าว   ความเป็นมาของเรื่องนี้ได้เริ่มขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2018 เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัฐฟลอริด้า ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐหลุยเซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า มีวัยรุ่นชายอายุ 17 ปีคนหนึ่งหายตัวไป และข้อมูลที่ได้สืบมาล่าสุดก็ระบุว่าเขาอยู่ใน ‘รถพ่วง’ คันหนึ่งที่เขตเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนี้เอง… ทางเจ้าหน้าที่เชื่อกันว่าเหยื่อผู้หายตัวไปนี้ ถูกล่อลวงผ่านโปรแกรมสื่อสารที่ชื่อว่า Discord ซึ่งเป็นโปรแกรมคุยกันผ่านโลกอินเทอร์เน็ตที่เหล่าเกมเมอร์มักจะใช้กัน     จากข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้ตำรวจเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กบุกไปยังพิกัดที่ระบุทันที แล้วพวกเขาก็พบตัววัยรุ่นคนที่หายตัวไปพร้อมกับวัยรุ่นชายวัย 16 ปีอีกคนหนึ่งอยู่ในรถพ่วงคันเดียวกันนั้นเอง พร้อมกันนี้ยังพบผู้ใหญ่อีก 4 คนนั่นคือ นาย Mark Earl Dennis, นาย Andrew Barry Dennis, นาย Curtis Lee Gruwell, และ นาย Michael Wayne Schwartz  ซึ่งในเวลานั้นนาย Mark…

คำเตือน: บทความนี้อาจมีภาพของ ‘ตะขาบ’ ซึ่งอาจทำให้เพื่อนๆ ขนลุกสยองพองเกล้าได้ ทางที่ดีควรเตรียมตัวเตรียมใจสักนิดก่อนอ่านนะจ๊ะ   สำหรับสัตว์เลี้ยงที่คนส่วนมากนิยมกันก็อาจเป็นหมาหรือแมว หรือถ้าใครที่ชอบอะไรแปลกๆ กันสักหน่อยก็อาจเลี้ยงหนู เลี้ยงหมู เลี้ยงงูสวยงามกันไปตามประสา แต่ว่านี่คงเป็นสัตว์เลี้ยงที่แปลกจริงๆ เมื่อมีหนุ่มคนหนึ่งเลี้ยง ‘ตะขาบยักษ์’ ยาวกว่า 17 นิ้วเอาไว้ แล้วเขาก็ปล่อยคลิปอันน่าสยดสยองระหว่างมันเลื้อยไปมาบนตัว!!     Neil Cheng Le นักศึกษาชีววิทยาชาวไต้หวันวัย 26 ปีเป็นเจ้าของตะขาบตัวเขื่องที่ว่านี้ิ เขาเล่าว่ามันเป็นตะขาบเพศเมียสายพันธุ์ ‘ขาเหลืองเปรู’ โดยที่เขาซื้อมาในปี 2014 ตอนที่มันยังมีตัวนิดเดียวเพียงเท่านั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็หลงรักเจ้าสัตว์ชนิดนี้ และดูแลมันมาโดยตลอด…     และนี่คือภาพอันน่าสยองขวัญ เมื่อเขาได้ปล่อยคลิปมันไต่อยู่บนเนื้อตัวไปๆ มาๆ อย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยนิดว่าจะถูกมันทำร้ายเข้าให้ (บอกเลยว่ามีขนลุก!!)   วิดีโอของน้องขณะเดินไปมา แต่ถึงแม้เขาจะเลี้ยงเจ้าตะขาบตัวนี้เอาไว้ก็จริง แต่เขาก็ขอออกปากเตือนคนอื่นๆ ที่อยากทำตามด้วยว่ามันมีอันตรายเอามากๆ และคนที่เลี้ยงควรจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการรับมือกับสัตว์มีพิษนี้ในระดับหนึ่งด้วย     “แน่นอนว่าการเลี้ยงสัตว์มีพิษอย่างนี้มันย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้น ซึ่งก็ขอแนะนำว่าให้อยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุด”  “การกัดของพวกมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก แต่ผมไม่เคยรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยเพราะผมเคยมีประสบการณ์กับงานอดิเรกศึกษาพวกสัตว์จำพวกนี้มาก่อน ผมไม่ค่อยมีปัญหากับการที่มันไต่บนตัวผมหรอก รวมถึงให้อาหารพวกมันด้วยมือด้วย” Neil…

แน่นอนว่าการได้นอนซบอกใครสักคน มันช่างเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเสียจริงๆ แต่ว่าหากอกของคนที่ว่านี้เป็นถึงเซเลบริตี้ระดับโลกอย่าง ‘เดวิด เบ็คแฮม’ มันจะรู้สึกดีขนาดไหนกันนะ จนแล้วจนรอดเราก็อาจจะเดาไม่ถูกอยู่ดีว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ กับความอบอุ่นภายใต้อ้อมกอดของหนุ่มรูปหล่อคนนี้ แต่ถ้าอยากจะพอรู้แบบคร่าวๆ ล่ะก็ บางทีไปถามเจ้าตูบตัวนี้ดูก็ได้ เพราะบอกเลยว่ามันได้สัมผัสมาแล้ว…   https://www.instagram.com/p/BsisbOVgZZK/   ในตอนนี้ชาวเน็ตแทบจะทุกทั่วมุมโลกต่างพากันอิจฉาตาร้อนกับโพสต์ใน IG ของ Victoria Beckham ศรีภรรยาคนสวยของหนุ่มเดวิด ที่โพสต์ภาพของสามีเธอนอนกอดกับเจ้าหมาตัวหนึ่งแล้วผล็อยหลับไปพร้อมกัน และแค่ภาพๆ เดียวมีคนกดหัวใจไปแล้วถึง 1.1 ล้านครั้ง!! เจ้าหมาสายพันธุ์ Cocker Spaniel ตัวนี้มีชื่อว่าเจ้า Olive แต่เดี๋ยวก่อนความน่าอิจฉาของมันไม่เพียงแต่ได้ซบอกหนุ่มเดวิดเพียงเท่านั้น เพราะยังมีอะไรมากไปกว่านั้นอีก   ผ้าห่ม Supreme x Louis Vuitton Blanket   นั่นก็คือผ้าห่มที่มันห่มอยู่เพราะมันคือ Supreme x Louis Vuitton Blanket ซึ่งมีราคาวางขายในท้องตลาดสูงถึง 4,600 ปอนด์ (ราวๆ 188,000 บาท) เลยทีเดียว นี่จึงเป็นที่มาของความตาร้อนของชาวเน็ตกันเป็นแถว ที่พากันอยากจะแย่งเป็นเจ้า Olive กันซะเหลือเกิน อะไรมันจะชีวิตดีได้ขนาดนี้กัน เราลองไปดูความเกรี้ยวกราดของพวกเขาแบบขำๆ ในโพสต์นี้สักเล็กน้อยดีกว่า……

หลายต่อหลายครั้งที่เราได้เห็นข่าวของความสามารถมนุษย์เรา ที่สามารถซ่อนสิ่งของได้อย่างแนบเนียนในร่างกายของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เข้าข่ายที่ว่านี้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถจับกุมผู้หญิงคนหนึ่งได้แล้วพบว่าเธอได้ขโมยนาฬิการาคาแพงระยับมาจากคนที่เจอเธอมาผับ แล้วซ่อนมันไว้ในอวัยวะเพศถึง 4 เรือน!!     เรื่องราวมีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา หญิงสาววัย 29 ปีชื่อว่า Delajurea Brookens ชาวไมอามี่ไปเที่ยวผับ Mango’s nightclub แล้วได้รู้จักกับหนุ่มนักธุรกิจชื่อว่า Ramon Diaz  หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ทั้งคู่ก็ลงเอยกันด้วยการไปต่อที่ห้องของฝ่ายชายที่โรงแรม Clarion Suites ซึ่งที่นี่เองได้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น… เพราะระหว่างที่ฝ่ายชายกำลังทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นด้วยการไปอาบน้ำ พอเขากลับมาที่ห้องอีกทีก็ต้องพบว่าหญิงสาวคนนี้ได้หายไปพร้อมกับ ‘กระเป๋าใส่ไวน์’ ที่บรรจุนาฬิกา Rolex 5 เรือนมูลค่า 108,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 3.4 ล้านบาท) ซะแล้ว     เขาออกไปนอกห้องพบว่า Brookens กำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตและพยายามจะเรียกรถแท็กซี่ จึงได้วิ่งตามอย่างไม่ลดละจนสามารถตามเธอได้ทัน แต่เธอก็แสดงพิษสงด้วยการใช้อะไรบางอย่างตีหัวเขาจนเสียหลัก แล้วหนีไปได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไปไม่รอด จากความที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุแล้วเจอตัวเธอในละแวกที่ไม่ไกลจากนั้น จึงได้ทำการจับกุมแต่เธอก็ยังดึงดันจะสู้ด้วยการทำร้ายร่างกายตำรวจ แต่ก็สู้ไม่ไหว   คลิประหว่างอยู่ในชั้นศาล    เจ้าหน้าที่พบเจอนาฬิกาเพียงเรือนเดียวจากทั้งหมด 5 เรือน และเมื่อถามเธอก็บอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเพราะความเมานั่นเอง…

คำเตือน: บทความนี้อาจมีเนื้อหาและภาพที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนหนึ่ง เมื่อเธอถูกอดีตแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกายโดยใช้เท้าเตะเข้าไปที่ใบหน้าของเธอจนฟันหลุดไป 3 ซี่ หลังจากที่เธอเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊ก!!   Lois Ashton หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ   Lois Ashton หญิงสาวจากเมืองลิเวอร์พูลวัย 29 ปีผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงครั้งนี้ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ในวันที่เกิดเหตุ (เดือนธันวาคมปี 2016) เธอได้นัดกับกลุ่มเพื่อนสาวเอาไว้ว่าจะออกไปแฮงค์เอ้าท์ด้วยกันที่ผับแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า Andrew McNair แฟนหนุ่มของเธอดูจะมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับเรื่องนี้   อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น   “เขาดูไม่ชอบใจนักที่ฉันออกไปกับกลุ่มเพื่อน ฉันเลยบอกเขาไปว่า ‘คุณไม่คิดว่ามันจะแปลกๆ หน่อยเหรอที่คุณจะมาในปาร์ตี้ของสาวๆ’ แล้วเขาก็ตอบกลับมาว่าก็มันดูน่าสนใจดีนี่ ท้ายที่สุดฉันเลยต้องชวนเขามาด้วย” “เราไปที่ผับแห่งนั้นด้วยกัน แต่ว่าเขานั่งแยกออกไปสังเกตการณ์อีกมุมหนึ่ง ตอนนั้นฉันก็คิดนะว่าทำไมเขาถึงดูแปลกๆ อย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรฉันสนุกไปกับเพื่อนๆ แบบสุดเหวี่ยงเลย” Lois กล่าว     หลังจากนั้นเธอตัดสินใจว่าจะไปดื่มต่อที่บ้านของเพื่อนและได้ชวนแฟนหนุ่มคนนี้ไปด้วย แต่เขาก็ปฏิเสธบอกว่าไม่เป็นไรแล้วกลับบ้านไป ทว่าเขาก็ส่งข้อความมาถาม Lois ว่าทำไมเธอถึงเลือกเพื่อนมากกว่าเขา… เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับเรื่องนี้และเริ่มรำคาญ จึงปิดโทรศัพท์แล้วสนุกกับเพื่อนต่อก่อนที่จะกลับบ้านในคืนเดียวกันนั้นเอง     แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้…

ปกติแล้วในงานแต่งงานเราจะเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวใส่ชุดสวยหล่อกันในวันสุดวิเศษเช่นนี้ แต่ว่ามีคู่รักคู่หนึ่งจากประเทศมาเลเซียทำอะไรที่แปลกแหวกไปกว่านั้น เพราะทั้งคู่ถ่ายรูปเซ็ตงานแต่งเป็นธีม ‘พนักงานส่งอาหาร‘ ซึ่งมาจากความที่มันเป็นงานที่ทำให้ทั้งสองได้พบรักกันและตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันเช่นนี้!!     โดยนี่เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในประเทศมาเลเซีย โดยสาวเจ้าของเฟซบุ๊ก Atiqah ได้อธิบายถึงรายละเอียดในโพสต์ของเธอว่า พวกเขาทั้งคู่ได้เจอกันเน่องจากทำงานเป็นพนักงานส่งอาหารแบบพาร์ทไทม์ให้กับ ‘GrabFood’ ในเมืองกัวลาลัมเปอร์ แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นและกลายเป็นคู่ชีวิตในที่สุด   รักนะจ๊ะ   “แม้ว่า GrabFood จะมีขาขึ้นหรือขาลงยังไง รักของเราก็จะยังคงแข็งแรงอย่างแน่นอน” เธอกล่าวในโพสต์ของเธอ และนี่คือภาพน่ารักๆ ในงานแต่งงานของเธอ ซึ่งต้องขอบอกว่าเป็นอะไรที่ดีต่อใจจริงๆ ที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ อยากรู้แล้วล่ะสิ ไปดูกันเลยดีกว่า!!   ไปส่งอาหารก่อนนะ   นี่แหละ รักของเรา   อ่ะๆ มีขายของ   ไหนดูสิวันนี้มีอะไรกิน   ใช่รักของเรารึเปล่านะ ที่อยู่ในนี้   ตัลล้ากก   มีเพื่อนๆ มาแจม   เลิศแบบง่ายๆ   ไปกันดีกว่า ฟิ้วว .   พาเพื่อนๆ มาร่วมยินดี .  …

ยังจำกันได้ไหมกับหนูน้อยชาวญี่ปุ่นผมด๊กดกชื่อว่า Chanco ที่เป็นข่าวโด่งดังเมื่อปีที่ผ่านมา จนมีแฟนคลับไปตามฟอล Instagram ของหนูน้อยคนนี้แล้วกว่า 300,000 คน แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ความโดดเด่นอันแสนน่ารักของเธอ จะทำให้เธอกลายเป็นดาราไปซะแล้ว เพราะในตอนนี้ ‘แพนทีน’ ได้ดึงตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์แชมพูเป็นที่เรียบร้อย!!   ความน่ารักของ Chanco ตอนที่มีอายุได้ราวๆ 6 เดือน>> พบกับ Chanco เด็กทารกน้อยวัย 6 เดือน ที่มาพร้อมกับผมอันฟูฟ่อง แต่น่ารักอ้ะ!!   หนูน้อย Chanco ถ่ายคู่กับ Sato Kondo ผู้ประกาศข่าวชาวญี่ปุ่น   หนูน้อย Chanco ชาวญี่ปุ่นได้กลายเป็นที่เซเลบริตี้บนโลก IG ซึ่งเป็นผลมาจากความที่แม่ของเธอมักถ่ายมุมน่ารักๆ มาแบ่งปันแฟนคลับให้ได้ชื่นชมกันอยู่เสมอๆ โดยในแต่ละรูปถ่ายของเธอมักจะมียอดไลก์อยู่ราวๆ 10,000 ไลก์เลยทีเดียว!! (โห เยอะเกิ๊นน)     แล้วทีนี้มีอยู่จังหวะหนึ่งนาย Alex Keith ประธานผู้ดูแลด้านผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของบริษัท P&G ได้ไปเห็นหนูน้อยคนนี้เข้า เลยได้สั่งให้ลูกน้องไปว่า ‘ไปเอาตัวน้องมาถ่ายโฆษณาแพนทีนให้ได้’   ดูแคมเปญนี้กันเถอะ  จนในที่สุด Chanco…

สำหรับสาวๆ คนไหนที่ไม่มีแฟนหรือคู่ขา ก็อาจจะใช้วิธีการ ‘ช่วยตัวเอง’ เป็นวิธีการตอบสนองความต้องการทางเพศ และเดี๋ยวนี้ก็มีอุปกรณ์ต่างๆ มาช่วยเสริมความสุขในเรื่องนี้อยู่เต็มไปหมด แต่นี่อาจเป็นข่าวที่ทำให้สาวๆ สยิวท้องน้อยกันเป็นแถว เพราะมีข่าวออกมาว่า ‘ไวเบรเตอร์’ ของผู้หญิงคนหนึ่งมันเกิดระเบิดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งลองใช้มันเป็นครั้งแรก!!     เรื่องราวสุกช็อกนี้ได้เกิดขึ้นกับสาวนามว่า Cassie Esplin สาววัย 25 ปีชาวอังกฤษ ซึ่งเธอได้เล่ารายละเอียดเรื่องนี้ให้ฟังว่าเธอได้ไปซื้อไวเบรเตอร์ยี่ห้อ Buzz Tongue Finger Vibrator ที่ลดราคาในเว็บไซต์ Lovehoney.co.uk มาในช่วงก่อนคริสต์มาส โดยในตอนนั้นสิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกเจ้าชิ้นนี้ก็เป็นเพราะว่ามันลดราคาจาก 12 ปอนด์ (ราวๆ 490 บาท) เหลือเพียง 4 ปอนด์ (ราวๆ 160 บาท) เพียงเท่านั้นเอง     หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้เธอได้ตัดสินใจลองเปิดใช้มัน แต่ปรากฏว่าแบตเตอรี่ของมันเกิดระเบิดขึ้นมาซะอย่างงั้น!!   แบตเตอรี่ที่ระเบิดออกมา   “ตอนนั้นฉันถือมันไว้ในมือแล้วลองเปิดใช้มันดูเป็นครั้งแรก ปรากฏว่ามันมีเสียงระเบิดดังขึ้นแล้วมันก็เด้งไปโดนเพดานห้องนอนฉันเลย แถมยังตกมาใส่หน้าอกฉันอีกแน่ะ เฉียดหน้าไปนิดเดียวเท่านั้น บอกเลยว่าตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะ” “ฉันได้คิดแต่ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ตาฉันเกือบบอดเพราะไอ้เจ้าเซ็กส์ทอยราคา 4 ปอนด์เนี่ยนะ ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ฉันไม่ได้ใช้มันกับตรงนั้นเพราะบางทีมันอาจรุนแรงมากกว่านี้” Cassie…

ถ้าหากใครเคยเล่นเกมแข่งกับเพื่อนจะรู้ดีว่า อารมณ์ที่เราเป็นผู้ชนะนั้นมันดูยิ่งใหญ่ขนาดไหน แล้วยิ่งถ้าเป็นเกมที่ตัดสินฝีมือด้านลูกหนังอย่างวินนิ่ง หรือว่าฟีฟ่าแล้วล่ะก็ บอกเลยหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็แพ้ไม่ได้เด็ดขาด และนี่อาจเป็นสิ่งที่คุณจะเอาไปเพิ่มความสะใจให้กับชัยชนะของคุณได้เป็นอีกเท่าตัว สำหรับ ‘ถ้วยไอ้ขี้แพ้’ ที่เหมาะจริงๆ สำหรับไอ้พวกไก่อ่อนอยากจะมาวัดกับขั้นเทพเช่นนี้!!     ถ้วยรางวัลที่ไม่มีใครพึงประสงค์อยากจะได้นี้มีชื่อว่า ‘FIFA Loser’ แค่ชื่อก็บอกแล้วว่ามันเป็นถ้วยสำหรับคนที่ฝีมืออ่อนด้านการเล่นเกมฟุตบอลอย่างแท้จริง… ลองนึกภาพดูสิว่ามันจะช้ำใจขนาดไหนถ้าหากคุณแพ้เพื่อนแล้วมันให้ถ้วยนี้เป็นรางวัลปลอบใจแก่เรา เราอาจคิดในหัวว่านี่เอ็งไม่ต้องให้อะไรเลยจะดีกว่า!!     สำหรับถ้วยนี้มันมีราคาขายบนเว็บไซต์ Amazon อยู่ที่ 19.99 ปอนด์ (ราวๆ 820 บาท) เพียงเท่านั้น ซึ่งส่วนตัว #เหมียวจิวยี่ คิดว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มซะอีกกับความสะใจที่ได้มอบให้เพื่อนคนอ่อนของเรา แต่ขอบอกก่อนว่าตอนนี้ของหมด… ก็เอาเป็นว่าสำหรับคอเกมที่เรียกได้ว่า ‘จริงจังเกมมิ่ง’ ก็หาซื้อกันมาใช้ได้ และมันน่าจะเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมของคุณได้อีกมากโขเลยทีเดียวแหละ     ที่มา: ladbible, 9gag, Amazon

เวลาที่เราได้สระผมมันช่างเป็นเวลาที่แสนจะสดชื่นจริงๆ กับความสบายหัวไม่ต้องเหนียวเหนอะหนะอีกต่อไป และมันจะฟินมากขึ้นจริงๆ เวลาที่เรามีคนสระให้ใช่ไหมล่ะ… แต่ว่านี่อาจเป็นอีกขั้นของการสระผมที่คุณอาจอยากลองสักครั้งในชีวิต เมื่อมีร้านซาลอนแห่งหนึ่งในประเทศรัสเซียเปลี่ยนแชมพูธรรมดาๆ ที่ใช้สระผมให้กับลูกค้ามาเป็น ‘แชมเปญ’ แทน     Vilen Knudaverdyan เจ้าของร้านที่เป็นเจ้าของไอเดียใช้แชมเปญสระผมกล่าวว่า ไอเดียนี้เขาได้มาจากงานอำลาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ลาออกไป ในงานเลี้ยงครั้งนั้นพวกเขาสนุกสนานกันมาก และมีอยู่ช่วงหนึ่งได้จับสาวคนนี้สระผมด้วยแชมเปญที่อยู่ภายในงานซะเลย แต่ปรากฏว่าเธอชอบมันเอามากๆ ซะอย่างนั้น   ดูคลิปแล้วยังฟินแทน    เขาจึงปิ๊งไอเดียได้ว่าน่าจะนำสิ่งนี้มาให้กับลูกค้าได้ลองบ้างเช่นกัน จึงได้เกิดเป็นอีกหนึ่งบริการสระผมด้วยแชมเปญขึ้นมา และบริการนี้มันได้ทำให้ร้านซาลอนในกรุงมอสโกว ประเทศรัสเซียของเขาดังเป็นพลุแตกเลยก็ว่าได้ “ผลของมันเป็นอะไรที่วิเศษเอามากๆ ลูกค้าหลายคนของเรารู้สึกว่าพวกเขาได้ใช้ชีวิตแบบพรีเมี่ยมสุดๆ แถมมันยังทำให้ร้านของเราดังระเบิดระเบ้อเลยด้วยจนถึงขั้นที่ว่า บางคนถึงกับพกแชมเปญของตัวเองเข้ามาในร้านให้เราสระให้เลย” Vilen กล่าว ส่วนวิธีการสระผมของนั้นก็เหมือนๆ กับการสระผมทั่วๆ ไปที่เราเคยใช้บริการ นั่นคือชะโลมผมด้วยน้ำอุ่นก่อน จากนั้นก็นำแชมเปญค่อยๆ เทราดใส่หนังศีรษะของเราแล้วก็นวดๆ แต่ถึงตรงนี้ก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเขาได้ใช้น้ำล้างมันออกหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรแล้วคุณผมของคุณอาจจะมีกลิ่นหอมๆ ชวนให้เปรี้ยวปากติดเอาไว้อยู่เป็นแน่ เอาเป็นว่าถ้าหากใครอยากรู้ว่าเป็นยังไงล่ะก็ อาจจะลองซื้อแชมเปญมาสระเองที่บ้านดูก่อนก็ได้นะ…   ที่มา: odditycentral, storytrender

คำเตือน: บทความนี้อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ดูรุนแรงไปบ้าง ยังไงก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับชมนะครับ…   นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อนักศึกษาคนหนึ่งทำโทษ ‘หนู’ ที่มากินเต่าสัตว์เลี้ยงแสนรักของเขาไป ด้วยการจับมันขึงพืดอยู่กับไม้ที่เป็นรูปกางเขน จากนั้นก็ใช้ไฟเผามันจนตาย!! เรื่องราวสุดโหดนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Guangxi Arts Institute เมืองหนานหนิง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 6 มกราคม   เจ้าหนูที่เป็นเหยื่อครั้งนี้   เมื่อมีนักศึกษาคนหนึ่งจับหนูที่มากินเต่าของเขา มามัดเข้ากับไม้กางเขนแล้วเอาไปปักประจานแถวๆ หอพักภายในมหาวิทยาลัยสร้างความหดหู่ใจให้กับผู้พบเห็น โพสต์หนึ่งในอินเทอร์เน็ตกล่าวว่าเขาเห็นหนูที่ถูกมัดตัวนี้ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 ม.ค.) ที่ใกล้ๆ กับหนองน้ำของมหาวิทยาลัย     จากนั้นอีกโพสต์หนึ่งก็กล่าวว่าเห็นหนูตัวนี้ถูกขึงไว้ตลอดทั้งวันจันทร์ (7 ม.ค.) ก่อนที่มันจะถูกเผาในวันเดียวกันนั้นเอง  ทั้งนี้ไม่เป็นที่กระจ่างชัดว่าขณะที่เจ้าหนูตัวนี้ถูกเผา มันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่… เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากทางโฆษกของมหาวิทยาลัยแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งทางโฆษกได้กล่าวว่าที่หนูมันถูกทรมานเช่นนี้เพราะว่ามันดันไปกินเต่าเลี้ยงของนักศึกษาคนหนึ่งเข้าให้ “เราได้เรียกตัวคนลงมือมาคุยแล้ว พร้อมกับตำหนิว่านี่เป็นการกระทำที่แย่มากๆ” โฆษกของมหาวิทยาลัยกล่าว     ขณะเดียวกันเรื่องนี้ได้กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกโซเชียลของประเทศจีน ซึ่งบางคนก็ได้ออกความเห็นในเรื่องนี้ ในทำนองไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ อาทิ “คุณสามารถฆ่ามันได้นะ แต่ไม่ควรจะทรมานมัน” “มีแต่ปิศาจเท่านั้นที่ทารุณสัตว์”   ที่มา: dailymail, worldofbuzz

บ่อยครั้งที่เราอาจเคยเห็นกรณีที่ร้านรวงต่างๆ ชาร์จราคาสินค้าแพงเกินจริงกับนักท่องเที่ยว ด้วยความเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มาเยี่ยมชมต่างบ้านต่างเมือง น่าจะมีกำลังซื้อได้… และนี่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องราวทำนองนี้ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันคนหนึ่งเดินทางไปเที่ยวประเทศอิตาลี แล้วกลับโดนคิดค่าไอศกรีมแพงถึง 25 ยูโร (ราวๆ 900 บาท) เลยทีเดียว!!     เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อมีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ไต้หวันไปใช้บริการซื้อไอศกรีมโคนที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าถูกโกง     เพราะทางร้านค้าได้ทำการซ่อนป้ายเมนูแสดงราคาเอาไว้หลังเคาน์เตอร์ แล้วคิดเงินเกินกว่าที่ควรจะเป็นจนทำให้นักท่องเที่ยวไต้หวันคนนั้นโมโหว่าทำไมไอศกรีมโคนนี้มันมีราคาแพงจัง และเขาก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘มันแพงเพราะว่ามันอร่อยยังไงล่ะ’  ในเวลานั้นนักท่องเที่ยวจึงจำยอมต้องจ่ายเงินไปเต็มๆ 25 ยูโร แต่เขาก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับไกด์ทัวร์ แล้วก็ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลาต่อมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาตรวจสอบพบว่าผิดจริง!!     “การซ่อนป้ายแสดงราคาเป็นอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ มุมโลก มันทำให้ความประทับใจของผู้ซื้อต่ำเตี้ยลงมากๆ และมักจะมีนักท่องเที่ยวตกเป็นเหยื่อเสมอ” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว สำหรับบทลงโทษที่ทางร้านไอศกรีมนี้ได้รับก็คือ ถูกปรับเงินเป็นเงินสูงถึง 2,000 ยูโร (ราวๆ 73,000 บาท) สำหรับความผิดในครั้งนี้นั่นเอง   ที่มา: mirror

หากว่าเราไปในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยแล้วเกิดหลงทางขึ้นมา สิ่งที่อาจจะช่วยในการกลับไปยังที่พักหรือบ้านของเราได้ก็อาจจะเป็นการถามไถ่ชาวบ้านที่อยู่แถวๆ นั้น เพราะพวกเขาอาจช่วยเหลือเราได้ แต่ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หลงทางในประเทศสิงคโปร์เป็นเวลาถึง 10 วันเต็มๆ จากความที่เขาออกไปกินข้าวใกล้ๆ กับที่พักแต่ดันจำทางกลับไม่ได้ ครั้นจะใช้โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอามาด้วย แถมยังเขินเกินกว่าที่จะถามคนอื่นๆ อีก!!     Zhang Daming หนุ่มวัยรุ่นชาวมาเลเซียวัย 18 ปี ได้เดินทางมายังประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนก่อนเพื่อที่จะหางานทำในประเทศแห่งนี้ โดยเขาได้แชร์อพาทเมนต์เป็นที่อยู่อาศัยกับเพื่อนของเขาที่เคยมาทำงานที่นี่ก่อนแล้ว ในวันที่เกิดเหตุเพื่อนของเขาได้ให้เงินทิ้งไว้ให้ 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราวๆ 1,180 บาท) เพื่อให้เขาเอาเงินไปกินข้าวก่อนที่จะออกไปทำงาน เพราะหนุ่มมาเลคนนี้มีแต่เงินริงกิตนั่นเอง     แล้วจากนั้นเขาก็เอาเงินของเพื่อนไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านใกล้ๆ กับที่พัก แต่ระหว่างเดินนั้นเองเขาก็คิดว่าใกล้ๆ แค่นี้เองคงไม่ต้องจำทางอะไรมาก เลยเดินไปอย่างสบายใจไร้กังวล แต่กว่าเขาจะรู้ตัวว่าจำทางกลับไม่ได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเขาหลงทางไปซะแล้ว… “ผมเดินไปคาเฟ่ใกล้ๆ เพื่อกินอาหารเที่ยง แต่ว่าหาทางกลับมาที่อพาทเมนต์เพื่อนไม่ได้ บอกเลยว่าผมงงไปหมดในตอนนั้น ทุกๆ อพาทเมนต์มันมีหน้าตาเหมือนกันหมดแล้ว มันทำให้ผมสับสนน่ะ” Zhang กล่าว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือความชะล่าใจของเขานั้นเอง ได้ทำให้เขาทิ้งทั้งโทรศัพท์มือถือและพาสปอร์ตเอาไว้ที่อพาทเมนต์ด้วย เลยทำให้เขาไม่สามารถใช้โทรศัพท์ตามหาเส้นทางได้แถมยังติดต่อกับเพื่อนๆ ไม่ได้ด้วย และที่หนักที่สุดก็คือเขาไม่กล้าที่จะถามทางคนที่เดินผ่านไปมาในละแวกนั้นรวมทั้งการขอยืมโทรศัพท์ด้วย…     “ผมขี้อายมากๆ เลยน่ะ ผมไม่รู้ว่าคนสิงคโปร์เขาเป็นกันยังไง…

ต่อหน้าสายตาประชาขีโดยเฉพาะเด็กๆ คนที่เป็นครูบาอาจารย์อาจจะไม่กล้าทำอะไรที่ดูไม่ดี เพื่อไม่ให้เด็กๆ เอาตามเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ว่ามีครูคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะโนแคร์โนสนโลก เพราะว่าเขาได้ทำการ ‘รูดหนอน’ ขณะกำลังสอนนักเรียนอยู่ ณ โรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง     เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (8 ม.ค.) นาย Tracey Abhraham คุณครูวัย 41 ปีแห่งโรงเรียนมัธยมต้น Creekside Middle School ในรัฐโอไฮโอ ถูกนักเรียนตั้งข้อสงสัยว่าขณะที่กำลังสอนหนังสืออยู่เขาทำอะไรอยู่ใต้โต๊ะกัน นักเรียนคนหนึ่งจึงได้บันทึกภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นเอาไว้ โดยเป็นภาพของนาย Tracey กำลังจ้องมองโทรศัพท์ของเขาอยู่ ขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็ล้วงเข้าไปที่ใต้โต๊ะแล้วจัดการเขย่าหนอนของเขาด้วย   ภาพที่นักเรียนถ่ายเอาไว้ ขณะกำลังทำภารกิจ   เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นขณะที่เขากำลังสอนเด็กๆ อายุราวๆ 11 – 12 ปี ซึ่งเด็กๆ ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับครูใหญ่ และผลที่ตามมาก็คือเขาถูกนำตัวออกนอกห้องเรียนในทันที และมีคำสั่งห้ามไม่ให้กลับไปที่ตึกในเวลานั้นเพื่อหาข้อเท็จจริงก่อน โดยในตอนนี้ข้อหาที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งไว้เบื้องต้นก็คือข้อหาทำการอนาจารต่อหน้าธารกำนัล…     ทางด้าน Rick พ่อของเขาบอกว่านาย Tracey ไม่เคยมีการกระทำลักษณะนี้มาก่อนเลยในชีวิตของเขา รวมทั้งยังบอกเลยว่าสิ่งที่เด็กๆ เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นได้ ในตอนนี้เรื่องราวของเขากำลังรอให้หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐโอไฮโอตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ และศาลก็มีนัดตัดสินอยู่ว่ามีความผิดหรือไม่ในวันที่…

นี่อาจเป็นอีกหนึ่งที่น่าไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบันนี้ เมื่อคุณแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งรับจ้างล้างรถตามถนน และได้ค่าตอบแทนแล้วแต่ลูกค้าจะให้ แต่ก็ไม่วายทั้งคู่ยังโดนชิ่งไปอย่างหน้าตาเฉยไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว!!     เรื่องมีอยู่ว่าคุณพ่ออายุ 40 ปีนามว่า Sukumaran Sanmugam มีอาชีพเป็นคนรับจ้างล้างรถตามท้องถนนในประเทศมาเลเซีย ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน รายได้ของเขาในแต่ละวันจะมาจากความใจดีของลูกค้าที่ยินดีจะมอบเงินให้ เพราะเขาไม่ได้ตั้งราคาตายตัวแต่อย่างใดว่าการล้างรถแต่ละครั้งจะคิดราคาเท่าไหร่กันแน่ นอกจากนี้เขายังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่างานของเขามันไม่ใช่งานที่มีรายได้แน่นอน และต้องพึ่งพาสภาพอากาศในตอนนั้นด้วยว่าเป็นอย่างไร อย่างเช่นในกรณีที่ฝนตกก็ไม่สามารถที่จะทำงานล้างรถได้     “ผมไม่ตั้งราคาเอาไว้หรอกนะ แต่ผมจะรับเงินจำนวนเท่าที่ลูกค้าเต็มใจจะให้ผมแหละ แต่ขอบอกเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสำหรับผมเลยที่จะมีลูกค้าแถวนี้ เพราะแถวๆ นี้มีคาร์แคร์อยู่เต็มไปหมด” คุณพ่อกล่าว โดยสภาพการกินอยู่ของนาย Sukumaran ก็คือใช้ชีวิตอยู่บ้านเช่าร่วมกับภรรยาและลูกๆ ของเขาอีกสองคนในเมืองซาห์ อลาม ประเทศมาเลเซีย และจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้านเดือนละ 350 ริงกิตมาเลเซีย (ราวๆ 2,700 บาท) “ผมจะรู้สึกซาบซึ้งลูกค้าทุกๆ คนมากๆ ถ้าหากผมได้รับเงินวันละ 20 ริงกิต (ราวๆ 155 บาท) ซึ่งเงินที่ผมเคยได้รับมากที่สุดต่อวันคือประมาณ 70 ริงกิต (ราวๆ 545 บาท) แหละ” นาย…

สำหรับบางสถานที่อย่างเช่นไนท์คลับ และบาร์ต่างๆ ก็จะมีการ์ดคอยดูแลอยู่หน้าทางเข้า เพื่อดูแขกที่เข้ามาใช้บริการว่าทำตามกฎของทางร้านหรือไม่ และบางทีเมื่อเห็นคนที่ไม่ทำตามกฎหรือว่าเมาเกินไปพวกเขาก็อาจปฏิเสธไม่ให้เข้าเพื่อความปลอดภัย แต่ว่ามีอยุ่เหตุการณ์หนึ่งที่การ์ดดูแลเกือบจะกลายเป็นผีเฝ้าหน้าร้านไปซะแล้ว เมื่อมีชายเมาแอ๋คนหนึ่งเดือดจัดที่การ์ดไม่ให้เข้าร้าน เขาเลยควักปืนลูกซองมาจ่อหน้าการ์ดซะเลย!!   นี่แน่ะ   โดยสื่อต่างประเทศได้รายงานเรื่องนี้ว่า ชายนามว่านาย Azat Khikmatullin ถูกการ์ดของไนท์คลับแห่งหนึ่งในเมือง Naberezhnye Chelny ประเทศรัสเซียปฏิเสธไม่ให้เข้าร้านด้วยเหตุผลบางอย่าง ด้วยความเดือดดาลบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดเวลานั้น เขาเลยกลับบ้านไปเอาปืนที่บ้านแล้วย้อนกลับมาที่ไนท์คลับอีกครั้ง เพื่อจะทำการแก้แค้นให้สาสมแก่ใจ   เห้ย เจอของจริงนี่หว่า   ทางด้านการ์ดในเวลานั้น สังเกตการณ์ผ่านกล้องวงจรปิดเห็นแล้วว่านาย Azat กลับมาอีกครั้งหลังจากถูกปฏิเสธไปในตอนแรก เลยทำให้การ์ดคนหนึ่งเตรียมสเปรย์พริกไทยเอาไว้เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น แล้วไปรอเขาที่หน้าทางเข้า แต่ดูเหมือนว่าสเปรย์พริกไทยในมือของการ์ดคนนี้จะดูง๋อยไปเลย เมื่อเจอกับ Azat ที่คว้าปืนลูกซองขึ้นมาจ่อไปยังการ์ดคนนี้ เขาเลยต้องหนีเพื่อหาที่กำบังก่อน   คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้    แต่ว่าด้วยความเชี่ยวชาญในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา การ์ดก็กระโจนออกมาจากที่หลบแล้วฉีดสเปรย์พริกไทยเอาไปเต็มๆ หน้าของนาย Azat จากนั้นก็ตะลุมบอนกันอย่างอุตลุด ก่อนที่จะมีอีกคนหนึ่งเข้ามาช่วย จนในท้ายที่สุดแล้วทางการ์ดก็สามารถขว้างปืนออกไปไกลตัวของนาย Azat ได้และจับชายวัย 30 ปีคนนี้มัดเอาไว้แล้วส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ข้อหาที่นาย Azat ต้องเผชิญกับความผิดครั้งนี้ก็คือข้อหาพยายามฆ่า ซึ่งอาจทำให้เขาถูกคุมขังเอาไว้ก่อนเป็นเวลา 2 เดือนและรอการตัดสินจากชั้นศาล โดยหากพบว่าผิดจริงก็อาจต้องติดตารางถึง…

อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าร่างกายของคนเรานั้น สามารถแปรเปลี่ยนใช้เป็นสถานที่สำหรับซุกซ่อนสิ่งต่างๆ ได้ อย่างที่เคยเห็นกันมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งแอบซ่อนของในอวัยวะเพศ หรือว่าในทวารหนักก็มีให้เห็นไม่น้อย และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่เข้าข่ายที่ว่านี้เช่นเดียวกัน เมื่อมีนักโทษคนหนึ่งถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ามี ‘เข็มฉีดยา’ ถึง 3 อันอยู่ในรูทวารของเขา แต่เขาก็ปฏิเสธออกมาดื้อๆ ว่า ‘นี่มันไม่ใช่ของผมนะครับ’!!     เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานาย Wesley Scott ชาวฟลอริด้าวัย 40 ปีถูกส่งเข้ายังสถานที่คุมขังของเขต Pinellas County ด้วยข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ว่าก่อนหน้าที่จะเข้ายังห้องขังได้ ก็จะต้องมีกระบวนการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ก่อนว่าไม่ได้แอบเอาอะไรเข้ามา และระหว่างการเปลือยกายเช็คของนี้เองก็ได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น     เพราะเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบว่าภายในช่องทวารหนักของชายคนนี้ มีเข็มฉีดยาอยู่ถึง 3 อันด้วยกัน ทว่าเขาก็บอกว่านี่มันไม่ใช่ของเขาอย่างแน่ๆ แต่ก็มีอีกจุดหนึ่งที่น่าสงสัยในกรณีนี้เนื่องมาจาก ณ เวลานั้นนาย Wesley ได้ตอบคำถามเมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าแอบซ่อนอะไรเข้ามารึเปล่าว่า ‘ไม่มี’ รวมทั้งบอกด้วยว่ารู้ดีว่าโทษสำหรับการลักลอบสิ่งของเข้ามาเป็นอย่างไร     อย่างไรก็ตามนาย Wesley ถูกตั้งข้อหาเพิ่มเติมจากการถูกค้นพบในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นข้อหานำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปยังสถานที่คุมขังของรัฐ ครอบครองยาเสพติดเพื่อการค้า และมีกัญชาในครอบครอง อีกทั้งยังทำให้เงินค่าประกันตัวของเขาสูงถึง 5,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 159,000 บาท) อีกด้วย…   ที่มา:…

มีใครไหนเลยที่จะไม่ชอบ ‘ของฟรี’ กันบ้าง แต่ว่านอกจากของฟรีแล้วบางทีเราซื้อของแล้วได้รับ ‘ของแถม’ ก็อาจเป็นอะไรที่น่าประทับใจแบบสุดๆ ได้เหมือนกัน… แต่ว่าในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ล่ะก็ ไม่แน่เหมือนกันว่าคุณอาจจะไม่อยากได้ของแถมอีกเลยตลอดไปก็เป็นได้ ถ้าเปิดออกมาแล้วเป็น ‘งู’ เหมือนกับชายคนนี้     เรื่องนี้มีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมานาย Barry Downes ชายชาวลอนดอน ได้ไปซื้อกาน้ำร้อนมาหนึ่งใบในช่วงเซลล์เทศกาลคริสต์มาสของร้าน Argos  จากนั้นเขาก็นำเจ้ากาน้ำใบใหม่นี้กลับมาที่บ้าน แล้วแกะกล่องลองใช้ชงชาทันทีเพื่อเช็คดูว่ามันสามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติหรือไม่ ซึ่งมันก็ใช้ได้ปกติดีไม่มีปัญหา แล้วนั่งจิบชาสักพักหนึ่ง แต่แล้วเมื่อกลับมาที่ครัวอีกครั้งเขาก็พบเข้ากับเจ้าของแถมนี้เข้าให้ ซึ่งในตอนแรกเขานึกว่ามันไม่ใช่งูแต่อาจจะเป็นเชือกอะไรสักอย่าง…     “บอกเลยนะตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่ามันคืองู ผมเลยหยิบมันจะเอาไปทิ้งถังขยะแต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มดิ้นยุกยิกไปมา ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เชือกแล้วล่ะ!!” ด้วยความตกใจในเวลานั้นเขาจึงรีบปล่อยงูในทันที แล้วจัดแจงหาฝาหม้อมาครอบมันไว้เพื่อใม่ให้มันหนีไปซุกซ่อนที่อื่นได้ แล้วจึงเรียกเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยจัดการ “เขาคงจะช็อกมากแน่ๆ ที่เจอกับงูตัวนี้มากับกาน้ำร้อนใบนี้”  “Barry คงคิดว่าเจ้างูตัวนี้มาจากประเทศจีนซึ่งเป็นสถานที่ที่ผลิตมัน แต่สำหรับฉันแล้วฉันคิดว่ามันน่าจะมาจากโรงเก็บของในประเทศอังกฤษซะมากกว่า” “มันคืองูข้าวโพด สุดยอดนักหลบหนีที่เหนือการคาดเดา ฉันเดาว่ามันน่าจะหนีมาจากป่าที่ไหนสักแห่งนี่แหละ” Ella Davies เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนี้กล่าว     ทั้งนี้งูข้าวโพดเป็นงูที่ไม่มีพิษและสามารถมีความยาวได้สูงสุดอยู่ที่ 1.5 เมตรนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งตอนนี้เจ้างูได้ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลสัตว์ Putney Animal Hospital เรียบร้อยและมันปลอดภัยดี   ที่มา: thesun,…

บ่อยครั้งที่เราอาจเห็นว่ามีวิธีการใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอในการลักลอบนำสิ่งต่างๆ ให้พ้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ และนี่ก็อาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีถ้าหากว่าไม่ถูกจับได้เสียก่อน เมื่อชายคนหนึ่งแอบลักลอบแมวออกนอกประเทศด้วยการเอายัดใส่ไว้ในกางเกง แต่ความก็มาแตกเอาซะเพราะว่าดันมีเสียงร้อง ‘เหมียว’ ดังออกมา เลยทำให้ไปไม่รอดโดนรวบในที่สุด!!     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ณ สะพานเชื่อมระหว่างประเทศสิงคโปร์และประเทศมาเลเซีย (ฝั่งขาเข้าประเทศสิงคโปร์) เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหน่วยงาน Immigration and Checkpoints Authority (ICA) ได้ทำการตรวจสอบรถของชายชาวสิงคโปร์วัย 45 ปีตามหน้าที่ปกติ แต่แล้วขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังทำการตรวจค้นอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียง ‘เหมียว’ ดังขึ้นมาจากที่ใดสักแห่งหนึ่งในรถคันนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อค้นหาต้นตอว่าเสียงมันดังมาจากที่ใดกันแน่…     และแล้วในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้ค้นพบกับความจริงเข้าให้ ว่าเสียงร้องนี้มันดังมาจากกางเกงวอร์มของชายชาวสิงคโปร์วัย 45 ปีคนขับนี้เอง ซึ่งสิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือในนั้นมีลูกแมวอยู่ถึง 4 ตัวด้วยกัน ชายคนนี้จึงถูกจึงถูกจับกุมไปในทันที ตามกฏหมายของประเทศสิงคโปร์ที่ว่าการแอบลักลอบสัตว์มีชีวิต ซึ่งโทษก็คือค่าปรับเป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราวๆ 236,000 บาท) หรือโทษจำคุกหนึ่งปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนลูกแมวเจ้าหน้าที่ได้ยึดเอาไว้และกำลังดูแลอยู่ในตอนนี้… เจ้าหน้าที่กล่าวปัญหาการลักลอบนำสัตว์เข้า – ออกโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจทำให้เกิดโรคต่างๆ…

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งชายหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ราวกับว่าหลุดออกมาจากจินตนาการของสาวๆ บางคนเลยก็ว่าได้ สำหรับ ‘Arthur Chatto’ เชื้อพระวงศ์รูปงามแห่งสหราชอาณาจักร กับความหล่อล่ำที่ใครเห็นเป็นต้องคลั่งไคล้!! ซึ่งในตอนนี้ในโลกโซเชียลของต่างประเทศกำลังพูดถึงหนุ่มหล่อวัย 19 ปีผู้นี้กันจนแทบจะลุกเป็นไฟ และถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร และจะสมาร์ทขนาดไหนล่ะก็ ตามมาทางนี้เลยดีกว่า…   เบาๆ ก่อนละกัน https://www.instagram.com/p/5mxkPiRzji/   จุดเริ่มต้นความฮอตฮิตของเขาในตอนนี้ เริ่มขึ้นมาจากความที่พ่อหนุ่ม Arthur ได้โพสต์ภาพขณะกำลังถอดเสื้อโชว์หุ่นกล้ามเป็นมัดๆ และซิกแพคแบบจัดเต็มสุดเซ็กซี่ใน IG นั่นก็คือภาพนี้   โง้ยยย…. https://www.instagram.com/p/BsTB8yOhvgr/   ภาพนี้เองได้กลายเป็นกระแสไวรัลที่สาวๆ พากันกดไลก์กดแชร์กันอย่างอุตลุด จนกลายเป็นพ่อคุณทูนหัวของใครหลายคนเป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งมีคอมเมนต์ขำๆ จากสาวๆ กันเข้ามาอย่างเช่น “สกอตแลนด์ไม่เคยดูร้อนแรงขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย” “แต่งงานกับฉันเถอะนะ”    เอาซี่ ปาดน้ำลายแพพ https://www.instagram.com/p/Bb9RfTfggqM/   สำหรับนาย Arthur Chatto นั้นเขาเป็นบุตรชายของ ‘เลดีซาราห์ แชตโท’ พระธิดาในเจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน ซึ่งเป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระประมุขแห่งอังกฤษองค์ปัจจุบัน และถึงแม้ว่า Arthur จะไม่มีคำนำหน้าชื่อเหมือนกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ แต่เขาก็ถูกจัดว่าเป็นรัชทายาทอันดับที่ 25…

นี่อาจเป็นเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจาก ‘สายเลีย’ เมื่อภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าบ้านแห่งหนึ่ง ได้จับภาพชายคนหนึ่งเอาไว้ได้ขณะที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจเลียกริ่งหน้าบ้านอยู่เป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมงเต็มๆ!!     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่าน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งเมือง Salinas รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ปล่อยภาพจากกล้องวงจรปิดของบ้านดังกล่าวมาให้เราได้ดูกัน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดนี้คือภาพของชายคนคนหนึ่งที่ยืนเลียกริ่งหน้าบ้าน (อุปกรณ์แจ้งเตือนเมื่อกด) อย่างสุดมันส์เป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมงด้วย   วิดีโอขณะเลียของเจ้าหนุ่มคนนี้    ในภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบแล้วก็พบว่าชายคนนี้มีชื่อว่านาย Roberto Daniel Arroyo วัย 33 ปี ซึ่งพวกเขากำลังควานหาตัวหนุ่มคนนี้อยู่ในตอนนี้ “เราประหลาดใจมากกับภาพอันสุดแสนจะชัดเจนที่ว่านี้ มันทำให้เราไม่ต้องใช้เวลานานเลยกับการระบุตัวว่าเป็นใครกัน” โฆษกของหน่วยงานตำรวจกล่าว     โดยบ้านที่ถูกเขาลงมือนี้เป็นบ้านของครอบครัว Dungan ซึ่งในเวลานั้นผู้ใหญ่ในบ้านออกไปข้างนอกกันหมด เหลือเพียงเด็กๆ ที่กำลังนอนหลับอยู่ภายในบ้านเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรนาย Arroyo ก็ไม่ได้ลงลิ้นแรงจนทำให้เกิดเสียงออดและปลุกเด็กๆ แต่อย่างใด แต่ทางพ่อแม่ของเด็กมาเห็นภาพในกล้องวงจรปิดดังกล่าว เลยโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลาต่อมา     “เราอาจจะหัวเราะกับเรื่องนี้ในภายหลังก็ได้เพราะในทางเทคนิคแล้ว เขาไม่ได้ทำร้ายใครหรือไม่ได้พังข้าวของใดๆ เลย และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีกล้องวงจรปิดเอาไว้ที่หน้าบ้าน”  Sylvia Dungan กล่าว   ที่มา: mirror,…

หากถามถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กนักเรียน ใครหลายคนอาจต้องเคยประสบกับประสบการณ์ที่ว่าใช้ชุดนักเรียนต่อจากพี่ๆ ญาติๆ เพื่อเป็นการประหยัดเงินของพ่อแม่ให้ได้มากที่สุด แต่ว่าบางทีชุดที่ได้รับมานี้มันก็ไม่พอดีกับตัวของเราซะจริงๆ ใหญ่เกินบ้าง บางทีก็เล็กเกินบ้าง จนเกิดเป็นปัญหาต้องคอยมาพะวงกับเรื่องเสื้อผ้ากันไปตามๆ กัน ดังเช่นในกรณีของเด็กนักเรียนคนนี้ที่ใช้เสื้อผ้าต่อจากพี่ชาย ซึ่งมันมีขนาดใหญ่เกินกว่าตัวของเขาไปมาก เลยทำให้คุณครูคนหนึ่งตัดสินใจซื้อชุดนักเรียนใหม่ให้กับเด็กคนนี้ซะเลย!!     เรื่องราวดีๆ ที่ทำให้โลกดูสวยงามขึ้นนี้เกิดขึ้นจากความที่ Mohd Nasir Mohd Zain คุณครูของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองซูไงเปอตานี ประเทศมาเลเซีย สังเกตเห็นว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งในโรงเรียนมีท่าเดินที่แปลกๆ “ผมมองดูเขาแล้วเห็นว่าเขาใช้การลากรองเท้าแทนการเดินแบบปกติ แถมยังต้องเอามาคอยดึงกางเกงเอาไว้ ด้วยความสงสัยผมเลยเรียกเขามาแล้วเดินไปหาเขาซะ” “ผมถามว่าทำไมถึงเดินแบบนี้ล่ะ เขาก็ตอบกลับมาว่าเป็นเพราะรองเท้านี้มันใหญ่เกินไปเลยต้องใช้การลากแทนการยกมัน แถมกางเกงก็หลวมโพรกซะจนต้องใช้มือดึงเอาไว้” “จำได้เลยว่าผมลองเอานิ้วแหย่เข้าไปในรองเท้าของเด็กคนนี้ ซึ่งผมสามารถเอานิ้วมือเข้าไปได้ถึง 3 นิ้วเลยแหละ” คุณครูกล่าว   ดูความหลวมของชุดเด็กนักเรียนคนนี้ซะก่อน    และแล้วคำตอบของเรื่องนี้ก็กระจ่างออก เมื่อทางเด็กนักเรียนบอกว่าเสื้อผ้าเหล่านี้เขาได้ใช้ต่อจากพี่ชายของเขานั่นเอง เมื่อเห็นดังนี้แล้วทางคุณครูก็อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือ เขาเดินไปที่ห้องครูใหญ่โดยทันทีเพื่อจะขออนุญาตนำตัวเด็กคนนี้ออกนอกโรงเรียนไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งทางครูใหญ่ก็ไฟเขียวให้อนุญาต จากนั้นคุณครูจึงพาเด็กชายคนนี้ออกไปชอปปิงกันอย่างเต็มที่ เลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่กันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส   เอาให้มันพอดีๆ ดีกว่า   “ผมพาเด็กคนนี้ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ซื้อให้แทบทุกอย่างเลย จำได้ตอนนั้นเรานั่งกันในรถระหว่างเดินทาง ผมเห็นเขายิ้ม เขามีความสุขเอามากๆ” Mohd กล่าว ส่วนถ้าถามถึงเหตุผลในการทำเช่นนี้ คุณครูก็อธิบายให้ฟังว่าถ้าเขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่สนใจ…

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นสิ่งๆ แรกที่เราควรจะทำในตอนนั้น ก็อาจจะเป็นการโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากมีคนบาดเจ็บก็โทรเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเพื่อให้ทุกๆ อย่างทันท่วงที แต่ว่ามีเหตุการณ์แปลกๆ อยู่เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเพื่อที่จะมาให้พิสูจน์ DNA ว่าแฟนเขามีชู้จริงไหม!?     เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โอเปอเรเตอร์ของหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน North West Ambulance Service ประเทศอังกฤษ ได้รับสายจากชายคนหนึ่งที่โทรเข้ามา ทันทีที่รับสายเจ้าหน้าที่รับสายทางปลายสายก็ถามว่านี่ใช่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินใช่ไหม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ตอบว่าใช่ แล้วถามกลับไปว่าตอนนี้ผู้ป่วยยังหายใจอยู่หรือไม่ เพราะอาจเป็นเหตุด่วนเหตุร้ายหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น     แต่แล้วก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อในเวลาต่อมาทางปลายสายบอกว่า ‘ฟังนะที่ผมโทรมาเนี่ย เพราะแฟนของผมเขากำลังนอกใจผมน่ะ’!!  ประโยคแปลกๆ อย่างนี้เจ้าหน้าที่คิดว่าพวกเขาฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า เลยถามกลับไปอีกทีเพื่อให้แน่ใจ โดยบอกให้ชายคนนั้นว่า ‘โอเคฟังฉันนะ ตอนนี้ผู้ป่วยยังหายใจอยู่ใช่ไหม?’ ถึง 2 รอบด้วยกัน ซึ่งทางชายคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยประโยคสุดพีคว่า ‘ทุกๆ คนโอเค ปลอดภัยดี แต่ผมอยากจะให้หน่วยแพทย์ฉุกเฉินมาที่บ้านผมเพื่อทำการตรวจ DNA ให้หน่อย’    คลิปเสียงของสายสนทนานี้ FFS – Friday fact share ‼️ So we…

กลายเป็นเรื่องที่ฮือฮากันอย่างมากในโซเชียลมีเดียของต่างประเทศ ถึงกรณีของการประมูลปลาทูน่าครีบน้ำเงินครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น เพราะมันได้เกิดสถิติใหม่ขึ้นมานั่นคือการประมูลปลาตัวหนึ่งด้วยเงินเกือบๆ ร้อยล้านบาท!!     ในเรื่องนี้สื่อต่างประเทศรายงานว่า การประมูลที่ว่านี้จัดขึ้นที่ตลาดปลาสึกิจิแห่งใหม่ที่ย้ายไปอยู่ในเขตโตโยสุ กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 5 มกราคม ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของตลาดแห่งใหม่นี้ด้วยที่มีการจัดประมูลปลาเกิดขึ้น   Kiyoshi Kimura กับปลาสุดแพงของเขา   สถิติใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ผู้ประมูลไปคือนาย Kiyoshi Kimura เจ้าของฉายา ‘Tuna King’ เขาเป็นเจ้าของซูชิ Sushi-Zanmai ที่มีสาขาหลายแห่งทั่วประเทศ โดยเจ้าปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวที่กลายเป็นสถิตินี้ ถูกจับได้ที่ชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น และมีน้ำหนักตัวถึง 278 กิโลกรัมเลยทีเดียว     ส่วนราคาก็ไม่ใช่ธรรมดาชายคนนี้ต้องควักเงินประมูลไปถึง 333.6 ล้านเยน (ราวๆ 98 ล้านบาท) ซึ่งมันได้กลายเป็นการทุบสถิติเก่าของตัวเองในปี 2013 ที่ครั้งนั้นประมูลปลาไปด้วยเงิน 155 ล้านเยน (ราวๆ 45 ล้านบาท) “ปลาตัวนี้เป็นทูน่าที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ ราคามันสูงกว่าที่ผมคิดเอาไว้ตอนแรก แต่ผมก็หวังว่าลูกค้าของผมจะมีโอกาสได้ลิ้มรสเนื้ออันสุดยอดของปลาตัวนี้” นาย Kimura กล่าว     อย่างไรก็ตามปลาทูน่าครีบน้ำเงินจัดว่าเป็นปลาที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ แต่ก็เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นเอามากๆ โดนส่วนที่แพงที่สุดคือช่วงท้องของปลา หรือที่เรียกว่า…

สำหรับบางสถานที่ ‘การสูบบุหรี่’ ก็เป็นข้อห้ามเพราะจะด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยหรือด้านสุขภาพก็ตามแต่ และทางที่ดีที่สุดก็คือการปฏิบัติตามข้อบังคับที่กำหนด เพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลัง มิฉะนั้นแล้วอาจถูกลงโทษเหมือนกับชายคนนี้ ที่เขาไปสูบบุหรี่บนรถไฟความเร็วสูง ทั้งที่เป็นสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ เลยทำให้สัญญาณตรวจจับควันทำงานและรถไฟต้องลดความเร็วลงอย่างเร่งด่วน!!     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมาบนรถไฟความเร็วสูงขบวนที่ G1538 ซึ่งรถคันนี้ได้วิ่งออกจากสถานีข่ายหลี่ใต้ มณฑลกุ้ยโจว ไปตามเส้นทางที่กำหนด แต่ว่าเมื่อวิ่งไปถึงประมาณสถานีถงเหรินใต้ ก็มีเหตุฉุกเฉินขึ้นเมื่อมีเสียงสัญญาณตรวจจับควันดังมาจากห้องน้ำของตู้โดยสารตู้ที่ 7   ทำไมทำอะไรอย่างนั้นล่ะนาย   ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ขบวนรถไฟลดความเร็วลงโดยระบบอัตโนมัติ จาก 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือเพียง 83 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบห้องน้ำห้องที่เกิดเหตุ ก็พบกับต้นตอของเรื่องนี้เมื่อพบผู้โดยสารชายคนหนึ่งเพิ่งจะสูบบุหรี่เสร็จใหม่ๆ เลย เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมาสอบปากคำ   คลิปเหตุการณ์ทั้งหมด    ชายคนนี้ได้ให้ปากคำว่าเขาเป็นคนแซ่จาง และเพิ่งจะเคยขึ้นรถไฟความเร็วสูงเป็นครั้งแรก เลยไม่รู้ว่าห้ามสูบบุหรี่บนรถคันนี้ เลยทำให้เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างสบายใจนั่นเอง   โดนรวบเรียบร้อย   แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อนายจางคนนี้ลงรถไฟที่สถานีเจิ้งโจวตะวันออก เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนคอยอยู่แล้วก็มารับตัวไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งโทษที่เขาโดนก็คือถูกปรับเงินเป็นจำนวน 600 หยวน (ประมาณ 2,800) สำหรับความไม่รู้ครั้งนี้……

ใครจะไปเชื่อว่าการที่เราทำอะไรที่คุ้นๆ ชินๆ อย่างการ ‘เซลฟี่’ ที่เราทำอยู่ทุกๆ วันจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ แต่ว่าก็มีเหตุการณ์ร้ายแรงเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นแล้วจริงๆ จากการถ่ายรูปตัวเองเช่นนี้ แล้วมันรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยด้วย   Cliffs of Moher สถานที่เกิดเหตุ   เว็บไซต์ Metro ได้รายงานเรื่องนี้ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4 ม.ค.) นักศึกษาวัย 20 ต้นๆ คนหนึ่งได้พลัดตกหน้าผา Cliffs of Moher สถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของประเทศไอร์แลนด์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือนักศึกษาคนนี้ได้ไปยืนเซลฟี่อยู่ริมหน้าผา แต่ว่าด้วยความบังเอิญอะไรสักอย่างทำให้เขาเกิดลื่นจนเสียการทรงตัว และพลัดตกหน้าผาไปในที่สุด     ซึ่งนักศึกษาคนที่เสียชีวิตนี้เป็นชาวต่างชาติที่พักและเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองดับลิน ภายในประเทศไอร์แลนด์นั่นเอง ในภายหลังได้มีการเก็บกู้ศพของเขาโดยหน่วยยามชายฝั่งของไอร์แลนด์ และได้นำศพส่งยังโรงพยาบาล University Hospital Limerick เพื่อชันสูตรต่อไป     นี่อาจเป็นเหตุการณ์น่าเศร้าที่จะมาเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้เป็นอย่างดี ว่าการเซลฟี่นั้นควรทำให้ถูกสถานที่ และไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายต่างๆ จะได้ไม่เกิดเรื่องสลดเช่นนี้ขึ้น…   ที่มา: metro, news.sky

กลายเป็นคนดังขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้สำหรับชายเจ้าของร้านขายของคนหนึ่ง ที่บังเอิ๊ญบังเอิญว่าดันมีหน้าตาเหมือนกับ ‘แจ็ค หม่า’ มหาเศรษฐีแห่งอาณาจักรอาลีบาบาเข้าให้ซะอย่างงั้น!! Wu Xuelin เจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ แห่งมณฑลเจ้อเจียง วัย 39 ปี ตอนคุยโม้ว่าตอนนี้แอคเคานต์โซเชียลมีเดียของเขามีผู้ติดตามมากถึง 1.35 ล้านคน จากการที่เขาตั้งฉายาให้ตัวเองว่า “Litte Jack Ma”   เหมือนป่ะล่ะ   เขาเล่าให้ฟังว่าผู้คนมักจะทักเขาผิดบ่อยๆ ว่าเป็นนายแจ็ค หม่า และสิ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขรวมทั้งมีความภูมิใจในตัวเองเกิดขึ้นด้วย กับการเป็นร่างแยกของมหาเศรษฐีเช่นนี้ นอกจากนี้เรื่องนี้ยังมีส่วนช่วยในธุรกิจของ Wu ด้วย เพราะผู้คนมักจะเข้ามาที่ร้านของที่ร้านของเขาแล้วเอาไปคุยโม้ต่อว่า นี่ข้าซื้อบุหรี่มาจากร้านของแจ็ค หม่าเลยนะเฟ้ย!!   ลองพิสูจน์ด้วยสายตาของคุณเอง  แต่ถึงอย่างไรแล้วนาย Wu ก็บอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เขาจะยังคงทำงานเป็นเจ้าของร้านขายของชำนี้ต่อไป แม้สมมุติว่านายแจ็ค หม่าจะมีความอนุเคราะห์ให้การดูแลเขาก็ตามที แต่ว่านอกจากเจ้าของร้านคนนี้แล้ว ในอดีตก็เคยมีข่าวของคนที่หน้าตาเหมือนกับมหาเศรษฐีคนนี้หลายคนเหมือนกัน ดั่งเช่น   คนขายเห็ดคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนแจ็ค หม่า   ยามคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนกับแจ็ค หม่า   เด็กวัย 8 ขวบคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนกับแจ็ค หม่า…  …

สำหรับบางคนแล้วเมื่อมีความชอบหรือว่าคลั่งไคล้อะไรสักอย่าง ก็จะทุ่มให้กับมันอย่างสุดตัว และสำหรับผู้ชายหลายคนแล้ว ‘ฟุตบอล’ ก็เปรียบเสมือนกับลมหายใจเลยก็ว่าได้ แต่ว่าบางทีอาจจะไม่มีใครบ้าระห่ำเกินชายคนนี้อีกแล้ว เพราะว่าเขาลงทุนใช้เวลาถึง 60 ชั่วโมง สักลาย ‘เสื้อแข่งทีมโปรด’ ลงบนตัวของเขาเอง!!     โดนชายชาวเปรูที่ไม่เปิดเผยชื่อนี้ ได้รับความสนใจจากโลกโซเชียลเมื่อประมาณปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เมื่อ Jean Pierre Salinas ช่างสักของร้าน  Lima 13 tattoo studio ในกรุงลิมาได้โพสต์วิดีโอขณะสักลงในโลกออนไลน์ ชายคนที่ว่านี้ได้มาที่ร้านและสักเป็นรูปเสื้อแข่งของทีม Alianza Lima ทีมฟุตบอลทีมโปรดในบ้านเกิดของเขา ซึ่งสีเสื้อประจำทีมก็คือสีฟ้า – ขาว นั่นเอง   ลายสักของชายคนนี้    “นี่มันไม่ใช่ความบ้าอะไรหรอก แต่เป็นความหลงใหลต่างหาก จริงๆ แล้วเขารอที่จะให้ลายสักนี้จะอยู่บนตัวตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะมีความกล้าเมื่อไม่นานมานี้เอง” Jean Pierre เขียนลงในเฟซบุ๊ก แต่ว่าอันที่จริงแล้วแฟนพันธุ์แท้ของทีม  Alianza Lima คนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองลิม่าแต่อย่างใด ทว่าเขาอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ และกลับมาบ้านในช่วงวันหยุดเท่านั้น งานนี้ทางช่างสักจึงมีเวลาไม่นานนักก่อนที่เขาจะกลับประเทศอังกฤษ การสักจึงเริ่มต้นขึ้นและจบลงด้วยการใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 60 ชั่วโมงเท่านั้นเอง   ใจพี่โคตรได้!! ที่มา: odditycentral, lima 13…

สำหรับการเริ่มต้นปีใหม่นี้ บางคนอาจจะเริ่มต้นได้อย่างสวยหรู อะไรต่างๆ ดูเข้าท่าไปซะหมด แต่สำหรับคุณแม่คนหนึ่งแล้ว ช่วงแรกของปีอาจไม่ใช่ช่วงที่ดีของเธอเอาซะเลย เพราะเธอไปพบกับโน๊ตที่ไม่คาดคิดว่าจะพบในกล่องจดหมาย และข้อความที่อยู่ในนั้นก็คือเสียงจากเพื่อนบ้านที่กล่าวว่าพวกเขารู้สึก ‘เบื่อหน่าย’ จนพาลให้หัวเสียกับเสียงร้องของลูกชายเธอที่ป่วยเป็นออทิสติก…   Ana Gray และลูกชายของเธอ   เมื่อเช้าวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา Ana Gray คุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 28 ปี ได้ไปเช็คกล่องจดหมายที่หน้าบ้านในเมืองนาเปียร์ ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วก็พบกับโน๊ตใบหนึ่งอยู่ในนั้น ซึ่งอ่านได้ว่า “ถ้าคุณทำให้ลูกของคุณหยุดตะโกนโหวกเหวกไม่ได้ ฉันจะโทรศัพท์หาหน่วยงานดูแลเด็กแล้วรายงานเรื่องของคุณซะ ตอนนี้พวกเราทนแทบไม่ไหวกับลูกคุณกันแล้ว อ๋ออีกอย่างเราจะโทรหาเจ้าของบ้านที่คุณเช่าอยู่ด้วย”  ทั้งนี้ Wiremu ลูกชายวัย 7 ขวบของเธอได้รับการวินิจฉัยจากทางแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคออทิสซึม รวมถึงมีความบกพร่องทางพัฒนาการในทุกๆ ด้าน (Global Developmental Delay) เมื่อ 5 ปีที่แล้ว   โน๊ตที่เธอได้รับ   ทางคุณแม่ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์นี้กับสื่อท้องถิ่นอย่าง New Zealand Herald ว่า ไม่รู้ว่าโน๊ตนี้เป็นของใครกันแน่เพราะไม่มีการระบุชื่อเอาไว้ แต่เธอได้ทำการขอโทษพร้อมกับอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านทางเฟซบุ๊ก “ฉันอยากจะคุยกับเขาแบบเห็นหน้ากันจริงๆ ฉันจะได้อธิบายถึงสถานการณ์ของเราว่ามันเป็นเรื่องยากขนาดไหนกับการรับมือสิ่งสิ่งนี้ ไม่มีอะไรเลยที่ฉันสามารถจะแก้ไขได้เลยในตอนนี้” Ana กล่าว พร้อมกันนี้เธอยังกล่าวด้วยว่าเจ้าของบ้านรับรู้ความผิดปกติของลูกเธออยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ กับเรื่องนี้เลยจนถึงตอนนี้ ในตอนนี้เธอได้เพียงแค่หวังว่าสถานการณ์ต่างๆ…

สำหรับบางคนแล้วชุดเครื่องนอนก็มีส่วนในการนอนหลับอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ลองนึกภาพดูว่ามันจะดีขนาดไหนถ้าหากว่าชุดเครื่องนอนที่ว่านี้มันมีลายหรือว่ารูปทรงเป็นแบบที่เราชอบ มันคงรู้สึกดีสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะที่จะได้นอนหนุนมัน… และสำหรับใครที่ชื่นชอบ ‘หน้าอกหน้าใจ’ สมบัติติดตัวของหญิงสาวจนถึงขั้นหลงใหลแล้วล่ะก็ นี่อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหามานานแสนนาน เพราะในตอนนี้มีหมอนรูปทรง ‘หน่มน๊ม’ ถูกผลิตขึ้นมาแล้ว!!     โดยเจ้าหมอนที่ว่านี้มันมีชื่อเรียกว่า Boobie Pillow ซึ่งก็อย่างที่บอก มันมีรูปทรงเหมือนกับหน้าอกจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังมีสีที่หลายๆ คนชื่นชอบอีกด้วย คำอธิบายสำหรับเจ้าสินค้าชิ้นนี้บนเว็บไซต์ที่วางขายอย่าง Amazon ได้อธิบายเอาไว้ว่าเจ้าสิ่งสิ่งนี้มันเหมาะซะเหลือเกินสำหรับซื้อเป็นของขวัญให้กับตัวเอง หรือจะให้ผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อย     เท่านั้นยังไม่พอหมอนรูปหน่มน๊มใบนี้ ยังได้รับคะแนนถึง 4.5 ดาว (จากเต็ม 5 ดาว) บนเว็บไซต์ รวมทั้งยังมีคนรีวิวให้ด้วย อย่างเช่นหนึ่งในรีวิวนี้ “ฉันเอาสิ่งนี้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสขำๆ ให้กับแฟนหนุ่มของฉัน แล้วเขาก็ตกหลุมรักมันในทันที มันอยู่บนเตียงข้างกายเขาเลยตอนนี้ คุณภาพของมันสุดยอดมาก แถมหัวนมยังมีสีชมพูสดใสอีกด้วย”  ส่วนราคาของมันก็ไม่ถูกไม่แพง เพียงแค่ 14.99 ปอนด์ (ประมาณ 600 บาท) เท่านั้น และถ้าใครอยากได้ล่ะไว้ใช้เองหรือเป็นของขวัญ สามารถสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ Amazon นี้กันเล้ย  …

หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีกับนักแสดงตลกฮอลลีวูดนามว่า ‘โจนาห์ ฮิลล์’  ซึ่งลุคที่เราอาจชินๆ ตากันกับเขาคนนี้ก็คือภาพของชายอารมณ์ดีร่างอ้วนท้วน กับบทบาทฮาๆ ในแบบฉบับของเขา อย่างเช่นบทบาทสายลับสุดกวนในเรื่อง 21 Jump Street หรือกับบทบาทนักลงทุนหนุ่มในภาพยนตร์ตลกดราม่าอย่าง The Wolf Of Wall Street   เรื่อง 21 Jump Street   แต่ว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อนายโจนาห์ จัดการเปลี่ยนลุคมาไว้ผมยาว งานนี้เขาเลยโดนชาวเน็ตแซวไปเต็มๆ ว่าเหมือนพระเยซูบ้าง เหมือนป้าข้างบ้านบ้าง ไปโดยปริยาย…   โจนาห์ ฮิลล์ แบบที่ใครหลายคนคุ้นตา   เหตุความขำขันนี้เกิดขึ้นจากความที่เมื่อวาน (2 ม.ค.) นายโจนาห์ ได้โพสต์ IG เป็นภาพของตัวเขาเองในลุคเซอร์ๆ เข้มๆ ไว้หนวดไว้เคราแบบที่ใครหลายคนอาจจะไม่เคยเห็นกันมาก่อน   โพสต์ที่ว่านี้ https://www.instagram.com/p/BsFKhRpFul3/   เมื่อภาพอันแปลกตานี้แพร่กระจายออกไป ชาวเน็ตที่มีโอกาสได้เห็นก็ต่างกันคอมเมนต์เกี่ยวกับภาพนี้อย่างมากมาย และที่น่าสนใจก็คือคนจำนวนมากบอกว่าภาพๆ นี้เขาดูเหมือน ‘พระเยซู’ ยังไงยังงั้นเลย   บ้างก็บอกเหมือนพระเยซู  …

กำลังเป็นกระแสที่ฮิตติดลมบนแบบสุดๆ สำหรับชาเลนจ์ใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Bird Box Challenge’ ชาเลนจ์การปิดตาใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมาที่มาจากหนังในสตรีมมิ่ง Netflix!! ภาพยนตร์เรื่อง ‘BirdBox มอง อย่าให้เห็น’ เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่ต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด ซึ่งวิธีเดียวที่จะเอาชีวิตรอดได้ในวิกฤตินี้ก็คือการห้ามมองมัน     ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ให้ได้อย่างเด็ดขาดที่สุด ‘ผ้าปิดตา’ จึงเป็นสิ่งที่ทางตัวเอกของเลือกหยิบมาใช้ แต่ว่าอาจจะด้วยพลอตเรื่องที่ดูน่าตื่นเต้น และดูทำตามได้ไม่ยาก จึงทำให้ในตอนนี้มีชาวเน็ตหลายคนเริ่มทำตามเหล่าตัวเอกในเรื่อง Bird Box ด้วยการเอาผ้าปิดตามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเป็นการจำลองโลกของพวกเขาว่าเป็นเช่นไรกัน     ซึ่งบางคนก็ทำชาเลนจ์นี้เป็นเวลาถึง 24 ชั่วโมงเต็มๆ หรือบางคนก็ทำขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ ไปด้วย อย่างเช่นตัวอย่างของพวกเขาเหล่านี้   24 ชั่วโมงกันไปเล้ย    ลองดูตอนขับรถเล่นๆ ซิว่าจะเป็นยังไง    มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ    มาแบบฮาๆ    กระแสนี้เริ่มมีคนทำตามเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ว่า NetFlix ต้องออกมาทวีตเตือนว่าอย่าทำให้ตัวเองต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยชาเลนจ์นี้เลย แต่อย่างไรก็ขอขอบคุณจากใจจริงด้วยนะ…   ทวีตที่ทาง Netflix ออกมาเตือน   เห็นชาเลนจ์สนุกๆ แบบนี้แล้ว…

เพราะด้วยอาชีพ ‘นักย่องเบา’ ความไวจึงควรจะเป็นคุณสมบัติหนึ่งของพวกเขา เพราะถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวล่ะก็ มันอาจจะหมายถึงการเปลี่ยนชีวิตต้องไปนอนกินข้าวแดงในคุกได้เลย แต่ว่ามีโจรคู่หนึ่งที่เหมือนจะไร้ซึ่งความว่องไวแต่อย่างใด แถมยังสโลว์ไลฟ์ซะยิ่งกว่าใครเพื่อน เพราะพวกเขาทั้งชงกาแฟ อาบน้ำ รีดผ้า ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังอยู่ในบ้านของคนอื่นแท้ๆ !!   นาย Richard R. Nippell   Richard R. Nippell วัย 38 ปีกับคู่หูของเขา Camri D. Cantwell วัย 20 ปี ได้บุกย่องเบาเข้าบ้านแห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ธ.ค.) พวกเขาบุกเข้าบ้านหลังนั้นและได้จัดการเอาทรัพย์สินที่เห็นว่ามีค่าเอามาใส่รถเป็นที่เรียบร้อย พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับการหลบหนีการก่ออาชญากรรมครั้งนี้   Camri D. Cantwell   แต่ว่าพวกเขากลับไม่ทำอย่างนั้น ทั้งคู่ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในบ้านของเหยื่อแล้วเอาเสื้อผ้าออกมารีด อาบน้ำอย่างสบายใจเฉิบ เสร็จแล้วก็ชงกาแฟกินกันอย่างมีความสุข ในขณะที่พวกเขาอยู่ในบ้านนั้นเอง บังเอิญว่าเจ้าของบ้านตัวจริงกลับมาที่บ้านพอดี และพอเธอเห็นว่ามีข้าวของของเธออยู่บนหลังรถคันหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจโทรแจ้งตำรวจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับญาติของเธอที่อยู่บ้างข้างๆ ซึ่งญาติคนนี้ก็พกปืนบุกเข้าไปในบ้านหลังที่เกิดเหตุทันที และเจอกับเจ้านักย่องเบาที่กำลังเพลิดเพลินอารมณ์อยู่   ละแวกบ้านที่เกิดเหตุ   เขาจึงได้เอาปืนขู่ให้ทั้งสองนอนราบลงกับพื้น…

เมื่อมีคนทำสิ่งที่เราไม่ชอบกับเรา เราก็คงอยากจะเข้าไปให้พ้นๆ หน้าหรือหาวิธีลงโทษเขาบ้างเป็นบางที แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้แล้วดูเหมือนกับว่าเธอจะมีวิธีลงโทษคนที่คอยตามรังควานเธอต่างจากคนอื่นไปสักนิด เพราะความที่เธอถูกตามตอแยและถูกก่อกวนอยู่บ่อยๆ เธอจึงได้ร่วมมือกับเพื่อนๆ อีก 2 คน ลวงหนุ่มคนที่มาเร้าหรือไปเจื๋อน ‘ไอ้จ้อน’ เพื่อต้องการจะสั่งสอนเป็นบทเรียน!!     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่เมืองดอมบิฟลี ประเทศอินเดีย เมื่อหญิงไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งถูกชายหนุ่มอีกคนหนึ่งตามรังควานและเธอมักจะถูกตามกระเซ้าเย้าแหย่บ่อยๆ จนเกิดความรำคาญ เธอจึงได้ขอความร่วมมือกับเพื่อนๆ เธออีก 2 คน ทำทีว่าชวนชายหนุ่มคนนี้ไปที่ทางรถไฟเปลี่ยวๆ ซึ่งเขาก็หลงเชื่อมาตามคำลวงของพวกเธอจริงๆ     จากนั้นพวกเธอก็ร่วมแรงร่วมใจกันจับชายหนุ่มคนนี้มัดเอาไว้กับต้นไม้ แล้วจากนั้นก็ ‘เจื๋อน’ สัญลักษณ์แสดงความเป็นชายของหนุ่มคนนี้จนขาด แล้วจึงรีบวิ่งหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุ จากการรายงานระบุว่า หญิงผู้ก่อเหตุได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ว่าเคยถูกชายอายุราวๆ 30 ปีคนนี้ตามรังควานและมักจะมีการใช้คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ร่วมด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเคยเตือนเขาแล้วว่าไม่ชอบ แต่เขาก็ยังทำต่อมาเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วเธอหมดความอดทน ต้องใช้วิธีนี้เป็นการสั่งสอนเพื่อไม่ให้เขามายุ่งกับเธออีก!!     โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งนี้จากชาวบ้านในละแวกที่เกิดเหตุ และได้ส่งชายคนนี้ไปยังโรงพยาบาลในเวลาต่อมา ซึ่งตอนนี้อาการของของเขายังคงอยู่ในขั้นวิกฤติอยู่ และกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการรักษา ส่วนทางด้านหญิงผู้ลงมือกับเพื่อนๆ ก็ถูกตำรวจจับกุมตัวได้เป็นที่เรียบร้อย และตอนนี้เรื่องกำลังอยู่ในกระบวนการของชั้นศาลอยู่…   ที่มา: mirror, standard, inquirer

บางครั้งในเวลาที่พักผ่อน เราก็อาจจะเป็นตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่ได้พะวงถึงสิ่งใด แต่ว่าบางทีเราอาจต้องเช็กดูดีๆ ก่อนที่จะทำอะไรบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะต้องอายจนหน้าแดงเหมือนกับในกรณีนี้… ที่คุณพ่อคนหนึ่งกลายเป็นคนดังโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากความที่เขาดันเข้าไปติดกล้องของสถานีโทรทัศน์ขณะที่กำลังออกอากาศ ขณะที่กำลังล่อนจ้อนเปลือยกายอยู่!!     เรื่องนี้มีอยู่ว่าผู้สื่อข่าวชื่อว่า Dani Ramirez ได้ออกไปทำข่าวรายงานสภาพอากาศนอกสถานที่ ท่ามกลางหาดสวยฟ้าใสบริเวณหาดในเมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน แล้วระหว่างที่เขารายงานสภาพอากาศอยู่นั้นเอง ทางด้านหลังของเขาก็มีคุณพ่อคนหนึ่งอุ้มลูกเข้ามาติดเฟรมพอดี ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องปกติของการทำข่าวนอกสถานที่ที่จะมีคนเข้ามาติดอยู่บ้าง     แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น เพราะระหว่างที่หนุ่มนักข่าวคนนี้กำลังทำหน้าที่ คุณพ่อคนนี้ก็วางลูกให้คุณแม่จัดการ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าถอดกางเกงว่ายน้ำเผยให้เห็นถึงแหนมตุ้มจิ๋วของเขา ขณะพยายามจะใส่กางเกงซะงั้น ในตอนนั้นคุณพ่อคนนี้ดูเหมือนกับว่าไม่ได้รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าร่างล่อนจ้อนของเขา ได้ออกสู่สายตาประชาชีที่ดูการรายงานสภาพอากาศอยู่ เพราะดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สังเกตว่ามีกล้องอยู่ ณ ตรงนั้นแม้แต่น้อย   คลิปการเปลือยกายแบบไม่แคร์สื่อของคุณพ่อ  เรื่องราวฮาๆ นี้ได้ออกสู่สายตาชาวเน็ต และมันก็กลายเป็นที่พูดถึงในทันที ซึ่งชาวเน็ตบางคนได้แสดงความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เอาไว้แบบติดขำ ดั่งเช่น “ในขณะที่ Dani Ramirez กำลังอธิบายข่าวสภาพอากาศ แล้วข้างหลังเขา เอิ่ม…” “ใช่มันฮอตเอามากๆ (น่าจะหมายถึงคุณพ่อคนนี้) ในบาเซโลน่า แต่คงไม่มีใครรู้หรอกนะ”      ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าคุณพ่อคนนี้รู้ตัวบ้างหรือยังว่าตัวเขาได้ไปออกทีวีท่ามกลางสภาพนี้ แต่อย่างไรล่ะก็ตอนนี้คนทั่วแทบทั้งโลกอาจจะรู้แล้วก็เป็นได้…   อายไปเต็มๆ เลยงานนี้ ฮ่าา…

นี่อาจเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะไม่เชื่อ แต่ว่าก็เป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อคุณแม่คนหนึ่งได้ให้กำเนิดลูกสาวในช่วงอายุที่เกินกว่าใครหลายคนจะคาดคิดถึง เพราะเธอมีอายุถึง 65 ปี!!     เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา หญิงอายุ 65 ปีที่ไม่ระบุชื่อคนหนึ่ง ได้ให้กำเนิดบุตรสาวขึ้นมาลืมตาดูโลก ที่โรงพยาบาลในเขตรัฐชัมมูและกัศมีร์ ประเทศอินเดีย ทางด้านนาย Hakim Din ผู้เป็นพ่อของเด็กวัย 80 ปี ได้กล่าวขอบคุณพระอัลเลาะห์ถึงเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนี้ โดยระบุไว้ว่านี่เป็น ‘ของขวัญอันล้ำค่า’ สำหรับตัวเขาเลยทีเดียว     แต่ถึงอย่างไรแล้วด้วยวัยที่เริ่มร่วงโรยของทั้งคู่ พวกเขาก็ต้องการหาเงินช่วยเหลือสำหรับการเลี้ยงดูลูกสาวคนนี้ให้เติบโตในวันข้างหน้า โดยก่อนหน้านี้สามี – ภรรยาคู่นี้ได้มีลูกชายอยู่แล้วคนหนึ่ง ซึ่งเกิดก่อนหน้าเด็กคนนี้ราวๆ 8 – 10 ปีเลยทีเดียว     สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด็อกเตอร์ Shabir Sidiqui ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีแพทย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับกรณีนี้ว่านี่เป็นเคสที่ ‘หายากที่สุดของความหายาก’ “โดยปกติแล้ววัยที่หมดประจำเดือนของผู้หญิงในประเทศอินเดียจะอยู่ที่ 47 ปี และเมื่อช่วงนี้มาถึงแล้วก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้กำเนิดลูก แต่นี่คือกรณีที่หาได้ยากสุดๆ” ด็อกเตอร์ Shabir กล่าว   ผู้สื่อข่าวของอินเดีย ทวีตถึงเรื่องนี้ A…

เรื่องของความเฮงความโชคดี เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ดั่งเช่นในกรณีต่อไปนี้ที่ชายคนหนึ่งลงทุนเล่นไพ่ไปแค่ 5 ดอลลาร์ (ราวๆ 160 บาท) แต่เขากลับชนะได้เงินมานอนกอดอุ่นๆ แบบรวยไม่รู้เรื่องนับล้านดอลลาร์!!   คาสิโน Borgata   เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย Harold McDowell วัย 85 ปี ได้เข้าไปเสี่ยงดวงที่คาสิโน Borgata ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้เลือกเล่นโปกเกอร์แบบ 3 ใบ (6 Card Bonus) ในการเล่นครั้งนี้เขาได้ลงทุนไปทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเงิน 5 ดอลลาร์ด้วยกัน แต่ในท้ายที่สุดแล้วความมหาดวงดีของเขาก็ดลบันดาลให้ไพ่ทั้งหมดในมือร่วมใจกันขึ้นหน้ามาเป็น ‘รอยัลสเตรทฟลัช’ แบบเหนือความคาดหมาย   โชว์ผลงานซะหน่อย   นาทีนั้นเขาก็บอกว่าตัวเองก็ช็อกเหมือนกันที่สามารถจับไพ่นี้ขึ้นมาได้ เพราะมันเป็นเรื่องยากมากๆ ทีเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันทางคาสิโนก็ได้ถ่ายภาพเหตุการณ์นี้เก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ของที่นี่ด้วย   เงินรางวัลโบนัสจากการได้ไพ่นี้… ส่วนทางด้านเงินรางวัลจากการที่จับไพ่นี้ได้ก็ไม่มากไม่น้อยเพียงแค่ 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 32 ล้านบาท) แต่จะต้องถูกหักภาษีเป็นอย่างน้อย 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 6 ล้านบาท) ซึ่งเขาก็คิดว่าจะเก็บเงินนี้ไว้ให้ลูกต่อไป…

สำหรับเด็กๆ แล้ว ‘ความซน’ อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา เพราะในช่วงวัยนี้เป็นวัยที่กำลังก๋ากั่น อยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ แต่ว่าบางทีหากซนเกินพอดีก็อาจจะต้องได้รับบทเรียนบ้าง เหมือนกับที่คุณแม่คนนี้ได้ให้บทเรียนกับลูกชาย ด้วยการสั่งให้ไปเก็บขยะหาเงินไปชดใช้ค่าเสียหายจากการทำข้าวของที่โรงเรียนพัง และดูเหมือนกับว่าจะได้ผลดีเสียด้วย…     เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของเมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งเดินเก็บขยะตามถังขยะต่างๆ ในเมือง โดยที่มีผู้เป็นแม่เดินตามอยู่ห่างๆ จึงได้เข้าไปสอบถามจนได้รู้ว่าเด็กชายคนนี้มีชื่อว่า เสี่ยวหลี่ วัย 8 ขวบ ซึ่งเหตุผลว่าทำไมต้องมาเก็บขยะเช่นนี้ เด็กคนนี้ก็ตอบว่าเป็นเพราะตัวเขาทำของที่โรงเรียนพัง จึงจำต้องหาเงินไปใช้คืนนั่นเอง     ทางแม่ของเด็กจึงได้มาเล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ลูกชายของเธอเป็นเด็กที่ซนเอามากๆ และชอบทำลายข้าวของที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ โดยเหตุการณ์ล่าสุดคือได้ทำป้ายแปะบอกชั้นเรียนของห้องเรียนพัง ครูจึงขอให้ทางบ้านชดใช้ค่าเสียหายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น     ทางคุณแม่เมื่อเห็นดังนี้จึงอยากฝึกนิสัยของลูกให้มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ จึงได้แกล้งบอกกับลูกว่าไม่มีเงินจะไปจ่ายค่าชดใช้ให้ ซึ่งถ้าอยากได้เงินจริงๆ เขาต้องหาเงินไปคืนคุณครูด้วยตัวเอง พร้อมกับแนะนำว่าให้เก็บขยะไปขายก็จะได้เงิน ซึ่งลูกชายเธอก็ยอมทำตามคำแนะนำของคุณแม่ด้วยการเดินเก็บขยะในที่ต่างๆ โดยที่มีคุณแม่คอยสอดส่องความเรียบร้อยอยู่ห่างๆ โดยเธอเชื่อว่าวิธีนี้น่าจะช่วยสอนใจลูกได้ไม่มากก็น้อย     และดูเหมือนกับว่ามันจะได้ผลจริงๆ เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปถามหนูน้อยว่าเหนื่อยหรือเปล่ากับการเก็บขยะอย่างนี้ เขาก็ตอบกลับมาว่า ‘เหนื่อยมากครับเดินหาทั้งวันเลย จะไม่ทำอีกแล้วครับ’   คลิปวิดีโอขณะหนูน้อยเก็บขยะ…

นี่อาจเป็นหนึ่งการอำพรางคดีที่แนบเนียนที่สุดถ้าหากว่าไม่โดนจับได้ซะก่อน เมื่อนายแพทย์คนหนึ่งได้วางยาและผลักอดีตภรรยาของเขาตกหน้าผาตาย แต่เขาก็ใช้วิธีการอัพเดทเฟซบุ๊กของเธออยู่เสมอเพื่อไม่ให้ใครจับได้!! ด็อกเตอร์ Dharmendra Pratap Singh ผู้มีอาชีพเป็นศัลยแพทย์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเอาไว้ได้ จากการที่พบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ Rakhi Srivastava อดีตภรรยาชาวอินเดียของเขา   Rakhi Srivastava ผู้เสียชีวิต   คุณหมอ Singh ได้ให้การรับสารภาพว่าได้พบกับ Rakhi จริงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้มอมเมาเธอด้วยเครื่องดื่มผสมยากล่อมประสาท และเมื่อมันออกฤทธิ์ก็ได้ผลักเธอตกหน้าผาในเมืองโปขรา ประเทศเนปาล จนเสียชีวิต โดยในเดือนดังกล่าว เป็นเวลาเพียงไม่นานนักหลังจากที่เธอเลิกรากับเขาไป และไปแต่งงานกับชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งชายผู้เป็นสามีใหม่คนนี้เองได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกหลังจากการหายตัวไปของเธอ โดยมาจากการสันนิษฐานของญาติฝ่ายหญิง…     แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อและได้มีการควบคุมตัวคุณหมอ Singh พร้อมกับชายผู้ที่น่าจะร่วมขบวนการเดียวกันอีก 2 คน คือนาย Pramod Kumar Singh และ Deshdeepak Nishad จากการตรวจสอบประวัติการโทรในโทรศัพท์ของคุณหมอ จนกระทั่งเขาก็ได้สารภาพออกมาในที่สุด แล้วยังบอกด้วยว่าเขามักจะใช้วิธีการอัพเดทเฟซบุ๊กของผู้เสียชีวิตผ่านทางโทรศัพท์ของเธอ เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยว่าเธอหายตัวไป แต่แล้วความก็มาแตกเอาเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบเจอโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตเข้าให้ นี่จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการมัดตัวเขา ขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนเพิ่มเติมว่ายังมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือไม่ หรือรูปคดีจะไปทางทิศทางไหนกันแน่ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไป…   ที่มา: mirror,…

กลายเป็นที่ฮือฮากันกันอย่างมากในโลกอินเทอร์เน็ตของชาวมะกัน ในกรณีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผมขาว ได้ตอบคำถามของเด็กๆ ผ่านทางโทรศัพท์ในวันคริสต์มาสว่า ”นี่ยังเชื่อเรื่องซานต้าอยู่หรือเปล่า”!!     โดยในธรรมเนียมของทุกๆ ปีเมื่อถึงวันคริสต์มาส ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และภริยาจะมีภารกิจพิเศษช่วยเด็กๆ ตามหาซานต้าด้วยการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับผู้โชคดี และในปีนี้อีกก็เช่นเดียวกัน นายโดนัลด์ ทรัมป์และเมลาเนีย ทรัมป์ สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมภารกิจนี้พูดคุยกับเด็กๆ ถึงเรื่องของซานต้า   วินาทีที่เขาพูดคุยกับเด็กคนนี้    แต่ว่ามีอยู่จังหวะหนึ่งที่ประธานาธิบดีวัย 70 กะรัตคนนี้ได้คุยกับเด็กวัย 7 ขวบที่ชื่อว่า Coleman ผ่านทางโทรศัพท์ แล้วเขาเกิดก็ถามคำถามกับเด็กคนนี้ว่า ‘ยังเป็นคนเชื่อเรื่องซานต้าอยู่หรือเปล่า’ และนี่เองได้กลายเป็นประเด็นในเวลาต่อมา เพราะว่าชาวเน็ตหลายคนมองว่าคำถามนี้มันเป็นเหมือนกับคำถามที่ตั้งขึ้นกับความฝันของเด็กๆ!!     แต่อย่างไรก็ตามนี่อาจเป็นการพลั้งปากเกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะสำหรับเด็กๆ คนอื่นๆ แล้วนายโดนัลด์ก็พูดคุยเกี่ยวกับซานต้าตามปกติ และมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ถามเด็กในสายโทรศัพท์ด้วยว่า ‘นี่ซานต้าเอาของขวัญไปให้รึยังเอ่ย’ ‘ขอให้เป็นวันคริสต์มาสที่ยอดเยี่ยมนะ แล้วเราไว้คุยกันใหม่ โอเค๊?’     ส่วนทางด้านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ดูเหมือนจะค่อนข้างสนุกเอาเรื่องกับการได้พูดคุยกับเด็กๆ โดยหลังจากที่เธอปฏิบัติภารกิจนี้เสร็จสิ้นก็ได้ออกมาทวีตถึงความน่ารักในเทศกาลนี้ “การได้ช่วยเด็กๆ ตามหา #Santa เป็นหนึ่งในธรรมเนียมที่ฉันชื่นชอบมากจริงๆ ฉันรู้สึกสนุกเอามากๆ…

เรื่องของการ ‘เมาแล้วขับ’ ถือได้ว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่อันตรายต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นเอามากๆ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะต้องจัดการรับมือกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ แต่ว่าบางทีพวกเขาก็อาจจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเหมือนในกรณีนี้ เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งเห็นว่าสามีของเธอที่เมาแล้วขับกำลังจะถูกจับตัวไป เธอเลยเอา ‘กางเกงในสกปรก’ ขว้างใส่เจ้าหน้าที่!!   นาย Michael Nelson   เรื่องนี้มีอยู่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 ธ.ค.) นาย Michael Nelson ได้ขับรถเมอร์เซเดส เบนซ์ของเขาไปตามท้องถนนในนิวยอร์ก ร่วมกับ Alexandra Nelson ผู้เป็นภรรยาวัย 29 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุว่า ในวันดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมรถคันนี้เอาไว้เพราะเห็นว่าเมาแล้วขับแน่ๆ แต่ว่าทั้งคู่ไม่ยอมลงจากรถแต่โดยดี แต่ในที่สุดแล้วทางตำรวจก็สามารถเชิญตัวคนขับลงมาจากรถได้และพยายามทำการจับกุม แต่ว่าเขาก็ทำการต่อสู้ด้วยการใช้หัวโขกใส่เจ้าหน้าที่หลายต่อหลายครั้ง   Alexandra Nelson    ทางด้าน Alexandra ผู้เป็นภรรยาซึ่งเมาไม่ต่างกัน เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่พยายามจะจับกุมสามี เธอก็ลงจากรถเข้าห้ามตำรวจไม่ให้จับสามีของเธอไป สุดท้ายทั้งคู่ถูกตำรวจจับกุมไปที่สถานีตำรวจ ซึ่งทาง Michael ก็ยังแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอยู่ และปฏิเสธที่จะเข้ารับการทดสอบความบริสุทธิ์ด้วยเครื่องเป่าแอลกอฮอล์และการตรวจสารเสพติด ส่วนผู้หญิงก็พยายามถ่มน้ำลายใส่เจ้าหน้าที่ พร้อมๆ กับโยนรองเท้ารวมถึงกางเกงในที่เปื้อนอยู่ใส่พวกเขาด้วย     อย่างไรก็ตามความพยายามของพวกเขาดูเหมือนจะกลายเป็นศูนย์ เมื่อทางตำรวจได้จับกุมพวกเขาด้วยการตั้งข้อหาต่างๆ Alexandra ถูกตั้งข้อหาว่าทำร้ายร่างกาย ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ และครอบครองยาควบคุมพิเศษ แต่ทางตำรวจก็ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นยาตัวใดกันแน่…

นี่อาจเป็นงานดนตรีทางเลือกใหม่สำหรับหญิงสาว เมื่อมีงานดนตรีหนึ่งที่จัดขึ้นโดยใช้ชื่อว่า ‘งานดนตรีปราศจากผู้ชาย’ เกิดขึ้นบนโลก แต่กลับถูกพบว่างานนี้มีความผิดในเรื่อง ‘การเลือกปฏิบัติ’ ซะงั้น!!     งานดนตรีชื่อว่า Statement festival เป็นงานดนตรีที่จัดขึ้นในเมืองโกเตนเบิร์ก ประเทศสวีเดน โดยมีแม่งานคือ Emma Knyckare นักแสดงตลก ที่เป็นผู้จัดตั้งการระดมทุนจัดงานนี้ขึ้นเพื่อรณรงค์ต่อต้านเรื่องการข่มขืนและการล่วงละเมิดทางเพศ เธอกล่าวว่าไอเดียการจัดงานนี้เกิดขึ้น จากความที่ในเทศกาล Bravalla เทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดน มีผู้หญิงถูกข่มขืนไปทั้งหมด 4 คนและถูกล่วงละเมิดทางเพศถึง 23 คนด้วยกันในปี 2017  และงานเทศกาลในปีนี้ก็มีผู้หญิงโดนข่มขืนถึง 5 คน และถูกล่วงละเมิดถึง 12 คนเลยทีเดียว…     เทศกาลดนตรีที่ปราศจากผู้ชายจึงได้เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้น และได้รับเงินระดมทุนรวมกันถึง 48,060 ปอนด์ (ราวๆ 1.9 ล้านบาท) เนรมิตให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ซึ่งงานดังกล่าวนั้นผู้ชายก็สามารถซื้อตั๋วเข้าร่วมเทศกาลนี้ได้ แต่กลับถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่ในโซนชื่อว่า ‘man pen’ ซึ่งเป็นโซนหลังเวที รวมถึงทีมงานแบ็คสเตจของศิลปินด้วย     อย่างไรก็ตามศิลปินชื่อดังที่มาร่วมแจมเทศกาลในปีนี้อย่าง The Killers, Linkin Park และ Travis Scott ได้ยกเลิกแผนการมาเข้าร่วมในปี 2019 แล้ว  หลังจากที่ทางนักกฎหมายบอกว่าการเลือกปฏิบัติในงานนี้เป็นเรื่องที่ ‘ผิดกฎหมาย’…

อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่บางครั้งสามี-ภรรยา อาจมีเรื่องที่ผิดใจกันจนเกิดการทะเลาะกันขึ้นมาบ้าง แต่ว่าบางทีการทะเลาะอาจนำไปสู่ความรุนแรงที่บานปลายมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นในเรื่องนี้ที่สามีต้องถูกตัดอัณฑะไปครึ่งหนึ่ง จากความที่เขาถูกภรรยาตีเข่าเข้าเต็มๆ จนเสียหายและจำเป็นต้องผ่าตัดออก!!    Rimma Gayazova อดีตภรรยาของชายผู้โชคร้าย   เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเมืองคาลีนินกราด ประเทศรัสเซีย โดยเหตุการณ์มีอยู่ว่า Vyacheslav Povetyev อดีตสามีวัย 29 ปี ได้ไปเยี่ยมลูกที่อาศัยอยู่กับ Rimma Gayazova อดีตภรรยาของเขา แต่ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์ด้วยกันทั้งคู่ก็มีปากเสียงกันขึ้น จนทำให้ในที่สุดอดีตภรรยาวัย 27 ปีอดีตครูสอนมวยหญิง ก็จัดการตีเข่าเข้าไปเต็มๆ ตรงง่ามขาของฝ่ายชาย   ผู้เสียหาย   ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน ซึ่งทางแพทย์ได้นำอัณฑะส่วนที่เสียหายของชายหนุ่มคนนี้ออกไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จนตอนนี้เขาบอกว่าตัวเองกลายเป็นคนพิการไปแล้ว     ทางด้านฝ่ายหญิงได้ให้ปากคำกับตำรวจว่า อดีตสามีของเธอเป็นคนเริ่มการลงไม้ลงมือก่อนด้วยการบีบคอของเธอและพยายามจะแย่งลูกไป เธอจึงจำต้องปกป้องตัวเองด้วยการตีเข่าเข้าไปที่ง่ามขาของเขา     ซึ่งหากการสอบสวนระบุว่าเธอผิดจริง ก็จะถูกตั้งข้อหาว่าตั้งใจทำร้ายร่างกายจนทำให้เกิดความเสียหายระดับปานกลาง และผลของข้อหานี้ก็อาจทำให้เธอถูกจำคุกสูงสุด 3 ปีเลยทีเดียว     “ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งทางแพทย์วินิจฉัยว่าถุงอัณฑะเสียหายอย่างหนัก ซึ่งหากพิจารณาจากรูปคดีแล้วก็จะตรงกับกฎหมายข้อดังกล่าวนั่นเอง” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว     ที่มา: dailymail, news.rakyatku

สำหรับบางคนแล้วเมื่อเติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็อยากจะให้เป็นฝั่งเป็นฝามีคู่ชีวิตไว้เคียงข้างสักคน จะได้ไม่ต้องทนเหงาอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอีกต่อไป นั่นจึงเป็นที่มาของวิธีการต่างๆ ในการหาคู่ให้กับลูกสุดที่รัก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สุดฮาจริงๆ เมื่อคุณพ่อคนหนึ่งแอบเอาลูกชายทั้ง 3 คนของเขา ไปลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ข้ามประเทศ โดยที่ลูกๆ ไม่มีใครรู้ตัวแม้แต่น้อย!!   ลูกชายทั้ง 3 หน่อของคุณพ่อ   เรื่องนี้มีอยู่ว่า Neil คุณพ่อจากรัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา อยากจะให้ลูกชายทั้ง 3 คนของเขาได้แก่ Benjamin อายุ 26 ปี, Jeremy อายุ 28 ปี และ Matthew อายุ 31 ปีมีคู่ชีวิตเหมือนกับคนอื่นเขาสักที คุณพ่อจึงได้เลือกใช้หนังสือพิมพ์ของประเทศนิวซีแลนด์เป็นเครื่องมือในการหาคู่ให้กับลูกชาย ด้วยการประกาศลงโฆษณาซะเลย และที่เลือกประเทศนี้ก็เพราะว่าทางครอบครัวมีแผนจะเดินทางไปเที่ยวนั่นเอง Neil ได้เขียนคำโฆษณาลูกชายเอาไว้ได้แสนจะเชิญชวนเสียจริงๆ ซึ่งแปลได้ว่า     “สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย พวกเรามาจากสหรัฐฯ (รัฐโอเรกอน) เพื่อเยี่ยมชมประเทศอันงดงามของพวกคุณ ผมกับภรรยามีลูกชายสุดมหัศจรรย์อยู่ 3 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 28-32 ปี…

แม้ว่าเรื่องของการ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ จะเกิดขึ้นน้อยไปทุกๆ วัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะตระหนักและเข้าใจถึงปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ อย่างเช่นในกรณีนี้ที่พนักงานร้านทำผม เขียนในใบบันทึกรายการของทางร้านว่าลูกค้าที่มาใช้บริการมี ‘ตาเหมือนเจ๊ก’ จนในที่สุดแล้วใบบันทึกรายการเดียวกันนี้เองทำให้ตัวพนักงานถูกไล่ออกจากงานแทบจะทันที!!     เรื่องนี้มีอยู่ว่า Briana Tae นักศึกษาพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัย New York University’s Nursing School ได้เข้าไปทำผมที่ร้าน Murray Hill Drybar เมื่อวันจันทร์ (17 ธ.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อจะจัดทรงผมให้สวยวับพร้อมการเข้าร่วมพิธี Pinning Ceremony (พิธีสำหรับพยาบาลจบใหม่ที่เลื่อนขึ้นไปสู่พยาบาลวิชาชีพ) ในวันถัดมา   วิดีโอการสัมภาษณ์ Briana    แต่ว่าขณะที่เธออยู่ในร้านนั้นเอง เธอได้สังเกตเห็น ‘ใบบันทึกรายการ’ ที่จดบันทึกสิ่งที่เธอใช้บริการภายในร้าน และในช่องคำอธิบายในใบบันทึกใบนั้นก็ระบุว่าเธอมีลักษณะ ‘ตาเหมือนเจ๊ก’ “ฉันเหลือบไปเห็นสิ่งนี้เข้า ลูกค้า: Briana, คำอธิบาย: ตาเหมือนเจ๊ก!!” โดยหลังจากเห็นสิ่งที่อยู่บนใบบันทึกใบนี้แล้ว เธอก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งกับทางพนักงานต้อนรับในทันที แต่ดูเหมือนกับว่าพนักงานจะไม่ได้ช่วยอะไรเธอในเรื่องนี้มากนัก    ในที่สุดแล้วเธอจึงได้นำเรื่องนี้ไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียลมีเดีย ซึ่งก็มีชาวเน็ตมาร่วมแสดงความคิดเห็นนับร้อยคนรวมทั้งมีการร้องเรียกให้ Drybar ออกมาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้ ซึ่งในเวลาต่อมาทาง Drybar ก็ได้ออกมาตอบขอโทษโดยบอกว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน และในตอนนี้ก็ได้ไล่พนักงานที่ทำเช่นนั้นออกไปแล้ว…  …

นอกจากจะเคยเป็นประธานาธิบดีของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาแล้ว ในตอนนี้ ‘บารัก โอบามา’ ก็ได้สวมบทบาทเป็นซานตาคลอสแสนใจดี ลุยมอบของขวัญเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลด้วย!!   ซานต้ามาแล้วจ้าเด็กๆ   เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (19 ธ.ค.) เด็กๆ แห่งโรงพยาบาลเด็ก Children’s National hospital ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต่างพากันดีใจกันยกใหญ่ เมื่อมีลุงซานต้ามามอบของขวัญให้กับพวกเขา   นายบารัก โอบาม่า ขณะเป็นซานตาครอสใจดี    ซึ่งซานต้านี้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เขาคือนายบารัก โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่ใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดของเขามาเป็นขวัญกำลังใจให้กับเด็กๆ   เซอร์ไพรส์จนพูดไม่ออก   เขาสวมหมวกซานตาครอสสีแดงพร้อมกับเดินแบกถุงของขวัญเข้ามาที่โรงพยาบาล ซึ่งทางคณะหมอพยาบาลและพนักงานคนอื่นๆ ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยการร้องเพลง We Wish You a Merry Christmas  บรรยากาศการไปแจกของขวัญของเขาเป็นไปอย่างอบอุ่นๆ เด็กๆ บางคนถึงขั้นที่เก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่โผเข้ากอดเขาด้วยความเซอร์ไพรส์ ซึ่งนายบารักก็ได้ทำให้บรรยากาศที่นี่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนกับเทศกาลคริสต์มาสจริงๆ   เยี่ยมเยียนร่วมพูดคุยกับเด็กๆ ที่ป่วย   “ผมอยากจะขอขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กๆ ที่น่ามหัศจรรย์พร้อมกับครอบครัวของพวกเขา มันเห็นได้ชัดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ ในฐานะของคนที่เป็นพ่อของลูกสาวทั้งสองคน คุณคงรู้ว่าผมเข้าใจดี”…

อย่างว่าความเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่เคยปราณีใคร มันทำให้หลายคนถึงขั้น ‘แปลงร่าง’ จากลุคปกติๆ ไปเป็นคนเพี้ยนมานักต่อนัก และล่าสุดนี้มันก็สร้างงานฮาๆ ให้คุณตำรวจอีกแล้ว!!     โดยเรื่องนี้มีอยู่ว่าในเช้าวันหนึ่งชาวบ้านในเมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล ได้ออกมาทำกิจวัตรตามปกติอย่างเช่นวิ่งจ็อกกิ้ง หรือพาหมาเดินเล่น แต่ว่าจู่ๆ ก็เกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้น เมื่อเจ้าหมาได้ดมกลิ่นพาคนจูงไปยังเขตก่อสร้างที่กั้นรั้วเอาไว้ของโรงแรม Praia Grande แล้วมันก็ไปดึงขาคนๆ หนึ่งออกมาจากถุงดำในบริเวณนั้น!!   นี่มันอะไรกันนี่ ศพรึเปล่านะ?   ซึ่งคนที่เจอก็คิดว่านี่อาจเป็นชิ้นส่วนของคนที่ถูกตัดชิ้นส่วนแล้วเอามาใส่ถุงดำทิ้งไว้แน่ๆ จึงได้มีการแจ้งตำรวจในเรื่องนี้ในเวลาต่อมา… เมื่อเจ้าหน้าที่คนแรกมาถึงก็ได้นำไฟฉายเข้าไปส่องยังถุง แล้วก็พบว่าบริเวณของขามันมีสีที่ขาวซีดมากเหมือนกับศพจริงๆ ต่อมาเมื่อกองกำลังมาเสริมทัพเจ้าหน้าที่ก็ได้ปิดล้อมพื้นที่ พร้อมกับรอนักนิติวิทยาศาสตร์มาชันสูตรศพ แต่แล้วทันใดนั้นเองก็เกิดเรื่องที่แสนจะมหัศจรรย์ขึ้น เมื่อศพที่อยู่ในถุงมันกลับดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาราวกับมีชีวิต   มีขาโผล่ออกมาด้วย   “ตอนที่เรามาถึงสถานที่เกิดเหตุ เราได้ตรวจสอบถุงดำจากการใช้สายตามองดูจากระยะไกลเท่านั้น  เราจึงสรุปคร่าวๆ ว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ถูกตัดแยกออกมา”  “ที่เราไม่เข้าไปใกล้ๆ ในจุดเกิดเหตุก็เพราะว่ามันจะทำให้ร่องรอยและหลักฐานต่างๆ ที่นักนิติวิทยาศาสตร์ต้องใช้ในห้องแล็บหายไปนั่นเอง”  “เราจึงขนลุกเอามากๆ ที่จู่ๆ เขาก็เด้งกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่อีกทางหนึ่งก็โล่งอกที่นี่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมจริงๆ” จ่า Corporal Sergio Passo กล่าว   เอ้า ไม่ใช่นี่หว่า   ในที่สุดแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็พบว่าชายที่อยู่ในถุงดำนั้นคือคนเมาคนหนึ่ง ที่นอนถอดเสื้อใส่เพียงแต่กางเกงขาสั้นเท่านั้น โดยเขาก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมตำรวจอยู่ตรงนี้เต็มไปหมด!!…

สำหรับคนที่ดวงดีแล้วไม่ว่าจะหยิบจะจับอะไรก็ดูดี ดูเข้าทางไปซะหมด อย่างเช่นในกรณีของชายคนนี้ที่ไปกินอาหารในร้านอาหารตามปกติ ใครจะไปคิดว่าเขาจะเจอ ‘ไข่มุก’ อยู่ในจานอาหารซะอย่างงั้น!!     เรื่องของคนสุดจะเฮงนี้มีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา นาย Rick Antosh ชายชาวนิวเจอร์ซีย์วัย 66 ปีได้เข้าไปกินอาหารเที่ยงกับเพื่อนของเขาในกรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา     พวกเขาได้เลือกร้าน Grand Central Oyster Bar เป็นสถานที่สำหรับการฝากท้องมื้อนี้ ซึ่งนาย Rick ก็ได้สั่งหอยนางรมอบราคา 14.75 ดอลลาร์ (ราวๆ 480 บาท) มาเป็นจานหลักสำหรับเขา     ทันทีที่อาหารมาถึงโต๊ะเขาก็รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วก็มีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อเขาดันกัดไปเจอกับสิ่งแปลกปลอมที่มากับหอย!! “มันเป็นเสี้ยวน่าทีที่สยองขวัญเลยล่ะ ตอนแรกผมนึกว่ามันคือฟันของคนหรือฟันปลอมอะไรพวกนี้” Rick กล่าว   Rick กับเชฟผู้ปรุงจานนี้   หลังจากที่เขาเจอกับสิ่งนี้เข้า เขาก็ถุยมันออกมาใส่จานโดยทันทีทันใด แต่แล้วเมื่อพิจารณาอย่างชัดๆ แล้ว เขาก็พบว่ามันคือ ‘ไข่มุก’ สีขาวนวล ซึ่งถ้าหากนำมันไปตีค่าเป็นเงินแล้วล่ะก็เขากล่าวว่ามันจะสามารถขายได้ถึง 2,000 – 4,000 ดอลลาร์…

หลายๆ คนคงรู้จักกับยาแก้ไอสีดำๆ ชื่อว่า “ชวนป๋วยปีแป่กอ” กันเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นยาที่วางขายในบ้านเรามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าแก้ไอยี่ห้อนี้ได้กลายเป็นที่ฮอตฮิตแบบสุดๆ สำหรับชาวเมกัน จนถึงขั้นที่ว่าในตอนนี้มันได้กลายเป็นหนึ่งในเมนู ‘ชาไข่มุก’ ไปแล้ว!!   ชาไข่มุก “ชวนป๋วยปีแป่กอ”!?   ในช่วงเมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางเพจ ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว ได้เผยว่ายาน้ำเชื่อมแก้ไอของเนียมฉื่ออำ ตราลูกกตัญญูนี้ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา จนถึงขั้นที่ว่าบางคนยกให้มันเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว   ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลานั้นมีไข้หวัดใหญ่ระบาดที่สหรัฐฯ แล้วปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ ‘อาการไอ’ แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญว่ามีคนไปค้นพบ “ชวนป๋วยปีแป่กอ” เข้าจึงมีการบอกต่อๆ กันจนกลายเป็นกระแสนั่นเอง แต่ตอนนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าชวนป๋วย ได้กลายเป็นหนึ่งส่วนผสมในเมนูชาไข่มุกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะด้วยรสชาติหวานๆ เย็นๆ ของมันเป็นที่ถูกปากชาวมะกันซะเหลือเกิน     โดยร้านดังกล่าวมีชื่อร้านว่า Labobatory ร้านชาไข่มุกในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้กำเนิดไอเดียสุดเจ๋งนี้ขึ้นมา และได้นำมันไปผสมมันเข้ากับชาเขียวจนกลายเป็นเมนูชื่อว่า ‘ชาเขียวยาแก้ไอ’ ซึ่งเป็นเมนูพิเศษสำหรับช่วงวันหยุด “เราพยายามสร้างส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการผสมผสานส่วนผสมแบบดั้งเดิมและส่วนผสมสมัยใหม่เข้าด้วยกันนั่นเอง” ทางร้านกล่าวถึงเมนูนี้     โดยปกติทางร้านนี้จะมีเมนูปกติอยู่ 4 เมนูด้วยกัน และเมนูนี้ก็กลายเป็นเมนูที่ 5 ไปโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารสชาติมันจะไปทิศทางไหนกันนะ…   ที่มา: mothership, ความรู้สนุกๆ แบบหมอแมว

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบสะสมของลิมิเต็ด นี่อาจเป็นโอกาสที่คุณจะได้ครอบครองแรร์ไอเทมแบบฟรีๆ เมื่อในตอนนี้ทาง Microsoft ได้ประกาศว่าพวกเขาจะแจกเสื้อลายสุดชิคให้กับผู้โชคดีที่กดติดตามทวิตเตอร์!!     โดยเจ้าเสื้อที่ว่านี้เป็นเสื้อสเวตเตอร์สุดแนวที่มาพร้อมกับลวดลายของวินโดวส์ 95 ตราประจำแบรนด์อันแสนโด่งดังในอดีต     สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงแค่ไปฟอลโลว์ทวิตเตอร์ Windows เพียงเท่านั้น แล้วถ้าแต้มบุญของคุณสูงพอจนกลายเป็นผู้โชคดีล่ะก็ พวกเขาจะติดต่อกลับหาคุณทางไดเร็คเมจเสจเอง   Introducing the latest #Windows95 custom "softwear."😉 Wish you could rock the #WindowsUglySweater? 👀 your DMs, because we're giving a few lucky fans one of their very own. pic.twitter.com/84kQLtYsF2 — Windows (@Windows) December 13, 2018   ในตอนนี้เสื้อตัวนี้มีเพียงพนักงานและวีไอพีบางคนเท่านั้นที่มีไว้ในครอบครอง ซึ่งแน่นอนว่ามันมีไว้สำหรับแจกเท่านั้นไม่มีวางขายที่ไหน และถ้าจะพูดให้ง่ายๆ คือมันเป็นเสื้อสุดลิมิเต็ดที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!!…

ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับสังคมอันวุ่นวายในปัจจุบัน แล้วคิดว่าอยากจะไปอยู่เกาะส่วนตัวพร้อมกับเลี้ยงสัตว์น่ารักๆ เอาไว้เป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ นี่อาจเป็นโอกาสอันดีของคุณที่จะได้ทำตามความฝัน เมื่อเจ้าของเกาะแห่งหนึ่งได้ประกาศขายเกาะที่มีกองทัพน้อง ‘เพนกวิน’ เป็นจุดเด่นของเกาะ พร้อมกันนี้ยังมีสัตว์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก!!     เกาะที่ว่านี้มีชื่อว่าเกาะ Pebble Island ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ กลุ่มเกาะที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะแอตแลนติกใต้ บนไหล่ทวีปปาตาโกเนีย ทวีปอเมริกาใต้ ความพิเศษของเกาะ Pebble คือมีความยาวประมาณ 32 กิโลเมตรและความกว้างที่ 6 กิโลเมตร แต่แม้ว่าจะเป็นเกาะเล็กๆ ทว่าที่นี่กลับมีมนต์เสน่ห์ตรงที่เป็นบ้านให้แก่สัตว์มากมาย     ทั้งกองทัพน้องกวิ้นที่มีถึง 5 ชนิด สิงโตทะเลอีกจำนวนมาก นกต่างๆ ถึง 42 ชนิด แกะ 6,000 ตัว และวัวอีก 125 ตัวด้วยกัน Sam Harris เจ้าของเกาะแห่งนี้ที่ได้รับมรดกมาจากรุ่นปู่ย่าตาทวดระบุว่า บรรพบุรุษของเขา John Markham Dean ได้ซื้อเกาะแห่งนี้เอาไว้ตั้งแต่ในปี 1869 ในราคา 400 ปอนด์ (ราวๆ 16,000 บาท) เพื่อทำธุรกิจหมักปลา…

ด้วยอายุอานามเพียงแค่ 12 ปี สำหรับเด็กบางคนอาจจะยังเป็นวัยที่เที่ยวเล่นสนุกตามประสา แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีเด็กอายุ 12 ปีคนหนึ่ง ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเจ้าของโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว และยังรับหน้าที่เป็นคุณครูอีกด้วย!!     Leonardo Nicanor Quinteros เด็กชั้นมัธยมต้นวัย 12 ปี คือคนดังกล่าว ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของโรงเรียนของตัวเองในเขตเมือง Las Piedritas ประเทศอาร์เจนติน่า โดยในช่วงเช้าของทุกๆ วัน เขาจะเข้าทำหน้าที่เป็นนักเรียนเข้ารับความรู้จากโรงเรียนตามปกติ แต่ว่าในช่วงบ่ายเขาก็จะมาถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กๆ คนอื่นๆ ที่มาเรียนในโรงเรียนของเขา     Leonardo เป็นเด็กที่รักและใส่ใจในการเรียนอย่างแท้จริง แต่ว่าด้วยความที่เห็นเพื่อนที่ร่วมรุ่นเดียวกันมีปัญหาไม่สามารถไปโรงเรียนตามปกติได้ รวมถึงเห็นเด็กบางคนเที่ยวเล่นไปวันๆ ตามท้องถนน เขาจึงตัดสินใจว่าจะจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาในละแวกบ้าน เพื่อแบ่งปันความรู้ที่มีให้กับพวกเขาเหล่านี้…   คลิปภายในโรงเรียนแห่งนี้    ไอเดียนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วและเขาก็ได้ทำมันให้เป็นจริงขึ้นมา ด้วยการไปขอร้อง Ramona คุณยายของเขาว่าเขาอยากจะตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพื่อคนอื่นๆ ซึ่งคุณยายของเขาก็เห็นดีด้วยและได้ช่วยสร้างมันขึ้นมาในที่ดินใกล้ๆ กับบ้าน โดยโรงเรียนนี้ได้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยการสร้างเป็นอิฐแบบเปลือยๆ และมีขนาดที่เล็กมากหากเทียบกับโรงเรียนสามัญทั่วๆ ไป แต่ว่าด้วยความช่วยเหลือของชาวบ้านในท้องถิ่นที่เห็นดีเห็นงานกับโรงเรียนของ Leonardo พวกเขาจึงได้ช่วยกันทำให้มันดีขึ้นในทุกๆ วัน ทั้งช่วยกันบริจาคสร้างเก้าอี้ กระดานดำ ล็อกเกอร์…

โดยปกติแล้วสัตว์น่ารักๆ อย่าง ‘วัว’ นอกจากจะกินหญ้ากับนอนหลับแล้ว มันมักจะไม่ค่อยสร้างปัญหาให้กับใครมากนัก… แต่ว่าเหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเรียกว่าดวงซวยจริงๆ จากการโดนน้องวัวถีบขาคู่เข้าเต็มๆ ระหว่างที่เธอขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ จนล้มไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น!!   คลิปวิดีโอน้องวัวกระโดดถีบขาคู่ (ดูไม่ได้คลิกที่นี่)    เรื่องราวแปลกๆ ที่ว่านี้เกิดขึ้นที่พื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งในเมืองกาเปรียตา ภูมิภาค Departamento Central ประเทศปารากวัย หากดูในคลิปวิดีโอจะเห็นได้ว่าในขณะนั้นมีมอเตอร์ไซค์สองคันกำลังวิ่งสวนกันมาอย่างปกติ โดยที่มีฝูงน้องวัวกำลังเดินข้ามถนนอยู่ด้วย   เห้ย อะไรฟะเนี้ย   แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คิดไม่ฝันขึ้น เมื่อวัวตัวหนึ่งมันเกิดนึกคึกอะไรก็ไม่อาจทราบได้วิ่งตัดหน้ามอเตอร์ไซค์คันที่ขี่โดยผู้ชาย ข้ามเลนไปหามอเตอร์ไซค์อีกคันที่ขี่โดยผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วจังหวะนั้นเองมันได้โชว์สกิลกระโดดถีบขาคู่หรือที่เรียกกันว่า ‘กังฟูคิก’ ใส่ผู้หญิงคนดังกล่าว จนเธอล้มลงกับพื้นไปในทันที ก่อนที่เจ้าวัวจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว   ป้าบเข้าให้   เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นผู้ชายที่อยู่ ณ ตรงนั้นจึงรีบเข้าไปดูอาการของผู้หญิงว่าเป็นอะไรรึเปล่า และก็เป็นโชคดีของเธอจริงๆ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักใดๆ และไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลด้วย   เจออย่างนี้ยอมแล้วจ้า   หลังจากคลิปนี้แพร่กระจายออกไปในโลกโซเชียล ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเน็ตซะจริงๆ ดูได้จากตัวอย่างความคิดเห็นดังต่อไปนี้ “นี่มันฮามากจริงๆ นะ แต่ก็น่าสงสารไบค์เกอร์คนนั้นจัง” “จริงๆ แล้วน้องวัวไม่ได้อยากจะทำร้ายเธอหรอก มันแค่พยายามจะกระโดดข้ามเธอไปเพื่อไม่ให้โดนชนน่ะ”…

ปัญหาเรื่อง ‘ผลไม้เน่าเสีย’ เหมือนจะเป็นปัญหาที่กวนใจเหล่าพ่อค้าแม่ขาย หรือแม้แต่กับแม่บ้านซะจริงๆ เพราะมันเป็นอะไรที่น่าเสียดายแบบสุดๆ ที่เราต้องเห็นผลไม้แสนอร่อย เน่าลงไปกับตาโดยที่ยังไม่ทันได้ลิ้มรส แต่ว่าปัญหาเรื่องนี้อาจจะสามารถแก้ไขได้โดย ‘สติ๊กเกอร์’ แผ่นเล็กๆ เพียงแผ่นเดียว ซึ่งนี่เป็นผลงานจากบริษัทหนึ่งในประเทศมาเลเซีย และพวกเขายืนยันว่าสามารถทำมันได้จริงๆ!?   สติ๊กเกอร์ Stixfresh   โดนบริษัทแห่งนั้นมีชื่อว่า Stixfresh ที่ได้ออกสติ๊กเกอร์ชื่อเดียวกับบริษัทออกมา ซึ่งพวกเขาบอกว่าด้วยพลังอานุภาพของเจ้าสติ๊กเกอร์ตัวนี้ จะช่วยชะลอเวลาให้ผลไม้ต่างๆ ยืดอายุออกไปได้อีกถึง 2 สัปดาห์ นั่นก็เป็นเพราะว่าภายในสติ๊กเกอร์แผ่นเล็กๆ แผ่นนี้จะบรรจุสารที่ช่วยชะลอความสุกของผลไม้อย่างโซเดียมคลอไรด์แบบอิออน (ionized Sodium Chloride) และขี้ผึ้งเอาไว้ ซึ่งเจ้าสองตัวนี้เองที่มันจะไปช่วยชะลอการทำงานของแบคทีเรียที่อยู่ภายในผลไม้ นั่นจึงทำให้ผลไม้ของเราสุกช้าลงนั่นเอง และแน่นอนว่าผลไม้เป็นของที่เราเอาไว้กินกันจึงต้องเป็นกังวลว่าจะมีสารที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ทางบริษัทก็ยืนยันว่าทุกอย่างทำมาจากวัสดุธรรมชาติ 100% และมันบริสุทธิ์ถึงขั้นที่ว่ากินสติ๊กเกอร์เข้าไปเลยก็ไม่ใช่ปัญหา     Zhafri Zainudin ผู้ก่อตั้งบริษัท Stixfresh กล่าวว่าอันที่จริงแล้วเขาได้ไอเดียการสร้างสติ๊กเกอร์นี้มาเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน โดยในตอนนั้นเขาแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนของเขาที่เปิดแผงขายผลไม้ แล้วเพื่อนของเขามักจะบ่นว่าต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากทุกๆ วันกับปัญหาผลไม้เน่า จนเพื่อนของเขาถอดใจจะเลิกขายผลไม้ เพราะคิดว่าการเน่าเสียมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่กับ Zhafri แล้ว เขากลับคิดในอีกมุมหนึ่งและปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า “แม้ผมจะหยุดธรรมชาติไม่ได้ แต่ผมสามารถชะลอมันได้นี่นา?” นี่คือไอเดียที่เขาเขียนเอาไว้บนเว็บไซต์     ด้วยความคิดนี้…

การกระทำในเรื่องที่ผิดกฎหมาย การลงโทษก็เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ดั่งเช่นในกรณีนี้ที่ทางรัฐบาลของประเทศจีนได้สั่งรื้อคฤหาสน์ที่สร้างอย่างผิดกฎหมายใกล้กับภูเขานับพันหลัง เพื่อที่จะเร่งฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว!!     โดยเหตุกาณ์การดังกล่าวได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อทางรัฐบาลของประเทศจีนได้มีการตรวจสอบอาคารทางทิศเหนือของภูเขาฉินหลิ่ง เขตเมืองซีอาน มณฑลส่านซี การตรวจสอบที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการสืบทราบว่า มีการก่อสร้างอาคารอย่างผิดกฎหมายมากขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมภายในบริเวณดังกล่าว จึงได้มีคำสั่งรื้อถอนคฤหาสน์หรูที่สร้างอย่างไม่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง!!     สำหรับโครงการแรกที่ได้ผลจากคำสั่งรื้อถอนนี้คือโครงการที่มีชื่อว่า ‘ฉวินเสียนเปี๋ยเย่’ ซึ่งโดนรื้อไปทั้งหมดทั้งสิ้น 65 หลังด้วยกัน และในขณะนี้ได้ปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่มุ่งหวังให้เป็น ‘สวนสีเขียว’     การรื้อถอนตามตำสั่งจากรัฐบาลนี้ยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็พบว่าในบริเวณดังกล่าวมีคฤหาสน์ที่สร้างอย่างผิดกฎหมายรวมกว่า 1,194 หลัง และมีการสั่งรื้อถอนไปแล้วถึง 1,185 หลังด้วยกัน ส่วนอีก 9 หลังทางการได้ยึดเอาไว้เพื่อจะปรับปรุงเป็นพื้นที่เพื่อกิจการสาธารณะ     ทว่าอันที่จริงแล้วกฎหมายในเรื่องควบคุมพื้นที่นี้ รัฐบาลของมณฑลส่านซีได้เคยออกประกาศตั้งแต่ปี 2003 ว่า “ห้ามมิให้หน่วยงานใดหรือบุคคลใดมีส่วนร่วมในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือสร้างที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์และวิลล่าส่วนตัวในพื้นที่ทางตอนเหนือของเทือกเขาฉินหลิ่ง”   ต่อมาในปี 2007 ก็ได้ออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของภูเขาฉินหลิ่งในมณฑลส่านซีอย่างเป็นทางการ และในปีถัดๆ มาก็ออกแผนงานควบคุมพื้นที่อีกมากมาย     แต่ทว่าด้วยความที่เจ้าหน้าที่ยังไม่เข้มงวดพอ จึงพบว่ามีอาคารที่ก่อสร้างอย่างผิดกฎหมายเป็นเรื่อยมาจนถึงในปัจจุบัน…     จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ ทางรัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะแก้ปัญหานี้ให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม…

หากใครที่กำลังหางานอยู่ แล้วอยากจะได้อะไรที่มากกว่าเงินล่ะก็ นี่อาจเป็นหนึ่งโอกาสในการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตที่หาได้ยาก ซึ่งความพิเศษอยู่ตรงที่คุณจะได้อยู่ใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษแบบสุดๆ และที่สำคัญคือจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังของพวกเขาอีกด้วย!!   สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร   ในตอนนี้พระราชวังวินด์เซอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์กำลังตามหาผู้ที่จะมารับตำแหน่ง ‘คนดูแลความสะอาด’ ที่กำลังว่างอยู่ โดยในงานนี้จะได้ประจำตำแหน่งอยู่ที่พระราชวังวินด์เซอร์ แต่ในบางครั้งเราก็ยังมีโอกาสที่จะได้ไปทำงานในพระราชวังหรือที่พักอื่นๆ ของราชวงศ์อีก อย่างเช่นในประเทศสกอตแลนด์ งานนี้จึงเปรียบเสมือนกับว่าเราได้เยี่ยมชมพระราชวังต่างๆ ของราชวงศ์ พร้อมๆ กับการทำงานไปด้วยเลย!!   พระราชวังวินด์เซอร์   สำหรับค่าจ้างในงานนี้อาจดูไม่มากนักเพียงแค่ 16,000 ปอนด์ (ประมาณ 660,000 บาท) ต่อปี ทว่าสิ่งนอกเหนือจากเงินที่จะได้คือเราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวัง พร้อมๆ กับการได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญอย่างสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร หรือแม้แต่กระทั่ง เมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์  โดยสำหรับงานนี้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจฟังดูเหนื่อยหน่อย แต่ว่าทางพระราชวังก็มีวันหยุดให้คุณถึง 33 วันต่อปีเลยทีเดียว!!   ไปเดินสวยๆ เชิดๆ ในนี้ดีกว่า!!   “นี่เป็นเส้นทางสำหรับสายงานอาชีพบริการ ซึ่งมันจะช่วยพัฒนาทักษะและความช่ำชองในงานแม่บ้านให้กับคุณ” “การมาเข้าร่วมกับทีมมืออาชีพของเรา จะทำให้คุณได้รู้จักกับการทำความสะอาดและดูแลสิ่งของหลายๆ อย่าง…

สำหรับคนที่โสดเหงาว้าเหว่ อยากจะมีเพื่อนคุยหรือหาแฟนมาเชยชมสักคน เดี๋ยวนี้ก็อย่างๆ ที่รู้กันว่าไม่ต้องไปเดินตามหาให้เมื่อยตุ้มอีกต่อไป เพราะ ‘แอปพลิเคชั่น’ สามารถช่วยในส่วนนี้ได้อย่างสบายๆ ทว่าถึงอย่างนั้น ด้วยความที่เราเพียงแค่พูดคุยกันผ่านตัวหนังสือไม่ได้เจอตัวเป็นๆ เลยทำให้มีความเสี่ยงอยู่บ้างที่จะเจอคนไม่ตรงปก หรือบางทีอาจจะเป็นคนละคนกับที่เราคุยอยู่เลยก็เป็นได้ แต่สำหรับหนุ่มคนนี้แล้วเขาคงเข็ดกับการใช้แอปฯ หาคู่ไปอีกนาน เพราะใครจะไปคิดว่าการไปคุยกับสาวในแอปฯ มันจะทำให้เขาถูกตำรวจเพ่งเล็งจนถือหมายค้นเข้ามาค้นห้องได้!!   คลิปที่ชายคนนี้ออกมาเล่าประสบการณ์เฉียดคุก    เรื่องนี้มีอยู่ว่านาย Martin Miller นักแสดงตลกวัย 30 ปี ได้ทำการสมัครแอปฯ Tinder เพื่อหาแฟนสักคนหลังจากที่เขาเพิ่งจะยุติความสัมพันธ์กับแฟนคนก่อน โดยเหตุที่เขาใช้วิธีการออนไลน์นี้ก็เพราะว่า เขาเป็นคนที่ไม่ชอบออกไปข้างนอกและเริ่มพูดคุยกับหญิงสาวที่ไม่รู้จักเลย เขาจึงเลือกใช้วิธีนี้ปูทางพูดคุยกันก่อนที่จะไปเจอตัวเป็นๆ เขาใช้เวลาอยู่นานบนแอปฯ นี้เพื่อตามหาสาวที่ถูกใจ จนในที่สุดแล้วเขาก็ได้พบกับสาวคนหนึ่งที่ต้องชะตาแบบบอกไม่ถูก จนเขารู้สึกได้ว่าคนนี้แหละที่จะมาเป็นรักแท้ของเขา หนุ่มคนนี้จึงได้ปัดขวา (อารมณ์แบบกดหัวใจ) ใส่เธอไปซึ่งเธอก็กดกลับมา ทั้งคู่จึงได้แมตช์กัน และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รวบรวมความกล้าทักแชทเธอไปชวนออกเดท   ทนไม่ไหว ขอเล่าซะหน่อยเถอะ   “ผมแมตช์กับสาวคนหนึ่งใน Tinder เธอดูนิสัยดีนะ สวยด้วยแถมยังมีบุคลิกค่อนข้างดีอีกต่างหาก อีกอย่างคือเธอโพสต์รูปในอินสตาแกรมของเธอลงด้วย ผมจึงคิดว่าเธอน่าจะมีตัวตนจริงๆ ก่อนที่จะทักแชทไป” “เธอดูเด็กกว่าผมหน่อยๆ น่าจะอยู่ในช่วง 20 ต้นๆ แหละ และถ้าดูจากโดยรวมแล้วเธอน่าจะชอบไปปาร์ตี้มากกว่าผมนะ…

หากจะพูดถึงอีกหนึ่งเครื่องประดับที่คนนิยมใส่กัน ‘ทอง’ ก็อาจเป็นอีกสิ่งที่เรามักจะเห็นกันจนชินตา เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนเราก็จะเห็นคนห้อยทองกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นเล็กบ้าง เส้นใหญ่บ้าง แต่สำหรับชายคนนี้รับรองได้ว่าคุณจะต้องตาโตร้องออกมาว่า วะ วะ ว้าว!! ตั้งแต่แรกเห็นแน่ๆ เพราะเขาใส่ทองออกนอกบ้านทีละ 13 กิโลกรัม!!     ชายคนที่ว่านี้คือ Tran Ngoc Phuc นักธุรกิจชาวเวียดนามวัย 36 กะรัต ที่หลงรักทองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าไปไหนมาไหนจะต้องใส่ทองรวมๆ แล้วกว่า 13 กิโลกรัมไปด้วย เขาอธิบายให้ฟังว่าคอลเลคชั่นที่มักพกติดตัวไปด้วยก็มีสร้อยคอหนัก 5 กิโลกรัม กำไลข้อมือทั้งสองข้างอีก 5 กิโลกรัม แหวนทองอีก 4 วงและอื่นๆ อีกนิดหน่อย รวมแล้วทั้งหมดได้ 13 กิโลกรัมพอดิบพอดี แล้วถ้าคิดเป็นมูลค่าเงินล่ะก็ มันจะมีค่าอยู่ที่ราวๆ 550,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 18 ล้านบาท) เลยทีเดียว!!     ในการออกจากบ้านแต่ละครั้งเขาจะต้องมีบอดี้การ์ดไปด้วยอย่างน้อย 5 คนเพื่อรักษาเครื่องประดับเหล่านี้ไม่ให้ถูกขโมยไป และถึงแม้มันจะทำให้ลำบากบ้างบางครั้งแต่ก็ยอม เพราะเขายืนยันว่ามันคุ้มที่จะแบกทองเหล่านี้ไปด้วย เนื่องจากมันช่วยเสริมให้เขามีโชคดีและมีความเจริญในหน้าที่การงาน!!…

สำหรับผู้หญิงแล้ว  ‘การไว้ผมยาว’ นั้นถือว่าเป็นของคู่กัน แต่ว่าคงไม่มีใครที่จะรักการไว้ผมจนเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกับเธอคนนี้อีกแล้ว เพราะใครจะไปเชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะไม่ได้ตัดผมมานานถึง 28 ปีเต็มๆ จนตอนนี้ผมของเธอมีความยาวรวมๆ กว่า 2 เมตร จนชาวเน็ตได้ขนานนามเธอว่าเป็น ‘ราพันเซลในชีวิตจริง’ ไปแล้ว!!   https://www.instagram.com/p/BrKpOCxFxvm/   Alena Kravchenko คุณแม่ลูกสองวัย 33 ปีจากชาวยูเครนคือราพันเซลคนที่ว่านี้ เธอเล่าถึงเรื่องราวการไว้ผมตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตให้ฟังว่า ครั้งสุดท้ายที่เธอตัดผมนั่นคือตอนที่มีอายุได้ 5 ขวบ โดยในตอนนั้นคุณแม่ของเธอมักจะพูดให้ฟังเสมอๆ ว่า ‘ความสวยงามของผู้หญิงมักจะมาจากเส้นผม’ และนี่เองจึงเป็นที่มาของการไม่ตัดผมตลอด 28 ปีที่ผ่านมา   https://www.instagram.com/p/BrMySjKFZVY/   ในตอนนี้ความยาวของผมเธอมีมากกว่า 2 เมตรเป็นที่เรียบร้อย และถึงแม้ว่ามันจะสร้างปัญหาให้เธออย่างการทำให้สะดุดบ้างเป็นบางครั้ง แต่เธอก็ยังเชื่อว่าคำที่แม่ของเธอบอกนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว “ไม่มีอะไรในโลกสวยงามไปกว่าผู้หญิงในรูปแบบธรรมชาติ และผมที่ดูสลวยสวยเก๋อีกแล้ว” Alena กล่าว   https://www.instagram.com/p/Bq_4GIVFUAP/   แน่นอนว่าการตัดผมครั้งสุดท้ายของเธอเกิดขึ้นในตอนที่มีอายุ 5 ขวบ นั่นจึงทำให้ผมของเธอยาวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนสามารถไล่ลำดับได้ว่า ในช่วงวัยรุ่นของเธอมีผมยาวถึงประมาณกลางหลัง จากนั้นในช่วงวัย…

มันอาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วเหลือเชื่อหรือเป็นไปได้ยาก แต่สำหรับใครหลายคนแล้ว อาการ ‘รักแรกพบ’ มันอาจเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาจริงๆ แล้วมันก็ได้สร้างความทรงจำอันงดงามให้ถวิลหา ดั่งเช่นในรายของพ่อหนุ่มคนนี้ที่ไปปิ๊งสาวจากการเจอในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้เข้าไปพูดคุยกับเธอเพราะเหตุบางอย่าง ด้วยความที่อยากเจอเธอคนนั้นอีกครั้งเขาจึงใช้เวลากว่า 50 วันที่ผ่านมา หมดไปกับการตามหาเธอในร้านหนังสือทั่วทั้งเมือง!!   หนุ่ม Sun กับการตามหาสาวของเขา   เรื่องนี้เกิดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อหนุ่มแซ่ Sun ได้ไปพบเจอกับสาวคนหนึ่งในร้านหนังสือชื่อว่า Wangfujing แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงสายใยความพิเศษบางอย่างระหว่างเขาและเธอจากการประสานสายตาสบกัน แต่ว่าก่อนที่เขาจะเข้าไปทำความรู้จักเธอ เขาก็ใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่สักพักหนึ่ง ทว่าพอหันกลับมาอีกที Sun ก็หัวใจแทบสลายเมื่อพบว่าสาวคนนั้นได้เดินออกจากร้านไปไหนแล้วก็ไม่รู้…     หนุ่ม Sun ไม่มีช่องทางการติดต่อกับเธออย่างโซเชียลมีเดียหรือเบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่ชื่อของเธอเขาก็ยังไม่รู้ แต่เพราะความที่เขาเชื่อว่าเธอคนนี้แหละคือ ‘ความรัก’ ในชีวิตเขา เขาจึงจะหาทางพบเจอกับเธอคนนั้นให้ได้อีกครั้ง Sun ใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการไปตามร้านหนังสือต่างๆ ทั่วทั้งกรุงปักกิ่ง จนถึงตอนนี้ก็นับได้ถึง 50 วันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาตัวเธอคนนั้นเจอหรือเรียกง่ายๆ ว่าไม่มีแม้แต่กระทั่งวี่แวว ด้วยความที่ต้องไปเฝ้ารอสาวในฝันที่ร้านหนังสือในทุกๆ วัน เขาจึงไม่มีงานทำและต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินที่ไปขอยืมมาจากคนอื่น…     แต่ถึงอย่างไรแล้ว เขาก็ไม่ลดละความพยายามแม้จะไม่เจอร่องรอยอะไรเลย และพยายามจะใช้วิธีอื่นๆ อย่างการยื่นฟ้องศาลว่าผู้หญิงคนนั้นทำให้เขามีภาวะ ‘ความทุกข์ทางอารมณ์’ ทว่าก็เป็นที่น่าเสียดาย…

บางครั้งเรื่องของปัญหาสุขภาพก็อาจจะบังเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาที่เราไม่นึกไม่ฝัน อย่างในกรณีของผู้ประกาศข่าวคนนี้ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ แต่ว่าจู่ๆ ก็มี ‘เลือดกำเดาไหล’ ออกมาจากจมูก แต่เขาก็เฉยๆ ชิลๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมาผู้ประกาศข่าวชื่อว่า Jo Hyun-il ได้รับหน้าที่เป็นผู้บรรยายหลักเกมการแข่งขันบาสเกตบอล ของช่อง SPOTV ช่องกีฬาของเกาหลีใต้ ร่วมกับผู้บรรยายร่วมอีกคนหนึ่ง   วินาทีที่เลือดกำเดาไหลออกมา Bloody Nose of the Day goes to SpoTV NBA color commentator Jo Hyun-il pic.twitter.com/j7VrI9gP4D — Dan Kurtz (@MyKBO) December 6, 2018   แต่ในระหว่างที่ออกอากาศนั้นเอง กล้องได้จับภาพมาที่ผู้บรรยายทั้งสองแล้วปรากฏว่าจู่ๆ Jo ก็เกิดอาการเลือดกำเดาไหลขึ้นมาอย่างกะทันหัน   เริ่มไหลทีละน้อย   ในตอนแรกเขายังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเกิดอาการนี้ขึ้น แต่แล้วเขาก็รู้ตัวเมื่อเลือดมันค่อยๆ ไหลออกมาจนถึงปากคาง ซึ่งเขาก็ใช้มือปาดดูแล้วรู้ในทันที   เยอะขึ้นเรื่อยๆ   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงสปิริตทำหน้าที่บรรยายเกมต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่ผู้บรรยายร่วมของเขาจะหันหน้ามาเห็นและแสดงสีหน้าตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างเสียงชื่นชมให้กับเขาเป็นอย่างมากถึงสปิริตการทำหน้าที่…

หลายคนอาจเคยประสบกับอาการ ‘หิวจัด’ ในเวลาที่แอลกอฮอล์ไหลลงลำคอไป มันอาจจะให้ความรู้สึกแบบว่าต้องหาอะไรสักอย่างมาลงเปื้อนลำไส้ให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใดก็ตามแต่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรถ้าหากว่าเรากินอาหารหลังจากอาการเมา แต่มันคงผิดแน่ๆ ถ้าหากทำเหมือนชายคนนี้ ที่เขาดันไปปิ้งขนมปังในบ้านใครก็ไม่รู้มากิน เพราะนึกว่าบ้านหลังนั้นเป็นของเขาซะอย่างงั้น     เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยในคืนวันนั้นนาย Christopher David Lloyd ชาวเมืองคัมเบรีย ประเทศอังกฤษวัย 31 ปี กำลังเมาแอ๋จนแทบจะไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความเมาเกินควบคุมไหวในตอนนั้น เขานึกว่าเขาหยิบกุญแจมาผิดดอกแน่ๆ ถึงไขเข้าบ้านไม่ได้สักที เลยใช้บันไดปีนหน้าต่างชั้น 2 เข้าไปในบ้านหลังนั้น แล้วจัดการปิ้งขนมปังมากินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับตบท้ายด้วยลูกอมเป็นของหวานก่อนที่จะผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย แต่ว่าแท้จริงแล้วบ้านที่เขาเข้าไปมันไม่ใช่บ้านของเขา ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเขาเลยงงว่าตัวเองตื่นขึ้นมาอยู่ในคุกได้อย่างไรกันนี่!!     นั่นก็เป็นเพราะว่านาย Mike Pope เจ้าของบ้านที่แท้จริงมาพบว่ามีใครก็ไม่รู้มานอนอยู่ที่บ้านของเขา จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตัวไปนั่นเอง ในที่สุดแล้วนาย Lloyd ก็เอ่ยปากขอโทษเจ้าของบ้านที่เขานั้นเมาจนนึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านของตัวเอง แถมยังกินอาหารในบ้านไปอีก รวมทั้งยินดีที่จะจ่ายเงินค่าปรับจำนวน 113 ปอนด์ (ราวๆ 4,700 บาท) กับค่าชดเชยอีก 455 ปอนด์ (ราวๆ 19,000 บาท)…

เพื่อการรับมือและเตรียมความพร้อมในสถานการณ์จริง ‘การฝึกซ้อม’ จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทางเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องฝึกฝนให้ชำนาญ เผื่อไว้ว่ามีสถานการณ์จริงจะได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้อง แต่ว่ามีเรื่องขำๆ เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมแผนรับมือผู้ร้ายที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง เพราะว่าระหว่างซ้อมดันมีพลเมืองดีเข้ามาเห็นเข้าและหวังดีอยากช่วยจับผู้ร้าย เลยกระโดดถีบเข้าไปเต็มๆ ตัวผู้ร้ายที่รับบทโดยเจ้าหน้าที่จนถึงขั้นหงายท้อง!!   อย่าเข้ามานะเฟ้ย   โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความที่เจ้าหน้าที่ได้ซักซ้อมแผนรับมือผู้ร้ายที่โรงเรียนอนุบาลในนครฉงชิ่ง ประเทศจีน ซึ่งพวกเขาได้จำลองสถานการณ์ว่า มีผู้ร้ายเสียสติคนหนึ่งบุกเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้พร้อมกับถือมีดมาด้วย   คลิปเหตุการณ์ทั้งหมด    ระหว่างการซ้อมเพื่อความสมจริง เจ้าหน้าที่ได้ทำทีว่ากำลังพยายามสกัดกั้นผู้ร้ายเสียสติ (รับบทโดยเจ้าหน้าที่อีกคน) ที่กำลังแกว่งมีดไปมาอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีพลเมืองดีคนหนึ่ง วิ่งชาร์จพลังมาจากไหนไม่รู้กระโดดถวายบาทาเข้าเต็มๆ ลำตัวของผู้ร้ายใส่ไอ้โม่งจนถึงขั้นปลิวล้มคว่ำหน้าตึงไปเลย   บั้กเข้าให้!!   ในภายหลังทางเจ้าหน้าที่จึงได้เข้ามาห้ามปรามชายคนดังกล่าวพร้อมกับอธิบายว่า นี่เป็นแผนการซ้อมรับมือเฉยๆ ไม่ใช่เหตุการณ์จริงๆ เลยกลายเป็นเรื่องชวนขำขันกันไปโดยปริยาย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ถูกพลเมืองดีถีบ ก็มีรายงานว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แม้แต่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นคราวซวยจริงๆ ที่โดนลูกถีบทรงพลังไปแบบฟรีๆ เช่นนี้…   ที่มา: shanghaiist, xinhuanews  

เมื่อวานที่ผ่านมา (ุ5 ธ.ค.) มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกโซเชียลมีเดียของประเทศจีน และกลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงจนมีผู้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ในกรณีของคุณแม่คนหนึ่งที่แกล้งทำเป็นว่าลูกชายของเธอหายตัวไป แต่แท้จริงแล้วเพียงเพื่ออยากจะพิสูจน์ความรักครอบครัวของผู้เป็นพ่อเพียงเท่านั้น!!     เรื่องราวที่ว่านี้เกิดขึ้นที่เมืองเยว่ฉิง มณฑลเจ้อเจียง จากความที่คุณแม่วัย 33 ปีคนหนึ่งไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าลูกชายวัย 11 ปีของเธอหายตัวไปอย่างปริศนาและไร้ร่องรอยใดๆ ข่าวการหายไปของเด็กชายคนดังกล่าว ได้รับการพูดถึงอย่างรวดเร็วในโลกโซเชียล โดยคุณแม่นอกจากจะไปแจ้งความแล้ว ยังได้อธิบายรูปพรรณสัณฐานของลูกชายเธอให้ชาวเน็ตช่วยตามหาด้วย   และที่สำคัญคือเธอมีรางวัลให้ 500,000 หยวน(ประมาณ 2.3 ล้านบาท) สำหรับผู้ที่สามารถหาตัวลูกชายของเธอเจอ     หลังจาก 5 วันของการค้นหา ในที่สุดแล้วก็มีคนพบเจอตัวเด็กชายวัย 11 ปีคนนี้ แต่เรื่องราวมันกลับตาลปัตรอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ได้หายไปไหนเลยตั้งแต่แรก!! จากคำแถลงการณ์ของตำรวจในวันต่อมาเผยว่า แท้จริงแล้วทางคุณแม่ได้ซ่อนตัวลูกชายของเธอเอาไว้ในรถตั้งแต่ไปรับมาจากโรงเรียนในวันศุกร์ (30 พ.ย.) หลังจากนั้นเธอก็ได้มอบอาหารทิ้งไว้ให้กลับลูกชายและบอกให้อยู่แต่ภายในรถ ก่อนที่ต่อมาเธอจะขับรถพาลูกชายไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งในละแวกใกล้เคียงแทน ในท้ายที่สุดคุณแม่ได้สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ที่เธอแกล้งทำเป็นว่าลูกชายหายตัวไปเป็นเพราะอยากจะพิสูจน์ว่าสามีของเธอรักครอบครัวมากขนาดไหน เพราะสามีของเธอต้องทำงานอยู่ต่างเมืองและเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งจะมีปากเสียงกัน     แล้วก็ดูเหมือนกับว่ามันจะได้ผลเป็นอย่างดีเสียด้วย เพราะตั้งแต่ที่สามีเธอรู้ข่าวการหายไปของลูกชาย เขาก็ออกตามหาอย่างไม่หลับไม่นอนเป็นเวลาถึง 4 วันเต็มๆ โดยก่อนที่จะหาลูกชายเจอเขาได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “มันเหมือนกับว่าลูกชายของผมหายตัวไปในอากาศยังไงยังงั้นแหละ” …

เรื่องนี้อาจเป็นคนที่หลายคนอาจไม่เชื่อ แต่ว่าก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้ เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องลาโลกนี้ไป จากเหตุเพราะเขาถูก ‘ไฟดูด’ จากการใช้หูฟังขณะที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ไปด้วย     เหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นใกล้ๆ กับเมืองเริมเบา รัฐเนอเกอรีเซิมบีลัน ประเทศมาเลเซีย เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปพบศพของ Mohammed Aidil Azzahar Zaharin หนุ่มวัย 16 ปีเสียชีวิตอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง โดยคุณแม่ของหนุ่มคนนี้เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกที่เธอเข้ามาหาลูกชายคนนี้ เธอคิดว่าเขากำลังหลับอยู่เลยออกไปทำงานตามปกติ แต่ว่าก็เอะใจว่าอาจมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น คุณแม่จึงรีบกลับมาจากสถานที่ทำงานแล้วพยายามปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะเขาได้เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้าน     ทางทีมแพทย์ยืนยันว่าเขาเสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากสาเหตุ ‘ถูกไฟดูด’ ซึ่งที่เขาถูกไฟดูดนี้ ก็มาจากการที่เขาเสียบหูฟังเอาไว้ระหว่างที่ชาร์จแบตเตอรี่ไปด้วย แล้วเผลอหลับไปนั่นเอง โดยสภาพศพของหนุ่มคนนี้ไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกายหรือรอยฟกช้ำใดๆ จะมีก็เพียงรอยไหม้บริเวณหูข้างซ้ายและมีเลือดไหลออกมาร่วมด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางพี่น้องของผู้เสียชีวิตจะบอกว่ารู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตเล็กๆ เมื่อแตะสายไฟ แต่ก็ไม่ได้มีใครเอะใจอะไรว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จนกระทั่งมีเรื่องเศร้าเรื่องนี้เกิดขึ้น… เรื่องนี้ได้กลายเป็นอุทาหรณ์ไปทั่วโลกออนไลน์ ว่าเราอาจต้องประสบกับความเสี่ยงมากขึ้นถ้าหากใช้โทรศัพท์ขณะที่กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่ และจะเป็นการดีกว่าถ้าหากหลีกเลี่ยงได้   ที่มา: dailymail, metro, tribunnews

เดี๋ยวนี้ภัยอันตรายจากโจรขโมยมันช่างอันตรายเสียจริงๆ อย่างเช่นในกรณีงงๆ ที่เกิดขึ้นนี้ด้วย เมื่อเจ้าของบ้านแห่งหนึ่งพบว่ามีโจรพยายามจะเปิดประตูห้องเข้ามาให้ได้ แม้จะรู้อยู่ทนโท่ว่าเจ้าของบ้านอยู่ในนั้น!! โดยเรื่องราวสุดช็อกที่ว่านี้เกิดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งทางหญิงเจ้าของบ้านได้มาแบ่งปันประสบการณ์ขนหัวลุก เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกๆ คนได้ระวังตัว     เธอเล่าว่าในวันดังกล่าวเธออยู่ที่บ้านกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วในเวลาประมาณ 13.30 น. ของวันนั้น ก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ บ้าน ซึ่งตอนแรกเธอก็คิดว่าน่าจะเป็นเสียงของเพื่อนบ้าน แต่พอเธอนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนบ้านของเธอไปทำงานหมดแล้ว เธอจึงเดินออกไปเช็กที่ประตูหน้าบ้านแล้วก็ถึงกับผงะ   คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เมื่อพบว่ามีชายคนหนึ่งที่แต่งตัวคล้ายๆ กับพนักงานส่งของ กำลังใช้มือเอื้อมผ่านทางหน้าต่างพยายามจะเปิดประตูบ้านของเธอให้ได้ แม้จะรู้ว่ามีคนอยู่ภายในบ้านก็ตาม     เธอพยายามจะไล่ให้ชายคนดังกล่าวให้พ้นๆ จากบ้านของเธอไป แต่ว่าเขาก็ทำเนียนเป็นเคาะประตูสร้างจังหวะเพลง แถมยังพยายามจะเปิดประตู จนในที่สุดแล้วเธอรีบโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตัวเขาในทันที แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวชายคนนี้ได้คาสถานที่เกิดเหตุ แต่ถึงกระนั้นระหว่างที่สอบปากคำกับเจ้าหน้าที่อยู่ที่หน้าบ้าน เขาก็ยังส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับเจ้าบ้านอีกด้วย     สุดท้ายชายคนนี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ดำเนินคดีที่โรงพัก แต่สำหรับเจ้าของบ้านแล้วมันเป็นอะไรที่หวาดผวาเอามากๆ เพราะกลัวว่าถ้าชายคนนี้ออกมาจากการรับโทษทัณฑ์แล้ว เขาอาจจะกลับมาแก้แค้นก็ได้เป็นได้!!   ที่มา: worldofbuzz, chinapress

ปกติแล้วเวลาที่เราไปเดินตลาด เราก็อาจเจอคุณป้าคุณยายนั่งขายของกันจนเป็นภาพชินตา แต่ว่าเมื่อเร็วๆ มานี้ ชาวโซเชียลมีเดียของไต้หวันต้องถึงกับผงะเมื่อมีผู้ไปพบเจอ ‘นางฟ้าขายปลา’ เข้าให้!!   รับปลาสักตัวไหมคะ??   เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กคนหนึ่งได้ไปเที่ยวชมตลาดปลาในเมืองจังฮว่า แล้วไปสะดุดตาเข้ากับแม่ค้าขายปลาคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาสวยซะจนต้องเหลียวคอมอง เขาจึงได้ถ่ายภาพและวิดีโอของเธอผู้นี้เก็บเอาไว้แล้วเอาไปลงในเฟซบุ๊ก จนกลายเป็นกระแสไวรัลที่มีคนแชร์มหาศาลในเวลาต่อมา “ไม่แน่นะ ในอนาคตผมจะช่วยคุณซื้อปลาทุกวันเลยเอ้า” แคปชั่นที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนนั้นเขียนเอาไว้   เดี๋ยวจัดให้นะคะ   เมื่อเรื่องนี้ได้เป็นกระแสฮอตฮิตบนโลกไซเบอร์ ก็ทำให้มีการขุดค้นจนในที่สุดก็พบว่าเธอมีชื่อว่า Liu Pengpeng พริตตี้นางแบบสุดฮอตวัย 26 ปี ที่มักจะออกอีเวนท์ไปทั่วทั้งประเทศ และแน่นอนว่าที่เธอมีิอาชีพเกี่ยวกับความสวยความงามเช่นนี้ คงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าเธอจะมาช่วยแม่ขายปลาอยู่ในตลาด!!   น้องพลับขอสอง   ในเวลาต่อมาทันทีที่เธอรู้เรื่องกระแสความดังของตัวเอง ก็ได้ออกมากล่าวขอบคุณความสนับสนุนของชาวเน็ต รวมถึงบอกด้วยว่าในวันถัดไปเธอจะมายืนขายปลาหน้าแผงอีกครั้ง “ตลาดจะต้องระเบิดแน่ๆ” ชาวเน็ตคนหนึ่งกล่าวเอาไว้ในโพสต์ของเธอ   โฉมเอยโฉมงาม อร่ามแท้แลตะลึง   แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่คาด ในเช้าวันต่อมามีลูกค้ามาต่อคิวยาวเหยียดรอซื้อปลาของเธอ ซึ่งส่วนมากก็มักจะถ่ายภาพขณะที่เธอกำลังขอดเกล็ดทำกรรมวิธีต่างๆ ในตอนที่เป็นแม่ค้าเอาไว้ด้วย   ตัลล้าก   ทางด้านคุณแม่ของนางแบบ Liu ก็เล่ากับผู้สื่อข่าวท้องถิ่นให้ฟังว่า ในเวลาที่ลูกสาวว่าง เธอก็มักจะกลับมาที่บ้านแล้วช่วยแม่ขายปลา…

บางครั้งความผิดพลาดของเราเพียงนิดเดียว ก็อาจทำให้บางอย่างแปรเปลี่ยนไปอย่างตลอดกาล… อย่างเช่นในกรณีของชายวัย 70 กะรัตคนนี้ ที่แผนการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวต้องพังพินาศไม่เป็นชิ้นดี แถมยังไม่สามารถเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้อีกตลอดกาล จากการกรอกวีซ่าผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย!!     John Stevenson ชายชราชาวสกอตแลนด์วัย 70 ปีและ Marion ภรรยาของเขา วางแผนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวนครนิวยอร์กในเดือนธันวาคมนี้ แต่แล้วแผนการเดินทางของทั้งคู่ก็ต้องพังทลายลง จนต้องทิ้งตั๋วเครื่องบินและค่าที่พักไปฟรีๆ จากความที่ John ไปกรอกแบบฟอร์มวีซ่าออนไลน์ขอเข้าประเทศผิดว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’     ความผิดพลาดในครั้งนี้ทำให้นาย John โดนแบนเข้าประเทศสหรัฐฯ ในทันที ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะติดต่อไปยังหน่วยงานราชการของสหรัฐฯ ว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขากรอกผิด ก็ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอะไร… “ตอนที่กรอกแบบฟอร์มวีซ่าออนไลน์ มันมีอะไรให้ติ๊กอยู่เต็มไปหมด แล้วเผอิญว่ามีคำถามหนึ่งถามว่าคุณเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่? ผมก็ตอบไปว่า Yes ด้วยความที่ผมไม่รู้”  John บอกว่าเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไป ตอนที่ยื่นพาสปอร์ตให้กับหน่วยตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งพวกเขาก็ตอบกลับว่า คุณคือผู้ก่อการร้าย!!     “ผมบอกพวกเขาไปแล้วว่าผมมีอายุถึง 70 ปีแล้วนะ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าช่องนั้นมันคืออะไร มันคือฝันร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย” John กล่าว สำหรับความเสียหายในครั้งนี้ของเขาและภรรยามีค่าประมาณ 2,000 ปอนด์…

แม้ว่าอาชีพ ‘หัวขโมย’ จะเป็นอาชีพที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวและตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี แต่ว่าบางทีถ้าหากเราใช้พวกเขาให้ถูกทางล่ะก็ อาจจะเป็นประโยชน์ได้แบบมหาศาลก็เป็นได้ อย่างเช่นในกรณีของร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ที่ประกาศรับสมัครหัวขโมยมาฉกฉวยสินค้าในร้านตัวเอง เพื่อจะได้รู้ว่าจุดอ่อนของร้านอยู่ตรงไหน และพวกเขามีวิธีขโมยได้อย่างไรกัน!!     โดยเรื่องนี้เริ่มขึ้นจากความที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประสบปัญหาถูกลูกค้าขโมยของบ่อยครั้งจนกลายเป็นที่เอือมระอาแก่ทางเจ้าของ เธอจึงตัดสินใจจะว่าจ้างโจรมาขโมยของในร้านตัวเอง เพื่อจะดูว่าจุดอ่อนในร้านมันเป็นอย่างไรและมีวิธีการขโมยเช่นไร เพื่อการป้องกันปัญหานี้ในอนาคต     ทางหญิงเจ้าของร้านได้ประกาศตามหา ‘หัวขโมย’ บนเว็บไซต์หางานออนไลน์ชื่อว่า Bark.com แล้วมันก็กลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว จากการที่เธอเสนอเงินค่าจ้ายสูงถึง 50 ปอนด์ (ราวๆ 2,000 บาท) ต่อชั่วโมง โดยหน้าที่หลักของผู้ที่สมัครเข้ามาก็คือ จะต้องพยายามขโมยสินค้าที่ร้านเสื้อผ้าแห่งนี้ออกไปให้ได้ และถ้าสามารถขโมยได้ถึง 3 ชิ้นในคราวเดียวก็จะได้โบนัสเพิ่มอีกด้วย!! ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องเข้ามาที่ร้านหลายครั้งในเวลาหลายสัปดาห์ และเมื่อขโมยสำเร็จแล้วจะต้องเขียนรายงานถึงวิธีที่พวกเขานำสินค้าออกมา และบอกด้วยว่าผ่านระบบการรักษาความปลอดภัยของทางร้านได้อย่างไร     “ฉันกำลังมองหาขโมยมืออาชีพที่จะมาช่วยตรวจสอบจุดอ่อนของร้านฉันให้หน่อยว่ามันเป็นอย่างไร ธุรกิจนี้จริงๆ ฉันได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2013 แต่ว่าในทุกๆ ปีทางร้านจะถูกมือดีมาจิ๊กสินค้าไปอย่างแนบเนียน  โดยเฉพาะช่วงชุลมุนในเทศกาลต่างๆ อย่างคริสต์มาสที่มันมันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ทางร้านจะสามารถจับตาดูทุกๆ คนได้ หัวขโมยพวกนี้ทำให้ฉันเสียเงินไปเป็นพันๆ ปอนด์ในทุกๆ ปีเลยล่ะ” เจ้าของร้านกล่าว ในท้ายที่สุดเจ้าของร้านกล่าวว่า…

หากใครที่เคยเดินทางโดยใช้รถไปที่ จ.แม่ฮ่องสอน จะเป็นอันรู้กันว่าว่าเส้นทางมันคดเคี้ยวขนาดไหน แต่ว่าถ้าหากเส้นทางนั้นยังไม่สามารถทำอะไรคุณได้ และอยากหาความท้าทายเพิ่มล่ะก็ ถนนสายหนึ่งในประเทศจีนน่าจะเป็นคำตอบให้กับคุณได้ เพราะที่ถนนสายนี้มีโค้งหักศอกรูปตัว U ที่ติดกันถึง 68 โค้งเลยทีเดียว!!     โดยเจ้าถนนสายนี้ตั้งอยู่ที่เขต Yiliang เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน มันเป็นถนนที่ความยาว 6.3 กิโลเมตร แต่ความท้าทายมันอยู่ที่โค้งหักศอกของมันตะหาก… ในด้านประวัติความเป็นมา มันถูกสร้างขึ้นในปี 1995 เพื่อเป็นถนนที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสองหมู่บ้านนั่นคือ หมู่บ้าน Jinxing และหมู่บ้าน Jinganshao ซึ่งถึงแม้ว่าหากดูด้วยสายตาเราคงคิดว่าถนนสายนี้มันเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวเลยทีเดียว แต่สำหรับชาวบ้านแล้วพวกเขาบอกว่ามันได้สร้างความสะดวกสบายให้กับพวกเขาเป็นอย่างมากเลย “ตั้งแต่ถนนเส้นนี้ถูกเปิดใช้ พวกเราก็ไม่ต้องแบกสินค้าใส่บ่า เดินลงไปขายที่ตลาดด้านล่างภูเขาอีกแล้ว” Li Guogua ชาวบ้านกล่าว   วิดีโอของถนนโดยมองจากมุมบน A most challenging drive in Yunnan, China. This winding road with 68 bends is seen as "a wonder in the world…

เมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์ร้อนๆ และกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์เกิดขึ้นที่ไต้หวัน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกประชาชนวิจารณ์ซะเละเทะ จากการที่พวกเขาใช้เงินภาษีเกือบๆ 600 ดอลลาร์ (ประมาณ 19,000 บาท) ไปกับการพิสูจน์หลักฐาน DNA เพื่อหาตัวผู้ร้ายที่ขโมย ‘โยเกิร์ต’ ของหญิงสาวคนหนึ่งไป!!     โดยเหตุการณ์ที่ว่านี้เริ่มขึ้นจากความที่ผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยห้องร่วมกับเพื่อนๆ นักศึกษาของมหาวิทยาลัย Chinese Culture University ในนครไทเป อีก 5 คนด้วยกัน แต่ว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้กลับมาที่ห้องแล้วก็ต้องพบว่า โยเกิร์ตขวดหนึ่งของเธอมันดันหมดเกลี้ยงแล้วไปอยู่ในถังขยะหน้าตาเฉย จึงแน่นอนว่าต้องมีใครสักคนในเพื่อนร่วมห้องอีก 5 คนกินมันไปเป็นแน่แท้     จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอได้จัดการประชุมห้องขึ้นอย่างเป็นการเร่งด่วนเพื่อหาว่าใครเป็นคนกินโยเกิร์ตของเธอไป ซึ่งก็ไม่มีใครเลยที่ยอมรับ ด้วยความโมโหเธอจึงได้หยิบขวดโยเกิร์ตอันว่างเปล่า มุ่งหน้าไปแจ้งความกับตำรวจทันที ซึ่งถ้าหากว่าเป็นสถานีอื่นๆ ในโลก เจ้าหน้าที่อาจจะปล่อยปละละเลยเพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ไม่ใช่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทเป เพราะเมื่อพวกเขาได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวก็ตัดสินใจดำเนินการสอบสวนโดยด่วน   วิดีโอจำลองเหตุการณ์    เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวเพื่อนร่วมบ้านทั้ง 5 คนของเธอมาสอบปากคำ แต่ทั้งหมดก็ยังยืนกรานปฏิเสธอยู่ดีว่าไม่ได้เป็นคนกินโยเกิร์ตเข้าไป และไม่สามารถตรวจสอบลายนิ้วมือบนขวดได้ด้วยเพราะมันเปียกเกินไปและไม่มีร่องรอยเหลือไว้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการตรวจ DNA ผู้ต้องสงสัยทั้ง รวมถึงตัวผู้หญิงคนที่มาแจ้งความด้วย เบ็ดเสร็จทั้งสิ้นแล้ว…

เรื่องของการทำความดีเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทุกๆ คนไม่ว่าจะอายุ ผิวพรรณ หรือฐานะเป็นอย่างไร ดั่งเช่นในเรื่องต่อไปนี้ ที่ชายไร้บ้านคนหนึ่งเก็บเงินได้กว่าเป็นแสนๆ บาท แต่เขากลับเลือกที่จะไม่นำไปใช้เองทั้งๆ ที่ทำได้ และเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง!   Kevin Booth ขณะที่เข้ามาที่สถานสงเคราะห์ เมื่อครั้งอดีต   เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อชายไร้บ้านนามว่า Kevin Booth พบเจอเงินจำนวนกว่า 17,000 ดอลลาร์ (ราวๆ 557,000 บาท) ในถุงสีน้ำตาลใบหนึ่งใกล้ๆ กับสถานสงเคราะห์ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ยากไร้…   เจ้าหน้าที่มอบรางวัล   “ตอนนั้นผมบอกเลยว่าผมดมกลิ่นดูก่อนว่าใช่เงินจริงๆ รึเปล่า และเมื่อรู้ว่ามันเป็นของจริงก็มีความคิดสองอย่างผุดเข้าในหัวผมคือ จะเอาเงินนี้ไปใช้หรือจะนำมันไปคืน และผมก็เลือกที่จะนำไปคืน” Booth กล่าว ซึ่งแม้ว่านาย Booth จะต้องประสบกับเคราะห์กรรมลำบาก เป็นคนไร้บ้านมานานกว่า 7 ปีเต็มๆ แต่เขาก็เลือกที่จะนำเงินจำนวนนี้ไปมอบให้กับอาสาสมัครของสถานสงเคราะห์ที่เข้ามาที่อาคารในภายหลัง ตามหาเจ้าของที่แท้จริง “เธอ (อาสาสมัครคนที่ได้รับมอบเงิน) นำมันไปชั่งน้ำหนักเพราะคิดว่ามันเป็นอาหารนะ ตอนแรก” Anita Miller…

ไม่ว่าใครๆ ก็คงอยากจะมีสุขภาพที่แข็งแรงกันทั้งนั้น และการที่จะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นนอกจากจะกินอาหารให้ครบตามที่ร่างกายต้องการแล้ว เรื่องของ ‘การออกกำลังกาย’ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน ดั่งที่เราเห็นได้ว่าผู้คนสมัยนี้ใส่ใจกับเรื่องสุขภาพกันมากๆ ทั้งกินคลีน ออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอ แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องของการออกกำลังกายก็สามารถส่งผลมาถึงการทำงานได้เช่นกัน อย่างเช่นในกรณีของพนักงานอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในประเทศจีน ที่ถูกบังคับให้เดินให้ได้ตามระยะที่บริษัทกำหนดเอาไว้ในแต่ละเดือน มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะต้องถูกหักเงิน!!     โดยในประเทศจีนนั้น ‘การเดิน’ โดยนับจำนวนก้าว ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่เลยทีเดียว อย่างเช่นบริษัทประกันสุขภาพจะเสนอส่วนลดให้กับลูกค้าที่มีจำนวนระยะการเดินตามที่กำหนดไว้ว่ากี่ก้าวๆ หรือโรงเรียนหลายแห่งที่ใช้แอพฯ ก้าวในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เป็นสิ่งที่ช่วยดูว่านักเรียนสามารถเดินได้ตามระยะที่โรงเรียนกำหนดเอาไว้หรือไม่ รวมถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ในเมืองกว่างโจว ก็เป็นบริษัทที่ใส่ใจในสุขภาพของพนักงานเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าหากทำไม่ได้ตามที่กำหนดจะมีการปรับเงินเกิดขึ้น…     ในเรื่องนี้พนักงานชื่อว่า Xiao C ของบริษัทดังกล่าว ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมาเธอพลาดเดินไม่ถึงจำนวน 180,000 ก้าวตามที่บริษัทกำหนดไว้ โดยพลาดไป 10,000 ก้าว ทางหัวหน้าของเธอจึงได้ปรับเงินไปเป็นจำนวน 100 หยวน (ราวๆ 477 บาท) สำหรับจำนวนก้าวที่หายไป ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ว่า 1 ก้าวที่หายไป จะมีค่าปรับอยู่ที่ 0.01 หยวน (ราวๆ 0.048 บาท)…

เดี๋ยวนี้เป็นอันรู้กันดีว่าการทำมาค้าขายถ้าจะให้ดีต้องมีวิธีการนำเสนอ รวมถึงกลยุทธ์การขายที่พิเศษกว่าที่อื่นๆ แต่ว่าบางทีถ้าหากพิเศษเกินไปก็อาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้เหมือนกับเรื่องนี้ ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในประเทศจีน ใช้นางแบบ ‘เปลือยอก’ มาเป็นพรีเซนเตอร์ขายอพาทเมนต์ของพวกเขาซะอย่างงั้น!!     โดยเรื่องราวที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสัปดาห์ที่ผ่านมา กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง (ไม่ระบุชื่อ) ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ประเทศจีน เมื่อพวกเขาได้ว่าจ้างหญิงสาวให้มาเปลือยอกช่วยขายอสังหาฯ ของบริษัท     ภาพที่ปรากฏในโลกโซเชียลมีเดีย จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงเปลือยท่อนบนจำนวนสี่คน ที่เพ้นท์รูปภาพผีเสื้อเอาไว้ที่ด้านหน้า ส่วนทางด้านหลังของพวกเธอก็แสดงแบบแปลนของอาคารที่วางขายนั่นเอง     เรื่องนี้ได้ตกเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ของประเทศจีน ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจจะรอดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้     ต่อมาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 ธ.ค.) ชาวเน็ตหลายคนก็ออกมาพูดเหมือนกันว่าพวกเขาได้เดินทางไปที่บริษัทอสังหาฯ แห่งนี้ ทว่าก็พบแต่เพียงประตูที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่หนาเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการใดกับทางบริษัทแห่งนี้   บานประตูของบริษัท   ส่วนนี่คือความคิดเห็นบางส่วนจากชาวเน็ตของประเทศจีน เมื่อได้รับรู้เรื่องราวดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะออกไปทางตำหนิติเตียนบริษัทแห่งนี้   วิดีโอของสาวๆ    เป็นอะไรที่หยาบคายจริงๆ   เป็นการวางแผนขายบ้านที่น่ารังเกียจจริงๆ คนซื้อคงไม่ปกติแน่ๆ   ไม่มีขอบเขตซะจริงๆ เชียว   ที่มา: shanghaiist,…

เมื่อไม่นานมานี้ในโลกโซเชียลมีเดียของประเทศจีน ได้มีเรื่องหนึ่งที่เป็นกระแสไวรัลพูดคุยกันอย่างกว้างขวาง โดยเป็นเรื่องราวของ ‘อาชญากร’ หญิงคนหนึ่งที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศ จนทำให้ชาวเน็ตต่างพากันคอมเมนต์แห่ชื่นชมเรื่องความสวยของเธอกันอย่างท่วมท้น!!     ในตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามหาตัว Qingchen Jingjing หญิงที่เชื่อว่ามีอายุ 19 ปี ซึ่งเธอเป็นสมาชิก 1 ใน 7 ของแก๊งค์ต้มตุ๋นที่มักออกหาเหยื่อแถวๆ บาร์หรือโรงน้ำชาในเมืองเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน การเริ่มต้นหาตัวเธอนี้เริ่มขึ้นมาจากความที่ชายคนหนึ่งได้แจ้งความว่าถูกแก๊งค์ของเธอ หลอกเอาเงินไปจำนวนหลายพันหยวนที่บาร์แห่งหนึ่งในเมือง     และทางเจ้าหน้าที่ก็เชื่อว่าแก๊งค์ของเธอน่าจะมีพฤติกรรมฉ้อโกงเช่นนี้มาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่ก็คือคนที่กำลังมึนเมาอยู่นั่นเอง ในตอนนี้สมาชิกของแก๊งค์ 3 คนได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้แล้ว แต่สำหรับคนที่เหลืออย่างเช่น Qingchen เจ้าหน้าที่จึงได้ออกหมายจับออกไปให้ประชาชนช่วยตามหา และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของไวรัลดังกล่าว     เพราะว่าภาพหน้าตรงของสาวเจ้าคนนี้ดูสวยซะจนเหมือนนางฟ้า จนเป็นที่พูดถึงของกันชาวเน็ต ซึ่งหลายคนยกว่าให้เธอเป็น ‘อาชญากร’ ที่สวยที่สุดในประเทศเลยทีเดียว     ในเรื่องนี้อดีตเพื่อนร่วมชั้นของเธอเล่าว่า Qingchen เป็นคนที่สวยที่สุดในชั้นเรียนในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นที่หมายมองของบรรดาหนุ่มๆ อย่างไม่ขาดสาย     “การที่มีความสวยเกินไปไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าการใช้มันเพื่อการกระทำผิดกฎหมายต่างหากที่เป็นปัญหา” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว     และนี่คือคอมเมนต์ของชาวเน็ตที่ต่างพากันแซ่ซ้องเธอ และดูเหมือนว่าพวกเขากลายเป็นแฟนคลับระดับย่อมๆ ของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

เมื่อเทศกาลแห่งความสุขอย่าง ‘คริสต์มาส’ มาถึง แน่นอนว่าสิ่งที่เราจะได้เห็นในเทศกาลนี้ก็คือการตกแต่งประดับประดาสถานที่ต่างๆ อย่างต้นคริสต์มาส กล่องของขวัญ และของกระจุกกระจิกอีกมากมาย แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนใจร้ายมาทำลายข้าวของแห่งความสุขพวกนี้ลง หนำซ้ำยังไม่พอยังทำท่าอนาจารเหมือนกับกำลังมีเซ็กส์กับต้นคริสมาสต์อีกด้วย…   หน้าตาของหน้าบ้านที่ถูกทำลาย   เหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของนาย Denver Peel ชาวแลงคาสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อทางครอบครัวนี้ได้เปลี่ยนสนามหน้าบ้านให้กลายเป็นลานคริสต์มาสดูสวยงามตระการตา สร้างสีสันให้กับผู้เดินทางผ่านไปมา แต่แล้วในเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พวกเขาก็ต้องตะลึงเพราะตอนที่ออกมาหน้าบ้านตอนเช้า ทุกๆ อย่างที่เตรียมเอาไว้มันกลับถูกพังพินาศไปหมด   ผู้ก่อเหตุ   ทางครอบครัวจึงไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดดูแล้วก็พบว่าเป็นฝีมือของชายคนหนึ่งที่ใช้มีดมาตัดสายไฟ ทำลายกล่องของขวัญ พร้อมกับทำท่าอนาจารใส่ต้นคริสต์มาส (เป่าลม) ต้นหนึ่งของพวกเขา ในที่สุดทางครอบครัวจึงส่งเทปนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้มันมีมูลค่าราวๆ 2,000 ปอนด์ (ราวๆ 84,000 บาท) จากทั้งหมดที่พวกเขาลงทุนไปถึง 3,000 ปอนด์ (ราวๆ 126,000 บาท) เลยด้วย   คลิปวิดีโอของเขาระหว่างทำท่าทางมีเซ็กส์    “Kirsty (ภรรยาของ Denver) ออกไปที่หน้าบ้านตอน 7…

อีกหนึ่งสาขาอาชีพที่สาวๆ หลายคนชื่นชอบก็คือหนุ่มใน ‘เครื่องแบบ’ ทั้งหลาย ที่ทั้งเท่และดูดีในชุดเครื่องแบบ แต่คงไม่มีใครคิดว่าจะมีคนแกล้งปลอมตัวเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรอกใช่ไหมล่ะ     Ari Septian Pratama หนุ่มชาวอินโดนีเซียวัย 21 ปีจากจังหวัดสุมาตราใต้ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมหลังจากที่เขาปลอมตัวเป็นนายตำรวจ ด้วยการใส่ชุดติดตราและถือปืนปลอม เขายอมสารภาพว่าปลอมตัวเป็นตำรวจมาได้กว่าหนึ่งเดือนแล้ว ด้วยการใช้นามแฝงว่าด็อกเตอร์ ‘Julian Saputra’ และเขายังประกาศว่าเขาเป็นลูกชายของนายตำรวจชั้นสูงของเมือง     ชุดที่เขาใช้มาจากการสั่งตัดโดยเฉพาะ รวมทั้งยังมีหลักฐานอื่นๆ อย่างตราตำรวจปลอม ปืนปลอม เป็นหลักฐานการจับกุมในครั้งนี้ จากคำให้การของ Ari เขายอมรับว่าทั้งหมดทำไปก็เพื่อจะใช้จีบสาว และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันได้ผลจริงๆ เพราะมีสาวๆ ตกเป็นเหยื่อตำรวจปลอมๆ ของเขามาแล้วกว่า 10 คน โดยเหยื่อของเขามีทั้งพยาบาล หมอ หรือแม้กระทั่งตำรวจหญิง     แต่นอกจากการทำตัวเป็นตำรวจแล้ว นาย Ari ยังทำให้ตัวเองดูภูมิฐานขึ้นด้วยการเช่ารถหรูราคาแพง และที่เด็ดสุดๆ ของเขาก็คือคารมคมคายที่มักหลอกเหยื่อว่าจะแต่งงานกับพวกเธอ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อหลอกหลับนอนด้วยเท่านั้น “ผมสัญญากับผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อหลายคนว่าจะแต่งงานกับพวกเธอ แต่เอาจริงๆ นะผมไม่ทำหรอก ผมแค่หลอกหลับนอนด้วยเท่านั้นแหละ” Ari สารภาพ    …

สำหรับวายร้ายที่ชอบขโมยของคนอื่นงัดแงะเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขารอดพ้นการจับกุมได้ก็คือ ‘ความเนียน’ รีบเข้ารีบออกเพื่อเป็นการหนีจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด แต่ว่ามีหัวขโมยอยู่คนหนึ่งที่ไม่ทำอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังโดนจับกุมได้อย่างง่ายดาย เพราะใครจะไปคิดว่าหลังจากที่เข้าไปขโมยของแล้ว เขาจะหลับอยู่ในห้องซะอย่างงั้น     เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หนุ่มนักย่องเบาวัย 36 ปีที่ไม่ระบุชื่อ ได้แอบย่องเข้าไปที่ออฟฟิศส่วนตัวแห่งหนึ่งในเมืองโอเรนบุร์ก ประเทศรัสเซีย เขาสามารถเข้าไปที่นั่นได้โดยการลอดตัวผ่านหน้าต่างบานเล็กๆ ในชั้นที่สามของตึก จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ที่เตรียมมาอย่างไขควง คีมตัดเหล็ก ฆ้อน และแชลงงัดแงะประตู จนเข้ามาข้างในตัวออฟฟิศได้สำเร็จ แน่นอนว่าวินาทีนี้เป็นวินาทีทองของเขาในการหาทรัพย์สินที่มีค่า ซึ่งสิ่งที่เขาได้ไปก็คือเงินสดจำนวน 140,000 รูเบิล (ราวๆ 68,000 บาท)     ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าเขาเมื่อได้เงินไปสดๆ อย่างนี้แล้ว เขาคงจะรีบหนีออกไปแน่ๆ เพราะถ้าถูกจับได้คงต้องนอนตะรางยาวๆ แต่ผิดคาดเขาเลือกที่จะเอนหลังพิงกายที่เบาะหนังอย่างสบายใจ… แล้วในที่สุดเขาก็หลับปุ๋ยอยู่ตรงนั้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาพบเจอเขาในเวลาต่อมา!! ตามการรายงานของสื่อท้องถิ่นระบุว่า จริงๆ แล้วหัวขโมยคนนี้ถูกพบเห็นเป็นครั้งแรกว่าหลับอยู่ในออฟฟิศโดยการดูกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย     แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่เลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับหัวขโมยคนนี้โดยตรง และเลือกที่จะแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทางตำรวจก็ส่งเจ้าหน้าที่มาอย่างเร็วไว และภาพที่ รปภ. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เห็นก็คือหัวขโมยยังคงหลับอยู่อย่างสบายใจตรงนั้น โดยที่ข้างๆ ยังคงมีเงินก้อนโตวางเอาไว้อยู่…

โดยปกติแล้วเวลาที่เราไปซื้อของและจ่ายด้วยบัตรเครดิต ก็อาจเกิดบางกรณีที่ทำให้บัตรรูดไม่ผ่านอย่าง วงเงินไม่พอ หรือมีเครื่องปัญหาขัดข้องอะไรก็ตาม แต่ว่ามีชายคนหนึ่งโมโหที่เขารูดบัตรเครดิตไม่ผ่าน เลยไปทำร้ายเสมียนของร้านอย่างไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดว่าทำร้ายเธอเพราะเหตุใด!!   คลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้    ในตอนนี้นายตำรวจแห่งรัฐโอไฮโอกำลังระดมกำลังกันตามหาตัวชายคนหนึ่ง ที่ต่อยเข้าเต็มๆ หน้าเสมียนของร้านค้าแห่งหนึ่ง หลังจากที่เขาใช้บัตรเครดิตจ่ายเป็นค่าสินค้าแต่ว่ามันกลับรูดไม่ผ่าน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (20 พ.ย.) ณ ร้าน Tom ซึ่งเป็นร้านไดร์ฟทรู (ร้านซื้อของโดยไม่ต้องลงจากรถ) ในเมือง North College Hill รัฐโอไฮโอ ประเทสหรัฐอเมริกา และมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด     จากวิดีโอจะเห็นได้ว่าเป็นภาพของชายคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังมีอารมณ์ร้อน ขณะเดียวกันก็มีหญิงคนหนึ่งพยายามห้ามเขาจากการเข้าไปหาเรื่องผู้หญิงอีกคน ที่แหล่งข่าวกล่าวว่าเธอเป็นเสมียนของทางร้าน แต่ว่าดูเหมือนจะห้ามไม่อยู่ ชายคนดังกล่าวปล่อยหมัดเข้าไปเต็มๆ หน้าของเสมียนเต็มๆ จนเธอล้มทั้งยืน จนในที่สุดเธอลุกขึ้นมาได้และเดินหนีจากเหตุการณ์ตรงนั้นไป แล้วคลิปวิดีโอก็จบลง     นี่อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้นมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กำลังตามตัวเขาไปรับโทษอยู่…   ที่มา: dailymail, wlwt

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งของประเทศจีน เมื่อมีเด็กชายคนหนึ่งที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ‘มะเร็ง’ ถูกคุณครูแยกไปนั่งเดี่ยวเพราะคิดว่าเขาจะไปแพร่มะเร็งให้กับเด็กนักเรียนคนอื่นๆ!?     เรื่องนี้มีอยู่ว่า Xiaozhou นักเรียนชั้นประถมวัย 13 ปีได้รับการวินิจฉัยจากทางแพทย์ว่าป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Non-Hodgkin Lymphoma) เมื่อเร็วๆ มานี้เขาจึงได้รับการย้ายโรงเรียนมาที่โรงเรียนประถม Liancheng Primary School ในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน เพื่ออยู่ใกล้กับพ่อแม่มากยิ่งขึ้นระหว่างที่เข้ารับการเคมีบำบัด (คีโม) เพื่อรักษามะเร็ง     แต่แล้วระหว่างที่อยู่ ณ โรงเรียนแห่งนี้ เขาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก และความจริงก็มาปรากฏเอาเมื่อทาง Zhou Xiongying คุณพ่อเกิดความสงสัยว่าทำไมลูกชายของเขาจึงไม่มีคะแนนสอบกลางภาค เด็กชาย Xiaozhou จึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังว่าเวลาที่อยู่ในโรงเรียนเขาต้องถูกคุณครูสั่งนั่งแยกจากนักเรียนคนอื่นๆ ไปนั่งอยู่หลังห้องอย่างโดดเดี่ยว เพราะคิดว่าเขาจะไปแพร่เชื้อมะเร็งให้กับคนที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งยังห้ามไม่ให้เขาเข้าสอบจนตอนนี้ขาดสอบไปถึง 3 ครั้งแล้ว     “พวกคุณลองจินตนาการดูว่าความคิดของลูกชายผมจะเป็นยังไง เขาถูกบังคับให้นั่งตรงนั้นเหมือนกับไอ้งั่งคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องเศร้าขนาดไหนกันลองคิดดู” คุณพ่อ Zhou กล่าว ส่วนเหตุผลที่เด็กชายคนนี้ไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ครอบครัวฟังตั้งแต่แรก ก็เพราะเขาไม่อยากจะให้ครอบครัวเป็นกังวลกับเรื่องนี้นั่นเอง     โดยนอกจากนี้แล้วคุณพ่อ Zhou ยังเล่าต่อด้วยว่าหลังจากที่ลูกชายของเขาย้ายไปที่โรงเรียนนี้แล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะขาดเรียนอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนกับรังเกียจลูกชายเขาที่เป็นมะเร็งด้วย ในที่สุดแล้วคุณพ่อ…

คำเตือน: บทความนี้อาจทำให้คุณระแวงการกินอาหารมากกว่าเดิม โปรดใช้วิจารณญาณ   นี่อาจเป็นข่าวที่ทำให้บางคนต้องกระอักกระอ่วนใจมากยิ่งขึ้นเวลาที่จะสั่งเบอร์เกอร์กิน เพราะว่ามีคลิปวิดีโอหนึ่งเผยให้เห็นว่ามีพนักงานของร้านเบอร์เกอร์แห่งหนึ่ง ใช้เตาที่ใช้ปิ้งเนื้อเอาไปปิ้งหนูซะอย่างนั้น!!   วิดีโอที่พนักงานปิ้ง ‘หนู’ บนเตาเบอร์เกอร์    โดยเรื่องชวนอ้วกที่ว่านี้เกิดขึ้นกับร้าน Teddy’s Bigger Burgers ร้านเบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกัน สาขาถนน Mapunapuna เมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา   สาขาที่เกิดเรื่อง   ในวิดีโอสแนปแชทดังกล่าวจะเห็นว่า เป็นภาพของพนักงานสองคนขณะที่กำลังยืนปิ้งสัตว์ตัวเล็กคล้ายๆ กับ ‘หนู’ บนเตาย่างเบอร์เกอร์ของทางร้าน พร้อมกับใส่แคปชั่นประกอบวิดีโอเอาไว้ว่า “ฉันว่านี่คงเป็นเวลาที่ต้องออกจาก Teddy’s แล้วสินะ”      ในตอนนี้พนักงานทั้งสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ในคลิป ได้ถูกไล่ออกจากร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางร้านก็สั่งปิดเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ หลังจากที่มีวิดีโอคลิปนี้แพร่ออกไป “มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งภาชนะที่ทางร้านใช้ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปอย่างดีที่สุดและเพื่อสุขอนามัยอันยอดเยี่ยม” Richard Stula ประธานของ Teddy’s Bigger Burgers กล่าว     นอกจากเรื่องการปรับปรุงร้านแล้ว นาย Richard ยังกล่าวด้วยว่าตอนนี้ทางบริษัทกำลังปรึกษากับทีมทนายความอยู่ด้วยว่า จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับอดีตสองพนักงานนี้ได้อย่างไรบ้าง…   ที่มา: dailymail, foxnews, tennessean

คุณคิดว่าสำหรับเด็กประถมคนหนึ่งแล้วจะมีความสูงได้มากที่สุดเท่าไหร่ บางคนอาจจะคิดว่าเต็มที่ก็น่าจะได้สัก 160 – 170 เซนติเมตรที่ก็ถือว่าสูงกว่าเด็กทั่วไปแล้ว แต่ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่จะทำให้คุณต้องอ้าปากค้างแน่ๆ เพราะด้วยวัยเพียงแค่ 11 ปี เธอกลับมีความสูงมากซะจนผู้ใหญ่หลายคนยังอายถึง 210 เซนติเมตร!!     Zhang Ziyu คือชื่อของเด็กหญิงคนดังกล่าว เธอได้กลายเป็นเด็กนักเรียนหญิงที่สูงที่สุดในโรงเรียนประถม Cultural East Road Primary School ในเมืองจี่นาน ประเทศจีน แบบทิ้งเพื่อนไม่เห็นฝุ่น ในตอนนี้เธอเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีอายุได้ 11 ปีและมีความสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว (210 เซนติเมตร) ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเธออาจเป็นเด็กผู้หญิงวัย 11 ปีที่สูงที่สุดในโลกก็เป็นได้     ในเรื่องของสาเหตุความสูงเช่นนี้ น่าจะมีผลมาจากยีนซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะทั้งพ่อและแม่ของเธอเป็นนักบาสเกตบอลมืออาชีพ และมีความสูงมากกว่า 200 เซนติเมตรทั้งคู่ด้วย แต่ถึงอย่างไรแล้วการมีความสูงถึง 210 เซนติเมตรในวัยเพียงแค่ 11 ปีก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะพบได้ทั่วๆ ไป ซึ่งเพื่อนร่วมชั้นของเธอคนหนึ่งจำได้ว่าตอนที่ Zhang เรียนอยู่ป.1…

‘การสักลาย’ เป็นเสมือนกับการแต่งแต้มศิลปะ เรื่องราวชีวิตลงไปในเนื้อหนังของเรา แน่นอนว่าเมื่อมีการสักลายลงไปแล้วใครๆ ก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข หรือว่าลบมันออกไป แต่ว่าก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจสักใบหน้าของ ‘คุณหมอ’ ที่ช่วยที่ชีวิตเขาไว้จากโรคร้ายเต็มกลางแผ่นหลัง รวมทั้งยังมีภาพของโรงพยาบาลอยู่ด้วย!!     เรื่องนี้มีอยู่ว่าเมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนนาย Nano Salguero ชาวเมือง Alejo Ledesma รัฐกอร์โดบา ประเทศอาร์เจนติน่า ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทางในท้องถิ่นว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในเวลาต่อมาเขาจึงได้รับการส่งตัวโดยด่วนไปยังโรงพยาบาล Hospital de Clinicas เพื่อเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับคุณหมอ Paul Lada แพทย์ที่ดูแลเรื่องการผ่าตัดของเขา คุณหมอ Paul Lada เป็นคุณหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผ่าตัดเนื้องอกที่มีประสบการณ์ถึง 42 ปีด้วยกัน ซึ่งจากความเชี่ยวชาญของเขานี้เอง ทำให้เคสการผ่าตัดนาย Nano ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี     ทว่าใครจะไปคิดว่าแม้เขาจะยังคงพักรักษาตัวจากการผ่าตัดอยู่ แต่เขาก็แสดงความกตัญญูต่อคุณหมอ Lada ด้วยการส่งภาพรอยสักรูปคุณหมอบนแผ่นหลังของเขาไปให้คุณหมอดู โดยนอกจากภาพหน้าของคุณหมอกำลังยิ้มแฉ่งแล้ว ก็ยังมีหมึกดำที่ถมเป็นภาพโรงพยาบาลที่คุณหมอทำงานอยู่ด้วย “เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้อย่างแท้จริง ตอนนั้นผมเจ็บภายในมาก และต้องเข้ารับการผ่าตัดทวารหนักสำหรับรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่” “ผมเดินเข้าไปที่โรงพยาบาลด้วยความรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต และเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่ดีที่สุดในชีวิตเลย” Nano กล่าว   วิดีโอที่ทั้งคู่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้  เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าจริงๆ…

ขึ้นชื่อว่า ‘ความเมา’ กับ ‘ความเพี้ยน’ นี่มันเป็นอะไรที่ตีคู่กันมาซะจริงๆ ซึ่งหลายๆ คนก็คงจะเข้าใจกันดีว่าอารมณ์แบบตื่นเช้ามาแล้วมันรู้สึกพัง-รู้สึกผิดมันเป็นอย่างไรที่จำไม่ได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรบ้าๆ ลงไปบ้างรึเปล่านะ และอาจจะรวมถึงหนุ่มคนนี้ด้วย ที่เมื่อเมาได้ที่ก็อยากจะปล่อยของอวดชาวบ้านชาวเมือง… เขาเลยเข้าไปที่ร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งแล้วจัดการเปลื้องผ้าควัก ‘ไอ้จ้อน’ ออกมาควงสะบัดเล่นๆ เป็นท่าเฮลิคอปเตอร์โชว์คนที่กินอาหารอยู่ในร้านซะเลย!!     เรื่องราวของหนุ่มสุดพลิ้วที่ว่านี้เกิดขึ้นวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเวลาประมาณ ตี 5 ของวันนั้นหนุ่มนามว่า Ryan Dolan ที่กำลังเมาจัดได้เดินเข้าไปในร้านแมคโดนัลด์สาขาหนึ่งในกรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ในเวลานั้นไม่รู้ว่าหนุ่มวัย 29 ปีคนนี้คิดอะไรอยู่ แต่อาจจะด้วยดีกรีแอลกอฮอล์ที่กำลังเข้มข้นในกระแสเลือดตอนนั้น เลยไปแก้ผ้ากลางร้านแล้วจัดการเต้นดิ้นไปมาอย่างเมามันส์ทั้งๆ ที่กางเกงยังกองอยู่ที่ขา แต่แล้วดูเหมือนเขายังไม่พอใจกับที่เป็นอยู่เลยจัดการดึงกางเกงขึ้น วิ่งกระโดดข้ามเคาน์เตอร์สั่งอาหารไปยังฝั่งพนักงานแล้วจัดการแก้ผ้าอีกรอบ     และคราวนี้นี่เองที่เขาได้จัดการโชว์ท่า ‘เฮลิคอปเตอร์’ หมุนควงไอ้จ้อนไปมาติ้วๆๆๆ ให้แก่ลูกค้าในร้านและพนักงานได้ดู ก่อนที่จะสาสมแก่ใจรีบดึงกางเกงขึ้นแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปเลย ในเวลาต่อมาพนักงานร้านได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจเกี่ยวกับสิ่งที่นาย Dolan มาแสดงให้ดู ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็จับกุมเขาได้จากการดูรูปลักษณ์สัณฐานในกล้องวงจรปิด เขาให้รับการสารภาพกับสิ่งที่ทำลงไป โดยบอกว่าเขาจำสิ่งที่ทำลงไปได้อยู่นิดหน่อยและในที่สุดเขาก็โดนปรับไปทั้งสิ้น 500 ปอนด์ (ราวๆ 21,000 บาท) สำหรับการโชว์เฮลิคอปเตอร์ครั้งนี้และน่าจะเป็นบทเรียนไปอีกนานทีเดียว   ปล. ไม่มีคลิปให้ดูนะจ๊ะ…

ร้านอาหารกับเรื่องของ ‘ความสะอาด’ มักจะต้องเป็นของที่คู่กันเสมอ เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้าหากลูกค้าจะเข้ามาในร้านแล้วพบว่ามีสิ่งสกปรกบางอย่างอยู่ภายในร้าน จนทำให้ไม่กล้าสั่งอาหารกิน แต่ว่าคงไม่มีใครคงต้องเผชิญกับเรื่องสยองขวัญเหมือนกับชายคนนี้อีกแล้ว เมื่อเขาเข้าไปใช้บริการร้านฟาสต์ฟู้ดแล้วเจอเข้ากับ ‘ถุงยางใช้แล้ว’ นอนนิ่งอยู่ใต้โต๊ะอาหาร!!   เจ้าถุงยางที่ว่านี้   โดยเรื่องมีอยู่ว่านาย Stephen Lee Gale จากนอตทิงแฮมเชอร์ ได้เข้าไปรับประทานอาหารในร้าน KFC สาขาหนึ่งในเมือง Maidstone ประเทศอังกฤษ เขาเล่าว่าในตอนแรกที่เข้าไปก็พบว่าร้านแห่งนี้ดูสกปรกยังไงอยู่ชอบกล แต่เขาก็ไม่ได้เอะใจอะไรจนกระทั่งได้พบกับสิ่งหนึ่งที่แทบทำให้เขาช็อกตาตั้ง   ชัดๆ กันไปเลย   เพราะสิ่งที่เขาพบก็คือถุงยางอนามัยชิ้นหนึ่งที่ผ่านการใช้งานแล้ว ถูกวางทิ้งเอาไว้อยู่ใต้โต๊ะริมหน้าต่างแห่งหนึ่งภายในร้าน เขาได้ถ่ายภาพเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี้เอาไว้ และไปโพสต์ในทวิตเตอร์ของเขา รวมทั้งแท็กถาม KFC ด้วยว่านี่มันอะไรกันนี่ “มีใครสักคนที่ผมจะติดต่อเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอครั้งล่าสุดตอนที่ไปสาขา Maidstone ได้ไหม?? ที่นั่นสกปรกมากๆ แถมยังมีถุงยางอยู่บนพื้นอีก”    @KFC_UKI do you have anyone i can contact about my recent visit to maidstone? @Kent_Online…

ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่แตกต่างกันออกไป แต่คงไม่มีใครเชื่อว่าเพื่อเป็นการป้องกันวิญญาณร้าย จะทำให้ต้องประกาศ ‘เคอร์ฟิว’ ภายในเมืองเหมือนกับเหตุการณ์นี้!!     เมื่อไม่นานมานี้นายกเทศมนตรีของเมือง Parajito ทางตอนเหนือของประเทศโคลอมเบีย ได้สั่งประกาศเคอร์ฟิวพื้นที่ห้ามไม่ให้มีการเดินทางสัญจรและการชุมนุมของผู้ที่อายุต่ำกว่า 17 ปีตั้งแต่เวลา 19.00 น. – 05.00 น. เพื่อเป็นการปกป้องพวกเขาจากวิญญาณร้ายที่ตอนนี้กำลังออกรังควานชาวบ้านผ่านแอปฯ แชตชื่อดังอย่าง WhatsApp!!     โดยตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของเมืองนี้ได้รับรายงานว่ามีวัยรุ่นกว่า 14 รายแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ออกมา ทั้งการกระโดดจากสะพาน ใช้มีดทำร้ายตัวเอง มีอาการชักกระตุก และมีเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งพวกเขาทั้งหมดรายงานว่าได้ใช้แอปพลิเคชัน WhatsApp แล้วจากนั้นก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ตามที่กล่าวมา และข่าวลือนี้ก็สร้างความหวาดกลัว โดยเชื่อกันว่ามีวิญญาณร้ายอยู่ในแอปฯ นี้… ด้วยเหตุนี้ Inocencio Perez นายกเทศมนตรีของเมืองจึงได้ประกาศสั่งเคอร์ฟิวออกมา และให้เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปีอยู่แต่ในบ้านภายในเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้ผู้ปกครองจับตาดูพวกเขาให้ดียิ่งขึ้นด้วย     “ผมตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวโดยอิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กๆ หลายคนบอกว่าพวกเขากำลังจะฆ่าตัวตายเพราะเวลาของพวกเขามาถึงแล้ว พวกเขาทั้งโดดลงจากสะพาน และเริ่มพูดจาแปลกๆ” Perez กล่าว โดยการตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวของนายกเทศมนตรีครั้งนี้ ได้ผ่านการปรึกษาหารือกับหลายฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น ผู้ช่วยด้านกฎหมายและนักจิตวิทยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนี่คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ และถึงแม้ว่าเด็กๆ หลายคนจะไม่ชอบเขาจากการประกาศดังกล่าว…

หากจะพูดถึงเรื่อง ‘ความเหงา’ แน่นอนว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ว่าสำหรับคนที่ชราภาพแล้ว อาการนี้มันอาจเกิดขึ้นได้บ่อยจนเกินกว่าที่หลายคนคิดเอาไว้ แต่ว่าด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดเรื่องอบอุ่นหัวใจขึ้น และยังเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า ‘น้ำใจ’ เป็นสิ่งที่ทำให้โลกดูสวยงามขึ้นได้จริงๆ เมื่อมีคุณยายคนหนึ่งขอนั่งกินข้าวกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เพราะเธอไม่อยากจะนั่งกินอาหารเพียงลำพัง และหนุ่มคนนั้นก็ยินดีนั่งกินอาหารและพูดคุยเรื่องต่างๆ เป็นเพื่อนคุณยาย!!   Amanda Marquell Craft ผู้แชร์เรื่องราวนี้   โดยผู้ที่แชร์เรื่องนี้ให้ทั่วโลกได้รับรู้คือ Amanda Marquell Craft คุณครูในรัฐอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเธอได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ในวันนั้น เธอกับเพื่อนร่วมงานได้พากันไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านแมคโดนัลด์แห่งหนึ่งใกล้ๆ ที่ทำงาน และระหว่างที่พวกเธอนั่งกินกันอยู่นั้น ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน Amanda สามารถสังเกตได้ว่าหญิงชราคนนี้อาจจะมีความเหงาเกาะกินหัวใจอยู่บ้าง จากความที่เธอเข้าไปพูดคุยกับผู้คนที่ทานอาหารอยู่ในร้านนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกๆ คนไม่ได้สนใจเธอมากนัก   ภาพสุดประทับใจ   จนในที่สุดแล้วหญิงชราคนนี้ก็เดินถือถาดอาหารไปยังโต๊ะของชายหนุ่มคนหนึ่ง พร้อมกับขอเขานั่งร่วมกินอาหารด้วย และแล้วสิ่งที่น่าประทับใจก็เกิดขึ้นเมื่อเขาคนนั้นเลื่อนถาดอาหารของตัวเองเข้าหาตัว พร้อมกับกล่าวกับคุณยายว่า “แน่นอน ได้สิ”  “ฉันกับเพื่อน เห็นเขาแนะนำตัวเองและจับมือกับคุณยาย พวกเขาพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานราวกับเป็นเพื่อนกันเลยล่ะทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน มันเป็นอะไรที่อบอุ่นหัวใจเราจริงๆ” Amanda   นาย Eric ผู้มีจิตใจดี   จากนั้นภาพถ่ายของ Amanda…

สำหรับมือใหม่ผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นครั้งแรกๆ ก็อาจจะติดป้ายบอกเตือนคันอื่นๆ เอาไว้ว่า ‘มือใหม่หัดขับ’ เพื่อเป็นการบอกให้พวกเขาระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เวลาที่เข้ามาใกล้กับรถของมือใหม่ แต่ว่ามีอยู่เหตุการณ์หนึ่งของคู่สามีภรรยา ที่ไม่เพียงแต่มีป้ายมือใหม่หัดขับติดเอาไว้เท่านั้น แต่ทางสามียังได้เขียนข้อความอะไรต่างๆ นานา เพื่อเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ว่า รถของภรรยาของเขานั้นมันอันตรายจริงๆ!!   รถคันที่ว่านี้   โดยเรื่องความเป็นห่วงภรรยาของสามีนี้ ได้กลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ของมณฑลกุ้ยโจว เมื่อมีคนสังเกตเห็นว่ามีรถอยู่คันหนึ่งที่มีกระดาษ มีป้ายอะไรไม่รู้แปะอยู่เต็มคันรถไปหมด และยังมีข้อความเตือนอย่าง “สาวเจ้าของรถคันนี้เพิ่งจะได้ใบขับขี่มาหมาดๆ โปรดระวังเอาไว้ด้วย” “อาจมีการเบรคกะทันหันเกิดขึ้น ระวังไว้” “เธอยังไม่คุ้นชินกับรถมากนัก” “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”    สภาพเมืองในมณฑลกุ้ยโจว   ในภายหลังพบว่าคนขับรถคันนี้เป็นผู้หญิงแซ่ Chen โดยเธอบอกว่าที่สามีของเธอนำป้ายมาติดอยู่เต็มไปหมดก็เป็นเพราะว่า เมื่อประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมาเธอเพิ่งจะเอารถไปชนกับรถคันอื่นมา ทางสามีจึงเขียนข้อความแปะรถเอาไว้ให้เพื่อเป็นอีกหนึ่งวิธีการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยนั่นเอง โดยข้อความเตือนภัยที่ว่านี้มีทั้งหมดด้วยกันถึง 6 แผ่นกันในบริเวณประตูหลังของรถเลยทีเดียว และยังมีติดประตูหน้าอีกบานและแผ่น   วิดีโอที่มีคนถ่ายเอาไว้ (ดูไม่ได้คลิกที่นี่)  เธอเล่าว่าหลังจากอุบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเธอก็รู้สึกหวาดกลัวการขับรถไปเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วในการบอกกับผู้อื่นให้ระวังเธอเป็นพิเศษนอกจากวิธีนี้ โดยเรื่องนี้ชาวเน็ตได้พากันคอมเมนต์กันอย่างท่วมท้น ซึ่งบางคนก็ตั้งคำถามว่า Chen ผ่านการสอบใบขับขี่มาได้อย่างไร แต่บางคนก็บอกว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของมือใหม่ที่มักรู้สึกกังวลเวลาที่ขับรถออกถนนเป็นครั้งแรกๆ   ที่มา: dailymail, weibo

นี่อาจเป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการบินที่อาจฟังดูแปลกๆ เมื่อมีชายคนหนึ่งเดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสายการบิน จากสาเหตุที่ทางสายการบินให้เขานั่งที่นั่งติดกับคนอ้วน จนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ!!   Stephen Prosser ผู้ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อสายการบิน   ในเรื่องนี้ชั้นศาล Pontypridd County Court ประเทศอังกฤษ ได้ทำการไต่สวนเมื่อวันศุกร์ (16 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยนาย Stephen Prosser วิศวกรวัย 51 ปีผู้ยื่นฟ้องได้ให้ความว่า เมื่อเดือนมกราคมปี 2016 เขาได้โดยสารเที่ยวบินของสายการบินบริติช แอร์เวย์ จากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลา 12 ชั่วโมง   บริติช แอร์เวย์   โดยตลอดระยะเวลาดังกล่าวเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก จากความที่ผู้โดยสารที่นั่งติดกับเขามีรูปร่างขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งเขาบอกกับศาลว่าคนคนนั้นมีความสูงอยู่ที่ 193 เซนติเมตรและมีน้ำหนักราวๆ 140 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้ระหว่างการนั่งเครื่องเที่ยวนั้นเขาต้องนั่งอย่างผิดธรรมชาติมนุษย์ ทั้งการที่ไม่สามารถวางแขนบนที่วางแขน รวมทั้งยังต้องนั่งเอาเข่าเบียดกับผู้โดยสารคนนั้น และที่แย่ที่สุดก็คือน้ำหนักที่เยอะผิดปกติของผู้โดยสารคนดังกล่าว ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกเทน้ำหนักมากดทับตลอดเวลา…     ส่วนเหตุผลที่ Stephen เลือกจะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับผู้โดยสารคนดังกล่าว ก็เพราะเห็นว่าผู้โดยสารคนนั้นดูเหมือนจะละอายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามจะแก้ไขปัญหานี้อย่างดีที่สุดแล้ว Stephen เล่าเพิ่มว่า เขาได้บอกปัญหานี้ให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้รับรู้แต่ว่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น…

สำหรับคนที่ทำผิดกฎหมายบางคน กว่าจะตามจับตัวได้ก็เล่นเอาตำรวจเหงื่อตกเหนื่อยกันแทบแย่ แต่สำหรับบางคนแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมตัวได้อย่างไม่ต้องออกแรงเท่าไหร่นัก แต่ว่าคงไม่มีคดีไหนที่ง่ายแต่งงๆ เหมือนกับกรณีนี้อีกแล้ว ที่หนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปที่สถานีตำรวจแล้วบอกว่า ‘คุณตำรวจครับ ผมมีคลิปโป๊เด็กในโทรศัพท์ ช่วยจับผมที’ ซึ่งก็เรียบร้อยคุณตำรวจจัดให้ตามคำขอ!!   นาย Cory Hinsch ผู้มอบตัวครั้งนี้   เรื่องแปลกๆ นี้มีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นาย Cory Hinsch ชาวฟลอริด้าวัย 24 ปีได้เดินโจ่งๆ เข้าไปที่โรงพัก Pensacola Police Department ในรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วจากนั้นเขาก็บอกกับเจ้าหน้าที่ที่นั่งโต๊ะทำงานอยู่ในโรงพักว่า เขามีภาพอนาจารเด็กอยู่ในโทรศัพท์มือถือ และอยากจะให้ตำรวจช่วยจับกุมเขาที เท่านั้นยังไม่พอเพราะด้วยความกลัวว่าตำรวจจะไม่เชื่อ เขาเลยเปิดภาพอนาจารของเด็กที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือให้นายตำรวจดูเพื่อเป็นการยืนยันความผิด   ตอนที่ไปสำนักงานนายอำเภอ   เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อเห็นดังนั้นจึงนำตัวเขาไปชั้นบนของโรงพักเพื่อสืบสวน ซึ่งชายคนนี้ก็ให้รับการสารภาพแต่โดยดีว่าเขาโหลดมาจากเว็บมืดเว็บหนึ่ง โดยก่อนที่จะมีการจับกุมในครั้งนี้ นาย Cory ก็พยายามทำให้ตัวเองโดนจับมาแล้วหากดูจากในทวิตเตอร์ของเขาที่มีข้อความว่า เคยลองไปที่สำนักงานนายอำเภอมาแล้ว แต่ว่าครั้งนั้นเขายังไม่โดนจับกุมแต่อย่างใด   ข้อความที่บอกว่าจะให้สำนักงานนายอำเภอ ขังตัวเองให้ได้   ไม่มีรายงานสาเหตุว่าเขาทำเช่นนี้เพราะอะไร และเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ในครั้งนี้เขาถูกจับกุมในข้อหาครอบครองสื่ออนาจารเด็ก 2 ข้อหา ทว่าก็ได้รับการปล่อยตัวหลังจากใช้เงิน 10,000 ดอลลาร์…

สำหรับสาวๆ ทั้งหลายแล้ว ‘กระโปรงสั้น’ อาจเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ต้องมีติดตู้เสื้อผ้าเอาไว้จริงๆ เพราะมันสามารถทำให้เราดูสูงขึ้น แถมได้โชว์เรียวขาอันเรียวงามได้รูป ไปพร้อมๆ กับการอวดสรีระช่วงเอวได้จนหนุ่มๆ ต้องเหลียวคอตาม ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นว่าแบรนด์ทั้งหลายจึงออกมินิสเกิร์ตในรูปแบบต่างๆ มาอย่างมากมาย แต่ว่ามีมินิสเกิร์ตอยู่ตัวหนึ่งที่ตกเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เพราะว่ามันสั้นเกินไปไหมตัวเธอ!!     โดยเจ้ากระโปรงที่ว่านี้เป็นสินค้าจากแบรนด์ Missguided ที่มีชื่อเรียกว่า ‘Black Mini Pleated Skirt’ (กระโปรงทรงจีบสั้นสีดำ) ซึ่งหากดูคร่าวๆ แล้วล่ะก็มันมีความยาวแค่ 5 นิ้วเท่านั้น หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมันถึงสั้นได้ขนาดนี้กัน ในเรื่องนี้แหล่งข่าวได้สันนิษฐานไว้ว่ามันน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก MV ของ Christina Aguilera กับเพลงที่มีชื่อว่า ‘Dirrty’ นั่นเอง   MV เพลง Dirrty   ในตอนนี้เจ้ากระโปรงสุดสั้นจนแทบปิดอะไรไม่มิดได้มีวางขายแล้วบนเว็บไซต์ missguided ในราคา 10 ปอนด์ (ราวๆ 400 กว่าบาท) ซึ่งถ้าหากสาวๆ คนไหนสงสัยก็ไปจิ้มกันได้เล้ย     ส่วนทางด้านคอมเมนต์จากชาวเน็ต ต้องขอบอกว่ามีความเห็นกันอย่างท่วมท้นทีเดียวสำหรับกระโปรงตัวนี้ อย่างเช่น “เอิ่มม นี่มันไม่ใช่กระโปรงแล้ว นี่มันเข็มขัดชัดๆ” “นี่มันขึ้นชื่อว่าเป็น ‘กระโปรง’ จริงๆ…

นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่จะทำให้สาวๆ ต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น…   ในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชายชื่อว่านาย Zhong ได้โดยสารลิฟต์ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในเทศมณฑลยุหวินหลิน เกาะไต้หวัน พร้อมกับผู้หญิงอีกคนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน   คลิปจากกล้องวงจรปิดเหตุการณ์นี้    จากการรายงานของสื่อระบุว่า ในตอนแรกนาย Zhong แกล้งทักผู้หญิงที่อยู่ในลิฟต์ว่า มีแมงมุมเกาะผมของเธออยู่ จึงจะช่วยเอามันออกให้ ซึ่งหญิงสาวก็หลงเชื่ออย่างไม่ได้เอะใจอะไร   เธอๆ แมงมุมติดผมน่ะ เดี๋ยวช่วยเอาออกให้นะ   ในตอนแรกนาย Zhong แกล้งทำทำทีเป็นจับผมด้านหลังของเธอก่อนเพื่อความแนบเนียน แต่หลังจากนั้นเขากลับเอาผมของเธอคนนี้มาเข้าปากชิมลิ้มรส พร้อมกับใช้ลิ้นสัมผัสกับเส้นผมของเธอ   ขอเนียนหน่อยละกัน   หญิงสาวยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก ซึ่งทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกเธอก็รีบวิ่งกลับห้องทันทีพร้อมกับบอกเรื่องนี้กับแฟนหนุ่ม และในเวลาต่อมาก็แจ้งเรื่องนี้แก่พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึก   ประตูเปิดปุ๊บ รีบวิ่งให้ไว     พวกเขาเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับทราบเหตุการณ์วิตถารที่เกิดขึ้น และก็จับกุมนาย Zhong ได้ในห้องพักของเขาเอง ณ ชั้นที่ 3 ของอพาร์ตเมนต์ที่เกิดเหตุ… เขาสารภาพว่านอกจากหญิงสาวที่ปรากฏในคลิปแล้ว เขายังได้ทำแบบเดียวกันกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งในวันถัดมาด้วย  …

นี่อาจเป็นข่าวที่ทำให้แฟนๆ iPhone ต้องขวัญผวากับเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งของเรา เมื่อมีหนุ่มคนหนึ่งอ้างว่าโทรศัพท์ของเขาเกิด ‘ระเบิด’ ขึ้นมาระหว่างที่อัพเดท iOS!! ทวิตเตอร์ชื่อว่า ‘Rocky Mohemedali‘ หรือชายผู้ที่มีชื่อจริงว่า Rahel Mohamad ได้แชร์ภาพโทรศัพท์สุดเยินของเขาที่มีสภาพแตกร้าวไปทั้งจอ และมีรูอยู่ตรงกลาง   ทวีตต้นฉบับ https://twitter.com/rocky_mohamad/status/1062554244241190913   พร้อมกับระบุไว้ในแคปชั่นว่า เจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้มันเกิดร้อนขึ้นมาอย่างผิดปกติระหว่างที่กำลังอัพเดทระบบปฏิบัติการ iOS แล้วจากนั้นมันก็เกิดระเบิดขึ้นมาหน้าตาเฉย… “เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมได้ซื้อโทรศัพท์ iPhoneX ซึ่งตั้นแต่นั้นมาก็ใช้มันตามปกติทุกอย่าง” Mohamad กล่าว   รูปโทรศัพท์ภายในโพสต์   โดยเขาเล่าเพิ่มเติมว่าขณะที่กำลังอัพเดท iOS อยู่นั้น เขาได้ชาร์จโทรศัพท์เอาไว้ด้วย แล้วจู่ๆ ในระหว่างนั้นเองก็มีควันสีเทาดำพุ่งขึ้นมาจากตัวโทรศัพท์เลย “การอัปเดทเป็นไปอย่างสำเร็จหลังจากนั้น แต่พอโทรศัพท์เปิดเครื่องขึ้นมาหลังจากอัพเดทมันก็มีควันออกมาแล้วเริ่มติดไฟจนระเบิด” Mohamad อธิบายเพิ่ม     ในทวีตนั้นเขาได้แท็กบริษัท Apple กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทางบริษัทก็ตอบกลับมาในทำนองที่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ปกติแต่อย่างใด และอยากให้เขาส่งข้อความพูดคุยกับทาง Apple โดยตรงเพื่อหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้น   คอมเมนต์ที่ทางแอปเปิลตอบกลับ That's definitely not expected behavior. DM us, so…

เราอาจจะเคยเห็นการประมูลสินค้าต่างๆ บนเว็บไซต์ทั่วๆ ไปและบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่คงไม่มีใครเคยเห็นการประมูล ‘สาวพรหมจรรย์’ บนโลกออนไลน์เหมือนกับในเหตุการณ์นี้ ที่ทางครอบครัวแห่งหนึ่งนำลูกสาวอายุ 17 ปีมาประมูลในเฟซบุ๊ก ซึ่งก็มีผู้เข้าร่วมชิงชัยการประมูลถึง 5 คนด้วยกัน!!   ภาพงานแต่งงานที่เกิดขึ้น   โดยนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมของประเทศเซาท์ซูดาน ประเทศในแถบแอฟริกาเหนือ เมื่อทางครอบครัวแห่งหนึ่งนำลูกสาวพรหมจรรย์วัย 17 ปีของพวกเขามาประมูลขายบนเฟซบุ๊ก ในการประมูลครั้งนี้ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมากมาย และมีผู้เข้าร่วมประมูลถึง 5 คนด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีข้าราชการระดับสูงอย่างนาย David Mayom Riak รองผู้ว่ารัฐ Eastern Lakes รวมอยู่ด้วย สิ่งที่นาย David ได้ยื่นประมูลในครั้งนี้คือ ‘วัว’ จำนวน 250 ตัวเป็นค่าสินสอดทองหมั้นสำหรับสาวพรหมจรรย์ผู้นี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เป็นผู้ชนะการประมูล…   ภาพของสาวที่ถูกประมูลกับผู้ชนะที่ยิ้มกว้าง   “ผมรู้จักกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดี เพราะเราเป็นเพื่อนบ้านกัน จริงๆ แล้วผมสัญญากับครอบครัวของเธอไว้ว่าจะแต่งงานกับเธอตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ”  นาย David กล่าวกับสื่อท้องถิ่น สำหรับผู้ชนะในการประมูลสาวพรหมจรรย์ครั้งนี้ได้ประกาศผลออกมาในวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้แก่นาย Kok Alat นักธุรกิจที่มีภรรยามาแล้วถึง 9 คนด้วยกัน สำหรับสิ่งที่เขาใช้ประมูลแล้วก็ชนะก็คือวัว…

ด้วยความที่รอยสักเป็นศิลปะแขนงหนึ่งบนเนื้อหนังคนเรา รอยสักที่เกิดขึ้นจึงกลายมาเป็น ‘เอกลักษณ์’ ของแต่ละบุคคลที่ยากจะเลียนแบบได้ แต่คงไม่มีใครคิดว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงอยากเก็บรอยสักของเขาไว้ให้ลูกๆ ได้ดูต่างหน้า อย่างชายคนนี้ที่สั่งเสียกับภรรยาไว้ก่อนตายว่า ช่วยถลกหนังของเขาแล้วนำไปเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู   Chris Wenzel กับ Cheryl ภรรยาของเขา   Chris Wenzel ศิลปินช่างสักวัย 41 ปี รู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องลาจากโลกนี้ไป จึงได้บอกคำขอสุดท้ายในชีวิตของเขากับ Cheryl ว่าหากเขาเสียชีวิตไปแล้ว ให้เธอช่วยถลกหนังของเขาเพื่อรักษารอยสักนี้เอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป แม้ว่านี่จะดูเป็นคำขอที่ดูแปลกๆ พิลึกไปสักนิด ทว่าภรรยาคนนี้ก็ทำตามแต่โดยดี โดยเธอบอกว่าเพื่อเป็นเกียรติให้กับความหลงใหลในศิลปะรอยสักของสามีเธอ เธอจะทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายให้ได้     “ฉันรู้นะว่านี่มันเป็นเรื่องที่แปลกๆ ไปสักนิด แต่มันก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ฉันไม่แคร์หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันกำลังจะทำตามคำขอเพื่อสามีของฉัน” “คุณสามารถแขวนรูปภาพอะไรก็ได้ไว้ตามกำลัง และรอยสักก็สามารถทำอย่างนั้นได้เช่นกัน มันสามารถอยู่ได้หลายร้อยปีเลยแค่ต้องมีวิธีเก็บรักษามันไว้เท่านั้น”  Cheryl กล่าว   รอยสักที่ว่านี้   ตามการรายงานของสื่อท้องถิ่นในเมืองซาซคาทูน ประเทศแคนาดาบ้านของพวกเขาได้กล่าวไว้ว่า ก่อนเสียชีวิต Chris ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล (Ulcerative Colitis) และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเขาก็ลาโลกนี้ไป การจะทำตามคำสั่งเสียของสามีให้เป็นจริงนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับ Cheryl เลย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีตลาดใหญ่ที่รองรับการ ‘ถลกหนัง’…

สำหรับคนที่ดวงดีแล้วไม่ว่าจะหยิบจะจับอะไรก็คงจะดูเข้าทีไปซะหมด แต่สำหรับบางคนแล้วถ้าหากไม่มีดวงจริงๆ ก็คงต้องใช้ความพยายามเข้าสู้จนได้สิ่งที่หวังเอาไว้ เหมือนกับชายสูงอายุคนนี้ที่ไม่ย่อท้อตามซื้อหวยเลขเดิมมาถึง 25 ปี และในตอนนี้ความพยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จเมื่อเขาถูกหวยรางวัลแจ็คพอตกว่า 343 ล้านดอลลาร์หรือราวๆ 11,000 ล้านบาท!!   นาย Bailey ผู้ถูกรางวัล   โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (14 พ.ย.) นาย Robert Bailey ชายชราวัย 67 ปีอดีตพนักงานรัฐ ได้เดินทางเข้าไปรับเช็คจากการถูกรางวัลเพาเวอร์บอล (Powerball) ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐนิวยอร์ก ซึ่งมันมีมูลค่าสูงถึง 343 ล้านดอลลาร์หรือราวๆ 11,000 ล้านบาท!!     เขาเล่าว่าโดยปกติแล้วเขามักจะซื้อเลขนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าในวันนั้นระหว่างที่เขาไปหาเพื่อน ฝนดันตกพอดี เขาเลยต้องเขาไปหลบในร้าน Deli ที่อยู่แถวนั้น เลยจัดการซื้อตั๋ว Powerball มาซะเลย โดยหลังจากที่ตรวจรางวัลออนไลน์ในคืนวันที่ประกาศผล เขาบอกว่าแทบช็อกไปเลย…     “ผมพูดกับตัวเองว่า ‘นี่มันเหมือนเลขของเราเลยนี่หว่า’ ผมพยายามตั้งสติแล้วนั่งดูโชว์ในทีวี ผมบอกตรงๆ ว่าทั้งคืนวันนั้นผมนอนไม่หลับเลย”  Bailey กล่าว สำหรับเลขที่ได้มานี้นาย Bailey เล่าว่าได้มาจากสมาชิกในครอบครัวเป็นคนบอกเมื่อ…

ในบางครั้งเวลาที่เราไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุด เราก็คงอยากจะตัดขาดจากโลกโซเชียลที่ต้องมาคอยถ่ายนู่น ตอบคอมเมนต์นั่นนี่ต่างๆ นานา แต่ก็ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากให้หน้าโปรไฟล์ร้างจนดูเหมือนตัดขาดกับโลกภายนอกไปซะทีเดียว ถ้าอย่างนั้นแล้วล่ะก็นี่อาจเป็นตัวช่วยที่คุณตามหามานาน เพราะในตอนนี้ได้มีเชนโรงแรมแห่งหนึ่งเปิดให้บริการ ‘พี่เลี้ยงโซเชียล’ ที่จะมาคอยโพสต์สตอรี่ คอยตอบคอมเมนต์ต่างๆ แทน เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่!!     โดยบริการที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า “Ralax We Post” ซึ่งเป็นบริการใหม่ของโรงแรม Ibis เชนโรงแรมชื่อดังสัญชาติฝรั่งเศส ที่จะมาคอยอัพเดทโปรไฟล์ให้คุณอยู่เสมอ สิ่งที่คุณจะต้องทำก็มีเพียงแค่ให้รายละเอียด Instagram ให้กับพวกเขา แล้วพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง คอยโพสต์รูป อัพสตอรี่และตอบคอมเมนต์แทนคุณ     ในตอนนี้ทางโรงแรมกล่าวไว้ว่าบริการ Relax We Post มีให้บริการที่โรงแรม Ibis เฉพาะในนครซูริคกับเมืองเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ระบุว่าในอนาคตจะขยายการบริการนี้ออกไปให้คลอบคลุมหรือไม่ โดยบุคคลที่จะมาเป็นตัวแทนของเราใน IG ก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดาๆ เพราะทางโรงแรมได้จัดตั้งทีมร่วมกับเหล่าเซเลบในโลก IG กว่า 10 ชีวิต จึงมั่นใจได้เลยว่าคุณจะมีรูปสวยๆ คุณภาพดี รวมทั้งการตอบคอมเมนต์แบบมืออาชีพแน่ๆ   ลองดูตัวอย่างการให้บริการนี้ก่อน    “การบริการรูปแบบใหม่ของ Ibis สวิตเซอร์แลนด์นี้เป็นอีกหนึ่งบริการจากทางโรงแรม…

เพราะด้วยความอยาก ความใคร่ ความกำหนัดของคนเรามันเป็นเรื่องธรรมชาติ พระเจ้าจึงได้ประทานมือทั้งสองมาให้เราได้ ‘ช่วยตัวเอง’ กันในยามที่สุดจะทนอดกลั้นอีกต่อไป แต่แม้ว่าเรื่องของการช่วยตัวเองจะดูเป็นเรื่องที่ส่วนตัว ทว่าก็มีบริษัทแห่งหนึ่งที่อาจเป็นบริษัทในฝันของใครหลายคน เพราะพวกเขาได้เสนอวันหยุดให้พนักงานได้กลับบ้านไปช่วยตัวเองกันให้มันส์มือไปเล้ย!!     บริษัทที่มีแนวคิดที่ว่านี้มีชื่อว่า LELO ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเซ็กส์ทอยสัญชาติสวีเดน ที่ในตอนนี้พวกเขากำลังจะนำนโยบายนี้มาใช้กับพนักงานของโรงงานในประเทศอังกฤษ ทางผู้บริหารได้เรียกวันหยุดที่จะมอบให้กับพนักงานนี้ว่า ‘วันรักตัวเอง’ ซึ่งเป็นวันที่จะมอบวันหยุดให้พนักงานของพวกเขาได้กลับบ้านไปเติมเต็มความสุขช่วยตัวเองกันที่บ้าน ชนิดที่ว่าจะทำกี่รอบก็ไม่มีใครว่า และที่สำคัญคือวันรักตัวเองนี้พวกเขาได้มอบให้พนักงานถึง 4 วันต่อปี!!     เหตุที่ทำให้มีวันหยุดเช่นนี้ เกิดขึ้นเกิดจากความที่ทางบริษัทได้ทำแบบสำรวจชาวอังกฤษจำนวน 2,000 คนว่ามีเรื่องใดบ้างที่ทำให้พวกเขารู้สึกแฮปปี้ ผลที่ได้ก็คือกว่า 78% ของทั้งหมดบอกว่าการถึง ‘จุดสุดยอด’ ทำให้พวกเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อยู่ตัวคนเดียวหรือว่าคนที่มีคู่ครองแล้วก็ตาม ทาง LELO จึงคิดว่าการถึงจุดสุดยอด จะช่วยให้พนักงานของพวกเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น มีความลดลงและทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น     “การเติมเต็มความสุขความพอใจทางเพศ เป็นสิ่งที่พวกเราชาว LELO รู้สึกว่ามันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของแต่ละคนและแน่นอนมันต้องทำได้อย่างอิสระ” “ด้วยผลลัพธ์จากการสำรวจนี้ พวกเรายินดีที่จะแนะนำโครงการริเริ่มใหม่ ๆ ที่เราจะมอบพนักงานในสหราชอาณาจักรของเราให้มีโอกาสได้ใช้เวลาถึงสี่วันต่อปีในฐานะวันรักตัวเอง” “เราหวังว่าพนักงานของเราในอังกฤษจะใช้เวลานี้ในการหาความสุข แล้ววันต่อมาจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” Rachael Nsofor โฆษกบริษัท LELO ประเทศอังกฤษกล่าว ในตอนนี้ LELO…

บางครั้งความใจร้อน ความโมโหก็สามารถทำให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับในเหตุการณ์นี้ที่ผู้หญิงคนหนึ่งบุกเข้าทำร้ายร่างกายพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ด เพราะว่าไม่มีซอสมะเขือเทศอยู่ในถุงอาหารของเธอ!!   สถานที่เกิดเหตุ   เรื่องราวดุเดือดที่ว่านี้เกิดขึ้นที่ร้านแมคโดนัลด์สาขาหนึ่งในเมืองแซนตาแอนา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดเผยคลิปการทำร้ายร่างกาย เพื่อขอเบาะแสการจับกุม   วิดีโอเหตุการณ์นี้ (ดูไม่ได้คลิกที่นี่)    ทางเจ้าหน้าที่เล่าว่าในเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวผู้เป็นลูกค้าซื้ออาหารไปจากร้านแมคโดนัลด์แห่งนี้ แต่ต้องพบว่าไม่มีซอสมะเขือเทศอยู่ในนั้น   บุกเข้าหลังร้านทำร้ายร่างกายผู้จัดการ (ผู้ก่อเหตุเสื้อสีชมพู)   เธอจึงบุกเข้าทางหลังร้าน (เฉพาะพนักงานเท่านั้นที่เข้าได้) แล้วทวงถามหาซอสมะเขือเทศ แต่ว่าเมื่อผู้จัดการเห็นเธอเข้าในเขตหวงห้ามก็บอกกับเธอไปว่า ‘เธอไม่มีสิทธิ์จะเข้ามาในนี้’      เมื่อคำพูดดังกล่าวสิ้นสุดลง ลูกค้าหญิงคนนี้ก็ลงมือทำร้ายร่างกายผู้จัดการร้านทันที ดั่งที่เห็นในคลิปว่ามีการผลัก ใช้หมัดต่อย และบีบคอผู้จัดการร้านอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งพนักงานที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พยายามเข้าช่วย   มีชายปริศนาวิ่งเข้ามาพาตัวเธอออกไป   ในเวลาต่อมา ก็มีชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่พนักงานของร้านรีบวิ่งเข้าทางหลังร้านแล้วนำตัวผู้หญิงคนนี้ออกไป เหตุการณ์จึงได้จบลงในที่สุด     ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังหาตัวผู้หญิงเลือดร้อนคนนี้ โดยระบุว่าเธอมีอายุประมาณ 20-25 ปี พูดภาษาสเปน และมีผมสีน้ำตาล…

การจัด ‘ปาร์ตี้บาร์บีคิว’ จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปาร์ตี้สนุกๆ ที่ทุกคนจะได้มาใช้เวลาในการพูดคุยและกินอาหารอร่อยๆ ไปพร้อมๆ กัน เราจึงเห็นว่าหลายๆ คนเมื่อได้กลับบ้านก็จะจัดปาร์ตี้น่ารักๆ แบบนี้ขึ้น แต่ว่ามีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่งานปาร์ตี้เกือบจะกลายเป็นงานเข้า เมื่อมีลูกชายของคุณแม่คนหนึ่งพยายามจะปิ้งไส้กรอกที่สวนหลังบ้าน แต่ว่าเขากลับทำให้ไฟไหม้สวนแทน!!   วิดีโอขณะที่ไฟลุก      โดยคนที่จะมาเล่าเหตุการณ์วินาทีสุดตื่นเต้นนี้คือคุณแม่ Debbie Packer ที่เธอเล่าว่า Aaron ลูกชายของเธอได้กลับมาเยี่ยมหาที่บ้านในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย การมาของเขาในครั้งนี้นอกจากจะมาหาแม่แล้ว Aaron ยังอาสาที่จะรับหน้าที่เป็นพ่อครัว จัดการปิ้งไส้กรอกให้กับทั้งครอบครัวด้วย   เรามาปิ้งไส้กรอกกินกันดีกว่า!!   เขาจัดการตั้งเตาเตรียมปิ้งย่างเอาไว้อย่างดี แต่แล้วแผนทั้งหมดก็ต้องมาพังเมื่อเขาพยายามจะเทน้ำมันจากถังใส่เตา เพราะว่าจู่ๆ ไฟมันเกิดลุกขึ้นมาติดถังน้ำมันจนเขาต้องรีบโยนมันทิ้งโดยไว   เห้ย ไฟไหม้!! ในคลิปวิดีโอจะเห็นว่าจุดที่เขาโยนถังน้ำมันทิ้งไปนั้น เป็นพุ่มไม้พุ่งหนึ่งซึ่งก็แน่นอนว่าเจอไฟอย่างนี้ มันลุกพรึ่บในทันตาเห็นจนกลายเป็นภาพอันน่ากลัวจริงๆ   เห้ย เห้ย   ทั้งนี้รายงานกล่าวว่าทั้งครอบครัวนี้ปลอดภัยดีไม่มีปัญหาใดๆ และพวกเขาก็สนุกสนานกับมื้ออาหารนี้กันอย่างมีความสุข แต่สำหรับหนุ่ม Arron แล้ว เขาคงต้องระวังมากขึ้นในครั้งต่อไปเป็นแน่แท้…   ไม่น่าเลยตู   ที่มา: dailymail, corrieredellumbria, nzherald

เราอาจจะเคยดูภาพยนตร์เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ตุ๊กตาผีสิง’ กันมาบ้าง แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่สนุก น่าขนลุกขนพองดี จนบางครั้งก็ถึงขั้นทำให้เกิดภาพติดตานอนไม่หลับตามๆ กันไป แต่คงไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ดั่งที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องเผชิญ เมื่อเธอเล่าว่าตุ๊กตาของเธอมันมีชีวิตขึ้นมาแล้วมักจะทำร้ายใครก็ตามที่เข้ามาใกล้เธอ!!   Berliz ผู้เป็นเจ้าของตุ๊กตาผีสิง   Berliz หญิงสาวชาวเปรูผู้เป็นเจ้าของตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่เธอตั้งชื่อว่าให้ Deisy ได้เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเร้นลับนี้ให้ชาวโลกได้รู้โดยทั่วกัน เธอกล่าวว่าเจ้า Deisy ได้มาอาศัยอยู่ในชีวิตของเธอ จากความที่แม่ซื้อมันมาให้เป็นของขวัญในวันคริสต์มาส เมื่อสมัยครั้งยังเป็นเด็กๆ อยู่ แล้วจากนั้นมันก็อยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน… จากคำบอกเล่าของหญิงสาวคนนี้ เธอกล่าวว่า Deisy มักจะมีอากัปกิริยาที่แปลกๆ จนเหมือนกับว่ามันมีชีวิตดั่งคนจริงๆ ทั้งการขยับหัว – แขนขาได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ   เจ้า Deisy   และที่สำคัญคือนอกจากจะขยับเนื้อตัวได้แล้ว มันมักจะทำร้ายคนอื่นๆ ที่เจ้าของ (Berliz) ไม่ชอบอีกด้วย ซึ่งเหยื่อรายล่าสุดของตุ๊กตานี้คือแฟนหนุ่มของเธอที่เพิ่งเลิกรากันไปนี้เอง สิ่งที่เขาโดนตุ๊กตาทำร้ายไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เพราะเธอเล่าว่าในขณะที่เกิดเหตุแฟนหนุ่มของเธอกำลังนอนหลับอยู่ แล้วจู่ๆ เจ้าตุ๊กตานี้ก็เข้ามาทำร้ายด้วยการดึงแขนและตีที่เขา โดยนอกจากการทำร้ายร่างกายคนอื่นแล้ว ยังมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอีกอย่างมากมายทั้งการที่ข้าวของในบ้านเสียหายอย่างไร้สาเหตุ และแน่นอนว่ามันหาสาเหตุของการเกิดขึ้นคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากตุ๊กตาตัวนี้     มากไปกว่านั้น Berliz…

สำหรับบางคน ‘เพื่อน’ อาจจะมีไว้สำหรับสังสรรค์ กินชาไข่มุก ไปเที่ยว ฯลฯ แต่สำหรับชายคนนี้แล้ว เขาแทบจะต้องกราบแทบเท้าเพื่อนของเขา ที่ช่วยชีวิตให้เขารอดมาได้จากการพลัดตกตึกสูง 3 ชั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ!!     เรื่องความรักระหว่างเพื่อนนี้มีอยู่ว่า  Swapnil Jagre ชาวรัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดียกับเพื่อนของเขาเล่น ‘ว่าว’ กัน แต่เผอิญว่าว่าวมันดันไปติดที่ท่อน้ำของดาดฟ้าตึกสูง 3 ชั้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบ เขาคนนี้จึงอาสาไปเก็บว่าวที่อยู่บนดาดฟ้านั้นเอง แต่ว่าไม่รู้ว่าลมแรงหรือว่าพลาดท่าแต่อย่างใด จึงทำให้เขาพลัดตกจากตึกสูง 12 เมตร   คลิปวินาทีที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น    ถึงตรงนี้ใครหลายคนอาจจะคิดว่า เขาต้องม้วยมรณาอย่างแน่แท้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเขายังโชคดีตรงที่ว่าเพื่อนของเขาเดินไปเก็บว่าวที่ตกลงมาตรงนั้นพอดี นาย Swapnil จึงตกลงมาใส่เพื่อนของเขาอย่างจังๆ!! แต่แล้วก็เหมือนบุญเก่าที่ได้สะสมมาของทั้งสอง เลยทำให้ทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เป็นอันตรายต่อชีวิตใดๆ ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้พวกเขาได้นำไปเล่าให้พ่อแม่ฟังแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งได้เห็นคลิปวิดีโอ…     “ตอนที่ได้ดูวิดีโอ ฉันบอกได้แค่ว่ามันเป็นอุปการะคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ทั้งสองยังปลอดภัย มันเหมือนกับการเกิดใหม่ครั้งที่ 2 ของเขาเลยก็ว่าได้” แม่ของ Swapnil กล่าว จากการรายงานกล่าวว่าทั้งสองเล่นว่าวกันระหว่างพิธีเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี (Diwali) หรือ เทศกาลแห่งแสงสว่างของชาวฮินดู ซึ่งก็เป็นโชคดีจริงๆ…

บางครั้งหลังจากที่เราต้องอับโชคเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็อาจเหมือนกับสวรรค์เห็นใจให้มีโชคอีกเรื่องหนึ่งอย่างแปลกประหลาด เหมือนกับสาวคนนี้ ที่หลังจากเธอจบความสัมพันธ์ครั้งเก่าลง เธอก็เกิดถูกรางวัลใหญ่ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ และในตอนนี้เธอกำลังตามหาชายที่จะมาออกเดทด้วย ซึ่งเธอยินดีจะจ่ายค่าออกเดทให้เป็นเงินถึงปีละ 2.5 ล้านบาท!!     เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากจบความสัมพันธ์กับคนรักเก่า Jane Park ก็บังเอิญถูกรางวัลใหญ่ของ Euromillions เข้าให้ ซึ่งในครั้งนั้น (มีอายุได้ 17 ปี) เธอได้รับเงินไปถึง 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 42 ล้านบาท) ในตอนนี้เธอมีอายุได้ 23 ปีแล้ว และหวังว่าจะใช้เงินจำนวนนี้ปรนเปรอความสุขให้กับตัวเอง พร้อมกับตามหาความรักไปด้วย…     ในตอนนี้เธอวางแผนเอาไว้ว่าจะเปิดเว็บไซต์ ให้ผู้ที่สนใจมายื่นใบสมัครกันได้ ซึ่งความน่าสนใจมันอยู่ตรงที่ว่าคนที่เธอเลือกจะได้รับเงิน ‘เบี้ยเลี้ยง’ ปีละ 60,000 ปอนด์ (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) สำหรับการมาทานอาหารและจิบไวน์ไปกับเธอ     โดยในแหล่งข่าวระบุเอาไว้ว่ากระบวนการสัมภาษณ์สำหรับผู้ที่ยื่นสมัครเข้ามา จะถูกบันทึกเอาไว้แล้วนำไปออนแอร์ออกอากาศในปีหน้าด้วย “Jane เป็นคนที่วิเศษมากและมักจะมอบสิ่งต่างๆ ให้กับผู้อื่น แต่เธอกลับต้องมาเป็นโสดอีกครั้งหลังก่อนที่จะชนะรางวัล เธอช่างโชคร้ายเสียจริง” แหล่งข่าวกล่าว     นอกจากนี้ในรายงานยังกล่าวไว้ว่า Jane เคยคบๆ…

เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชาวไทยหลายคนคงจะรับรู้ข่าวจากจากไปของคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการของบริษัทคิงเพาเวอร์ และประธานสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ การจากไปของเขาไม่เพียงแต่สร้างความโศกเศร้าให้กับชาวไทยเพียงเท่านั้น แต่สำหรับแฟนๆ เลสเตอร์แล้วพวกเขาก็สะเทือนใจไม่แพ้กันหากดูจากข้อความไว้อาลัยมากมายดั่งที่ปรากฏอยู่ในข่าวต่างๆ   คุณวิชัย   เมื่อคืนที่ผ่านมา (10 พ.ย.) ก็เป็นการแข่งขันของทีมเลสเตอร์นัดที่สอง ที่ไม่มีเงาของคุณวิชัยอยู่ในสนามอีกต่อไป ทางแฟนทีมเลสเตอร์จึงได้เดินขบวนไว้อาลัยกับการจากไปของเขาอย่างสุดซึ้ง ในเวลาก่อนที่จะเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น   เมื่อครั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก   พวกเขาเดินขบวนจาก Julibee Square ไปจนถึงสนามคิงเพาเวอร์ สนามเหย้าของทีมที่จัดการแข่งนัดล่าสุด แต่ว่าก่อนที่ขบวนจะเดินทางเข้าสู่สนามก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น เมื่อมีสายรุ้งปรากฏขึ้นเหนือสนามแห่งนี้ ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนบอลทีมเลสเตอร์อย่างมากมาย   สายรุ้งที่เกิดขึ้น   “การเดินเพื่อคุณวิชัยและสิ้นสุดลงด้วยสายรุ้งเช่นนี้ แสดงออกให้เห็นว่าเรารักคุณมากขนาดไหน” “สายรุ้งวิเศษสำหรับชายผู้วิเศษคนนี้”  โดยนอกจากการเดินขบวนของแฟนๆ แล้ว ก่อนการเตะจะเริ่มขึ้น ทางนักฟุตบอลก็ได้ใส่ชุดดำยืนไว้อาลัยร่วมกับแฟนๆ เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณวิชัยอีกครั้งด้วย   Forever and always. pic.twitter.com/g4krExnbSr — Leicester City (@LCFC) November 10, 2018   งานอาลัยครั้งนี้อาจเปรียบได้เหมือนกับความโศกเศร้าเช่นเดียวกับสีของกลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้า แต่อย่างไรก็ตามบางคนอาจเปรียบว่าสายรุ้งก็คือสัญลักษณ์แทนฟ้าหลังฝนอันสดใส ซึ่ง #เหมียวจิวยี่ ก็เชื่อว่าลูกชายของคุณวิชัยคือ คุณต๊อบ อัยยวัฒน์…

สำหรับคนๆ หนึ่งแล้ว การกินอาหารร้านเดิมๆ ติดต่อกัน 1 เดือนก็เรียกว่าเก่งแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกใบนี้มีคู่ชีวิตคู่หนึ่งที่บอกว่าพวกเขากินอาหารที่ร้านเดิมๆ ในทุกวี่วันติดต่อกันมาแล้วถึง 23 ปีด้วยกัน!!   คู่รักแมคเลิฟเวอร์   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในโลกจริงๆ โดยนาย Tom Jones วัย 83 ปีกับ Pauline ภรรยาของเขาวัย 82 ปี จัดได้ว่าเป็น ‘แมคเลิฟเวอร์’ ตัวจริงเสียงจริง เพราะพวกเขาบอกว่าเข้าไปกินอาหารที่ร้านแมคโดนัลด์ติดต่อกันมาแล้วทุกวันถึง 23 ปี… “พวกเรามาที่นี่ 7 วันต่อสัปดาห์หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกเรานั่นแหละ และมากกว่าอื่นใดไม่ว่าจะวันหยุดหรือวันอะไรก็ตาม พวกเราไม่เคยพลาดที่จะมาที่ร้านนี้แม้แต่วันเดียวเป็นเวลา 23 ปีแล้ว” Tom กล่าว   มากินทุกวี่วัน   เมนูประจำที่ Tom มักจะสั่งเป็นประจำก็คือ ‘บิกแมค’ เบอร์เกอร์ออริจินัลอันโด่งดังของทางร้าน ส่วนทางด้าน Pauline มักจะเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ ตามแต่ที่วันนั้นอยากจะกินอะไร แต่เธอมักจะโปรดปรานนักเก็ตไก่กับแป้งห่อไก่ทอดบาบีคิวเป็นพิเศษ   บิกแมค เมนูโปรดของ Tom   “เราชอบมาที่นี่ทุกๆ วันเพราะความเป็นมิตรของทางร้าน…

บางครั้งการที่เราเจอสัตว์เข้าจู่โจมอย่างกะทันหัน เราก็อาจไม่มีสติพอที่จะคิดว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นได้อย่างไรดี อย่างเช่นการขี่รถอยู่แล้วโดนหมาไล่ หรือว่าเจองูกำลังเลื้อยเข้าหา แต่ว่ามีชายสูงอายุคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าด้วยการตั้งสติอันดีเลิศหรือว่าสัณชาตญาณการเอาตัวรอด จึงทำให้เขารอดพ้นจากการปะทะกับ ‘หมีดำ’ มาได้ด้วยการต่อเข้าไปที่หน้าหมีหลายหมัด!!   นาย Sonny ผู้ต่อยหมีด้วยมือเปล่า   โดยเรื่องราวการเอาตัวรอดนี้เป็นเรื่องของนาย Sonny Pumphrey ผู้เฒ่าอายุวัย 78 ปีที่เขาเล่าว่าในวันที่เกิดเหตุ (6 พ.ย.) เขากำลังทำความสะอาดเศษใบไม้ที่ร่วงลงมาอยู่แถวๆ ถนนหน้าบ้านในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่แล้วจู่ๆ ระหว่างที่กำลังเก็บเศษใบไม้ตามปกติ เขาก็เห็นว่ามีแม่หมีกับลูกอีกสองตัวเดินมาจากไหนไม่รู้ แล้วเมื่อพวกมันเห็นเขา ตัวที่เป็นแม่ก็พุ่งกระโจนเข้ามาโจมตีเขาทันที จึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกต้องตั้งหลักสู้   แถวๆ บ้านที่โดนหมีจู่โจม   “ผมไม่มีที่ให้วิ่งหนีแล้ว ผมเลยต้องใช้สัญชาตญาณที่มีพยายามปกป้องตัวเอง” “ตอนนั้นผมไม่มีอะไรในมือเลย ผมจึงต้องสู้กับมันอย่างหนักและต่อยหน้ามันไป 2 -3 ทีนี่แหละ”  ถึงแม้ว่าชายคนนี้จะสามารถต่อยเข้าเต็มๆ ใบหน้าของแม่หมีดำได้ แต่เขาก็บอกว่าในเวลาต่อมาเจ้าแม่หมีตัวนี้ก็เริ่มใช้ปากกัดแล้วเหวี่ยงเขาไปมาจนเปรียบได้กับว่ามันกำลังเล่น ‘ตุ๊กตา’ อยู่อย่างไงอย่างงั้น   ลักษณะของหมีดำที่เขาสู้ด้วย   ระหว่างที่ทั้งสองฝั่งกำลังสู้กันอย่างดุเดือดนั้นก็เป็นโชคดีจริงๆ ที่ Betty Pumphrey ภรรยาของชายคนนี้ได้ยินเสียงการต่อสู้เข้าพอดี เธอจึงออกมาจากบ้านพร้อมกับเจ้าหมา แล้วมันก็ส่งเสียงเห่าขู่จนทำให้เจ้าหมีนั้นหนีไป “ฉันล่ะกลัวจริงๆ ที่เจ้าแม่หมีจะฆ่าสามีของฉัน เขาสู้เพื่อตัวเองจริงๆ”  “ตอนที่เปิดประตูออกไป ใครจะไปเชื่อล่ะ…

แม้สองมือจะไม่มี แต่ว่าแม่คือคนที่ ‘สำคัญ’   นายเฉินจือฟาง ชายผู้มีหัวใจกตัญญู แม้ว่าจะไร้ซึ่งแขนแม้แต่ข้างเดียวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ในตอนนี้เขาก็สามารถดูแลแม่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี เขาสามารถช่วยเหลือแม่ได้ด้วยเท้าทั้งสองข้างที่มีไม่ว่าจะเป็นการ ป้อนข้าว หวีผม เช็ดเนื้อเช็ดตัว หรือในยามที่แม่ต้องไปเข้าห้องน้ำเขาก็ใช้ความมานะช่วยลากสายน้ำเกลือไปให้ด้วย   นายเฉิน ขณะป้อนข้าวให้แม่ที่นอนป่วยในโรงพยาบาล   นายเฉิน ปัจจุบันมีอายุได้ 29 ปี เขาเกิดในปี 1989 ณ หมู่บ้านสุยเจียวาน มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน แต่ว่าด้วยความโชคร้ายหรือว่าฟ้าลิขิตก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้เขาเกิดมาในสภาพที่ไร้แขน… เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเขามีอายุได้ 9 เดือนก็มีมรสุมชีวิตพัดเข้ามาลูกใหญ่ เมื่อพ่อของเขาเกิดล้มป่วยลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ชีวิตในตอนนั้นของเขาจึงเหลือแต่แม่เพียงผู้เดียว ที่ทำงานอย่างหนักหาเลี้ยงเขาและพี่ชายให้มีชีวิตอยู่ต่อไป   เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คุณแม่   ด้วยความเข้มแข็งไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากของผู้เป็นแม่ ทำให้นายเฉินซึมซับความเข้มแข็งนี้มาไม่แพ้กัน เขาต่อสู้กับโชคชะตาแม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เหมือนกับคนอื่นเขา แต่นายเฉินก็พยายามจะใช้ชีวิตให้เหมือนกับคนปกติมากที่สุด   ทำสิ่งต่างๆ ให้อยู่เสมอ แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย   ในตอนที่มีอายุได้ราวๆ 4 ขวบ นายเฉินเริ่มฝึกยืนด้วยตัวเองเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนที่พิการเช่นเขา และมีบาดแผลเกิดขึ้นมากมายจากความพยายามนี้…

‘พนักงานดับเพลิง’ อาชีพที่เสี่ยงต่ออันตรายเวลาที่เกิดเหตุด่วน เหตุฉุกเฉิน พวกเขาต้องทำหน้าที่เป็นดั่งผู้พิทักษ์ เป็นที่พึ่งพายามยากในเวลาใดๆ ที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือ และด้วยเหตุนี้หน่วยดับเพลิงของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน จึงสร้างโปสเตอร์สุดแนวขึ้นมาเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา!!   โปสเตอร์พนักงานดับเพลิงของประเทศจีน ที่เท่อย่างสุดๆ   โดยภาพที่ทุกคนจะได้เห็นนี้เป็นภาพของเหล่าพนักงานดับเพลิงขณะกำลังทำภารกิจกู้ภัยต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาเนื่องจากในวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นวันพิเศษของพวกเขาที่ได้รับมอบเครื่องแบบใหม่จากทางการ และเพื่อเป็นการสดุดีความกล้าหาญของพวกเขา จึงมีการสร้างสรรค์โปสเตอร์นี้ขึ้น   ไม่ว่าจะตึกสูงหรือภารกิจใดก็ไม่หวั่น   ขอเพียงประชาชนแจ้งมา จะรีบไปในทันใด   ภารกิจของพวกเขาเป็นอะไรที่ต้องใช้แรงใจ และความกล้าหาญจริงๆ   ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือในน้ำก็ไม่มีปัญหา   หนึ่งในอาวุธหลักของพวกเขาก็คือสายฉีดน้ำนี่แหละ   ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดขึ้นจากการช่วยเหลือผู้อื่น   ชุดสุดเท่ที่มาพร้อมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่   การกู้ภัยบางครั้งก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่เฉพาะทางบ้าง   หนึ่งในอาชีพที่มีเกียรติและสมควรได้รับการยกย่อง   ที่มา: ecns, xinhuanews

เดี๋ยวนี้แวดวงแฟชั่นมักมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เราได้เซอร์ไพรส์กันอยู่เสมอ และคราวนี่อีกก็เช่นเดียวกัน เมื่อแบรนด์ดังจากแดนฝรั่งเศสได้เผยไอเทมชิ้นใหม่ของพวกเขาที่มีรูปร่างเหมือนกับ ‘องคชาต’!! เมื่อไม่นานมานี้ Saint Laurent แบรนด์แฟชั่นชื่อดังจากแดนน้ำหอม ได้เผยคอลเลคชั่นจิวเวลรี่ชุดใหม่ของพวกเขาให้แก่ผู้ที่ติดตามได้รับชมกัน แต่ว่ามีไอเทมอยู่สองชิ้นที่ติดตราตรึงใจกับคนที่ได้พบเห็นกันซะเหลือเกิน เพราะมันดูมีหน้าตารูปร่างที่คล้ายๆ กับ ‘กระปู๋’ ชอบกล ซึ่งนั่นก็คือต่างหูและสร้อยคอทองเหลืองชุดนี้นั่นเอง   รูปภาพบนเว็บไซต์   นี่คือสร้อยคอองคชาต   ส่วนความพิเศษของทั้งสองชิ้นนี้ก็คือจะมีตราโลโก้สลักเอาไว้ที่ตัวองคชาตด้วยนั่นเอง ส่วนราคาน่ะเหรอเบาๆ แค่สร้อยคออยู่ที่ 520 ปอนด์ (ประมาณ 22,000 บาท) และต่างหูคู่หนึ่งที่ 215 ปอนด์ (ประมาณ 9,200 บาท) เท่านั้น   ตุ้มหูที่ว่านี้   แต่ถ้าสำหรับใครที่อยากจะจับจองเป็นเจ้าของนั้น เป็นที่น่าเสียดายจริงๆ ที่ทั้งสองไอเทมนี้จะไม่มีขายบนเว็บออนไลน์ และมีวางขายเพียงช็อปในประเทศอังกฤษเท่านั้น (ถ้าใครอยากได้คงต้องลงทุนหน่อยล่ะ…)   อีกมุมหนึ่งของตุ้มหู   ทางด้านความคิดเห็นของชาวเน็ตที่มีต่อสร้อยคอและตุ้มหูเข้าหูเซตนี้ก็มีอย่างมากมาย ทั้งชอบและไม่ชอบ อย่างเช่น “ขอทั้งคู่นี้ให้ฉันได้ไหม บอกเลยว่าฉันอยากได้มัน” “แฟชั่นตอนนี้มาในทางที่ถูกแล้วล่ะ” “มันเป็นอะไรที่แย่จริงๆ ที่เราต้องเสียเงินเยอะแยะ เพื่อซื้อตุ้มหูรูปกระปู๋มาใส่”…

ความรักความผูกพันของพี่น้อง อาจเป็นสายใยที่แน่นแฟ้นที่สุดสายหนึ่ง   นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทำให้เราได้เห็นถึงความรัก ความคิดถึงระหว่างพี่น้องในครอบครัว เมื่อมีน้องชายคนหนึ่งทนเก็บกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่ไหว กระโดดโลดเต้นเมื่อได้เจอหน้าพี่ชายอีกครั้งหลังจากหายหน้าไปถึง 9 เดือนเต็มๆ เรื่องมีอยู่ว่า Manuel Rubio พี่ชายคนโตของบ้าน มีภารกิจต้องไปรับใช้ชาติด้วยการฝึกเป็นหน่วยนาวิกโยธินของสหรัฐฯ เป็นเวลาถึง 9 เดือนเต็มๆ นับตั้งแต่วันแรกที่จากไป เจ้าตัวเล็กของบ้านก็เฝ้าคอยนับคืนวันเพื่อที่จะได้เจอหน้ากับพี่ชายของเขาอีกครั้ง…   ยังไม่รู้เรื่องอะไร   ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ถึงวันที่ Manuel ครบกำหนดจะได้กลับบ้าน ซึ่งทางครอบครัวก็รับรู้ในเรื่องนี้และเตรียมการรอไว้แล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่ได้บอกกับเจ้าหนูน้อย เพื่อหวังจะเซอร์ไพรส์ให้ดีใจแบบสุดๆ ทางครอบครัวได้ถ่ายภาพวินาทีที่หนูน้อยจะได้พบกับพี่อีกครั้งเอาไว้ โดยในตอนเริ่มต้นคนอื่นๆ ในครอบครัวก็ทำเหมือนกับว่าวันนี้เป็นเฉกเช่นวันธรรมดาทั่วๆ ไป ด้วยการถือถุงชอปปิงลงมาจากรถแล้วถามเจ้าตัวเล็กว่า ‘วันนี้จะไปเตะบอลอีกไหม’ ซึ่งเขาก็ตอบส่ายหัวแทนคำตอบและดูเหมือนว่าจะมีความซึมเล็กน้อย   คลิปวินาทีแห่งความสุข This kid had NO idea! pic.twitter.com/dFpKpml0cZ — manuel®️ (@Manuel_Rubio14) November 6, 2018   แต่ในวินาทีต่อมา Manuel ก็ก้าวออกมาจากรถที่จอดบังอยู่ และน้องชายคนนี้เมื่อได้เห็นพี่ชายของเขาเข้า ร่างกายของเขาก็สั่นไปด้วยความดีใจและตื่นเต้น เพราะเขารอเวลานี้มานานแสนนานที่พี่ชายจะได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง…

ในเกมการแข่งขันฟุตบอลนอกจากกองหน้า กองกลางและกองหลัง ยังมีอีกหนึ่งตำแหน่งที่เรียกได้ว่าสำคัญสุดๆ เพราะถือว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่ฝั่งตรงข้ามจะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายทีมเราก็ต้องเป็น ‘ผู้รักษาประตู’ แน่ๆ แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากนายทวารของเราเกิดเหม่อลอย หรือเผลอทำอะไรสักอย่างระหว่างที่ฝั่งตรงข้ามกำลังยิงมา… ไม่ต้องเดาให้ยากเข้าแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการเตือนสติกันบ้าง อย่างเช่นในเหตุการณ์ชวนขำของคุณพ่อคนนี้ที่ผลักลูกที่เล่นเป็นผู้รักษาประตูไปรับบอลจนหัวทิ่ม เพื่อที่ทีมจะได้ไม่เสียประตู!!   @ladbible pic.twitter.com/1j9q4lC93g — Chris Wilkins (@chris_wilks2) November 5, 2018   คลิปวิดีโอที่ว่านี้เป็นคลิปที่ทวิตเตอร์ชื่อว่า Chris Wilkins‏ ได้โพสต์ลงเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถึงตอนนี้มีคนเข้าดูคลิปของเขาแล้วกว่า 11 ล้านคน โดยในรายงานระบุว่าเกมฟุตบอลที่ถ่ายคลิปนี้ขึ้น เป็นเกมการแข่งขันฟุตบอลรุ่นอายุต่ำกว่า 8 ขวบระหว่างทีม Bow Street Magpies FC กับ Ysgol Llanilar FC ในตอนกลางของประเทศเวลส์ จุดเริ่มต้นในคลิปเริ่มต้นขึ้นจากตรงที่ว่าหนูน้อยในเสื้อเหลืองเบอร์ 8 เลี้ยงบอลฝ่ากองหลังมาจนถึงแดนหน้าประตู แล้วเขาก็จัดการง้างเท้ายิงลูกฟุตบอลออกไป หวังจะพังประตูอีกทีมให้ได้   ไปช่วยทีมก่อนนะลูกพ่อ อดทนเข้าไว้   ในจังหวะเดียวกันนั้นเองหนูน้อยผู้รักษาประตูในเสื้อสีแดง ก็หันหน้าไปทางคุณพ่อที่ยืนให้กำลังใจข้างๆ อย่างไม่ได้สนใจลูกบอลที่กำลังกลิ้งหลุนๆ จะเข้าประตู…

เรื่องของ ‘น้ำหนัก’ อาจเป็นปัญหาที่กวนใจผู้หญิงหลายคน ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีวิธีการจัดการกับน้ำหนักที่แตกต่างกันออกไปอย่างเช่น ออกกำลังกายเยอะๆ หรือไม่กินอาหารตอนดึก เป็นต้น แต่ว่ามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่ต้องบอกว่าวิธีการลดน้ำหนักของเธอ อาจจะแปลกประหลาดกว่าวิธีธรรมดาๆ ไปบ้างแต่ก็ได้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี โดยเธอลดไปได้ถึง 40 กิโลกรัม และยกให้ว่าเป็นผลจากการดูดกัญชา!!   Ayan Ikra ในตอนที่น้ำหนักขึ้นไปจุดสูงสุดของชีวิต   Ayan Ikra หญิงสาววัย 28 ปีชาวเมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา คือคนที่ใช้วิธีดังกล่าว โดยเธอเชื่อว่าการที่เธอใช้กัญชาพันลำวันละ 2 มวนช่วยให้เธอสามารถลดน้ำหนักมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ Ayan กล่าวว่าในอดีตเธอเคยมีน้ำหนักมากที่สุดในชีวิตถึง 121 กิโลกรัม และเธอก็สามารถลดน้ำหนักมาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 73 กิโลกรัมได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น   ผอมลงมาแล้ว   ในอดีตเธอเคยใช้เวลาถึง 10 ปีเต็มๆ ในการพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีการลดน้ำหนักแบบที่นิยมกัน แต่เธอบอกว่าตั้งแต่เริ่มใช้กัญชา มันเริ่มทำให้เธอรู้สึกว่ามีแรงจูงใจในการกินอาหารที่เฮลตี้ และออกกำลังกายมากกว่าเดิม “ฉันพยายามออกกำลังกายมาตลอด ฉันมักออกได้แค่เดือนหรือสองเดือนแค่นั้นแหละ แล้วสุดท้ายก็พัง ไม่ได้เห็นผลลัพธ์ดั่งที่ตั้งใจไว้สักที” “ฉันลองกินอาหารตาม Jenny Craig (นักโภชนาการชื่อดัง)…

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังหมดแพสชั่นในการทำงาน แล้วอยากหางานใหม่ๆ มันส์ๆ ได้ทำอะไรสนุกๆ แล้วล่ะก็ นี่อาจจะเป็นงานในฝันที่คุณกำลังตามหามานานแสนนาน… เพราะมีบริษัทแห่งหนึ่งเสนอให้เงินให้คุณถึงเดือนละเกือบ 40,000 บาท และสิ่งที่ต้องทำก็คือเดินทางท่องโลกพร้อมๆ กับการสูบกัญชาไปด้วย     ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก ‘กัญชา’ จริงๆ โดยบริษัทที่จะทำให้ฝันของคุณเป็นจริงนี้ก็คือบริษัทบุหรี่ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันชื่อว่า Heavy Hitters ที่ตอนนี้พวกเขากำลังมองหาแบรนแอมบาสเดอร์จากประเทศต่างๆ หน้าที่หลักๆ ของคนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาก็คือโปรโมทบุหรี่ไฟฟ้า ในงานอีเวนท์สายสูบต่างๆ ที่จัดขึ้นบนโลกและการใช้โซเชียลมีเดีย!!   https://www.instagram.com/p/Bp2_Mowh2t4/?utm_source=ig_embed   โดยพวกเขาบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องเป็นเซเลบริตี้บนโลกไซเบอร์แต่อย่างใด แต่คุณสมบัติพื้นฐานที่คุณจะต้องมีสำหรับงานนี้ก็คือใช้โซเชียลมีเดียขั้นพื้นฐานเป็น และอีกอย่างหนึ่งคือความหลงใหลในพืชใบเขียว… สำหรับรายระเอียดงานที่ทางบริษัทเขียนเอาไว้หน้าเว็บก็คือ ‘เที่ยว ดูดตุ่ย รอรับตังค์’ และค่าตอบแทนที่ได้นี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียวเพราะคุณจะได้รับเงินเดือน 1,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 39,000 บาท) ต่อเดือน และอีก 500 ดอลลาร์ (ประมาณ 16,000) เป็นค่าคอมถ้าขายสินค้าได้   ดูวิดีโอการโปรโมทซะก่อน    วิธีการสมัครงาน – อัปโหลดวิดีโอลงยูทูบ 1…

เรื่องการโกงอาหารโรงเรียนของเด็กๆ ยังคงเป็นปัญหาที่มีให้เห็นกันอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ บนโลก แม้ว่าใครๆ จะรู้กันดีว่าเด็กๆ เป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตและต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนก็ตาม และล่าสุดก็มีกรณีหนึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นนี้ในประเทศจีน เมื่อครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งทำการโกงโดยเติมน้ำลงไปผสมใน ‘นม’ ของเด็กๆ เพื่อที่เธอจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลง!!     โดยเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งของมณฑลยูนนาน และเรื่องเริ่มแดงจากความที่เด็กนักเรียนหลายคนไปถามกับพ่อแม่ผู้ปกครองว่า ทำไมนมที่พวกเขาได้รับแจกที่โรงเรียนมันถึงมีรสชาติที่จืดชืดเหลือเกิน คุณแม่คนหนึ่งจึงตัดสินใจชิมนมกล่องของทางโรงเรียนด้วยตัวเอง แล้วก็พบว่ามันไม่มีรสชาติแห่งความเป็นนมเลยจริงๆ จากนั้นเธอจึงได้ทำการทดสอบสารอาหาร (ด้วยวิธีใดไม่ได้ระบุไว้) จนพบว่าในนมกล่องที่ลูกเธอได้รับมีระดับโปรตีนที่ต่ำแบบสุดๆ จนไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นนมด้วยซ้ำ   คุณครูใหญ่ Chen   เมื่อพบความจริงนี้เข้าเธอจึงได้รวมกลุ่มกับพ่อแม่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ถามเรื่องนี้กับทางโรงเรียน จนในที่สุดแล้วทางคุณครูใหญ่แซ่ Chen ก็สารภาพว่าเธอได้สั่งนมที่มีการผสมน้ำเปล่าลงไปแจกให้นักเรียน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด!! เธอสารภาพเพิ่มเติมนอกจากเรื่องนมแล้ว ก่อนหน้านี้เธอยังนำอาหารที่มีคุณภาพต่ำ อย่างอาหารที่มีเนื้อสัตว์เพียงน้อยนิดมาให้เด็กๆ กินเป็นอาหารที่โรงเรียนด้วย   วิดีโอที่คุณครูสารภาพผิด    ส่วนเหตุผลที่ทำแบบนี้ลงไปก็เป็นเพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องมาจากเธอถือหุ้นโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้อยู่ถึง 30% ด้วยกัน นั่นจึงหมายความว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงของโรงเรียน ก็คือลดค่าใช้จ่ายของเธอด้วยนั่นเอง ทันทีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของเมืองต้าหลี่รับรู้เรื่องราวดังกล่าว ก็ไล่ครูใหญ่ Chen ออกจากตำแหน่งทันที แต่อย่างไรก็ตามชาวเน็ตชาวจีนก็ยังเรียกร้องให้มีการลงโทษเธอ หรือจับกุมไปดำเนินคดีด้วย   ที่มา: shanghaiist,…

คงมีใครหลายๆ คนเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า ‘ปลาหมอตายเพราะปาก’ กันมา มันหมายถึงการพูดอะไรออกไปโดยที่ไม่ยั้งคิด จนทำให้เกิดผลเสียกับตัวเอง… แต่เมื่อไม่นานมานี้ ใครจะคิดว่ามีคดีหนึ่งที่ตรงกับสุภาษิตนี้แบบจริงๆ เพราะมีสามีคนหนึ่งลงมือสังหารภรรยาตนเองแล้วอำพรางคดีโดยบอกกับตำรวจว่าภรรยาของเขาฆ่าตัวตาย แต่ดันไปคุยโม้กับเพื่อนร่วมงานสาวที่ผับว่าเขาเป็นคนบีบคอเธอเอง เลยทำให้โดนจับได้ในที่สุด!!   สถานที่เกิดเหตุในเมืองสวอนซี   โดยเรื่องนี้เริ่มขึ้นจากการที่นาย Derek Potter สามีวัย 64 ปีได้ก่อเหตุฆาตกรรม Lesley ภรรยาของเขา แล้วอำพรางศพตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เธอฆ่าตัวตายโดยใช้วิธีการผูกคอที่บ้านของทั้งคู่ในเมืองสวอนซี ประเทศเวลส์ ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ปักใจเชื่อว่านี่เป็นเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย เพราะหากดูจากสภาพศพแล้วก็มีจุดให้สงสัยหลายแห่ง แต่ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ ในเวลาต่อมาศพของเธอจึงถูกส่งต่อมาเพื่อทำพิธีศพ โดยระบุสาเหตุการตายคือ ฆ่าตัวตาย…   Natalia Mikhailoea- Kisselevskaia เพื่อนร่วมงานที่นาย Derek เล่าเรื่องให้ฟัง   แต่แล้วในเวลาต่อมานาย Derek ที่ประกอบอาชีพช่างก่อสร้าง ก็สารภาพเรื่องการฆ่าภรรยาของเขาเองกับเพื่อนร่วมงานสาววัย 32 ปีชื่อว่า Natalia Mikhailoea- Kisselevskaia ก่อนที่พิธีการเผาศพจะเริ่มขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ Natalia กล่าวว่า “เรายังคงอยู่ในสภาพที่ไม่เมามากนักตอนที่เขาพูดว่า ‘ฉันมีอะไรต้องบอกกับเธอ’ จากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขารักภรรยาของเขามาก แต่ว่าเธอมักทำให้เขาต้องรำคาญและปวดหัวอยู่บ่อยๆ เขาเลยบีบคอเธอจนตายซะ”…

หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว ไม่ว่าใครๆ ก็คงอยากจะมีอายุที่อ่อนเยาว์ลงกว่าในความเป็นจริงกันทั้งนั้น แต่ใครจะไปคิดว่าชายคนหนึ่งจะถึงขั้นที่ว่ายื่นเรื่องต่อศาลเพื่อที่จะ ‘เปลี่ยนอายุตัวเอง’ ให้เด็กลงกว่าเดิม 20 ปี!!   นาย Emile Ratelband ผู้ยื่นเรื่องดังกล่าว   Emile Ratelband ชายชราชาวเนเธอร์แลนด์วัย 69 ปีได้สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ ด้วยการยื่นเรื่องต่อสู้ทางชั้นศาล เพื่อที่จะให้พวกเขาออกเอกสารทางราชการให้ว่าจริงๆ แล้วเขามีอายุเพียงแค่ 49 ปีเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่เขาต้องการจะเปลี่ยนอายุของตัวเองให้เด็กลง การที่เขามีอายุที่น้อยลงจะทำให้สามารถแมตช์กับสาวๆ ในแอพฯ Tinder ได้มากขึ้นนั่นเอง     นาย Emile ได้ยกกรณีตัวอย่างในการยื่นเรื่องขอเปลี่ยนอายุ โดยเขากล่าวหาก ‘คนข้ามเพศ’ (Transgender) สามารถเปลี่ยนเพศของพวกเขาได้ เขาก็ควรที่จะได้รับการเปลี่ยนอายุเช่นเดียวกัน และนอกจากนี้เขาบอกด้วยว่าในยื่นเรื่องฟ้องร้อง โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เป็นคู่กรณี เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงอายุของเขาในเอกสารทางราชการให้     สำหรับสิ่งที่เขาต้องการจะให้ทางหน่วยงานราชการเปลี่ยนให้ ก็คือให้ระบุบนเอกสารราชการว่าเขาเกิดวันที่ 11 มีนาคม 1969 ซึ่งความจริงแล้วเขาเกิดปี 1949 “ผมไปตรวจร่างกายและทองทายดูสิว่าเป็นยังไง คุณหมอบอกว่าร่างกายของผมมีอายุแค่ 45 ปีเท่านั้น…