Author:

  • ชม 20 ภาพการใช้ชีวิตในสงครามอย่างไม่ละทิ้งความหวัง ของคนอังกฤษในช่วงปี 1940

    ชม 20 ภาพการใช้ชีวิตในสงครามอย่างไม่ละทิ้งความหวัง ของคนอังกฤษในช่วงปี 1940

    หลังจากที่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศอังกฤษก็ต้องพบกับสงครามในแบบที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการที่ประเทศพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสพ่ายแพ้ให้แก่นาซีเยอรมัน หรือการโดนทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในปี 1940 ในช่วงเวลานั้นคนในประเทศต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับไฟสงครามที่มาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน การทำลายล้าง และความสูญเสีย ที่เห็นแล้วแปลกใจจริงๆ ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถผ่านมันมาได้โดยจิตใจไม่พังไปเสียก่อน ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตในสงครามของคนอังกฤษในช่วงปี 1940 กัน ไปดูกันว่าคนสมัยนั้นต้องพบกับอะไรบ้างกว่าที่ฝั่งสัมพันธมิตรจะชนะสงครามได้   เริ่มกันจากภาพโคเวนทรีที่พังเสียหายจากการทิ้งระเบิด   ผู้คนที่ตื่นเช้าไปทำงานทั้งๆ ที่เมืองถูกโจมตี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ร้านซักผ้าเคลื่อนที่ในเมืองพอร์ทสมัธ เมืองที่บ้านเรือนพังเสียหายกว่า 90%   เด็กๆ สองคนที่มารับชาจาก YMCA องค์กรเอกชน ของชาวคริสเตียนที่ทำหน้าที่บริการสังคม   ชายสองคนยืนมองท้องฟ้า   เหล่าคนที่เข้ามาอาศัยสถานีรถไฟเป็นที่พัก   การดับเพลิงในเมืองหลังจากถูกโจมตีโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดร่วม 300 ลำ   ประชาชนที่มามุงดูบ้านที่พังจากการถูกโจมตี   โรงพยาบาล St. Thomas ที่พังเสียหาย   ถนน High Street ในเชฟฟิลด์หลังจากที่โดนทิ้งระเบิดตลอดคืน   สภาพถนนในลอนดอนหลังถูกโจมตี   การทิ้งระเบิดกลางเมืองแมนเชสเตอร์   ป้ายลดราคาสินค้าฤดูหนาว…

  • ระเบิดมือจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกพบส่งมาพร้อมมันฝรั่งที่โรงงานในฮ่องกง

    ระเบิดมือจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกพบส่งมาพร้อมมันฝรั่งที่โรงงานในฮ่องกง

    เมื่อเสาร์วันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่โรงงานผลิตมันฝรั่งทอดกรอบ “Calbee” ในฮ่องกง เมื่อในบรรดามันฝรั่งที่มีการนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสกลับมีระเบิดมือโบราณติดมาด้วยลูกหนึ่ง     โดยเจ้าระเบิดลูกดังกล่าวมีขนาดความกว้างอยู่ที่ราวๆ 8 เซนติเมตร ตัวระเบิดเต็มไปด้วยสนิมกับคราบโคลน แถมยังอยู่ในสภาพที่ไม่มีสลักและอาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อ จากการตรวจสอบของหน่วยกู้ระเบิด ระเบิดลูกนี้เป็นระเบิดมือของประเทศเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งน่าจะถูกใช้งานในระหว่างการรบที่ฝรั่งเศสเมื่อ 100 ปีก่อน     เป็นไปได้ว่าระเบิดดังกล่าวจะถูกขุดขึ้นมาโดยบังเอิญจากในพื้นที่ไร่และถูกส่งข้ามประเทศมายังโรงงานแห่งนี้พร้อมๆ กับมันฝรั่งเพื่อใช้ในการแปรรูปเป็นมันฝรั่งทอดกรอบ นับว่าโชคดีมากที่ระเบิดลูกดังกล่าวถูกพบเข้าเสียก่อน ดังนั้นหน่วยกู้ระเบิดของฮ่องกงจึงสามารถเข้ามาจัดการกับระเบิดลูกดังกล่าวได้ทันท่วงที     อ้างอิงจากรายงานของเจ้าหน้าที่ พวกเขาได้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงในการทำลายระเบิดลูกดังกล่าวโดยที่ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ในเบื้องต้นทางตำรวจลงความเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความประมาทและไม่รู้ของชาวไร่ที่ฝรั่งเศสเท่านั้น และไม่ได้เป็นการก่อการร้ายที่มีการวางแผนมาก่อนแต่อย่างใด แม้ว่าระเบิดลูกนี้จะเป็นระเบิดลูกที่สองที่มีการพบในฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม     ที่มา bbc, forces และ abc

  • เปิดตำนาน “กะโหลกคริสตัลแห่งมายา” วัตถุโบราณลึกลับหรือแค่ของปลอมจากยุควิกตอเรีย

    เปิดตำนาน “กะโหลกคริสตัลแห่งมายา” วัตถุโบราณลึกลับหรือแค่ของปลอมจากยุควิกตอเรีย

    เคยได้ยินเรื่องตำนานกะโหลกคริสตัลของเผ่ามายากันไหม มันเป็นวัตถุโบราณรูปร่างเหมือนกะโหลกใสที่ลือกันว่าถูกพบโดยพ่อลูกบุญธรรม Anna และ Frederick Mitchell-Hedges ในพีระมิดมายาที่ป่าในประเทศเบลีซ     ตั้งแต่ที่ถูกพบมากะโหลกคริสตัลของตระกูล Mitchell-Hedges ก็กลายเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงมาก เพราะไม่เพียงแต่ความใสและน่าพิศวงราวกับไม่ได้สร้างขึ้นโดยมนุษย์ของมันเท่านั้น แต่กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ยังเต็มไปด้วยตำนานเรื่องเล่า ทั้งที่เกี่ยวกับคำสาป และพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย Frederick บอกว่ากะโหลกที่เขาและลูกสาวพบนั้นมีพลังประหลาด ใครก็ตามที่หัวเราะเยาะมันจะต้องพบกับโชคร้ายแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นจากความตาย หรืออาการป่วยที่ไม่สามารถรักษาได้ เท่านั้นยังไม่พอเพราะกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ยังถูกอ้างว่าเป็นหนึ่งในกะโหลก 13 ชิ้นที่หากนำมารวมกันจะมอบความรู้ที่เป็นกุญแจสู่ “ความอยู่รอดของมนุษย์” หรือไม่ก็ “การล่มสลายของมนุษยชาติ” ตามคำทำนายของชนพื้นเมืองอเมริกาเลยด้วย   Anna Mitchell-Hedges เคยเดินทางไปในหลายๆ ประเทศ เพื่อเผยแพร่เรื่องกะโหลกคริสตัลที่พบ   ในปัจจุบันมีกะโหลกคริสตัล 2 ชิ้นที่อ้างตัวว่าเป็นของจริง ซึ่งชิ้นหนึ่งถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษที่ลอนดอน และอีกชิ้นหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Musee du Quai Branly ในปารีส โดยทั้งสองแห่งถกเถียงกันเรื่อยมาว่าชิ้นไหนกันแน่ที่เป็นของจริง แน่นอนว่าสิ่งลี้ลับย่อมมาคู่กับความพยายามในการพิสูจน์ความจริง ทำให้ตลอดช่วงเวลาที่กะโหลกคริสตัลถูกนำแสดง ก็มีคนมากมายพยายามตรวจสอบที่มาของกะโหลกคริสตัลในพิพิธภัณฑ์ทั้งสองอยู่เสมอๆ   กะโหลกคริสตัลของอังกฤษ (ซ้าย) และกะโหลกคริสตัลของฝรั่งเศส (ขวา)   โดยหนึ่งในบรรดาการตรวจสอบกะโหลกคริสตัล การตรวจสอบที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นของสถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008…

  • จีนทดลองเรือปล่อยจรวดหยั่งอวกาศไร้คนขับลำแรกของโลก ทำงานได้แม้อากาศเลวร้าย

    จีนทดลองเรือปล่อยจรวดหยั่งอวกาศไร้คนขับลำแรกของโลก ทำงานได้แม้อากาศเลวร้าย

    เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2019 นักวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนออกมาเปิดเผยเอกสารการทดลองเรือไร้คนขับที่ออกแบบมาเพื่อปล่อย “จรวดหยั่งอวกาศ” (Sounding rocket) ขนาดเล็ก และเป็นเรือไร้ในรูปแบบนี้ลำแรกที่เคยมีการผลิตมาของโลก     โดยนี่เป็นเทคโนโลยีคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยเหลือนักอุตุนิยมวิทยาในการตรวจสอบสภาพอากาศเหนือมหาสมุทร 3 ใน 4 ส่วนของโลก ซึ่งที่ผ่านมาจำเป็นต้องใช้เรือหรือเครื่องบินในการสำรวจจนทำให้มีต้นทุนการทำงานที่สูง เรือไร้คนขับที่ว่านี้ถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในปี 2016 และทำการทดลองสำเร็จไปในปี 2017 อย่างไรก็ตามกว่าที่ผลการทดลองจะถูกประกาศออกมาให้โลกรู้มันก็หลังจากนั้นอีกสองปีเลย   ภาพของอุปกรณ์เก็บข้อมูลสภาพอากาศที่มักใช้งานกันในปัจจุบัน   จากที่ระบุไว้ในเอกสารการทดลอง เรือไร้คนขับลำนี้ถูกเรียกว่า Uncrewed Semisubmersible Vehicle (ยานพาหนะไร้คนขับแบบกึ่งจม) หรือ USSV มันมีความสามารถที่จะฝ่าสภาวะอากาศที่เลวร้ายในทะเลด้วยการดำน้ำ เพื่อไปปล่อยจรวดหยั่งอวกาศในสถานที่ที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของมนุษย์     โดยตัวจรวดที่ปล่อยขึ้นไปนั้น จะบินขึ้นไปได้สูงสุดราวๆ 8 กิโลเมตรแล้วเพื่อเก็บข้อมูลสภาพอากาศในพื้นที่ ก่อนที่จะเก็บข้อมูลส่งกลับมายังทีมควบคุมที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ปล่อยภัยอีกที จริงอยู่ว่าระดับความสูงนี้ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับจรวดหยั่งอวกาศชนิดอื่นๆ แต่มันก็มากพอที่จะเก็บข้อมูลที่นักอุตุนิยมวิทยาต้องการ และคงทนต่อสภาพอากาศซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการทดลอง   จรวดหยั่งอวกาศโดยทั่วไปจะต้องปล่อยจากฐานปล่อยจรวดและบินได้สูงถึง 1500 กิโลเมตร     ความสำเร็จในครั้งนี้อาจจะทำให้การสำรวจพายุกลางทะเลที่เคยเป็นเรื่องอันตรายมากๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และทางทีมวิจัยเองก็หวังจะพัฒนาระบบเซนเซอร์สมุทรศาสตร์ของ USSV…

  • งานวิจัยใหม่บอก “โซนาร์” ไม่เพียงแต่ทำให้สัตว์ทะเลกลัว แต่อาจทำให้วาฬตายได้ด้วย

    งานวิจัยใหม่บอก “โซนาร์” ไม่เพียงแต่ทำให้สัตว์ทะเลกลัว แต่อาจทำให้วาฬตายได้ด้วย

    ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พอจะทราบว่าคลื่นโซนาร์ ส่งผลกระทบบางอย่างกับสัตว์ทะเลบางชนิดเช่นวาฬ จากการที่พวกมันมักจะว่ายน้ำหนีแหล่งกำเนิดคลื่นโซนาร์อยู่เสมอๆ อย่างไรก็ตามจากผลการวิจัยที่ออกมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เราก็ได้ทราบว่าโซนาร์ไม่เพียงแต่ทำให้วาฬว่ายน้ำหนีเท่านั้น แต่มันยังทำให้วาฬถึงตายได้เลยอีกด้วย     งานวิจัยในครั้งนี้เกิดขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าก่อนที่จะมีการผลิตคลื่นโซนาร์ที่ใช้งานความถี่ปานกลาง หรือ “MFAS” ในยุค 1960 เราแทบจะไม่เคยได้ยินข่าววาฬอย่างวาฬเบลคคูเวียร์เกยตื้นตายตามชายฝั่งเลย แต่พอ MFAS เริ่มพัฒนาขึ้นเราก็เห็นข่าววาฬรูปแบบนี้เกยตื้นมากขึ้นตามไปด้วย นั่นทำให้นักวิจัยคิดว่าการพัฒนาของ MFAS น่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกับความตายของวาฬเบลคคูเวียร์แน่ๆ และหลังจากที่พวกเขาตรวจสอบเหตุการณ์วาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ที่ประเทศกรีซระหว่างช่วงปี 2002-2014 พวกเขาก็พบว่าวาฬที่เกยตื้นนั้นมีบางส่วนที่มีฟองก๊าซจำนวนมากอยู่ในกระแสเลือด   นี่เป็นอาการที่เหล่านักดำน้ำรู้จักกันในชื่อ “โรคลดความกด” หรือ “โรคน้ำหนีบ” (Decompression sickness) ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการที่ลอยตัวขึ้นจากน้ำเร็วเกินไป จนก๊าซไนโตรเจนในเลือดกลายเป็นฟอง และอาจอุดเส้นเลือดที่ไขสันหลังหรือสมองจนสลบหรือเป็นอัมพาต จนเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ สิ่งที่พวกเขาพบทำให้นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่าวาฬที่เกยตื้นเหล่านี้น่าจะตกใจคลื่นเสียงของ MFAS จนทำให้พวกมันพยายามว่ายน้ำหนีให้เร็วที่สุด จนขึ้นมายังผิวน้ำเร็วเกินไปจนเกิดอาการโรคลดความกดและเกยตื้นไปในที่สุด     การค้นพบในครั้งนี้ช่วยอธิบายเหตุผลว่าทำไมในปี 2004 หลังจากที่สเปนห้ามการใช้คลื่นโซนาร์ในหมู่เกาะคานารีซึ่งเคยเป็นจุดเกยตื้นจุดใหญ่ การเกยตื้นของวาฬก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดได้อย่างดี ดังนั้นหลังจากที่งานวิจัยเสร็จสิ้นลง ทีมวิจัยจึงได้เสมอให้มีการห้ามใช้งานคลื่นโซนาร์ในพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันเป็นที่อยู่อาศัยของวาฬเบลคคูเวียร์ เพื่อป้องกันการลดลงของประชากรวาฬในมหาสมุทรต่อไป   ที่มา iflscience และ livescience

  • 14 สุดยอดภาพหายากของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ในระหว่างฝึกกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 1925

    14 สุดยอดภาพหายากของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ในระหว่างฝึกกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 1925

    ว่ากันว่ากว่าที่ผู้คนจะพบกับความสำเร็จ พวกเขาจะต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก พบกับความผิดพลาด และกล้ำกลืนความอับอายกันมาก่อน คำคำนี้ใช้ได้กับทุกๆ คนแม้แต่กับผู้นำเผด็จการอย่าง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ก็ตาม เพราะแม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนที่เคยชินกับการพูดหน้าประชาชนเท่าไหร่ก็ตาม ชายคนนี้ก็มีช่วงเวลาที่ต้องฝึกซ้อมหน้ากระจกเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองต้องพูดเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพการฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในปี 1925 ทั้ง 14 รูปต่อไปนี้ดูสิ   ภาพเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ว่าถูกถ่ายไว้ไม่นานหลังจากฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวจากคุก   โดยเป็นภาพที่ถ่ายไว้โดย Heinrich Hoffmann   เดิมทีแล้วฮิตเลอร์ขอให้ถ่ายภาพเหล่านี้ไว้เพื่อดูท่าทางเวลาพูดของตัวเอง   และหลังจากที่เห็นภาพของตัวเองฮิตเลอร์ ก็ขอให้ช่างภาพเอาภาพไปทำลายทิ้ง (น่าจะเพราะความอับอาย)   แต่แทนที่จะเอาภาพไปทำลาย Hoffmann กลับเอาภาพไปตีพิมพ์ในปี 1955   โดยเขาตั้งชื่ออัลบั้มภาพนี้ว่า “Hitler was my friend” หรือ “ฮิตเลอร์เคยเป็นเพื่อนของผม”   และแม้ว่าภาพเหล่านี้จะดูน่าตลก การฝึกซ้อมก็ทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็นคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าวผู้คนสูง   ถึงขนาดที่ลูกชายของ Hoffmann บอกว่าฮิตเลอร์มีความสามารถทำให้คนหยุดคิด และเชื่อฟังเข้าตามอารมณ์ชั่ววูบได้เลย   ดังนั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะอับอายกับภาพเหล่านี้ก็ตาม   แต่นี่ก็เป็นบันทึกชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์   และเป็นเครื่องเตือนใจที่บอกเราว่าไม่มีใครหรอกที่เก่งมาแต่กำเนิด…

  • ชมภาพเทศกาลเต๊ด งานขึ้นปีใหม่ของเวียดนามในช่วงยุค 1920 ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

    ชมภาพเทศกาลเต๊ด งานขึ้นปีใหม่ของเวียดนามในช่วงยุค 1920 ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

    เทศกาลเต๊ด มีอีกชื่อว่า “เต๊ด เหวียน ด๊าน” หรือ “ตรุษญวน” เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของชาวเวียดนาม ที่มีความสำคัญคล้ายๆ กับตรุษจีนของประเทศจีน (จัดขึ้นวันเดียวกันด้วย) อย่างไรก็ตามต่างจากตรุษจีนตรงที่ เต๊ด เหวียน ด๊าน (แปลว่าเทศกาลต้อนรับแสงรุ่งอรุณของปีใหม่) มักจะเริ่มฉลองกัน 7 วันก่อนวันขึ้นปีใหม่จริงๆ และมีประเพณีประจำแต่ละวันที่สืบทอดกันมาแต่ในอดีต ดังนั้นแทนที่จะไปชมเทศกาลเต๊ดที่หาชมได้ทั่วไปในปัจจุบัน ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมบรรยากาศเทศกาลเต๊ดที่เก่าแก่หน่อย อย่างภาพของ เทศกาลเต๊ดในช่วงยุค 1920 แทน ว่าแต่เทศกาลนี้ในอดีตจะเป็นแบบไหน เหมือนกับในปัจจุบันหรือไม่นั้น เรามารับชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   การเตรียมการเทศกาลเต๊ดมักจะเริ่มก่อนงาน 1 วัน โดยประชาชนจะออกมาเดินซื้อของกันตามตลาด ในภาพคือตลาด Dong Xuan ที่กรุงฮานอย   ภาพร้านขายภาพวาดที่มีประชาชนมาเลือกซื้อของเพื่อนำไปประดับบ้านในเทศกาลเต๊ดเมื่อปี 1929   ครอบครัวในกรุงฮานอยที่ถ่ายรูปหมู่กันในระหว่างเทศกาล   เหล่าเด็กๆ ที่กำลังดูนักเขียนพู่กันสร้างสรรค์ผลงานสำหรับประดับบ้านในวันเทศกาล   หญิงสาวที่กำลังขายใบตองสาด (หรือสาดแหลง) ที่มักนำไปใช้ห่อขนมแบ๊งห์จึง (ข้าวต้มมัดเวียดนาม)   ชายชราที่กำลังเลือกดอกไม้ไปประดับเทศกาล…

  • บริษัทอิสราเอลอ้าง กำลังพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม พร้อมทดลองใช้งานในหนึ่งปี

    บริษัทอิสราเอลอ้าง กำลังพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม พร้อมทดลองใช้งานในหนึ่งปี

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า มะเร็งคือหนึ่งในโรคร้ายที่มนุษย์ต่อสู้ด้วยมาอย่างยาวนาน และแม้จะงานวิจัยมากมายที่ออกมาศึกษาเกี่ยวกับเจ้าโรคร้ายนี้ จนแล้วจนรอดเราก็ยังไม่มีวิธีรักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุมและทำงานได้จริงอยู่ดี แต่เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง บริษัทสายเลือดอิสราเอลอย่าง “Accelerated Evolution Biotechnologies” (เรียกย่อๆ ว่า AEBi) ในปัจจุบันพวกเรากำลังพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ครอบคลุม และพร้อมทดลองใช้งานได้ภายในเวลาหนึ่งปี     ตามปกติแล้วเราอาจจะคิดว่าการออกมาอ้างปากเปล่าแบบนี้ไม่ว่าให้ก็คงจะทำได้ก็จริง แต่การออกมาแถลงการณ์ของทาง AEBi ก็ดูจะมีน้ำหนักกว่าการกล่าวอ้างอื่นๆ มาก เพราะทีมวิทยาศาสตร์ที่กำลังทำงานให้พวกเขาอยู่นั้นเป็นทีมเดียวกับที่ได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี ค.ศ. 2018 จากงานวิจัยเกี่ยวกับเทคนิค “Phage Display” ที่จะแสดงแอนติบอดีบนผิวเฟจที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งมาแล้ว   การทำงานของเทคนิค “Phage Display”   โดยเจ้ายาตัวใหม่ที่ AEBi กำลังผลิต มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า MuTaTo ซึ่งย่อมาจาก “Multi-Target Toxin” ยาปฏิชีวนะที่จะแสดงผลเป็นพิษทำลายเซลล์มะเร็งในขณะที่แทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับเซลล์อื่นๆ และมีราคาถูกพอที่จะใช้งานได้ทั่วไป มาถึงตรงนี้เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าเทคนิค Phage Display มันไปเกี่ยวข้องกับยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งเท่านั้นตรงไหน สำหรับเรื่องนี้ ถ้าจะให้อธิบายก็คือเทคนิค Phage Display สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นเทคโนโลยี “SoAP” ระบบที่จะทำให้ทางแพทย์สามารถแยกประเภทของโปรตีนในลำดับ DNA อย่างละเอียด ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถ “ชี้เป้า” DNA ที่ต้องการโดยเฉพาะได้  …

  • นักวิทย์พบ “กาแล็กซีสุดเหงา” ห่างจากโลก 30 ล้านปีแสง และเก่าแก่เกือบเท่าจักรวาล

    นักวิทย์พบ “กาแล็กซีสุดเหงา” ห่างจากโลก 30 ล้านปีแสง และเก่าแก่เกือบเท่าจักรวาล

    ในยุคที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับดาราศาสตร์ก้าวไกลเช่นนี้มนุษย์เราได้ทำการค้นพบกาแล็กซีใหม่ๆ กันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ในบางครั้งการค้นพบกาแล็กซีก็กลายเป็นอะไรที่ดูธรรมดาและไม่น่าสนใจไป แต่เมื่อล่าสุดนี้เองนักดาราศาสตร์ก็สามารถค้นพบกาแล็กซีใหม่ที่น่าสนใจมากพอที่จะนำมาบอกเล่าจนได้ เพราะในขณะที่นักดาราศาสตร์สำรวจอวกาศด้วยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลอยู่นั่นเอง พวกเขาก็พบว่าที่ด้านหลังของกระจุกดาวทรงกลม NGC 6752 ที่อยู่ห่างไปราวๆ 13,000 ปีแสงนั้น แท้จริงแล้วยังมีกาแล็กซีอยู่อีกแห่งหนึ่ง   ภาพของกระจุกดาวทรงกลม NGC 6752 นับเป็นกระจุกดาวที่สว่างที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่มนุษย์เคยพบมา   นี่เป็นกาแล็กซีที่ได้รับชื่อเล่นว่า “Bedin 1” กาแล็กซีขนาดค่อนข้างเล็กที่มีความกว้างสูงสุดอยู่ที่ 3,000 ปีแสง (กาแล็กซีทางทางเผือกมีขนาด 105,700 ปีแสง) แถมยังมีแสงที่ริบหรี่มากจนถูกจัดให้เป็นกาแล็กซีทรงกลมแคระไป แต่แม้ว่ากาแล็กซีทรงกลมแคระจะไม่ใช่ของที่หายาก “Bedin 1” กลับมีความพิเศษกว่านั้น เพราะไม่เพียงแต่มันจะห่างจากโลกถึง 30 ล้านปีแสงเท่านั้น แต่มันยังมีระยะห่างจากกาแล็กซี่ NGC 6744 ที่อยู่ใกล้ที่สุดถึง 2 ล้านปีแสงทำให้ Bedin 1 ถูกเรียกว่าเป็นกาแล็กซี่ “สุดเหงา” แห่งหนึ่งที่มนุษย์เคยพบมาเลย   ขึ้นตอนการขยายภาพเพื่อระบุตำแหน่งของ Bedin 1   เท่านั้นยังไม่พอกาแล็กซี Bedin 1 ยังถือว่าเป็นกาแล็กซีที่มีอายุถึง 13,000 ล้านปี…

  • นักวิทยาศาสตร์เผย สนามพลังแม่เหล็กโลกกำลังมีอาการแปลกๆ และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    นักวิทยาศาสตร์เผย สนามพลังแม่เหล็กโลกกำลังมีอาการแปลกๆ และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าสนามพลังแม่เหล็กนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกับโลกมาก เพราะมันช่วยป้องกันโลกจากลมสุริยะและรังสีคอสมิก และหากโลกไม่มีสนามพลังแม่เหล็กมนุษย์เราก็อาจจะสูญพันธุ์ไปได้ในเวลาสั้นๆ เลย อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้นักธรณีวิทยาจากหลากหลายมหาวิทยาลัยกลับออกมาบอกว่า สนามพลังแม่เหล็กที่คอยปกป้องเรามาตลอดนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลับกำลังมีสภาพที่แปลกไป     กล่าวคือในเวลานี้ ขั้วแม่เหล็กโลกกำลังเดินเคลื่อนที่จากแถบอาร์กติกของแคนาดา ไปสู่ไซบีเรียของรัสเซียด้วยความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก จริงอยู่กว่าการที่ขั้วแม่เหล็กเคลื่อนที่จะไม่ใช่เรื่องที่แปลกมากนัก เพราะในเอกสารที่เก็บมาตั้งแต่ปี 1580 เองก็มีการบันทึกไว้ว่าขั้วแม่เหล็กโลกจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาเวลาหลายศตวรรษ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นเร็วมากขึ้นจากปีละ 15 กิโลเมตร ไปเป็นปีละ 55 กิโลเมตร แถมยังมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นอีก     นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอบอกว่า เหตุผลหลักๆ ที่ขั้วแม่เหล็กเคลื่อนที่เร็วขึ้นน่าจะมาจากการที่แกนโลกด้านนอกที่เป็นเหล็กเหลวสร้างสนามพลังแม่เหล็กน้อยลงจากที่ควรเป็น ทำให้ขั้วแม่เหล็กเกิดการเคลื่อนที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ว่าทำไมสนามพลังแม่เหล็กที่สร้างขึ้น (โดยเฉพาะที่ใต้แคนาดา) จึงได้ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ไขกันไม่ได้ในปัจจุบัน แถมการที่สนามพลังแม่เหล็กมีภาพที่อ่อนแอลงเช่นนี้ยังเป็นสัญญาณที่บอกว่า สนามพลังแม่เหล็กของโลกอาจจะเกิดการสลับด้านในอนาคต (อีกหลายแสนปี) อีกครั้ง เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 780,000 ปีก่อนเลยด้วย     จริงอยู่ว่าการสลับด้านของสนามพลังแม่เหล็กจะเป็นเรื่องของอนาคตอันห่างไกลก็ตาม แต่การที่แกนโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้นก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับ ระบบหลายๆ อย่างที่อ้างอิงดาวเทียมและสนามพลังแม่เหล็กของโลก (อย่างระบบนำทางของเรือหรือ Google Map) ดังนั้นในปัจจุบันเหล่านักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามเป็นอย่างมากในการหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของสนามพลังแม่เหล็กนี้ และจะมีการหาทางรับมือกับผลกระทบต่อระบบนำทางอื่นๆ ของโลกไปพร้อมๆ กันด้วย   ที่มา nature, space และ iflscience

  • อียิปต์พบ มัมมี่ร่วม 50 ร่าง ในสุสานอายุ 2,300 ปี คาดมาจากครอบครัวคนที่มีตำแหน่ง

    อียิปต์พบ มัมมี่ร่วม 50 ร่าง ในสุสานอายุ 2,300 ปี คาดมาจากครอบครัวคนที่มีตำแหน่ง

    เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศได้มีรายงานการค้นพบมัมมี่จำนวนร่วม 50 ร่าง ที่แหล่งโบราณคดี Tuna El-Gebel ในเมืองมินยา เมืองทางตอนใต้ของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์     จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ มัมมี่เหล่านี้ถูกพบฝังลึกลงไปใต้ดินราวๆ 10 เมตรในสุสานอายุ 2,300 ปี และคาดว่าเป็นประชาชนที่เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยของราชวงศ์ทอเลมี (305-30 ปีก่อนคริสตกาล)     มัมมี่ที่พบมีอยู่ 12 ร่างที่เป็นของเด็ก และมีการฝังที่แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่แบบที่ถูกฝังในโลงศพหิน โลงศพไม้ ไปจนถึงแบบที่มีเพียงผ้าลินินพันเอาไว้เท่านั้น     ทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์เปิดเผยว่าเป็นไปได้มากที่คนเหล่านี้จะเคยเป็นคนที่มีตำแหน่งสำคัญมาก่อนในราชวงศ์ทอเลมี โดยดูจากการทำศพที่มีความพิถีพิถันสูง ทำให้มีเป็นไปได้ว่าสุสานแห่งนี้จะเป็นสุสานของตระกูลขนาดใหญ่     อย่างไรก็ตามการที่พวกเขาไม่พบชื่อของมัมมี่ที่เขียนไว้ในสุสานเลยก็ทำให้การยืนยันตัวตนของคนเหล่านี้เป็นไปได้อย่างยากลำบาก จากการบอกเล่าของทางประเทศอียิปต์ การค้นพบในครั้งนี้ถูกเข้าชมโดยทูตจากหลากหลายประเทศ และนับว่าเป็นการค้นพบหลังใหญ่ๆ ครั้งแรกของประเทศตั้งแต่เริ่มต้นปี 2019 มาเลย     ในปัจจุบันนักโบราณคดีได้ทำการส่งชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผา และกระดาษปาปิรุสที่พบในสุสานไปยังกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหากนักวิทยาศาสตร์โชคดี พวกเขาก็อาจจะพบข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ จากการวิเคราะห์โบราณวัตถุเหล่านี้ก็เป็นได้   ที่มา dailymail, bbc และ mirror

  • นักวิทยาศาสตร์พบเมืองเชอร์โนบิลในปัจจุบัน มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายกว่าที่เราคิด

    นักวิทยาศาสตร์พบเมืองเชอร์โนบิลในปัจจุบัน มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมายกว่าที่เราคิด

    ตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์หลอมละลายที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศยูเครนเมื่อปี 1986 พื้นที่ของเมืองเชอร์โนบิลก็กลายเป็นสถานที่ที่เติมไปด้วยกัมมันตรังสีรุนแรง จนทำให้พื้นที่แถวๆ นั้นกลายเป็นพื้นที่ร้างที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน… อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เราเคยเชื่อกัน     เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองในวารสาร “Food Webs” ฉบับเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2019 ก็ได้ตีพิมพ์งานวิจัยใหม่ล่าสุด ที่บอกเราว่าในปัจจุบันที่เชอร์โนบิลนั้นไม่เพียงแต่มีสัตว์ป่าเข้าไปอาศัยอยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังมีปริมาณสัตว์ป่าในธรรมชาติที่สูงมากๆ อย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วย โดยนี่เป็นงานวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ที่เข้าไปตรวจสอบเขตยกเว้นของเชอร์โนบิลตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา และมีการตั้งกล้องตรวจจับสิ่งมีชีวิตทั่วพื้นที่ที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่   สุนัขหมาป่าที่เคยมีรายงานการพบเห็นที่เชอร์โนบิล   จากการตรวจสอบวิดีโอที่ได้มาทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ต่างกันถึง 15 ประเภทในพื้นที่ ประกอบไปด้วยสัตว์ปีก 5 สายพันธุ์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก 10 สายพันธุ์ โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่น่าสนใจที่ถูกค้นพบนั้นได้แก่ หนู หมาป่า แรคคูน ตัวมิงค์ ตัวนาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ได้   ภาพของตัวนากที่ถูกถ่ายไว้ในระหว่างการวิจัย   อันที่จริงงานวิจัยนี้ก็ไม่ใช่งานวิจัยแรกที่มีการค้นพบสัตว์จำนวนมากในเชอร์โนบิลเช่นกัน เพราะในปี 2015 เองนักวิทยาศาสตร์ที่เข้ามาสำรวจเชอร์โนบิลก็เคยพบกับกวาง หมูป่า และหมาป่า ในจำนวนมากมาแล้ว อย่างไรก็ตามจากการวิจัยครั้งใหม่นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าสัตว์ที่มีปริมาณมากในที่นี้มักจะเป็นสัตว์กินซากเสียเป็นส่วนใหญ่ และจากการที่ปลาที่นักวิทยาศาสตร์ทดลองปล่อยกว่า 98% โดนจับกิน พวกเขาก็เชื่อว่าสัตว์น้ำในพื้นที่น่าจะกลายเป็นเหยื่อที่สำคัญต่อระบบนิเวศใหม่ไปแล้ว…

  • ย้อนรอย ภาพการพบปะของนายพลสหรัฐฯ กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ที่เคยโจษจันในญี่ปุ่นมาแล้ว

    ย้อนรอย ภาพการพบปะของนายพลสหรัฐฯ กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ที่เคยโจษจันในญี่ปุ่นมาแล้ว

    ถูกทิ้งระเบิดปรมาณูไป 2 ลูก ในที่สุดจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งประเทศญี่ปุ่นก็ต้องยอมรับความฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทางการจนได้     อย่างไรก็ตามแตกต่างจากฝ่ายนาซีที่ผู้นำอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายไป จักรพรรดิฮิโรฮิโตะผู้ซึ่งเป็นเหมือนสมมุติเทพของชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขายังได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศต่อด้วย นั่นทำให้มีหลายๆ ครั้งที่ทางสหรัฐฯ พยายามหาวิธีมาล้มล้างความเชื่อเรื่องสมมุติเทพของชาวญี่ปุ่น และแม้ว่าหลายๆ ครั้งจะจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 1945 รูปภาพรูปหนึ่งก็กลายเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการล้มล้างความเชื่อที่สหรัฐฯ พยายามมาตลอดจนได้     นี่เป็นภาพของพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ ผู้มีชื่อเสียงในการบัญชาการรบภาคพื้นแปซิฟิกผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวอเมริกันที่มีผลงานมากที่สุดในสงครามโลก ซึ่งกำลังถ่ายภาพคู่กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะในสภาพที่ไม่ได้เคารพอะไรอีกฝ่ายมากนัก ภาพที่เห็นนี้ถูกถ่ายไว้ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในญี่ปุ่น และถูกมองจากทางญี่ปุ่นว่าเป็นการไม่เคารพต่อสมมุติเทพของพวกเขาเป็นอย่างมาก แถมที่ผ่านๆ มาทางญี่ปุ่นจะพยายามใช้มุมกล้องทำให้จักรพรรดิดูตัวสูงน่าเกรงขามมาตลอด และไม่เคยมีใครเลยที่ทำกล้าทำตัวเท่าเทียมกันเช่นนี้ จนภาพที่ออกมาต้องถูกแบนไป   ภาพของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะที่ในช่วงก่อนหน้า   ในความเป็นจริงแล้วขั้นการต้อนรับจักรพรรดิของฝั่งสหรัฐฯ เป็นไปแบบสุภาพและให้เกียรติเป็นอย่างมากตลอดจนมาถึงขั้นตอนนี้ เพราะแม้แต่นายพลหลายๆ คนก็รายงานว่าแม้แต่นายพลแมกอาเธอร์ เองยังเรียกจักรพรรดิฮิโรฮิโตะว่าท่าน (Sir) ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลยด้วย อย่างไรก็ตามแมกอาเธอร์เห็นความไม่พอใจจากฝั่งญี่ปุ่นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่เตี้ยกว่าเขาก็เท่านั้น   นายพลแมกอาเธอร์สูงราวๆ 183 เซนติเมตร ส่วนจักรพรรดิฮิโรฮิโตะสูงราวๆ 165 เซนติเมตร   ดังนั้นนายพลแมกอาเธอร์จึงตัดสินใจยกเลิกการแบนภาพนี้พร้อมกับบังคับให้หนังสือพิมพ์ทั้งหมดลงภาพดังกล่าว เพื่อแสดงอำนาจอย่างชัดเจนว่าเขา (และสหรัฐฯ)…

  • “USS William D. Porter” เรือสุดซวยแห่งสงครามโลก ที่เกือบทำประธานาธิบดีเสียชีวิตมาแล้ว

    “USS William D. Porter” เรือสุดซวยแห่งสงครามโลก ที่เกือบทำประธานาธิบดีเสียชีวิตมาแล้ว

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โลกของเรามีเรืออยู่หลายลำที่มีเรื่องราวที่น่าเศร้าและเรียกได้ว่าโชคร้ายมากๆ แต่หากจะพูดถึงเรือที่อาจจะโชคร้ายที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว เราคงจะต้องพูดถึงเรือ “USS William D. Porter” เป็นลำแรกๆ เพราะนอกจากเรือลำนี้จะมีโอกาสได้โลดแล่นบนทะเลเพียงแค่ไม่ถึง 2 ปีแล้ว มันยังเคยเกือบทำประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตมาแล้ว   เรือ USS William D. Porter   USS William D. Porter (DD-579) เป็นเรือพิฆาตที่ออกปฏิบัติการในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 อย่างไรก็ตามความซวยจริงๆ ของเรือลำนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1943 เมื่อพวกเขาได้รับภารกิจคุ้มกันเรือ USS Iowa ที่กำลังพาประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt ไปยังกรุงไคโรต่างหาก   ประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt   เพราะแค่ตั้งแต่ภารกิจยังไม่เริ่ม เรือ William ก็เผลอเอาสมอเรือไปขูดกับดาดฟ้าเรือพิฆาตรุ่นพี่น้องจนเสียหายหนักมาแล้ว แถมหลังจากเดินทางไปได้ไม่ถึง 2 วันเรือ William ยังเผลอทำระเบิดน้ำลึกตกน้ำโดยไม่ได้ตั้งระบบเซฟตี้จนเกิดเหตุระเบิดขึ้นมาอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภารกิจอารักขาประธานาธิบดีที่ควรจะเป็นภารกิจลับตกอยู่ใต้ความสับสนแตกตื่นอย่างหนัก และกลายเป็นภารกิจที่ไม่เป็นความลับเท่าไหร่ไป เท่านั้นยังไม่พอในภารกิจเดียวกันนี้เอง ในตอนที่ประธานาธิบดี Franklin…

  • นักวิทย์พัฒนาระบบแปลง “สัญญาณ Wi-Fi” เป็น “ไฟฟ้า” เชื่ออาจนำโลกก้าวสู่ยุคใหม่

    นักวิทย์พัฒนาระบบแปลง “สัญญาณ Wi-Fi” เป็น “ไฟฟ้า” เชื่ออาจนำโลกก้าวสู่ยุคใหม่

    เชื่อว่าในปัจจุบันเพื่อนๆ คงจะเคยเห็นอุปกรณ์ชาร์จไฟด้วยระบบไร้สายกันมาบ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี เพราะจากที่เราจะต้องนั่งรอมือถือชาร์จไฟอยู่ใกล้ๆ ปลั๊กในปัจจุบันเราสามารถชาร์จมือถือจากแผ่นชาร์จที่อยู่ห่างออกไปได้กว่า 5 เมตรเลย ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นหาก #เหมียวศรัทธา บอกว่าอีกหน่อยเราจะสามารถไปเดินเล่นในห้างได้ โดยที่มือถือในกระเป๋าชาร์จไฟไปด้วยโดยอัตโนมัติล่ะ?     นั่นเพราะว่าเมื่อล่าสุดนี้เองสื่อต่างประเทศได้มีรายงานการทดลองพัฒนาระบบ “Two-dimensional MoS2” รูปแบบใหม่ที่ชาร์จเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จากสัญญาณไวไฟนั่นเอง เจ้าระบบที่ว่านี้ถูกเรียกกันว่า Rectenna ซึ่งมีระบบการทำงานที่สามารถสรุปง่ายๆ ว่ามันจะดูดเอาคลื่นสัญญาณ wi-fi มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จเข้าไปยังแบตเตอรี่หรือนำไปใช้งานได้โดยตรงต่อไป     โดยจากในการทดลองนักวิทยาศาสตร์พบว่าสัญญาณไวไฟทั่วไปจะสามารถแปรงมาเป็นไฟฟ้าได้ราวๆ 40 ไมโครวัตต์ ซึ่งแม้จะแลดูไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นจากการทดลองที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเมื่อปี 2017 อยู่พอสมควร และที่สำคัญมันมากพอที่จะทำให้ LED และชิปซิลิคอนทำงานได้     เท่านั้นยังไม่พอเพราะระบบที่ว่านี้ยังสามารถใช้งานได้กับเคลื่อนวิทยุบางชนิดด้วย ซึ่งทำให้ระยะการรับพลังงานไฟฟ้าของมันยิ่งมีความกว้างมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และอาจจะเปิดทางให้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกเป็นจำนวนมากเลยด้วย ศาสตราจารย์ Tomás Palacios จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ “MIT” บอกว่าหากเราสามารถพัฒนาให้ระบบดังกล่าวทำงานได้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน และสามารถฝังอยู่ในกำแพงหรือตามถนนได้ เราจะสามารถใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จากทั่วทุกที่โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป       และที่สำคัญคือของระบบนี้นั้น ยังสามารถปรับแต่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตกำลังไฟที่มากขึ้นไปอีก แถมหากโชคดีนักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าพวกเขาอาจจะปรับแต่งให้มันทำงานกับบลูทูธ สัญญาณวิทยุทุกประเภท หรือแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์เลยก็เป็นได้…

  • ย้อนรอย “สวนสัตว์มนุษย์” สถานที่จัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19-20

    ย้อนรอย “สวนสัตว์มนุษย์” สถานที่จัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19-20

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ประเทศในแถบหลายประเทศ ได้มีการสร้าง “สวนสัตว์มนุษย์” ขึ้นมาเพื่อจัดแสดงเหล่าชนพื้นเมืองต่างชาติที่ถูกมองว่า “แปลกประหลาด” และเปิดให้คนภายนอกเข้ามาดูราวกับเพื่อนมนุษย์เป็นเพียงแค่สิ่งบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น     สวนสัตว์ในรูปแบบนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกๆ ในฐานะงานแสดงของแปลกที่มักจะถูกจัดขึ้นหลังจากที่ชาวยุโรปไปออกสำรวจโลก และพาคน สัตว์ หรือสิ่งของกลับมาเพื่อเป็นหลักฐานการเดินทาง โดยงานแสดงของแปลกที่มีชื่อเสียงในช่วงเวลานี้ก็ได้แก่การจัดแสดงผู้หญิงพื้นเมืองแอฟริกาใต้ที่ชื่อว่า Saartjie Baartman ในช่วงปี 1810-1815 เป็นต้น   ภาพการ์ตูนล้อเลียนของ Saartjie Baartman ในตอนที่เธอถูกจัดแสดงในลอนดอน เมื่อต้นศตวรรษที่ 19   อย่างไรก็ตามแรงบันดาลใจของการเปิดสวนสัตว์มนุษย์ส่วนมาก เชื่อกันว่ามาจากชายชาวเยอรมันที่ชื่อ Carl Hagenbeck ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มากกว่า นั่นเพราะในช่วงนั้น การเลี้ยงดูสัตว์ในสวนสัตว์มักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง Carl ที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์หายาก จึงหาสิ่งดึงดูดความสนใจอื่นๆ เพื่อเพิ่มเงินให้กับธุรกิจของเขา   โปสเตอร์โฆษณางานแสดงของชาวเซมีของ Carl Hagenbeck ในปี 1893   เขาตัดสินใจที่จะนำชนพื้นเมืองเข้ามา “ช่วย” จัดแสดงสัตว์ที่พบในท้องถิ่นของพวกเขา คล้ายๆ คณะละครสัตว์ และได้รับความนิยมมาก จนทำให้ชาวยุโรปหลายๆ คนสนใจในความสามารถในการทำเงินของชาวพื้นเมือง…

  • เศษหนังสือโบราณที่ระบุเรื่อง “เมอร์ลิน” จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ถูกพบในห้องสมุดอังกฤษ

    เศษหนังสือโบราณที่ระบุเรื่อง “เมอร์ลิน” จากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ ถูกพบในห้องสมุดอังกฤษ

    เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระหว่างที่ Michael Richardson บรรณารักษ์ของห้องสมุดแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลกำลังตรวจสอบหนังสือโบราณจำนวนหนึ่งจากศตวรรษที่ 16 อยู่ เขาก็บังเอิญพบกับเศษหน้าหนังสือจำนวน 7 แผ่นที่ระบุชื่อของตัวละครจากตำนานกษัตริย์อาเธอร์เอาไว้ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ   หนึ่งในเศษหน้าหนังสือที่พบ   Michael รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เขาพบมาก เพราะหนังสือที่เขาพบเศษหน้าหนังสือนั้นไม่ได้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานกษัตริย์อาเธอร์เลย ดังนั้นเขาจึงติดต่อ Dr. Leah Tether แห่งสมาคมตำนานกษัตริย์อาเธอร์ให้มาช่วยแปลภาษาหนังสือที่พบทันที โดยหลังจากที่ทีมงานแปลเอกสารไปได้ส่วนหนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเศษหน้าหนังสือที่พบระบุเรื่องราวของ “เมอร์ลิน” พ่อมดที่มีชื่อเสียงจากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ในตอนที่เขาวางแผนรบกับกษัตริย์คลอดัสที่เป็นศัตรูในประเทศฝรั่งเศสเอาไว้   ภาพของเมอร์ลินจากหนังสือตำนานกษัตริย์อาเธอร์ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1903   แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาแปลกใจกับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะจากคำบอกเล่าของ Dr. Leah เรื่องราวในเศษหน้าหนังสือที่พวกเขาพบ ยังมีความแตกต่างจากเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์ที่เรารู้จักในระดับที่ “ไม่มากแต่ก็สำคัญ” หนึ่งในความแตกต่างที่พวกเขาพบคือในตำนานที่เรารู้จักกษัตริย์คลอดัสจะต้องได้รับบาดเจ็บที่ต้นขา แต่ในเศษหน้าหนังสือกลับไม่ได้มีการระบุเอาไว้ว่ากษัตริย์คลอดัสบาดเจ็บที่ไหน ซึ่งสามารถทำให้ภาพลักษณ์ของตัวละครและการรบเปลี่ยนไปมาก น่าเสียดายที่เศษหน้าหนังสือที่พวกเขาพบค่อนข้างที่จะเสียหายมาก ดังนั้นทางทีมงานของ Dr. Leah จึงบอกว่าพวกเขาน่าจะต้องใช้เวลาในการถอดรหัสค่อนข้างนาน และอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างอินฟราเรดเลยด้วย   Dr. Leah Tether (ซ้าย) กับ Michael Richardson (คนที่สองจากทางขวา) และทีมงานของมหาวิทยาลัยบริสตอล  …

  • นักโบราณคดีพบ เมืองโบราณที่หายไปกว่า 200 ปี ในแอฟริกาใต้ ด้วยเทคโนโลยี LiDAR

    นักโบราณคดีพบ เมืองโบราณที่หายไปกว่า 200 ปี ในแอฟริกาใต้ ด้วยเทคโนโลยี LiDAR

    ตั้งแต่ที่มีการคิดค้นเทคโนโลยี LiDAR (Light Imaging, Detection And Ranging) เทคโนโลยีที่ใช้ในการค้นหาด้วยแสงเลเซอร์และโดรน นักโบราณคดีก็ค้นพบโบราณสถานที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองของเผ่ามายาที่หายไป หรือเมืองโบราณ “มเหนทรบรรพต” ในกัมพูชา และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเทคโนโลยี LiDAR ก็ได้สร้างผลงานอีกครั้งเมื่อนักโบราณคดีที่แอฟริกา ได้ค้นพบเมืองโบราณเก่าแก่ ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนตั้งแต่เมื่อ ศตวรรษที่ 15 เรื่อยมาจนถึงเมื่อราวๆ 200 ปีก่อน   ภาพของเมืองโบราณที่ถูกจำลองขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงข้อมูลที่ได้มาจาก LiDAR   นี่เป็นหนึ่งในเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ใช้ภาษา Tswana ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Suikerbosrand ของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเมืองที่มีการค้นพบในครั้งนี้มีชื่อว่า “Kweneng” เมืองที่กินพื้นที่กว่า 20 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยบ้านเรือนราวๆ 750-850 หลัง และเชื่อกันว่าเคยมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน   ภาพของภูมิประเทศของพื้นที่ที่จำลองขึ้นโดยอาศัย LiDAR   ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าทำไมเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เช่นนี้จึงถูกทิ้งร้างไปเมื่อราวๆ 200 ปีก่อน แต่จากข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี เป็นไปได้ว่าเมืองแห่งนี้จะถูกทำลายไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ของชาว Tswana   อีกมุมหนึ่งของเมืองโบราณที่ถูกจำลองขึ้น   Fern Imbali Sixwanha หนึ่งในนักโบราณคดีของการวิจัยครั้งนี้บอกว่า การค้นพบในครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าใจวิถีชีวิตของชาวแอฟริกาใต้ในสมัยก่อนมากยิ่งขึ้น และอาจจะช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์ที่หายไปของชาว Tswana ได้เป็นอย่างดี  …

  • นักวิทย์ตรวจสอบ มัมมี่ในแจกันแห่งเอกวาดอร์ เชื่อไขปริศนาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

    นักวิทย์ตรวจสอบ มัมมี่ในแจกันแห่งเอกวาดอร์ เชื่อไขปริศนาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

    ในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1949 ที่เมือง Guano เมืองเล็กๆ ในประเทศเอกวาดอร์ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นจนกำแพงที่โบสถ์เก่าแก่ในพื้นที่ถล่มลงมา และเผยให้เห็นแจกันขนาดใหญ่ที่ใส่มัมมี่จากศตวรรษที่ 16 เอาไว้     ร่างของมัมมี่ที่พบเชื่อกันว่าเป็นของชายที่ชื่อว่า Fray Lázaro de Santofimia ชายชาวสเปนที่เดินทางมาดูแลโบสถ์ในปี 1565-1572 และยังไม่มีใครฟันธงได้ว่าทำไมศพของเขาถูกนำไปเก็บไว้ในแจกันได้แม้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Philippe Charlier ได้เข้ามาตรวจสอบมัมมี่สุดแปลกร่างนี้อีกครั้ง และแม้ว่าเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมศพของ Fray จึงไปอยู่ในแจกันได้ แต่ Charlier ก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับมัมมี่ที่พบแทน     นั่นเพราะภายในกระดูกของมัมมี่แห่งเอกวาดอร์ที่พบนั้นมีร่องรอยของอาการ “Rheumatoid Arthritis” หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อยู่ด้วย นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าเราจะมีหลักฐานที่ว่าโรคข้ออักเสบมีอยู่ในทวีปอเมริกาตั้งแต่ก่อนโคลัมบัสไปสำรวจ แต่เราไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บอกว่าโรคโรคข้ออักเสบกระจายไปในยุโรป และลามไปทั่วโลกได้อย่างไร     ดังนั้น Dr. Charlier บอกว่ามัมมี่ของ Fray อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในประวัติศาสตร์ที่หายไปของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เลยก็เป็นได้ เพราะการพบว่ามัมมี่ชาวสเปนมีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อยู่ก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ทฤษฎีที่ว่าโรคดังกล่าวเข้ามาในยุโรปเป็นครั้งแรกจากชาวสเปนที่ไปล่าอาณานิคมในอเมริกาได้เป็นอย่างดี     อย่างไรก็ตามการวิจัยและตรวจสอบบมัมมี่แห่งเอกวาดอร์ที่เก็ดขึ้นนั้นยังไม่ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แต่อย่างใด ทำให้ในปัจจุบันเรายังมีโอกาสที่จะพบข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์…

  • คู่รักพบระเบิดจากสมัยสงคราม แต่กลับเอามันไปที่ร้าน “ทาโก้ เบลล์” แทนที่จะแจ้งผู้เกี่ยวข้อง

    คู่รักพบระเบิดจากสมัยสงคราม แต่กลับเอามันไปที่ร้าน “ทาโก้ เบลล์” แทนที่จะแจ้งผู้เกี่ยวข้อง

    จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งคุณไปพบกับระเบิดมือจากสงครามโลกครั้งที่สองโดยบังเอิญ คุณจะโทรแจ้งนักโบราณคดีอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าคุณจะโทรเรียกหน่วยกู้ระเบิด? ไม่ว่าจะทางไหนเชื่อว่าคงไม่มีใครทำเรื่องสุดประหลาดเหมือนกับ Lorena Upton และ Charles Carter สองคู่รักชาวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้แน่ๆ     เพราะแทนที่จะโทรเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันทีที่พบระเบิด พวกเขากลับหยิบระเบิดลูกที่พบแล้วขับรถไปร้านทาโก้ เบลล์ที่เมือง Ocala เสียอย่างนั้น จากรายงานของสื่อต่างประเทศ ในวันที่เกิดเหตุ Lorena และ Charles คนขายเศษเหล็ก ไปตกปลา (อันที่จริงต้องบอกว่าไปตกหาเศษเหล็ก) กันที่แม่น้ำ Ocklawaha และบังเอิญตกได้ระเบิดมือรุ่น Mk 2 ที่เคยถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายในหมู่ทหารสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามในเวลานั้นพวกเขายังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พบนั้นเป็นอะไร จริงอยู่ว่าพวกเขาสงสัยอยู่บ้างว่าสิ่งที่พบอาจจะเป็นระเบิด แต่ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อมากมายนัก     ดังนั้นแทนที่จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที Charles ก็ตัดสินใจเก็บระเบิดไว้กับเศษเหล็กอื่นๆ ที่ตกได้ และขับรถไปทานอาหารที่ร้านทาโก้ เบลล์แทน พวกเขาติดต่อหาตำรวจที่นั่นเพื่อยืนยันตัวตนของสิ่งที่พวกเขาพบ และก็ต้องตกใจเมื่อทราบว่าสิ่งที่เขาตกขึ้นมานั้นเป็นระเบิดจากช่วงสงครามโลกจริงๆ จากข้อมูลอ้างอิงในคู่มือภาคสนามกองทัพสหรัฐฯ เมื่อปี 1988 ระเบิด Mk 2 แม้จะมีน้ำหนักเพียง 595 กรัม แต่ก็มีรัศมีระเบิดกว้างได้มากถึง 10 เมตร  …

  • อียิปต์เผยการค้นพบ โรงผลิตไวน์อายุ 2,000 ปี ที่ปากแม่น้ำไนล์ พร้อมวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง

    อียิปต์เผยการค้นพบ โรงผลิตไวน์อายุ 2,000 ปี ที่ปากแม่น้ำไนล์ พร้อมวัตถุโบราณจำนวนหนึ่ง

    เมื่อวันที่ 28 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ได้ออกมาประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กถึงการค้นพบโรงผลิตไวน์อายุกว่า 2,000 ปี ที่แหล่งโบราณคดีใกล้ๆ กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ทางตอนเหนือของกรุงไคโร     จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา สิ่งปลูกสร้างที่ถูกพบในครั้งนี้เชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วงยุคกรีก-โรมันของอียิปต์ ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาลไปจนถึงศตวรรษที่ 7 และเป็นหนึ่งในสถานที่ผลิตไวน์ที่มีคุณภาพดีที่สุดของอียิปต์ในสมัยนั้น     อันที่จริงแล้วพื้นที่บางส่วนของโรงผลิตไวน์แห่งนี้เคยมีการค้นพบมาก่อนแล้วในการขุดค้นเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตามในเวลานั้นนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าในบริเวณใกล้ๆ กันจะมีอาคารโบราณอยู่อีกหนึ่งแห่ง เป็นไปได้ว่าอาคารที่พบนี้จะเป็นสถานที่สำหรับเก็บไวน์ที่ผลิตขึ้นอีกทีหนึ่ง โดยอ้างอิงจากโบราณวัตถุสิ่งที่พบ บวกกับการที่ผนังทำจากอิฐโคลนและหินปูนซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิภายในอาคารเย็นและเหมาะสมกับการเก็บไวน์     โดยโบราณวัตถุที่พบนั้น ประกอบไปด้วย เตาเผากับเครื่องดินเผาซึ่งคาดว่าใช้งานเป็นภานะใส่ไวน์ในสมัยนั้น และเหรียญทองอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเหรียญที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงราชวงศ์ปโตเลมี (ราวๆ 323 ปีก่อนคริสตกาล) ไปจนถึงตอนที่อียิปต์พ่ายแพ้แก่ชาวอิสลาม (ปีค.ศ. 639-646)     นอกจากนี้บนตัวผนังเองนักโบราณคดียังพบกับร่องรอยของกระเบื้อง และเศษสีที่เคยประดับกำแพงอีกเล็กน้อยซึ่งเป็นหลักฐานที่ดีว่าที่แห่งนี้เคยมีการตกแต่งอย่างดีมาก่อน และจากร่องรอยสิ่งประดับตกแต่งที่พบเองนักโบราณคดีก็คาดว่าในบริเวณแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ยังน่าจะมีอาคารเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อาศัยของคนงานโรงผลิตไวน์ฝังเอาไว้อยู่ด้วยก็เป็นได้ ทำให้การขุดค้นสถานที่แห่งนี้ ยังต้องมีการดำเนินงานกันต่อไปในอนาคต     ที่มา livescience และ เฟซบุ๊กกระทรวงโบราณวัตถุแห่งประเทศอียิปต์

  • พบเชื้อราชนิดใหม่ที่วิหารในโปรตุเกส ไชเส้นใยลงหินแถมยังเป็นกรด ทำลายโบราณสถาน

    พบเชื้อราชนิดใหม่ที่วิหารในโปรตุเกส ไชเส้นใยลงหินแถมยังเป็นกรด ทำลายโบราณสถาน

    โบราณสถานที่สำคัญๆ ของโลกนั้นมีศัตรูอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่เขามาในพื้นที่ นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่จะทำให้โบราณสถานเสื่อมสภาพรวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น และสำหรับวิหารเก่าแก่อายุกว่า 800 ปีอย่างวิหาร Sé Velha de Coimbra ที่โปรตุเกสแล้วศัตรูที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่ที่มีการก่อสร้างวิหารมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ก็ไม่ใช่ ภัยธรรมชาติหรือมนุษย์แต่เป็นเชื้อราตัวเล็กๆ ต่างหาก     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เข้าสำรวจวิหารอันเป็นหนึ่งในมรดกโลกขององค์กรยูเนสโกแห่งนี้ ก็ได้พบว่าวิหาร Sé Velha de Coimbra กำลังถูกกัดกินโดยเชื้อราที่มนุษย์ไม่รู้จักมาก่อนอยู่ นี่เป็นเชื้อราสีดำที่มีความสามารถในการกระจายเส้นใยลงไปในเนื้อหิน ซึ่งหากปล่อยไว้นานเกินไปและไชลึกลงไปในตัวโบราณสถาน และนำมาซึ่งรอยแตกร้าวบนผนังของวิหารอันทรงคุณค่าได้     เมื่อราชนิดนี้งอกขึ้นมาที่ไหนแล้ว มันจะกำจัดได้ยากมากๆ เพราะพวกมันมีความทนทานต่อสภาพอากาศ อยู่ได้นานแม้จะมีภัยแล้ง ทนกับรังสีอัลตราไวโอเลต หรือแม้กระทั่งอุณหภูมิที่สูงมากๆ เท่านั้นยังไม่พอเพราะเชื้อราที่พบนี้ยังสามารถสร้าง “พอลิแซ็กคาไรด์” ที่มีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งจะทำลายพื้นที่ที่มีราชนิดนี้ขึ้นอย่างรวดเร็วเข้าไปอีก     ความสามารถอันน่ากลัวของเชื้อรานี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์มองพวกมันว่าเป็นภัยต่อวิหาร Sé Velha de Coimbra เป็นอย่างยิ่ง และหลังจากที่ทำการตรวจสอบเชื้อราที่พบอย่างละเอียด พวกเขาก็ได้ตั้งชื่อให้เชื้อราชนิดนี้ว่า “Aeminium ludgeri” เป็นไปได้ว่าราชนิดนี้จะติดมากับวิหารแห่งนี้ตั้งแต่ตอนที่มีการก่อสร้างเลย…

  • นิทรรศการในสหรัฐฯ จัดแสดงแผนที่โบราณที่มีภาพของ Mansa Musa ชายที่รวยที่สุดในโลก

    นิทรรศการในสหรัฐฯ จัดแสดงแผนที่โบราณที่มีภาพของ Mansa Musa ชายที่รวยที่สุดในโลก

    ตั้งแต่ช่วงวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมาเรื่อยไปจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2019 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะในสหรัฐอเมริกาได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ “Caravans of Gold” ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ประวัติศาสตร์ทางศิลปะ วัฒนธรรม และการค้าของยุคกลางของแอฟริกาแถบทะเลทรายซาฮารา     โดยในงานนิทรรศการครั้งนี้มีจุดประสงค์ในการจัดขึ้น เพื่อล้มล้างแนวคิดแบบเหมารวมที่ว่าความแอฟริกาในอดีตมักจะยากจน และไม่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ และมีไฮไลท์อยู่ที่แผนที่โบราณที่ออกจำหน่ายในช่วงปี 1975 นี่เป็นแผนที่ที่แม้จะมีรายละเอียดพื้นที่ที่ไม่มากนัก แต่ก็มีจุดเด่นอยู่ที่การระบุเส้นทางการค้าในสมัยนั้น และมีภาพของ “Mansa Musa” จักรพรรดิคนที่ 14 แห่งจักรวรรดิมาลีวาดเอาไว้     โดย Mansa Musa นั้น เป็นชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าร่ำรวยมีทรัพย์สินอยู่มากมายจนใช้ยังไงก็ไม่หมด จากการที่เขาครอบครองเมืองในแถบแอฟริกากว่า 22 เมือง แถมแต่ละเมืองยังมีเหมืองทองขนาดใหญ่อีกด้วย การที่มีเหมืองทองมากมายขนาดนี้นี่เอง ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่จะบอกว่าเผลอๆ Mansa Musa อาจจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์เลย เขานั้นร่ำรวยถึงขั้นที่ว่าในตอนที่เขาออกเดินทางไปยังเมืองมักกะฮ์ มีบันทึกในหลายๆ ประเทศที่เขาเดินทางผ่านบันทึกถึงความร่ำรวยของเขาเอาไว้ จากการที่เจ้าตัวเอาอูฐ 80 ตัวซึ่งแต่ละตัวขนทองหนัก 23-136 กิโลกรัมเดินทางไปด้วย แถมยังแจกเงินให้คนจนอีก…

  • “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจเด็กที่ต้องแยกจากพ่อ ผู้ไปรับใช้ชาติเมื่อปี 1940

    “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจเด็กที่ต้องแยกจากพ่อ ผู้ไปรับใช้ชาติเมื่อปี 1940

    ในวันที่ 1 มกราคมปี ค.ศ. 1940 ในระหว่างที่กองทหารบริติชโคลัมเบีย กำลังเดินทางผ่านถนนสายที่ 8 ของสี่แยกโคลัมเบีย ในนิวเวสต์มินสเตอร์ ประเทศแคนาดา ก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังจะเดินอยู่ในขบวนทหารเหล่านั้น     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ถูกจับภาพไว้อย่างรวดเร็วโดยนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า Claude P. Dettloff และได้ชื่อว่า “Wait for me, Daddy” ภาพสุดสะเทือนใจของครอบครัวที่ต้องแยกจากกันเพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้เข้าร่วมสงครามรับใช้ชาติ ภาพของ Claude ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากผู้ที่พบเห็น จนถูกนำไปติดในแทบทุกๆ โรงเรียนในรัฐบริติชโคลัมเบีย และทางรัฐบาลนำมาใช้เป็นโฆษณาเชิญชวนคนมาซื้อธนบัตรสงคราม สร้างเงินทุนจากให้ทางกองทัพ   ภาพ Wait for me, Daddy ที่ได้รับการลงสีในภายหลัง   จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ เด็กชายที่อยู่ในภาพมีชื่อว่า Warren “Whitey” Bernard โดยในเวลานั้นเขาอายุได้เพียง 5 ขวบและกำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 เด็กหนุ่มตัดสินใจปล่อยมือจาก Bernice Bernard ผู้เป็นมารดา และวิ่งเข้าไปหาบิดาที่มีชื่อว่า Jack Bernard ในขณะที่ผู้เป็นพ่อทำได้เพียงยิ้มรับและยื่นมือไปหาก็เท่านั้น ในเวลานั้น…

  • การวิจัยเผย โลกเคยเกือบเสียสนามพลังแม่เหล็กในอดีต โชคดีที่แกนโลกแข็งตัวทันพอดี

    การวิจัยเผย โลกเคยเกือบเสียสนามพลังแม่เหล็กในอดีต โชคดีที่แกนโลกแข็งตัวทันพอดี

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าสนามพลังแม่เหล็กของโลกนอกจากจะทำให้เข็มทิศสามารถหันไปทางเหนือได้อย่างถูกต้องแล้วมันยังช่วยป้องกันโลกของเราจากลมสุริยะและรังสีคอสมิก จนเรียกได้ว่าสนามพลังแม่เหล็กเป็นดั่งโล่ที่คอยปกป้องโลกจากภัยอันตรายจากอวกาศเลยก็ไม่ผิดนัก สนามพลังแม่เหล็กอาจจะฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกของเรามาเป็นเวลานานแล้ว แต่จากการวิจัยใหม่ของเหล่านักดาราศาสตร์ ดูเหมือนว่าโล่ที่คอยปกป้องโลกในปัจจุบัน จะเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ราวๆ 565 ล้านปีเท่านั้นเอง     นักดาราศาสตร์ได้ออกมาบอกว่าเมื่อราวๆ 565 ล้านปีก่อน สนามพลังแม่เหล็กของโลกกำลังอยู่ในช่วงที่มีความหนาแน่นต่ำที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าหรือ “ไดนาโม” ของโลกอยู่ในสภาพที่แย่สุดๆ ผลการวิจัยนี้ออกมาหลังจากที่ John Tarduno นักธรณีฟิสิกส์มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ได้ตรวจสอบการรวมตัวของแม่เหล็กในผลึกเดี่ยวของแร่กลุ่ม Plagioclase และ Clinopyroxene ที่เกิดขึ้นราวๆ 565 ล้านปีก่อน เพื่อหาลักษณะของสนามพลังแม่เหล็กโลกในเวลานั้น     พวกเขาพบว่าโลกในช่วงที่แร่เหล่านี้เกิดขึ้นมีความหนาแน่นของสนามแม่เหล็กต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนถึงขั้นที่พวกเขาสามารถกล่าวได้ว่าสนามแม่เหล็กเกือบจะพังทลายไปในเวลาอันใกล้ แม้เราจะไม่รู้ว่าสาเหตุที่ความหนาแน่นนี้ของโลกต่ำเกิดจากอะไร แต่นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการหมุนรอบตัวเองของโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โลกมีการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้าตามทฤษฎีไดนาโม     แต่โชคดีมากที่ในช่วงเวลานั้น แกนด้านในของโลกเกิดการแข็งตัวขึ้นมาในระดับที่เหมาะสมพอดี เพราะการที่โลหะเหลวส่วนหนึ่งของแกนโลกแข็งตัวนี้เองได้ช่วยให้สนามพลังแม่เหล็กของโลกที่เคยกระจายออกไปทั่วทุกทิศ เปลี่ยนไปเป็นรูปคล้ายเครื่องหมาย ∞ แบบในปัจจุบัน และช่วยเหลือโลกเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที     จริงอยู่ที่ว่าการแข็งตัวของแกนโลกในเวลานั้นจะยังไม่ถือว่าสมบูรณ์จริงๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้สนามพลังแม่เหล็กคืนสภาพกลับมาได้ และเมื่อแกนโลกเริ่มแข็งตัวมากขึ้นสนามแม่เหล็กก็มีสภาพที่ดีขึ้นไปด้วย และอยู่รอดมาคอยปกป้องพวกเราแบบในปัจจุบันนั่นเอง   ที่มา zmescience และ sciencenews

  • เปิดตำนานของ “เจงล็อต” เครื่องรางไสยศาสตร์แห่งอินโดนีเซีย ที่มีรูปร่างน่ากลัวราวสัตว์ร้าย

    เปิดตำนานของ “เจงล็อต” เครื่องรางไสยศาสตร์แห่งอินโดนีเซีย ที่มีรูปร่างน่ากลัวราวสัตว์ร้าย

    เคยได้ยินตำนานเจงล็อต (Jenglot) ของประเทศอินโดนีเซียมาก่อนไหม? มันคือตุ๊กตาที่รูปร่างคล้ายคนตัวผอมแห้งขนาดเล็ก แต่กลับมีเล็บและเขี้ยวยาวราวกับสัตว์ป่า และเชื่อกันว่ามีฤทธิ์สามารถทำให้ผู้ครอบครองโชคดีหากดูแลอย่างถูกต้อง เรื่องราวของเจงล็อต ถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1997 และเป็นความเชื่อที่ค่อนข้างใหม่มาก อย่างไรก็ตามชาวอินโดนีเซียจำนวนหนึ่งก็เชื่อว่าจริงๆ แล้วเจงล็อต เกิดขึ้นในปี 1972 หรือไม่ก็ก่อนหน้านั้นเป็นร้อยๆ ปีมากกว่า     จุดกำเนิดของเจงล็อตตามตำนานมีอยู่ราวๆ 3 แบบคือ 1. มันเคยเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเรียนรู้วิชาเวทมนตร์ดำ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตเป็นอมตะ ดังนั้นเมื่อพวกเขาตายร่างกายจึงถูกผืนดินปฏิเสธ จนไม่เน่าสลายและขนาดตัวหดลงจนเหลือเท่าที่เห็น 2. มันเป็นเครื่องรางที่ชาแมนพบหลังจากพิธีกรรม โดยที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากไหน 3. มันเป็นสัตว์ร้ายในโลกที่พิสูจน์ไม่ได้โดยทางวิทยาศาสตร์และถูกจับมาเลี้ยงโดยผู้มีวิชาในอดีต     ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเจงล็อตก็ถูกเชื่อว่าจะนำโชคมาให้แก่คนที่ดูแลมันอย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากดูแลพวกมันไม่ดี เจ้าของเจงล็อตก็อาจจะต้องประสบกับเรื่องน่ากลัวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หนึ่งในวิธีเลี้ยงเจงล็อตที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาคือให้หยดเลือดใส่ปากของมันและเก็บเอาไว้ในกล่องหรือหีบ โดยที่ห้ามแอบดูจนกว่าเจงล็อตจะกินเลือดจนหมด และหากอยากจะทำให้มันสิ้นฤทธิ์ก็ให้ขังมันเอาไว้จนกว่ามันจะแห้งไป     เจงล็อตมักจะมีการจัดแสดงในแถบอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในฐานะสิ่งลึกลับจากในสมัยโบราณอยู่บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามคนส่วนมากก็มักจะมองว่าเจงล็อตที่ถูกนำมาโชว์นั้นเป็นของปลอมหรือไม่ก็ “ตายไปแล้ว” อยู่เสมอๆ แถมเมื่อมีการตรวจสอบเจงล็อตในปี 2009 นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเส้นพบที่เห็นบนเจงล็อตที่ตั้งโชว์ในอินโดนีเซียนั้น จริงๆ แล้วมาจากการนำผมมนุษย์มาติดบนตุ๊กตาเฉยๆ อีกด้วย ทำให้ความน่าเชื่อถือของเจงล็อต (อย่างน้อยก็อันที่ถูกโชว์ที่อินโดนีเซีย)…

  • อังกฤษพบร่าง “นักเดินทางคนแรก” ที่ล่องเรือรอบออสเตรเลียแล้ว หลังค้นหามากว่า 200 ปี

    อังกฤษพบร่าง “นักเดินทางคนแรก” ที่ล่องเรือรอบออสเตรเลียแล้ว หลังค้นหามากว่า 200 ปี

    หากพูดถึงชื่อของ “Matthew Flinders” (1774-1814) คงเป็นชื่อที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวออสเตรเลียและชาวอังกฤษแล้ว ชายคนนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเลย เพราะเขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ล่องเรือรอบทวีปออสเตรเลียและระบุว่าที่แห่งนี้จริงๆ แล้วเป็นทวีป     ตลอดเวลา 200 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครทราบว่าร่างของ Matthew ถูกฝังเอาไว้ที่ไหน จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีก็ขุดพบร่างของนักเดินทางชื่อดังคนนี้เข้าจนได้ อ้างอิงจากการรายงานของสื่อต่างประเทศ โลงศพของ Matthew ถูกพบที่บริเวณด้านหลังของสถานีรถไฟยูสตัน ในประเทศอังกฤษ ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นสุสานขนาดใหญ่มาก่อน อย่างไรก็ตาม จากการที่ทางรัฐบาลวางแผนที่จะดัดแปลงสถานีรถไฟยูสตันเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูงภายใต้โปรเจกต์ชื่อ HS2 ทางสถานีจึงได้มีการขุดย้ายศพในสุสานออกไปไว้ยังสถานที่อื่นแทน     และในบรรดาหลุมศพกว่า 45,000 หลุมที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายออกไป ทีมงานก็พบกับโลงศพที่มีแผ่นตะกั่วระบุชื่อ “Capt. Matthew” ฝังเอาไว้อยู่ใต้ดิน และเมื่อนำโลงศพที่พบไปตรวจสอบ พวกเขาก็พบว่าร่างที่อยู่ข้างในนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็น Matthew Flinders ผู้ซึ่งเสียชีวิตในปี 1814 จริงๆ     นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่มีความสำคัญในหลายๆ ด้านสำหรับประเทศอังกฤษเลย เพราะไม่เพียงแต่โลงศพที่พบจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก แต่การค้นพบนี้ยังช่วยลบตำนานเมืองเก่าๆ ที่อ้างว่าสถานีรถไฟยูสตันสร้างทับร่างของ Matthew ไปในอดีตอีกด้วย และร่างของ Matthew ที่มาจากศตวรรษที่ 19 เองก็ยังสามารถนำไปตรวจสอบว่าชีวิตกลางทะเลในสมัยก่อนจะส่งผลอย่างไรกับสุขภาพของชาวเรือได้อีกด้วย  …

  • นักวิทย์เตรียมสำรวจเรือของ Ernest Shackleton หลังจมอยู่ที่ทะเลเวดเดลล์มากกว่า 100 ปี

    นักวิทย์เตรียมสำรวจเรือของ Ernest Shackleton หลังจมอยู่ที่ทะเลเวดเดลล์มากกว่า 100 ปี

    ย้อนกลับไปในปี 1915 เรือสำรวจ The Endurance ของนักเดินเรือชื่อดัง Ernest Shackleton ผู้มีชื่อเสียงจากการออกสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา ได้ชนเข้ากับก้อนน้ำแข็งจนทำให้ Ernest และลูกเรือจำเป็นต้องสละเรือไป   ภาพของเรือ The Endurance ซึ่งติดในน้ำแข็งเมื่อปี 1915 แบบผ่านการลงสี   จริงอยู่ว่าการสละเรือในครั้งนั้นทำให้ตัว Ernest สามารถรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ แต่เรือ The Endurance กลับต้องจมลงไปในน้ำที่เย็นยะเยือกของทะเลเวดเดลล์ และไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลยตลอดเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา แต่แล้วเมื่อปี 2017 ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ขั้วโลกก็เกิดการแยกตัวออกจากกัน และไหลเข้าไปสู่ทะเลเวดเดลล์ ดังนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จึงได้โอกาสเดินทางมายังทะเลแห่งนี้ด้วยเรือ Agulhas II เพื่อการตรวจสอบน้ำแข็งก้อนดังกล่าว     และเมื่อล่าสุดนี้เอง หลังจากการตรวจสอบน้ำแข็งที่เป็นหน้าที่หลักจบลง ทีมนักวิทยาศาสตร์บนเรือ Agulhas II ก็ได้เดินทางไปยังจุดที่มีการรายงานว่าเรือของ Ernest จมเพื่อดำเนินการสำรวจเรือที่หายไป ซึ่งเป็นโปรเจกต์รองของพวกเขา โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าตำแหน่งของเรือโบราณที่พวกเขาตามหาน่าจะเปลี่ยนไปจากในอดีตเล็กน้อยจากกระแสน้ำ และอาจจะยังสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แม้เวลาผ่านมานาน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่แน่ใจว่าเรือที่อยู่ใต้น้ำนั้นจะถูกน้ำแข็งปกคลุมไปแล้วหรือไม่     หากโชคดี นักวิทยาศาสตร์หวังว่าพวกเขาจะสามารถใช้บันทึกของ Ernest และยานพาหนะใต้น้ำแบบไร้คนขับ (AUV) ในการตามหาเรือลำดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสำรวจอื่นๆ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำนั้นไม่เหมาะสมสำหรับการให้มนุษย์ดำลงไปสำรวจด้วยตัวเอง ในปัจจุบันทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าการค้นหาในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่พวกเขาก็บอกว่าอย่างน้อยๆ ภารกิจหลักของพวกเขาก็สำเร็จลงไปด้วยดี โดยที่ไม่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายจนต้องยกเลิกโปรเจกต์เหมือนกับในปี…

  • เผยหนังสือของฮิตเลอร์ ที่อาจถูกใช้วางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกา หากนาซีชนะสงคราม

    เผยหนังสือของฮิตเลอร์ ที่อาจถูกใช้วางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกา หากนาซีชนะสงคราม

    เมื่อวันเสาร์ที่ 26 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ห้องสมุดและจดหมายเหตุของแคนาดาได้ออกมาเปิดเผยการมีอยู่ของ หนังสือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเล่มหนึ่ง ซึ่งเคยถูกครอบครองโดย Adolf Hitler และมันอาจเคยถูกใช้งานในการวางแผนสังหารชาวยิวในอเมริกาเหนือ     นี่เป็นหนังสือรายงานขนาด 137 หน้า ชื่อ “Statistics, Media and Organizations of Jewry in the United States and Canada” เขียนโดยนักภาษาศาสตร์และนักวิจัยชื่อ Heinz Kloss และมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการสร้างสำมะโนประชากรอย่างเป็นระบบของชาวยิวในอเมริกาเหนือ ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะใช้ข้อมูลที่อ้างอิงมาจากการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้เขียนในปี 1936-1937 และมีข้อมูลสำคัญๆ ของชาวยิว อย่างอุปกรณ์และวิธีการที่ชาวยิวมักใช้ติดต่อกัน ระบบองค์กร ไปจนถึงจำนวนของชาวยิวที่เคยมีการสำรวจในสหรัฐฯ และแคนาดา Michael Kent ผู้ดูแลเอกสารฉบับนี้ระบุว่า หนังสือที่พบอาจจะกลายเป็นเครื่องมือชื้นสำคัญที่ Hitler จะใช้ในการ “จัดการ” ชาวยิวในอเมริกาเหนือหากเขาชนะสงครามหรือบุกไปถึงสหรัฐฯ ได้สำเร็จ     นั่นเพราะแม้หนังสือที่พบจะดูคล้ายกับหนังสือสถิติธรรมดาก็ตาม แต่มันมีวิธีการเขียนที่เอื้อต่อการใช้งานในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นอย่างมาก แถมยังมีการให้ข้อมูลชาวยิวในเขตต่างๆ อย่างละเอียด ไม่ใช่เพียงข้อมูลโดยรวมอย่างหนังสือสถิติทั่วไป จากหลักฐานที่มาของหนังสือ เป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ถูกค้นพบในบ้านของ Hitler…

  • ชม 19 สุดยอดภาพสุดงดงามจากดาวอังคาร ที่รวบรวมมาจากการสำรวจของมนุษย์ที่ผ่านๆ มา

    ชม 19 สุดยอดภาพสุดงดงามจากดาวอังคาร ที่รวบรวมมาจากการสำรวจของมนุษย์ที่ผ่านๆ มา

    ตั้งแต่ที่มนุษย์เราส่งยานอวกาศขึ้นไปเก็บภาพของดาวอังคารเป็นครั้งแรกในปี 1965 เวลาก็ผ่านเลยไปกว่า 50 ปีแล้ว ดังนั้นในปัจจุบันเล่าจึงมีภาพของดาวดวงนี้อยู่มากมายเต็มไปหมด จริงอยู่ที่จนถึงปัจจุบันมนุษย์เราจะยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปมองดูวิวบนดาวอังคารด้วยตัวเองก็ตาม (กำหนดการส่งมนุษย์ไปบนดาวอังคารมีกำหนดการอยู่ในปี 2020) แต่ภาพที่เราได้มาจากดาวอังคารจนถึงถึงทุกวันนี้ก็มีเสน่ห์มากๆ ในแบบของมันเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปรับชม 19 สุดยอดภาพสุดงดงามจากดาวอังคารที่จะมาทำให้พวกเขาร้องว้าวได้ไม่ยากเลย   เริ่มกันจากหลุม McLaughlin   ขั้วโลกเหนือของดาวอังคาร ที่เติมไปด้วยเนินทราย   ร่องรอยทางทิศใต้ของหลุม Gale ที่ถ่ายโดยกล้อง HiRISE ของยานสำรวจดาวอังคารของนาซ่า    ขอบของฝุ่นละอองลมขนาดใหญ่ ใกล้ๆ หุบเขาลึก Ganges Chasma   หลุม และพื้นลาดชันทางตะวันตกของหุบเขามารินาริส   การถ่ายภาพเพื่อตรวจสอบส่วนล้อของยาน Curiosity ที่ออกสำรวจบนดาวอังคาร   ภาพของยาน Curiosity ขณะวิ่งผ่านเขต Naukluft Plateau (ตัวยานคือสุดเล็กๆ ตรงกลางค่อนซ้ายของภาพ)   เนินทรายในพื้นที่หลุม Arkhangelsky ส่วนสีแดงที่เห็นตรงขอบเกิดจากการประมวนผลภาพของทางนาซา   ภาพจากกล้องของยาน Curiosity ขณะขับผ่านด้านข้างของภูเขาหิน   อุกกาบาตที่เป็นเหล็กผสมนิกเกิลบนดาวอังคาร  …

  • 17 ภาพสุดสะเทือนใจ ของนักโทษอะบอริจิน ที่ถูกล่ามโซ่บังคับทำงานในช่วงปี 1890-1930

    17 ภาพสุดสะเทือนใจ ของนักโทษอะบอริจิน ที่ถูกล่ามโซ่บังคับทำงานในช่วงปี 1890-1930

    หลังจากที่ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็ได้พบกับคนในท้องถิ่นอย่างชาวอะบอริจินซึ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่นมาอย่างยาวนาน และแน่นอนว่าเหมือนกับพื้นที่อื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไป พวกเขามองว่าชาวอะบอริจินในพื้นที่นั้นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากตัวเอง โบราณ และด้อยกว่าชาวยุโรปในหลายๆ ด้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะ “คาดหวัง” และ “สั่งสอน” ให้ชาวอะบอริจินใช้ชีวิตเหมือนคนตะวันตก ในขณะที่ผู้ต่อต้านหรือทำความผิด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะถูกล่ามโซ่ส่งไปใช้แรงงาน นั่นทำให้ในช่วงปี 1890-1930 ภาพของนักโทษชาวอะบอริจินจึงได้กลายเป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในออสเตรเลีย และหลงหรือมาจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากดังเช่นที่จะเห็นได้ข้างล่างนี้   ภาพของชาวอะบอริจิน ที่ยืนเรียงหน้ากระดานโดยมีโซ่ล่ามที่คอ และมีผู้คุมที่ถือปืนยาวเฝ้า   ภาพชาวอะบอริจินทั้งชายและหญิงที่ถูก “จับกุม” ในช่วงปลายยุค 1890   เหล่าผู้คุมพร้อมปืนยาวถ่ายภาพคู่กับ “นักโทษอะบอริจิน” ที่จับมาได้   นักโทษอะบอริจินคู่หนึ่งขณะทำงานเกี่ยวกับรางรถไฟในปี 1897   ดูเหมือนว่างานเกี่ยวกับรางรถไฟจะเป็นงานที่ชาวอะบอริจินจะโดนจับไปทำมากที่สุด   นักโทษอะบอริจินบางส่วนที่โดนจับไปทำงานบนเรือ .   จากรายงานของสื่อต่างประเทศ ตำรวจจะได้รับเงินต่อนักโทษอะบอริจินที่จับได้เป็นรายหัว ส่วนนักโทษจะถูกจับไปทำงานต่อไป   ชาวอะบอริจินที่ยืนพิงต้นไม้ขณะโดนล่ามโซ่และมีเศษชุดมากมายกองอยู่ที่พื้น   โซ่ของนักโทษอะบอริจินบางครั้งก็ถูกล่ามไว้กับผู้คุมเพื่อไม่ให้พวกเขาหนีได้   กลุ่มชาวอะบอริจินที่เดินแถวตามรถรางเพื่อรอการใช้แรงงาน   ชาวยุโรปสองรายที่กำลังจูงชาวอะบอริจินคนหนึ่งอยู่…

  • 4 สิ่งประดิษฐ์สุดเจ๋งจากในอดีต ที่ล้ำสมัยจากช่วงเวลาที่สร้างมาก จนสงสัยว่าคิดกันมาได้ยังไง

    4 สิ่งประดิษฐ์สุดเจ๋งจากในอดีต ที่ล้ำสมัยจากช่วงเวลาที่สร้างมาก จนสงสัยว่าคิดกันมาได้ยังไง

    เทคโนโลยีตามปกติแล้วจะเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามยุคตามสมัย ดังนั้นเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันย่อมมีความสามารถมากกว่าในสมัยก่อนจึงกลายเป็นเหมือนสามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครๆ ก็ทราบกันดี แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกใบนี้ก็มีอยู่เหมือนกันที่เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์จากในอดีตจะมีความล้ำสมัยผิดกับช่วงเวลาที่สร้างขึ้นมาเช่นกัน จนบางครั้งคนในปัจจุบันก็ถึงกับต้องงงเลยว่าคนในสมัยก่อนคิดของแบบนี้ออกมาได้อย่างไร เหมือนกันสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำจากในอดีต 4 ชิ้นต่อไปนี้   1. เครื่องจักรไอน้ำ Aeolipile นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของ Heron Alexandrinus (เรียกได้อีกแบบว่า Hero of Alexandria) นักคณิตศาสตร์และวิศวกรแห่งกรีกในช่วงศตวรรษที่ 1 โดยมันเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ และถูกตั้งชื่อตามเทพแห่งสายลม “Aiolos” แถมเมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองสร้างแบบจำลองของเครื่องมือชิ้นนี้ขึ้นมา พวกเขาก็พบว่ามันสามารถหมุนได้เร็วสุดๆ ถึง 1,500 รอยตัววินาทีเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดเป็นอะไรได้หลายอย่างเลยนั่นเอง   2. เลนส์ Nimrud นี่คือคริสตัลใสอายุราวๆ 3,000 ปี ของชาวแอสซีเรีย อาณาจักรในสมัยเมโสโปเตเมีย ที่ถูกค้นพบในปี 1850 ที่อิรัก และมีความสามารถในการใช้เป็นแว่นขยายขนาด x3 ได้ ตั้งแต่ที่มีการค้นพบเจ้าเลนส์ชิ้นนี้มา เหล่านักโบราณคดีจำนวนมากก็ถกเถียงกันมาโดยตลอดว่าจริงๆ แล้วเจ้าเลนส์ที่เห็นนี้จริงๆ แล้วมีการใช้งานอย่างไรกันแน่ ตั้งแต่ใช้เป็นแว่นขยายแบบตรงๆ ตัว ใช้รวมแสงเพื่อจุดไฟ ไปจนถึงใช้เป็นกล้องดูดาว แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนการที่เลนส์แหวนขยายถูกสร้างขึ้นมาในสมัยที่เก่าแก่ขนาดนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลยอยู่ดี  …

  • นักวิทย์บอก “การชนครั้งใหญ่” ในอดีต อาจช่วยให้โลกมีสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดดวงจันทร์

    นักวิทย์บอก “การชนครั้งใหญ่” ในอดีต อาจช่วยให้โลกมีสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้เกิดดวงจันทร์

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่” กันมาบ้าง โดยนี่เป็นทฤษฎีที่ว่าในอดีตเมื่อหลายพันล้านปีก่อน โลกของเราเคยชนกับดาวอีกดวงที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวอังคารและทำให้เกิดดวงจันทร์ขึ้น (บางคนก็เรียกดาวนี้ว่า “Theia” )     แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ทฤษฎีการชนครั้งใหญ่จะไม่ได้ให้กำเนิดเพียงดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย คงต้องบอกไว้ก่อนว่าสิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดบนโลกนั้นมีส่วนประกอบสำคัญคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งหากขนาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป การที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นได้อย่างปัจจุบันก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปแทบจะไม่ได้เลย ปัญหาคือจากงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา พวกเขากลับพบว่ามีความเป็นไปได้ ที่โลกในสมัยก่อนจะมีคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนในปริมาณที่ต่ำมาก จนถึงไม่มีเลย โดยอ้างอิงจากการที่สารดังกล่าวไม่มีอยู่ในแกนโลก     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในระหว่างที่การเวลาผ่านไปโลกจะต้องได้รับคาร์บอน กำมะถัน และไนโตรเจนมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง อย่างอุกกาบาตจากนอกโลก หรือไม่ก็ชนครั้งใหญ่ในกรณีที่ในอดีตมันเคยเกิดขึ้นจริงๆ โดยในงานวิจัยของพวกเขาทีมวิจัยได้อ้างถึงความเป็นไปได้ที่ว่าดาวเคราะห์ที่มาชนกับโลกนั้นน่าจะมีองค์ประกอบหลักของแกนดาวเป็นโลหะที่มีกำมะถันในปริมาณที่สูง ดังนั้นในตอนที่มันชนกับโลกและสร้างดวงจันทร์มันจึงทิ้งสารประกอบสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต เอาไว้บนโลกไปด้วยนั่นเอง       อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับทฤษฎีการชนครั้งใหญ่ที่ถูกอ้างถึงในการทดลอง ทฤษฎีชิ้นนี้เองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการพิสูจน์และหาหลักฐานกันในหมู่นักดาราศาสตร์ต่อไป   ที่มา foxnews, sciencedaily และ zmescience

  • นักวิทย์พบ หลอดเลือดชนิดใหม่ซ่อนอยู่ภายในกระดูก เชื่อช่วยขนเซลล์ออกจากไขกระดูก

    นักวิทย์พบ หลอดเลือดชนิดใหม่ซ่อนอยู่ภายในกระดูก เชื่อช่วยขนเซลล์ออกจากไขกระดูก

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ 2019 นิตยสาร “Nature Metabolism” ได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยของมหาวิทยาลัยดูสบูร์ก ซึ่งได้ออกมาประกาศการค้นพบหลอดเลือดชนิดใหม่ที่ซ่อนอยู่ภายในกระดูก และไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนในอดีต โดยจากข้อมูลที่ระบุไว้ในงานวิจัย นักวิทยาศาสตร์พบกับหลอดเลือดชิ้นใหม่ที่ว่านี้ครั้งแรกในกระดูกขาของหนูขนาดเล็ก ด้วยการฉีดสารเคมีที่ทำให้กระดูกของหนูมีสภาพโปร่งใส่ก่อนที่จะพบว่าภายในนั้นมีหลอดเลือดขนาดเล็กๆ กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก   ภาพของหลอดเลือดชนิดใหม่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าในกระดูกที่โปร่งใสของหนูมีเส้นกระจายออกมาอยู่   จริงอยู่ว่าตามปกติการค้นพบอะไรในกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะไม่ได้หมายความว่าในกระดูกมนุษย์จะต้องมีสิ่งที่พบอยู่เช่นกันเสมอไป แต่หลังจากที่พบหลอดเลือดชนิดใหม่ที่ว่านี้ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ก็ตัดสินอาสาตรวจเอ็มอาร์ไอกับขาตัวเองทันที และผลการตรวจสอบก็ออกมาว่ามีโอกาสสูงที่กระดูกของมนุษย์เองก็อาจจะมีหลอดเลือดชนิดใหม่นี้อยู่เหมือนกัน     แม้เรื่องที่ว่าไขกระดูกเป็นสถานที่ซึ่งรับหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือด และภูมิคุ้มกันจะเป็นเรื่องที่ทราบกันเป็นอย่างดีในวงการแพทย์ก็ตาม แต่ในปัจจุบันพวกเรากลับยังไม่ทราบว่าเซลล์เม็ดเลือดและเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้ เดินทางออกจากกระดูกไปยังระบบไหลเวียนโลหิตได้อย่างไร ดังนั้นหลอดเลือดที่พบนี้จึงถูกสันนิษฐานว่ามีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายเซลล์เม็ดเลือด และเซลล์ภูมิคุ้มกันจากในกระดูกออกไปสู่ในร่างกายไปนั่นเอง     และหากหลอดเลือดเหล่านี้ได้รับการยืนยันว่าทำหน้าที่ขนส่งโลหิตจริงๆ มันก็จะหมายความว่าในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถไขหนึ่งในปริศนาที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์เลยทีเดียว Matthias Gunzer ผู้นำทีมนักวิทยาศาสตร์ในการทดลองครั้งนี้บอกว่านี่เป็นการค้นพบที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะพวกเขานั้นไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าการทดลองของพวกตนเองจะทำให้โลกได้รู้จักกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่มีการระบุไว้ในหนังสือเล่มใดๆ มาก่อนในศตวรรษที่ 21   หากเพื่อนๆ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของการค้นพบในครั้งนี้ เพื่อนก็สามารถเข้าไปชมกันได้ที่ ช่อง nature video หรือคลิก ที่นี่    ไม่แน่เหมือนกันว่าการค้นพบของพวกเขาในครั้งนี้ก็อาจจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากกับวงการแพทย์ต่อไปในอนาคตเลยก็เป็นได้   ที่มา livescience, newscientist และ sciencealert

  • ชมภาพ ชุดชั้นในสตรีจากศตวรรษที่ 15 ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในโลก

    ชมภาพ ชุดชั้นในสตรีจากศตวรรษที่ 15 ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาในโลก

    ในอดีตเราเคยเชื่อกันว่า ชุดชั้นในสตรีแบบในปัจจุบันนั้น เพิ่งจะมีการคิดค้นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 20 เท่านั้น เนื่องจาก Mary Phelps Jacob ชาวนิวยอร์กได้มีการคิดค้นยกทรงขึ้นมาในปี 1914 อย่างไรก็ตามความคิดในลักษณะนี้ก็ต้องถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงในปี 2012 เมื่อนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอินส์บรุคในออสเตรียชื่อ Beatrix Nutz ได้ทำการค้นพบชุดชั้นในสตรีเก่าแก่ ที่มีหน้าตาคล้ายกับในปัจจุบันมากในปราสาทเลมแบร์ก ที่เยอรมนี     ปราสาทเลมแบร์กถูกสร้างขึ้นในปี 1190 และมีการต่อเติมเพิ่มในปี 1480 และ 1507 ตามลำดับ ดังนั้นจากจุดที่มีการพบชุดชั้นในแล้ว นักโบราณคดีจึงคิดว่าชุดที่พบน่าจะเคยถูกใช้งานในช่วงศตวรรษที่ 15 มาก่อน     สภาพของชุดชั้นในที่ Beatrix พบอยู่ในสภาพที่เสียหายจนไม่น่าจะใช้งานได้ตามปกติอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ถูกเก็บมาในที่แห้งโดยตลอดชุดชั้นในชุดนี้จึงยังอยู่มีสภาพเป็นรูปเป็นร่างได้ แม้ผ่านเวลามาหลายร้อยปี     นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนมากชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมันอาจจะกลายเป็นหลักฐานอย่างดีว่าชุดชั้นในที่เราใช้กันในปัจจุบัน จริงๆ แล้วอาจจะมีการใช้งานมานานกว่าที่เราคิดก็เป็นได้ ซึ่งหากจะว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ใช้ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะในอดีตเองผู้หญิงโรมันโบราณก็มีการใช้ผ้ามาพันหน้าอกราวสปอร์ตบราในการแข่งขันกีฬา มาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 4 แล้วเช่นกัน     ที่มา thevintagenews, vintag และ smithsonianmag

  • ชมภาพจากโปรเจกต์ “The Grand Tour” ที่นำภาพในช่วงปี 1870-1930 กลับมาบูรณะซ่อมแซม

    ชมภาพจากโปรเจกต์ “The Grand Tour” ที่นำภาพในช่วงปี 1870-1930 กลับมาบูรณะซ่อมแซม

    บนโลกของเรานั้นมีภาพถ่ายเก่าๆ แต่น่าสนใจจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้ออกสู่สายตาของชาวโลก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่ารูปเหล่านั้นไม่ได้มีการสแกนลงสู่อินเทอร์เน็ต หรือตัวภาพเองไม่ได้อยู่ในสภาพดีพอที่จะพิมพ์ออกมาเป็นภาพได้ ด้วยเหตุนี้เอง Diana Metzinger หญิงสาวผู้หลงใหลในภาพวินเทจจึงได้ตัดสินใจที่จะนำภาพสุดงดงามที่คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เห็นกลับมาซ่อมแซมและบูรณะ โดยที่เธอนั้นได้มีการเปิดการระดมทุนใน Kickstarter ซึ่งกำลังจะปิดตัวลงในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้     นี่เป็นโปรเจกต์ที่มีชื่อว่า “The Grand Tour” ซึ่งมีเป้าหมายในการนำภาพการท่องเที่ยวในช่วง ค.ศ. 1870-1930 จำนวน 200 ภาพ กลับมาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันอีกครั้ง และในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำส่วนหนึ่งของผลงานสุดงดงามที่ได้ผ่านการบูรณะมาแล้วมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้ว ที่นี่   เริ่มกันจากบทเรียนการเต้นรำ “The Mazurka” ที่ประเทศโปแลนด์ในช่วงปลายยุค 1800   กลุ่มคนที่กำลังข้ามภูเขา Rainier ในวอชิงตันในช่วงปี 1911-1920   วิหารแห่ง El-Kurneh ในธีบส์ ประเทศอียิปต์ 1857   เมือง Helsinki จากฟินแลนด์ ในช่วงยุค 1900   วิวงามๆ ของนิวซีแลนด์ในช่วงปี 1890-1910   ภาพวิวของเมืองท่า San Remo ในอิตาลีจากเมื่อปี…

  • นักวิทย์โต้ความเชื่อ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” ถูกสลับตัวจากคุกโดยไม่ได้รับโทษ ด้วยการตรวจ DNA

    นักวิทย์โต้ความเชื่อ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” ถูกสลับตัวจากคุกโดยไม่ได้รับโทษ ด้วยการตรวจ DNA

    จากวันที่ “รูด็อล์ฟ เฮ็ส” คณะรัฐมนตรีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และผู้ทรงอำนาจสูงสุดอันดับสามของนาซีเยอรมันโดนจับเข้าคุกตลอดชีวิตในปี 1947 ตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมาโลกของเราก็มีกลุ่มคนมากมายที่เชื่อว่าชายคนนี้ถูกสลับตัวออกไปจากในคุก และรูด็อล์ฟนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด     เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีคนเห็นด้วยเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดนักวิทยาศาสตร์จึงได้ตัดสินใจที่จะแก้ไขแนวคิดเหล่านี้ ด้วยการพิสูจน์ DNA เสียเลย คงต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของทีมแพทย์ของโปรเจกต์นี้เลยก็ว่าได้ที่ในปี 1982 นายแพทย์นาม Rick Wahl ได้เก็บตัวอย่างโลหิตของ “Spandau 7” (ซึ่งเป็นหมายเลขของรูด็อล์ฟ เฮ็ส) เอาไว้ ที่ศูนย์การแพทย์ Walter Reed เพื่อเป็นเครื่องมือในการสอนนักเรียน     จริงอยู่ว่าในมือของศูนย์การแพทย์ Walter Reed แผ่นตัวอย่างโลหิตนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่เมื่อแพทย์ทหาร Sherman McCall ได้แผ่นตัวอย่างนี้ไปเขาก็ได้ติดต่อไปยังญาติๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ของรูด็อล์ฟ เฮ็ส และเตรียมการเปรียบเทียบ DNA ที่พบทันที แน่นอนว่าผลที่ออกมานั้นคือโลหิตของ Spandau 7 และญาติๆ ของรูด็อล์ฟ เฮ็สมีความใกล้เคียงทางชีวะภาพสูงมากๆ จนเป็นหลักฐานอย่างดีว่า Spandau 7 น่าจะเป็นตัวรูด็อล์ฟ เฮ็สเองจริงๆ หรืออย่างน้อยๆ…

  • ย้อนร้อยภาพดัง ทหารเยอรมันถูกบังคับให้ชมภาพจากค่ายกักกัน เมื่อปี 1945

    ย้อนร้อยภาพดัง ทหารเยอรมันถูกบังคับให้ชมภาพจากค่ายกักกัน เมื่อปี 1945

    ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงใหม่ๆ ฝั่งสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกา จำเป็นที่จะต้องหาวิธีขุดรากถอนโคนแนวคิดของพรรคนาซีที่ฝั่งลึกอยู่ในเยอรมนีออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ด้วยเหตุนี้เองทางสหรัฐฯ จึงได้พาเหล่านักโทษสงครามชาวเยอรมันที่พวกเขาจับได้ มาชมภาพความโหดร้ายของค่ายกักกันนาซี และเกิดเป็นภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของประวัติศาสตร์ไป     ภาพถ่ายที่เห็นนี้มีคำบรรยายต้นฉบับว่า “นักโทษสงครามชาวเยอรมัน ถูกกักตัวในค่ายอเมริกัน และดูภาพยนตร์เกี่ยวกับค่ายกักกันเยอรมันเอง” โดยนี่เป็นภาพของเหล่านักโทษสงครามเยอรมันจำนวนมาก ที่ส่วนมากเป็นทหารกำลังทำสีหน้าที่หลากหลายแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม ในระหว่างที่กำลังชมภาพยนตร์สารคดีของค่ายกักกันนาซีที่ทางสหรัฐฯ รวบรวมมาจากสื่อต่างๆ ทั่วโลก ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าทหารที่ดูกำลังดูภาพยนตร์เหล่านี้มีแนวคิดอย่างไรต่อค่ายกักกัน แต่จากการวิจัยของนักประวัติศาสตร์ พวกเขาก็พบว่าชาวเยอรมันในสมัยนั้นส่วนมากแม้ว่าจะรู้ว่ามีการสังหารชาวยิวในประเทศจริงๆ แต่กลับมักจะไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นมากนัก   เหล่าผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันในปี 1945   จริงอยู่ที่ว่ามีชาวเยอรมันส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจในการกระทำของรัฐบาลและกลายเป็นกลุ่มต่อต้าน (อย่างกลุ่ม “Weiße Rose” ที่ประกอบด้วยนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัย) แต่ประชาชนส่วนมากของเยอรมนีมักที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าความพยายามรากถอนโคนแนวคิดของพรรคนาซีที่สหรัฐฯ ทำอยู่นี้ได้ผลจริงมากน้อยเพียงใด แต่หลายๆ ฝ่ายก็เชื่อมั่นมากว่าการที่นักโทษได้เห็นความโหดร้ายของค่ายกักกันด้วยตาตัวเองน่าจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดได้ไม่มากก็น้อย และหากเราสังเกตสีหน้าของเหล่านักโทษดีๆ แล้ว ไม่แน่เหมือนกันว่าการฉายภาพยนตร์สารคดีในครั้งนี้ อาจจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเลยก็เป็นได้     ที่มา rarehistoricalphotos และ theguardian

  • เกาะนีเฮา “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” ที่ยังวัฒนธรรมโบราณไว้ แม้ผ่านกาลเวลากว่า 150 ปี

    เกาะนีเฮา “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” ที่ยังวัฒนธรรมโบราณไว้ แม้ผ่านกาลเวลากว่า 150 ปี

    ในหมู่เกาะฮาวาย ห่างออกไปจากเกาะคาไวราวๆ 27-28 กิโลเมตร ยังมีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ที่กลายเป็นเขตหวงห้ามมาอย่างยาวนานกว่า 150 ปี จนได้รับชื่อว่า “เกาะต้องห้ามแห่งฮาวาย” เกาะปิดซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก ที่เก็บเอาวัฒนธรรมโบราณของฮาวายเอาไว้อย่างยาวนาน     นี่คือเกาะที่มีชื่อว่า “นีเฮา” สถานที่ซึ่ง เอลิซาเบท ซินแคลร์ แม่ม่ายชาวสกอตแลนด์ทำสัญญาซื้อขายมาจากพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (สัญญานี้ถูกลงนามอย่างเป็นทางการโดยพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 5 ในปี 1864) โดยให้เหตุผลว่าจะใช้งานเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ เดิมทีแล้วพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 ได้คิดจะมอบดินแดนที่ดีกว่านี้อย่างโฮโนลูลูและไวกิกิแก่ซินแคลร์อย่างไรก็ตามหญิงสาวได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ไปเพราะเห็นว่าเกาะนีเฮาน่าจะเหมาะสมกับครอบครัวของเธอมากกว่า   พระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 (ครองราชย์ 1855-1863)   ดังนั้นพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 จึงมอบเกาะแห่งนี้ให้กับซินแคลร์ภายใต้คำสัญญาที่ว่า หากวันหนึ่งฮาวายไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในเวลานั้น เขาอยากจะให้ซินแคลร์ค่อยช่วยเหลือคนบนเกาะด้วย แน่นอนว่าซินแคลร์และตระกูลของเธอจดจำคำขอร้องของพระเจ้าคาเมฮาเมฮาที่ 4 เอาไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเธอจึงปฏิเสธที่จะมอบเกาะนี้ให้ชาวตะวันตกอย่างเด็ดขาดในช่วงเวลาที่หมู่เกาะฮาวายโดนล่าอาณานิคม และก็เป็นในช่วงเวลานี้เองที่ซินแคลร์ตัดสินใจปิดเกาะตัดขาดจากโลกนอกอย่างจริงจัง และไม่ให้ใครเลยเข้าไปยังเกาะ แม้กระทั่งชาวเกาะคาไวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตาม   ภาพคนบนเกาะที่ถ่ายเก็บไว้โดยฟรานซิส ซินแคล บุตรชายของเอลิซาเบท ซินแคลร์   จากคำบอกเล่าของตระกูลโรบินสันที่เป็นลูกหลานของซินแคลร์ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่พวกเขาปิดเกาะจะมาจากความพยายามป้องกันโรคภัยจากโลกภายนอกอย่างหัดหรือโปลิโอ…

  • อิสราเอลพบ หัวม้าดินเหนียวสองชิ้น อายุกว่า 2,000 ปีโดยบังเอิญ หลังฝนตกหนักในประเทศ

    อิสราเอลพบ หัวม้าดินเหนียวสองชิ้น อายุกว่า 2,000 ปีโดยบังเอิญ หลังฝนตกหนักในประเทศ

    เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศ ได้ประกาศการค้นพบส่วนหัวของตุ๊กตาม้าโบราณที่ทำจากดินเหนียวสองชิ้นในประเทศอิสราเอล หลังเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักในประเทศ     นี่เป็นส่วนหัวของตุ๊กตาที่คาดกันว่ามาจากยุคที่ต่างกันสองชิ้น ซึ่งถูกค้นพบในเวลาใกล้เคียงกันเนื่องจากน้ำฝนชะหน้าดินออกไป หลังจากที่ประเทศอิสราเอลต้องประสบภัยแล้งมาเกือบๆ หนึ่งปี โดยหัวม้าชิ้นแรกถูกค้นพบที่แหล่งโบราณคดี Kfar Ruppin ในหุบเขา Beit Shean มีอายุอยู่ที่ราวๆ 2,800 ปี และเชื่อกันว่าถูกทำขึ้นในอาณาจักรอิสราเอลในช่วงยุคเหล็ก     ส่วนหัวม้าชิ้นที่สองถูกค้นพบในพื้นที่แหล่งโบราณคดี Tel Akko ใกล้ๆ กับเมือง Acre เชื่อกันว่าถูกทำขึ้นในสมัยเฮลเลนิสต์ เมื่อราวๆ 2,200 ปีก่อน โดยในช่วงเวลานี้อิสราเอลกำลังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่อเล็กซานเดอร์มหาราชปกครอง     จริงอยู่ว่าหัวม้าทั้งสองจะไม่มีส่วนลำตัวอยู่แล้ว แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าตัวม้าทั้งสองน่าจะเป็นตุ๊กตาที่มีคนขี่อยู่อีกที โดยอ้างอิงจากร่องรอยบังเหียนบนหัวม้าจากสมัยเฮลเลนิสต์ และร่องรอยที่คาดกับมือบนหัวม้าจากช่วงยุคเหล็ก หากดูจากยุคสมัยที่มีการค้นพบแล้ว นักโบราณคดีก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ขี่ม้าทั้งสองอยู่จะเป็นผู้ชาย ซึ่งกำลังออกล่าสัตว์หรือไม่ก็ทำสงคราม และน่าจะตุ๊กตาที่จำลองมาจากชนชั้นสูงหรือคนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น     ในปัจจุบันโบราณวัตถุทั้งสองได้ถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยไฮฟา เพื่อตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่พบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามจากสภาพของโบราณวัตถุที่ค่อนข้างเสียหาย นักโบราณคดีก็คาดว่าการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตุ๊กตาที่พบ อาจจะเป็นไปได้อย่างยากลำบากเป็นแน่   ที่มา ancient-origins

  • งานวิจัยพบ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” อาจขว้างหอกได้มีประสิทธิภาพกว่าที่เราคิด

    งานวิจัยพบ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” อาจขว้างหอกได้มีประสิทธิภาพกว่าที่เราคิด

    ในอดีตมนุษย์สายพันธุ์ “นีเอนเดอร์ธัล” เคยถูกมองว่ามีระดับภูมิปัญญาที่ต่ำกว่าบรรพบุรุษมนุษย์ในสมัยเดียวกัน แถมยังมีความก้าวร้าวสูงอย่างไม่น่าเชื่อ     แต่ในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็ได้ออกมาเผยแพร่งานวิจัยที่ว่า มนุษย์นีเอนเดอร์ธัลนั้นจริงๆ แล้วมีความสามารถมากกว่าที่เราคิดไว้มาก (แถมคนในปัจจุบันยังมี DNA ของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลด้วย) ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมามุมมองต่อมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากที่เราเคยเชื่อกันมาก่อนอย่างช่วยไม่ได้ แถมเมื่อล่าสุดนี้เองทางสถาบันโบราณคดีของมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอนก็ได้ออกมาเปิดเผยงานวิจัยใหม่ที่จะทำให้ความสามารถของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลน่าทึ่งมากยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก นั่นเพราะพวกเขานั้นสามารถทำหอกที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อเลย     นี่เป็นผลการวิจัยที่ได้มาจากการตรวจสอบหอก “Schöningen” อาวุธเก่าแก่อายุ 300,000 ปีของมนุษย์นีเอนเดอร์ธัลที่เคยมีการค้นพบที่เยอรมนีเมื่อช่วงปี 1994-1999 อีกครั้ง หอก Schöningen เดิมทีแล้วถูกเชื่อกันว่าใช้ในการแทงในระยะใกล้เป็นหลักในสมัยก่อน เนื่องจากมีน้ำหนักค่อนข้างสูง ทำให้ไม่เหมาะสมกับการนำไปขว้างมากนัก     อย่างไรก็ตามจากการวิจัยล่าสุด เมื่อทางนักวิทยาศาสตร์ของนำรูปร่างของหอก Schöningen ไปผลิตหอกจำลองจำนวน 6 อัน พวกเขาก็พบว่ารูปทรงของหอก Schöningen เหมาะสมกับการใช้ขว้างกว่าที่คิด เมื่อลองให้นักกีฬาขว้างหอกเหล่านี้ดู นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าหอกเหล่านี้สามารถพุ่งได้ไกลถึง 20 เมตร โดยที่ยังคงมีแรงทะลวงมากพอที่จะแทงทะลุหนังสัตว์และสังหารพวกมันได้ง่ายๆ เลย     จริงอยู่ว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่ามนุษย์นีเอนเดอร์ธัลจะมีความสามารถในการขว้างเหมือนกับนักกีฬาที่พวกเขาใช้ในการทดลองหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ชาวนีเอนเดอร์ธัลก็สามารถทำหอกที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ได้จริงๆ และหากมองในแง่ที่ว่าชาวนีเอนเดอร์ธัลใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นมาอยู่กับการล่าสัตว์เป็นหลักแล้ว ไม่แน่เหมือนกันว่าชาวนีเอนเดอร์ธัลจะสามารถใช้หอกเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ทั่วไปในยุคเดียวกัน (และในปัจจุบัน) เสียอีกก็เป็นได้  …

  • “จุมพิตแห่งชีวิต” ภาพที่บอกเล่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จนได้รางวัลยอดเยี่ยมในปี 1967

    “จุมพิตแห่งชีวิต” ภาพที่บอกเล่าการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จนได้รางวัลยอดเยี่ยมในปี 1967

    เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1967 ช่างภาพชื่อ Rocco Morabito ได้ขับรถผ่าน ช่างซ่อมเสาไฟฟ้าสองคน ในระหว่างไปทำงาน และได้ถ่ายภาพที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในปีนั้นไป     นี่ไม่ใช่ภาพของคู่รักร่วมเพศที่กำลังจูบกันอยู่บนเสาไฟฟ้าอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่เป็นความพยายามในการช่วยชีวิตเพื่อนร่วมงานของช่างไฟฟ้าชื่อ J.D. Thompson (คนทางขวา) หลังจากที่นาย Randall G. Champion (คนทางซ้าย) เกิดอุบัติเหตุถูกกระแสไฟฟ้าช็อกจนหมดสติ Rocco ผู้เป็นช่างภาพบอกว่าในตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจช่างไฟทั้งสอง แต่หลังจากทำงานเสร็จเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง และเห็นนาย Randall ห้อยลงมาในสภาพหมดสติดังนั้นเขาจึงได้ทำการเรียกรถพยาบาลและวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ   Rocco Morabito กับภาพที่ทำให้เขามีชื่อเสียง   แต่ก่อนที่จะไปถึงตัวช่างไฟ เพื่อนร่วมงานของเขาก็ขึ้นไปผายปอด Randall เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในขณะที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป Rocco จึงถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที แถมยังออกมาเป็นจังหวะที่ดีมากๆ ด้วย นับว่าโชคดีมาก Thompson ได้สติขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน และสามารถมีชีวิตต่อไปอีกหลายสิบปี (Thompson เสียชีวิตไปในปี 2002 ด้วยวัย 64 ปี)   Rocco Morabito และ J.D. Thompson ในตอนที่ไปเยี่ยม Randall G.…

  • นักวิทย์พบ กลุ่มคนยุคหินใหม่สุดแปลก จับปลาทานเป็นหลักไม่เลิก แม้รู้จักการเลี้ยงสัตว์แล้ว

    นักวิทย์พบ กลุ่มคนยุคหินใหม่สุดแปลก จับปลาทานเป็นหลักไม่เลิก แม้รู้จักการเลี้ยงสัตว์แล้ว

    เดิมทีแล้วเมื่อนึกถึงอาหารของมนุษย์สมัยก่อน คนเราก็คงจะนึกถึงเนื้อสัตว์บกเป็นอย่างแรกๆ ตามภาพที่สื่อต่างๆ มักจะแสดงออกมาให้เราเห็น แต่แล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยบริสตอล ในประเทศอังกฤษ ได้ออกมารายงานผลการวิจัยชิ้นใหม่ ที่มีการอธิบายการทานอาหารที่ผิดยุคผิดสมัยของ บรรพบุรุษมนุษย์กลุ่มหนึ่งเอาไว้     นั่นเพราะ จากผลการวิจัยสารตกค้างในเครื่องปั้นดินเผาร่วม 200 ชิ้น ที่มีการพบใกล้ๆ แม่น้ำ Danube ในยุโรปแล้ว ดูเหมือนว่าในช่วงยุคหินใหม่ (ช่วงเวลาประมาณ 10,200-2,000 ปีก่อนคริสตกาล) บรรพบุรุษของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับทานปลากันเป็นหลัก ไม่ใช่เนื้อสัตว์บกอย่างที่เราเคยเข้าใจ เพราะจากการตรวจสอบเครื่องปั้นดินเผาด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟี-แมสส์สเปกโทรเมตรี (Chromatography-mass spectrometry) ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่ากรดไขมันในวัตถุโบราณมีที่มาจากสัตว์ชนิดไหน นักวิจัยก็พบว่าเกือบทั้งหมดของเครื่องปั้นดินเผาที่พวกเขาตรวจสอบล้วนแต่มีไว้ใส่สัตว์น้ำจำพวกปลาทั้งนั้น     นี่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามปกติแล้วยุคหินใหม่จะเป็นช่วงเวลาที่มีการพบร่องรอยการทำการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ของมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มที่จะเปลี่ยนอาหารการกินเป็นพืช เนื้อ หรือผลผลิตจากสัตว์บกที่มีการเลี้ยงไว้ (และหาได้ง่ายกว่า) แทนที่จะเป็นล่าสัตว์หรือจับปลาอย่างในสมัยยุคหินกลาง แถมเมื่อเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆ ร่วม 1,000 แห่งที่ปรากฏขึ้นในยุคเดียวกันแล้ว คนที่อื่นก็มักจะเปลี่ยนประเภทอาหารการกินไปหมดแล้ว ทั้งที่ในบรรดาหมู่บ้านเหล่านั้นก็มีหลายแห่งเลยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแม่น้ำสายใหญ่ ทะเล หรือแหล่งจับปลาชั้นดีอื่นๆ     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้พวกเราทราบว่าคนโบราณที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ทานปลาเป็นหลักหลังจากที่เรียนรู้วิธีทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีผลผลิตที่แน่นอนมากกว่าการจับปลาในแม่น้ำ ไปเป็นเวลานานมาก แม้นักโบราณคดีจะยังไม่มั่นใจว่าทำไมคนในพื้นที่นี้จึงได้ทานปลาเป็นหลักไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แต่พวกเขาก็คาดเดาว่านี้อาจจะเป็น วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของคนท้องถิ่นก็เป็นได้…

  • งานวิจัยใหม่บอก ตลอดช่วงเวลา 1 ล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการวิวัฒนาการช้ากว่าลิงเสียอีก

    งานวิจัยใหม่บอก ตลอดช่วงเวลา 1 ล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์มีการวิวัฒนาการช้ากว่าลิงเสียอีก

    ในปัจจุบันมนุษย์อยู่ในจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่งเลยก็ว่าได้  พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แถมยังแพร่พันธุ์ไปแทบจะทั่วโลกอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ความประสบความสำเร็จของมนุษย์เองก็ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยว่ามนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจจะไม่มีวิวัฒนาการอีกต่อไปแล้วในเร็วๆ นี้     แต่เรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อล่าสุดนี้เองในงานวิจัยร่วมของมหาวิทยาลัยอาร์ฮุส และสวนสัตว์โคเปนเฮเกนพวกเขากลับพบว่า มนุษย์นั้นเรามีอัตราการวิวัฒนาการที่ช้ามาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว นั่นเพราะหากนำจีโนมของมนุษย์ในสกุล Homo ตลอดช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา ไปเทียบกับสัตว์ที่มีรูปร่างใกล้เคียงอย่าง ลิงชิมแปนซี กอริลลา และลิงอุรังอุตังแล้ว เราจะพบว่ามนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงทางจีโนมที่น้อยมากๆ เลย   Carl หนึ่งในลิงที่ถูกใช้ในงานวิจัยครั้งนี้   การวิจัยในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การหาจีโนมชนิดใหม่ของในกลุ่มครอบครัว ซึ่งสังเกตได้จากการเปรียบเทียบจีโนมของพ่อแม่กับลูกๆ โดยหากลูกๆ มีจีโนมที่ไม่ปรากฏในรุ่นก่อนๆ มันก็จะหมายความว่ารุ่นลูกมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นนั่นเอง โดยเมื่อดูจากผลการทดลองแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามนุษย์นั้นมีอัตราการกลายพันธุ์น้อยกว่าลิงถึงราวๆ 33% แถมยังมีวี่แววที่จะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าเพราะอะไรก็ตาม     อย่างไรก็ตามการที่เราพบว่ามนุษย์มีการวิวัฒนาการที่ช้าลงตั้งแต่ช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมานั้นก็นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เพราะนอกจากงานวิจัยนี้จะบอกว่ามนุษย์เราแทบจะไม่มีการวิวัฒนาการเลยแล้ว มันยังสามารถหมายความว่าช่วงเวลาที่มนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัลแยกออกไปจากสายพันธุ์มนุษย์นั้นจริงๆ แล้วอาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่เราคิดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตที่ว่านี้ยังคงต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปในอนาคต   โครงกระดูกของมนุษย์สายพันธุ์นีเอนเดอร์ธัล     ที่มา scitech, newsweek และ sciencedaily

  • งานวิจัยใหม่เผย ก้อนหินที่นักบินอวกาศเก็บมาจากดวงจันทร์ จริงๆ แล้วอาจเคยเป็นของโลก

    งานวิจัยใหม่เผย ก้อนหินที่นักบินอวกาศเก็บมาจากดวงจันทร์ จริงๆ แล้วอาจเคยเป็นของโลก

    ในตอนที่นักบินของอะพอลโล 14 บินขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ในปี 1971 พวกเขาได้หยิบหินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกก้อนหนึ่ง ซึ่งในแม้ว่าหินก้อนนี้จะมีคนสนใจอยู่มาก แต่สุดท้ายมันก็ถูกมองเป็นเพียงก้อนหินจากดวงจันทร์ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบครั้งล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ ก้อนหินก้อนดังกล่าวจะไม่ใช่แค่ก้อนหินจากดวงจันทร์เฉยๆ แต่มีชิ้นส่วนของก้อนหินจากโลกที่ปลิวขึ้นไปบนดวงจันทร์ เมื่อราวๆ 4 พันล้านปีก่อนอยู่ด้วย   จุดที่ลูกศรชี้คือชิ้นส่วนที่เชื่อกันว่ามาจากโลก   นั่นเพราะในก้อนหินที่พบนั้นมีปริมาณของควอตซ์ เฟลด์สปาร์ และเพทาย ผสมอยู่ถึง 2 กรัม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับดวงจันทร์ที่ไม่ค่อยมีแร่ทั้งสามชนิดนี้ แถมจากการทดลองทางเคมีการตกผลึกของหินก้อนนี้ยังเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีกระบวนการออกซิไดซ์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บนดวงจันทร์ที่ไม่มีออกซิเจน นั่นทำให้แทนที่จะบอกว่าก้อนหินก้อนนี้อยู่บนดวงจันทร์มาตั้งแต่ต้น มันมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะบอกว่าก้อนหินนี้เคยอยู่ใต้ผืนโลกมาก่อน และปลิวออกไปยังดวงจันทร์ด้วยแรงกระแทกจากอะไรบางอย่าง (อาจเป็นอุกกาบาต) เมื่อ 4 พันปีก่อน     ด้วยความที่ในสมัยนั้นดวงจันทร์จะอยู่ใกล้โลกกว่าในปัจจุบันถึง 3 เท่า ชิ้นส่วนชิ้นนี้จึงพุ่งไปถึงพื้นผิวของดวงจันทร์ได้ไม่ยาก มันละลายและฝังลงไปในพื้นผิวดวงจันทร์นานหลายพันปี ส่วนหนึ่งของก้อนหินดังกล่าวถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อราวๆ 26 ล้านปีก่อนจากการที่พื้นที่ใกล้ๆ ถูกชนด้วยอะไรบางอย่าง (อาจจะเป็นหินจากโลกอีกก้อน) จนเป็นหลุมขนาด 340 เมตร และถูกเก็บกลับมาบนโลกในที่สุดเมื่อ 47 ปีที่แล้ว   หลุมขนาด 340 เมตร…

  • รูปสลักอายุ 1,300 ปี ที่ถูกขโมยไปในปี 2004 ถูกพบใช้ “ประดับสวน” โดยชาวอังกฤษ

    รูปสลักอายุ 1,300 ปี ที่ถูกขโมยไปในปี 2004 ถูกพบใช้ “ประดับสวน” โดยชาวอังกฤษ

    ย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 รูปสลักหินปูนของนักบุญคาทอลิกที่มีถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สองชิ้น ได้ถูกขโมยออกไปจากโบสถ์ยุคกลางในเมืองบูร์โกส ประเทศสเปน มันเป็นประติมากรรมนูนต่ำที่มีน้ำหนักราวๆ 50 กิโลกรัม และอาจจะมีมูลค่าได้สูงถึงหลายสิบล้านบาท อย่างไรก็ตามการที่รูปสลักเหล่านี้นับเป็นหนึ่งในมรดกที่เก่าแก่ของโลกก็ทำให้พวกมันแอบขายได้ยากขึ้นตามไปด้วย     ด้วยเหตุนี้เองเหล่าโจรจึงได้ตัดสินใจขายรูปสลักทั้งสองในฐานะของ “อุปกรณ์ประดับสวน” ก่อนที่จะถูกซื้อขายต่อไปเป็นทอดๆ จนถึงมือชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองซื้อของโจรอยู่ และนำสลักทั้งสองไปใช้งานในฐานะของประดับสวนจริงๆ กว่าที่ Arthur Brand นักสืบสวนและติดตามผลงานศิลปะมืออาชีพจะสืบหาผลงานทั้งสองไปจนเจอตัวชาวอังกฤษคนดังกล่าวที่ลอนดอน เวลาก็ผ่านไปนานหลายปีเลยทีเดียว (Arthur บอกว่าเขาใช้เวลา 8 ปีในการตามหาผลงาน 2 ชิ้นนี้)   Arthur Brand ได้ฉายาว่า “อินเดียนา โจนส์แห่งโลกศิลปะ” จากผลงานการค้นหาผลงานศิลปะที่ถูกขโมยไปจำนวนมากในอดีต   ดูเหมือนว่าชาวอังกฤษคนนี้จะซื้อรูปสลักมาในราคาราวๆ 2 ล้านบาท ก่อนที่จะปล่อยให้ผลงานอายุ 1,300 ปีทั้งสอง ตากแดดตากฝนโดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่ามูลค่าจริงๆ ของมันนั้นมากมายเพียงใด นับว่าโชคดีมากที่ชายอังกฤษคนดังกล่าวยอมที่จะคืน ของประดับสวนของเขาให้แก่สถานทูตสเปนในลอนดอนเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่ารูปสลักทั้งสองรูปนี้ จะถูกส่งกลับไปยังโบสถ์ Santa Maria…

  • ผลซีทีสแกนพบ มัมมี่ชาวเอสกิโม มีภาวะหลอดเลือดแข็งทั้งที่ทานอาหารดีต่อสุขภาพ

    ผลซีทีสแกนพบ มัมมี่ชาวเอสกิโม มีภาวะหลอดเลือดแข็งทั้งที่ทานอาหารดีต่อสุขภาพ

    ในช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ทีมแพทย์จากบริคแฮม รัฐแมสซาชูเซต สหรัฐอเมริกา ได้ให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในการตรวจสอบมัมมี่จำนวนห้าร่างจากกรีนแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และพบมัมมี่บางส่วนที่มีร่องรอยการเป็นโรคทางหัวใจและหลอดเลือดในตอนที่ยังมีชีวิต     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นหลังจากทีมแพทย์ที่นำทีมโดย Dr. Ron Blankstein ได้ทำซีทีสแกนมัมมี่ชาวอินูอิต หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “ชาวเอสกิโม” ที่มีอายุร่วม 500 ปี และประกอบไปด้วยผู้ใหญ่ 4 คน และเด็กอีก 1 คน พวกเขาพบว่าพบว่า 3 ใน 5 ของมัมมี่ทั้งหมด มีไขมันจับที่ผนังของหลอดเลือด หรือที่เรียกกันว่า “พลาค” (Plaque) ทั้งในเส้นเลือดใหญ่ และหลอดเลือดแดงบริเวณคอ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีของภาวะหลอดเลือดแข็ง     จริงอยู่ว่าที่อาจจะไม่ใช่การทำซีทีสแกนหรือการค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งในมัมมี่ครั้งแรกของโลกก็ตามที แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งเป็นครั้งแรก และครั้งสำคัญในมัมมี่ของกรีนแลนด์เลย นั่นเพราะตามปกติแล้วภาวะหลอดเลือดแข็งมักจะมีความเกี่ยวข้องกับการทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง อย่างเนื้อวัว เนื้อหมู หรือของมัน ดังนั้นการที่ชาวเอสกิโมซึ่งมีอาหารหลักเป็นปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีอาการภาวะหลอดเลือดแข็งเสียเองจึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับทีมนักวิทยาศาสตร์เลย     เท่านั้นยังไม่พอเพราะมัมมี่ของชาวเอสกิโมที่นำมาตรวจสอบยังมีอายุที่ค่อนข้างต่ำอีกด้วย ทำให้การค้นพบภาวะหลอดเลือดแข็งในมัมมี่เหล่านี้จึงยิ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ…

  • 20 ภาพฮ่องกงเมื่อช่วงยุค 1970 ย้อนดูวิธีชีวิตในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษ

    20 ภาพฮ่องกงเมื่อช่วงยุค 1970 ย้อนดูวิธีชีวิตในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษ

    ในปี 1898 หลังจากที่จบสงครามฝิ่นครั้งที่สอง ฮ่องกงก็ถูกส่งให้ไปอยู่ในความครอบครองของอังกฤษตามสัญญาเช่าเป็นเวลา 99 ปี (หลังจากที่ปกครองตามสนธิสัญญานานกิง มาตั้งแต่ปี 1842) ในช่วงเวลานี้เอง ฮ่องกงก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากเมืองการเกษตรและการประมงไปเป็นหนึ่งในพื้นที่การค้าที่พลุกพล่านไปด้วยและกลายเป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษไป ดังนั้นเมื่อช่วงยุค 70 ในช่วงเวลาที่เช่าใกล้ถึงวันหมดอายุขึ้นทุกที ช่างภาพชื่อ Keith Macgregor จึงได้ตัดสินใจที่จะเป็นทางไปยังสถานที่แห่งนี้ เพื่อเก็บรูปภาพการให้ชีวิตของคนในสมัยนั้นเอาให้คนรุ่นหลังได้รับชม และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำผลงานส่วนหนึ่งของช่างภาพดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าฮ่องกงในสมัยที่ยังถูกปกครองโดยอังกฤษนั้น มีสภาพเป็นแบบไหนกัน   เริ่มกันจากท่าเรือ Aberdeen ในปี 1971   การเก็บสาหร่ายที่ Tai Po Kau ในปี 1971   ถนน Jordan พร้อมป้ายการทูตปิงปอง ที่จัดขึ้นในช่วงยุค 70   ตู้จดหมายใน Lau Fau Shan เมื่อปี 1972   คุณยายกับหลานใน Tai Po 1972   หอนาฬิกา Tsim Sha Tsui  กับสถานีรถไฟ Kowloon…

  • ทีมนักเก็บกู้สมบัติ พบหน้ากากอินคาโบราณ อ้างอาจนำไปสู่ขุมทรัพย์กว่า 126 ล้านบาท

    ทีมนักเก็บกู้สมบัติ พบหน้ากากอินคาโบราณ อ้างอาจนำไปสู่ขุมทรัพย์กว่า 126 ล้านบาท

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้นำเสนอการค้นพบ วัตถุโบราณรูปร่างคล้ายหน้ากากจากยุคพรี-โคลัมเบียน ที่หาดเมลเบิร์นในรัฐฟลอริดา ซึ่งอาจนำทางไปสู่ขุมทรัพย์มูลค่ากว่า 126 ล้านบาท     โดยนี่เป็นหน้ากากที่ถูกอ้างโดยทีมนักเก็บกู้สมบัติที่ค้นพบว่าใช้ในพิธีศพของชาวอินคาในอดีต และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมาจากเรือของชาวสเปนที่จมอยู่ใต้ทะเลตั้งแต่ปี 1715 โดยจากคำบอกเล่าของ ดร. ไมค์ ทอร์เรส ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) หนึ่งในนักเก็บกู้สมบัติ ดูเหมือนว่าเรือสเปนที่พวกเขากำลังหาอยู่น่าจะขโมยหน้ากากชิ้นนี้มาอีกทีหนึ่ง และอาจจะเก็บสมบัติอื่นๆ ไว้อีกเป็นจำนวนมาก   ตัวอย่างหน้ากากพิธีศพของชาวอินคาที่เคยมีการค้นพบมาก่อนในอดีต   เขายังอ้างอีกว่าหน้ากากที่พบนี้มีส่วนผสมของ ทองแดง เงิน ทองคำ และอาจจะมีแร่อย่างอิริเดียม ผสมอยู่เล็กน้อย (เจ้าตัวอ้างว่ามาจากดาวตกอีกที) ทำให้นี่นับว่าเป็นงานโลหะชิ้นแรกๆ ที่เคยมีการค้นพบในอเมริกาใต้เลย อย่างไรก็ตามคำบอกเล่าของ ดร. ไมค์ และกลุ่มนักเก็บกู้สมบัติ กลับถูกโดยนักโบราณคดีหลายฝั่งออกมาโต้แย้ง เพราะแม้ว่าการพบหน้ากากอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ตามแต่ข้อมูลที่ดร. ไมค์ให้มานั้นมีอยู่หลายส่วนที่ถูกเสริมแต่งให้ดูเกินจริง   ดร. ไมค์ ทอร์เรส   เช่นงานโลหะชิ้นแรกที่เคยมีการค้นพบในอเมริกาใต้นั้นมีมาตั้งแต่เมื่อ 900-700 ปีก่อนคริสตกาล แล้วซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าอารยธรรมจักรวรรดิอินคาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1418…

  • ชม 5 ประโยชน์สุดแปลกของ “ปัสสาวะ” และ “อุจจาระ” ที่แม้จะไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว

    ชม 5 ประโยชน์สุดแปลกของ “ปัสสาวะ” และ “อุจจาระ” ที่แม้จะไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าปัสสาวะและอุจจาระสามารถนำไปดัดแปลงเป็นของที่มีประโยชน์อย่างปุ๋ยได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าด้วยวิทยาการในปัจจุบันประโยชน์ของปัสสาวะและอุจจาระนั้นไม่ได้หยุดอยู่แต่ที่ปุ๋ยอีกต่อไปแล้ว มันสามารถนำไปทำของอย่างน้ำหอม อาหาร หรือแม้กระทั่งเชื้อเพลิงได้ ซึ่งแม้ว่าบางอย่างที่กล่าวมาจะฟังดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยในเวลาเดียวกัน และด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 ประโยชน์สุดแปลกของปัสสาวะและอุจจาระที่แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน   เริ่มกันจากการนำอุจจาระไปทำน้ำหอม นี่เป็นการใช้งานของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “อำพันทะเล” (Ambergris) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันคือ “ขี้หรืออ้วก” ของวาฬสเปิร์ม ซึ่งแม้ว่าจะมีกลิ่นแรงมาก แต่หากปล่อยเอาไว้สักพักจะมีกลิ่นหอม จนนิยมใช้ในวงการน้ำหอมมาอย่างยาวนานและมีราคาแพงสุดๆ เท่านั้นยังไม่พอเพราะในอดีตอำพันทะเลยังถูกเอาไปทานเป็นอาหารของคนมีเงินในสหรัฐอเมริกาด้วยนะ   ใช้ปัสสาวะย้อมสีหนังสือ นี่เป็นความสามารถของปัสสาวะที่ถูกใช้งานในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่ของชาวไบแซนไทน์เมื่อราวๆ 1,500 ปีก่อน โดยเป็นการอาศัยเชื้อรา “Roccella tinctoria” ที่อยู่ในฉี่หมักเพื่อให้หน้าหนังสือมีสีออกโทนม่วงงดงาม ก่อนที่จะเขียนด้วยหมึกสีทองหรือเงินอีกที   เอาอุจจาระไปทำสเต๊ก นี่เป็นการทดลองชวนคลื่นไส้ที่ถูกคิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปี 2011 หลังจากที่พวกเขาพบว่าเราสามารถสกัดโปรตีนจากแบคทีเรียในอุจจาระของมนุษย์ได้ ดังนั้นเมื่อเอาโปรตีนที่สกัดออกมาไปผสมกับคาร์โบไฮเดรตและไขมันนักวิทยาศาสตร์ ก็สามารถสร้างอาหารที่มีลักษณะคล้ายเนื้อสัตว์หรือสเต๊กออกมาได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆ สนใจจะทานเนื้อเหล่านี้จริงๆ ทางนักวิทยาศาสตร์ก็เตือนว่าควรจะทำ “เนื้อ” เหล่านี้ไปปรุงให้สุกก่อนเพื่อป้องกันการปนเปื้อนที่อาจจะติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ   เอาปัสสาวะไปเป็นเชื้อเพลิงหุ่นยนต์ นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นกับหุ่นยนต์ชื่อ EcoBots จากมหาวิทยาลัยบริสตอลโดยมีเป้าหมายที่จะทำหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยของเสียโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสีย ขยะบางชนิด หรือแม้กระทั่งปัสสาวะ…

  • อียิปต์ประกาศ การบูรณะสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนเสร็จสิ้นแล้ว หลังดำเนินการมาร่วม 10 ปี

    อียิปต์ประกาศ การบูรณะสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนเสร็จสิ้นแล้ว หลังดำเนินการมาร่วม 10 ปี

    ตั้งแต่ที่มีการค้นพบ “KV62” สุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน (หรือ ตุตันคามุน) ในปี 1922 สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะในขณะที่สุสานอื่นๆ ที่เคยมีการพบมามักจะอยู่ในสภาพที่เสียหายอย่างหนัก สุสาน KV62 กลับอยู่ในสภาพที่ดีมากจนถึงขนาดที่ว่าภาพฝาผนังภายในยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แม้ผ่านกาลเวลามากว่า 3,000 ปี     แต่แม้ว่าสุสาน KV62 จะมีสภาพดีแค่ไหนก็ตาม การที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในที่แห่งนี้อยู่เสมอก็ทำให้สุสาน KV62 เริ่มที่จะเกิดความเสียหายอยู่ดี ดังนั้นในช่วงปี 2008 สุสานแห่งนี้ก็ต้องเข้าสู่การบูรณะครั้งใหญ่จนได้ โปรเจกต์ที่ว่านี้จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือของกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ และสถาบันอนุรักษ์เก็ตตี้ (GCI) แห่งลอสแองเจลิส พวกเขามีเป้าหมายหลักอยู่ที่การซ่อมแซมภาพฝาผนัง การติดตั้งระบบระบายอากาศใหม่ และการหาต้นต่อของรอยจุดสีน้ำตาลที่อยู่บนภาพ ซึ่งเคยถูกเชื่อกันว่าอาจจะเป็นเชื้อราจากในอดีต     หลังจากที่การบูรณะดำเนินการไปได้นานกว่า 10 ปี ในที่สุดเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ทางกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ก็ได้ออกมาประกาศว่าการบูรณะสุสาน KV62 ได้เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยทาง GCI ได้ออกมาเปิดเผยว่าจุดสีน้ำตาลที่อยู่บนภาพของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นได้ เป็นจุลินทรีย์จากสมัยก่อนจริงๆ แต่ก็ตายไปเป็นเวลานานมากแล้ว โดยจะสังเกตได้จากการที่มันไม่ได้เติบโตขึ้นเลยตั้งแต่เมื่อปี 1922 ที่มีการค้นพบ     อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตายไปจุลินทรีย์เหล่านี้ก็ได้กระจายลงไปยังตัวภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ทีมบูรณะสุสานไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์เหล่านี้ได้โดยไม่ทำลายตัวภาพ โปรเจกต์บูรณะสุสานในครั้งนี้นับว่าเป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างแปลกมากเลยก็ว่าได้ เพราะตลอดช่วงเวลาที่มีการบูรณะตัวสุสานเองก็ไม่ได้มีการปิดรับนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แถมหากนักท่องเที่ยวสนใจในการทำงานของทีมงานพวกเขายังได้รับอนุญาตให้ตอบคำถามของนักท่องเที่ยวอย่างอิสระด้วย     และแน่นอนว่าเมื่อการบูรณะสุสานจบลงไปได้ด้วยดีเช่นนี้…

  • พบโครงกระดูกเด็ก 269 คน และลามะ 466 ตัว ถูกบูชายัญในเปรูเมื่อ 500 ปีก่อน และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    พบโครงกระดูกเด็ก 269 คน และลามะ 466 ตัว ถูกบูชายัญในเปรูเมื่อ 500 ปีก่อน และยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการบูชายัญเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมโบราณหลากหลายแห่งในโลกไม่ว่าจะเป็นเผ่ามายา แอซเท็ก หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ จนทำให้การค้นพบร่องรอยเหยื่อบูชายัญในอดีตอาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในสายตาของหลายๆ คน แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง ทางนิตยสาร National Geographic ก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบูชายัญในอดีตอีกครั้ง     นั่นเพราะทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติตรูฮีโยได้ค้นพบโครงกระดูกของเด็ก 269 คน ผู้ใหญ่ 3 คน และลามะอีก 466 ตัวซึ่งถูกสังหารในพิธีบูชายัญ ถูกฝังไว้ใต้หาดทรายทางตอนเหนือของประเทศเปรู โครงกระดูกเหล่านี้ถูกพบเป็นครั้งแรกในปี 2011 โดยเด็กๆ ที่เข้ามาเล่นทรายในพื้นที่โดยบังเอิญ และคาดกันว่ามีอายุอยู่ที่ราวๆ 550 ปี ก่อนที่ทีมนักโบราณคดีจะถูกเชิญเข้ามาสำรวจในปี 2016     นี่นับว่าเป็นการบูชายัญเด็กที่ใหญ่ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านๆ มาหลักฐานการบูชายัญเด็กที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั้นอยู่ที่เมืองโบราณของแอซเท็กและมีเหยื่ออยู่แค่ 42 รายเท่านั้น โครงกระดูกส่วนใหญ่ที่ถูกฝังที่นี่จะมีร่องรอยการถูกของมีคมตัดผ่านกระดูกสันอกและซี่โครงซึ่งพบได้ในพิธีการบูชายัญ แถมร่างของเด็กๆ ยังมักถูกฝังด้วยท่าทางแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝังคว่ำหน้าหรือนอนขดตะแคงข้าง     ที่ผ่านๆ มาการบูชายัญครั้งใหญ่ในอดีตมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างฝนตกหนักจนน้ำท่วม อย่างไรก็ตามในพื้นที่การทำพิธีในครั้งนี้กลับไม่มีร่องรอยว่าเคยถูกน้ำท่วมหรือฝนตกอย่างต่อเนื่องในอดีตปรากฏให้เห็นเลย นั่นทำให้ในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีจึงไม่อาจบอกได้ว่าการบูชายัญเด็กและตัวลามะจำนวนมากมายขนาดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าคนกลุ่มไหนกันที่บูชายัญเด็กมากขนาดนี้ ศาสตราจารย์มานุษยวิทยา John Verano ผู้เป็นหนึ่งในทีมงานสำรวจบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการวิจัยครั้งนี้นั้นอยู่ที่เวลา เพราะพวกเขาจะต้องรีบบันทึกข้อมูลที่พบทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนที่ความเจริญของเมืองจะมาทำลายแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ในอนาคต     ที่มา nola, nationalgeographic…

  • ทฤษฎีใหม่บอก “อเล็กซานเดอร์มหาราช” อาจเสียชีวิตเพราะ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์”

    ทฤษฎีใหม่บอก “อเล็กซานเดอร์มหาราช” อาจเสียชีวิตเพราะ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์”

    จากบันทึกในอดีต ตอนที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเสียชีวิตไปในช่วง 323 ปีก่อนคริสตกาล ร่างของเขาไม่มีการเน่าเสียเลยเป็นเวลายาวนานถึง 6 วันเต็ม เรื่องราวนี้สำหรับชาวกรีกโบราณแล้วเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะนั้นทำให้อเล็กซานเดอร์ถูกมองว่าไม่ใช่เพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ แต่เป็นหนึ่งในหมู่เทพที่ลงมาจุติในร่างของมนุษย์     แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีแล้ว ความตายของอเล็กซานเดอร์กลับเป็นปริศนาที่ไขไม่ออกกันมาอย่างยาวนาน ในตอนที่อายุได้ 32 ปี อเล็กซานเดอร์ถูกบันทึกไว้ว่าป่วยอย่างหนักเป็นเวลา 12 วันก่อนที่จะเสียชีวิต แต่กลับไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าอาการป่วยของเขามีสาเหตุมาจากอะไร นั่นทำให้นักโบราณคดีและทีมแพทย์พยายามหาเหตุผลมาอธิบายความตายของชายผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็น มาลาเรีย ไทฟอยด์ แอลกอฮอล์เป็นพิษ หรือแม้กระทั่ง การลอบสังหารโดยยาพิษ     อย่างไรก็ตามเมื่อล่าสุดนี้ทางนิตยสารออนไลน์ “The Ancient History Bulletin” ก็ได้มีการเผยแพร่บทความที่มีการพูดถึงทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับความตายของอเล็กซานเดอร์ ภายใต้ความร่วมมือของ ดร. แคทเธอรีน ฮอลล์ อาจารย์อาวุโส แห่งมหาวิทยาลัยโอทาโกที่นิวซีแลนด์ โดยในบทความที่ออกมานั้น ดร. แคทเธอรีน ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอเล็กซานเดอร์น่าจะมีอาการของ “กลุ่มอาการกูเลนแบร์” (Guillain-Barré syndrome) หรือ “GBS” อ้างอิงจากอาการที่เขาแสดงออกมาในช่วง 12 วันที่ป่วยหนัก     กลุ่มอาการกูเลนแบร์ เป็นการเจ็บป่วยที่ก่อให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในร่างกาย ซึ่งเกิดได้จากแบคทีเรีย “Campylobacter pylori” ที่พบได้ทั่วไป แต่ก็นับว่าเป็นโรคที่พบได้น้อยมาก กลุ่มอาการกูเลนแบร์จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่ดีในระบบประสาท ทำให้บ่อยครั้งคนไข้จะมีอาการงุนงง ชา…

  • ชม 20 ภาพเทคโนโลยีสุดเจ๋งของเหล่าสายลับจากสมัยสงครามเย็น ที่ไม่ได้มีดีแค่โชว์เท่ๆ

    ชม 20 ภาพเทคโนโลยีสุดเจ๋งของเหล่าสายลับจากสมัยสงครามเย็น ที่ไม่ได้มีดีแค่โชว์เท่ๆ

    ในช่วงสงครามเย็นที่ทางสหรัฐฯ กับโซเวียตไม่ได้เปิดฉากยิงกันอย่างเปิดเผยนั้น การสืบหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของสมัยนั้นเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ทั้งทาง CIA และ KGB จะแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ๆ ให้แก่สปายของตัวเองอยู่เสมอๆ จนทำให้ในช่วงเวลานี้มีอุปกรณ์ของสปายที่น่าสนใจเกิดขึ้นเต็มไปหมด และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 20 ภาพอุปกรณ์ของสปายสุดเจ๋งจากสมัยสงครามเย็น ว่าแต่จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากปืนติดถุงมือ OSS .38 ออกแบบมาให้ใช้เวลาแกล้งยกมือยอมแพ้ ในกรณีที่โดยจับตัว   ที่ดึงจดหมายจากซอง ออกแบบมาให้สามารถม้วนเอาจดหมายออกจากซองได้โดยไม่ทำให้ซองเสียหาย .   กล้องติดกล่องไม้ขีด ตามปกติจะมียี่ห้อและรายละเอียดอื่นๆ เขียนไว้ที่กล่องด้วยเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นกล่องไม้ขีดจริงๆ มากที่สุด   “CIA Semi-Submersible” มันเป็นเรือกึ่งเรือดำน้ำ ที่ออกแบบมาให้นั่งได้ 2 คน มักใช้ในการช่วยสปายออกจากฐานของศัตรู   สว่านมือ “Belly Buster” เอาไว้เจาะรูในห้องเพื่อแอบมอง หรือติดตั้งเครื่องมืออื่นๆ   ยานไร้คนขับรูปแมลงปอ ผลิตโดย CIA ในช่วงปี 1970…

  • ย้อนรอย “สวัสติกะ” สัญลักษณ์เก่าแก่อายุกว่า 12,000 ปี ที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน

    ย้อนรอย “สวัสติกะ” สัญลักษณ์เก่าแก่อายุกว่า 12,000 ปี ที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน

    หากพูดถึงเครื่องหมาย “สวัสติกะ” เชื่อกันว่าคงมีหลายคนที่นึกภาพสัญลักษณ์ของพรรคนาซีขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่ในความเป็นจริงแล้วสัญลักษณ์นี้มีมานานกว่าพรรคนาซีเยอะ แถมไม่ได้ภาพลักษณ์ที่เลวร้ายเหมือนในปัจจุบันอีกด้วย     โดยเครื่องหมายสวัสติกะที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยมีการค้นพบมานั้น คาดกันว่ามาจากปลายยุคหินเพลิโอะลีธอิค (ราวๆ 12,000 ปีก่อน) เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เรามั่นใจว่ามีการใช้เครื่องหมายสวัสติกะอย่างแน่นอนจะเป็นเมื่อราวๆ 4,000 ปีก่อน และมีหลักฐานการใช้งานจากทั้งกรีก โรมัน ดรูอิด เคลต์ และแน่นอนว่าในศาสนาต่างๆ อย่างฮินดู หรือพุทธศาสนา     สวัสติกะมาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งมีความหมายตั้งแต่ “สิ่งที่ดี” “ความเป็นอยู่ที่ดี” และ “โชคดี” ก่อนที่จะได้รับความหมายอื่นๆอย่าง “ชัยชนะ” จากการตีความเพิ่มเติมของคนรุ่นหลัง ในปี 1979 นักวิชาการภาษาสันสกฤต Prabhat Ranjan Sarkar บอกว่าตราสวัสติกะจะสามารถวาดได้ทั้งแบบ 卍 และ 卐 แต่ทั้งสองแบบจะมีความหมายตรงข้ามกัน และหากอยากให้ความหมายออกมาในด้านดี ตราก็ควรจะถูกเขียนแบบ “卐”     สำหรับชาวพุทธแล้วตราสวัสติกะนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของ โชคดี ความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นนิรันดร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สัญลักษณ์เหล่านี้จะไปปรากฏบนพระพุทธรูป (โดยเฉพาะในต่างประเทศ)     น่าเสียดายที่หลังจากที่นาซีมีการใช้เครื่องหมายคล้ายตราสวัสติกะเป็นสัญลักษณ์ของตนเองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง…

  • สองบริษัทในบราซิล ออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียชื่อดัง ในรูปแบบย้อนยุคปี 50

    สองบริษัทในบราซิล ออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียชื่อดัง ในรูปแบบย้อนยุคปี 50

    เคยคิดกันเล่นๆ ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโซเชียลมีเดียหลายเจ้าเกิดขึ้นมาในปี 1950 มันจะมีการโปรโมตแบบไหน บริษัทออกแบบโฆษณา “Moma” ในบราซิล และสตูดิโอภาพวาดอย่าง “6B Studios” จึงได้ร่วมเมื่อกันออกแบบโฆษณาสำหรับโซเชียลมีเดียเจ้าต่างๆ หากพวกเขาเปิดทำการในปี 1950 ออกมาให้เราได้ชมกัน จะมีโซเชียลมีเดียเจ้าไหนบ้างนั้น เชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจาก Facebook ที่มาพร้อมกับสโลแกนว่า  “การพบปะทางสังคมที่โดนใจและน่าอัศจรรย์” แชร์รูปภาพประสบการณ์สุดงดงามของคุณแก่เพื่อนและครอบครัว จะเรื่องงานหรือเวลาว่าง Facebook ก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของการพบปะทางสังคม และเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการปรับตัวให้เข้ากับการสื่อสารในยุคของเรา   ภาพยนตร์ของคุณจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์บน YouTube ส่งและชมวิดีโอตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ข่าว การค้า หรืออื่นๆ อีกมากมาย กับหนทางที่น่าหลงใหลที่สุดในการสร้างความสุขให้กับครอบครัว   Twitter สังคมเข้มแข็งสุดประเสริฐสร้างได้ ด้วยตัวหนังสือ 140 ตัว     และ Skype ระบบเสียงสุดแจ๋วที่สามารถพาครอบครัวของคุณมาอยู่ด้วยกัน Skype จะเป็นตัวกลางระหว่างคุณและคนสนิทในการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต หนทางที่ดีที่สุดที่ครอบครัวจะได้พูดคุยกันเมื่ออยู่ห่างไกล มันดีเยี่ยมกว่าโทรศัพท์ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะนำคุณไปสู่โลกใบใหม่ได้ไม่ยากเลย  …

  • นักวิทย์พบฟอสซิลแฮกฟิชอายุกว่า 100 ล้านปี เผยปลาตัวนี้แทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

    นักวิทย์พบฟอสซิลแฮกฟิชอายุกว่า 100 ล้านปี เผยปลาตัวนี้แทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานการค้นพบฟอสซิลเก่าแก่ที่เลบานอน ซึ่งเก็บร่องรอยของ “แฮกฟิช” จากยุคครีเทเชียสเอาไว้มานานกว่า 100 ล้านปี     แฮกฟิชเป็นปลาทะเลที่มีรูปร่างคล้ายกับปลาไหลที่มีชีวิตอยู่ด้วยการกินปลาตายหรือใกล้ตาย และมีจุดเด่นอยู่ที่เมือกของมันซึ่งเคยมีงานวิจัยว่าอาจจะนำมาทำเสื้อผ้าในอนาคตได้เลย เชื่อกันว่าแฮกฟิชนั้นอยู่มาบนโลกในนี้ตั้งแต่เมื่อ 500 ล้านปีก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามจากการที่แฮกฟิชไม่มีกระดูกสันหลัง ก็ทำให้หลักฐานการมีอยู่ของมันจึงแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเลย ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ     แฮกฟิชที่พบในครั้งนี้มีความยาวอยู่ที่ 12 นิ้ว หรือราวๆ 30 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าสั้นกว่าความยาวโดยเฉลี่ยของแฮกฟิชในปัจจุบันอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามลักษณะโดยรวมของปลาสายพันธุ์นี้กลับแทบจะไม่มีการเปลี่ยนไปเลย จากการวิเคราะห์ร่องรอยฟอสซิลของนักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนว่าความสามารถในการสร้างเมือกของแฮกฟิชเอง ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะวิวัฒนาการขึ้นมาในภายหลังเช่นกัน เพราะในฟอสซิลชิ้นนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบร่องรอยของสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเมือกที่แฮกฟิชใช้ แถมยังมีร่องรอยของต่อมผลิตเมือกให้เห็นทั่วตัวของมันอีกด้วย     อาจจะกล่าวได้ว่าเมือกของแฮกฟิชมีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้ปลาสายพันธุ์นี้ไม่จำเป็นต้องวิวัฒนาการระบบป้องกันตัวอื่นๆ เพิ่มเติมตลอดช่วงเวลา 100 ล้านปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ สำหรับแฮกฟิชในปัจจุบัน มันสามารถปล่อยเมือกออกไปได้ไกลกว่าขนาดตัวจริงๆ ของมันถึง 10,000 เท่า แถมเมือกเหล่านี้ยังลื่นมากแม้บนบก จนเคยมีข่าวรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มเพราะเมือกของมันมาแล้ว     การที่แฮกฟิชแทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อ 100 ล้านปีก่อน ทำให้วิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานว่าปลาสายพันธุ์นี้น่าจะมีความเก่าแก่กว่าสัตว์น้ำจำพวกปลาประเภทอื่นๆ…

  • นักโบราณคดีพบ บังเกอร์ทหารของโซเวียตในโปแลนด์ อาจสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บอาวุธนิวเคลียร์

    นักโบราณคดีพบ บังเกอร์ทหารของโซเวียตในโปแลนด์ อาจสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บอาวุธนิวเคลียร์

    ในช่วงยุค 1960 หลังจากที่สงครามเย็นดำเนินไปได้พักหนึ่ง ทางสหภาพโซเวียตได้ทำการสร้างบังเกอร์ทางการทหารขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศโปแลนด์ โดยมีการลบออกไปจากแผนที่ และซ่อนเอาไว้อย่างดีจากการสำรวจทางอากาศ     ในอดีต สถานที่เหล่านี้เคยถูกเชื่อกันว่าเป็นเพียงบังเกอร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อซ่อนทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จะมีการเรียกใช้ในกรณีที่เกิดการประทะกันอย่างเป็นทางการกับทางฝั่งตะวันตกก็เท่านั้น แต่แล้วเมื่อวันที่ 21 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองในที่สุด ทีมนักโบราณดคีจากสถาบันประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโปแลนด์ก็ได้ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่อีกข้อของบังเกอร์ในประเทศเข้าจนได้ นั่นเพราะจากข้อมูลลับที่ได้รับการเปิดเผยออกมาของสหภาพโซเวียต ภาพถ่ายดาวเทียม และการตรวจสอบโครงสร้างภายในของบังเกอร์ทหารแล้ว พวกเขาก็พบว่าบังเกอร์เหล่านี้นั้นในอดีตน่าจะเป็นสถานที่เก็บอาวุธนิวเคลียร์มาก่อนนั่นเอง   เส้นทางที่เคยมีการใช้งาน กับสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายสนามฟุตบอล ซึ่งถูกค้นพบอยู่ใกล้ๆ บังเกอร์ในปี 1984   นั่นเพราะเมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของบังเกอร์เหล่านีเข้ากับโรงเก็บอาวุธนิวเคลียร์ในเชโกสโลวาเกีย ฮังการี และบัลแกเรีย นักโบราณคดีก็พบว่าสถานที่เหล่านี้มีโครงสร้างที่คล้ายกันเป็นอย่างมาก Grzegorz Kiarszys หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า พลังของหัวรบนิวเคลียร์เหล่านี้ อาจจะมีหลังทำลายได้ตั้งแต่ 0.5-500 กิโลตัน และเป็นไปได้ว่าถูกเตรียมการไว้ใช้ในการรบที่เยอรมนี และเดนมาร์ก น่าแปลกที่เมื่อทีมวิจัยทำการตรวจสอบบังเกอร์เหล่านี้เพื่อหาร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสี พวกเขากลับพบว่าในบังเกอร์นั้น ไม่มีร่องรอยใดๆ ของสารกัมมันตภาพรังสีอยู่เลยแม้แต่น้อย     การค้นพบนี้ทำให้ Kiarszys ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาสองข้อ ได้แก่โรงเก็บในที่แห่งนี้อาจจะมีระบบการป้องกันสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลที่ดีมากๆ หรือไม่ก็หัวรบนิวเคลียร์ไม่เคยมีการส่งมาถึงที่แห่งนี้ เนื่องจากเหตุการณ์สงครามไม่ได้เลวร้ายจนต้องมีการใช้งานหัวรบจริงๆ Kiarszys ยังบอกอีกด้วยว่าในอดีตพื้นที่รอบๆ บังเกอร์เองก็อาจจะเคยเป็นค่ายทหารมาก่อน เนื่องจากมีร่องรอยสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายไป…

  • งานวิจัยใหม่บอกปรากฏการณ์ “ภาพมองตามผู้ชม” มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่กับ “ภาพโมนาลิซา”

    งานวิจัยใหม่บอกปรากฏการณ์ “ภาพมองตามผู้ชม” มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่กับ “ภาพโมนาลิซา”

    เวลาชมภาพที่มีชื่อเสียง เคยรู้สึกไหมว่าดวงตาของคนในภาพมองตามเราไปทุกที่? นี่คือปรากฏการณ์ที่เหล่าคนที่คลุกคลีอยู่กับวงการภาพวาดรู้จักกันเป็นอย่างดี และตั้งชื่อให้มันว่า “Mona Lisa Effect”     โดยจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ Mona Lisa Effect มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ดวงตาของคนในภาพทำมุม 0-5 องศา ซึ่งจะเป็นมุมที่ทำให้คนที่มองภาพเกิดการเข้าใจผิดไปเองว่าตัวเองถูกภาพ “มองตาม” อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่า Mona Lisa Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับชื่อมาจากภาพวาดของ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” เมื่อปี ค.ศ. 1503 อย่าง “ลาโจกอนดา” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “โมนาลิซา”     แต่เชื่อหรือไม่ว่าภาพของโมนาลิซาที่ถูกนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อปรากฏการณ์ กลับไม่ได้มีความสามารถในการทำให้เกิด Mona Lisa Effect แต่อย่างใด ความขัดแย้งกันเองอย่างไม่น่าเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อนักจิตวิทยา Gernot Horstmann ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ Mona Lisa Effect แล้วสังเกตว่าหากมองภาพของโมนาลิซาดีๆ เขาจะรู้สึกตัวว่าเธอนั้นไม่ได้มองมาที่เขาโดยตรง แต่มองไปที่ทางขวาของเขาเล็กน้อยต่างหาก     เมื่อรู้สึกตัวเช่นนี้ Horstmann จึงได้นำภาพโมนาลิซาไปให้อาสาสมัครอีก 24 คนดูทันที…

  • ชม 20 ภาพความงามจากประเทศคิวบาในช่วงปี 1976 ที่จะทำให้คุณอยากไปเที่ยวดูสักครั้ง

    ชม 20 ภาพความงามจากประเทศคิวบาในช่วงปี 1976 ที่จะทำให้คุณอยากไปเที่ยวดูสักครั้ง

    หลังจากที่มีการประกาศอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกาในปี 1902 และผ่านการปฏิวัติในช่วงปี 1953-1959 ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ยุค 70 เหตุการณ์บ้านเมืองของคิวบาก็ดูจะกลับสู่ภาวะปกติเสียที ด้วยเหตุนี้เองเมื่อคิวบาประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 1976 ช่างภาพอย่าง Manel Armengol จึงได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปเก็บภาพของประเทศคิวบาในสมัยนั้นกลับมาให้โลกได้ชม     และแม้ว่าผลงานของเขาอาจจะไม่ได้ดูทรงพลังเท่าภาพถ่ายคิวบาในยามสงครามของช่างภาพคนอื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพของเขานั้นมีเสน่ห์ในอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำผลงานส่วนหนึ่งของช่างภาพคนนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าคิวบาในเวลานั้น จะสงบสุข สวยงามน่าไปเที่ยวขนาดไหนกัน   เริ่มกันจากป้ายประกาศงานรื่นเริงที่จัตุรัสใน Matanzas   สระว่ายน้ำและสวนของรีสอร์ทนานาชาติ   รถประจำทางที่สวนกันบนถนนกลางเมือง   อาคารที่มีป้าย Nueva Trova แนวเพลงของคิวบาที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติ   อาคารที่เรียงกันเป็นแถบและเหล่าหนุ่มๆ ที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนข้างบ้าน   ถนน Maceo ในเมือง Santa Clara   คนงานกำลังขนกระสอบแป้ง   โรงแรม Santa Clara Libre ในเมือง Santa Clara   ตึก Coppelia building (ซ้าย) หนึ่งในร้านไอศกรีมที่ใหญ่ที่สุดในโลก…

  • ย้อนรอยชุด “ตอกา” เครื่องแต่งกายของชาวโรมันโบราณ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกลักษณ์

    ย้อนรอยชุด “ตอกา” เครื่องแต่งกายของชาวโรมันโบราณ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกลักษณ์

    หากพูดถึงการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวโรมันโบราณ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงเครื่องแบบ ทหารหรือไม่ก็ชุดผ้าหลวมๆ ที่เห็นกันบ่อยๆ ในหนังขึ้นมาเป็นอย่างแรก     ชุดผ้าเหล่านั้นมีชื่อเรียกว่า “ตอกา” หรือ “โทกา” (Toga) ผืนผ้าที่มีความยาวราว 6 เมตร ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในการใช้พันรอบตัวแทนเสื้อผ้า และการพันทับชุดทูนิคอีกทีหนึ่ง เดิมทีแล้วตอกาสามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อย่างไรก็ตามหลังจากช่วง 200-100 ปีก่อนคริสตกาล ผู้หญิงโรมันก็รับวัฒนธรรมชุด “สตอลา” มาใช้ ทำให้ตอกากลายเป็นชุดที่ถูกใช้งานโดยผู้ชายเท่านั้นไป   รูปปั้นของ Livia Drusilla จักรพรรดินีของโรมันในชุดสตอลา   ไม่มีใครทราบว่าตอกานั้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่ตอกาที่ใช้งานกันในโรมันเป็นของที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากทางอารยธรรมอีทรัสคัน และมักทำจากขนสัตว์ ส่วนชุดทูนิคข้างใต้จะทำจากผ้าลินิน     แม้ว่ารูปร่างและลักษณ์ที่ชัดเจนของตอกาจะยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักโบราณคดีอยู่ แต่จากที่มีบันทึกไว้ ตอกาแบ่งออกได้ราวๆ 6 แบบหลักๆ ตามสถานะทางสังคมของผู้ใช้ได้แก่ 1. “Toga Pura” ที่ทำจากขนสัตว์สีขาว สำหรับประชาชนชายทั่วไป 2. “Toga Praetexta” ตอกาที่มีขอบสีม่วงสำหรับนักบวช เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นทาส หรือผู้พิพากษา 3. “Toga Pulla”…

  • นักวิทยาศาสตร์ตัดต่อ DNA สร้าง “ไฮดราหลายหัว” เชื่ออาจมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์

    นักวิทยาศาสตร์ตัดต่อ DNA สร้าง “ไฮดราหลายหัว” เชื่ออาจมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์

    ยังจำตัว “ไฮดรา” ที่เราส่องดูกันในคาบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ได้อยู่ไหม? มันเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็กที่พบได้ในแหล่งน้ำ ได้รับชื่อมาจากสัตว์ในตำนานของชาวกรีก และมีการสืบพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ เดิมทีแล้วไฮดรามีความสามารถในการงอกตัวเองขึ้นมาใหม่ได้จากชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียวของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่มันจะถูกมองว่าเป็นอมตะในสายตาของนักชีววิทยาหลายๆ คน   ไฮดราโดยทั่วไป   ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าอะไรกันที่ทำให้เจ้าสัตว์น้ำตัวเล็กๆ นี้สามารถงอกอวัยวะออกมาใหม่ได้แบบมีจำนวนเท่าเดิมไม่ขาดไม่เกินกัน นั่นเป็นข้อสงสัยที่ นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเจนีวาพยายามที่จะไข ในตอนที่พวกเขาทดลองตัดต่อ DNA ของไฮดรา และพบว่าหนึ่งในตัวอย่างทดลองของพวกเขาเกิดการงอกหัวจำนวนมากขึ้นมา จนมีสภาพราวกับสัตว์ประหลาดไป   ไฮดราที่ถูกตัดต่อ DNA   เดิมทีแล้วนักวิทยาศาสตร์ทราบว่าไฮดรานั้นอาศัยยีน “Wnt3” ในการงอกหัวใหม่ ถึงอย่างนั้นก็ตามพวกเขาก็เชื่อว่าไฮดราน่าจะมียีนอีกอย่างน้อยๆ หนึ่งตัวที่ใช้ควบคุมไม่ให้อวัยวะของมันงอกออกมามากกว่าที่ควรจะเป็น และหากมองจากที่ นักวิทยาศาสตร์พบว่ายีนที่มีการทำงานมากที่สุดในระหว่างการซ่อมแซมตัวเองของไฮดรา คือยีน Wnt3, Wnt5 และ Sp5 แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ให้ความสนใจยีนที่ชื่อว่า Sp5 เป็นอย่างมาก นั่นเพราะเมื่อพวกเขาลองหยุดการทำงานของยีน Sp5 ในตัวไฮดราดู เจ้าสัตว์น้ำตัวนี้ก็จะงอกหัวออกมาอย่างไม่สิ้นสุดทันทีที่หัวมันถูกตัด ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงลงความเห็นกันว่ายีน Sp5 น่าจะเป็นยีนที่ค่อยส่งสัญญาณหยุดการงอกของอวัยวะในตัวของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง   การงอกตัวของไฮดรา   จริงอยู่ว่านี่อาจจะเหมือนกับการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ที่ดูคลั่งๆ ในหนังไม่มีผิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่เรารู้ว่ายีน Sp5 สามารถหยุดการงอกของอวัยวะได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลย เพราะนี่หมายความว่ายีน Sp5 อาจจะมีความสามารถในการหยุดการงอกของมะเร็งได้ และอาจส่งผลโดยตรงกับงานวิจัยทางการแพทย์ในอนาคตเลยก็เป็นได้…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ ชาวไวกิ้งอาจไม่มองเทพเจ้านอร์สเป็น “เทพผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนศาสนาอื่นๆ

    งานวิจัยใหม่ชี้ ชาวไวกิ้งอาจไม่มองเทพเจ้านอร์สเป็น “เทพผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนศาสนาอื่นๆ

    เมื่อกล่าวถึงความเชื่อของชาวไวกิ้ง เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเทพเจ้าของชาวนอร์ส (โดยเฉพาะธอร์ และโลกิ) ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าสำหรับเหล่านักโบราณคดีแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของชาวไวกิ้งนั้น เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิดมาก นั่นเพราะแม้ว่าชื่อของเทพเจ้าแห่งแอสการ์ดจะเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน แต่ในอดีตเรากลับมีหลักฐานน้อยมากที่ระบุอย่างชัดเจนว่าชาวไวกิ้งนับถือเทพเหล่านี้จริงๆ เนื่องจากกว่าที่ชาวสแกนดิเนเวียจะเริ่มมีการเขียนบันทึกอย่างแพร่หลาย มันก็ในศตวรรษที่ 12 แล้ว (ชาวไวกิ้งมีมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 6)     อย่างไรก็ตามในกลอนที่มีการค้นพบของชาวไวกิ้งเองก็แสดงให้เราเห็นถึงมุมมองที่น่าสนใจที่พวกเขามีต่อเทพของพวกเขาเองได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะจากงานวิจัยเกี่ยวกับเทพของชาวนอร์สชิ้นล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมาในนิตยสาร “Religion, Brain & Behavior” ดูเหมือนว่าชาวไวกิ้งจะไม่ได้มองเทพของตัวเองเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” เหมือนกับศาสนาอื่นๆ นัก เทพของชาวนอร์สไม่ได้ไม่มีวันตายเหมือนในความเชื่ออื่นๆ แถมยังมีโชคชะตาที่จะต้องตายไปในเหตุการณ์แร็กนาร็อก ทำให้พวกเขาไม่ได้มีอำนาจทุกอย่าง และว่ากันตามตรงว่าไม่ใช่ผู้ที่สร้างโลกด้วยซ้ำ     นั่นทำให้ระบบความเชื่อของชาวไวกิ้งมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ ค่อนข้างมาก เพราะต่อให้พวกเขามีการสาบานต่อเทพ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าเทพไม่ได้มองพวกเขาอยู่เสมอ แถมเทพเหล่านั้นอาจจะไม่ได้รับฟังคำสาบานเหล่านั้นจริงๆ และบ่อยครั้งพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าความสำเร็จในชีวิตมาจากความช่วยเหลือของเทพด้วย     อย่างไรก็ตามใช่ว่าชาวไวกิ้งจะไม่ได้มีการนำระบบความเชื่อมาใช้ในการสร้างกฏระเบียบในสังคมเลย เพราะพวกเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะมีแนวคิดที่ว่าพวกมนุษย์ถูกเฝ้ามองโดยสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งจะคอยลงโทษพวกเขาหากทำตัว “ไม่ดี” เช่นกัน เพียงแต่ชาวไวกิ้งเชื่อในสิ่งเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด ยังคงเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีต้องถกเถียงกันต่อไปก็เท่านั้น   ที่มา livescience

  • พบสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบใต้น้ำแข็งหนา 1 ก.ม. ที่แอนตาร์กติกา เป็นครัสเตเชียและหมีน้ำ

    พบสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบใต้น้ำแข็งหนา 1 ก.ม. ที่แอนตาร์กติกา เป็นครัสเตเชียและหมีน้ำ

    ทะเลสาบเมอร์เซอร์ เป็นทะเลสาบในทวีปแอนตาร์กติกาที่มีจุดเด่นอยู่ที่การที่ตัวทะเลสาบถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งหนา 1 กิโลเมตร ซึ่งหากคิดกันตามปกติแล้ว ไม่น่าที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดๆ ไปอาศัยอยู่ได้ และแทบจะไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน แต่แล้วเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้รับทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกาในการนำสว่านน้ำแรงดันสูงเจาะลงไปใต้พื้นน้ำแข็ง เจาะเอาตัวอย่างโคลนใต้น้ำแข็งขึ้นมาตรวจสอบ     มันเป็นโคลนที่เก็บเอาต้นไม้ เห็ดรา และตะไคร่น้ำ จากเมื่อราวๆ หนึ่งล้านปีก่อนในสมัยที่แอนตาร์กติกายังคงอบอุ่นเอาไว้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่การตรวจสอบดำเนินไปสักพักนักวิทยาศาสตร์ก็พบกลับเรื่องน่าสนใจเขาจนได้ นั่นเพราะที่ใต้น้ำแข็งหนากว่า 1 กิโลเมตรนั้น พวกเขากลับพบ “ครัสเตเชีย” สัตว์น้ำที่มีรูปร่างคล้ายกุ้ง และ “หมีน้ำ” (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ “ทาร์ดิเกรด”) สัตว์ 8 ขาขนาดเล็ก ที่มีขนาดตัวเพียงราวๆ 1 มิลลิเมตรอยู่ที่นั่น     สำหรับทีมนักสำรวจแล้ว การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงมาก เพราะแม้ว่าสัตว์อย่างหมีน้ำจะได้ชื่อว่ามีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูงก็ตาม แต่สถานที่ที่ใกล้เคียงที่สุดที่เป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสมของมันก็อยู่ห่างจากที่แห่งนี้ถึง 80 กิโลเมตรเลยทีเดียว ความแปลกประหลาดนี้ นั่นทำให้เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการส่งสัตว์นำที่พบไปทำการตรวจสอบ DNA…

  • นักชีววิทยาพบยีน “หมาป่าแดง” ที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้ว ในสุนัขป่าที่รัฐเท็กซัส

    นักชีววิทยาพบยีน “หมาป่าแดง” ที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้ว ในสุนัขป่าที่รัฐเท็กซัส

    หมาป่าแดง (ไม่ใช่ยี่ห้อไวอากร้า) เดิมทีแล้วเป็นสัตว์ท้องถิ่นในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มีโดยมีลักษณะคล้ายหมาป่าสีเทา แต่มีความโดดเด่นอยู่ที่ลายสีน้ำตาลแดงที่หูศีรษะและขา     ในช่วงปี 1967 พวกมันถูกประกาศให้เป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์โดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN หลังจากที่พวกมันถูกล่า และสูญเสียที่อยู่ตามธรรมชาติไปจากการกระทำของมนุษย์ แต่ถึงแม้จะมีการพยายามช่วยเหลือสายพันธุ์หมาป่าแดงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นก็ตาม ในช่วงยุค 1980 พวกมันก็ถูกประกาศให้เป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในที่สุด เหลือไว้เพียงกลุ่มที่ถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ยีนของหมาป่าแดงที่ถูกระบุว่าสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ กลับถูกค้นพบอีกครั้งในฝูงสุนัขป่าในรัฐเท็กซัสสร้างดีใจแก่นักชีววิทยาเป็นอย่างมาก   สุนัขป่าที่มีการพบยีนหมาป่าแดงที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในอดีต   นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นเมื่อนักชีววิทยาอย่าง Ron Wooten พบว่าสุนัขป่าที่ถูกรถชนในพื้นที่รัฐเท็กซัสมีลักษณะคล้ายหมาป่าแดงที่สูญพันธุ์ไป ดังนั้นเขาจึงส่ง DNA ของมันไปตรวจสอบและพบว่าสุนัขเหล่านี้มียีนของหมาป่าแดงอยู่ในตัวจริงๆ นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว เพราะในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่มีการพบสุนัขซึ่งถูกรถชน ก็มีรายงานการพบเห็นหมาป่าแดงมาก่อนแล้วด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นได้สูงมากที่หมาป่าแดงตามธรรมชาติ จะยังไม่ได้สูญพันธุ์ไปอย่างที่เราคิดจริงๆ   ภาพเปรียบเทียบหมาป่าสีแดง หมาป่าไคโยตี และสุนัขที่กัลเวสตัน   จริงอยู่ที่ว่าหมาป่าแดงตามธรรมชาติที่พบนี้อาจจะไม่ใช่หมาป่าแดงสายเลือดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่การค้นพบนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้สถานะของหมาป่าแดงเปลี่ยนจาก “สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ” เป็น “เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ” อีกครั้ง และแม้ว่านี้จะเป็นข่าวที่ค่อนข้างดีของทางนักชีววิทยาก็ตาม แต่กว่าที่สถานะของหมาป่าแดงจะกลับมาเป็นปกติได้จริงๆ ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรเลยอยู่ดี   ที่มา allthatsinteresting

  • 11 วิธีการสุดแปลก ที่คนสมัยก่อนใช้ในการซ่อนสุรา ในยุคที่การดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

    11 วิธีการสุดแปลก ที่คนสมัยก่อนใช้ในการซ่อนสุรา ในยุคที่การดื่มสุราเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าตลอดช่วงเวลา 13 ปี ตั้งแต่ปี 1920-1933 สหรัฐอเมริกาได้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่รัฐบาลห้ามการจำหน่ายสุราทุกชนิด แถมการครอบครองสุรายังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีก     แต่ถึงจะมีการห้ามมากแค่ไหนอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้หายไปจากในประเทศอยู่ดี เพียงแค่หนีลงไปอยู่ใต้ดินก็เท่านั้น และแน่นอนว่าผู้คนเองก็ไม่ได้เลิกดื่มสุรา และเพียงแค่แอบดื่มในที่ที่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในสมัยนั้นคนเราจะคิดค้นการแอบซ่อนสุราที่น่าสนใจขึ้นมาเต็มไปหมด ซึ่งแม้ว่าการซ่อนหลายๆ แบบจะถูกจับได้ในที่สุดก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความพยายามเพื่อสุราของพวกเขามันสุดยอดจริงๆ ไม่เชื่อก็ลองไปดูการซ่อนสุราสุดแปลกและแอบสร้างสรรค์ทั้ง 11 แบบต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากร้าน “Speakeasies” ร้านเหล้าหรือคลับ ที่ต้องมีการบอกรหัสก่อนเข้า แถมบางทียังมีการทำประตูแบบพิเศษอย่างที่เห็นเพื่อไม่ให้เผลอรับสายตรวจเข้าร้าน เรียกได้ว่าทำกันราวกับเป็นฐานทัพลับของทหารเลยก็ไม่ผิด   หนังสือปลอมที่ออกแบบมาเป็นที่ซ่อนสุราโดยเฉพาะ หากดึงขอบปกด้านล่างออกจะพบว่าภายในหนังสือนั้นจริงๆ แล้วมีขวดใส่สุราซ่อนอยู่   อุปกรณ์ของใช้ในบ้านอย่างโคมไฟ ถูกดัดแปลงเป็นที่ซ่อนสุรา ภาพนี้มาจากปี 1932   ภาพนี้มาจากปี 1928 โดยเป็นภาพของหญิงสาวในชุดโค้ทยาว หากถอดออกจะเห็นว่าเธอนั้นผูกสุราซ่อนไว้ที่ขาของตัวเอง เป็นไปได้ว่าชุดแบบนี้จะเคยถูกใช้ในการแอบขนส่งสุรา   อันนี้ระบบทำงานคล้ายๆ ข้างบน แต่ขนได้มากกว่า   อันนี้ภาพของหญิงสาวที่โดนจับในปี 1924 ถูกเรียกกันเล่นๆ ว่า “เสื้อชูชีพเหล้าเถื่อน”   ภาพที่ดูเผินๆ…

  • มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์พบตารางธาตุเก่าแก่ในห้องเก็บของ เชื่ออาจเก่าแก่ที่สุดในโลก

    มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์พบตารางธาตุเก่าแก่ในห้องเก็บของ เชื่ออาจเก่าแก่ที่สุดในโลก

    เมื่อพูดถึงตารางธาตุ #เหมียวศรัทธา อาจจะต้องขอโทษหลายๆ คนไว้ก่อนเลยที่จู่ๆ ก็ไปปลุกฝันร้ายในวัยเรียนขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในประเทศสกอตแลนด์ได้ออกมาประกาศการค้นพบตารางธาตุเก่าแก่ ถูกเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของเสียอย่างนั้น     นี่คือตารางธาตุภาษาเยอรมัน ที่ถูกซื้อมาโดยศาสตราจารย์วิชาเคมีของมหาวิทยาลัยในปี 1888 อย่างไรก็ตามจากการที่บนตารางธาตุยังไม่มีธาตุเจอร์เมเนียมซึ่งถูกพบในปี 1886 ทีมนักวิจัยก็คาดว่าตารางธาตุที่น่าจะถูกสร้างขึ้นจริงๆ ในปี 1885 ต่างหาก เอาเข้าจริงๆ ตารางธาตุอันนี้เคยมีการค้นพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 2014 แล้ว โดยพนักงานทำความสะอาดของสำนักวิชาเคมี อย่างไรก็ตามในเวลานั้น ไม่มีใครคิดเลยว่าตารางธาตุที่พบจะมีอายุมากถึงเกือบๆ 150 ปี ทำให้กว่าที่จะมีการตรวจสอบจริงๆ เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรเลย จริงอยู่ที่ว่าตารางธาตุนั้นถูกคิดค้นกันมาตั้งแต่ในปี 1869 แล้ว แต่จากคำบอกเล่าของทางมหาวิทยาลัย ตารางธาตุในสมัยก่อนนั้นแทบจะไม่มีหลักฐานเหลือแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตารางที่ยังมีสภาพสมบูรณ์เช่นนี้แล้วด้วย   Dmitri Mendeleev ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นตารางธาตุ   นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตารางธาตุที่พวกเขาพบจะเป็นตารางธาตุที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ในยุโรป หรือไม่ก็ในโลกใบนี้เลยทีเดียว การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นความภูมิใจของมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์เป็นอย่างมาก ทำให้ในปัจจุบันพวกเขาได้เปิดในทีมนักวิจัยที่สนใจเข้าศึกษาตารางธาตุที่พบได้ และมีการวางแผนจะนำตารางธาตุอันนี้ออกแสดงแก่สายตาประชาชนต่อไปภายในปี 2019 นี้   มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์แห่งประเทศสกอตแลนด์   ที่มา livescience

  • ย้อนรอยภาพดัง “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ที่ให้กำลังใจผู้คนในยามที่กรุงลอนดอนถูกโจมตี

    ย้อนรอยภาพดัง “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ที่ให้กำลังใจผู้คนในยามที่กรุงลอนดอนถูกโจมตี

    เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1940 ในขณะที่กรุงลอนดอนถูกทิ้งระเบิดโจมตีอย่างหนัก ช่างภาพชื่อ Fred Morley ก็ได้ถ่ายภาพภาพหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นภาพที่สร้างกำลังใจเป็นอย่างมากให้แก่ชาวอังกฤษ ที่กำลังเสียขวัญจากสงครามได้อย่างดี     มันเป็นภาพของคนส่งนมคนหนึ่งที่เดินอยู่บนซากเมืองที่พังเสียหายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ราวกับว่าสงครามนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขาเลย แม้ว่าจะมีทหาร และนักดับเพลิงวิ่งไปวิ่งมาในพื้นที่ก็ตาม ภาพที่เห็นนี้นับเป็นหนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดจากฝั่งอังกฤษเลยก็ว่าได้ และมักถูกนำออกแสดงคู่กับภาพอาสนวิหารนักบุญเปาโล (ซึ่งถูกทิ้งระเบิดแต่ระเบิดด้าน) อยู่เสมอๆ แต่ต่างไปจากภาพของอาสนวิหารนักบุญเปาโลที่บางครั้งก็ถูกฝั่งเยอรมันนำไปทำโฆษณาชวนเชื่อ ภาพของ “คนส่งนมแห่งลอนดอน” ภาพนี้เป็นภาพที่อธิบายลักษณะของอังกฤษที่อดทนต่อการโจมตีของเยอรมันไว้ได้อย่างดีเยี่ยม   ภาพที่มองได้ทั้งในแง่ที่ว่าวิหารไม่โดนระเบิดเลย และเมืองที่ตกอยู่ในเปลวเพลิงโดยมีวิหารเป็นฉากหลัง   อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นนี้ ในภายหลังกลับถูกเปิดเผยจากช่างภาพเองว่ามาจากการจัดฉากล้วนๆ เนื่องจากในยามนั้นเขาถูกห้ามไม่ให้ถ่ายภาพ “ความจริงของสงคราม” ที่อาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อขวัญกำลังใจของประชาชน ดังนั้นเขาจึงขอยืมเสื้อและลังนมจากคนส่งนมในพื้นที่ ก่อนจะใช้ผู้ช่วยของเขาสวมและถ่ายภาพที่เกี่ยวกับสงครามและทางหนังสือพิมพ์ยอมให้เขาลงภาพได้ในที่สุด   ภาพของประชาชนที่เดินไปทำงานหลังการทิ้งระเบิดจบลง   และแม้ว่าภาพที่เห็นนี้จะเป็นการจัดฉากก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นภาพที่ช่วยชาวอังกฤษจากความสิ้นหวังของสงครามเอาไว้มากมายหลายคนเลยจริงๆ   ที่มา vintag

  • บริษัทญี่ปุ่นปล่อยดาวเทียมสร้าง “ฝนดาวตกเทียม” ขึ้นสู่อวกาศ เชื่อพร้อมใช้งานในปี 2020

    บริษัทญี่ปุ่นปล่อยดาวเทียมสร้าง “ฝนดาวตกเทียม” ขึ้นสู่อวกาศ เชื่อพร้อมใช้งานในปี 2020

    ในช่วงปี 2016 บริษัทของประเทศญี่ปุ่นชื่อ Astro Live Experiences (ALE) ได้วางแผนยิงดาวเทียมขนาดเล็กขึ้นไปบนอวกาศ มันเป็นดาวเทียมที่ประกอบไปด้วยเม็ดทองแดง แบเรียม โพแทสเซียม รูบิเดียม และซีเซียม ที่เมื่อปล่อยให้เผาไหม้ผ่านชั้นบรรยากาศจะลุกเป็นสีต่างๆ ซึ่งหากมองจากบนโลกจะมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับฝนดาวตกเลย เพียงแค่ทำได้ทุกเมื่อที่ต้องการก็เท่านั้น     ว่าง่ายๆ ว่าโปรเจกต์ของบริษัท ALE นั้น มีเป้าหมายที่จะขายฝนดาวตกเทียมให้แก่ใครก็ตามที่มีทรัพย์สินมากพอนั่นเอง ในเวลานั้นพวกเขาวางแผนว่าโปรเจกต์จะแล้วเสร็จ และสามารถยิงฝนดาวตกเทียมครั้งแรกได้ภายในกลางปี 2019 ที่เมืองฮิโรชิมา ก่อนที่จะนำ “ออกจำหน่าย” ให้กับคนทั่วไปหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามหลังจากการดำเนินการเริ่มขึ้นได้ช่วงหนึ่ง บริษัท ALE ก็ได้ออกมาประกาศเลื่อนกำหนดการปล่อยฝนดาวตกครั้งแรกออกไปเป็นฤดูใบไม้ผลิปี 2020 แทน แถมยังมีการลดปริมาณเม็ดสารเคมีที่ใช้ลงจาก 1,000 เม็ดลงเหลือเพียง 400 เม็ดอีกด้วย (แต่ก็ยังทำฝนดาวตกได้ราวๆ 20-30 ชุดอยู่ดี)     แต่ถึงแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนกำหนดการอยู่บ้างก็ตาม ทางบริษัท ALE ก็ได้ประสบความสำเร็จในการยิงดาวเทียมออกไปจริงๆ แล้วเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา จากการรายงานของ ALE พวกเขาจะต้องใช้เงินราวๆ 9,500 ล้านบาท ต่อการยิงดาวเทียมหนึ่งลูก ดังนั้นราคาการว่าจ้างทำฝนดาวตกต่อครั้งจึงมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงเอามากๆ เลยทีเดียว  …

  • เรือดำน้ำเยอรมันจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจมไปกว่า 100 ปี

    เรือดำน้ำเยอรมันจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง หลังจมไปกว่า 100 ปี

    ย้อนกลับไปราวๆ 100 ปีก่อน เรือดำน้ำเยอรมันลำหนึ่งเกยตื้นในทางตอนเหนือของฝรั่งเศสด้วยความผิดพลาด ดังนั้นลูกเรือจึงจำเป็นต้องสละเรือและยอมแพ้ต่อฝรั่งเศส ก่อนที่จะปล่อยเรือดำน้ำให้จมลงไปในโคลนทรายไปในเวลาต่อมา แต่แล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ทรายที่บดบังเรือลำนี้อยู่ก็ค่อยๆ ถูกพัดออกไป เผยเรือดำน้ำ UC-61 ให้โลกใบนี้ได้เห็นกันอีกครั้ง     จากคำบอกเล่าของ Bernard Bracq นายกเทศมนตรีของ Wissant ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เรือลำนี้ปรากฏตัวกลับมาให้คนได้เห็น เพราะตั้งแต่ในอดีต หากกระแสน้ำเป็นใจ ทุกๆ 2-3 ปี เรือลำนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นช่วงๆ ก่อนจะหายกลับไปในทรายอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม Vincent Schmitt ไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นกลับมองว่าการปรากฏตัวของเรือดำน้ำในครั้งนี้ต่างจากปกติมาก เพราะกระแสน้ำในครั้งนี้ค่อนข้างแรงทำให้ชิ้นส่วนของเรือ UC-61 ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนกว่าที่เคยเป็น     ดูเหมือนว่าเรือลำนี้จะมีผลงานเคยจมเรือของศัตรูมาแล้วถึง 11 ลำก่อนที่มันจะได้รับหน้าที่เดินทางไปวางทุ่นระเบิดที่หาดเมือง Boulogne-sur-Mer และ Le Havre แต่ก็ต้องมาเกยตื้นเสียก่อนในปี 1917 อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น   ลักษณะของเรือดำน้ำรุ่น UC II ของเยอรมนี ซึ่ง UC-61 ก็เป็นหนึ่งในนั้น   นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีของฝั่งฝรั่งเศสมาก เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะรอดพ้นจากการถูกลอบวางทุ่นระเบิดเท่านั้น แต่การที่มีเรือโบราณปรากฏขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ก็ยังทำให้หาดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศสไปด้วย…

  • ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซุเคะบัน” นักเลงหญิงแห่งญี่ปุ่น ที่แพร่หลายโด่งดังในช่วงยุค 70

    ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซุเคะบัน” นักเลงหญิงแห่งญี่ปุ่น ที่แพร่หลายโด่งดังในช่วงยุค 70

    สำหรับคนที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น อาจจะเคยเห็นภาพของสาวกระโปรงยาวหัวหน้ากลุ่มนักเลงหญิงกันมาบ้าง คนในลักษณะนี้มีชื่อเรียกกันว่า “ซุเคะบัน” (スケバン) ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “หัวหน้าหญิง” ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับ “บันโจ” ของฝั่งผู้ชาย     แม้จะไม่มีการบันทึกที่แน่ชัดว่าเรื่องราวของซุเคะบันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่เชื่อกันว่าซุเคะบันเริ่มมีบทบาทค่อนข้างชัดเจนในช่วงปลายยุค 60 จนถึงช่วงยุค 70 ของประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจริงๆ แล้ว ซุเคะบันจะหมายถึงคนคนเดียว แต่เมื่อกาลเวลาผ่าน ลักษณะของซุเคะบันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย ทำให้บ่อยครั้งซุเคะบันจะถูกเหมารวมว่าใช้กับผู้หญิงที่เป็น “แยงกี้” (ราวๆ ว่านักเลงของญี่ปุ่น)     อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนว่าผู้หญิงที่เป็นแยงกี้หรือซุเคะบันมักจะมีการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ พวกเธอมักจะใส่กระโปรงยาว พับแขนเสื้อ หรือบางทีก็ใส่เสื้อคลุมยาว และผ้าคาดศีรษะเอาไว้ด้วย มีแนวคิดที่หลากหลายที่อธิบายการแต่งตัวของพวกเธอ ตั้งแต่เป็นการประท้วงที่นักเรียนต้องใส่ชุดนักเรียนปกกะลาสี เป็นการแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะแหกกฎ เรื่อยไปจนการใส่กระโปรงยาวช่วยให้พวกเธอซ่อนอาวุธได้ง่ายขึ้น     แน่นอนว่าต่อมาวัฒนธรรมย่อยอย่างซุเคะบันก็ค่อยๆ หายไปจากสังคมของโรงเรียนของญี่ปุ่นทีละน้อย (อาจจะเพราะเป็นการต่อต้านที่โจ่งแจ้งเกินไป) จนกระทั่งปลายยุค 80 เราก็แทบไม่เห็นซุเคะบันในโรงเรียนญี่ปุ่นอีกต่อไป นี่ไม่ได้หมายความว่าวัฒนธรรมต่อต้านกฎเกณฑ์ในโรงเรียนหมดไปแล้วแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะวัฒนธรรมซุเคะบันและแยงกี้ ถูกทดแทนด้วยวัฒนธรรม “สาวแกล” (ギャル) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแต่งหน้าจัด ทำผิวแทน และใส่กระโปรงสั้น  …

  • นักวิทย์พบ จุลินทรีย์อาศัยในแร่ใต้ทะเลลึก เอาชีวิตรอดได้ในสภาพอากาศคล้ายดาวอังคาร

    นักวิทย์พบ จุลินทรีย์อาศัยในแร่ใต้ทะเลลึก เอาชีวิตรอดได้ในสภาพอากาศคล้ายดาวอังคาร

    ตามปกติแล้วใต้ท้องทะเลลึกอย่างทะเลที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ และแรงดันน้ำที่สูงมากมักจะไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างจุลินทรีย์จะไปอยู่ได้เลย ถึงอย่างนั้นเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ามีจุลินทรีย์ประเภทหนึ่งสามารถอาศัยอยู่ใต้น้ำลึก 60 เมตรได้จริงๆ ด้วยการขังตัวเองอยู่ในผลึกคริสตัลใต้ทะเล   จะสังเกตได้ว่าในผลึกแร่ มีจุดสีดำอยู่   นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยเหล่านักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเมจิ ซึ่งนำทีมโดยศาสตราจารย์ Glen Snyder โดยพวกเขาได้ทำการตรวจสอบ “น้ำผลึก” หรือ “ไฮเดรต” (Hydrate) สารประกอบที่มีโมเลกุลของน้ำซึ่งได้รับการเก็บมาจากทะเลลึกทางตะวันตกของประเทศ พวกเขาพบว่าในไฮเดรตที่ได้มานั้นมีเศษแร่ที่เรียกกันว่าโดโลไมต์อยู่ภายใน และบนแร่โดโลไมต์ก็มีจุดสีดำซึ่งเป็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลินทรีย์อยู่อีกด้วย   แร่โดโลไมต์ตามปกติ   แถมจากการที่จุลินทรีย์อยู่ในผลึกเองก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าการค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์เองอย่างแน่นอน จากการตรวจสอบจุลินทรีย์นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า จุลินทรีย์เหล่านั้นจะเรืองแสงภายใต้แสง UV อาศัยอยู่ในก๊าซไฮเดรตและคงทนมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมของทะเลลึกได้   แร่โดโลไมต์ที่พบหลังถูกส่องด้วยกล้องขยาย 490 เท่า   นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากเพราะดาวเคราะห์อื่นๆ อย่างดาวอังคารเองก็มีสภาพก๊าซไฮเดรตใกล้เคียงกับสถานที่ที่พบจุลินทรีย์นี้ นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่จุลินทรีย์ที่พบนี้จะสามารถเอาชีวิตรอดบนดาวอังคารได้ ซึ่งแม้ว่าจุลินทรีย์นี้จะยังไม่เคยมีการค้นพบในที่อื่น แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตจากโลกไปอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ นั่นเอง   ที่มา livescience

  • พบรูปสลักอียิปต์โบราณ ที่ถูกลบใบหน้าทิ้งไปในอดีต คาดเกี่ยวข้องกับความเชื่อหลังความตาย

    พบรูปสลักอียิปต์โบราณ ที่ถูกลบใบหน้าทิ้งไปในอดีต คาดเกี่ยวข้องกับความเชื่อหลังความตาย

    สำหรับชาวอียิปต์โบราณแล้ว การถูกจดจำหลังจากที่ตายไปนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นการที่นักโบราณคดีพบว่าใบหน้าของรูปสลักโบราณในอดีต ที่เคยถูกลบทิ้งไปในสมัยก่อน จึงทำให้การค้นพบที่ดูจะธรรมดาๆ ในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไป     นี่เป็นรูปสลักหินปูนของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งมีการค้นพบในวิหารโบราณที่ Tell Edfu เมืองโบราณทางตอนใต้ของประเทศอียิปต์ และมีจุดเด่นที่ใบหน้ากับตัวอักษรที่สลักไว้แสดงชื่อและอาชีพถูกลบออกไป เหลือเอาไว้เพียงรูปสลักที่ดูไม่ออกว่าจริงๆ แล้วเป็นของใคร ร่องรอยการลบใบหน้าที่พบนั้นมีความเก่าแก่มากเกินกว่าที่จะเป็นฝีมือของคนในปัจจุบัน ดังนั้นนักโบราณคดีจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่ารูปปั้นทั้งสองรูปนี้ น่าจะถูกลบใบหน้าไป หลังจากที่บุคคลที่เป็นต้นแบบของมันเสียชีวิตไปได้ไม่นานเท่านั้น Nadine Moeller ผู้ดูแลโปรเจกต์การขุดค้นที่ Tell Edfu เล่าว่า  มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ซึ่งลบใบหน้าออกจากรูปปั้นจะอยากลบบุคคลที่เป็นต้นแบบของลูกปั้นออกไปจากความทรงจำของผู้คนด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง   วิหารในเมือง Tell Edfu สถานที่ที่มีการค้นพบรูปสลัก   อย่างไรก็ตามจากการที่คนอียิปต์เชื่อว่าการสลักใบหน้าและชื่อของตัวเองจะช่วยให้เทพสามารถติดตามกรรมในด้านดีของพวกเขาได้ในโลกหลังความตาย ก็ทำให้มีความเป็นไปได้มากที่ใครก็ตามที่ลงมือลบชื่อและใบหน้าของคู่สามีภรรยาคู่นี้ จะทำไปด้วยความประสงค์ร้าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดการกระทำของคนคนนั้นก็ทำให้การถอดรหัสอักษรที่เคยมีอยู่บนรูปปั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก โดยจนถึงปัจจุบันนักโบราณคดียังคงบอกได้เพียงว่าทั้งสองมีคำนำหน้าที่ใช้กับชนชั้นสูงก็เท่านั้น แต่แม้ว่าการค้นพบรูปสลักในครั้งนี้จะดูน่าสนใจมากๆ ก็ตาม รูปสลักที่พบก็ไม่ใช่โบราณวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่มีการขุดพบในวิหารแห่งนี้เสียทีเดียว เพราะนักโบราณคดียังมีการค้นพบรูปปั้นแกะสลักด้วยหินสีดำของชายที่ชื่อว่า “Juf” ที่กำลังถือกระดาษปาปิรุส และมีความสมบูรณ์ไม่ได้ถูกทำลายอีกด้วย     ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันนักโบราณคดีจะยังไม่อาจฟันธงได้ว่า โบราณวัตถุทั้งสองจะเป็นของชายคนเดียวกันหรือไม่ แต่นักโบราณคดีก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่ารูปปั้นรูปนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับรูปสลักไร้หน้าแต่อย่างใด และในช่วงเวลาที่การขุดค้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์เช่นนี้ เหล่านักโบราณคดีก็หวังกันเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะสามารถหาข้อมูลเพิ่มเต็มเกี่ยวกับคู่สามีภรรยาที่ถูกลบหน้า จากการตรวจสอบวิหารเพิ่มเติมในอนาคต   ที่มา livescience, archaeology

  • ย้อนรอย “Plague Doctor” หมออีกาดำที่มีภาพลักษณ์อยู่กับความตาย มากกว่าการช่วยชีวิต

    ย้อนรอย “Plague Doctor” หมออีกาดำที่มีภาพลักษณ์อยู่กับความตาย มากกว่าการช่วยชีวิต

    ชุดคลุมหนัง หมวกทรงสูง ถือไม้เท้า และหน้ากากคล้ายอีกา สิ่งเหล่านี้คือภาพอันเป็นเอกลักษณ์ ของกลุ่มคนที่รู้จักกันในนาม “หมออีกาดำ” หรือ “หมอกาฬโรค” (Plague Doctor) เหล่าหมอจำเป็นแห่งศตวรรษที่ 17-19 ในช่วงเวลานั้นประชากรยุโรปลดลงไปเป็นอย่างมากจากโรคร้าย ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกเมืองหลายๆ แห่งจริงจำเป็นต้องจ้างหมอสายพันธุ์ใหม่มาเพื่อดูแลเมือง และในช่วงเวลานี้เองที่เรื่องราวของหมออีกาดำโด่งดังขึ้น     หมออีกาดำหากจะว่ากันตรงๆ แล้วก็คือกลุ่มหมอที่ประกอบไปด้วยแพทย์ระดับล่าง หมอที่ยังไร้ประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เรียนการแพทย์มาก่อนเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการที่สมาชิกเป็นแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่การรักษาของหมออีกาดำส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ผลจริงๆ พวกเขามักรักษาคนไข้ด้วยการรีดเลือด ใช้สารปรอท และความเชื่อผิดๆ อื่นๆ ในสมัยนั้น จนทำให้บ่อยครั้ง คนไข้ก็ยิ่งตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรเป็นอีก เท่านั้นยังไม่พอเพราะด้วยความที่มาจากกลุ่มคนที่มีฐานะหลากหลาย บ่อยครั้งหมออีกาดำยังมักขโมยของจากศพที่ตายในระหว่างการรักษา หรือแอบขายยาในราคาเกินจริงให้กับคนมีฐานะ     ชื่อเสียงเหล่านี้ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่หมออีกาดำจะถูกจดจำในรูปแบบที่ไม่ดีเท่าไหร่ อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคร้ายและความตายจนกลายเป็นที่หวาดกลัวในภายหลัง เดิมทีแล้วหมออีกาดำเป็นงานถูกออกแบบมาให้ทำงานในพื้นที่ที่มีตัวเลขของผู้ติดเชื้อสูง และมีงานหลักในการดูแลผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อ ดังนั้นหมออีกาดำจึงมักจะทำงานใน “เครื่องแบบ” อยู่เสมอๆ โดยเจ้าเครื่องแบบที่เป็นที่รู้จักของหมออีกาดำถูกคิดค้นขึ้นมาครั้งแรกในปี 1619 โดย Charles de l’Orme หัวหน้าหน่วยแพทย์ของกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการรักษาที่ไม่ได้ผลจริงๆ ชุดกันเชื้อโรคที่หมออีกาดำใส่ก็ใช่ว่าจะป้องกันโรคได้จริงๆ เช่นกัน     นั่นเพราะคนสมัยก่อนเชื่อกันว่าโรคภัยไข้เจ็บเดินทางผ่านกลิ่นเหม็น…

  • เปิดตำนาน “จอห์นสันผู้กินตับ” ชายผู้ออกล้างแค้นให้ภรรยา ด้วยการฆ่าและกินศัตรูคู่แค้น

    เปิดตำนาน “จอห์นสันผู้กินตับ” ชายผู้ออกล้างแค้นให้ภรรยา ด้วยการฆ่าและกินศัตรูคู่แค้น

    เคยได้ยินตำนานของ “จอห์นสันผู้กินตับ” แห่งรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกากันไหม? มันเป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ต้องเสียภรรยาไปในการโจมตีของอินเดียนแดง ดังนั้นเขาจึงออกล้างแค้น ด้วยการสังหารและกินตับศัตรูของเขาเสีย     จอห์นสันผู้กินตับ มีชื่อจริงๆ ว่า “John Jeremiah Garrison Johnston” เชื่อกันว่าเกิดเมื่อปี 1824 ที่รัฐนิวเจอร์ซี และเข้าเป็นทหารเรือในสงครามเม็กซิกันอเมริกัน ก่อนที่จะหนีทัพในเวลาต่อมาหลังจากที่เขาไปสังหารนายทหารระดับสูงเข้า (ไม่แน่ใจว่าเพราะอุบัติเหตุ หรือจงใจกันแน่) เขาหนีมาอยู่ที่รัฐมอนแทนา ได้พบรักกับภรรยาที่เป็นสาวอินเดียนแดงเผ่าหัวแบน (Flathead) และอยู่ด้วยกันเรื่อยมาจนเธอตั้งครรภ์ จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1847 ภรรยาของเขาก็ถูกฆ่าโดยอินเดียนแดงเผ่าอีกา     เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้จอห์นสันโกรธแค้นมากดังนั้นเขาจึงออกไล่ล่าอินเดียนแดงเผ่าอีกาด้วยอาวุธจากสมัยที่เขาเป็นทหาร อย่างไรก็ตามการสังหารศัตรูเป็นจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวในตัวเขา แต่เป็นเพราะตัวจอห์นสันจะกินตับศัตรูทุกคนที่เขาสังหารด้วย ดูเหมือนว่าที่เขาทำแบบนั้นเป็นเพราะอินเดียนแดงเผ่าอีกาเชื่อว่าคนตายจะได้ไปโลกหน้าได้ต่อเมื่อมีตับอยู่เท่านั้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ศัตรูของเขาได้ตายอย่างสงบจอห์นสันจึงควักเอาใบผ่านทางสู่โลกหน้าของเผ่าอีกามากินเสีย และแน่นอนว่ากลายเป็นที่มาของสมญานาม “ผู้กินตับ” ของเขาไป     ว่ากันว่าจอห์นสันผู้กินตับสังหารเผ่าอีกาไปมากกว่า 300 คน แถมขนาดโดนจับปลดอาวุธส่งให้เผ่าอีกาเขาก็ยังหนีออกมาได้ โดยตัดขายามมากินเป็นของแถมด้วย จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่หวาดกลัวของชาวอินเดียนแดงไปได้ไม่ยากเลย ไม่มีบันทึกไว้แน่ชัดว่าการล้างแค้นของจอห์นสันจบลงจริงๆ เมื่อไหร่ แต่นักโบราณคดีหลายๆ รายก็เชื่อว่าเผ่าอีกาน่าจะขอสงบศึกกับเขาในตอนที่ชาวอินเดียนแดงต้องรวมกองกำลังหลายๆ ชนเผ่าไปรบกับสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจอห์นสันจึงได้กลับไปอยู่อย่างสงบสุขอีกครั้ง   ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Jeremiah…

  • พบชิ้นส่วนอาวุธหินอายุมากกว่า 25,000 ปี ฝังในซี่โครงแมมมอธ เชื่อมาจากการล่าในสมัยก่อน

    พบชิ้นส่วนอาวุธหินอายุมากกว่า 25,000 ปี ฝังในซี่โครงแมมมอธ เชื่อมาจากการล่าในสมัยก่อน

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศได้รายงานการค้นพบ ชิ้นส่วนอาวุธหินโบราณ อายุมากกว่า 25,000 ปีฝังอยู่ในซี่โครงของช้างแมมมอธ ที่ทางตอนใต้ของประเทศโปแลนด์     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าตรวจสอบซากช้างแมมมอธ 110 ตัว ภายในแหล่งโบราณสถานที่มีการค้นพบกันมาตั้งแต่เมื่อปี 1967 และเชื่อกันว่าเคยเป็นพื้นที่ล่าช้างแมมมอธแห่งสำคัญในช่วงยุคหินเพลิโอะลีธอิค เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อว่าคนสมัยก่อนจะใช้วิธีต้อนแมมมอธให้ตกหน้าผาในการล่าสัตว์ แต่จากหลักฐานล่าสุดนี้ก็ทำให้พวกเขาทราบว่าคนในสมัยนั้น จริงๆ แล้วใช้วิธีการล่าที่เถรตรงกว่านั้นมาก พวกเขาจะขว้างหรือยิงอาวุธหินใส่ตัวแมมมอธจากระยะไกล และอาศัยแรงที่ได้มาในการส่งอาวุธแทงทะลุร่างผิวหนังของแมมมอธ ซึ่งในกรณีนี้ตัวอาวุธได้รับแรงมากพอที่จะฝังลงไปในตัวแมมมอธถึง 8 เซนติเมตร และฝากร่องรอยไว้กับกระดูก     Piotr Wojtal จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งโปแลนด์บอกว่าการค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นการค้นพบหลักฐานการล่าช้างแมมมอธอย่างเป็นชิ้นเป็นอันครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากชิ้นส่วนอาวุธหินที่พบแล้วพวกเขายังพบกับร่องรอยของเครื่องมือหินที่คาดว่าใช้ในการแล่เนื้อและถลกหนังในพื้นที่แห่งนี้อีกด้วย แต่ถึงแม้ว่าคุณ Wojtal จะบอกว่านี่เป็นการค้นพบหลักฐานอย่างเป็นชิ้นเป็นอันครั้งแรกของโลกก็ตาม แต่จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ในปี 2012 เราก็เคยมีการค้นพบหลักฐานการล่าช้างแมมมอธในรูปแบบนี้มาแล้วที่อ่าว Yenisei ทางตอนใต้ของขั้วโลกเหนือ     แต่แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่การค้นพบหลักฐานโดยตรงที่ว่ามนุษย์มีการล่าช้างแมมมอธก็ตาม แต่การค้นพบในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ ครั้งหนึ่งอยู่ดี เพราะการที่มีหลักฐานคนโบราณล่าแมมมอธอย่างแพร่หลายเช่นนี้ อาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมทฤษฎีที่ว่าช้างแมมมอธนั้นสูญพันธุ์จากการล่าของมนุษย์ก็เป็นได้   ที่มา allthatsinteresting

  • พบสุสาน 2 แห่งในโอเอซิสที่อียิปต์ เชื่อมาจากยุคโรมันโบราณ และมีภาพการทำมัมมี่วาดไว้

    พบสุสาน 2 แห่งในโอเอซิสที่อียิปต์ เชื่อมาจากยุคโรมันโบราณ และมีภาพการทำมัมมี่วาดไว้

    เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมากระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ได้ประกาศการค้นพบสุสานจากสมัยโรมันโบราณ 2 แห่งภายในแห่งโบราณคดี Ber El-Shaghala ภายในโอเอซิส Dakhla ที่ทะเลทรายทางตะวันตกของประเทศ     สุสานโบราณทั้งสองถูกสร้างขึ้นจากอิฐโคลนเหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างทางรูปแบบสถาปัตยกรรมค่อนข้างมาก โดยในสุสานแห่งแรกจะประกอบไปด้วยรูปภาพสีสดใสในรูปแบบงานศิลป์ที่นิยมกันในสมัยโรมัน ซึ่งวาดขึ้นเพื่อบรรยายขั้นตอนการทำมัมมี่ ศาลเจ้า และแท่นบูชาที่ทำจากหินทราย     ส่วนสุสานอีกแห่ง กระทรวงโบราณวัตถุได้อธิบายไว้ว่ามีบันไดทราย 20 ขั้นเชื่อมจากทางเข้าสุสานไปจนถึงห้องโถ่งกลาง และห้องฝังศพ แถมยังมีการค้นพบโครงกระดูก โคมไฟดินเผา และเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง สภาพของสุสานทั้งสองนั้นได้รับความเสียหายค่อนข้างมากตามกาลเวลา จนถึงขั้นที่ว่าเพดานและกำแพงครึ่งบนพังไปหมด ทำให้รายละเอียดของภาพที่พบไม่สมบูรณ์เท่าที่นักโบราณคดีหวังไว้ และข้อมูลการค้นพบหลายๆ ส่วนก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ของนักโบราณคดีเท่านั้น   น่าเสียดายที่ทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ ไม่ได้มีการเปิดเผยภาพของสุสานแห่งที่สองออกมาแต่อย่างใด   อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็ไม่ใช่การค้นพบที่เหล่านักโบราณคดีจะสามารถมองข้ามไปได้เลย เพราะสถาปัตยกรรมในช่วงยุคโรมันที่อาณาจักรตอนบน (Upper Egypt) นั้นมีอยู่อย่างจำกัดมาก ทำให้ที่แห่งนี้กุมความลับของชาวอียิปต์ในช่วงยุคโรมันเอาไว้มากมายเหลือเกิน   ที่มา dailymail, foxnews และ livescience

  • “ความตายของทหารอิรัก” ภาพความโหดร้ายของสงคราม จากทางหลวงมรณะเมื่อปี 1991

    “ความตายของทหารอิรัก” ภาพความโหดร้ายของสงคราม จากทางหลวงมรณะเมื่อปี 1991

    ในช่วงเวลาที่โลกห่างจากสงครามใหญ่ๆ มาหลายปี สงครามกลายเป็นเครื่องมือที่วงการบันเทิงนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จนทำให้คนหลายๆ คนในเวลานั้นเริ่มที่จะลืมความโหดร้ายของสงครามไป แต่นั่นเป็นสิ่งที่ช่างภาพข่าวอย่าง Ken Jarecke จะไม่ยอมใช้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังอิรักในปี 1991 และถ่ายภาพที่โลกใบนี้จะต้องจดจำกลับมา     นี่เป็นภาพของชายที่ร่างถูกเผาอย่างน่าสยดสยองที่ถูกมองผ่านกระจกหน้ารถบรรทุกโดยมีแสงอาทิตย์เป็นฉากหลัง ซึ่งน่าหดหู่มากจนเกือบจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพขาวดำทั้งๆ ที่เป็นภาพสี ศพที่เห็นนี้เป็นหนึ่งในเหยื่อจำนวนมากของเหตุการณ์ “Highway of Death” (ทางหลวงมรณะ) เหตุการณ์ที่กองทัพสหรัฐฯ ได้โจมตีใส่ทหารอิรักนับพันที่กำลังล่าถอยบนทางหลวงหมายเลข 80 ทั้งๆ ที่มีการทำข้อตกลงหยุดยิง     การปฏิบัติการในครั้งนั้น ทำให้ทางหลวงธรรมดาๆ แห่งหนึ่งกลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ และสะท้อนความโหดร้ายของสงครามได้อย่างโหดร้ายและเจ็บปวด แน่นอนว่าภาพของ Ken Jarecke ต้องทำให้ทางกองทัพสหรัฐฯ ไม่พอใจอย่างแน่นอน แต่ชายหนุ่มก็มีเหตุผลในการถ่ายภาพของเขาที่ว่า “หากผมไม่ถ่ายภาพนี้ ประชาชนแบบแม่ของผม จะคิดว่าสงครามมันเป็นเหมือนในทีวี”  จริงอยู่ว่าภาพของ Ken Jarecke จะถูกปฏิเสธการเผยแพร่จากสื่อในสหรัฐอเมริกาเอง แต่ในประเทศอื่นๆ ภาพของเขากลับถูกหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับนำไปลง จนกลายเป็นภาพสุดโด่งดังไป     และในช่วงเวลาที่ภาพของเขาโด่งดังไปทั่วอินเตอร์เน็ตและสื่ออื่นๆ เช่นนี้เอง Ken Jarecke ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนเราก็คงจะพร้อมแล้วที่จะตัดสินความโหดร้ายของสงครามตามที่สงครามเป็นจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นในทีวี  …

  • เรื่องราวเบื้องหลังภาพ Keith Sapsford เด็กตกจากเครื่องบินในปี 1970 เพราะซ่อนตัวในช่องเก็บล้อ

    เรื่องราวเบื้องหลังภาพ Keith Sapsford เด็กตกจากเครื่องบินในปี 1970 เพราะซ่อนตัวในช่องเก็บล้อ

    ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970 ในขณะที่ช่างภาพชาวออสเตรเลียชื่อ John Gilpin กำลังถ่ายภาพเครื่องบินในสนามบินที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาก็บังเอิญไปเห็นเด็กคนหนึ่งตกลงมาจากเครื่องบิน และได้ถ่ายภาพที่จะกลายเป็นที่จดจำไปอีกนานเอาไว้     เด็กคนที่เห็นในภาพนี้มีคือ Keith Sapsford เด็กชายชาวออสเตรเลีย ผู้ซึ่งตัดสินใจแอบซ่อนในที่เก็บล้อของเครื่องบิน DC-8 จากสายการบิน Japan Airlines ที่มีกำหนดการมุ่งสู่ประเทศญี่ปุ่น แต่แทนที่แผนการนี้จะทำให้เด็กชายได้ขึ้นเครื่องบินฟรี เขากลับพลัดตกลงมาจากความสูง 60 เมตรในขณะที่เครื่องบินพับเก็บล้อ และตกลงมากระแทกพื้นเสียชีวิต   ภาพตัวอย่างเครื่อง DC-8 จากปี 1978   จากคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดา ดูเหมือนว่า Keith จะเป็นเด็กที่รักในการผจญภัยและหนีออกจากบ้านอยู่ไปเที่ยวหลายครั้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ทางบ้านเองก็ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะถึงขั้นแอบเกาะล้อเครื่องบินเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าหลังจากที่หนีออกมาจากบ้านในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ Keith จะเข้ามาแอบอยู่ในสนามบิน ก่อนจะหาโอกาสปีนล้อเครื่องบินเข้าไปซ่อนอยู่ที่ช่องเก็บล้อของเครื่อง   ลักษณะช่องเก็บล้อของเครื่อง Boeing 747   โดยจากคำให้การของช่างเทคนิค Keith จะจะซ่อนตัวอยู่ที่ช่องว่างดังกล่าวเป็นเวลานานก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นบิน เพราะในช่วงที่พวกเขานำผู้โดยสารขึ้นเครื่องไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กหนุ่มเลย จริงอยู่ว่าการกระทำของ Keith  อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเป็นการตัดสินใจที่แปลก แต่เด็กหนุ่มคนนี้เองก็ไม่ใช่คนๆ แรกที่แอบขึ้นเครื่องบินในลักษณะนี้และพลาดจนเสียชีวิต และแน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย     อย่างไรก็ตามทางทีมแพทย์ไม่แนะนำให้ใครก็ตามทำตามกลุ่มคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด เพราะไม่เพียงแต่จะผิดกฎหมายเท่านั้น…

  • “การประหารด้วยปืนใหญ่” วิธีการสุดโหดที่เอานักโทษไปมัดกับปืนใหญ่ และเป่าร่างเป็นชิ้นๆ

    “การประหารด้วยปืนใหญ่” วิธีการสุดโหดที่เอานักโทษไปมัดกับปืนใหญ่ และเป่าร่างเป็นชิ้นๆ

    ตั้งแต่ในอดีต การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนมักจะมีเหตุผลเพื่อข่มขวัญประชาชนหรือศัตรู ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วิธีประหารชีวิตหลายๆ อย่างในประวัติศาสตร์จึงออกมาดูโหดร้ายทารุณ และหนึ่งในบรรดาการประหารสุดโหดเหล่านั้น ก็ยังมีการประหารที่ฟังดูออกจะเวอร์เกินจริง อย่างการนำร่างของเหยื่อไปผูกติดกับปืนใหญ่ก่อนจะจุดชนวนเป่าร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ อยู่ด้วย     การประหารในรูปแบบนี้เรียกกันว่า “การประหารด้วยปืนใหญ่” หรือ “ระเบิดด้วยปืน” มันเป็นการประหารที่เชื่อกันว่าใช้งานมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 16 โดยจักรวรรดิโมกุล และถูกใช้งานมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 โดยทหารจากหลากหลายประเทศ George Carter Stent (1833-1884) ทหารผ่านศึกผู้ผันตัวเป็นนักเขียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้ทำการอธิบายการประหารในรูปแบบนี้ไว้ว่า “เมื่อปืนใหญ่ยิงออกไป ศีรษะของนักโทษจะโดนแรงระเบิดปลิวขึ้นไปบนฟ้า แขนปลิวไปทางซ้ายขวา ขาตกลงไปใต้ปากกระบอกปืน ส่วนตัวของนักโทษกระจายไปไม่เหลือชิ้นดี”     ดูเหมือนว่าการประหารแบบนี้จะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในช่วงการปฏิวัติของอินเดียในปี 1857 การทำแบบนี้จะทำให้ร่างของนักโทษไม่สามารถนำไปทำพิธีทางศาสนาของชาวมุสลิมและชาวฮินดูได้ ดังนั้นการถูกประหารเช่นนี้จึงถูกมองว่าโหดร้ายยิ่งกว่าความตาย อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการประหารชีวิตอื่นๆ การประหารด้วยปืนใหญ่เริ่มสูญเสียความนิยมไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ทำให้การประหารเช่นนี้ถูกจัดขึ้นครั้งสุดท้ายก็ที่อัฟกานิสถานเมื่อปี 1930 เลยทีเดียว (บางแหล่งข้อมูลบอกว่าแม้แต่ในปี 2012 เกาหลีเหนือก็เคยมีการประหารในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ในเวลานั้นนักโทษถูกบังคับให้ไปยืนที่จุดตกของปืนครก ดังนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่าเหมือนกันเท่าไหร่)     ที่มา vintag, strangehistory

  • La Catedral คุกสุดหรูของ “ปาโบล เอสโคบาร์” ที่ดูยังไงก็เหมือนโรงแรมมากกว่าเรือนจำ

    La Catedral คุกสุดหรูของ “ปาโบล เอสโคบาร์” ที่ดูยังไงก็เหมือนโรงแรมมากกว่าเรือนจำ

    หลังจากที่ความพยายามในการตามล่าราชาโคเคน “ปาโบล เอสโคบาร์” ของประเทศโคลอมเบียจบลงด้วยความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเมื่อปี 1991 ปาโบลก็ยอมตกลงรับโทษจำคุกจากทางรัฐบาลโคลอมเบียจนได้ อย่างไรก็ตามการมอบตัวในครั้งนั้นมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือเขาต้องการที่จะถูกขังในคุกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง     คุกแห่งที่ว่านี้มีชื่อว่า La Catedral (แปลตรงๆ ว่า “มหาวิหาร”) มันเป็นคุกขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งอยู่บนภูเขาใกล้ๆ เมืองเมเดยิน และออกแบบมาให้มีความหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ในตัว “คุก” มีทั้งห้องครัว ห้องเล่นบิลเลียด ดิสโก้ บาร์หลายแห่ง ทีวีจอยักษ์ อ่างจากุซซี่ สนามฟุตบอล หรือแม้กระทั่งน้ำตก ว่ากันตามตรง La Catedral นั้นเหมือนกับเป็นปราสาทสำหรับราชายาเสพติดมากกว่าคุกเสียอีก     แต่ความหรูหรานั้นไม่ใช่เพียงจุดเด่นจุดเดียวของ La Catedral เพราะสถานที่แห่งนี้ถูกเลือกมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของปาโบลเป็นปัจจัยหลักเช่นกัน นั่นเพราะภูมิประเทศที่เป็นเขาสูงบวกกับอยู่ในพื้นที่ที่ปาโบลมีอิทธิพลช่วยป้องกันการโจมตีจากศัตรูคู่แข่ง แถมลักษณะอากาศซึ่งมักจะมีหมอกก็ทำให้การแอบสอดแนม และการจู่โจมทางอากาศเกิดขึ้นได้ยากอีก     แน่นอนว่าชีวิตของปาโบลในคุกแห่งนี้เป็นไปอย่างสุขสบาย เขาทานอาหารสุดหรูอย่างแซลมอนสดๆ หรือคาเวียร์ ในอ้อมกอดของสาวงาม แถมยังเคยชวนทีมฟุตบอลของโคลอมเบียมาแข่งขันในสนามฟุตบอลส่วนตัวของเขาอีก แต่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตสบายสุดๆ เช่นนี้ก็ตาม ในปี 1992 ปาโบลกลับสั่งสังหารหัวหน้าแก๊งค้ายารายอื่นๆ พร้อมกับครอบครัวจากในคุก และทำให้ทางรัฐบาลมองว่าเป็นการกระทำที่ข้ามเส้นจนเกินไป     แต่กว่าที่ทหารจะไปถึง La Catedral ปาโบลก็หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว…

  • บริษัทเหมืองอิสราเอลพบแร่ใหม่แข็งกว่าเพชร และมีโครงสร้างที่เคยพบได้แต่ในอวกาศ

    บริษัทเหมืองอิสราเอลพบแร่ใหม่แข็งกว่าเพชร และมีโครงสร้างที่เคยพบได้แต่ในอวกาศ

    ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เรามีการค้นพบแร่ธาตุมาแล้วมากมายหลายชนิด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ คนจะเริ่มมีความคิดที่ว่ามนุษย์เราค้นพบแร่ธาตุทั้งหมดบนโลกแล้ว และการจะตามหาแร่ธาตุใหม่ๆ จะต้องมีการเดินทางขึ้นไปในอวกาศเท่านั้น แต่แล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมามนุษย์เราก็ได้ทำการค้นพบแร่ชนิดใหม่บนโลกอีกครั้ง และตั้งชื่อให้กับมันว่า “Carmeltazite”   แร่ Carmeltazite ได้ชื่อมาจากภูเขา Carmel ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สถานที่ค้นพบ   แร่ Carmeltazite ถูกค้นพบโดยบริษัทเหมืองแร่ “Shefa Yamim” ในระหว่างที่พวกเขาดำเนินการขุดหินภูเขาไฟในหุบเขา Sevulun ทางตอนเหนือของภูเขา Carmel ที่ประเทศอิสราเอล มันเป็นแร่ที่ฝังอยู่ในแซฟไฟร์ซึ่งเป็นแร่ที่แข็งเป็นอันดับสองของโลกอีกที แถมเมื่อลองนำแร่ดังกล่าวไปทดสอบความหนาแน่น นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า Carmeltazite มีความแข็งมากกว่าเพชรเสียอีก   จากการทดสอบความหนาแน่น Carmeltazite นั้นมีความแข็งมากกว่าเพชร   แต่ความแข็งแรงของ Carmeltazite กลับไม่ใช่จุดเด่นเพียงข้อเดียวของแร่ชนิดนี้ เพราะแม้ว่ามันจะมีลักษณะใกล้เคียงกับทับทิมและแซฟไฟร์ก็ตาม แต่โครงสร้างของมันกลับไม่เหมือนกับแซฟไฟร์อื่นๆ เลย มันมีองค์ประกอบของไทเทเนียม อะลูมิเนียม และเซอร์โคเนียม ในอัตราส่วนที่ไม่เหมือนกับแร่ใดๆ บนโลกใบนี้ และที่ผ่านๆ มาแร่ในรูปแบบนี้จะมีการค้นพบในอวกาศเท่านั้น   โครงสร้างเฉพาะของแร่ Carmeltazite   นั่นทำให้ Carmeltazite กลายเป็นแร่ที่หายากที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกไป โดยในปัจจุบันแร่ Carmeltazite…

  • นักโบราณคดีพบโรงอาบน้ำมายาอายุ 2,500 ปีที่กัวเตมาลา หลังจากคิดว่าเป็นสุสานมาโดยตลอด

    นักโบราณคดีพบโรงอาบน้ำมายาอายุ 2,500 ปีที่กัวเตมาลา หลังจากคิดว่าเป็นสุสานมาโดยตลอด

    ในช่วงปี ค.ศ. 2014 ทีมนักโบราณคดีที่นำโดยคุณ Jarosław Źrałka ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาโบราณคดีที่มหาวิทยาลัย Jagiellonian ของโปแลนด์ ได้ทำการค้นพบโบราณสถานอายุกว่า 2,500 ปี ที่นคร Nakum เมืองมายาโบราณ ในกัวเตมาลา     ในเวลานั้นพวกเขาคิดว่าโบราณสถานที่พวกเขาพบเป็นหนึ่งในสุสานของเผ่ามายา และเริ่มทำการขุดค้นอย่างช้าๆ แต่ประณีตตลอดช่วงเวลาเกือบๆ 5 ปีหลังจากนั้น และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักทีมนักโบราณคดีก็ได้พบกับความจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้เข้าจนได้ เพราะที่แห่งนี้ไม่ใช่สุสานอย่างที่พวกเขาเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นโรงอาบน้ำของเผ่ามายาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่โลกเคยพบมาเลยด้วย จากคำบอกเล่าของ Źrałka ที่แห่งนี้เป็นโรงอาบน้ำแบบที่มีระบบอบไอน้ำด้วย สร้างขึ้นด้วยการแกะสลักเข้าไปในชั้นหินปูน และน่าจะถูกใช้งานในสมัยก่อน ทั้งในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรม และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ   ภาพสามมิติของโรงอาบน้ำที่ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากโบราณสถานที่พบ   ดูเหมือนว่าในความเชื่อของเผ่ามายา ถ้ำกับโรงอาบน้ำจะเป็นสิ่งที่คล้ายกันมาก เพราะมันเป็นที่ที่ทั้งพระเจ้าและมนุษย์กำเนิดขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นประตูสู่โลกหลังความตาย และเป็นจุดเริ่มต้นของสายน้ำแห่งชีวิต จากร่องรอยที่พบแล้ว นักโบราณคดีก็เชื่อว่าโรงอาบน้ำนี้น่าจะถูกใช้งานในช่วง 700-300 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่จะมีการปิดทางเข้าด้วยเศษหิน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเผ่า และแม้ว่าโรงอาบน้ำนี้จะผ่านกาลเวลามากว่า 2,500 ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ (เมื่อเทียบกับโบราณสถานมายาอื่นๆ) ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ จะนำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเผ่ามายาต่อไปในอนาคต     ที่มา livescience

  • ชม 14 ภาพโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่กำลังจะถูกขายในราคาร่วม 3 ล้านบาท

    ชม 14 ภาพโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่กำลังจะถูกขายในราคาร่วม 3 ล้านบาท

    เพื่อนๆ เป็นคนชอบสะสมของเก่ากันไหม เป็นคนชอบสกีกันรึเปล่า หากคำตอบคือใช่ทั้งสองข้อ ในเวลานี้ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา “Swann Galleries” ห้องแสดงภาพและโรงประมูล มีชื่อ กำลังทำการประกาศขายโปสเตอร์วินเทจสุดงดงามอยู่ นี่เป็นโปสเตอร์จากช่วงศตวรรษที่ 20 ที่รวมเอาภาพโปรโมทกีฬาบนหิมะ จากช่วงปี 1908 เรื่อยไปยันช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษเอาไว้ โดยมีราคาตั้งแต่ 94,000 บาท, 140,000 บาท, 200,000 บาท ไปจนถึง 2.8 ล้านบาท สำหรับคนที่ต้องการเหมาภาพทั้งหมดเลย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเงินก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้นำภาพบางส่วนมาให้เพื่อนๆ ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพโปรโมทการแข่งสกีนานาชาติจากปี 1908   โปสเตอร์โฆษณารีสอร์ทหรูหราในสวิตเซอร์แลนด์   โปสเตอร์ที่มีภาพประกอบละเอียดและซับซ้อนเพื่อโฆษณาสกีรีสอร์ท “Font Romeu” ในเทือกเขาพิเรนีส   โปสเตอร์สาวถือสกีที่มีกวางอยู่ด้านหลัง ใช้โฆษณาสกีรีสอร์ทเช่นกัน   โปสเตอร์ที่มีเทือกเขา Niederhorn เป็นฉากหลัง   โปสเตอร์โปรโมทกิจกรรมและการแข่งขันที่เกิดขึ้นในรีสอร์ท Engelberg   โปสเตอร์เนินขาวสูงชันเป็นจุดขาย   โปสเตอร์โปรโมทการแข่งสกีในปี 1939  …

  • สถาบันเซติปล่อยระบบ “Technosearch” ดาต้าเบสสำหรับงานวิจัยสิ่งมีชีวิตต่างดาวโดยเฉพาะ

    สถาบันเซติปล่อยระบบ “Technosearch” ดาต้าเบสสำหรับงานวิจัยสิ่งมีชีวิตต่างดาวโดยเฉพาะ

    ในช่วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่โลกของเราจะได้รับข้อมูลมากมายจนไม่อาจจะจดจำได้หมด นั่นหมายความว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ งานวิจัยที่มีคุณค่าบางส่วนก็อาจจะถูกมองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จนหายไปกับกาลเวลาเลยก็เป็นได้     แนวคิดในรูปแบบนี้เองทำให้ Jill Tarter ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “SETI” ได้พัฒนาเครื่องมือรูปแบบใหม่ขึ้นมา เพื่อเก็บข้อมูลการค้นหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเอาไว้ นี่เป็นเครื่องมือที่ชื่อว่า “Technosearch” ระบบดาต้าเบสออนไลน์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือนิยายเรื่อง “Contact” และทำหน้าที่เก็บและค้นหาข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ที่ทาง SETI ร่วมรวมไว้ตั้งแต่ในปี 1960 จนถึงปัจจุบัน     โดยจากการเปิดเผยของทาง SETI  เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า Technosearch จะเป็นระบบที่พวกเขาพัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือของเหล่านักศึกษาฝึกงานที่ทำงานให้กับ Jason Wright นักวิจัยดวงดาวและดาวเคราะห์นอกระบบแห่งที่มหาวิทยาลัยเพนน์สเตตอีกทีหนึ่ง ระบบใหม่นี้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นระบบที่แปลกอะไรสำหรับวงการวิทยาศาสตร์ แต่จากนี้มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้ของสถาบัน SETI     และหากทาง SETI สามารถติดต่อนำข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับการค้นพบต่างดาวมาไว้ใน Technosearch แล้วล่ะก็ เครื่องมือชิ้นนี้ก็อาจถูกพัฒนาไปใช้เป็นเครื่องมือชิ้นหลักที่นักดาราบนโลกใช้งานกันเพื่อเก็บข้อมูลมนุษย์ต่างดาวเลยก็เป็นได้ Technosearch ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างเป็นทางการแล้วภายในงาน American Astronomical Society ครั้งที่ 223 เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา และหากเพื่อนๆ สนใจก็สามารถเข้าไปใช้งาน…

  • ย้อนรอย “สถานบริการ” แห่งเมืองปอมเปอี อีกด้านหนึ่งของเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง

    ย้อนรอย “สถานบริการ” แห่งเมืองปอมเปอี อีกด้านหนึ่งของเมืองโบราณที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง

    ตั้งแต่ที่มีการถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองปอมเปอีก็มอบวัตถุโบราณและความรู้ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวโรมันในอดีตให้กับโลกเป็นจำนวนมาก ถึงอย่างนั้นเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้กลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ นั่นเพราะในบรรดาสิ่งที่ถูกค้นพบในเมืองปอมเปอีนั้น ยังมีอาคารโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกใช้งานเป็นสถานบริการและประดับประดาไปด้วยภาพฝาผนังสุดงดงามอยู่ด้วย     ภาพฝาผนังเหล่านี้โดยมากแล้วจะเป็นภาพของหญิงสาวผิวขาว ไว้ทรงผมเข้ากับยุคสมัย และกำลังร่วมเพศกับผู้ชายที่มีทั้งเด็ก คนผิวสี หรือแม้กระทั่งนักกีฬา ในท่าทางการร่วมรักที่หลากหลาย แน่นอนว่าจุดประสงค์ของภาพเหล่านี้คือการปลุกอารมณ์แขกที่เข้ามาให้งาน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกใช้ในการสอนเด็กๆ ที่ยังไร้ประสบการณ์ และแนะนำท่าทางการร่วมเพศใหม่ๆ แก่แขกที่ยังไม่ช่ำชอง     แต่แม้ว่าในภาพส่วนมากเราจะสามารถเห็นผู้คนร่วมเพศกันบนเตียงในห้องอย่างหรูก็ตาม แต่จากหลักฐานที่พบในตัวสถานบริการนักโบราณคดีก็พบว่าความเป็นอยู่จริงๆ ของหญิงสาวที่นี่นั้นไม่ได้เป็นเหมือนในภาพเลย พวกเธอต้องทำงาน (และอาจจะอาศัย) อยู่ในห้องแคบๆ ที่มีเพียงเตียงขนาดหินเล็ก แถมบางห้องยังไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ซึ่งหากจะว่ากันตรงๆ แล้วมีสภาพเหมือนคุกมากกว่าสถานบริการอีก     ร่องรอยจากการสำรวจยังบอกอีกว่าห้องที่เห็นเหล่านี้ถูกออกแบบมาไม่ให้มีประตู และเป็นไปได้ว่าจะมีเพียงผ้าม่านเท่านั้นที่กันห้องเหล่านี้ออกจากโลกภายนอก จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ว่าในสถานบริการจริงๆ แล้วจะมีเตียงไม้และของประดับอยู่จริงๆ เพียงแค่โดนภูเขาไฟทำลายไป แต่ของเหล่านั้นก็น่าจะถูกเก็บไว้ให้ลูกค้าระดับสูงเท่านั้น     การดูแลพนักงานเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะเป็นไปได้ว่าผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการแห่งนี้จะเป็นเพียงทาสที่ถูกจับจากเมืองที่กลายเป็นอิตาลีในปัจจุบันเท่านั้น ทำให้ชาวโรมันไม่ได้ให้ความสนใจพวกเธอเท่าที่ควร และหากจะว่ากันตามตรงในสมัยนั้นการตามหาคู่ร่วมหลับนอนแลกกับเงินนั้นไม่จำเป็นต้องมาถึงสถานบริการด้วยซ้ำ เพราะตามสถานที่อย่างสุสานหรือโรงอาบน้ำเอง คนสมัยก่อนก็สามารถพบกับเหล่าหญิงชายที่ยากจน มาเสนอขายตัวได้     แต่ถึงแม้ว่าประวัติของสถานที่แห่งนี้จะดูมืดหม่นไปบ้าง แต่นี้ก็นับเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญมากๆ แห่งหนึ่งของเมืองปอมเปอีอยู่ดี เพราะมันทำให้เราทราบว่าแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน สังคมก็ยังไม่อาจตัดขาดจากการค้าบริการทางเพศ…

  • รู้จักกับ “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับขยายทวารเมื่อร้อยปีก่อน

    รู้จักกับ “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับขยายทวารเมื่อร้อยปีก่อน

    ปลายศตวรรษที่ 19 เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่วงการแพทย์ของทางตะวันตกพัฒนาความเข้าใจผิดๆ ของตัวเองไปจนถึงขีดสุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะแม้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีหลายๆ อย่างพัฒนาขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีการแพทย์แปลกๆ อยู่มากมายเต็มไปหมดในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเองหลายๆ ชนิด หรืออย่างในกรณีที่เราจะไปชมกันในวันนี้อย่าง “อุปกรณ์ขยายทวาร”     นี่เป็น “อุปกรณ์ทางการแพทย์” ที่ถูกเรียกกันว่า “Dr. Young’s Ideal Rectal Dilators” อุปกรณ์สุดแปลกที่มีขายและใช้งานจริงในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วง ปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงปี 1940 โดยนี่เป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายตอร์ปิโดที่ทำจากพลาสติกหรือยาง ซึ่งมีขนาดความกว้างแค่ครึ่งนิ้วไปจนถึง 4 นิ้ว และใช้งานโดยการยัดเขาไปในทวารหนักคล้ายอุปกรณ์ขยายช่องคลอด (Vaginal Dilator)     ดูเหมือนว่าในสมัยนั้น “การขยายทวาร” เชื่อกันว่าจะสามารถรักษาอาการวิกลจริตได้ ทำให้หลับสบาย แก้ปากเหม็น ผิวซีด ลดผิวเสี้ยน รักษาโรคโลหิตจาง ริดสีดวงทวาร ลดความอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดหัว ท้องร่วง และโรคอื่นๆ อีกมากมาย เท่านั้นยังไม่พอเพราะในคำแนะนำการใช้งานยังมีการระบุไว้อีกว่า “คุณควรใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นประจำ และไม่ต้องกังวลว่าจะใช้งานมันมากเกินไป” แถมยังใช้งานได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย     นับว่าโชคดีมากที่ในปี 1938 ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้เข้ามาตรวจสอบอุปกรณ์ดังกล่าวและพบว่าไม่เพียงแต่ Dr.…

  • นักวิทย์พบ “ลาพิส ลาซูลี่” บนคราบหินปูนบนฟันหญิงสาวโบราณ เชื่อเธออาจเป็นศิลปิน

    นักวิทย์พบ “ลาพิส ลาซูลี่” บนคราบหินปูนบนฟันหญิงสาวโบราณ เชื่อเธออาจเป็นศิลปิน

    เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสื่อต่างประเทศได้ออกมารายงานการค้นพบครั้งใหม่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของจิตรกรเพศหญิงในช่วงกลาง โดยอ้างอิงจากคราบหินปูนบนฟันที่มีการค้นพบในประเทศเยอรมนี     เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าผลงานทางศิลปะ และการบันทึกเอกสารสำคัญจากยุคกลางที่โลกเคยมีการพบมานั้น ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของศิลปินที่เป็นผู้ชาย ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีนักโบราณคดีหลายคนที่ติดภาพลักษณ์ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมทางสังคมในสมัยก่อนทำให้งานเกี่ยวกับศิลปะและการคัดลอกเอกสารสำคัญ กลายบทบาทหน้าที่ของผู้ชายโดยเฉพาะไป   ตัวอย่างผลงานศิลปะจากประเทศเยอรมนีในช่วงยุคกลาง   “ลองนึกภาพคนในสมัยก่อน กำลังคัดลอกหนังสือโบราณดูสิ” Alison Beach นักประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตตอธิบาย “คนส่วนใหญ่จะนึกภาพคนที่กำลังคัดลอกออกมาเป็น บาทหลวงมากกว่าแม่ชีใช่ไหมล่ะ” แต่แล้วเมื่อตอนที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบคราบหินปูนบนฟันของโครงกระดูกหญิงสาววัยกลางคนร่างหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตไปในช่วงปี ค.ศ. 1100 ที่เมือง Dalheim ประเทศเยอรมนี พวกเขากลับพบว่าในหินปูนของเธอนั้นมีร่องรอยของหินลาพิส ลาซูลี่อยู่ การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงเวลาที่หญิงสาวคนดังกล่าวมีชีวิตอยู่ลาพิส ลาซูลี่จะเป็นของที่มีราคาแพงมาก (บางบันทึกบอกว่าแพงยิ่งกว่าทองอีก)   ลาพิส ลาซูลี่   ด้วยความแพงนี้เองทำให้ลาพิส ลาซูลี่มักจะถูกใช้ไปในการตกแต่งหนังสือ (โดยเฉพาะหนังสือทางศาสนา) หรือไม่ก็ถูกนำไปบดใช้เป็นสีในการวาดภาพด้วยโดยศิลปินที่มีฐานะ แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆ ไปจะสามารถนำมาใช้งานได้ง่ายๆ เลย การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่า โครงกระดูกที่พวกเขาทำการตรวจสอบนั้น น่าจะเป็นของหญิงสาวผู้เป็นแม่ชี และมีลาพิส ลาซูลี่ติดอยู่ในคราบหินปูนจากการที่เธอเลียพู่กัน (เพื่อจัดแนวขนพู่กัน) ในระหว่างทำงาน  …

  • ย้อนรอย “Sturmabteilung” กองกำลังพายุ ผู้คอยสนับสนุนฮิตเลอร์ ก่อนที่เขาจะเรืองอำนาจ

    ย้อนรอย “Sturmabteilung” กองกำลังพายุ ผู้คอยสนับสนุนฮิตเลอร์ ก่อนที่เขาจะเรืองอำนาจ

    ในช่วงที่นาซีปกครองประเทศเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีกองกำลังพิเศษมากมายหลากหลาย ตั้งแต่ Schutzstaffel ที่มีชื่อเสีย(ง) หรือ Hitlerjugend ซึ่งเป็นกองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน แต่ทราบกันหรือไม่ว่าตั้งแต่ก่อนที่ฮิตเลอร์จะมีอำนาจในประเทศ ในช่วงปี 1920-1934 เขาก็ยังมีกองกำลังอีกกองหนึ่งที่เคยหนุนหลังอยู่ด้วย     ชื่อของกองกำลังนี้คือ “Sturmabteilung” (อ่านว่า “ชตวร์มอัพไทลุง” แปลตรงๆ ว่า “กองกำลังพายุ”) หรือ SA หน่อยกองกำลัง “กึ่งทหาร” ที่ประกอบขึ้นจากคนว่างงานและทหารผ่านศึก มีหน้าที่หลักๆ ในการปกป้องพรรคนาซี และข่มขวัญพรรคคู่แข่ง ด้วยความที่ว่าประเทศเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้สภาพภายในประเทศในเวลานั้นไม่มั่นคงอย่างมาก จนมีกองกำลังสองฝั่งที่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิฟาสซิสต์สู่รบกันบนท้องถนนอยู่เป็นเวลานาน   ทหาร SA จับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในเบอร์ลิน   ด้วยเหตุนี้เองในปี 1921 ฮิตเลอร์จึงรวมเอาเหล่าคนที่กำลังต่อสู้เพื่อลัทธิฟาสซิสต์มารวมกันเป็น Sturmabteilung ซึ่งในเวลานั้นถูกเรียกกันว่า “พวกชุดน้ำตาล” หรือ “พวกชุดกากี” จากสีของยูนิฟอร์มของพวกเขา จริงอยู่ว่าการปฏิวัติครั้งแรกของกลุ่มนาซีและ Sturmabteilung เมื่อปี 1923 จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่หลังจากวันนั้นไม่นาน ฮิตเลอร์ก็หลับมาอีกครั้งพร้อมกองกำลัง Sturmabteilung  ที่มีผู้สนับสนุนมากขึ้นและใหญ่ขึ้น   อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กับเหล่าผู้นำกบฏโรงเบียร์   ว่ากันตามตรง Sturmabteilung ในเวลานั้นมีกองกำลังมากกว่าทหารจริงๆ ในประเทศ ที่ถูกสนธิสัญญาผูกมัดจนมีจำนวนอยู่แค่ 100,000…

  • ย้อนรอย “หนังสือหนังมนุษย์” การทำหนังสือสุดโหดที่ไม่ได้มีอยู่บนโลกเพียงแค่เล่มเดียว

    ย้อนรอย “หนังสือหนังมนุษย์” การทำหนังสือสุดโหดที่ไม่ได้มีอยู่บนโลกเพียงแค่เล่มเดียว

    เมื่อพูดถึงหนังสือที่ทำจากหนังมนุษย์ เชื่อว่าแค่นึกภาพตามก็ทำให้หลายๆ คนขนลุกกันไปตามๆ กันแล้ว ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าหนังสือที่ทำจากหนังมนุษย์ที่กล่าวมานี้ มันกลับปรากฏขึ้นมาในประวัติศาสตร์มากมายเต็มไปหมดเลยนี่สิ     เป็นเรื่องที่ทราบกันว่ามนุษย์เรารู้จักการถลกหนังมนุษย์ด้วยกันเองมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิอัสซีเรียแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงว่าในสมัยก่อนน่าจะมีคนไม่น้อยเลยที่คิดจะเอาหนังมนุษย์ไปทำสิ่งของ แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม หนังสือที่มีหลักฐานว่าทำจากหนังมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดกลับเพิ่งจะปรากฏมาในประวัติศาสตร์เมื่อช่วงศตวรรษที่ 16-17 เท่านั้น แถมยังมาพร้อมๆ กับหนังสือปลอมเป็นจำนวนมาก ว่ากันตรงๆ แม้แต่หนังสือเล่มแรกๆ ที่อ้างว่าทำจากหนังมนุษย์และยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนั้นก็ยังเป็นหนังสือที่ไม่มีหนังมนุษย์อยู่จริงๆ เลย หนังสือเล่มที่ว่าคือ หนังสือกฎหมายของสเปนที่ชื่อ “Practicarum quaestionum circa leges regias” ซึ่งมีการบอกชื่อของเจ้าของหนังมนุษย์ไว้ในหนังสือด้วย   Practicarum quaestionum circa leges regias จากช่วงปี 1605-1606   น่าแปลกที่จากการตรวจสอบในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าตัวหนังสือที่ถูกอ้างว่าเป็นหนังมนุษย์ กลับมีสภาพเป็นเพียงหนังแกะเท่านั้น เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเกิดจากการที่มีการสับเปลี่ยนตัวปกหนังสือตามกาลเวลา หรือไม่ก็ข้อความในหนังสือเป็นการโกหก     แต่แม้ว่าหนังสือกฎหมายเล่มดังกล่าวจะไม่ได้มีหนังมนุษย์อยู่จริงมันก็ไม่ได้หมายความว่า หนังสือหนังมนุษย์จะเป็นของปลอมไปเสียหมด เพราะหนังสืออย่าง “De humani corporis fabrica” ที่ออกตีพิมพ์ในปี 1568 นั้นได้รับการตรวจสอบและยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า มีส่วนประกอบของหนังมนุษย์จริงๆ…

  • ย้อนรอยเรื่องหวยๆ จากสลากแบ่งดินแดน สู่ความหวังของผู้คน ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อเดือน

    ย้อนรอยเรื่องหวยๆ จากสลากแบ่งดินแดน สู่ความหวังของผู้คน ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งต่อเดือน

    สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว เชื่อว่าวันที่ 1 กับวันที่ 16 ของเดือนคงจะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของเดือนเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือวันที่เราจะได้ทราบว่า เจ้าชุดเลข 6 ตัวบนสลากที่เราซื้อมาจะให้ลาภแก่เราหรือไม่     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าสลากกินแบ่งหรือที่เรียกแบบบ้านๆ ว่า “หวย” ที่เราเล่นกัน มันมีที่มาจากไหนกันแน่ เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกคนไปย้อนรอยเรื่องของหวยกัน น่าเสียดายที่เราไม่อาจจะฟันธงได้ว่าหวยที่เก่าแก่ที่สุดมาจากไหน อย่างไรก็ตามการกระทำที่คล้ายกับการสุ่มสลาก มีการพูดถึงมาตั้งแต่ในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเดิมว่าด้วยการแบ่งดินแดนคานาอันด้วยสลาก และในสมัยกรีกโบราณเองก็มีการจับสลากเพื่อหาข้าราชการในบางนครรัฐเช่นกัน     เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากสมัยนั้นเล็กน้อย ในช่วงที่ชาวโรมันเรืองอำนาจแทนที่พวกเขาจะลงโทษทหารทั้งหมู่เวลามีความผิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษถึงชีวิต) พวกเขาก็ใช้การสุ่มสลากนี่ล่ะ ในการหาไก่มาเชือดให้ลิงดู อย่างไรก็ตามการสุ่มสลากแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดนั้น เชื่อกันอยู่ในประเทศจีนต่างหาก โดยนี่เป็นสลากที่เรียกกันว่า “白鸽票” (พินอิน “Bái gē piào” อ่านว่า “ไป๋เกอเพียว”) ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “ตั๋วนกพิราบขาว”     สลากในรูปแบบนี้จัดทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีจุดประสงค์หลักในการหาเงินมาส่งเสริมกองทัพ และการก่อสร้างของประเทศ ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แถมยังมีเรื่องเล่าที่ว่าเงินจากสลากนี้เอง ยังถูกใช้ไปกับการสร้างกำแพงเมืองจีนเลยด้วย ส่วนเรื่องราวของการเล่นสุ่มสลากในประเทศไทยนั้น เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3…

  • ชมแบบสอบถาม UFO จากช่วงยุค 50-60 สมัยที่การรายงานจานบิน ง่ายดายแค่กรอกข้อมูล

    ชมแบบสอบถาม UFO จากช่วงยุค 50-60 สมัยที่การรายงานจานบิน ง่ายดายแค่กรอกข้อมูล

    ในช่วงปี 1952-1969 ทางสหรัฐอเมริกาได้ก่อตั้ง “Project Blue Book” โครงการพิเศษของกองทัพอากาศขึ้นเพื่อตรวจสอบวัตถุปริศนาลอยฟ้าหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ UFO การที่จะตามหาสิ่งที่ไม่อาจทราบได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ทำให้ทีมนักสำรวจของโครงการจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดที่พวกเขาจะทำได้     ด้วยเหตุนี้เองหากคุณเห็น UFO ในยุค 50-60 ที่สหรัฐอเมริกา ทางรัฐบาลก็จะเตรียมเอกสารให้คุณสามารถกรอกข้อมูลสิ่งที่พบได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้เช่น วาดภาพวัตถุที่คุณเห็น แล้วระบุรายละเอียดเป็นต้น ความพยายามของภาครัฐในรูปแบบนี้ทำให้ในช่วงนั้นมีประชาชนเข้าไปรายงานการค้นพบ UFO เป็นจำนวนมาก อย่างรายงานการพบเห็น UFO ที่มีชื่อเสียงในรัฐนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1964   ชิ้นส่วนที่ทัพอากาศอ้างว่าเก็บมาจาก UFO ที่รัฐนิวเม็กซิโก   โดยรวมๆ แล้วในช่วงปี 1947-1969 สหรัฐอเมริกามีการเข้าตรวจสอบ UFO ไปมากถึง 12,000 คดี (และพบว่ารายงานจำนวนมากเป็นรายงานที่ไม่มีมูล) แต่ก็ยังมีรายงานอีกกว่า 701 ชิ้นเลยทีเดียวที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ น่าเสียดายที่ Project Blue Book ปิดตัวไปในปี 1969 ทำให้ในปัจจุบันไม่มีองค์กรใดๆ ที่รับเรื่อง การพบเห็น UFO ไว้อย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าแบบสอบถามชิ้นนี้เองก็ถูกเลิกใช้งานไปในช่วงเวลาเดียวกัน   .…

  • ย้อนรอย “Ku Klux Kiddies” เมื่อ “KKK” เริ่มปลูกฝังการเหยียดผิวให้กับเด็กๆ ในประเทศ

    ย้อนรอย “Ku Klux Kiddies” เมื่อ “KKK” เริ่มปลูกฝังการเหยียดผิวให้กับเด็กๆ ในประเทศ

    ชุดคลุมสีขาว หมวกทรงแหลมปกปิดหน้าตา และงานเผาไม้กางเขน นี่คือลักษณะอันน่าหวาดกลัวของ “Ku Klux Klan” หรือ “KKK” กลุ่มเหยียดสีผิวสุดโหดที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเกลียดชังของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ความเกลียดชังเหล่านี้พุ่งขึ้นถึงขีดสุดในช่วงยุค 1920 จนถึงขนาดที่ว่าแทนที่จะเก็บเอาความรู้สึกด้านลบไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว สมาชิก KKK ก็เริ่มปลูกฝังการเหยียดสีผิวให้กับครอบครัวของตน และในช่วงเวลานี้เองที่กิจกรรมของ “Ku Klux Kiddies” หรือเด็กๆ แห่ง KKK เกิดขึ้น     พ่อแม่ที่เป็นสมาชิกของ KKK จะพาลูกๆ ไปรับศีลจุ่มแบบพิเศษ ที่มาพร้อมกับการสาบานตนว่าจะทำตาม “หลักการและอุดมคติของชาวอเมริกัน” นี่อาจจะเป็นหลักการที่ฟังดูดี แต่เอาเข้าจริงๆ หลักการและอุดมคติของชาวอเมริกัน สำหรับ KKK แล้วคือการต่อต้านคนทุกคนที่ไม่ใช่คนขาวชาวโปรเตสแตนต์ด้วยความรุนแรงต่างหาก     พวกเขาจะสอนให้เด็กๆ ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนขาว รังเกียจคนผิวสี และเติบโตขึ้นเป็นสมาชิก “ที่ดี” ของกลุ่มสืบไป จริงอยู่ที่ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แท้จริงของเด็กๆ ใน Ku Klux Kiddies แต่อย่างน้อย เด็กเหล่านี้ก็มีมากพอที่จะทำให้ KKK สร้างกลุ่มย่อยที่ชื่อว่า “The Junior Ku Klux…

  • จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ที่ส่งก่อนสงครามไม่กี่วัน ถูกประมูลในราคา 468,000 บาท

    จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ที่ส่งก่อนสงครามไม่กี่วัน ถูกประมูลในราคา 468,000 บาท

    ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1803 หลังจากอังกฤษกับฝรั่งเศสเซ็นสัญญาสงบศึกกันได้ไม่ถึง 1 ปี พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งออกไป และในไม่กี่วันต่อมาอังกฤษกับฝรั่งเศสก็เปิดศึกต่อสู้กันอีกครั้ง     จดหมายในวันนั้นถูกเก็บเอาไว้ข้ามการเวลามาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถูกประมูลออกไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภายใต้ความสนใจเป็นอย่างมากในหมู่นักสะสมที่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนั้น นั่นเพราะ จดหมายของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ถูกประมูลออกไปในราคาถึงราวๆ 468,000 บาท ซึ่งนับว่ามากกว่าราคาที่มีการคาดการณ์ไว้ถึง 11 เท่าเลยทีเดียว   ในจดหมายมีการลงชื่อของพระเจ้าจอร์จที่ 3 อย่างชัดเจน   เอาเข้าจริงๆ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกเท่าไหร่ เพราะหากดูจากช่วงเวลาที่มีการส่งจดหมายแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้ว่าที่อังกฤษกับฝรั่งเศสกลับมารบกันอีกครั้ง อาจจะมาจากจดหมายฉบับนี้เลยก็ได้ ทำให้จดหมายนี้อาจจะดูมีค่ามากกว่าเพียงวัตถุโบราณสำหรับหลายๆ คนไป โดยเจ้าจดหมายอายุ 216 ปีฉบับนี้จ่าหน้าถึงรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ลงนามของพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และว่าด้วยเรื่องที่ว่ากษัตริย์แห่งอังกฤษไม่สบายใจในการกระทำของ “นโปเลียน โบนาปาร์ต” ซึ่งในเวลานั้นออกยึดพื้นที่ในยุโรปและข่มขู่ทางสหราชอาณาจักรเอาไว้   ส่วนหนึ่งของจดหมายมีการระบุว่าฝรั่งเศสนั้น “ไม่ยุติธรรมไปจนถึงที่สุด”   Charles Ashton ผู้อำนวยการโรงประมูลเล่าว่า “จดหมายฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์…

  • เหรียญ 1 เซนต์ ในค่าขนมของเด็กหนุ่ม ถูกนำประมูลได้มูลค่าที่สูงถึง 54 ล้านบาท

    เหรียญ 1 เซนต์ ในค่าขนมของเด็กหนุ่ม ถูกนำประมูลได้มูลค่าที่สูงถึง 54 ล้านบาท

    ในปี 1947 เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ชื่อ Don Lutes Jr. ได้พบว่าเหรียญ 1 เซนต์ ซึ่งอยู่ในเงินค่าขนมที่เขาได้มา มีอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากเหรียญทั่วๆ ไป ดังนั้นแทนที่จะใช้มัน เขาจึงเลือกที่จะเก็บเหรียญนี้ไว้ ยาวนานกว่า 70 ปี จนกระทั่งวันที่เขาเสียชีวิต     แต่ใครจะเชื่อว่าเหรียญค่าขนมแปลกๆ เหรียญนั้น ในปัจจุบันจะถูกนำไปประมูลขายกัน ด้วยมูลค่าที่อาจจะสูงได้ถึงหลายสิบล้านบาท นั่นเป็นเพราะเหรียญที่ Don Lutes Jr. มีนั้น แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในเหรียญทองแดงหายาก ที่ถูกผลิตขึ้นโดยบังเอิญในปี 1943 และมีอยู่เพียงแค่ 20 เหรียญเท่านั้น ในช่วงปี 1940 ทองแดงในสหรัฐฯ จะถูกเก็บไว้ทำสายไฟหรืออุปกรณ์ทางการทหาร เนื่องจากประเทศกำลังตกอยู่ในสงคราม     ดังนั้นเหรียญในสมัยนี้จึงมักทำจากเหล็กเคลือบสังกะสี และเหรียญที่ทำจากทองแดง (ที่นานๆ ครั้งก็ถูกผลิตขึ้นจากความผิดพลาด) จะไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลสักเท่าไหร่ จากคำบอกเล่าของตัว Don Lutes Jr. ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาเคยเอาเหรียญนี้ไปสอบถามกับทางธนาคารมาก่อน แต่ด้วยความที่ทางรัฐบาลไม่ยอมรับว่ามีการผลิตเหรียญนี้ขึ้นด้วยความผิดพลาด ทางธนาคารจึงบอกว่าเหรียญที่เขามีเป็นของปลอม  …

  • ชมการบ้านของเด็กอียิปต์โบราณ อายุร่วม 1,800 ปี ที่แฝงข้อคิดดีๆ ซึ่งใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

    ชมการบ้านของเด็กอียิปต์โบราณ อายุร่วม 1,800 ปี ที่แฝงข้อคิดดีๆ ซึ่งใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

    สำหรับนักเรียนนักศึกษาแล้ว การบ้านคงจะเป็นอะไรที่สร้างความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีมาอย่างยาวนานเลยก็ว่าได้ และแม้ว่าเราจะไม่อาจรู้ได้ว่าการบ้านมีมานานเท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่าการบ้านนั้นมีมาตั้งแต่อารยธรรมแรกๆ ของมนุษย์เลย และกระดานขี้ผึ้งที่เรากำลังจะไปชมนี้เองก็เป็นหนึ่งในการบ้านเก่าแก่ที่สุดชิ้นหนึ่งที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันดังที่กล่าวไปนั่นเอง     นี่เป็นกระดานชนวนที่มีอายุมากกว่า 1,800 ปี ซึ่งมีอักษรภาษากรีก ที่ถูกเขียนโดยเด็กชาวอียิปต์โบราณในช่วงศตวรรษที่สองความว่า “เจ้าจงเชื่อคำแนะนำจากผู้รู้เท่านั้น” และ “จงอย่าเชื่อเพื่อนตัวเองไปเสียทุกคน” จากลักษณะคำที่อยู่บนกระดาน เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการบ้านการคัดลายมือ ที่ครูในสมัยก่อนจะเขียนข้อความมาให้ด้านบน และให้นักเรียนเขียนตามในด้านล่าง และนักเรียนคนดังกล่าวอาจจะต้องเอากระดานไปอ่านออกเสียงอีกที   ร่องรอยการค้นพบโรงเรียนโบราณอายุราวๆ 1,700 ปีในประเทศอียิปต์   กระดานชนวนชิ้นนี้ถูกห้องสมุดอังกฤษนำไปเก็บรักษาไว้ครั้งแรกในปี 1892 และถูกนำมาจัดแสดงต่อหน้าสาธารณะชนในช่วงปี 1970 ในส่วนหนึ่งของนิทรรศการ “Writing: Making Your Mark” ที่เกี่ยวข้องกับการย้อยรอยประวัติศาสตร์การเขียนของมนุษย์ แม้ว่าบนกระดานจะไม่ได้มีการระบุชื่อหรือเพศเอาไว้แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเจ้าของกระดานแผ่นนี้ น่าจะเป็นลูกของบ้านที่มีฐานะพอสมควร และมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชายตามลักษณะสังคมในสมัยนั้น     จริงอยู่ที่กระดานแผ่นนี้จะไม่ใช่การบ้านที่เก่าแก่ที่สุดที่โลกเคยพบมา แต่อย่างนี่ก็เป็นการบ้านที่ไม่ได้มีดีที่การคัดลายมือเท่านั้น เพราะข้อความที่ถูกเขียนไว้บนกระดานก็ให้ข้อคิดที่ดีมากๆ ไว้เช่นกัน เพราะนี่เป็นคำสอนที่ยังคงใช้การได้จริง แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 1,800 ปีแล้วก็ตาม   ที่มา livescience

  • นักโบราณคดีพบ โครงกระดูกถูกฝังโดนตัดศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา ที่สุสานโรมันในอังกฤษ

    นักโบราณคดีพบ โครงกระดูกถูกฝังโดนตัดศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา ที่สุสานโรมันในอังกฤษ

    การค้นพบทางโบราณคดี บ่อยครั้งก็มักจะนำมาซึ่งความรู้แปลกๆ เกี่ยวข้องกับการให้ชีวิตในสมัยก่อนอยู่เสมอ และเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้พบกับการค้นพบที่ชวนให้เกาหัวอีกครั้ง เมื่อที่ประเทศอังกฤษ มีการค้นพบร่างของมนุษย์โบราณจำนวนหนึ่งที่ถูกฝังโดยตัดหัว แล้วเอาศีรษะไปวางไว้ที่หว่างขา     โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในแหล่งโบราณคดี ที่หมู่บ้าน Great Whelnetham ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของชาวโรมันที่มาตั้งถิ่นฐานในอังกฤษเมื่อราวๆ 1,600 ปีก่อน และถูกขุดพบโดยนักโบราณคดีครั้งแรกตั้งแต่ในปี 1964 ที่ผ่านมา ในพื้นที่สุสานของแหล่งโบราณคดีดังกล่าว นักโบราณคดีได้มีการค้นพบโครงกระดูกโบราณจากช่วงศตวรรษที่ 4 จำนวน 52 ร่าง และในบรรดาโครงกระดูกเหล่านั้นมีอยู่ 17 ร่างที่ถูกฝังด้วยวิธีดังที่กล่าวไว้ข้างต้น     ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพราะเหตุใด โครงกระดูกที่พบจึงมีสภาพอย่างที่เห็น แต่ทีมนักโบราณคดีก็ตั้งแนวคิดว่าการกระทำนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ นั่นเป็นเพราะว่าจากการวิเคราะห์ศีรษะของโครงกระดูก พวกเขาไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกตัดคอ แต่คอของพวกเขาถูกตัดออกไปจากร่างหลังจากที่เสียชีวิตต่างหาก เอาเข้าจริงๆ ชาวโรมันโบราณก็มีการฝังศพแบบแปลกอยู่หลายแบบ (อย่างการฝังเพื่อป้องกันศพลุกกลับขึ้นมาเป็นซอมบี้ด้วยการเอาหินทับ) และว่ากันตามตรง 60% ของศพที่พบในสุสานแห่งนี้เองก็มีการฝังแบบคว่ำหน้า     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าการฝังแบบนี้เองก็อาจจะมาจากการป้องกันคนตายลุกกลับขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอาจจะได้รับอิธิพลมาจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามนอกจากตัวศพ 17 ร่างนี้แล้ว ตัวสุสานเองก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปจากปกติเลย และนอกจากตัวศพแล้ว ในสุสานนี่ก็ยังมีการค้นพบวัตถุโบราณของวัฒนธรรมโบราณอีกเป็นจำนวนมากเลย     ที่มา livescience

  • 5 อาหารที่คนสหรัฐฯ เคยทานกันจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก

    5 อาหารที่คนสหรัฐฯ เคยทานกันจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก

    เป็นเรื่องที่รู้กับว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความนิยมของผู้คนก็จะเป็นไปด้วย เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับแฟชั่นและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังล่วงเลยไปยันอาหารการกินด้วย นั่นทำให้อาหารที่คนทานกันเป็นธรรมดาในสมัยก่อน เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นของที่ดูน่าแปลกจนสงสัยว่าคนสมัยก่อนกินกันเข้าไปได้อย่างไร ดังนั้นในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 อาหารที่คนสหรัฐอเมริกาเคยทานกันในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลกชัดๆ   เริ่มกันจากหางของบีเวอร์ เอาเข้าจริงๆ หางของบีเวอร์ถูกทานกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ที่อังกฤษแล้ว เนื่องจากทางโบสถ์ในสมัยนั้นอ้างว่าบีเวอร์เป็น “ปลา” เพราะมันว่ายน้ำได้เร็วมาก (ไม่รู้เกี่ยวกันตรงไหน) เลยทานได้ในวันถือศีลอดเนื้อของคริสต์ (ที่ไม่ห้ามทานปลา)   อ้วกปลาวาฬ มันคือ “Ambergris” หรือ “อำพันทะเล” ผลผลิตจากวาฬสเปิร์ม ซึ่งแม้ว่าจะบอกว่าเป็นอ้วกก็ตาม แต่กลับมีกลิ่นหอมอย่างไม่น่าเชื่อ จึงมักถูกนำมาผสมอาหารหลายๆ ชนิดในสมัยก่อน และเป็นที่นิยมมากราคาสูงแบบสุดๆ เลยด้วย ในปัจจุบันไม่รู้ว่ายังมีคนทานอยู่ไหม แต่ได้ยินว่าถูกใช้ในการทำน้ำหอมบางชนิด   เยลลี่กีบลูกวัว หลายๆ คนอาจจะรู้ว่าเจลาตินทำมาจากกระดูกสัตว์ และในสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็มักจะเอากีบของลูกวัวนี่ล่ะ ไปทำเยลลี่ แถมยังมีความเชื่อว่าดีต่อคนป่วยด้วยนะ   ไอศกรีมหอยนางรม เอาเข้าจริงนี่เป็นเมนูที่ฟังดูแปลกแม้แต่ในสมัยก่อนเอง แต่ด้วยความที่ว่า Dolley Madison…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ มนุษย์โบราณ “Little Foot” เดินเหมือนลิงชิมแปนซีมากกว่ามนุษย์

    นักวิทยาศาสตร์พบ มนุษย์โบราณ “Little Foot” เดินเหมือนลิงชิมแปนซีมากกว่ามนุษย์

    หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ได้มีข่าว งานวิจัยที่ชี้ความเป็นไปได้ว่าโครงกระดูกของ “Little Foot” ที่เรารู้จักกันนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์กับป้าลูซี่อย่างที่เราเคยเชื่อก็เป็นได้ (อ่านข่าวเก่าได้ ที่นี่) จริงอยู่ว่างานวิจัยในครั้งนั้นจะยังคงต้องมีการตรวจสอบยืนยันกันในปัจจุบัน แต่เมื่อล่าสุดนี้เองเราก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงกระดูกสุดแปลกร่างนี้อีกครั้ง     นั่นเพราะจากการวิเคราะห์โครงกระดูกของ Little Foot ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแล้ว ทางนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า มนุษย์โบราณคนนี้ ในสมัยก่อนอาจจะเดินไม่เหมือนกับเราก็เป็นได้ Little Foot เคยถูกเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองมนุษย์โบราณเพศหญิงสายพันธุ์ “Australopithecus” ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา (อีกหนึ่งร่างคือป้าลูซี่) อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบกะโหลกศีรษะของเธอเพื่อจำลองสภาพอวัยวะภายในนักวิทยาศาสตร์ก็พบสามารถทำ หูชั้นในของ Little Foot ออกมาในรูปแบบ 3 มิติจนได้     นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ดูจะมีสำคัญอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วหูชั้นในของสิ่งมีชีวิตจะส่งผลโดยตรงกับการทรงตัวและเคลื่อนไหวของสัตว์ชนิดต่างๆ ดังนั้นอวัยวะส่วนเล็กๆ นี้จึงเรียกได้ว่ามีความสำคัญในทางวิทยาศาสตร์มาก โดยในการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้นำรูปร่าง 3 มิติของหูชั้นในที่ได้จาก Little Foot ไปเปรียบเทียบกับมนุษย์สกุลโฮโมโบราณ 17 สายพันธุ์ มนุษย์ปัจจุบัน 10 คน และลิงชิมแปนซี 10 ตัว พวกเขาพบว่า Little Foot มีลักษณะหูชั้นในไม่เหมือนกับมนุษย์ทั้งในปัจจุบัน…

  • การตรวจ DNA พบ งาช้างที่ถูกลักลอบขายในปี 2015 แท้จริงแล้วเป็นของ “ช้างแมมมอธ”

    การตรวจ DNA พบ งาช้างที่ถูกลักลอบขายในปี 2015 แท้จริงแล้วเป็นของ “ช้างแมมมอธ”

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าการค้นพบที่ทางโบราณคดีหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากมือของเหล่านักโบราณคดีเอง แต่คงจะไม่มีใครคิดหรอกว่า การลักลอบค้างาช้างอย่างผิดกฎหมาย มันจะนำไปสู่การค้นพบทางโบราณคดีได้เช่นกัน เพราะในขณะที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มนักอนุรักษ์ในสกอตแลนด์และกัมพูชาได้ร่วมกันทำการตรวจสอบ DNA เพื่อหาที่มาของงาช้างผิดกฎหมายซึ่งถูกยึดมาในปี 2015 พวกเขาก็พบว่างาช้างที่พบนั้นไม่ได้มาจากช้างธรรมดาๆ แต่มาจากแมมมอธต่างหาก     ข่าวการค้นพบสุดประหลาดนี้ถูกเปิดเผยออกมาแก่สำนักข่าวต่างประเทศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าที่งาช้างแมมมอธถูกนำเข้าประเทศมาแทนงาช้างธรรมดา น่าจะเกิดขึ้นจากความพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมายของเหล่าพ่อค้างาช้าง ด้วยการนำเข้างาของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และไม่น่าจะมีกฎหมายรองรับ     โดยงาช้างแมมมอธที่พบเชื่อกันว่ามาจาก “เพอร์มาฟรอสท์” ดินเยือกแข็งคงในพื้นที่ Yakutia ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรียอีกทีหนึ่ง การค้นพบในครั้งนี้แม้จะดูเป็นข่าวร้ายของวงการโบราณคดีอยู่บ้าง แต่หากมองจากฝั่งกลุ่มนักอนุรักษ์แล้ว การค้นพบในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นข่าวร้ายที่ไม่ได้มีข้อดีเลย เพราะแม้ว่านี่จะเป็นการลักลอบขนส่งวัตถุโบราณก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ มันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเหล่าพ่อค้างาช้างนั้นหวาดกลัวกฎหมายจริงๆ จนต้องหาสินค้าอื่นๆ มาขายแทนงาช้างตามปกติ     และแม้ว่างาช้างแมมมอธจะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่ก็ตาม แต่งาช้างแมมมอธสายพันธุ์ที่พบนั้น คาดกันว่ายังมีอยู่ใต้น้ำแข็งที่ไซบีเรียอีกกว่า 500,0000 ตันเลยทีเดียว การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ Prokopy Nogovitsyn นักสะสมงาช้างมีชื่อออกมาให้ความเห็นเลยว่า หากพ่อค้างาช้างเปลี่ยนไปขุดเพอร์มาฟรอสท์กันหมด ไม่แน่ว่าเราอาจจะสามารถช่วยชีวิตช้างแอฟริกาจากการถูกล่าไปอีกหลายรุ่นเลย     อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่าการขุดเอาวัตถุโบราณมาขายเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพูดคุยถกเถียงกันต่อไปในปัจจุบัน  …

  • หญิงชาวจีนพบแพทย์หลังไม่สามารถได้ยินเสียง “ผู้ชาย” เชื่อเกี่ยวข้องกับหูชั้นในรูปหอยโข่ง

    หญิงชาวจีนพบแพทย์หลังไม่สามารถได้ยินเสียง “ผู้ชาย” เชื่อเกี่ยวข้องกับหูชั้นในรูปหอยโข่ง

    เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวหญิงชาวจีนผู้ใช้นามสกุลว่า “จาง” รายหนึ่งได้เอาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หลังมีอาการมีเสียงอื้อในหู อาเจียน และตื่นเช้าขึ้นมาพบว่าเธอนั้นไม่ได้ยินเสียงของแฟนหนุ่มอีกต่อไป หลังจากเข้าไปที่โรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่ก็พบว่าอาการที่คุณจางเป็นนั้นค่อนข้างแปลกมาก เพราะเธอยังสามารถได้ยินสิ่งที่คุณหมอซึ่งเป็นผู้หญิงพูดพูด แต่กลับไม่ได้ยินเสียงคนไข้ผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ เลย     การตรวจสอบอาการของคุณจางทำให้ทางโรงพยาบาลตัดสินว่าเธอนั้นมีอาการที่เรียกกันว่า “Reverse-slope hearing loss” (RSHL) กลุ่มอาการที่ทำให้คนไข้สูญเสียความสามารถในการได้ยินคลื่นเสียงความถี่ต่ำ อย่างเช่นเสียงของผู้ชาย อาการที่เรียกว่า RSHL ถือว่าเป็นอาการที่หาได้ค่อนข้างยากมากเพราะในบรรดาคนที่สูญเสียการได้ยิน 12,000 คน จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีอาการ RSHL     เพราะคนเราจะใช้การสั่นของเส้นขนในหูในการช่วยตรวจจับคลื่นเสียง และเส้นขนที่รับหน้าที่จับคลื่นเสียงความถี่สูงก็มักจะบอบบางจนเสื่อมสภาพไป (ตามกาลเวลา พันธุกรรม การใช้ยา หรือการบาดเจ็บ) ดังนั้นตามปกติคนเราจึงเสียความสามารถในการได้ยินคลื่นเสียงความถี่สูงเวลาอายุมากขึ้น RSHL อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยในกรณีของคุณจาง เป็นไปได้ว่าเธอนั้นมีปัญหาสภาพแพ้ภูมิตัวเองในบริเวณหูชั้นในรูปหอยโข่งซึ่งตามปกติจะได้รับการปกป้องอย่างดี จนทำให้เธอสูญเสียการได้ยินเสียงในรูปแบบอย่างที่เห็น     Jackie Clark ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส บอกว่าสภาพแพ้ภูมิตัวเองในรูปแบบนี้อาจนำมาสู่การสูญเสียการทรงตัวได้ ทำให้ไม่แปลกเลยที่ก่อนจะสูญเสียการได้ยิน คุณจางจะมีอาการอาเจียน เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะคุณจางมีระดับความเครียดจากการทำงานสูง บวกกับการที่เธอนอนหลับไม่เพียงพอนั่นเอง    …

  • 22 ภาพหาดูยาก เหตุการณ์จู่โจม Pearl Harbor จุดเปลี่ยนสำคัญ สงครามโลกครั้งที่ 2

    22 ภาพหาดูยาก เหตุการณ์จู่โจม Pearl Harbor จุดเปลี่ยนสำคัญ สงครามโลกครั้งที่ 2

    จากเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ที่กองทัพญี่ปุ่นเข้าจู่โจมเพิร์ลฮาร์เบอร์อย่างฉับพลัน จนทำให้สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมา 77 ปีแล้ว ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่เราจะย้อนไปชมภาพความหลังในวันนั้นกันอีกครั้ง เพื่อรำลึกถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในช่วงสงครามโลกที่ทำให้โลกของเรากลายเป็นโลกที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน   เริ่มกันจากภาพเพิร์ลฮาร์เบอร์ 1 ปีก่อนการจู่โจมของญี่ปุ่น   เครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นระหว่างเตรียมการบุก โดยมีเรือบรรทุกเครื่องบินโซริวอยู่ในฉากหลัง   นายทหารญี่ปุ่นบนเรือบรรทุกเครื่องบินโชคาคุ ในวันที่ 7 ธันวาคม   เครื่องบิน Type 97 ของญี่ปุ่นออกบิน   เพิร์ลฮาร์เบอร์ 1 นาทีก่อนการโจมตี   เครื่องบินญี่ปุ่นใระหว่างการปฏิบัติการ   สมาชิกลูกเรือชาวญี่ปุ่นตะโกน “บันไซ” ก่อนเครื่องบินญี่ปุ่นออก   ภาพเครื่องบิน Type 99 ที่ถูกถ่ายไว้โดยทางสหรัฐฯ   เรือ USS Arizona ลุกเป็นไฟ   เครื่องบิน Type 00 (ซีโร่) ทิ้งควันเป็นทางยาวหลังถูกยิงเข้าโดยปืนต่อต้านอากาศยาน   USS Shaw ระเบิด   กองกำลังทหารในหลุมปืนกล หลังจากการโจมตีจบลง  …

  • ย้อนรอย “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติด หนึ่งในบุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวที่สุด

    ย้อนรอย “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติด หนึ่งในบุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวที่สุด

    ในเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2018 เจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐอเมริกาได้นำชื่อของ “Rafael Caro Quintero” พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ขึ้นบนบัญชี 10 บุคคลที่สหรัฐฯ ต้องการตัวมากที่สุด พวกเขาพร้อมมอบเงินรางวัลนำจับถึง 640 ล้านบาทให้แก่ใครก็ตามที่สามารถให้ข้อมูลนำจับชายผู้นี้ได้ และทำให้ชายคนนี้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีค่าหัวมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ ไป ว่าแต่ชายคนนี้จริงๆ แล้วเป็นใครกัน?   Rafael Caro Quintero เมื่อปี 1985   Rafael Caro Quintero เชื่อกันว่าเกิดในเดือนมีนาคม ตุลาคม หรือไม่ก็พฤศจิกายนปี ค.ศ. 1952 ที่รัฐซีนาโลอา ประเทศเม็กซิโก โดยเป็นลูกชายคนโตจากบรรดาพี่น้อง 12 คน เขาสูญเสียผู้เป็นพ่อไปในตอนที่อายุได้เพียง 14 ปี และต้องช่วยเลี้ยงดูที่บ้านด้วยการทำงานในไร่ถั่ว แต่แทนที่จะทำงานในไร่อย่างสุจริต Rafael กลับเลือกจะจะปลูกกัญชาขายให้กับ Pedro Avilés Pérez พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโกแทน   Pedro Avilés Pérez พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโก…

  • ทราบหรือไม่ ในศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” เคยขายดีในหมู่ชาวคริสต์โปรเตสแตนต์

    ทราบหรือไม่ ในศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” เคยขายดีในหมู่ชาวคริสต์โปรเตสแตนต์

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าประชากรของสหรัฐฯ ส่วนมากนั้นจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และในสมัยก่อนศาสนาคริสต์ ก็ไม่ค่อยจะถูกกับศาสนาอิสลามสักเท่าไหร่ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 18 “คัมภีร์อัลกุรอาน” ของศาสนาอิสลาม กลับเคยเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุด ในหมู่ชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ที่สหรัฐอเมริกาเสียอย่างนั้น     การที่คัมภีร์ของศาสนาหนึ่งกลายเป็น ที่นิยมของอีกศาสนาอาจจะฟังดูเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้าง แต่จากคำบอกเล่าของ Denise A. Spellberg ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส การที่ คัมภีร์อัลกุรอานโด่งดังในสหรัฐอเมริกาที่เข้าใจได้อยู่ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ทำให้คัมภีร์อัลกุรอานโด่งดังขึ้นในสหรัฐฯ แรกเริ่มเดิมทีจะมาจากการที่คนในสมัยนั้นมองว่าคัมภีร์นี้เป็นเหมือนหนังสือกฎหมายของชาวมุสลิม และพยายามใช้มันเรียนรู้เกี่ยวกับจักรวรรดิออตโตมันอย่างในกรณีของ Thomas Jefferson ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของอเมริกา     คัมภีร์อัลกุรอานที่โด่งดังในช่วงนั้น จะเป็นฉบับที่แปลโดยนักกฎหมายชาวอังกฤษชื่อ George Sale ซึ่งเป็นคัมภีร์อัลกุรอานฉบับเดียวที่มีการแปลจากภาษาอาหรับโดยตรง ผิดจากฉบับอื่นๆ ที่แปลมาจากภาษาฝรั่งเศส จากที่ George เขียนไว้ในหน้าแนะนำตัวผู้แปล เหตุผลที่เขาแปลคัมภีร์อัลกุรอานโดยตรงก็เพื่อให้ ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้อ่านจะได้นำความรู้ไปโต้แย้งความน่าเชื่อถือของศาสนาอิสลามได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง     อย่างไรก็ตามการแปลคัมภีร์เหล่านี้กลับไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างที่เขาคิดเท่าไหร่ เพราะหากดูจากยอดขายหนังสือของเขาแล้ว คงมีชาวคริสต์ไม่น้อยเลยที่สนใจศาสนาอิสลามขึ้นมา จากหนังสือที่เขาแปล และต่อมาคัมภีร์ที่เขาแปลก็จะกลายเป็น คัมภีร์ที่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สองคน (ซึ่งเป็นชาวมุสลิม) เลือกใช้ ในพิธีสาบานตน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าศาสนาอิสลามก็เป็นหนึ่งในศาสนาที่ได้รับการยอมรับของสหรัฐอเมริกา     ที่มา history

  • นักวิทย์ไขปริศนา เสียงที่ทำเจ้าหน้าที่ทูตในคิวบาป่วยเมื่อปี 2016 แท้จริงแล้วเป็นเสียงจิ้งหรีด

    นักวิทย์ไขปริศนา เสียงที่ทำเจ้าหน้าที่ทูตในคิวบาป่วยเมื่อปี 2016 แท้จริงแล้วเป็นเสียงจิ้งหรีด

    ในช่วงปลายปี 2016 เจ้าหน้าที่ของสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศคิวบาหลายสิบคนเกิดรู้สึกป่วยด้วยอาการวิงเวียน ปวดหัว ปวดหู และแม้กระทั่งการสูญเสียการได้ยิน หลังจากที่ได้ยินเสียงประหลาดที่บ้านหรือโรงแรมซึ่งพวกเขาพักอยู่     ในเวลานั้นไม่มีใครบอกได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของ “เสียงประหลาด” ที่เหล่าเจ้าหน้าที่ได้ยินนั้น แท้จริงแล้วมาจากไหน จนทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งถูกนำมาเผยแพร่ที่การประชุมสังคมบูรณาการและชีววิทยาเปรียบเทียบที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา และบอกว่าที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตมีอาการเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะเสียงของ “จิ้งหรีด” นี่เป็นผลการวิจัยที่เกิดจากการวัดคลื่นเสียงที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตรายหนึ่งได้มีการบันทึกไว้ในคิวบา และพบว่าเสียงที่อัดไว้ มีความใกล้เคียงกับจิ้งหรีดสายพันธุ์ “Anurogryllus muticus” หรือจิ้งหรีดหางสั้นมาก     ในตอนที่มีการค้นพบครั้งแรก เสียงที่พบนั้นจะไม่ได้เหมือนกับที่บันทึกไว้เท่าไหร่นัก เนื่องจากเสียงที่ได้รับการบันทึกมานั้นมีจังหวะที่ประหลาดและไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก แต่หลังจากที่การทดลองดำเนินไป นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเสียงที่บันทึกไว้เป็นเสียงมีการสะท้อนผ่านกำแพง พื้น หรือเพดานของที่อยู่อาศัยจนมีความผิดเพี้ยนไปจากเสียงต้นฉบับ     นั่นหมายความว่าแม้ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพราะอะไรเสียงสะท้อนของจิ้งหรีดจึงทำให้เจ้าหน้าที่ของสถานทูตมีอาการป่วยได้ แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็มั่นใจว่าอาการของเจ้าหน้าที่สถานทูตไม่ได้เกิดขึ้นจาก “อาวุธคลื่นเสียง” อย่างที่ทฤษฎีสมคบคิดกล่าวไว้แน่นอน   ที่มา livescience

  • เปิดตำนาน “การฝังม้าแบบไวกิ้ง” เมื่อตัวผู้ถูกฝังพร้อมคนตาย ตัวเมียกลับถูกทำอาหาร!?

    เปิดตำนาน “การฝังม้าแบบไวกิ้ง” เมื่อตัวผู้ถูกฝังพร้อมคนตาย ตัวเมียกลับถูกทำอาหาร!?

    ตลอดสิบปีที่ผ่านมา มีนักโบราณคดีหลากหลายชนชาติได้ทำการศึกษาสุสานของชาวไวกิ้งกว่า 335 แห่งในประเทศไอซ์แลนด์ จนทำให้มีการค้นพบความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับชาวไวกิ้งเป็นจำนวนมาก     พวกเขาพบว่าในบรรดาสุสานเหล่านี้ เกือบๆ ครึ่งหนึ่งจะมีการฝังกระดูกม้าที่มีอายุกว่า 1,000 ปีเอาไว้ด้วย และแม้ว่ากระดูกบางส่วนจะเก่าแก่เกินกว่าที่จะสามารถทำการตรวจสอบได้ แต่จากการตรวจสอบกระดูกม้า 19 ตัว พวกเขาก็พบว่าม้าที่พบนั้นมีถึง 18 ตัวที่เป็นตัวผู้ เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการตรวจสอบ DNA ของกระดูกท้าที่เคยมีการค้นพบมา นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพบอีกว่าม้าที่ถูกฝังไว้ในสุสาน ทั้งหมดล้วนแต่เสียชีวิตในขณะที่มีสุขภาพดี การค้นพบในครั้งนี้เป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดีมาก เพราะการที่ม้าถูกนำไปฝังทั้งๆ ที่สุขภาพดี เป็นหลักฐานอย่างดีว่าสาเหตุการเสียชีวิตของม้าเหล่านี้ ล้วนเกิดจากการถูกฆ่าโดยชาวไวกิ้งเอง   ม้าของไอซ์แลนด์ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าเป็นลูกหลานของม้าไวกิ้ง   นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าเมื่อชาวไวกิ้ง (ที่มีฐานะสูง) เสียชีวิต ญาติๆ จะทำการฝังม้าตัวโปรดของพวกเขาไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง การที่ปริมาณม้าตัวผู้ที่ถูกฝังมีมากกว่าม้าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัดก็ช่วยบ่งบอกค่านิยมของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าที่ม้าตัวผู้เป็นที่นิยมกว่าม้าตัวเมีย (ในการนำไปฝัง) จะมาจากแนวคิดที่ว่าม้าตัวผู้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรง กล้าหาญ เหมาะสมกับการใช้บรรยายผู้ซึ่งถูกฝังในสุสาน (ที่มักจะเป็นผู้ชาย) กลับกันกระดูกของมาที่เป็นเพศเมีย มักจะมีการถูกค้นพบในสถานที่อื่นๆ นอกจากตัวสุสานเอง และมีสภาพถูกสังหารด้วยการทุบที่หัวหรือตัดคอ ซึ่งแตกต่างจากม้าในสุสานที่ถูกสังหารในรูปแบบที่เห็นกันบ่อยๆ ใน “พิธีกรรม”…

  • กาแล็กซีทางช้างเผือกจะชนกับกาแล็กซีบริวาร และอาจทำให้หลุมดำกลายเป็น “ควาซาร์”

    กาแล็กซีทางช้างเผือกจะชนกับกาแล็กซีบริวาร และอาจทำให้หลุมดำกลายเป็น “ควาซาร์”

    หากเป็นคนที่ได้มีโอกาสติดตามข่าววงการดาราศาสตร์ เพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าในราวๆ 4,000 ล้านปีข้างหน้า กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราจะชนเข้ากับกาแล็กซีอันโดรเมดา และอาจนำไปสู่จุดจบของกาแล็กซีอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก็เป็นได้     แต่แล้วเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดอแรมในอังกฤษ ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าก่อนที่กาแล็กซีที่กล่าวไว้ข้างต้นจะชนกัน กาแล็กซีทางช้างเผือกของเราจะต้องชนกับกาแล็กซีบริวาร (Satellite Galaxy) ที่ชื่อว่า “เมฆแมเจลแลนใหญ่” ก่อน   ภาพการรวมตัวของกาแล็กซี M51a และ M51b ที่มีมวลใกล้เคียงกับกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีบริวารเมฆแมเจลแลนใหญ่   จริงอยู่ว่ากาแล็กซีบริวารเมฆแมเจลแลนใหญ่จะมีมวลเพียงแค่ 1 ใน 20 ของกาแล็กซีทางช้างเผือก แต่หากการชนกันเกิดขึ้นจริง ปริมาณมวลนี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้หลุมดำที่บริเวณใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย นั่นเพราะการชนกันจะทำให้หลุมดำดูดดวงดาวเข้าไปเป็นจำนวนมากจนมีขนาดใหญ่ขึ้นราวๆ 8 เท่า และอาจถึงขึ้นที่กลายเป็น “ควาซาร์” หนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดในจักรวาลเลยก็ได้     เท่านั้นยังไม่พอเพราะการชนในครั้งนี้ยังจะทำให้ตำแหน่งของดาวต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกด้วย เพราะดาวจากเมฆแมเจลแลนใหญ่บางส่วน จะถูกร่วมเข้ากับกาแล็กซีทางช้างเผือกต่อไป นับว่าโชคดีมาที่กว่าจะเกิดการชนกันดังกล่าวขึ้นจริงๆ มันก็ในอีกราวๆ 2,000 ล้านปีข้างหน้า และต่อให้เรามีลูกหลานรอดชีวิตไปถึงสมัยนั้นจริงๆ…

  • ชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่ยังคงมีการก่อสร้าง ในช่วงปี 1979-1980

    ชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่ยังคงมีการก่อสร้าง ในช่วงปี 1979-1980

    โรงไฟฟ้าพลังงานที่นิวเคลียร์เชอร์โนบิล นับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก เพราะที่แห่งนี้เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติเกี่ยวกับกัมมันตรังสีที่ร้ายแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่เคยสังเกตหรือไม่ว่าภาพที่เราเห็นกันบ่อยๆ ของสถานที่แห่งนี้ กลับเป็นภาพตอนที่เหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น และไม่ค่อยมีภาพในยุคสมัยที่โรงไฟฟ้าเพิ่งจะสร้างเสร็จเสียเท่าไหร่เลย ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 18 ภาพโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลในสมัยที่กำลังก่อสร้าง ไปดูกันว่าในสมัยนั้นโรงงานไฟฟ้านี้มีสภาพประมาณไหนกัน   นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายเก็บไว้โดยทีมงานก่อสร้างในช่วงปี 1979-1980   อย่างไรก็ตามแผ่นพิมพ์ที่มีภาพถ่ายอยู่กลับถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน   และกว่าที่จะมีการเอามาเผยแพร่จริงๆ ก็ในปี 2017   ขนาดของท่อระบายอากาศเทียบกับคน   ชายสองคนบนทางเดินเหนือโรงไฟฟ้า   จะสังเกตได้ว่าพวกเขาแทบไม่มีเครื่องป้องกันเลย   การเชื่อมเหล็กในระหว่างการสร้าง   คนงานที่เกาะเสาสูบบุหรี่โดยที่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ เลย   ภาพโดยรวมของส่วนผลิตไฟฟ้าที่ 3   การประกอบชิ้นส่วนโรงไฟฟ้าที่ละส่วน   อุปกรณ์แบบแขวนที่ใช้ในการทำงานในบางพื้นที่   การทำงานเชื่อมบนเสาสูง   การทำงานเชื่อมบนที่สูงแบบใกล้ๆ   การไต่บันไดขึ้นไปทำงานในที่สูง   รูปถ่ายหมู่ที่มีส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าเป็นฉากหลัง   เหล่าคนงานในระหว่างการทานอาหาร   อาหารของพวกเขามักจะประกอบตัวเป็นเบเกอรี่ ซุป และนม…

  • ย้อนรอย “Joe Metheny” ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง ผู้เอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหารให้ลูกค้ากิน

    ย้อนรอย “Joe Metheny” ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง ผู้เอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหารให้ลูกค้ากิน

    “คุณรู้รึเปล่าว่าเนื้อมนุษย์มีรสชาติคล้ายๆ กับเนื้อหมู ถ้าคุณผสมมันเข้าด้วยกันจะไม่มีใครรู้ถึงความแตกต่างเลย” นี่เป็นคำพูดของ Joe Metheny ฆาตกรต่อเนื่องร่างอ้วน ในตอนที่เขาสารภาพความผิดกับตำรวจ     เรื่องราวของ Joe Metheny ถูกเปิดเผยกับโลกครั้งแรกในธันวาคมปี ค.ศ. 1996 เมื่อหญิงสาวชื่อ Rita Kemper เข้าแจ้งความกับตำรวจว่าเธอถูกชายร่างท้วมคนหนึ่งจับไปยังในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา สภาพของเธอในตอนนั้นดูบอบช้ำเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางตำรวจจึงตัดสินใจส่งกองกำลังเข้าจับกุมชายคนดังกล่าว โดยเตรียมใจไว้เป็นอย่างดีว่าผู้ต้องหาจะต้องขัดขืนเป็นอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทางตำรวจไม่เคยคิดเอาไว้เลย คือ Joe Metheny นั้นกลับไม่ใช่เพียงโจรลักพาตัวธรรมดาๆ     เพราะหลังจากที่การจับกุมตัวของ Joe Metheny แล้ว ทางตำรวจก็ได้ทราบจากการสอบปากคำและคำสารภาพของชายร่างท้วมว่า Rita Kemper นั้นไม่ใช่เหยื่อคนแรกของเขา และจริงๆ แล้วเขาเคยฆ่าคนมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ราย จากคำให้การของ Joe ในปี 1994 ภรรยาที่ติดยาของเขาพาลูกชายเพียงคนเดียวหนีจากเขาไป ซึ่งทำให้เขาในเวลานั้นโมโหมาก และออกตามหาภรรยากับลูกชาย โดยฆ่าหญิงขายบริการ คนไร้บ้าน และนักตกปลาที่เขาพบระหว่างทางไปด้วย ผลของการกระทำให้ครั้งนี้ทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง แต่สุดท้ายก็รอดจากการรับโทษเต็มๆ มาได้ เพราะตำรวจหาศพไม่พบ (เนื่องจากเขาเอาศพโยนทิ้งลงน้ำไป)  …

  • 3 งานวิจัยใหม่เผย AI สามารถถอดรหัสสิ่งที่มนุษย์กำลังจะพูดจากคลื่นสมองได้แล้ว

    3 งานวิจัยใหม่เผย AI สามารถถอดรหัสสิ่งที่มนุษย์กำลังจะพูดจากคลื่นสมองได้แล้ว

    เมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมาที่เว็บไซต์ “bioRxiv” คลังเก็บงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เกี่ยวกับชีววิทยา ได้มีผลงานวิจัย 3 ชิ้นถูกนำมาเผยแพร่โดยนักวิทยาศาสตร์สามกลุ่ม โดยงานวิจัยทั้งสามนี้ แม้จะมีการทดลองที่ต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็มีจุดร่วมที่น่าสนใจอยู่หนึ่งจุด นั่นคือการที่พวกเขาใช้ระบบ AI ในการอ่านระบบเซลล์ประสาท และถอดรหัสคำพูดของมนุษย์ออกมาได้จากคลื่นความคิด     จุดร่วมของงานวิจัยทั้งสามถูกรายงานเป็นครั้งแรกโดย Kelly Servick ผู้เป็นนักเขียนของนิตยสารออนไลน์ Science และมีเนื้อความโดยสรุปดังนี้ งานวิจัยชิ้นแรกที่มีการกล่าวถึง ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2018 โดยเกี่ยวข้องกับความพยายามในการทดลองช่วยเหลือผู้ป่วยโรคลมชักที่กำลังอยู่ในระหว่างการผ่าตัดสมอง     โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ผู้ป่วยจำนวน 11 คนฟังเสียงการอ่านคำศัพท์ต่างๆ และใช้ระบบ “deep learning” ของคอมพิวเตอร์ในการอ่านการประมวลผลของสมองคนไข้ก่อนจะแสดงออกมาในรูปแบบเสียงสังเคราะห์ ผลการทดลองนั้นพบว่า AI สามารถตีความคำศัพท์ได้ถูกต้องราวๆ 75% (อ่านงานวิจัยได้ ที่นี่) งานวิจัยชิ้นที่สองถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2018 เป็นการทดลองกับผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง โดยการให้พวกเขาอ่านคำศัพท์หนึ่งพยางค์ และทำการบันทึกคลื่นประสาทในตอนที่อ่านมาให้ AI วิเคราะห์ ผลการทดลองของงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า AI สามารถสร้างคำคำศัพท์จากคลื่นประสาทได้ถูกต้องอย่างน่าพึงพอใจ (อ่านงานวิจัยได้…

  • ย้อนรอย “ออดี ลีออน เมอร์ฟี” จากฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ สู่นักแสดงมีชื่อแห่งฮอลลีวูด

    ย้อนรอย “ออดี ลีออน เมอร์ฟี” จากฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ สู่นักแสดงมีชื่อแห่งฮอลลีวูด

    เคยได้ยินชื่อของ ออดี ลีออน เมอร์ฟี (Audie Leon Murphy) กันมาก่อนไหม? เขาคือฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ เจ้าของเหรียญเกียรติยศมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง และเขาก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของฮอลลีวูดอีกด้วย     ออดี ลีออน เมอร์ฟี เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่เท็กซัสเมื่อปีค.ศ. 1924 และต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟีจึงสมัครเป็นทหารเพื่อหาเงิน ด้วยความที่ตัวเล็ก ทำให้เขาไม่ได้รับการยอมรับจากกองทัพเท่าไหร่ แต่ด้วยผลงานในกองทัพที่ดีมาก ทำให้เมอร์ฟีได้รับการเลื่อนยศอย่างรวดเร็ว เขาได้ไปรบที่แอฟริกาเหนือในปี 1943 และมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้มากมายในอิตาลี และฝรั่งเศส     อย่างไรก็ตามผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมอร์ฟีมาจากการรบที่ Colmar Pocket ในฝรั่งเศส เมื่อช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1945 มากกว่า นั่นเพราะในเวลานั้นเมอร์ฟีที่อายุได้เพียง 19 ปี ได้บุกยิงถล่มกองทัพเยอรมันที่มีจำนวนมากกว่ามาก ด้วยปืนกลเพียงลำพังในขณะที่เพื่อนๆ ทหารถอยทัพเพื่อไปตั้งหลัก     ว่ากันว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้น เมอร์ฟีสังหารทหารนาซีไปถึง 40 นาย และแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาก็ไม่ยอมถอยจนในที่สุดทหารที่เหลือก็ได้โอกาสโจมตีโต้กลับจนทำให้สหรัฐฯ สามารถเขายึดพื้นที่ได้สำเร็จในที่สุด หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟี ออกจากกองทัพไป…

  • “The HU” วงดนตรีเชื้อสายมองโกเลีย ที่ผสมบทเพลงเก่าแก่เข้ากับดนตรีร็อกสมัยใหม่

    “The HU” วงดนตรีเชื้อสายมองโกเลีย ที่ผสมบทเพลงเก่าแก่เข้ากับดนตรีร็อกสมัยใหม่

    ในช่วงยุคที่หลายๆ ประเทศเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมจากตะวันตก เครื่องดนตรีโบราณประจำชาติ หรือบทเพลงเก่าแก่ที่ร้องกันมาตั้งแต่โบราณก็มักจะมีบทบาทน้อยลงไปเพื่อเปิดทางให้กับแนวดนตรีที่มีความเป็นสากลมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นบนโลกใบนี้ก็ยังมีคนจำนวนมากที่พยายามอนุรักษ์ดนตรีประจำชาติเอาไว้ และในหมู่คนเหล่านั้นเองก็มีไม่น้อยที่นำเครื่องดนตรีและวิธีการร้องเพลงเก่าๆ มาประยุกต์ให้เขากับยุคสมัยจนเกิดเป็นดนตรีในรูปแบบใหม่     วงดนตรีเชื้อสายมองโกเลียอย่าง “The HU” เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาได้ทำการผสมผสานดนตรีร็อกสมัยใหม่เข้ากับการร้องเพลงแบบเปล่งเสียงจากลำคอ (ที่เรียกว่า “Throat singing”) และกำลังเป็นที่สนใจของโลกออนไลน์อยู่ในปัจจุบัน แต่การร้องเพลงแบบเปล่งเสียงจากลำคอไม่ใช่จุดเด่นเพียงแค่เรื่องเดียวของวงดนตรีวงนี้ เพราะพวกเขายังมีการใช้เครื่องดนตรีดั้งเดิมของชาวมองโกเลียอย่าง “Morin Khuur” ซึ่งมีลักษณะเป็นซอหัวม้า “Tumur Khuur” ที่คล้ายกับพิณของชาวยิว และกีตาร์มองโกเลียอย่าง “Tovshuur” อีกด้วย     วง The HU เรียกแนวดนตรีของตัวเองว่า “Hunnu Rock” ซึ่งมาจากคำว่า “มนุษย์” ในภาษามองโกเลีย และแม้พวกเขาจะมีเพลงในยูทูบเพียงแค่สองเพลง แต่ทั้งสองเพลงก็เรียกได้ว่ามีผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก   Wolf Totem หนึ่งในสองบทเพลงจากวง The HU    นั่นเพราะสำหรับวงดนตรีกึ่งร็อกกึ่งโบราณของประเทศมองโกเลียที่มีประชากรเพียง 4 ล้านคน การที่บทเพลงทั้งสองเพลงของพวกเขามีผู้เข้าชมรวมแล้วถึง 8 ล้านครั้งก็นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง  …

  • นักวิทย์งง หลังพบตัวอ่อนฉลาม ว่ายไปกินไข่ที่ยังไม่ผสมในมดลูกอีกข้างของมารดาได้

    นักวิทย์งง หลังพบตัวอ่อนฉลาม ว่ายไปกินไข่ที่ยังไม่ผสมในมดลูกอีกข้างของมารดาได้

    ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่าฉลามเป็นสัตว์ที่มีระบบการขยายพันธุ์ที่แปลก เนื่องจากฉลามบางชนิดออกลูกเป็นไข่ ในขณะที่บางชนิดออกลูกเป็นตัว แถมฉลามหลายๆ สายพันธุ์ยังมีมดลูกถึงสองอันอีกด้วย นั่นทำให้บางครั้งเมื่อต้องดูแลครรภ์ให้กับฉลาม เจ้าหน้าที่ก็อาจจะพบกับเรื่องแปลกๆ ที่ไม่น่าเชื่อ และไม่มีทางเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้เลยเหมือนกัน     อย่างในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ใต้น้ำรุ่นใหม่ล่าสุดในการสำรวจครรภ์ฉลามพยาบาลสีน้ำตาล (Tawny nurse shark) พวกเขาก็พบว่า ตัวอ่อนฉลามในครรภ์มีการว่ายน้ำจากมดลูกข้างหนึ่งของมารดา ไปยังมดลูกอีกข้างหนึ่งอย่างน่าประหลาด     พฤติกรรมที่สุดแสนจะประหลาดของตัวอ่อนฉลามนี้ แม้ว่าจะยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ตาม แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการที่ลูกฉลามพยายามไปกินไข่ของพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการผสมกับน้ำเชื้อที่มดลูกอีกข้างหนึ่ง เป็นไปได้ว่าเพราะฉลามสายพันธุ์นี้มีมดลูกสองข้าง พวกมันจึงสามารถปฏิสนธิอีกครั้งได้ แม้จะมีลูกในครรภ์อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มารดามีลูกมากกว่าหนึ่งตัว และเพิ่มโอกาสรอดของตัวเองให้มากขึ้น ลูกฉลามจึงพยายามลดโอกาสการปฏิสนธิอีกครั้งด้วยการลดจำนวนไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมในมดลูกลง     เอาเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการรายงานว่าลูกฉลามว่ายน้ำข้ามไปยังมดลูกอีกข้าง เพราะในปี 1993 เองก็เคยมีบันทึกของช่อง Discovery ที่บอกว่าพบลูกฉลามว่ายน้ำข้ามไปยังมดลูกอีกข้างมาแล้ว เพียงแต่ว่าในเวลานั้นการค้นพบนี้ทำโดยการเจาะรูส่องกล้องทำให้ หลักฐานที่ว่าไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรเนื่องจาก “ไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างการสังเกตการณ์ตามธรรมชาติ” และมีความเป็นไปได้ที่ลูกฉลามจะเพียงแค่ว่ายหนีกล้องเท่านั้น อย่างไรก็ตามการว่ายน้ำข้ามมดลูกนั้นไม่ใช่ความแปลกเพียงอย่างเดียวของฉลามชนิดนี้ เพราะจากข้อมูลที่เคยมีการบันทึกไว้ ดูเหมือนว่าตัวอ่อนของฉลามยังสามารถโผล่หัวออกไปดูโลกภายนอกได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลอดออกจากครรภ์มารดาด้วย     ที่มา livescience

  • ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนในช่วงปี 1900-1980 การฮันนีมูนแต่ละยุคมันต่างกันขนาดไหนนะ

    ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนในช่วงปี 1900-1980 การฮันนีมูนแต่ละยุคมันต่างกันขนาดไหนนะ

    หลังจากที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว โดยมากพวกเขาก็จะเดินทางไปฮันนีมูนกันต่อในสถานที่ที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมและโรแมนติก เพียงแต่ในแต่ละยุคสมัยความนิยมของผู้คนก็จะต่างกันตามไปด้วย ดังนั้นการฮันนีมูนในสมัยก่อนจึงอาจจะแตกต่างไปจากในสมัยนี้มากก็เป็นได้ และแน่นอนว่าอารมณ์ของภาพที่ถูกถ่ายเก็บไว้ ก็อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไม่ชม 22 รูปภาพการฮันนีมูนตั้งแต่ในช่วงปี 1900-1980 ไปดูกันดีกว่าว่าการฮันนีมูนในแต่ละยุค มันโรแมนติกต่างกันมากน้อยเพียงไหน   เริ่มกันจากการฮันนีมูนของคู่รัก Hughes ระหว่างอยู่บนเรือไปเกาะคานารี เมื่อปี 1904    George Joseph Clautice กับ Janet Wellmore ในระหว่างการฮันนีมูนที่แอตแลนติกซิตี เมื่อปี 1909   คู่รักข้าวใหม่ปลามันกับการฮันนีมูนที่เวนิส เมื่อปี 1911   คู่รักรุ่นคลาสสิคกับการฮันนีมูนที่หาดในบอร์นมัธ เมื่อปี 1920   คู่รักอีกคู่กับการฮันนีมูนที่อ่าวเม็กซิโกเมื่อราวๆ ยุค 1920   อันนี้การฮันนีมูนที่โอเชียนซิตี้เมื่อในยุค 1920 เช่นกัน   คู่สามีภรรยา McCormick ที่ยอดเขาไพค์ส ในโคโลรา 1922   Gregory และ Edie ในการฮันนีมูนที่นีซ เมื่อปี 1932   การฮันนีมูนของคู่รัก…

  • ชมทุ่งจอมปลวกแห่งบราซิล อายุร่วม 4,000 ปี และมองเห็นได้จากดาวเทียม

    ชมทุ่งจอมปลวกแห่งบราซิล อายุร่วม 4,000 ปี และมองเห็นได้จากดาวเทียม

    ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวอียิปต์สร้างพีระมิด นางพญาปลวกกลุ่มหนึ่งก็ขุดลงไปในดินและสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล และยังคงอยู่แม้ในปัจจุบัน     นี่เป็นทุ่งจอมปลวก ที่มีจอมปลวกอยู่กว่า 200 ล้านกอง ซึ่งรวมปริมาณทรายได้ถึง 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่ามหาพีระมิดแห่งกีซาถึง 4,000 เท่า และมีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมได้เลย ภายในจอมปลวกเหล่านี้มีทางเดินที่นับไม่ถ้วนของปลวกสายพันธุ์เดียวกัน ที่ทำขึ้นมาเพื่อเดินทางไปกินซากไม้ที่อยู่ในป่าคาทิงกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องพบกับอันตรายใกล้เคียงกับตัวตุ่น และมีลักษณะเส้นทางที่ซับซ้อนมาก     นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ปลวกเหล่านี้น่าจะอาศัยฟีโรโมนในการใช้เส้นทางใต้ดินที่พบ ทำให้พวกมันสามารถเดินทางไปยังสถานที่ที่มันต้องการได้อย่างเม่นยำแม้ว่าทางจะซับซ้อนเท่าไหร่ก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการตรวจสอบจอมปลวกจำนวน 11 แห่งในพื้นที่ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าจอมปลวกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วยดินที่มีอายุตั้งแต่ 690 ปีเรื่อยไปยันดินที่เก่าแก่ถึง 3,820 ปีซึ่งใกล้เคียงกับจอมปลวกที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของแอฟริกา นั่นหมายความว่าอาณาจักรของปลวกที่เห็นนี้จะต้องมีอายุมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล และอาจจะมีอายุใกล้เคียงหรือมากกว่าสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอารยะธรรมที่เก่าแก่ของมนุษย์อย่างพีระมิดเลยก็ว่าได้อีก     ความใหญ่โตนี้เองทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางระบบนิเวศถึงกับยกย่องว่า ทุ่งจอมปลวกเหล่านี้ เป็นตัวอย่างระบบระบบนิเวศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นจากแมลงสปีชีส์เดียว และเป็นความงดงามมหัศจรรย์ทางชีววิทยาที่เก่าแก่มากๆ และยังคงถูกใช้อาศัยอยู่ชิ้นหนึ่งของโลกใบนี้เลยทีเดียว   ที่มา livescience, foxnews, sciencedaily

  • ย้อนรอย “ภัยพิบัติแห่งเมืองอะเบอร์ฟาน” ที่ทำให้ราชินีเอลิซาเบธเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

    ย้อนรอย “ภัยพิบัติแห่งเมืองอะเบอร์ฟาน” ที่ทำให้ราชินีเอลิซาเบธเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้

    ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1966 ที่เมืองอะเบอร์ฟาน ประเทศเวลส์ 1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของสหราชอาณาจักร ได้เกิดเหตุภัยพิบัติ สารละลายของเสียจากการขุดถ่านหิน ไหลลงมาจากภูเขาจนทำให้มีเด็กๆ ร่วม 116 รายต้องเสียชีวิต     ภัยพิบัติในครั้งนี้รู้ไปถึงหูของราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แต่น่าแปลกที่ในช่วงเวลาแรกๆ ท่านกลับปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง กว่าที่ราชินีเอลิซาเบธที่ 2 จะไปเยี่ยมผู้ประสบภัยมันก็หลังจากเรื่องราวจบลงจริงๆ ถึง 8 วัน และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่ราชินีเอลิซาเบธที่ 2 เองก็ยังคงบอกว่าท่านเสียใจมากที่ท่านปฏิเสธที่จะมาเยี่ยมผู้ประสบภัยตั้งแต่วันแรกที่รู้ข่าว (อ้างอิงจากที่ท่านกล่าวไว้ในปี 2002) นั่นเพราะไม่เพียงแต่ภัยพิบัติในครั้งนี้ จะเป็นเหตุการณ์สุดสลดที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก (เด็ก 116 รายกับผู้ใหญ่ 28 ราย) แต่มันยังเป็นเหตุการณ์ที่จริงๆ แล้วสามารถหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย     เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเหมืองถ่านหิน “Merthyr Vale Colliery” มาเปิดที่เมืองนี้ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อปี 1920 และด้วยระบบกำจัดของเสียซึ่งเกิดจากการขุดเหมืองที่ไม่ดีในสมัยนั้น คนงานของเหมืองถ่านหินจึงเอาของเสียไปทิ้งไว้ที่บนเขาสูงชันข้างหมู่บ้าน แน่นอนว่าของเสียจากเหมืองเริ่มทับถมกันหลังจากนั้น จนประชากรในหมู่บ้านเริ่มที่จะไม่สบายใจ เนื่องจากพื้นที่ที่มีการทิ้งของเสีย อยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนที่มีเด็กๆ…

  • นักวิทย์ตอบคำถาม ในทางวิทยาศาสตร์เราควร “ถอดรองเท้า” ในบ้านหรือไม่?

    นักวิทย์ตอบคำถาม ในทางวิทยาศาสตร์เราควร “ถอดรองเท้า” ในบ้านหรือไม่?

    สำหรับคนไทยแล้วการถอดรองเท้าในบ้านหรือในอาคารอาจจะเป็นภาพที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงรู้ว่ามีชาวตะวันตกจำนวนมากเช่นกันที่จะไม่ถอดรองเท้าในอาคารหรือบ้าน ถ้าอย่างนั้น ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเราควรถอดรองเท้าในบ้านรึเปล่านะ?     เหตุผลหลักๆ ที่คนเราถอดรองเท้าในบ้านมาจากความคิดที่ว่ารองเท้านั้นสกปรก ซึ่งอาจนำมาซึ่งเชื้อแบคทีเรียไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องพอสมควรเลย เนื่องจากทุกๆ 1 ตารางนิ้วของรองเท้าสามารถมีแบคทีเรียได้เป็นแสนๆ ตัว และไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนก็ตาม รองเท้าของเราก็จะมีแบคทีเรียติดกลับมาได้แทบทั้งนั้น     จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ในรองเท้ากว่า 96% จะมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า “Escherichia coli” หรือเชื้ออีโคไล ซึ่งแม้ว่าหลายๆ ชนิดจะไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ (บางตัวก็ช่วยในการย่อยอาหารด้วยซ้ำ) แต่บางชนิดก็สามารถทำให้เราป่วยได้เหมือนกัน เท่านั้นยังไม่พอเพราะบนรองเท้าบางส่วนยังมีแบคทีเรีย Staphylococcus aureus อยู่ด้วย ซึ่งอาจจะนำไปสู่อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงได้ในบางกรณี   แบคทีเรีย Staphylococcus aureus มีชื่อแปลว่า “องุ่นสีทอง”   ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แนะนำให้เราหวาดกลัวกับการที่ถูกคนเผลอใส่รองเท้าเข้าบ้านมากจนเกินไป เพราะแม้แบคทีเรียที่กล่าวมาอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่โดยปกติแล้ว แบคทีเรียเหล่านี้จะไม่เป็นพิษภัยต่อคนที่ร่างกายแข็งแรง กลับกันแบคทีเรียที่ดีบางตัวยังสามารถช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อีกด้วย ดังนั้นหากจะให้สรุป นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าคนเรา “ควรจะถอดรองเท้า” หากในบ้านมีคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเด็กเล็ก ส่วนบ้านของคนธรรมดาทั่วไป จะถอดรองเท้าหรือไม่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันขนาดนั้น    …

  • ชม 4 การค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2019

    ชม 4 การค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2019

    การค้นหาและตรวจสอบในทางโบราณคดี ในหลายๆ ครั้งมักกินเวลาแรมปี และไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ตามหากการค้นหาเหล่านี้สำเร็จลุล่วง เราก็อาจจะได้ความรู้ใหม่ๆ ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เองในช่วงเวลาต้นปี 2019 เช่นนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 4 เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นหาและตรวจสอบในวงการโบราณคดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้กัน   เริ่มกันที่ช่องว่างปริศนาในมหาพีระมิด เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ผ่านมา นักโบราณคดีได้ ตรวจสอบมหาพีระมิดแห่งกีซาด้วยเทคโนโลยีรังสีมิวออน และได้ค้นพบช่องว่างที่ถูกปิดตายในโครงสร้างของตัวพีระมิดที่มีความกว้างมากกว่า 30 เมตร ในเวลานี้ยังไม่มีใครทราบว่าช่องว่างที่ว่านี้ถูกสร้าง หรือว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ในปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้ดำเนินการตรวจสอบมหาพีระมิดแห่งกีซาด้วยมิวออน และหุ่นสำรวจขนาดเล็กอีกครั้งแล้ว และพวกเขาก็คาดว่าจะได้รับผลผลสำรวจที่น่าสนใจภายในปี 2019 นี้เอง   ถ้ำโบราณสองแห่งที่เมืองคุมราน ที่อาจมีม้วนหนังสือเดดซีอยู่ภายใน ตั้งแต่ปี 1947-2017 ม้วนหนังสือเดดซีจะมีการค้นพบในถ้ำร่วม 12 แห่ง ในประเทศอิสราเอล แต่เมื่อปี 2018 นี้เองนักโบราณคดีก็ได้ค้นพบถ้ำเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง จริงอยู่ว่าหนึ่งในสองถ้ำที่พบจะมีร่องรอยการถูกโจรเข้ามาขโมยในสมัยก่อน แต่ในอีกถ้ำหนึ่งนักโบราณคดีก็พบกับร่องรอยของอุปกรณ์ซึ่งคาดว่าใช้ใส่ม้วนหนังสือเดดซีในอดีตอยู่ ดังนั้นภายในปีนี้ เราอาจจะได้เห็นม้วนหนังสือเดดซีชิ้นใหม่ปรากฏขึ้นมาก็เป็นได้   ศิลาจารึกจากเมืองโบราณไอริซากริกถูกยึดได้ที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2017…

  • “มาร์เซล มาร์โซ” ยอดนักแสดง “ละครใบ้” ชาวฝรั่งเศส ผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 70 ชีวิต

    “มาร์เซล มาร์โซ” ยอดนักแสดง “ละครใบ้” ชาวฝรั่งเศส ผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 70 ชีวิต

    เมื่อพูดถึง “มาร์เซล มาร์โซ” เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงผลงานในด้านการแสดงละครใบ้เป็นสิ่งแรก เพราะเขาคือ นักแสดงชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านนี้มากที่สุดคนหนึ่งของโลกเลย     ว่าแต่รู้กันหรือไม่ว่านักแสดงมากฝีมือคนนี้ ยังเคยมีผลงานช่วยเหลือเด็กๆ ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย ในสมัยที่ฝรั่งเศสถูกปกครองโดยนาซีเยอรมัน มาร์เซล มาร์โซ ได้เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านภายใต้คำชวนของ จอร์จ ลอริงเกอร์ (Georges Loinger) ทหารชาวฝรั่งเศสผู้เป็นญาติกับเขา (และมีผลงานช่วยเหลือชาวยิวราวๆ 350 คน)     หน้าที่ของพวกเขาคือการพาเด็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไปส่งที่ชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ แต่การเดินทางกับเด็กๆ จำนวนมากมันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเหล่าทหารกลุ่มต่อต้าน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นโชคดีมากๆ ที่กลุ่มต่อต้านพาตัวมาร์เซลมาด้วย นั่นเพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้เหมือนคนอื่นๆ แถมยังไม่ได้มีผลงานช่วยเหลือชาวยิวเป็นจำนวนมากๆ เหมือนญาติของเขา แต่มาร์เซลเองก็มีสิ่งที่กลุ่มต่อต้านคนอื่นๆ ไม่มีอย่าง “ละครใบ้”     จากคำบอกเล่าของจอร์จผู้เป็นญาติ มาร์เซลแสดงละครใบ้ให้เด็กๆ ดูเพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจตั้งแต่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เรื่อยไปจนถึงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ เขาทำให้แทนที่เด็กๆ จะรู้สึกว่ากำลังหนี พวกเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังไปเที่ยวเล่นแทน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เด็กๆ จะรักมาร์เซลมากๆ และรู้สึกปลอดภัยเวลาที่อยู่กับเขา ละครใบ้ของมาร์เซลไม่เพียงแต่ทำให้เด็กๆ สบายใจในการเดินทางเท่านั้น แต่มาร์เซลยังถูกประยุกต์ใช้มันในการทำให้เด็กๆ เงียบในเวลาที่เขาต้องการ และใช้หลอกทหารฝั่งศัตรูด้วยการปลอมตัวเป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือที่กำลังออกแคมป์ได้อีกด้วย…

  • ชมภาพอุปกรณ์ตรวจจับเสียงในอดีต เครื่องมือเก่าแก่ที่เราเคยใช้ก่อนเรดาร์จะเป็นที่นิยม

    ชมภาพอุปกรณ์ตรวจจับเสียงในอดีต เครื่องมือเก่าแก่ที่เราเคยใช้ก่อนเรดาร์จะเป็นที่นิยม

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าเรดาร์เป็นเทคโนโลยีตรวจจับที่สำคัญต่อโลกขนาดไหน แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าที่มนุษย์เราจะเริ่มมีการใช้เรดาร์ในทางทหารในปี 1941 คนเราเคยใช้เครื่องมือแบบไหนในการตรวจจับของแบบเครื่องบิน คำตอบของคำถามนี้คือ “Acoustic location” หรือเครื่องตรวจตำแหน่งเสียง เครื่องมือที่อาศัยเครื่องของเครื่องยนต์จากเครื่องบินในการบอกตำแหน่งของยานบินในบริเวณ แต่ส่วนมากแล้วเครื่องมือเหล่านี้ มักจะเป็นเพียงเครื่องเสริมความสามารถในการได้ยินของมนุษย์เท่านั้น จำเป็นที่จะต้องมีมนุษย์คอยเป็นผู้ฟังเสียงอีกทีหนึ่ง แถมมักจะมีรูปร่างที่แปลกมากเลยด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพของเครื่องตรวจตำแหน่งเสียงในอดีตทั้ง 14 เครื่องต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากเครื่องจับเสียงรูปร่างแตรคู่ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1921 (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าปี 1925)   เครื่องจับเสียงของเยอรมนีในปี 1917 ที่ใส่แล้วจะคล้ายๆ มิกกี้เม้าส์หน่อยๆ   “Personal Parabola” อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของชาวฮอลันดาในช่วงยุค 1930 มีรูปร่างคล้ายจานผ่าครึ่ง   อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของชาวฮอลันดาในยุค 1930 อีกชิ้นหนึ่ง มีประสิทธิภาพมากกว่าชิ้นด้านบน แต่ในขณะเดียวกันขนาดและน้ำหนักก็มากตามๆ กันไปด้วย   อุปกรณ์ตรวจจับเสียงของสาธารณรัฐเช็กในยุค 1920 มีจุดเด่น ที่ท่อยาวไปสู่จาน   การทดสอบเครื่อง “Perrin acoustic locator” ของฝรั่งเศสในยุค 1930 เครื่องนี้มีจุดเด่นที่แผง 4 แผงที่เห็น…

  • ชมเครื่องประดับของ “มารี อ็องตัวแน็ต” ที่ถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี

    ชมเครื่องประดับของ “มารี อ็องตัวแน็ต” ที่ถูกนำออกแสดงเป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปี

    ในช่วงที่การปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น (แถวๆ ปี 1789) ในคืนก่อนที่ “มารี อ็องตัวแน็ต” จะถูกจับ เธอได้เอาเครื่องประดับจำนวนหนึ่งของตัวเองห่อเก็บเอาไว้ในกล่องไม้ และส่งไปยังเวียนนา ประเทศออสเตรีย ด้วยความพยายามนี่เองทำให้เครื่องเพชรแสนรักของเธอส่วนหนึ่งสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของฝั่งปฏิวัติ และกลับไปสู่มือของลูกหลานยาวนานกว่า 200 ปี แม้ว่าตัวเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว     และเมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมานี้เอง ในที่สุดเครื่องเพชรของมารี อ็องตัวแน็ตในวันนั้นก็ได้รับอนุญาตให้นำออกสู่สายตาประชาชนจนได้ ภายในงานแสดงเครื่องประดับแห่งราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มาในโรงประมูล “Sotheby” ในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าหากคุณมีเงินมากพอ เครื่องประดับเหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตให้ออกประมูลอย่างเป็นทางการเลยนั่นเอง ว่าแต่เครื่องประดับที่ว่ามันจะงดงามขนาดไหนนั้น วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะนำเพื่อนๆ ไปชมกันที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากสร้อยคอเพชร พร้อมเพชรอีกห้าเม็ดของมารี อ็องตัวแน็ต   ตุ้มหู (หรือไม่ก็ส่วนหนึ่งของสร้อยคอ) ที่ทำจากไข่มุกธรรมชาติ และเพชร   แหวนประดับผม 2 วงที่ทำจากเพชรในสไตล์ศตวรรษที่ 18 กับเครื่องประดับผมอีกชิ้นหนึ่ง   สร้อยคอที่ทำจากไข่มุก 331 เม็ด และประดับไว้ด้วยเครื่องประดับเพชรอีกที   ตุ้มหูไข่มุกแท้ประดับเพชร   ริบบิ้นเพชรที่มีมูลค่าราวๆ 1.6-2.5…

  • ชม 23 ภาพสุดแปลกของแฟชั่นหนุ่มๆ ยุค 70 ที่ในสมัยก่อนอาจจะถูกมองว่าเท่มากๆ ก็ได้

    ชม 23 ภาพสุดแปลกของแฟชั่นหนุ่มๆ ยุค 70 ที่ในสมัยก่อนอาจจะถูกมองว่าเท่มากๆ ก็ได้

    ยุค 70 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างแปลกสำหรับวงการแฟชั่นเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ หากไปเดินบนถนนในช่วงปีนี้ก็คงจะได้เห็นคนแต่งตัวแบบแปลกๆ กันไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะสำหรับเหล่าหนุ่มๆ แล้วด้วย อาจจะเพราะได้รับอิทธิพลมาจากเอลวิสก็เป็นได้ ในสมัยนั้นหลายๆ คนจึงชอบแต่งตัวให้เด่นที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเป็นได้ ว่าแต่มันจะเป็นแบบไหนอย่างนั้นเหรอ? ก็ประมาณภาพทั้ง 23 ภาพต่อไปนี้ไง   เริ่มกันจากใส่เสื้อยาวๆ (และไม่ใส่กางเกง) แบบนี้   กางเกงก็จะขาบานๆ นิดนึง   บางทีก็จะมีโชว์อก   ถ้ามีขนหน้าอกด้วยจะยิ่งเท่….?   บางคนก็ใส่กางเกงสูงๆ   แต่ต้องเอาชายเสื้อใส่ในกางเกงนะ   เสื้ออย่างหรูกางเกงลายโต๊เต๊   รู้สึกอยากพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับซิป…   แบบผสมผสานกับแฟชั่นโบราณ (ความแปลก +10)   ด้านซ้ายสีหนึ่ง ด้านขวาอีกสีหนึ่ง   ดูเผินๆ นึกว่าใส่กางเกงกลับข้าง   ขาบานๆ ไม่พอต้องมีจีบด้วย   ใส่ขาสั้นแล้วจะรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง   อือหือ ตาแทบระเบิด   กางเกงจำเป็นต้องเว้าข้างด้วยเหรอ  …

  • เปิดเรื่องราวของถ้ำ “Davelis” ถ้ำลึกลับแห่งกรีก ที่รวบรวมเรื่องประหลาดเอาไว้กว่า 1,000 ปี

    เปิดเรื่องราวของถ้ำ “Davelis” ถ้ำลึกลับแห่งกรีก ที่รวบรวมเรื่องประหลาดเอาไว้กว่า 1,000 ปี

    เคยได้ยินเรื่องราวของถ้ำ Davelis (บางทีก็เรียกว่าถ้ำ Penteli) กันมาก่อนไหม? นี่เป็นถ้ำที่อยู่บนภูเขา Penteli ใกล้ๆ เมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน     หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อภูเขานี้ในฐานะทางผ่านการวิ่งมาราธอน หรือไม่ก็สถานที่ที่มีเหมืองเก่าแก่ซึ่งใช้ขุดหินอ่อนที่นำมาทำวิหารพาร์เธนอน แต่นอกจากเรื่องเหล่านั้นแล้ว ที่แห่งนี้ ยังมีเรื่องราวแปลกๆ ซ่อนอยู่อีกมากเลย นั่นเพราะถ้ำ Davelis ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของเทพแพน ผู้เป็นเจ้าแห่งป่าเขา กับเหล่านางไม้ จากหลักฐานโบราณวัตถุของชาวกรีกโบราณที่พบในถ้ำ และต่อมาก็ยังกลายเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณและความเชื่อเรื่อยมาอีกด้วย   ที่ปากถ้ำ Davelis มีโบสถ์เก่าแก่รูปร่างประหลาดอยู่ ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 11   ว่ากันว่าใครคนที่เข้าไปในถ้ำนี้จะได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากส่วนลึกของถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเสียงคน หรือแม้กระทั่งเสียงเครื่องดนตรีที่ไม่สามารถหาที่ไปที่มาได้ แถมตั้งแต่ที่มีการค้นพบในต้นศตวรรษที่ 19 ทางรัฐก็ได้รับการรายงานว่ามีผู้พบเห็นสิ่งแปลกๆ ทั้ง เงาประหลาด ยูเอฟโอ หรือแม้กระทั่งวิญญาณคนตาย     ชื่อเสียงของถ้ำนี้โด่งดังมากในปี 1977 เมื่อกลุ่มคนจำนวนมากที่อ้างตัวว่ามาจาก “องค์กรลับ” เข้ามายึดที่แห่งนี้พร้อมๆ กับล้อมลวดหนาม แถมยังมีการ “ดำเนินงาน” กับตัวถ้ำด้วยการใช้งานเครื่องมืออย่างระเบิด และรถตักดิน การกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดข่าวลือว่าหน่วยงานอย่าง NATO หรือรัฐบาลสหรัฐฯ…

  • รูปสลักอายุ 1,700 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ โดยหญิงสาวที่เดินผ่านสุสานในวันที่ฝนตก

    รูปสลักอายุ 1,700 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ โดยหญิงสาวที่เดินผ่านสุสานในวันที่ฝนตก

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าบางครั้งการค้นพบที่สำคัญๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นโดยมือของนักโบราณคดีเสมอไป เพราะในบางครั้งคนธรรมดาๆ ก็ค้นพบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อจากความบังเอิญล้วนๆ ได้เช่นกัน เรื่องในคราวนี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเดินผ่านสุสานใกล้ๆ เมืองโบราณชื่อ Beit She’an ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิสราเอล ในวันที่ฝนตก     ในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นส่วนบนของก้อนหินประหลาด ที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่ถูกน้ำฝนชะ จึงได้ตัดสินใจแจ้งการค้นพบให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงโบราณวัตถุของอิสราเอล พวกเขาส่งทีมเข้าขุดค้นพื้นที่สุสานที่ Beit She’an หลังจากนั้น และพบว่าก้อนหินที่หญิงสาวผู้ไม่ประสงค์พบนั้น แท้จริงแล้วมีอยู่ถึงสองอัน แถมยังเป็นรูปสลักโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,700 ปีอีกด้วย     นี่เป็นรูปสลักที่แกะขึ้นจากหินปูน ที่มีน้ำหนักมากถึงชิ้นละ 30 กิโลกรัมจากสมัยโรมันโบราณ โดยเป็นรูปของชายหญิงคู่หนึ่ง และคาดกันว่าเป็นรูปสลักที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตตามประเพณีของเมืองโรมันโบราณบางแห่ง รูปสลักในรูปแบบนี้ มักจะถูกเรียกกันว่า “Protomae” ซึ่งตามปกติแล้วที่รูปสลักจะมีชื่อของผู้ตายสลักเอาไว้ด้วย แต่น่าแปลกที่รูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการสลักชื่อไว้แต่อย่างใด     การค้นพบเหล่านี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าชาวเมือง Beit She’an ในสมัยก่อนอาจจะไม่ได้มีเชื่อสายมาจากชาวยิวหรือสุเมเรียนเหมือนกับคนในพื้นที่ใกล้เคียงก็เป็นได้ เพราะการตกแต่งภาพของคนตายไว้ที่หลุมศพเป็นหนึ่งในข้อห้ามของฮีบรูไบเบิล อย่างไรก็ตามรูปสลักที่มีการค้นพบในครั้งนี้นั้น ไม่ใช่รูปสลักแบบ Protomae ชิ้นแรกที่มีการค้นพบในประเทศ เพราะตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 มาที่อิสราเอลก็มีการค้นพบรูปสลัก Protomae มากมายหลายแบบจากผู้สร้างที่ต่างกันมาแล้ว    …

  • ย้อนรอย “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” เรื่องราวสุดแปลก ของหญิงสาวผู้เคยมีเซ็กส์กับโลมา

    ย้อนรอย “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” เรื่องราวสุดแปลก ของหญิงสาวผู้เคยมีเซ็กส์กับโลมา

    ในช่วงยุคปี 60 นักประสาทวิทยาจอห์น ลิลลี่ และนักดาราศาสตร์แฟรงก์ เดรกได้ร่วมมือกันขอทุนทำการวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคนและปลาโลมา พวกเขาได้รับทุนจากนาซา สร้างห้องปฏิบัติการในการทดลอง และว่าจ้าง “มาร์กาเร็ต โฮว์ โลแว็ตต์” หญิงสาววัย 23 ปีมาเป็นคนฝึกสอนโลมา     มาร์กาเร็ตได้รับมอบหมายให้ฝึกฝนโลมาตัวผู้ชื่อ “ปีเตอร์” ในการทำเสียงเลียนแบบมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในการทำงานวิจัย แต่ในเวลานั้นคงไม่มีใครทราบหรอกว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์และระหว่างปีเตอร์และมาร์กาเร็ตจะเปลี่ยนไปเช่นไร ด้วยความที่โลมาเป็นสัตว์ที่มีความต้องการทางเพศค่อนข้างมากอยู่แล้วทำให้บ่อยครั้ง ปีเตอร์ก็พยายามที่จะลูบตัวของมันกับมาร์กาเร็ตอยู่บ่อยๆ จนมาร์กาเร็ตต้องส่งมันกลับไปหาโลมาตัวเมียหลายครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้การฝึกออกมาไม่ดีเท่าที่ควร     จนกระทั่งในที่สุดมาร์กาเร็ตก็เริ่มเบื่อที่จะส่งโลมาไปมา ดังนั้นเธอจึงเริ่มเติมเต็มความต้องการให้กับปีเตอร์ด้วยตัวของเธอเอง ระดับความสัมพันธ์ทางเพศของทั้งสองถูกรายงานแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของตัวมาร์กาเร็ต อย่างน้อยๆ เธอก็มีการ “ช่วยเหลือ” ปีเตอร์ในการสำเร็จความใคร่ในช่วงเวลานี้     น่าเสียดายที่การวิจัยในครั้งนี้ต้องปิดตัวลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากผู้สนับสนุนหลายรายถอนทุนออกไปด้วยเหตุผลทางภาพลักษณ์ (เป็นไปได้ว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าในการวิจัยมีการใช้ยา LSD ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทกับสัตว์) การปิดตัวลงนี้ทำให้ปีเตอร์ต้องแยกจากมาร์กาเร็ตและย้ายไปอยู่ที่ห้องทดลองในไมอามี่ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เกี่ยวข้องในการวิจัย ปีเตอร์มีอาการโศกเศร้ามากจนถึงขนาดที่มันฆ่าตัวตายเลย นั่นเพราะปลาโลมาไม่ได้มีระบบการหายใจแบบอัตโนมัติเช่นคน ดังนั้นหากมันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป สิ่งที่พวกมันต้องทำก็เพียงแค่จมลงสู่ท้องทะเลเท่านั้น     มาร์กาเร็ตเก็บเรื่องราวของเธอและปีเตอร์ไว้กับเจ้าตัวเองเรื่อยมาเกือบ 50 ปี (ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับเธอออกมาเป็นช่วงๆ ก็ตาม) และแม้ว่าอาจจะฟังดูเหมือนเรื่องราวความรักที่เจ็บปวดอยู่บ้าง…

  • นักดาราศาสตร์พบแสงประหลาด จากกาแล็กซีห่างไกล เชื่ออาจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    นักดาราศาสตร์พบแสงประหลาด จากกาแล็กซีห่างไกล เชื่ออาจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2017 นักดาราศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ลงทุนร่วม 3,200 ล้านบาท ในความพยายามที่จะตามหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวซึ่งมีภูมิปัญญา การลงทุนในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาได้พบกับแสงกะพริบอย่างต่อเนื่อง 21 ครั้ง ส่องสว่างออกมาจากกาแล็กซี FRB 121102 ซึ่งห่างจากโลกไปราวๆ 3 พันล้านปีแสง ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง     ในเวลานั้นนักดาราศาสตร์ได้วิเคราะห์แสงที่พวกเขาเห็น และพบว่านี่เป็นแสงที่เกิดจากการลุกจ้าอย่างฉับพลันในช่วงคลื่นวิทยุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Fast Radio Burst (FRB) ซึ่งเป็นลักษณะสัญญาณวิทยุประหลาดที่เป็นปริศนามาเป็นเวลานานแล้ว สาเหตุของ FRB นั้นเชื่อว่าเกิดจากดาวนิวตรอนที่หมุนเร็วมาก (เรียกกันว่าพัลซาร์) หรือไม่ก็โนวาของดาวนิวตรอนที่เกิดการระเบิดขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยันข้อสันนิษฐานนี้   พัลซาร์ในเนบิวลา M1   แถมที่แปลกคือ ตามส่วนมาก FRB จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่การกะพริบถี่ๆ เช่นนี้ ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้ กลายเป็นการค้นพบที่มีผู้คนสนใจกันเป็นจำนวนมาก และว่ากันตามตรงแล้ว ในอดีต FRB 121102 เอง ก็เคยมีการพบ FRB มาก่อนแล้วในปี 2012 เช่นกัน เพียงแต่ในเวลานั้น การกะพริบของแสงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถี่ๆ…

  • พบวิหารเทพ “ซิเป ตอเท็ค” เทพผู้ถูกถลกหนังในเม็กซิโก เชื่อเคยใช้งานเมื่อราวๆ พันปีก่อน

    พบวิหารเทพ “ซิเป ตอเท็ค” เทพผู้ถูกถลกหนังในเม็กซิโก เชื่อเคยใช้งานเมื่อราวๆ พันปีก่อน

    เมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานักโบราณคดีของประเทศเม็กซิโกได้ออกมาประกาศการค้นพบวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แก่เทพ “ซิเป ตอเท็ค” (Xipe Totec) หนึ่งในเทพที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมโบราณก่อนสมัยแอซเท็ก การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่แหล่งโบราณคดี Ndachjian-Tehuacán ในรัฐปวยบลา รัฐทางทิศใต้ตอนกลางของประเทศเม็กซิโก     โดยโบราณสถานที่พบนั้นเป็นส่วนซากของสิ่งก่อสร้างที่คาดว่าเคยมีรูปร่างคล้ายพีระมิด และเชื่อกันว่าถูกใช้งานในช่วง ค.ศ. 1000-1260 โดยชาวพื้นเมืองเผ่า Popoloca ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกปราบไปโดยเผ่าแอซเท็กอีกที ตัววิหารที่พบมีขนาด 12 x 3.5 เมตร มีหินรูปหน้าคนขนาดใหญ่สองก้อนอยู่ภายใน พร้อมๆ กับมือสามข้าง และรูปสลักร่างมนุษย์อีกหนึ่งชิ้น     นักโบราณคดีเชื่อว่าโบราณวัตถุเหล่านี้น่าจะถูกใช้เป็นตัวแทนของเทพซิเป ตอเท็คในอดีต และที่รูปปั้นแลดูน่ากลัวอย่างน่าประหลาดเองก็อาจจะมาจากความพยายามในการสร้างเทพให้ออกมาน่าเกรงขามของช่างฝีมือในสมัยก่อน นั่นเพราะเทพซิเป ตอเท็คนั้นแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งเกษตรกรรมและพืชผลก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเทพแห่งโรคภัย ที่ได้ชื่อว่า “เทพผู้ถูกถลกหนัง” (จากการที่ถลกหนังตัวเองเพื่อให้มนุษย์กิน) และมักจะถูกบรรยายออกมาว่าสวมหนังมนุษย์แทนเสื้อเช่นกัน     ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทพองค์นี้จะได้รับการบูชายัญโดยคนสมัยก่อน และมือ 3 ข้างที่พบ ก็น่าเป็นตัวแทนของหนังมนุษย์ที่ซิเป ตอเท็คสวม และแม้ว่าเผ่า Popoloca จะถูกปราบไปแล้วก็ตาม แต่ความเชื่อของพวกเขากลับถูกส่งต่อไปยังเผ่าแอซเท็กจนทำให้ ซิเป ตอเท็คกลายเป็นเทพองค์สำคัญของแอซเท็กต่อไปในช่วงศตวรรษที่ 15…

  • นักโบราณคดีหัวใส ใช้ภาพจากอดีตดาวเทียมสปาย ตามหาโบราณสถานที่หายไป

    นักโบราณคดีหัวใส ใช้ภาพจากอดีตดาวเทียมสปาย ตามหาโบราณสถานที่หายไป

    จากเอกสารที่ได้รับการนำมาเปิดเผยของทาง CIA ดูเหมือนว่าในช่วงปี 1959-1972 สหรัฐอเมริกาจะมีการใช้ดาวเทียมที่มีโค้ดเนมว่า “Corona” ในการแอบสอดส่องความเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ในโลกด้วย โดยดาวเทียมนี้จะทำการแอบถ่ายภาพสถานที่ต่างๆ ในโลกคล้ายๆ Google Map และตลอดเวลาการทำงานของมันก็มีรูปสถานที่ต่างๆ ของโลกถูกถ่ายเก็บไว้เป็นจำนวนมาก   ตัวอย่างภาพที่ดาวเทียม Corona ถ่ายเอาไว้   จริงอยู่ว่าในสมัยก่อนรูปเหล่านั้นอาจถูกใช้ไปในการสืบความลับของประเทศต่างๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักโบราณคดีก็ได้นำภาพเหล่านี้กลับมาใช้งานอีกครั้งในด้านที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือแทนที่จะให้ภาพในการสืบความลับ นักโบราณคดีกลับนำภาพเหล่านี้มาเพื่อตามหาโบราณสถานที่อาจถูกทำลาย หรือหายไปในช่วงยุคการพัฒนาประเทศแทน นั่นเพราะเดิมทีแล้วการตามหาโบราณสถานสามารถทำได้ด้วยการเปรียบเทียบภาพของพื้นที่ในปัจจุบันเข้ากับภาพในสมัยก่อน ดังนั้นคลังภาพถ่ายโบราณของดาวเทียม Corona จึงกลายเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญที่เก็บภาพพื้นที่ในสมัยก่อนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี   เลนส์จากกล้องของดาวเทียม Corona   นี่เป็นโปรเจกต์ที่มีการนำเสนอไปเมื่อเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2018 ที่งานสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกัน (AGU) และเริ่มมีการทดลองใช้งานกับพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นที่แรก โดยนักโบราณคดีได้ทำการออกแบบโปรแกรมพิเศษชื่อ “Sunspot” ที่จะสามารถใช้เปลี่ยนข้อมูลภาพของดาวเทียม Corona ให้เข้าถึงได้ง่ายในทางดิจิตอล และสามารถใช้กับโปรแกรมสร้างแผนที่ทั่วไปได้ง่ายขึ้น Jackson Cothren ศาสตราจารย์กับภาควิชาธรณีศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ บอกกับสื่อต่างประเทศ โปรแกรมนี้ทำให้ภาพจากดาวเทียม Corona สามารถเข้าชมแบบออนไลน์ได้ฟรี และทำให้การเทียบรูปภาพทำได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน     และแน่นอนว่าหลังจากที่มีโปรแกรมนี้ออกมานักโบราณคดีก็สามารถระบุตำแหน่งของแหล่งโบราณที่หายไปได้มากขึ้นเกือบๆ 100 เท่า ทั้งที่เป็นโบราณสถานจากยุคโรมัน หรือกระทั่งยุคสำริด จริงอยู่ที่ว่าโบราณสถานบางส่วนจะไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้แล้ว แต่อย่างน้อยๆ นักโบราณคดีก็สามารถทราบได้ว่าสถานที่ใดบ้างที่เคยมีแหล่งโบราณคดีตั้งอยู่  …

  • ชมป้อมปราการเก่าแก่อายุ 2,300 ปี ที่ประเทศอียิปต์ กับหน้าที่ปกป้องเมืองท่าแห่งทะเลแดง

    ชมป้อมปราการเก่าแก่อายุ 2,300 ปี ที่ประเทศอียิปต์ กับหน้าที่ปกป้องเมืองท่าแห่งทะเลแดง

    ในพื้นที่ฝั่งทะเลแดง ทางตะวันออกของประเทศอียิปต์ ทีมนักโบราณคดีร่วมระหว่างโปแลนด์และสหรัฐอเมริกา ได้ทำการค้นพบป้อมปราการเก่าแก่ที่มีอายุร่วม 2,300 ปี     นี่เป็นป้อมปราการ ที่สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์ทอเลมี ราชวงศ์ซึ่งเป็นลูกหลานของหนึ่งในเจ็ดนายพลของอเล็กซานเดอร์มหาราช และคาดกันว่าในอดีตถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองท่า “Berenike” ป้อมปราการที่พบนี้มีขนาด 160 x 80 เมตรสร้างขึ้นจากหิน มีกำแพงสองชั้นหันไปทางตะวันตก และกำแพงหนึ่งชั้นหันไปทางทิศตะวันออก และทิศเหนือ     ลักษณะของกำแพงที่หันเขาไปในทางแผ่นดินนี้ทำให้นักโบราณคดีคาดว่าป้อมปราการนี้น่าจะมีหน้าที่ป้องกันข้าศึกไม่ให้เข้ามายังเมืองท่า มากกว่าป้องกันข้าศึกที่อาจจะเข้ามาในเมืองท่าทางทะเล นอกจากนี้ในป้อมเองยังประกอบไปด้วยลักษณะสิ่งก่อสร้างที่ซับซ้อน โดยมีทั้งร้านค้าและโรงงานอยู่ในตัว แถมยังมีบ่อน้ำและสระน้ำอีกหลายแห่งซึ่งออกแบบมาให้เก็บน้ำจากน้ำใต้ดินและน้ำฝนในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าพร้อมในการรับมือกับศึกยืดเยื้อเป็นอย่างดี     Marek Woźniak หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่าสระน้ำสองแห่งในป้อมนี้สามารถจุน้ำได้รวมๆ ถึง 17,000 ลิตร ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าในอดีตพื้นที่ในเขตนี้น่าจะมีความชื้นมากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนี้ในตัวป้อมปราการ นักโบราณคดียังพบกับชิ้นส่วนกะโหลกของลูกช้าง เหรียญทอง และเครื่องดินเผาเทอราคอตตาด้วย ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากเพราะสิ่งเหล่านี้บอกให้เราทราบว่าป้อมปราการนี้อาจมีชีวิตที่สงบสุขกว่าที่เราคิด     เพราะนอกจากเมือง Berenike จะไม่มีประวัติถูกโจมตีแล้ว สิ่งที่พบยังบอกให้เราทราบว่าตัวเมืองนี้ น่าจะมีหน้าที่สนับสนุนสงครามอย่างการส่งช้างไปให้กองทัพ มากกว่าที่จะเป็นสถานที่รบเสียเอง ทำให้เมืองนี้สามารถค้าขายได้อย่างเต็มที่ จริงอยู่ว่าป้อมปราการนี้จะมีการค้นพบมาตั้งแต่ในปี 2013 แล้ว แต่การขุดค้นสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงนำมาซึ่งการค้นพบใหม่ๆ เรื่อยมา…

  • พบโครงกระดูกอายุ 5,900 ปี เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลาง เป็นของหญิงสาวผู้มีแขนใหญ่

    พบโครงกระดูกอายุ 5,900 ปี เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลาง เป็นของหญิงสาวผู้มีแขนใหญ่

    ข่าวการค้นพบมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มักจะเป็นข่าวที่น่าสนใจอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบในยุโรป เอเชีย หรือแอฟริกา และเมื่อล่าสุดนี้เอง ก็เป็นคราวของอเมริกากลางที่จะเป็นผู้ค้นพบมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดของตัวเองบ้างแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของหญิงสาวผู้ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อ 5,900 ปีก่อน ที่ประเทศนิการากัว ทางตอนใต้ของอเมริกากลาง     จากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ โครงกระดูกที่พบเป็นของหญิงสาวผู้มีอายุอยู่ในช่วง 25-40 ปีในตอนที่เสียชีวิต สูงราวๆ 150 เซนติเมตร และมีแขนที่ค่อนข้างใหญ่ทั้งๆ ที่ตัวเล็กและรูปร่างบอบบาง Mirjana Roksandic ศาสตราจารย์วิชามานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวินนิเพกในแคนาดาอธิบายว่า ที่แขนของเธอมีลักษณะเช่นนี้น่าจะมาจากการใช้แรงแขนอย่างหนักในตอนที่มีชีวิต เช่นการพายเรือหรือแบกของเป็นประจำ นอกจากนี้ฟันของหญิงสาวเองยังมีร่องรอยการสึกหรออย่างมาก ซึ่งเป็นลักษณ์ของคนโบราณที่ทานสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือกเป็นจำนวนมากอีกด้วย     Roksandic ยังบอกอีกว่าการค้นพบกระดูกของเธอเองก็นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว เนื่องจากตามปกติสภาพภูมิประเทศเขตร้อนนั้นมักจะไม่เหมาะกับการเก็บรักษาโครงกระดูกมนุษย์เป็นเวลานานๆ เป็นไปได้ว่าที่โครงกระดูกมนุษย์ของเธอยังคงมีสภาพดีอย่างที่เห็นนั้น น่าจะมาจากสถานที่ และวิธีการฝัง โดยในกรณีนี้ ร่างของหญิงสาวถูกฝังในกองเปลือกหอย ซึ่งช่วยลดความเป็นกรดของดินได้     จริงอยู่ที่ว่ากระดูกที่พบนั้นเป็นโครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกากลางก็ตาม แต่ก็น่าเสียดายที่โครงกระดูกมนุษย์โบราณของแถบนี้นั้นไม่ค่อยจะหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันมากนัก ทำให้บอกได้ยากว่าคนในแถบนี้นั้นในสมัยก่อนมีการใช้ชีวิตและประเพณีอย่างไร สิ่งที่เราพอจะบอกได้จากสิ่งที่พบนั้นก็มีเพียงพวกเขาน่าจะเป็นนักตกปลา เก็บของป่า และชำนาญในการทำสวนก็เท่านั้น     ในปัจจุบันโครงกระดูกของหญิงสาวค้นนี้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ CIDCA แห่งชายฝั่งทะเลแคริบเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการศึกษาโครงกระดูกที่พบนี้ต่อไป  …

  • ประเทศจีนประสบความสำเร็จ ลงจอดบนดวงจันทร์ “ฝั่งไกล” เป็นประเทศแรกของโลก

    ประเทศจีนประสบความสำเร็จ ลงจอดบนดวงจันทร์ “ฝั่งไกล” เป็นประเทศแรกของโลก

    ตั้งแต่ที่ยานอะพอลโล 11 ขึ้นไปแตะดวงจันทร์ในปี 1969 มนุษย์โลกก็ได้มีโอกาสไปเหยียบดวงจันทร์กันอีกมากมายหลายครั้ง ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าการไปร่อนลงบนดวงจันทร์ที่ผ่านๆ มานั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นกับดวงจันทร์ฝั่งใกล้เท่านั้น แต่แล้วเมื่อคืนวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ยานสำรวจ “ฉางเอ๋อ 4” (嫦娥四號) ของประเทศจีน ซึ่งถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ก็ได้ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนดวงจันทร์ฝั่งไกล   ภาพจำลองของยานสำรวจฉางเอ๋อ 4 ในขณะปฏิบัติภารกิจ   เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าดวงจันทร์นั้นจะโคจรรอบโลกโดยหันด้านเดิม (เรียกว่าฝั่งใกล้) เข้าสู่โลกอยู่เสมอๆ ทำให้ดวงจันทร์ฝั่งไกลกลายเป็นฝั่งที่ยังไม่มีใครส่งยานอวกาศไปสำรวจมาก่อน มันเป็นพื้นที่ที่มีพื้นผิวขรุขระ และมีหลุมบ่อซึ่งเกิดจากการถูกวัตถุในอวกาศพุ่งชนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในหลุมเหล่านี้เองก็ยังมีหลุมที่ชื่อว่า “Von Kármán” ที่มีขนาดใหญ่และลึกที่สุดอยู่ด้วย โดยหนึ่งในเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ก็มีอยู่ที่การสำรวจหลุม Von Kármán ที่ว่านี้นั่นเอง   ภาพถ่ายชุดแรกจากยานฉางเอ๋อ-4   นอกจากนี้ยานสำรวจฉางเอ๋อ 4 ยังได้บรรทุกสิ่งมีชีวิต 6 ชนิด เพื่อทำการทดลองบนดวงจันทร์ฝั่งไกลอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ เพราะด้วยความที่ดวงจันทร์ฝั่งไกลเป็นฝั่งที่ไม่มีคลื่นวิทยุรบกวนจากโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความเหมาะสมที่จะใช้ทำการทดลองตรวจจับคลื่นวิทยุจากอวกาศต่อไปในอนาคต การลงจอดในครั้งนี้นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่มากๆ ครั้งหนึ่งของประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้ประเทศจีนได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มีโอกาสได้สำรวจดวงจันทร์ฝั่งไกลอย่างใกล้ชิด…

  • นักวิทยาศาสตร์ชี้ ที่ชั้นหินของโลกหายไปช่วงหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นเพราะธารน้ำแข็งก็เป็นได้

    นักวิทยาศาสตร์ชี้ ที่ชั้นหินของโลกหายไปช่วงหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นเพราะธารน้ำแข็งก็เป็นได้

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าชั้นหินแต่ละชั้นของเปลือกโลกนั้น จะสามารถให้บอกช่วงเวลาที่ต่างกันไปของโลกได้ แต่ถึงอย่างนั้นโลกใบนี้กลับมีชั้นหินชั้นหนึ่งที่หายไป นี่เป็นชั้นหินที่เรียกกันว่า “Great Unconformity” หรือ “รอยชั้นไม่ต่อเนื่องขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลกที่จริงๆ แล้วควรจะถูกนำมาใช้ศึกษาเรื่องราวระหว่างยุคพรีแคมเบรียน กับยุคแคมเบรียน (250-1,200 ล้านปีก่อน) แต่กลับหายไปอย่างน่าประหลาด     การขาดช่วงการบันทึกของชั้นหินที่ว่านี้ถูกสันนิษฐานกันว่าเกิดจากเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งการยกตัวของแผ่นดิน หรือไม่ก็การขึ้นลงของระดับน้ำทะเล อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยชิ้นใหม่ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนว่าที่ชั้นหินที่หายไปนี้จะเกิดจากการไหลลงทะเลของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ต่างหาก นี่เป็นงานวิจัยที่อ้างอิงทฤษฎีโลกก้อนหิมะ (Snowball earth) ทฤษฎีที่ว่าโลกเคยตกอยู่ในยุคที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมาก่อน     จริงอยู่ที่ว่าแนวคิดนี้อาจจะดูเวอร์เกินจริงไปบ้าง เนื่องจากการที่ชั้นหินจะหายไปแทบทั่วโลกขนาดนั้นจำเป็นต้องใช้ธารน้ำแข็งขนาดมหึมาจริงๆ แต่หากโลกเคยปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมาก่อนทฤษฎีนี้ ก็จะมีโอกาสเป็นจริงตามไปด้วยเช่นกัน โดยเนื้อหาของงานวิจัยชิ้นใหม่นี้สรุปได้ว่าว่า ในสมัยที่โลกเริ่มละลายจากน้ำแข็ง ตัวน้ำแข็งที่เคยคลุมโลกอยู่ จะหนักมากจนเมื่อเริ่มละลายมันจะลากเอาหน้าดินหลายส่วนไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะไหลลงมหาสมุทรและจมไปเป็นตะกอน ซึ่งตะกอนเหล่านี้เองจะรวมเข้ากับชั้นดินใต้ทะเลลึกอีกทีทำให้ชั้นดินส่วนหนึ่งของโลกดูเหมือนว่าหายไปนั่นเอง     หากงานวิจัยนี้เป็นจริง มันก็จะสามารถนำมาให้อธิบายสาเหตุที่ชั้นหินช่วง 600-700 ล้านปีก่อนหายไปได้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถนำไปสู่คำอธิบายของการที่ช่วงยุคแคมเบรียนมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากอีกด้วย แน่นอนว่างานวิจัยที่อ้างอิงทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เช่นนี้ย่อมเป็นงานวิจัยที่ต้องมีข้อถกเถียงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทฤษฎีโลกก้อนหิมะ ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์หลายๆ รายแล้ว     ดังนั้นไม่แน่ว่างานวิจัยชิ้นนี้ อาจจะกลายเป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ใช้อธิบายการหายไปของ 1 ในชั้นประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาโลกเลยก็เป็นได้…

  • ย้อนรอยภาพดัง สายตาของ “โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์” หลังจากที่ทราบว่าตากล้องเป็นชาวยิว

    ย้อนรอยภาพดัง สายตาของ “โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์” หลังจากที่ทราบว่าตากล้องเป็นชาวยิว

    ความรังเกียจชาวยิวของพรรคนาซี เป็นเรื่องที่โด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่ไม่ว่าใครก็รู้จักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่หากจะให้พูดถึงภาพที่แสดงให้เห็นความเกลียดชังชาวยิวที่ชัดเจนที่สุด เราก็คงจะนึกถึงภาพไหนไปไม่ได้นอกจากภาพของโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ แกนนำคนสำคัญของพรรคนาซีที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1933 นั่นเอง     นี่เป็นภาพของสายตาแห่งความเกลียดชัง ที่เกิบเบิลส์มองมายังตากล้อง หลังจากที่เขาทราบว่าคนที่กำลังถ่ายภาพเขาอยู่นั้น จริงๆ แล้วเป็นชาวยิวที่เขาเกลียดนักเกลียดหนานั่นเอง ภาพถ่ายชิ้นนี้ถูกถ่ายไว้โดย “อัลเฟรด ไอเซนสเตด” ช่างภาพวารสาร LIFE ชาวเยอรมัน ผู้ที่มีโอกาสได้เข้าพบกับโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์อย่างใกล้ชิดในระหว่างการประชุมสันนิบาตชาติ   อัลเฟรด ไอเซนสเตด ช่างภาพวารสาร LIFE ชาวเยอรมัน   ในตอนแรกที่พบกันเกิบเบิลส์มีท่าทางที่เป็นกันเองมาก เรียกได้ว่าเขายิ้มให้กลับกล้องเลยด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปเชื่อว่าไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเกิบเบิลส์ถึงทราบได้ว่าจริงๆ แล้วอัลเฟรดเป็นชาวยิว เป็นไปได้ว่าเขาจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับอัลเฟรด หรือไม่ก็เพราะนามสกุลไอเซนสเตดเป็นนามสกุลที่ชาวยิวมักจะใช้กัน     ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรแต่สายตาที่ส่งมาให้อัลเฟรดนั้นก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่แทนที่จะหวาดกลัวต่อสายตานั้นอัลเฟรดกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเกิบเบิลส์ตรงๆ และถ่ายภาพที่จะกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดภาพหนึ่งของเขามาแทน และแม้ว่าจะถูกมองด้วยสายตาราวกับจะฆ่าทิ้งเสียให้ได้ก็ตาม แต่อัลเฟรดก็ไม่ได้ถูกจับไปทำเรื่องร้ายๆ อย่างที่หลายๆ คนกังวลแต่อย่างใด กลับกันอัลเฟรดยังสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อปี 1995 ด้วยวัย 96 ปีเลยทีเดียว   ที่มา rarehistoricalphotos

  • นักวิทยาศาสตร์งง หลังพบว่าอีกาบางตัวมีพฤติกรรมผสมพันธุ์กับ “ซากกา” ที่ตายไปแล้ว

    นักวิทยาศาสตร์งง หลังพบว่าอีกาบางตัวมีพฤติกรรมผสมพันธุ์กับ “ซากกา” ที่ตายไปแล้ว

    อีกาเป็นสัตว์ที่มีภาพลักษณ์คู่กับความตายมานาน มันมีสีดำทั้งตัว เสียงร้องที่น่าหวาดผวา แถมยังจิกกินซากศพ จนไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในหลายๆ ที่จะมองว่ากานั้นเป็นภูตแห่งความตายไป ว่าแต่รู้รึเปล่าว่านอกจากจิกกินซากศพแล้ว อีกายังมีเพศสัมพันธ์กับศพอีกด้วย     ความจริงสุดแปลกนี้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ หลังจากที่พวกเขานำซากนกกาที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ไปวางไว้ในแหล่งที่อยู่อาศัยของกา และสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของพวกมัน แต่แทนที่นักวิทยาศาสตร์จะได้เห็นสิ่งที่พวกเขาคิด อย่างการที่อีกาจะเลี่ยงพื้นที่ที่มีเพื่อนตายไป สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นกาบางตัวบินเขามาหาซากกาและเริ่ม “ผสมพันธุ์” กับเพื่อนที่ตายไปแทน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทางทีมวิทยาศาสตร์แปลกใจมากเพราะตามปกติ อีกาที่มักจะหลีกหนีอันตรายกลับเข้าไปผสมพันธุ์กับศพที่อาจจะมีทั้งเชื้อโรคและปรสิตเสียอย่างนั้น     ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้อีกาผสมพันธุ์กับศพ เนื่องจากนี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่สัตว์จำพวกนกมักจะทำให้กรณีที่เห็นซากศพของพวกตัวเอง แต่เนื่องจากรูปแบบการผสมพันธุ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างก้าวร้าว นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการว่าการผสมพันธุ์นี้อาจจะมาจากความสับสนของตัวอีกาเอง จนทำให้พวกมันใช้การข่มขืนเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีอีกาที่บุกรุกพื้นที่ของตนก็เป็นได้   คลิปส่วนหนึ่งของการสังเกตการณ์จากช่อง Kaeli Swift    อย่างไรก็ตามการปริมาณของกาที่เข้ามาผสมพันธุ์กับซากกาที่ตายนั้นมีเพียง 4% ของกาทั้งหมด (และมีกาเพียง 25% เท่านั้นซึ่งเลือกที่จะเข้ามาสำรวจศพในตอนแรก) ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพฤติกรรมการผสมพันธุ์ในรูปแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในหมู่นก นั่นหมายความว่าอีกาส่วนมากจะหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ศพตามสัญชาตญาณ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์คาดการไว้ และมีอีกาเพียงบางส่วนเท่านั้นที่แปลกไปจากกาปกติทั่วไป   ที่มา livescience

  • พบซาก “เรือโจรสลัด” อายุกว่า 300 ปี พร้อมระเบิดมือจากยุคทองของโจรสลัด

    พบซาก “เรือโจรสลัด” อายุกว่า 300 ปี พร้อมระเบิดมือจากยุคทองของโจรสลัด

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าท้องทะเลในช่วงศตวรรษที่ 17-18 นั้น เป็นยุคทองของโจรสลัด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่จะบอกว่าซากเรือที่มีการค้นพบที่มณฑลคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้จะเป็นของอดีตเรือโจรสลัดที่เคยโลดแล่นเมื่อราวๆ 330 ปีก่อน     นี่เป็นซากอับปางของเรือชื่อ “Schiedam” อดีตเรือของพ่อค้าชาวดัตช์ที่ถูกปล้นและเปลี่ยนเป็นเรือโจรสลัดในปี 1683 ก่อนที่จะถูกทหารอังกฤษเข้ายึดในเวลาต่อมา และจมลงในเดือนเมษายน ค.ศ. 1684 นอกจากตัวเรือแล้ว ทีมนักสำรวจเองยังได้พบกับ “ระเบิดมือ” จากศตวรรษที่ 17 จำนวนสองลูกอีกด้วย โดยนี่เป็นระเบิดที่มีเปลือกหุ้มทำจากเหล็ก และใส่ดินปืนไว้ภายใน ซึ่งจะมีการจุดระเบิดด้วยสายชนวนอีกที     จากบันทึกการใช้งานของเรือที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่าระเบิดมือนั้นน่าจะเป็นของกองทหารอังกฤษมากกว่าที่จะเป็น อาวุธที่โจรสลัดในสมัยก่อนใช้ ดูเหมือนว่าในตอนที่พบระเบิดครั้งแรก ระเบิดทั้งสองจะมีสภาพคล้ายก้อนหินธรรมดาจนทีมสำรวจแยกแทบไม่ออก และมารู้ว่าสิ่งที่พบเป็นระเบิดจริงๆ เอาตอนที่ทีมนักโบราณคดีทำหินตกพื้นจนแตกออกเท่านั้น     นับว่าโชคดีมากที่ด้วยความเก่าแก่ของระเบิด ทำให้หน่วยกู้ระเบิดก็ลงความเห็นว่าระเบิดมือที่พบนั้นไม่มีความอันตรายอีกต่อไปแล้ว และทีมนักโบราณคดีก็สามารถเอาระเบิดไปตรวจสอบต่อได้ในทันที จากการเปิดเผยของ Mark Milburn หนึ่งในทีมสำรวจใต้น้ำ จนถึงปัจจุบันพวกเขาพบกับปืนใหญ่ 11 กระบอก ล้อรถปืนใหญ่ 1 อัน กระสุนปืนมัสเก็ต ระเบิดสองลูก และ วัตถุที่ทำจากเหล็กอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก…

  • ชม “Ultima Thule” วัตถุรูปร่างคล้ายสโนว์แมนที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ

    ชม “Ultima Thule” วัตถุรูปร่างคล้ายสโนว์แมนที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2019 ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังฉลองปีใหม่อยู่ ห่างออกไปจากโลกราวๆ 6,400 ล้านกิโลเมตร ยาน “New Horizons” ของนาซาก็ได้บินผ่าน “Ultima Thule” วัตถุที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมาในระบบสุริยะ นี่นับว่าเป็นการบินเข้าใกล้ Ultima Thule มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ เพราะในคราวนี้ยาน New Horizons สามารถถ่ายภาพของ Ultima Thule ในระยะห่างเพียง 3,500 กิโลเมตรเท่านั้น     Ultima Thule มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “2014 MU69” โดยมันเป็นวัตถุที่มีรูปร่างคล้ายน้ำเต้าหรือสโนว์แมน ซึ่งมีการค้นพบเมื่อปี 2014 วัตถุชิ้นนี้มีขนาดอยู่ที่ 33 x 14 กิโลเมตร และคาดกันว่าอาจเกิดจากวัตถุสองชิ้นที่เชื่อมกันในอวกาศ วัตถุชิ้นนี้เชื่อกันว่าอยู่มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของระบบสุริยะ ก่อนที่จะเย็นตัวลงเป็นเวลาหลายพันล้านปีและอยู่ในสภาพที่เห็นเรื่อยมาจนถึงในปัจจุบัน   Ultima Thule เชื่อกันว่าจริงๆ แล้วน่าจะมีสีแดง   แม้ว่าในเบื้องต้นจะยังมีเพียงภาพของตัววัตถุเท่านั้นที่ส่งกลับมายังโลกแต่จากการเปิดเผยของทางนาซา ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วยาน New Horizons จะมีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับ Ultima…

  • ย้อนรอยการรบที่ Karansebes เมื่อกองทัพออสเตรีย เข่นฆ่ากันเองเพราะความเข้าใจผิด

    ย้อนรอยการรบที่ Karansebes เมื่อกองทัพออสเตรีย เข่นฆ่ากันเองเพราะความเข้าใจผิด

    ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1788 กองทัพออตโตมันเดินทางมาถึงเมือง Karansebes และพบว่ากองทัพฮาพส์บวร์ค (ออสเตรีย) ที่เป็นศัตรูนั้น อยู่ในสภาพย่อยยับทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทางออตโตมันสามารถยึดเมือง Karansebes ไว้ได้โดยที่แทบไม่ต้องเสียทหารแม้แต่นายเดียว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งคำถามที่ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพของศัตรูกันแน่     เรื่องของเรื่องคือทหารฝั่งฮาพส์บวร์คนั้นประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ (ออสเตรีย เช็ก เยอรมัน ฝรั่งเศส โครเอเชีย เซอร์เบีย และโปแลนด์ในปัจจุบัน) ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะมีกองกำลังอยู่มาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสื่อสารที่มักจะมีการเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ และเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1788 ระหว่างที่กองทัพฮาพส์บวร์คกำลังประจำการในเมือง Karansebes อยู่นั่นเอง     ในวันนั้น หน่วยลาดตระเวนของกองทัพฮาพส์บวร์คหน่วยหนึ่งได้พบกับ กลุ่มนักเดินทางที่มาตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำ และถูกนักเดินทางเชิญชวนให้ดื่มเหล้าด้วยกัน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ในระหว่างที่พวกเขาเมาแบบสุดๆ นั่นเอง พวกเขากลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้น จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่เหตุ “ปืนลั่น” เสียงของปืนนั้นดังข้ามแม่น้ำไปถึงทหารที่ประจำการอยู่ในตัวเมืองจนทำให้ทหารจำนวนหนึ่งแตกตื่น เข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากกองทัพฝั่งศัตรู และตะโกนออกมาว่า “เติร์ก เติร์ก!!”     เสียงของพวกเขาดังข้ามแม่น้ำกลับไปยังทหารที่กำลังสังสรรค์และเมาได้ที่ ทำให้พวกเขารีบกลับไปที่ค่ายเพื่อช่วยเพื่อนๆ ที่ (พวกเขาคิดว่า) กำลังตกอยู่ในอันตราย ปัญหาคือทันทีที่เห็นทหารจำนวนหนึ่งเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ในเงามืด…

  • ย้อนชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ในรอบปี 2018 ที่ผ่านมา

    ย้อนชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ในรอบปี 2018 ที่ผ่านมา

    ในเวลาที่หนึ่งปีกำลังจะผ่านพ้นไปเช่นนี้ นับว่าเป็นเวลาดีที่เราจะมองย้อนไปในสิ่งที่มนุษย์ค้นพบในรอบปี เพราะปี 2018 นั้นนับว่าเป็นปีทองของการค้นพบปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในรอบปีที่ผ่านมา เราได้มีการค้นพบที่น่าสนใจจากหลากหลายประเทศทั่วโลก แถมทางนักโบราณคดีเองก็ได้มีโอกาสใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการค้นหาโบราณวัตถุได้เป็นอย่างดีเลยอีกต่างหาก ดังนั้น ในยามใกล้สิ้นปีแบบนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 การค้นพบทางโบราณคดีที่น่าสนใจที่สุด ที่มีการลงข่าวใน Catdumb เมื่อรอบปี 2018 ที่ผ่านมานั่นเอง   เริ่มกันที่ การค้นพบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เดนมาร์ก นี่เป็นการค้นพบดาบสัมฤทธิ์ที่มีความยาว 82 เซนติเมตร ที่แม้ว่าจะเก่าแก่กว่าสมัยไวกิ้งเสียอีก แต่กลับยังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยผู้ที่พบคือนักโบราณคดีมือใหม่สองคน Ernst Christiansen และ Lis Therkelsen ผู้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะในการตรวจสอบพื้นที่เมืองเล็กๆ บนเกาะ Svebølle  นั่นเอง (อ่านข่าวเต็มๆ ได้ที่นี่)   การค้นพบ มัมมี่ผู้หญิงที่อียิปต์ อายุเก่าแก่ถึง 3,000 ปี และยังไม่เคยมีการเปิดโลงมาก่อน นี่เป็นการค้นพบของนักโบราณคดีชาว ฝรั่งเศสในระหว่างการเข้าสำรวจที่สุสานใหญ่ El-Asasef และพบกับโลงศพ ที่ยังคงมีความสมบูรณ์ทุกประการ ของหญิงสาวชนชั้นสูง ที่มีชีวิตในช่วงราชวงศ์ที่ 17-18 ของอียิปต์ นอกจากนี้ในสุสานเองยังมีการค้นพบหน้ากาก…

  • พบรูปสลักหินนักบุญหลายรูป ที่ด้านข้างของหลุมศพของบิชอป ถูกซ่อนมานานถึง 600 ปี

    พบรูปสลักหินนักบุญหลายรูป ที่ด้านข้างของหลุมศพของบิชอป ถูกซ่อนมานานถึง 600 ปี

    ใช่ว่าการค้นพบทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจ เพราะหลายๆ ครั้งการค้นพบที่มีชื่อเสียงของโลกก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญได้เช่นกัน เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ระหว่างที่นักอนุรักษ์จากองค์กรสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์แห่งสกอตแลนด์ หรือ HES เข้าสำรวจสุสานในวิหาร Dunkeld ที่ Perthshire พวกเขาก็ได้พบกับรูปสลักหินที่ไม่เคยมีการพบมาก่อนเข้าโดยบังเอิญ     นี่เป็นหนึ่งในรูปสลักหินนักบุญในอดีตหลายรูป ที่ถูกสลักไว้ด้านข้างของหลุมศพของ บิชอป Cardeny แห่งดันเคลด์ หลุมศพที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่รูปปั้นบิชอปที่นอนหันหน้าเข้าหากำแพงนั่นเอง จริงอยู่ว่ารูปปั้นของบิชอปเองจะถูกค้นพบมาเป็นเวลานานแล้ว แต่น่าแปลกที่รูปสลักด้านข้าง กลับถูกซ่อนจากสายตาของผู้คนมาเป็นเวลานานถึง 600 ปี   ด้านหน้าของหลุมศพมีรูปปั้นของบิชอป ส่วนรูปสลักที่พบอยู่ที่ด้านข้างของหลุมศพอีกที   การค้นพบในครั้งนี้ ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าหลุมศพนี้น่าจะเคยมีการถูกเคลื่อนย้ายมาก่อนในอดีต เนื่องจากรูปสลักด้านข้างแทบจะมองไม่เห็นเลยหากมองจากหลุมศพตรงๆ เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการย้ายจากหลุมศพแบบปกติ (ที่สามารถเดินชมรอบๆ ได้ 360 องศา) มาไว้ยังหลุมศพแบบฝังเข้าไปในผนังอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน     น่าเสียดายที่เนื่องจากไม่ได้รับการบำรุงรักษาเท่าที่ควร รูปสลักหินที่พบจึงมีร่องรอยความเสียหายอยู่ค่อนข้างมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยมีสภาพเช่นไรได้ ดังนั้นหลังจากที่มีการค้นพบเกิดขึ้น ทางทีมนักโบราณคดีจึงได้เข้าไปทำการสแกนรูปสลักที่พบด้วยเทคโนโลยีสามมิติอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเก็บข้อมูลในการสร้างหลุมศพที่สมบูรณ์เหมือนกับในอดีต   รูปร่างของรูปสลักที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีสามมิติ   จริงอยู่ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างใหม่และยังมีข้อมูลอยู่ไม่มาก แต่นักโบราณคดีก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการตรวจสอบรูปสลักที่พบนั้น อาจจะนำไปสู่เหตุผลที่มีการเคลื่อนย้ายหลุมศพนั้นนี้ในอดีตก็เป็นได้   ที่มา dailyrecord, newsandstar

  • พบดาบโบราณอายุ 700 ปี ที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในสเปน เชื่อมาจาก “สงครามสองปีเตอร์”

    พบดาบโบราณอายุ 700 ปี ที่มีความสมบูรณ์มากๆ ในสเปน เชื่อมาจาก “สงครามสองปีเตอร์”

    ว่ากันว่าดาบที่ดีจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้อย่างยาวนานเป็นร้อยๆ ปี และบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าของให้แก่คนรุ่นหลังผ่านร่องรอยบนตัวดาบสืบไป เชื่อว่าสำหรับนักโบราณคดีที่สเปน คำกล่าวที่ว่านี้ คงจะมีน้ำหนักมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองในระหว่างการเข้าขุดค้นปราสาท “Benalí” ในเมือง Aín เมืองทางตะวันออกของจังหวัด Castellón ประเทศสเปน ทีมนักโบราณคดีได้ค้นพบดาบเก่าแก่ที่มีอายุราวๆ 700 ปีเข้า     มันเป็นดาบที่มีความยาว 93 เซนติเมตร กว้าง 13 เซนติเมตร มีปลายด้ามจับเป็นทรงกลม และสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับอายุของมัน จนถึงขั้นที่ทีมนักโบราณคดียังแปลกใจ ความสมบูรณ์และสวยงามของดาบที่พบทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เรียกดาบเล่มนี้ด้วยชื่อเล่นที่ว่า “Espadana” ที่แปลว่า ดาบผู้สูงศักดิ์     จากการตรวจสอบรูปร่างและอายุของดาบทำให้เหล่านักโบราณคดีเชื่อว่า ดาบ Espadana เล่มนี้น่าจะมาจากช่วงศตวรรษที่ 14 และจากสถานที่ที่มีการค้นพบดาบซึ่งเป็นปราสาท พวกเขาก็คาดการว่าดาบเล่มนี้น่าจะเป็นหนึ่งในอาวุธที่เคยถูกใช้งานใน “สงครามสองปีเตอร์” (War of the Two Peters) ซึ่งกินเวลาระหว่างปี 1356-1367     นี่เป็นสงครามระหว่างกษัตริย์คริสเตียน ปีเตอร์ แห่งคาสทีล และกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 4 แห่งแคว้นอารากอน ทั้งสองต่อสู้กันได้สูสีมากจนไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นผู้ชนะ นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่มีค่ามากๆ ครั้งหนึ่งของทางสเปนเลยก็ว่าได้ เพราะแม้ว่าดาบเล่มนี้จะไม่ได้มีความสมบูรณ์ขนาดที่ยังคงมีความคมก็ตาม…

  • เปิดตำนานดาบ “เคเพช” ดาบโบราณรูปร่างคล้ายเคียว ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    เปิดตำนานดาบ “เคเพช” ดาบโบราณรูปร่างคล้ายเคียว ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    สำหรับคนที่หลงใหลในอาวุธประเภทดาบแล้ว “เคเพช” (Khepesh) หรือ “โคเพช” (Khopesh) คงจะเป็นดาบที่น่าสนใจมากๆ เล่มหนึ่งเลยก็เป็นได้ เพราะนอกจากรูปร่างจะแปลกแล้ว นี่ยังเป็นดาบจากวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลกอีกด้วย     เคเพช เป็นดาบโค้งที่มีรูปร่างคล้ายดาบผสมขวานหรือเคียว ซึ่งถูกใช้งานในประเทศอียิปต์ช่วงยุคสัมฤทธิ์ และว่ากันว่าได้ต้นแบบมาจากชาวแอฟริกาเหนือ หรือไม่ก็ชาวตะวันออกใกล้ (แถวๆ ตุรกี ซีเรีย และจอร์เจีย) ด้วยรูปร่างของเคเพช ทำให้หลายๆ ครั้งดาบประเภทนี้ก็ถูกเรียกกันว่า “ดาบเคียว” และมีความใกล้เคียงกับเครื่องมือการเกษตร แต่ถึงอย่างนั้นเคเพชก็ออกแบบมาเพื่อสงครามโดยเฉพาะ ผิดกับรูปร่างของมัน     เนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอียิปต์ ทำให้หลายๆ คนมักจะคิดว่าเคเพชนั้นมีที่มามาจากอียิปต์เลย แต่ดูเหมือนว่าดาบในรูปแบบของเคเพชรุ่นแรกๆ นั้นจะมาจากทางเมโสโปเตเมียต่างหาก เคเพชเชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นราวๆ 2,000-3,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีหนึ่งในหลักฐานเก่าแก่อยู่ที่ศิลาจารึก “Stele of the Vultures” ซึ่งมีการสลักภาพกษัตริย์สุเมเรียน Eanatum of Lagash ถือดาบที่คล้ายเคียวอยู่นั่นเอง     อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ทำให้เคเพชมีชื่อเสียงขึ้นมา จะอยู่ที่อียิปต์หลังจากช่วง 1,550 ปีก่อนคริสตกาลมากกว่า เนื่องจากฟาโรห์ในสมัยนั้น แทบจะพกเคเพชไปออกรบกันแทบทุกองค์ และด้วยประสิทธิภาพของอาวุธที่ใช้ได้ทั้งการฟัน…

  • ปริศนาโถโบราณที่ “มีรูรอบๆ” เชื่ออาจอายุถึง 5,000 ปี แต่ไม่อาจฟันธงได้ว่าเอาไว้ทำอะไร

    ปริศนาโถโบราณที่ “มีรูรอบๆ” เชื่ออาจอายุถึง 5,000 ปี แต่ไม่อาจฟันธงได้ว่าเอาไว้ทำอะไร

    ตามปกติหากเราพบโถ ไหหรือแจกันจากสมัยก่อน เราก็มักจะรับรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่าสิ่งที่พบนั้นทำขึ้นมาเพื่อใส่อะไรบางอย่าง (โดยเฉพาะน้ำ) แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากโถที่พบมันกลับเป็นโถที่เต็มไปด้วยรูล่ะ     ปริศนาของโถที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อพิพิธภัณฑ์ออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ได้ประกอบเศษชิ้นส่วนโถโบราณ 180 ชิ้นที่มีการค้นพบในอดีตเข้าด้วยกัน และพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นเป็นโถที่มีรูปจำนวนมากอยู่รอบๆ อย่างน่าประหลาด นี่เป็นโถที่เชื่อกันว่าค้นพบโดยนักโบราณคดีของประเทศเวลส์ (1 ใน 4 ประเทศองค์ประกอบของสหราชอาณาจักร) ในช่วงยุค 1950 ใกล้ๆ กับวิหาร Mithraeum ในลอนดอน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพมิททราส พระเจ้าแห่งดวงตะวันที่คนโรมันตะวันออกนับถือ   วิหาร Mithraeum สถานที่ซึ่งเชื่อกันว่ามีการพบโถ   อย่างไรก็ตาม ที่มาจริงๆ ของโถที่ยังมีข้อกังขากันอยู่ เนื่องจากในสถานที่เก็บเศษโถเองยังมีโบราณวัตถุจากเมือง “Ur” ของเมโสโปเตเมียอยู่ด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วโถนี้เป็นของทางเมโสโปเตเมียแทน แถมในกรณีที่มันมาจากเมโสโปเตเมีย โถที่พบจะมีอายุได้มากที่สุดถึง 5,000 ปีเลยทีเดียว   โบราณสถานของเมือง Ur อีกสถานที่ที่เชื่อกันว่ามีการพบโถ   อย่างไรก็ตามคำถามของคนที่พบเห็นโถอันนี้หลายๆ คนจะอยู่ที่ว่าทำไมคนในสมัยก่อนถึงเจาะรูจำนวนมากบนโถมากกว่า เพราะรูเหล่านี้จะทำให้โถไม่เหมาะสมกับการเก็บน้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักๆ ของมันในสมัยก่อนไป โดยสำหรับเรื่องนี้ นักโบราณคดีในตั้งข้อสันนิษฐานว่าโถที่พบน่าจะเป็นวัตถุที่เรียกว่า “Glirarium” ซึ่งเป็นกรงขังแบบพิเศษที่ใช้ขังสัตว์ฟันแทะที่ในสมัยก่อนใช้เป็นอาหาร หรือไม่ก็เป็นโถสำหรับใส่งูของคนสมัยเมโสโปเตเมีย…

  • พบซากม้าพร้อมบังเหียนและอานในสภาพพร้อมพาคนหนี ที่นอกกำแพงเมืองปอมเปอี

    พบซากม้าพร้อมบังเหียนและอานในสภาพพร้อมพาคนหนี ที่นอกกำแพงเมืองปอมเปอี

    เมืองปอมเปอีเป็นสถานที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญสุดๆ ของเหล่านักโบราณคดีเลยก็ไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่ที่ภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุในปีคริสต์ศักราชที่ 79 สถานที่แห่งนี้ก็มีการค้นพบที่น่าสนใจมากมายหลายชิ้นเรื่อยมา และเมื่อล่าสุดนี้เองทางนักโบราณคดีก็ได้พบกับซากม้าในสมัยก่อน ที่ตายไปในสภาพที่ยังใส่บังเหียนและอานพร้อมออกเดินเลย     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากนอกกำแพงเมืองปอมเปอีมากนัก และเชื่อกันว่าน่าจะเป็นม้าที่ผู้คนคิดจะใช้หนีตายจากภูเขาไฟ (แม้ว่าจะไม่ทันก็ตาม) นั่นเอง ตั้งแต่ในอดีตหมู่บ้านที่มีการค้นพบม้าตัวนี้ถูกเชื่อกันว่าน่าจะเป็นหมู่บ้านของชาวโรมันที่มั่งคั่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่ม้าที่ถูกค้นพบในครั้งนี้จะมีร่องรอยของการถูกดูแลเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่ว่าอานของมันถูกประดับไว้ด้วยทองแดงเลย   บังเหียนประดับทองแดงที่พบ   นอกจากนี้เมื่อนักโบราณคดีลองนำข้อมูลของม้าที่พบไปเทียบกับซากม้าตัวอื่นๆ ที่พบในหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขายังพบอีกว่า ม้าแทบจะทั้งหมดในพื้นที่ ล้วนแต่เป็นม้าสายพันธุ์ดี ที่น่าจะมีราคาสูงมากในสมัยก่อน นั่นทำให้นักโบราณคดีบอกว่า ในสมัยก่อนม้าเหล่านี้อาจจะเคยถูกใช้ในฐานะสิ่งแสดงพลังอำนาจอย่างหนึ่งเลยนั่นเอง     น่าเศร้าที่ดูเหมือนว่าม้าเหล่านี้จะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะเช่นเดียวกับคนในเมืองปอมเปอีเอง พวกมันน่าจะเสียชีวิตจากความร้อนสูงของเถ้าภูเขาไฟ หรือไม่ก็โดนเถ้าถ่านทับจนขาดอากาศหายใจไป โชคร้ายที่ในหมู่บ้านที่พบนั้นมีร่องรอยของการเคยถูกโจรเข้ามาปล้นอยู่หลายครั้ง ไม่เช่นนั้นนักโบราณคดีอาจจะมีการค้นพบสำคัญๆ มากกว่านี้อีกหลายอย่างเลยก็เป็นได้     อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนักโบราณคดีได้กลับมาดำเนินขุดค้นเมืองปอมเปอีอย่างเป็นทางการด้วยทุนรวมกว่า 73.5 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับเป็นการป้องกันการลักลอบปล้นโบราณสถานไปอีกทาง และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะขุดพบโบราณวัตถุอีกเป็นจำนวนมาก ภายในปี 2019 ที่กำลังจะมาถึงต่อไป   ที่มา nytimes, bbc และ smithsonianmag

  • ย้อนรอย “เมเนส” ฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

    ย้อนรอย “เมเนส” ฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

    เคยได้ยินเรื่องราวของฟาโรห์เมเนสไหม? เขาคือชายผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้รวมอียิปต์เป็นประเทศ และเป็นฟาโรห์องค์แรกผู้ปกครองอียิปต์ในช่วง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ถึงอย่างนั้นฟาโรห์คนนี้กลับถูกมองว่าไม่มีตัวตนอยู่จริงโดยผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน   งานแกะสลักที่เชื่อกันว่าเป็นของฟาโรห์เมเนส   นั่นเป็นเพราะเรื่องราวการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของฟาโรห์เมเนสมักจะไม่ได้มีการบันทึกไว้ (และเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ก็จะดูเป็นตำนานเรื่องเล่ามากกว่าบันทึก) ว่ากันตามตรงแม้แต่ชื่อของตัวฟาโรห์เอง ยังมีทั้ง มินาออส เมนาส นาเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมายเลย นอกจากนี้ในปัจจุบันเรายังไม่มีหลักฐาน (นอกจากบันทึก) ที่ว่าเมเนสได้ขึ้นเป็นฟาโรห์อีกด้วย อาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะในราชวงศ์แรกๆ ฟาโรห์มักจะใช้ “พระนามแห่งฮอรัส” (อารมณ์คล้ายๆ รูปที่เป็นตัวแทนของชื่อ) ไม่ใช่ชื่อของพวกเขาจริงๆ ก็เป็นได้   คาร์ทูชของฟาโรห์เมเนส   เป็นไปได้ว่าฟาโรห์เมเนสนั้นเป็นเพียง “ตัวตนสมมุติ” ของผู้ปกครองหลายๆ คน (อย่างนาร์เมอร์ผู้รวมอียิปต์บนกับอียิปต์ล่าง) ที่ถูกนำมารวมกันเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ ยศ นามแฝง หรือตำแหน่งก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามหากฟาโรห์เมเนสมีตัวตนอยู่จริง เขาจะครองราชย์อยู่ในช่วง 3,000-3,100 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นฟาโรห์อยู่อย่างต่ำๆ 60 ปี   ตราของเมเนส (และนาร์เมอร์) ที่ถูกทำขึ้นโดยอ้างอิงจากเมืองโบราณ Abydos   โดยนอกจากผลงานการร่วมประเทศแล้ว ว่ากันว่าฟาโรห์เมเนสยังเป็นผู้นำความเชื่อเรื่องเทพมาสู่อียิปต์ ผู้ออกกฎหมายเป็นคนแรกของประเทศ สร้างเมืองโคดิโลโปลิส…

  • เด็กป. 5 พบ “ซากกองเรือผี” ที่ใต้พื้นน้ำสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนที่ เชื่ออาจส่งผลต่อระบบนิเวศ

    เด็กป. 5 พบ “ซากกองเรือผี” ที่ใต้พื้นน้ำสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนที่ เชื่ออาจส่งผลต่อระบบนิเวศ

    ที่ใต้พื้นน้ำของแมลโลว์เบย์ ที่รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกายังมีเรือรบร่วม 200 ลำหลับใหลอยู่ที่ก้นท้องทะเล ตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรื่อยไปจนสงครามโลกครั้งที่สอง พวกมันถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “กองเรือผี” และจากการสำรวจล่าสุดมานี้ ในบรรดาเรือผีเหล่านี้ก็มีหลายลำเลยที่เคลื่อนที่ไปจากสถานที่จมราวๆ 32 กิโลเมตร แถมยังสามารถเห็นได้แม้แต่จาก Google Earth เลยด้วย     นี่เป็นการสำรวจที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของเหล่าเด็กๆ ประถมห้าของโรงเรียนประถม J.C. Parks ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลก แต่ก็ได้รับการนำเสนอในงาน American Geophysical Union หรือ AGU มาแล้ว แน่นอนว่าเหตุผลที่ซากเรือเหล่านี้เคลื่อนที่นั้นไม่ได้มาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นพายุ กระแสน้ำ เหตุการณ์น้ำท่วม และการกัดเซาะซากเรือตามกาลเวลาต่างหาก     จริงอยู่ที่ว่าการเคลื่อนที่ที่เกิดขึ้นจะเป็นการเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่เด็กๆ ก็รายงานไว้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ อาจส่งผลโดยตรงกับระบบนิเวศในบริเวณนั้นเลยก็เป็นได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ซากเรือเหล่านี้ได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำไปแล้ว ดังนั้นการที่เรือผุพังหรือเคลื่อนที่ก็อาจจะทำให้ที่อยู่ของพวกมันถูกทำลายไปด้วยนั่นเอง     ที่มา iflscience, livescience

  • พบสาเหตุที่ “อาณาจักรอัคคาเดียน” ล่มสลายในหินย้อย เชื่อเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

    พบสาเหตุที่ “อาณาจักรอัคคาเดียน” ล่มสลายในหินย้อย เชื่อเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

    เมื่อราวๆ 4,200 ปีก่อน “อาณาจักรอัคคาเดียน” อาณาจักรแห่งแรกๆ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ได้ล่มสลายไป พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอารยธรรมอียิปต์ และลุ่มแม่น้ำสินธุ     เรื่องที่เกิดขึ้นน้ำทำให้นักโบราณคดีเชื่อกันว่าเหตุการณ์ทั้งสามอาจจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ และออกตามหาหลักฐาน เกี่ยวกับความเชื่อมโยงนี้มาอย่างยาวนาน และเมื่อไม่นานนี้เองจากการสำรวจหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นในช่วง 5,200-3,700 ปีก่อนในถ้ำ Gol-e-Zard ที่อิหร่าน นักโบราณคดีก็ค้นพบความเป็นไปได้บางอย่างที่น่าสนใจ     นั่นเพราะดูเหมือนว่าเหตุผลหลักๆ ที่อาณาจักรอัคคาเดียนล่มสลายไปนั้น จะมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศนั่นเอง จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ หินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นในช่วง 4,510-4,260 ปีก่อน จะมีปริมาณแมกนีเซียมต่อแคลเซียมที่สูงมาก แถมยังมีอัตราการโตที่ช้า ซึ่งแตกต่างไปจากหินที่เกิดในช่วงก่อนหรือหลังจากนี้มาก นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ฝุ่นในอากาศเพิ่มมากขึ้น อย่างกรณีที่มีการขุดเหมืองเป็นต้น     แต่หากมองข้อมูลที่ได้มาประกอบกับเรื่องที่ว่าในยุคเมโสโปเตเมียยังไม่น่าจะมีการทำเหมืองเกิดขึ้นแล้ว นักโบราณคดีคาดว่าความเปลี่ยนแปลงของหินย้อยนี้ น่าจะมาจากการที่อากาศแห้งขึ้นเป็นอย่างมากนั่นเอง แม้ว่าข้อมูลจากหินย้อยอาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่ข้อมูลที่ออกมาก็ชี้ให้เห็นว่าในอดีต พื้นที่เอเชียตะวันตก ที่อาณาจักรอัคคาเดียนตั้งอยู่น่าจะเคยพบกับภัยแล้งต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก่อนนั่นเอง   พื้นที่ของอาณาจักรอัคคาเดียนในสมัยก่อน   โดยเจ้าภัยแล้งที่ว่ากินอาจกินเวลาได้นานเป็นร้อยปี ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้อาณาจักรแห่งหนึ่งล่มสลายไปได้อย่างไม่ยากเลย แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรแห่งหนึ่งล่มสลายไปนั้นอาจจะมีอยู่หลายสาเหตุ ทางนักโบราณคดีจึงยังต้องมีการพูดคุยถกเถียงกันต่อไปว่าภัยแล้งที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลต่อการล่มสลายของอาณาจักรมากน้อยเพียงใดต่อไป   ที่มา iflscience

  • ชม 18 ภาพชุดแอร์โฮสเตสสุดเซ็กซี่ จากสองสายการบินแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงยุค 60-70

    ชม 18 ภาพชุดแอร์โฮสเตสสุดเซ็กซี่ จากสองสายการบินแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงยุค 60-70

    ในช่วงยุค 60-70 การแข่งขันเกี่ยวกับงานในด้านสายการบินในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งระหว่างสายการบินด้วยกันเองที่พยายามเป็นอย่างมากในการแย่งลูกค้า และในบรรดาผู้คนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส     ดังนั้นเพื่อที่จะให้ประโยชน์จากความต้องการในการเป็นแอร์โฮสเตสที่สูงในการดึงดูดลูกค้า สายการบินบางแห่ง จึงได้คัดเพียงแต่สาวงามการศึกษาดี ต้องยังเป็นโสด แล้วก็ห้ามท้องอย่างเด็ดขาด แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะสำหรับสายการบินอย่าง Pacific Southwest Airline และ Southwest Airlines แล้ว นอกจากคนจะสวยแล้ว ชุดของพวกเธอเองก็ต้องดึงดูดด้วย ว่าแต่ผลงานที่ออกมาจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องให้ไปชมกันเอง ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพหมู่ของ Southwest Airlines   และต่อกันด้วยภาพหมู่ของ Pacific Southwest Airline   ดูระดับความพอใจของคุณผู้ชายเสียก่อน   กางเกงสั้นได้อีก   อันนี้ก็ดูดีไปอีกแบบ (เท่าที่หาข้อมูลมาอันนี้ของ Southwest Airlines ช่วงต้นยุค 70)   อันนี้เห็นว่าเป็นของ Southwest Airlines เมื่อยุค 60   ชุดอีกแบบของ Southwest Airlines (มีหลายแบบดีนะสายการบินนี้)   อันนี้ของทาง Pacific Southwest Airline…

  • นักวิทย์ตรวจสอบประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ล้างข่าวลือที่ว่าเคยถูกนำ “หนังมนุษย์” มาติด

    นักวิทย์ตรวจสอบประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ล้างข่าวลือที่ว่าเคยถูกนำ “หนังมนุษย์” มาติด

    ประตูเป็นสิ่งอยู่คู่กับสิ่งก่อสร้างของมนุษย์มาอย่างยาวนาน มันมักจะทำด้วยไม้ ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาสูง แต่ประตูไม้บางที่ก็ยังสามารถคงอยู่มาได้อย่างยาวนาน เหมือนอย่างประตูที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์     นี่คือประตูที่มีชื่อเล่นว่า “ประตูที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ” ที่คาดกันว่าถูกสร้างขึ้นพร้อมๆ กับการบูรณะตัววิหารโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขีในศตวรรษที่ 11 จริงอยู่ที่ว่าประตูบานนี้จะดูเหมือนประตูไม้ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ในอดีตมันกลับเคยมีข่าวลือว่ามีหนังมนุษย์ติดอยู่บนบานประตูมาก่อน!     ดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับประตูหนังมนุษย์นี้จะเกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 และมีเนื้อความว่าในอดีตมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง “ล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์” ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ดังนั้นเขาจึงถูกถลกหนัง และเอาหนังที่ได้ไปตอกติดประตูเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู นั่นทำให้ทางองค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษสนใจในประตูแห่งนี้มาก พวกเขาจึงได้ออกทุนเป็นเงิน 157,000 บาท เพื่อให้ทีมนักวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบประตูบานนี้ดู   มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ที่ประตูบานดังกล่าวตั้งอยู่   และผลการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาว่า ประตูบานนี้มีหนังของสิ่งมีชีวิตติดอยู่ก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงแค่หนังวัวเท่านั้น ไม่ใช่หนังมนุษย์อย่างที่คนสมัยก่อนเข้าใจ เป็นไปได้ว่าคนในศตวรรษที่ 19 อาจจะพบเศษหนังที่ติดอยู่กับประตู (ที่มีบรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว) ก็เลยเกิดอุปาทานหมู่กันไปเอง ว่าหนังที่เห็นนั้นเป็นหนังของมนุษย์ จนเรื่องเล่าในข่าวลือก็ถูกแต่งขึ้นมาทีหลังอีกที     นอกจากนี้ การกาลานุกรมต้นไม้ของทีมนักวิทยาศาสตร์ทำให้พวกเขาพบอีกว่าประตูบานนี้ทำจากไม้ที่เติบโตขึ้นในช่วงปี 924-1030 ทำให้หากนับกันจริงๆ ไม้ที่นำมาทำประตูแห่งนี้ มีอายุมากกว่าตัววิหารที่สร้างขึ้นในปี 960 เสียอีก การตรวจสอบในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันเป็นอย่างดีกว่าประตูบานนี้เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษจริงๆ (แม้ว่าจะไม่ได้เป็นประตูที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ตาม)…

  • ย้อนรอย “บทเพลงวันคริสต์มาส” ตั้งแต่บทเพลงในวันเหมายัน สู่เพลงดังแห่งยุควิกตอเรีย

    ย้อนรอย “บทเพลงวันคริสต์มาส” ตั้งแต่บทเพลงในวันเหมายัน สู่เพลงดังแห่งยุควิกตอเรีย

    บทเพลงที่ใกล้เคียงกับเพลงคริสต์มาสที่สุด เชื่อกันว่าถูกร้องในยุโรปมาตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อน แต่นี่ไม่ใช่เพลง “คริสต์มาส แครอล” อย่างที่เรารู้จัก มันเป็นเพียงเพลงที่เหล่าคนนอกศาสนาร้องกันในวันเหมายัน วันที่กลางคืนยาวนานที่สุดก็เท่านั้น     อย่างไรก็ตามเรื่องราวหลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาในยุโรป เนื่องจากศาสนาคริสต์พยายามจะรวมเอาคนนอกศาสนาในพื้นที่อย่างสันติ ดังนั้นพิธีกรรมในอดีตหลายๆ อย่างจึงถูกผนวกเข้ากับคริสต์ศาสนาไป ในช่วงนี้เองที่ วันคริสต์มาส ได้กำเนิดขึ้น โดยในเวลานั้นเพลงที่มักจะถูกร้องในวันคริสต์มาส จะเป็นเพลง “Angel’s Hymn” เพลงที่บิชอปแห่งโรมบอกให้คริสตชนร้องในช่วงปี ค.ศ. 129 อย่างไรก็ตามเนื้อร้องของเพลงนี้ในสมัยก่อนยังเป็นภาษาลาติน และแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน   เทเลสฟอรุสบิชอปแห่งโรม   ลักษณะของเพลงวันคริสต์มาสเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 1223 เมื่อเซนต์ฟรังซิสแห่งอัสซีซี เริ่มให้ชาวบ้านร้องเพลงวันคริสต์มาสในภาษาที่พวกเขาเข้าใจ การกระทำของเขาเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้าถึงความสนุกของเพลงมากขึ้น และเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ๆ ก็โผล่มาในประเทศแถบยุโรปมากมายตลอดช่วงศตวรรษที่ 14-15   หนึ่งในภาพการใช้ชีวิตของเซนต์ฟรังซิสแห่งอัสซีซี   น่าเสียดายที่หลังจากช่วงนี้ไม่นานกลุ่มพิวริตัน (กลุ่มคริสต์ศาสนิกชนที่มีความเคร่งครัดกว่าคริสต์ศาสนิกชนทั่วไป) ได้เขามาปกครองประเทศอังกฤษ ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว งานวันคริสต์มาสและการร้องเพลงคริสต์มาสจึงถูกห้ามไป (เพราะถูกมองว่าไม่จำเป็น) แต่แม้จะถูกห้าม เพลงคริสต์มาสก็ไม่ได้หายไปเลย เพราะยังมีคนบางกลุ่มที่แอบแต่งแอบร้องเพลงคริสต์มาสเรื่อยมาอย่างลับๆ และบทเพลงคริสต์มาสอย่าง Joy to the World (1719)…

  • ภาพในตำนาน “การแลบลิ้นของไอน์สไตน์” ที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพราะรำคาญนักข่าว

    ภาพในตำนาน “การแลบลิ้นของไอน์สไตน์” ที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพราะรำคาญนักข่าว

    เชื่อกันว่าเมื่อพูดถึงภาพที่มีชื่อเสียงของสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หลายๆ คนก็น่าจะนึกถึงภาพของเขาในตอนที่แลบลิ้นให้กับกล้องขึ้นมา ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าภาพที่ดูขี้เล่นสุดๆ ภาพนี้ มันที่ไปที่มาแบบไหนกันแน่     แน่นอนว่าภาพที่เห็นนี้ไม่ใช่ภาพที่มีการตัดต่อขึ้นมาในภายหลังแต่อย่างใด แต่นี่เป็นภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์จริงๆ ที่ถูกถ่ายเอาไว้ในงานครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 72 ปีของเขา เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1951ต่างหาก นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นหลังจากที่งานเลี้ยงฉลอง วันเกิดของไอน์สไตน์จบลง และเขากำลังจะเดินทางกลับจากเมืองพรินซ์ตัน พร้อมๆ กับคู่สามีภรรยา Aydelotte ที่เป็นเพื่อน     โดยในเวลานั้นช่างภาพของสำนักข่าวหลายแห่งก็ได้กรูกันเข้าไปขอให้ไอน์สไตน์ยิ้มให้กลับกล้องในวันเกิด ดังนั้นไม่รู้จะด้วยความรำคาญหรือความขี้เล่นไอน์สไตน์จึงได้แลบลิ้นใส่นักข่าว ก่อนที่จะหันหน้าหนีไป ปัญหาคือหนึ่งในบรรดานักข่าวเหล่านั้น Arthur Sasse ที่เป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ UPI ก็ดันถ่ายภาพของไอน์สไตน์ในจังหวะนั้นไว้ได้แบบพอดิบพอดีนี่สิ จริงอยู่ว่าภาพที่ได้มานั้นกลายเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรจะนำมาใช้หรือไม่ในสำนักข่าวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจนำภาพถ่ายที่ได้ออกไปตีพิมพ์ และแน่นอนว่านั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกสุดๆ เลยด้วย   รูปถ่ายเต็มๆ ก่อนที่จะมีการตัดเหลือเพียงหน้าของไอน์สไตน์   นั่นเพราะ ภาพถ่ายที่ออกมาก็กลายเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง (อาจจะเพราะไอน์สไตน์ถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้วด้วย ) จนภาพถ่ายภาพนี้ถูกใช้อย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่หลากหลายมาจนถึงในปัจจุบัน ส่วนตัวภาพถ่ายต้นฉบับซึ่งมีการถ่ายติดคู่สามีภรรยา Aydelotte เอาไว้ด้วยนั้นก็ถูกประมูลออกไปในวันที่ 19…

  • ย้อนรอยเรื่องราวสุดสลดของ “อนาลิส มิเชล” หญิงสาวผู้เสียชีวิตหลังถูกทำพิธีไล่ผี 67 ครั้ง

    ย้อนรอยเรื่องราวสุดสลดของ “อนาลิส มิเชล” หญิงสาวผู้เสียชีวิตหลังถูกทำพิธีไล่ผี 67 ครั้ง

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “อนาลิส มิเชล” กันมาก่อนไหม เธอเป็นหญิงสาวผู้ที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันในระหว่างวงการความเชื่อกับวงการจิตแพทย์มาอย่างยาวนาน นั่นเพราะเด็กสาวคนนี้คือผู้ถูกทำพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง จนในที่สุดก็เสียชีวิตไปนั่นเอง     อนาลิส มิเชล (Anneliese Michel) เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ปี 1952 ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี และเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งในศาสนามาก ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็มีชีวิตอย่างปกติเรื่อยมา แต่แล้วในปี 1968 ในช่วงเวลาที่เธออายุได้ 16 ปี เรื่องราวแปลกๆ ก็ได้เกิดขึ้นกับเด็กสาวคนนี้จนได้ โดยเธอนั้นเริ่มมีอาการหมดสติที่โรงเรียน และบ่อยครั้งก็มักจะเดินไปเดินมาราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว   อนาลิส มิเชล ในวัยเด็ก   อาการของเธอนั้นทำให้ทางครอบครัวส่งเธอไปยังโรงพยาบาลหลังจากนั้น และผลการตรวจสอบของทางทีมแพทย์เองก็บอกว่าเธอนั้นมีอาการโรคลมชักกลีบขมับ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการประสาทหลอน หรือแม้กระทั่ง การเสียความทรงจำได้เลย แน่นอนว่ามิเชล เข้ารับการรักษาด้วยยาหลายชนิดตั้งแต่วันนั้น แต่สุดท้ายอาการของเธอก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ดังนั้นในปี 1973 เมื่อเธอเริ่มประสาทหลอนคุยกับ “ปีศาจ” ทางบ้านของเธอก็เริ่มเชื่อว่าจริงๆ แล้วเด็กสาวน่าจะถูกสิงมากกว่า   มิเชลและครอบครัว   พ่อแม่ของมิเชลรีบออกตามหาบาทหลวงมาช่วยลูกสาวทันทีหลังจากนั้น และแม้ว่าจะมีบาทหลวงหลายคนปฏิเสธว่ามิเชลไม่ได้โดนผีสิง…

  • ผู้เชี่ยวชาญไขปริศนา “กลองโฟล์คตอน” อายุ 4,000 ปี แท้จริงแล้วมันเป็นเครื่องวัด

    ผู้เชี่ยวชาญไขปริศนา “กลองโฟล์คตอน” อายุ 4,000 ปี แท้จริงแล้วมันเป็นเครื่องวัด

    เคยได้ยินเรื่องกลองโบราณแห่งเมืองโฟล์คตอนไหม นี่เป็นหินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกลอง ที่มีการอายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตมีคนมากมายที่สงสัยกันว่าเจ้า “กลอง” โบราณอันนี้ จริงๆ แล้วมันมีการใช้งานอย่างไรกันแน่     แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง ในวารสารประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ศาสตราจารย์ Mike Parker Pearson แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน และศาสตราจารย์ Andrew Chamberlain จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ก็ได้ออกมาไขปริศนาการใช้งานของกลองโฟล์คตอน อ้างอิงจากข้อมูลในวารสารกลองหินโฟล์คตอนที่ถูกพบในปี 1889 ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งกลองหรือเครื่องดนตรีในสมัยก่อน แต่เป็น”เครื่องมือการวัด” ที่คนสมัยก่อนใช้ในการสร้างโบราณสถาน โดยเฉพาะโบราณสถานมีชื่ออย่างสโตนเฮนจ์     โดยการพันเชือกกับหินก้อนที่เล็กที่สุดหนึ่งรอบ จะทำให้เราได้เชือกที่ยาว 0.322 เมตร (หรือมากกว่า 1 ฟุตนิดๆ ) ซึ่งทางศาสตราจารย์ทั้งสองเรียกความยาวนี้ด้วยชื่อเล่นว่า “ฟุตยาว” (Long Foot) และหากเราลองนำเชือกมาพันรอบหินทั้งสามตามจำนวนที่กำหนด (ก้อนเล็ก 10 รอบ ก้อนกลาง 8 รอบ และก้อนใหญ่ 7 รอบ) เราจะได้เชือกที่มีความยาวในหน่วย 10 ฟุตยาวเท่ากัน และเจ้าความยาว…

  • 24 ภาพถ่ายจากศตวรรษที่ 20 ที่ ใบหน้าของคนในภาพ “ถูกตัดออก” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

    24 ภาพถ่ายจากศตวรรษที่ 20 ที่ ใบหน้าของคนในภาพ “ถูกตัดออก” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

    ตามในภาพยนตร์หรือการ์ตูน เราอาจจะเคยเห็นรูปภาพของคนที่ถูกตัดเอาไปหน้าออกไปอยู่บ้าง ซึ่งบ่อยครั้งการกระทำเหล่านี้ก็มักจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเพื่อซ่อนตัวละครที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่อาจจะมีการเปิดเผยต่อไปในภายหลัง แต่ถ้าการตัดรูปภาพเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงขึ้นมาละ เพื่อนๆ จะคิดว่าคนที่ตัดภาพนั้นทำไปเพื่ออะไรกัน? มันอาจจะเป็นความพยายามในการลบคนคนหนึ่งออกไปจากความทรงจำอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเพียงการตัดภาพเพื่อนำไปใส่ในจี้ห้อยคอกัน ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สิ่งที่หลงเหลือจากการตัดก็มักจะเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ โดยเฉพาะกับภาพเก่าๆ แล้วด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพที่มีร่องรอยถูกตัดทั้ง 24 ภาพจากช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากใบหน้าของรูปถ่ายครอบครัวรูปหนึ่งที่ใบหน้าของผู้เป็นภรรยาถูกตัดออกไป   เจ้าของบ้านมาดผู้ดีที่ส่วนศีรษะหายไป ดูจากรอยตัดอันนี้น่าจะเอาไปทำเป็นจี้ห้อยคอ   ภาพของหญิงสาว ที่มองไม่เห็นทั้งมือเท้า และใบหน้า   ภาพถ่ายงานแต่งงานที่หน้าของเจ้าบ่าวโดนฉีกออกไปจากรูป   ภาพถ่ายคู่รักที่หน้าของฝ่ายหญิงหายไปราวกับโดนเซนเซอร์   ภาพของชายหนุ่มจากยุค 30 ที่ใบหน้าถูกแทนที่ด้วยรูปของหญิงสาวอีกคน   ภาพถ่ายคู่รักอีกภาพ ที่ใบหน้าของฝ่ายชาย ถูกตัดออกไปด้วยของมีคม   ภาพถ่ายคู่สามีภรรยา ที่หน้าของภรรยาถูกตัดออกไปเป็นวงกว้าง คาดว่าอันนี้ก็ตัดไปทำจี้ห้อยคอ   ภาพถ่ายครอบครัวที่ใบหน้าของสามีหายไป ดูจากรอยตัดอันนี้ไม่น่าจะเอาไปทำจี้นะ   ภาพถ่ายพ่อลูก (หรือไม่ก็พี่น้อง) ที่ในเวลานี้เหลือคนที่ยังดูออกแค่คนเดียว   อีกหนึ่งภาพถ่ายครอบครัวที่โดนตัดไปแบบไม่น่าจะกลายเป็นจี้   ไม่ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นจะเป็นใคร คาดว่าพวกเขาคงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว…

  • นักวิทย์ไขปริศนาความตายที่ “ประตูสู่นรก” เมืองเฮียราโปลิส แท้จริงแล้วเกิดจากก๊าซคาร์บอน

    นักวิทย์ไขปริศนาความตายที่ “ประตูสู่นรก” เมืองเฮียราโปลิส แท้จริงแล้วเกิดจากก๊าซคาร์บอน

    ในอดีต ทางตอนใต้ของประเทศตุรกี มีวิหารที่ถูกเรียกโดยชาวกรีกและโรมันโบราณว่า “ประตูสู่นรก” นั่นเพราะตลอดหลายปีหลังจากที่มีการสร้างวิหารดังกล่าวขึ้น ก็มีคนจำนวนมากเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ในตอนที่เขาไปในวิหารแห่งนี้ ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างลากไปสู่ความตายไม่มีผิด     นี่เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในเมืองเฮียราโปลิสในยุคสมัยของกรีก-โรมันเมื่อราวๆ 2,000 ปีก่อน และกลายเป็นเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกที่ทำให้คนโบราณหวาดกลัวที่แห่งนี้จนแทบจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถไขปริศนาความตายของคนในพื้นที่วิหารแห่งนี้ได้สำเร็จ และแน่นอนว่าความตายของคนในสมัยก่อนนั้น ไม่ได้มาจากลมหายใจของเจ้าแห่งนรกแต่อย่างไร     สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตายของคนในสมัยก่อนมันอยู่ที่ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ทางเข้าของวิหารเองต่างหาก เพราะจากการตรวจสอบของทีมนักวิทยาศาสตร์ ในพื้นที่ใต้วิหารแห่งนี้มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่นถึง 91% ซึ่งมากพอที่จะทำให้มนุษย์เห็นภาพหลอน หรือเสียชีวิตได้อย่างไม่ยาก โดยในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์คาดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้น่าจะมาจากแนวรอยเลื่อน Badadag ในชั้นเปลือกโลก ซึ่งบังเอิญพาดผ่านพื้นที่วิหารนี้พอดี     ระดับความหนาแน่นของก๊าซที่พบทำให้ จึงไม่แปลกเลยที่ชาวกรีก-โรมันจะบันทึกเกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้ไว้ว่า “สัตว์ใดๆ ก็ตามที่ผ่านประตูเข้าไปจะต้องพบกับความตายในทันที เมื่อข้าปานกกระจอกเข้าไป มันก็หายใจเฮือกสุดท้ายและสิ้นลม” เพราะแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบริเวณก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะลดลงไปเลย ว่ากันตามตรงในตอนที่มีการค้นพบวิหารในปี 2013 นักโบราณคดียังสังเกตเห็นว่าที่รอบๆ ปากทางเข้าวิหาร มีนกจำนวนมากตายอยู่ใกล้ๆ     จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นโชคร้ายของเหล่าสัตว์อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยๆ ความตายของพวกมันก็ทำให้นักโบราณคดีรับรูปถึงอันตรายของที่แห่งนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป และแม้ว่าที่แห่งนี้จะไม่ได้มีพลังของเทพแห่งความตายอยู่จริงๆ ก็ตาม แต่จากความอันตรายของมันก็ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย ที่คนในสมัยก่อนจะยกย่องให้ที่แห่งนี้เป็นวิหารของเฮดีสไป…

  • Airai Bai ห้องประชุมสำหรับผู้ชาย ในสาธารณรัฐปาเลา เมื่อสมัยที่ปกครองโดยผู้หญิง

    Airai Bai ห้องประชุมสำหรับผู้ชาย ในสาธารณรัฐปาเลา เมื่อสมัยที่ปกครองโดยผู้หญิง

    สาธารณรัฐปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีชื่อเสียงเรื่องความงามของท้องทะเลที่ราวกับเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจเพียงเรื่องเดียวของประเทศแห่งนี้     นั่นเพราะในอดีตชาวออสโตรนีเซียนที่อาศัยอยู่ที่นี่ (ซึ่งคาดว่าย้ายถิ่นฐานมาจากอินโดนีเซียอีกที) ได้พัฒนาระบบการปกครองอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา และทำให้ในประเทศแห่งนี้กลายเป็นสังคมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ไป การสลับบทบาททางเพศของที่แห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างยากในสมัยก่อน เพราะนอกจากชุมชนจะถูกนำด้วย “ราชินี” แล้ว แม้แต่ระบบพิธีกรรมทางศาสนาเองก็มีการปรับแต่งให้ผู้หญิงเป็นผู้ดำเนินการได้สะดวกอีกด้วย แต่หากจะพูดถึงสถานที่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมในสาธารณรัฐปาเลาแล้ว เราคงจะมองข้ามบ้านที่มีชื่อว่า Airai Bai ไปไม่ได้เลย เพราะที่แห่งนี้ก็คือที่ประชุมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่พบปะของผู้ชาย ในผืนดินที่ผู้หญิงเป็นใหญ่นั่นเอง     Airai Bai เป็นสิ่งก่อสร้างขนาด 22 x 6 เมตร สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แทนบ้านหลังเก่าที่ทำหน้าที่คล้ายกัน โดยเป็นการสร้างที่อาศัยการเชื่อมไม้เข้าด้วยกัน โดยไม่ใช่ตะปูแม้แต่ตัวเดียว สถานที่แห่งนี้มักจะถูกใช้เป็นที่ประชุมของ “ผู้นำเผ่า” จำนวน 10 คน ซึ่งจะเป็นผู้ชายที่ถูกเลือกโดยราชินี หรือเหล่าผู้อาวุโสที่เป็นผู้หญิงอีกที และหากผู้หญิงคนใดต้องการจะเข้ามาในที่แห่งนี้ พวกเธอก็จะต้องได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษก่อน     สำหรับนักโบราณคดีแล้ว Airai Bai นับว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญมากในการศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศปาเลาโบราณเลยก็ว่าได้ เพราะภายในบ้านพักแห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมของตำนานและเรื่องเล่าท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมาก อ้างอิงจากรูปภาพฝาผนัง ที่บอกเล่าถึงความเป็นมา และตำนานต่างๆ ของคนในพื้นเอาไว้เป็นอย่างดี…

  • ชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นมาให้ “ยักษ์” ใช้

    ชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นมาให้ “ยักษ์” ใช้

    เมื่อพูดถึงดาบที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น คนส่วนมากก็มักจะนึกถึงดาบคาตานะของมุรามาสะขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วประเทศแห่งนักรบประเทศนี้นั้นยังมีดาบที่มีชื่อเสียงอยู่อีกหลายเล่มเลย และในวันนี้เราจะไปชม “โนริมิซุ โอดาชิ” ดาบมีชื่อเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 15 ของประเทศญี่ปุ่นกัน     โนริมิซุ โอดาชิ เป็นดาบที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความยาวที่วัดได้ถึง 3.77 เมตร และหนักถึง 14.5 กิโลกรัม เรียกได้ว่าทั้งยาวและหนักจนเกินกว่าที่คนธรรมดาจะใช้ได้เลย ดังนั้นที่ผ่านๆ มา ดาบเล่มนี้จึงถูกมองว่าทำขึ้นมาเพื่อให้ยักษ์ใช้ นี่เป็นดาบที่อยู่ในตระกูลโอดาชิ (大太刀) ดาบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่แม้จะมีรูปร่างคล้ายกับคาตานะ แต่ก็มีความโค้งและสัดส่วนด้ามจับที่ยาวกว่ามาก ซึ่งเชื่อกันว่ามีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายพอสมควร ในช่วงยุคราชสำนักเหนือ-ใต้ (1336-1392)   ขนาดโดยทั่วไปของโอดาชิ   ตามปกติดาบประเภทนี้จะมีความยาวราวๆ 90-100 เซนติเมตร (แต่บางครั้งก็ยาวถึง 2 เมตรได้เลย) ดังนั้น โอดาชิจึงมักถูกพกพาไปในสถานที่รบโดยไม่ใส่ปลอกหรือด้วยการสะพายไว้บนหลัง อย่างไรก็ตามการทำแบบนี้มักจะทำให้การชักโอดาชิออกมาใช้นั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้ว่าเราอาจจะติดภาพลักษณ์การชักดาบจากหลังก็ตาม แต่ในความเป็นจริงมันทำได้ยากมากๆ จนถึงขั้นทำไม่ได้เลย     ดังนั้นนักโบราณคดีหลายๆ คนจึงเชื่อว่าในยุคหลังๆ โอดาชิน่าจะถูกใช้ในฐานะอาวุธที่แสดงแสนยานุภาพของกองทัพเฉยๆ มากกว่าที่จะเป็นอาวุธหลักในสงคราม หากคิดแบบนั้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ดาบแบบโนริมิซุ โอดาชิ จะมีรูปร่างอย่างที่เห็น เพราะหากดาบเล่มนี้ถูกใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ หรือในพิธีการเฉยๆ แล้วล่ะก็…

  • รู้หรือไม่ ในอดีต “มหาพีระมิดแห่งกิซ่า” ที่เรารู้จักกันเคยเป็นสีขาวเปล่งประกายมาก่อน

    รู้หรือไม่ ในอดีต “มหาพีระมิดแห่งกิซ่า” ที่เรารู้จักกันเคยเป็นสีขาวเปล่งประกายมาก่อน

    มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (บางครั้งก็เรียกว่าพีระมิดคูฟู หรือพีระมิดคีออปส์) คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกซึ่งยังคงเต็มไปด้วยปริศนา ทั้งที่มีนักวิทยาศาสตร์มากมายที่พยายามไขปริศนาของมัน แต่ถึงแม้ว่าพีระมิดแห่งกิซ่าจะเป็นพีระมิดที่มหัศจรรย์เพียงไหน พีระมิดแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันได้โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว     ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่น้อยคนนักจะทราบว่าพีระมิดแห่งกิซ่านั้น แท้จริงแล้วควรจะมีสีขาวเปล่งประกายมาก่อน แต่ที่พีระมิดแห่งกิซ่ามีสภาพแบบที่เราเห็นทุกวันนี้นั้น เกิดจากการที่อิฐบางส่วนของพีระมิดถูกรื้อออกไปในช่วงศตวรรษที่ 14 เพื่อนำไปใช้สร้างป้อมปราการใกล้ๆ เมืองไคโรนั่นเอง     นี่เป็นบล็อกหินปูนจากเมืองทูรา หินปูนคุณภาพสูงที่ถูกใช้ปิดบังบล็อกหินปูนคุณภาพต่ำสีน้ำตาลเหลืองที่อยู่ด้านใต้อีกที ดังนั้นเมื่อที่บล็อกหินปูนเหล่านี้ถูกเอาออกไป พีระมิดจึงมีสภาพเป็นสีน้ำตาลเหลืองดูสกปรกแบบในปัจจุบัน เท่านั้นยังไม่พอเพราะการฝืนขนย้ายหินตรงส่วนฐานออกไป ยังทำให้หินชั้นนอกของพีระมิดค่อยๆ พังทรายลงมาจนเกิดเป็นเศษหินที่ฐานของพีระมิดอย่างที่เราอาจจะเห็นในภาพถ่ายบางใบไป     เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ฟาโรห์คูฟูแห่งราชวงศ์ที่ 4 สั่งให้มีการทำพีระมิดให้เป็นสีขาวนั้น น่าจะมาจากความคิดที่ว่า สีขาวนั้นสะท้อนแสง ดังนั้นการทำพีระมิดให้เป็นสีขาวก็น่าจะทำให้มองเห็นได้จากระยะไกลนั่นเอง อันที่จริงแล้วราชวงศ์ที่ 4 เองก็ไม่ใช่ราชวงศ์แรกของอียิปต์ที่มีการทำพีระมิดแต่อย่างใด เพราะหากพูดถึงพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดจริงๆ แล้ว จะต้องเป็นพีระมิดโจเซอร์หรือพีระมิดแห่งซักการาซึ่งเป็นฝีมือของราชวงศ์ที่ 3 แห่งอียิปต์ต่างหาก     อย่างไรก็ตามหากเทียบกันแล้วพีระมิดของราชวงศ์ที่ 3 (รวมไปถึงพีระมิดแห่งดาชูร์ด้วย) มักจะมีปัญหาเกิดกับการก่อสร้างจนทำให้การสร้างพีระมิดไม่เสร็จหรือออกมาไม่ดีอย่างที่ควรไป ด้วยเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของพีระมิด “ที่แท้จริง” ในสายตาของหลายๆ คนจึงกลายเป็นพีระมิดที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงราชวงศ์ที่ 4 ไปต้นไปแทนนั่นเอง     และถึงแม้ว่ามหาพีระมิดแห่งกิซ่า อาจจะไม่ได้ขาวสวยเหมือนกับแต่ก่อนแล้วก็ตาม…

  • รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนเคยมีการปรับปรุง “คัมภีร์ไบเบิล” ไว้สำหรับใช้กับทาสโดยเฉพาะ

    รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนเคยมีการปรับปรุง “คัมภีร์ไบเบิล” ไว้สำหรับใช้กับทาสโดยเฉพาะ

    ในช่วงเวลาที่การใช้งานทาสยังเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายกันอยู่ ถ้าหากว่าทาสมีความรู้มากพอที่จะอ่านหนังสือได้ หนึ่งในหนังสือที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้อ่านได้ก็มักจะเป็นคัมภีร์ไบเบิลนั่นเอง เอาเข้าจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนอกจากการเผยแผ่ศาสนาจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว ในคัมภีร์ไบเบิลบทของโยเซฟยังมีการสอนให้ทาสทำตัวให้สมเป็นทาสอีกด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย     เพียงแต่ในคัมภีร์ไบเบิลที่เหล่าทาสได้อ่านนั้นอาจจะแตกต่างไปจากคัมภีร์ไบเบิลปกติอยู่บ้าง เพราะในคัมภีร์ไบเบิลของพวกเขา เรื่องราวส่วนมากในพันธสัญญาเดิมกลับหายไป แถมส่วนของพันธสัญญาใหม่เอง ก็มีอยู่ประมาณครึ่งเดียวของที่ควรเป็นอีกด้วย นี่เป็นคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่เรียกกันว่า “ส่วนหนึ่งของไบเบิล สำหรับใช้งานกับทาสชาวนิโกรในหมู่เกาะอังกฤษ – อินเดียตะวันตก”     ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนสั่งทำคัมภีร์ไบเบิลรูปแบบนี้เป็นคนแรก แต่เป็นไปได้ว่านี่จะเป็นคัมภีร์ไบเบิลที่ทำขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่เหล่าทาสจะได้รับแรงบันดาลใจในการต่อต้านเจ้านายขึ้นมาจากการอ่านหนังสือ ดังนั้นเรื่องราวของการปลดปล่อยอย่างการที่โมเสสนำชาวอิสราเอลไปสู่อิสรภาพ จึงถูกนำออกไปจากตัวพระคัมภีร์     เป็นไปได้ว่านี่อาจจะมาจากความคิดของผู้เผยแผ่ศาสนาในสมัยนั้น ที่ต้องการจะเผยแผ่ศาสนาแต่ก็กลัวว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์จะทำให้ทาสเกิดลุกฮือขึ้นมาก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสอนแต่เรื่องที่ทำให้คนยอมรับความเป็นทาสก็เท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสเหล่านี้ถูกพบหลักฐานการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1807 ราวๆ 3 ปี หลังจากการปฏิวัติเฮติ (ซึ่งเป็นการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวที่ทาสสามารถเอาชนะเจ้านายชาวยุโรปได้) จบลง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนในช่วงนี้จะกลัวการปฏิวัติของทาสมากขึ้นไปอีก     แต่ที่แปลกคือนอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับทาสแล้ว คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสยังมีการนำเอาเนื้อความเกี่ยวกับความเท่าเทียมและบทวิวรณ์ (Revelations) ซึ่งพูดถึงโลกใบใหม่กับการลงโทษคนเลวก็ยังถูกเอาออกไปด้วย นั่นทำให้คัมภีร์ไบเบิลสำหรับทาสนั้น แทบจะเป็นหนังสือที่ดูไร้ซึ่งความหวังโดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้   ที่มา history

  • พบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เดนมาร์ก เก่าแก่ยิ่งกว่ายุคไวกิ้ง แต่ยังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    พบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เดนมาร์ก เก่าแก่ยิ่งกว่ายุคไวกิ้ง แต่ยังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    หากพูดถึงการค้นพบอาวุธโบราณที่เดนมาร์ก เชื่อว่าคนส่วนมากก็จะนึกถึงอาวุธของชาวไวกิ้งขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งแรก เพียงแต่การค้นพบในครั้งนี้มันต่างไปจากการค้นพบอื่นๆ พอสมควรเลยนี่สิ นั่นเพราะที่เกาะซีแลนด์ ทางตะวันออกของเดนมาร์ก นักโบราณคดีมือใหม่สองคนได้ทำการค้นพบดาบโบราณอายุกว่า 3,000 ปี ที่เก่าแก่ยิ่งกว่ายุคสมัยของชาวไวกิ้งเสียอีก     นักโบราณคดีมือใหม่ทั้งสองคือ Ernst Christiansen และ Lis Therkelsen ผู้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะในการตรวจสอบพื้นที่เมืองเล็กๆ ที่บนเกาะที่ชื่อ Svebølle ซึ่งที่ผ่านๆ มาก็เคยมีการค้นพบโบราณวัตถุอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองติดต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ Vestsjælland ทันทีหลังจากที่มีการค้นพบ และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาก็พบว่าดาบที่พบมีอายุเก่าแก่มากอย่างไม่น่าเชื่อเลย     โดยนี่เป็นดาบซึ่งทำขึ้นมาจากสัมฤทธิ์ที่มีความยาว 82 เซนติเมตร และคาดว่าน่าจะเคยมีด้ามจับที่ทำจากหนังสัตว์มาก่อน ซึ่งแม้ว่าตัวหนังสัตว์จะถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่ตัวดาบที่พบกลับยังมีสภาพที่ดีมาก โดยอ้างอิงจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญ ดาบเล่มนี้น่าจะมาจากยุคสัมฤทธิ์ของชาวนอร์ดิกราว 1,100-900 ปีก่อนคริสตกาล แถมยังมีการเก็บรักษาที่ค่อนข้างดี จนตัวดาบยังค่อนข้างคมเลยทีเดียว     นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะจริงอยู่ว่าที่พื้นที่บนเกาะนี้จะเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอยู่บ่อยๆ แต่ดาบที่สมบูรณ์ขนาดนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ง่ายๆ เพราะในสมัยนั้นอาวุธที่ถูกใช้งานบ่อยๆ จะเป็นกระบองและขวานต่างหาก นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ว่าดาบที่พบนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานเป็นอาวุธ แต่เป็นสิ่งแสดงสถานะทางสังคมเสียมากกว่า เนื่องจากการใช้ดาบนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกฝนที่มากว่าอาวุธชนิดอื่นๆ ในสมัยเดียวกันอยู่พอสมควรเลยนั่นเอง   ที่มา ancient-origins, thevintagenews

  • ย้อนรอยการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟกรากะตัว ประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชาวโลกต้องหวาดผวา

    ย้อนรอยการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟกรากะตัว ประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชาวโลกต้องหวาดผวา

    ในช่วงเวลาที่มีข่าวภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่ชายฝั่งอินโดนีเซียเช่นนี้ หลายๆ คนอาจจะได้ยินเชื่อเสียงของภูเขาไฟกรากะตัวกันมาบาง ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ภูเขาไฟรุนแรงที่สุดที่ประเทศอินโดนีเซียเจอหรอกนะ     ภูเขาไฟกรากะตัวนั้น ตั้งอยู่ที่หมู่เกาะชื่อเดียวกันระหว่างเกาะชวากับเกาะสุมาตรา และเชื่อกันว่ามีอยู่บนโลกมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งล้านปีแล้ว จากสภาพของตัวภูเขาไฟเอง นักธรณีหลายๆ คนก็เชื่อว่าในสมัยก่อนภูเขาไฟแห่งนี้น่าจะเคยมีการระเบิดมาหลายครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการระเบิดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้นั้น กับเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1680 เท่านั้น อย่างไรก็ตามเหตุการณ์การระเบิดครั้งที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมาของภูเขาไฟกรากะตัว เกิดขึ้นเมื่อราวๆ 200 ปีหลังจากนั้นต่างหาก     เพราะหลังจากที่ภูเขาไฟดูเหมือนจะสงบมาตลอดนั่นเอง ในเดือนสิงหาคมปี 1883 ภูเขาไฟลูกนี้ก็ได้เกิดการปะทุอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนทำให้พื้นที่รอบๆ ราว 70% ยุบตัวกลายเป็นแอ่งไปเลยทีเดียว จริงอยู่ที่ว่า ภูเขาไฟเริ่มมีอาการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้วแต่ในสมัยนั้นไม่มีใครคิดว่าการปะทุจะรุนแรงมากขนาดนี้ จึงทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมียอดผู้เสียชีวิตอย่างต่ำๆ ราว 36,400 คน   สภาพพื้นที่รอบๆ ภูเขาไฟกรากะตัว ก่อนและหลังเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุในปี 1883   จากบันทึกในสมัยนั้น เสียงของการปะทุของภูเขาไฟสามารถได้ยินไกลถึง 4,830 กิโลเมตร (ได้ยินกันข้ามประเทศ) แถมเถ้าภูเขาไฟยังสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร และแผ่กว้างกินพื้นที่กว่า 240 กิโลเมตร จนบดบังดวงอาทิตย์เสียจนมิด เท่านั้นยังไม่พอกำมะถันปริมาณมหาศาลที่ปะทุออกมายังตกค้างไปในบรรยากาศโลกจนทำให้โลกต้องพบกับฤดูหนาวจากภูเขาไฟ ที่ทำให้อุณหภูมิทั่วโลกลดลงไปยาวนานถึง 5 ปีเลยด้วย…

  • ย้อนรอย “เรือโอลิมปิก” เรือพี่น้องของไททานิค ที่สามารถหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมได้ทั้งชีวิต

    ย้อนรอย “เรือโอลิมปิก” เรือพี่น้องของไททานิค ที่สามารถหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมได้ทั้งชีวิต

    เคยได้ยินเรื่องราวของเรือโอลิมปิกไหม? นี่เป็นเรือขนาดใหญ่ที่เป็นเรือพี่น้องของไททานิค แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงดังเท่าไททานิคก็ตาม อย่างน้อยๆ เรือโอลิมปิกก็ไม่ได้โชคร้ายชนภูเขาน้ำแข็ง     อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก เป็นหนึ่งในสามเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทไวท์สตาร์ไลน์ (อีกสองลำคือไททานิค และบริแทนนิก) ถูกปล่อยสู่ทะเลครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1910 และได้ชื่อว่าเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น (ก่อนจะแพ้ให้ไททานิคในเวลาต่อมา) เรือโอลิมปิกมีความยาว 260 เมตร และความกว้าง 28 เมตร มันสามารถจุคนได้สูงสุดถึง 2,300 คน และเดินทางได้ไกลถึง 700-870 กิโลเมตรต่อวัน อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่น่าสนใจของเรือโอลิมปิกอยู่ที่ประวัติการเดินเรือมากกว่า     นั่นเพราะหลังจากออกเดินเรือได้ไม่นาน ในวันที่ 20 กันยายน 1911 เรือโอลิมปิกก็ต้องพบกับเรื่องโชคร้ายทันทีเมื่อระหว่างการออกเดินทางจากเซาธ์แทมป์ตัน เรือโอลิมปิกก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับเรืออีกลำ สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ถูกตัดสินว่าเกิดจากขนาดที่ใหญ่ของเรือโอลิมปิกทำให้กระแสน้ำดึงเอาเรืออีกลำเข้ามาใกล้โดยไม่รู้ตัว ทำให้สุดท้ายเรือทั้งสองจึงชนกันอย่างรุนแรงในที่สุด     เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เรือโอลิมปิกมีรูขนาดใหญ่สองรู (ส่วนเรือที่ชนนั้นส่วนหัวเรือพังเละเทะไปเลย) จนต้องมีการส่งซ่อมเป็นเวลายาวนานหลายเดือนเลยทีเดียวนับว่าโชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้การซ่อมแซมเรือจะดูเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่ปัญหาจริงๆ ที่แฝงมากับของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอยู่ที่การทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเชื่อกันว่าเรือขนาดใหญ่จะไม่มีวันจมต่างหาก และความเชื่อแบบนี้เองก็จะส่งผลร้ายกับเรือไททานิคต่อไป   เรือโอลิมปิกกับเรือไททานิค   ราวๆ 2…

  • 28 ภาพเรื่องราวของกำแพงเบอร์ลิน ตั้งแต่ตอนที่สร้างขึ้นเรื่อยไปจนวันที่ถูกทำลาย

    28 ภาพเรื่องราวของกำแพงเบอร์ลิน ตั้งแต่ตอนที่สร้างขึ้นเรื่อยไปจนวันที่ถูกทำลาย

    ในช่วงสงครามเย็น มีคนมากมายที่พยายามจะแอบหนีออกจากเบอร์ลินตะวันออกของโซเวียตและปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกที่ปกครองด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร ดังนั้นทางเบอร์ลินตะวันออกจึงได้สร้าง “กำแพงเบอร์ลิน” เพื่อป้องกันการหนีที่เกิดขึ้น จากวันนั้นมาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 57 ปีแล้ว ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะภาพเพื่อนๆ ไปชม 28 ภาพของกำแพงเบอร์ลิน ตั้งแต่ในตอนที่สร้างขึ้นเรื่อยไปจนวันที่ถูกทำลายกัน   เริ่มกันจากวันที่ 13 สิงหาคม 1961 วันแรกที่มีการกั้นชายแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกกับเบอร์ลินตะวันตก   ภาพการวางกำแพงคอนกรีตชิ้นแรกๆ ในเดือนสิงหาคม 1961   มุมมองการก่อสร้างกำแพงจากมุมสูง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1961   ทางผ่านส่วนใหญ่ระหว่างเมืองจะถูกปิด และที่สะพาน Bornholmer ก็มีการวางเหล็กป้องกันรถถังเอาไว้   หน่วยตระเวนชายแดนของเยอรมันตะวันออก ดูแลความปลอดภัยของกำแพงด้วยกล้องส่องทางไกล   การทำลายสิ่งปลูกสร้างเพื่อสร้างกำแพงในเดือนตุลาคม 1961   เด็กสาวมองออกมาจากกำแพงของเขตตะวันออก ตุลาคม 1961   การโรยเศษแก้วบนกำแพง 4.5 เมตร   หนึ่งในความพยายามหนีจากเบอร์ลินตะวันออกในวันที่ 16 ตุลาคม 1961  …

  • อีกด้านของโปรเจกต์ “MK-Ultra” เมื่อ CIA ทดลองการควบคุม “สุนัข” ด้วยการผ่าสมอง

    อีกด้านของโปรเจกต์ “MK-Ultra” เมื่อ CIA ทดลองการควบคุม “สุนัข” ด้วยการผ่าสมอง

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องโปรเจกต์ “MK-Ultra” กันมาบ้าง นี่เป็นโปรเจกต์ของทาง CIA ที่ว่าด้วยการทดลองการควบคุมจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยา LSD การช็อตไฟฟ้า หรือแม้แต่ยาเสพติด ว่าแต่รู้รึเปล่าว่าในการทดลองครั้งนี้ มนุษย์ไม่ใช่เหยื่อเพียงกลุ่มเดียวของโปรเจ็กต์ MK-Ultra หรอกนะ     เพราะจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจากทาง CIA เมื่อช่วงก่อนนี้เองก็ได้มีการพูดถึงอีกด้านหนึ่งของโปรเจกต์นี้เอาไว้ด้วย ซึ่งนั่นก็คือการทดลองควบคุม “สุนัข” นั่นเอง โดยจากการรายงานของสื่อต่างประเทศดูเหมือนว่าในปี 1967 ทาง CIA จะประสบความสำเร็จในการ “สร้าง” สุนัขที่สามารถควบคุมผ่านเครื่องควบคุมทางไกลได้แล้ว อย่างน้อยๆ 6 ตัว ด้วยการ “กระตุ้น” กระแสไฟฟ้าบางส่วนในสมอง นี่หมายความว่าอย่างน้อยๆ พวกเขาจะต้องเคยผ่าตัดสมองของสุนัขทั้งหกตัว เพื่อใส่เครื่องมือกระตุ้นลงไปนั่นเอง   ภาพโครงสร้างโดยคร่าวๆ ของเครื่อง “ควบคุม” สุนัข   โดยในเอกสารของทาง CIA ความรุนแรงของกระแสไฟฟ้าที่จำเป็นนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะเฉพาะของสุนัขแต่ละตัว และเครื่องมือชิ้นนี้มีระยะทำการสูงสุดอยู่ที่ 90-180 เมตร นับว่าโชคดีมากที่สุนัขทั้งหกไม่เคยได้ออกปฏิบัติการในพื้นที่จริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากปัญหามากมายที่ตามจากตัวโปรเจ็กต์เอง   ภาพการทดลองให้สุนัขวิ่งในรูปแบบที่กำหนด   กล่าวคือการจะทดลองประสิทธิภาพสูงสุดของสุนัขนั้นจำเป็นต้องให้พื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งทางทีมงานไม่สามารถหาได้ บวกกับแผลการผ่าตัดเองก็ทำให้สุนัขหลายๆ ตัวไม่สามารถปฏิบัติการได้ดีเท่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย…

  • ชมภาพถ่าย “หลุมน้ำแข็งยักษ์บนดาวอังคาร” ความงดงามชิ้นใหม่จากดาวสีแดงเพื่อนบ้านของเรา

    ชมภาพถ่าย “หลุมน้ำแข็งยักษ์บนดาวอังคาร” ความงดงามชิ้นใหม่จากดาวสีแดงเพื่อนบ้านของเรา

    ตลอดเวลา 15 ปีตั้งแต่ที่มีการปล่อยออกไปในปี 2003 กล้องกล้องสเตอริโอความละเอียดสูงของ “Mars Express” ก็ได้ลอยลำอยู่ที่ดาวอังคาร และเก็บภาพสำคัญๆ สำหรับดาวสีแดงดวงนี้กลับมาให้คนบนโลกได้ดูเป็นจำนวนมาก และในช่วงใกล้วันคริสต์มาสแบบนี้นี่เอง Mars Express ก็ได้ให้ของขวัญสุดงดงามแก่โลกอีกครั้งด้วยภาพของหลุมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งบนดาวอังคารนั่นเอง     นี่เป็นภาพของหลุมที่มีชื่อว่า “โคโรเลฟ” (ได้ชื่อมาจากเซียร์เกย์ โคโรเลฟ วิศวกรและนักออกแบบยานอวกาศของโซเวียต) ซึ่งมีขนาดความกว้าง 82 กิโลเมตร ความลึกร่วม 1.8 กิโลเมตร และเก็บเอาน้ำแข็งสีขาวเอาไว้ถึง 2,200 ลูกบาศก์กิโลเมตร ดูเหมือนว่าที่เป็นเช่นนี้จะเป็นเพราะความลึกของพื้นผิวหลุมมันสูงมากจนทำให้อากาศที่อยู่ข้างใต้เย็นอยู่ตลอดเวลา แถมยังแผ่ออกไปรอบๆ จนเกิดเป็นหลุมน้ำแข็งอย่างที่เห็นไปในที่สุด     องค์การอวกาศยุโรปหรือ ESA ผู้เป็นเจ้าของโครงการ Mars Express บอกว่าภาพที่เห็นนี้มาจากการถ่ายภาพในมุมต่างๆ กัน 5 “แถบ” ก่อนที่จะนำมารวมกันเป็นภาพขนาดใหญ่เพียงหนึ่งภาพ จริงอยู่ว่าภาพที่เห็นนั้นจะไม่ใช่ทั้งการค้นพบน้ำแข็งบนดวงอังคารเป็นครั้งแรก และมีการตกแต่งเล็กน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการมองก็ตาม แต่ทาง ESA ก็บอกว่านี่เป็นเหมือนของขวัญที่ดีสำหรับคนรักวันหยุดเลย     นั่นเพราะรูปภาพที่ออกมานั้นนับว่ามีความสวยงามมากอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขนาดว่าถ้าอยู่บนโลก สถานที่แบบนี้อาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงไปเลยก็เป็นได้   ที่มา ladbible และ telegraph

  • เปิดเรื่องราว “ทวีปซีแลนเดีย” ทวีปจมน้ำที่มีอยู่จริงที่ใต้ประเทศนิวซีแลนด์

    เปิดเรื่องราว “ทวีปซีแลนเดีย” ทวีปจมน้ำที่มีอยู่จริงที่ใต้ประเทศนิวซีแลนด์

    เชื่อว่าทุกๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของทวีปที่จมน้ำไปอย่างแอตแลนติสกันมาบ้าง แต่ในขณะที่แอตแลนติสเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ในโลกของเราก็ยังมีทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำจริงๆ นี่สิ ทวีปดังกล่าวมีชื่อว่า “ทวีปซีแลนเดีย” ทวีปใหม่ของโลกที่ถูกค้นพบในปี 2017 โดยมันเป็นแผ่นดินขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก และอยู่ใต้ประเทศนิวซีแลนด์แบบพอดิบพอดี     อันที่จริงต้องบอกว่าประเทศนิวซีแลนด์เป็นส่วนของทวีปซีแลนเดียเพียงไม่กี่ส่วนที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำจะถูกกว่า เพราะประเทศนิวซีแลนด์นั้น นับเป็นพื้นที่ส่วนที่สูงที่สุดราวๆ 6% ของทวีปแห่งนี้เลยนั่นเอง ทวีปซีแลนเดียเชื่อกันว่าแยกออกจากมาทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อช่วงระหว่าง 85-130 ล้านปีก่อน และจมลงเมื่อ 60–85 ล้านปีก่อนโดยแยกออกมาจากทวีปออสเตรเลียที่อยู่ใกล้ๆ อีกที   เส้นสีชมพูแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของทวีปซีแลนเดีย   ทวีปซีแลนเดียมีการพูดถึงเป็นครั้งแรกในปี 1995 โดยนักธรณีฟิสิกส์และนักสมุทรศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ Bruce Luyendyk โดยในเวลานั้น Bruce ได้พยายามเปรียบเทียบคุณสมบัติทางธรณีวิทยาของแอนตาร์กติกาเข้ากับนิวซีแลนด์ และพบกับความเป็นไปได้ที่ว่าใต้นิวซีแลนด์อาจจะมีแผ่นดินขนาดใหญ่อยู่   Bruce Luyendyk ตอนที่เดินทางไปยังนิวซีแลนด์   แนวคิดของเขาได้รับการพิสูจน์ในปี 2017 โดยทีมนักสำรวจทางธรณีวิทยา 11 คน แถมนอกจากจะพบแผ่นดินแล้ว พวกเขายังมีการพบหินที่เป็นลักษณะร่วมของทวีปทั้งหมดบนโลกทั้ง 3 ชนิด (หินอัคนี หินแปร และหินตะกอน) บนซีแลนเดียอีกด้วย นั่นทำให้ซีแลนเดียมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นทวีปได้จริงๆ…

  • พบคาถาอราเมอิกอายุ 2,800 ปี ที่ใช้จับ “ผู้กลืนกิน” ซึ่งทำให้เหยื่อเจ็บปวดจาก “ไฟ” ได้

    พบคาถาอราเมอิกอายุ 2,800 ปี ที่ใช้จับ “ผู้กลืนกิน” ซึ่งทำให้เหยื่อเจ็บปวดจาก “ไฟ” ได้

    ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาแต่โบราณ ดังนั้นที่ผ่านๆ มา เราจึงมีการค้นพบโบราณวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและความเชื่ออยู่บ่อยๆ และเมื่อล่าสุดนี้เองนักโบราณคดีก็ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่น่าสนใจอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ พวกเขาได้พบกับ “คาถา” อายุร่วม 2,800 ปี ที่เขียนไว้ในภาษาอราเมอิก และบอกเล่าถึงสัตว์ร้ายที่มีความสามารถในการสร้างไฟได้     โดยเจ้าคาถาที่ว่านี้ ถูกเขียนเอาไว้บนแผ่นศิลาจากเมื่อช่วง 850-800 ปีก่อนคริสตกาล ที่มีการค้นพบครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2017 ภายในสิ่งปลูกสร้างขนาดเล็ก (ที่น่าจะเป็นวิหาร) ภายในแหล่งโบราณสถาน “Zincirli” ที่ประเทศตุรกี นี่เป็นคาถาที่ถูกเขียนไว้โดยชายผู้ฝึกฝนไสยเวทย์นาม “ราฮิม บุตรแห่งชาดาดาน” (Rahim son of Shadadan) และเกี่ยวข้องกับการจับสัตว์ร้ายที่ถูกเรียกว่า “ผู้กลืนกิน” (The Devourer)   แหล่งภาพโบราณสถาน Zincirli   แผ่นศิลาที่พบนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นศิลาภาษาอราเมอิกที่มีความเก่าแก่มากๆ แผ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ (ถึงจะไม่ได้เก่าแก่ที่สุดก็ตาม) แถมยังมีความสำคัญมากพอที่จะทำให้คนในสมัยนั้นเก็บมันเอาไว้เป็นเวลานานหลังจากที่มีการทำขึ้นอีกด้วย จากเนื้อความแล้ว ดูเหมือนว่าผู้กลืนกินที่ว่าจะมีความสามารถทำให้เหยื่อของมันเจ็บปวดจาก “ไฟ” ได้ และการที่จะรักษาเหยื่อให้หาย ก็จำเป็นต้องใช้เลือดของผู้กลืนกินในการรักษาเสียด้วย ดังนั้นคาถาชิ้นนี้จึงถูกคิดค้นขึ้นมานั่นเอง โดย Madadh Richey หนึ่งในผู้ทำการวิจัยศิลาแผ่นนี้บอกว่า…

  • นักวิจัยสร้างโมเดล 3 มิติของ “พูมาพันกู” ไขความเชื่อที่ว่า ที่นี่ถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว

    นักวิจัยสร้างโมเดล 3 มิติของ “พูมาพันกู” ไขความเชื่อที่ว่า ที่นี่ถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว

    เคยได้ยินเรื่องของ “พูมาพันกู” กันมาก่อนไหม นี่เป็นซากปรักหักพังของกำแพงขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในวิหารโบราณติวานากูในประเทศโบลิเวีย และมีโครงสร้างที่แปลกประหลาดมากจนชาวอินคาสมัยก่อนไม่น่าจะสร้างได้     นั่นทำให้ที่ผ่านมามีคนหลายคนที่เชื่อกันว่าพูมาพันกูนั้นน่าจะถูกสร้างโดยบางสิ่งบางอย่างที่ “ไม่ใช่มนุษย์” จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เพราะล่าสุดนี้เอง ทีมนักวิจัยในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียก็ได้ทำการสร้างวิหารติวานากูแบบจำลองขึ้นมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีสามมิตินั่นเอง     โดยโมเดลที่เห็นนี้เกิดขึ้นจากการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของพูมาพันกูที่ถูกเก็บมาอย่างยาวนานของเหล่านักโบราณคดี ตั้งแต่ที่กำแพงดังกล่าวถูกค้นพบ และรวบรวมกันเป็นโมเดลสามมิติที่มีขนาด 4% ของสถานที่จริง แต่โมเดลที่ออกมานั้น ไม่ใช่ผลงานเพียงอย่างเดียวของนักวิจัยกลุ่มนี้ นั่นเพราะในระหว่างการสร้างโมเดลนี้ขึ้นมา พวกเขายังได้พบกับหลักฐานที่ว่าพูมาพันกูนั้น ไม่น่าจะสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย     นั่นเพราะเดิมทีแล้ว ชิ้นส่วนของพูมาพันกูไม่ได้มีความใกล้เคียงกับโบราณสถานอื่นๆ เลยจนทำให้มีคนจำนวนมาก คิดว่าสิ่งที่พบนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ไป อย่างไรก็ตามในระหว่างการประกอบโมเดลจากข้อมูลที่มี ทีมวิจัยก็พบว่า โครงสร้างของตัววิหาร มีความใกล้เคียงกับโบราณสถานใกล้เคียงกันอีกสองแห่งมาก เพราะเดิมทีแล้วตัววิหารที่เห็นน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างรูปร่างตัว T (แบบรูปข้างบน) มากกว่า ส่วนวัตถุรูปตัว H ที่พบเองจริงๆ แล้วก็เป็นประดูหรือหน้าต่างที่แกะขึ้นจากหินขนาดใหญ่ก้อนเดียวด้วย   สภาพของพูมาพันกูในปัจจุบัน   Alexei Vranich หนึ่งในทีมวิจัยเล่าว่า อุบัติเหตุหลายๆ อย่างตลอดช่วงหลายร้อยปีหลังจากที่มีการค้นพบ บวกกับการบูรณะที่ไม่ดีในปี 2006 ทำให้พูมาพันกูมีรูปร่างเปลี่ยนไปจากที่มันควรจะเป็นมาก ถึงขั้นที่ว่าตำแหน่งของหินที่เราเห็นในปัจจุบันนั้น ไม่มีชิ้นไหนเลยที่อยู่ในที่ที่มันควรเป็น…

  • ชมรูปถ่ายที่ “ฉลาดที่สุด” จากการรวมเหล่าอัจฉริยะ ในประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5

    ชมรูปถ่ายที่ “ฉลาดที่สุด” จากการรวมเหล่าอัจฉริยะ ในประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5

    ในโลกใบนี้มีภาพที่น่าสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งบ่อยครั้งเป็นผลมาจากความบังเอิญที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ แต่ในบางครั้งภาพสุดมหัศจรรย์ก็อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ได้เหมือนกัน     อย่างภาพที่เห็นนี้เอง หากมองเผินๆ ก็อาจจะสงสัยว่ามันน่าสนใจตรงไหน แต่หากสังเกตให้ดีๆ เพื่อนๆ จะรู้ว่านี่คือภาพที่ร่วมเอาเหล่านักวิทยาศาสตร์มือฉมังของโลกเอาไว้นั่นเอง โดยภาพที่รวมเอาคนที่ฉลาดสุดๆ มาไว้ด้วยกันภาพนี้ถูกถ่ายขึ้นเมื่อปี 1927 ภายในการประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5 ในประเทศเบลเยียม และทำให้การประชุมครั้งนั้นกลายเป็นตำนานไป   ภาพการประชุมนานาชาติโซลเวย์ครั้งที่ 5 แบบไม่ผ่านการลงสี   การประชุมครั้งนี้มีหัวข้อการพบปะพูดคุยอยู่ที่เรื่องของ “อิเล็กตรอนและโฟตอน” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล (ทั้งก่อนจัดงานและหลังจัดงาน) เข้าร่วมประชุมถึง 17 คน นำทีมโดย Niels Bohr และ Albert Einstein คนที่อยู่ในรูปนั้นประกอบด้วย (จากหลังไปหน้า จากซ้ายไปขวา) – Auguste Piccard ผู้ออกแบบยานสำรวจน้ำลึก และบิดาของ Jacques Piccard ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเรือดำน้ำ     – Emile Henriot ชายผู้แสดงให้โลกเห็นว่าโพแทสเซียมและรูโดเดียมเป็นสารกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ – Paul Ehrenfest เพื่อนของ Einstein…

  • งานวิจัยใหม่พบ ชาวไวกิ้งนำแมวขึ้นเรือไปด้วยก็จริง แต่อาจจะไม่ได้รักแมวอย่างที่เราคิด

    งานวิจัยใหม่พบ ชาวไวกิ้งนำแมวขึ้นเรือไปด้วยก็จริง แต่อาจจะไม่ได้รักแมวอย่างที่เราคิด

    เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินงานวิจัยบอกว่า ในอดีตชาวไวกิ้งมักนำแมวขึ้นเรือไปไหนมาไหนด้วย จนหลายๆ คนอาจจะคิดว่าไวกิ้งนั้นน่าจะรักแมวพอสมควรเลยทีเดียว   ที่ไวกิ้งนำแมวขึ้นเรือไปด้วย ก็เพื่อให้แมวช่วยล่าหนูนั่นเอง   แต่ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วไวกิ้งอาจจะไม่ได้รักแมวมากๆ อย่างที่พวกเราคิดก็เป็นได้ เพราะจากการค้นพบใหม่ล่าสุดของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ดูเหมือนว่าในสมัยก่อน ชาวไวกิ้งจะเอาหนังของแมวมาทำเป็นเครื่องแต่งกายเสียอย่างนั้น นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ได้ทำการรวบรวมกระดูกของแมวจากในยุคไวกิ้ง ตามแหล่งโบราณคดีทั่วประเทศเดนมาร์ก เพื่องานวิจัยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของแมวในอดีตเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน     นี่จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ถือว่าบังเอิญมากจริงๆ เพราะในระหว่างการตรวจสอบซากแมวที่ได้มานั้นเอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าแมวของชาวไวกิ้งในช่วงคริสต์ศักราชที่ 793–1066 นั้น มักจะมีร่องรอยการถูกตัดด้วยของมีคม หรือคอที่หัก นี่เป็นลักษณะของการสังหารที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างชัดเจน และจากร่องรอยอื่นๆ ที่พบ พวกเขาก็เชื่อว่านี่เป็นผลจากวิธีการฆ่าแมวที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการถลกหนังนั่นเอง     น่าเสียดายที่ในงานวิจัยครั้งนี้ ไม่ได้มีการอธิบายรายละเอียดอื่นๆ เอาไว้ เนื่องจาก เดิมทีแล้ว การค้นพบนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายงานวิจัยของพวกเขา อย่างไรก็ตามในงานวิจัยนี้ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ เขียนเอาไว้เช่นกัน อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อเทียบกับในสมัยก่อน แมวในปัจจุบันมีขนาดใหญ่มากขึ้นถึงราวๆ 16% โดยเฉลี่ยเลยทีเดียว นี่นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก เพราะตามปกติสัตว์ที่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยงในบ้านมักจะมีขนาดเล็กลงจากในอดีตมากกว่า (อย่างสุนัขเป็นต้น)   กะโหลกของแมวในยุคไวกิ้ง (ขวาบน) กับแมวในปัจจุบัน (ขวาล่าง)   เป็นไปได้ว่าเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะมาจากอาหาร…

  • พบสิ่งปลูกสร้างคล้ายพีระมิดซ่อนอยู่ในอินโดนีเซีย เชื่ออาจมีอายุมากกว่า 9,000 ปี

    พบสิ่งปลูกสร้างคล้ายพีระมิดซ่อนอยู่ในอินโดนีเซีย เชื่ออาจมีอายุมากกว่า 9,000 ปี

    แม้ว่าตามปกติหากพูดถึงพีระมิด คนส่วนใหญ่จะนึกถึงประเทศอียิปต์ขึ้นมาเป็นที่แรก แต่ในความเป็นจริงนั้นมีวัฒนธรรมอีกหลายแห่ง ที่มีสิ่งปลูกสร้างในรูปแบบพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นชาวแอซเท็ก หรือแม้แต่ชาวจีนก็ตาม และล่าสุดนี้เองที่ประเทศอินโดนีเซียก็ได้มีการค้นพบสิ่งปลูกสร้างที่รูปร่างคล้ายกับพีระมิดเช่นกัน     นี่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นวิหารโบราณขนาดใหญ่ ที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดินมาเป็นเวลายาวนานกว่า 1,000 ปี จนพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพคล้ายภูเขาธรรมดาๆ ลูกหนึ่ง ที่ตั้งของวิหารดังกล่าวอยู่ที่ภูเขาปาดัง ในจังหวัดชวาตะวันตก และมีแหล่งโบราณคดีซึ่งถูกค้นพบไปในศตวรรษที่ 1 ทับอยู่ข้างบนอีกที   บริเวณที่วิหารถูกฝัง (วงกลมสีแดง) และโบราณคดีที่อยู่ข้างบน (วงกลมสีเหลือง)   การค้นพบที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม ด้วยเครื่องมือการสำรวจใต้ดินหลายหลายชนิด ตั้งแต่เรดาร์ใต้ดิน ระบบเอกซเรย์ เรื่อยไปจนการขุดค้นด้วยสว่านและด้วยมือ จนกระทั่งพบกับวิหารโบราณ จริงอยู่ว่าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้จะมีรูปแบบคล้ายพีระมิดก็ตาม แต่มันก็แตกต่างจากพีระมิดของอียิปต์หรือมายา เพราะพีระมิดที่นี่มีการสร้างซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ตามยุคสมัย ทำให้อายุของแต่ละชั้นมีความเก่าแก่ที่แตกต่างกันออกไป   ภาพอธิบายลักษณะชั้นของสิ่งก่อสร้าง   โดยจากคำบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์ ชั้นนอกสุดของพีระมิดที่พบมีอายุอยู่ที่ราวๆ 3,000-3,500 ปี แต่ลึกลงไปราวๆ 3 เมตร วัสดุที่พบก็มีอายุเก่าแก่มากขึ้นเป็น 7,500-8,300 ปีเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะเมื่อเจาะลงไปราวๆ 15 เมตรนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับชั้นที่สามซึ่งมีอายุมากกว่า…

  • ย้อนรอย “คาร์ล แทนสเลอร์” นายแพทย์ผู้หลงรักคนไข้ จนอาศัยอยู่กับศพของเธอถึง 7 ปี

    ย้อนรอย “คาร์ล แทนสเลอร์” นายแพทย์ผู้หลงรักคนไข้ จนอาศัยอยู่กับศพของเธอถึง 7 ปี

    ว่ากันว่าความรักนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเรื่องยากที่คนเราจะทำให้ปล่อยให้ความรักนั้นจากไป ดังนั้นในบางครั้งคนเราจึงมักทำอะไรที่ดูประหลาดเพื่อความรัก ซึ่งบางครั้งมันก็ประหลาดเกินไป นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1931 เมื่อ “คาร์ล แทนสเลอร์” นายแพทย์ชาวเยอรมนี ผู้ทำงานเป็นนักรังสีวิทยาในรัฐฟลอริดา เกิดหลงรักคนไข้หญิงคนหนึ่งในโรงพยาบาลเข้า     เธอคือหญิงสาวชาวคิวบา-อเมริกันวัย 22 ปีนามว่า “มาเรีย เอเลนา มิราโก เดอ โฮยอส” ผู้ซึ่งถูกส่งเข้ามายังโรงพยาบาลแห่งนี้จากอาการวัณโรคชนิดรุนแรง ทันทีที่ได้เห็นหญิงสาว คาร์ลก็ตกหลุมรักเธอทันที โดยบอกว่าเธอนั้นเป็นเหมือนหญิงสาวในฝันไม่มีผิด ทำให้เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาเธอ นอกจากนี้เขายังเคยส่งของขวัญให้เธออยู่หลายครั้ง และถึงกับบอกรักหญิงสาวมาแล้วด้วย     โชคร้ายที่ในสมัยนั้นวัณโรคนับเป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก ทำให้ในที่สุดเอเลนาก็เสียชีวิตไปหลังจากที่พวกเขาพบกันได้ไม่กี่เดือน พร้อมๆ กับความเศร้าเสียใจของคาร์ล แต่แทนที่นี่จะเป็นจุดจบของความรัก คาร์ลกลับไม่ยอมแพ้แต่โดยดี เพราะเขานั้นถึงกับซื้อสุสานอย่างดีให้กับเอเลนา (โดยได้รับคำอนุญาตจากพ่อแม่ของเธอแล้ว) และมาหาเธอแทบทุกคืนราวกับเธอยังมีชีวิตอยู่     แถมความรักในศพของคาร์ลก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลยด้วย เพราะต่อให้วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่หยุดที่จะมาหาเธอ จนถึงขั้นที่ว่าในปี 1933 เขาถึงกับขโมยศพของเอเลนาไปไว้ที่บ้านเลยทีเดียว จริงอยู่ว่าเอเลนาจะเสียชีวิตมากกว่า 2 ปี แล้ว แต่ศพของเธอก็ได้รับการดูแลและซ่อมแซมเป็นอย่างดีโดยคาร์ล โดยมีการใช้ลวดและไม้แขวนประกอบกระดูก ใส่ตาปลอมให้ ไปจนถึงการเย็บศพ และฉาบปูนในบางแห่งเลย  …

  • นักโบราณคดีเผย การขุดค้นสุสานขนาดใหญ่ ซึ่งถูกท่วมไปด้วย “ซุปมัมมี่” ในประเทศอียิปต์

    นักโบราณคดีเผย การขุดค้นสุสานขนาดใหญ่ ซึ่งถูกท่วมไปด้วย “ซุปมัมมี่” ในประเทศอียิปต์

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศอียิปต์ได้มีการค้นพบสุสานโบราณที่มีสภาพสมบูรณ์มากๆ อยู่หลายแห่ง จนทำให้หลายๆ คนติดภาพลักษณ์ว่าโบราณสถานที่ถูกพบในอียิปต์จะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เสมอๆ ไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา นักโบราณคดีก็ได้ออกมาเปิดเผยข่าวการขุดค้นสุสานขนาดใหญ่ซึ่งถูกน้ำท่วมแห่งหนึ่งที่เหมืองหินใกล้ๆ แม่น้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์     ที่จริงแล้วสุสานแห่งนี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 2016 แต่การขุดค้นกลับเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากตัวสุสานหลายส่วนได้ถูกน้ำขังมาเป็นเวลานาน และผสมกับซากศพข้างใน จนกลายเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีเรียกกันเล่นๆ ว่า “ซุปมัมมี่” น้ำที่ขังอยู่นั้นขุ่นมากจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้เลย นักโบราณคดีจึงต้องให้เวลาในการสูบน้ำออกจนอยู่ในระดับที่พวกเขาจะเดินลุยเข้าไปได้ เพื่อที่จะสำรวจสุสานต่อไป     จากการตรวจสอบอายุของสุสานแห่งนี้ นักโบราณคดีก็ได้ออกมาบอกว่านี่เป็นสุสานที่มีการใช้งานในช่วงราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ หรือราวๆ 3,550 ปีก่อน ซึ่งมีความใกล้เคียงกับอายุของเหมืองหินใกล้ๆ โดยในสุสานมีแบ่งได้เป็นห้องใหญ่ๆ สองห้อง แต่ในปัจจุบันเหล่านักโบราณคดียังสามารถเข้าไปตรวจสอบห้องได้เพียงห้องเดียวเท่านั้น     แต่เพียงแค่ห้องหนึ่งห้องที่สามารถเขาไปได้ นักโบราณคดีก็พบโลงศพหินกับโครงกระดูกรวมกว่า 50 ร่าง โดย 1 ใน 3 โครงกระดูกที่พบ เป็นของเด็กเล็ก และทารกแรกเกิด ส่วนสาเหตุที่สุสานแห่งนี้โดนน้ำท่วมนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าจะเกิดจากความผิดพลาดในการปล้นสุสานของโจรในอดีต…

  • ย้อนรอยองค์กร “Kinderstransport” ที่ช่วยเหลือเด็กชาวยิวไว้ร่วม 10,000 คน

    ย้อนรอยองค์กร “Kinderstransport” ที่ช่วยเหลือเด็กชาวยิวไว้ร่วม 10,000 คน

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 ในวันนั้นที่เยอรมนีได้เกิดเหตุการณ์ “คริสทัลล์นัคท์” หรือ “คืนกระจกแตก” เป็นเหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวยิวที่น่ากลัวที่สุดครั้งหนึ่งก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง     เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้กับชาวอังกฤษที่ได้ยินข่าวเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้มีการจัดตั้งองค์กรที่จะช่วยเหลือชาวยิวในเยอรมนี โปแลนด์ เชโกสโลวาเกีย และออสเตรียขึ้น แต่ด้วยความกลัวในการถูกคนต่างด้าวแย่งงานในสมัยนั้น องค์กรที่ว่านี้จึงได้รับอนุญาตให้ช่วยแต่เด็กที่อายุต่ำกว่า 17 ปีเท่านั้นไป     โครงการที่เกิดขึ้นนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “Kinderstransport” (ซึ่งแปลตรงๆ ว่าการขนส่งเด็ก) และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากคนในประเทศ จนทำให้มีคนเข้าร่วมองค์กรนี้เป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือ นิโคลัส วินสตันผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 669 คน แน่นอนว่าการออกช่วยเหลือเด็กชาวยิวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในเวลาที่นาซีเป็นใหญ่ เพราะพวกเขานั้นต้องมีปัญหากับทางนาซีอยู่บ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ช่วยเด็กๆ ไปเกือบ 10,000 คนเลยทีเดียว   เด็กๆ ในโปแลนด์ เดินทางมาถึง กรุงลอนดอน   น่าเสียดายที่ด้วยกฎขององค์กร Kinderstransport จึงไม่อาจช่วยพ่อแม่ของเด็กเอาไว้ได้ ทำให้บ่อยครั้งพวกเขาก็ต้องทนดูเด็กๆ ถูกแยกทางออกจากพ่อแม่ ซึ่งหลายๆ คนก็ไม่ได้เจอพ่อแม่อีกเลย แต่ถึงแม้จะหนีจากเยอรมนีมาได้แล้วก็ตาม ชีวิตของเด็กๆ ชาวยิวก็ใช่ว่าจะสบาย เพราะพวกเขาจะต้องเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศที่ไม่รู้จักโดยไม่มีพ่อแม่ และเด็กๆ หลายคนก็ยังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย…

  • ชมการนำ “ภาพถ่าย” ไปใส่บนเสื้อผ้าของยุค 40 ชุดพิมพ์ลายยุคแรกๆ มันเป็นแบบไหนกันนะ

    ชมการนำ “ภาพถ่าย” ไปใส่บนเสื้อผ้าของยุค 40 ชุดพิมพ์ลายยุคแรกๆ มันเป็นแบบไหนกันนะ

    ในช่วงยุค 40 คนเราพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของการถ่ายภาพให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ในสมัยนั้นมีการพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพไปในทิศทางแปลกๆ ออกมามากมาย และหนึ่งในเทคโนโลยีเหล่านั้น ก็คือการนำ “ภาพถ่าย” ไปใส่บนเสื้อผ้า ซึ่งทำได้โดยการใช้น้ำหมึกแบบพิเศษที่ทำให้ใยผ้าไวต่อแสง ก่อนจะยิงภาพที่ต้องการลงไป จนกลายเป็นผืนผ้าที่มีรูปถ่ายติดอยู่ สินค้าใหม่ที่ออกมาก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนในสมัยนั้น จนเกิดเป็นยุคที่ชุดพิมพ์ภาพบูมสุดๆ อย่างที่เห็นได้ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากชุดที่มีหน้าตัวเองติดอยู่รอบๆ   ผ้าคลุมไหล่รูปน้องหมาคู่ใจ   เสื้อรูปกุหลาบก็แจ๋ว   พิมพ์ไปบนโคมไฟเลยก็ได้   คิดถึงแฟนก็พิมพ์ภาพลงหมอนเสียเลย   ดูให้ดีๆ ไม่ใช่เสาไฟจริงๆ นะเออ   ลายสวยดีนะลูกพี่   เป็นลายกระเป๋าก็เก๋   ผ้าม่านที่บ้านก็ลายนี้เลยเหมือนกัน   ดูลายภาพปูโต๊ะเสียก่อน   เก้าอี้ของนายทาส ต้องมีลายประดับที่สมศักดิ์ศรีสิ   ขั้นตอนการกำหนดตำแหน่งลายบนผ้าด้วยมือ   การขนย้ายผ้าที่พิมพ์รูปเสร็จแล้ว   การฉายแสงเพื่อให้ลายบนรูปติดไปบนเนื้อผ้า   เครื่องจักรที่ใช้ในกลไกการผลิต   และผ้าที่เพิ่งผ่านการพิมพ์รูปใหม่ๆ ที่มา vintag และ time

  • ย้อนรอย “อิเรสึมิ” รอยสักของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานมากกว่าเพียงสัญลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า

    ย้อนรอย “อิเรสึมิ” รอยสักของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานมากกว่าเพียงสัญลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า

    หากพูดถึงการสักทั้งตัวแบบญี่ปุ่นหรือ “อิเรสึมิ” เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะคิดถึงรอยสักของแก๊งยากูซ่าขึ้นมาเป็นอย่างแรก ว่าแต่ทราบกันไหมว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับ “อิเรซึมึ” ที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน     หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการสักที่มีการค้นพบในญี่ปุ่นนั้น มีมาตั้งแต่เมื่อ 12,000 ปีก่อนเลยทีเดียว เพราะแม้แต่ซากศพของคนจากยุคหินเก่าของญี่ปุ่น (10,000 ปีก่อนคริสตกาล) เราก็พบร่องรอยของการทาตัวด้วยน้ำหมึก แถมหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการสักของคนญี่ปุ่นเอง ก็มีบันทึกไว้โดยชาวจีนเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาลเช่นกัน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะดูเหมือนว่าในสมัยก่อน ชาวไอนูที่อาศัยอยู่ที่ฮอกไกโดก็เชื่อว่าการสักนั้นสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้เช่นกัน อย่างผู้หญิงเองก็มักจะสักที่ริมผีปาก ตามความเชื่อที่ว่าจะสามารถช่วยป้องกันอันตรายในยามราตรีได้   ลักษณะการสักของผู้หญิงชาวไอนู   เรื่องเหล่านี้ทำให้การสักกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน แต่หากถามว่าทำไมในปัจจุบันอิเรสึมิจึงมักไปเกี่ยวข้องกับยากูซ่าได้ คำตอบนั้นก็จะอยู่ในยุคเมจิ (1868-1912) นั่นเอง จริงอยู่ว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน ในช่วยุคเอโดะ (1600-1868) อิเรสึมิจะเป็นสัญลักษณ์ของงานศิลป์และความงามจนทำให้มีคนสักทั่วร่างกายเต็มไปหมด แต่พอจบช่วงนั้นยุคสมัยก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือหลังมือ     เพราะในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษ รัฐบาลญี่ปุ่นอยากจะให้ประเทศมีความเป็นสากลมากขึ้น พวกเขาจึงได้ห้ามการสักในรูปแบบนี้ไป การเปลี่ยนกฎหมายในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะแม้ว่าในสมัยก่อนประเทศญี่ปุ่นจะเคยมีการสักอาชญากรเพื่อชี้ตัวผู้เคยกระทำผิดก็ตาม แต่ในยุคเมจิ ใครก็ตามที่มีรอยสักจะถูกมองว่าเป็นอาชญากรทั้งสิ้น     แต่แทนที่จะทำให้รอยสักลดลงเพียงอย่างเดียว ด้วยความที่คนญี่ปุ่นนับถือในวัฒนธรรมของตนเองมาก บวกกับยุคก่อนมีคนสักเยอะ ก็ทำให้มีคนจำนวนมากไม่พอใจกับกฎหมายนี้ เพราะตัวเองโดนหาว่าเป็นคนไม่ดีไปด้วย…

  • นักโบราณคดีพบมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์จำนวนมาก ในสุสานสองแห่งของเมืองลักซอร์

    นักโบราณคดีพบมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์จำนวนมาก ในสุสานสองแห่งของเมืองลักซอร์

    ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของการค้นพบที่อียิปต์จริงๆ เพราะในปีนี้ได้มีการค้นพบโบราณวัตถุ เป็นจำนวนมากตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบมัมมี่ที่สมบูรณ์มากๆ หลายร่างในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ภายในสุสานบนพื้นที่ของเมืองลักซอร์   แหล่งโบราณสถานลักซอร์ เชื่อกันว่าในอดีตเคยมีสุสานขนาดใหญ่อยู่   มัมมี่ที่ถูกค้นพบนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่กลุ่มที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน “TT33” ที่มีการขุดค้นกันมาอย่างยาวนานแล้ว และกลุ่มที่ขุดขึ้นมาจากสุสาน “TT28” ที่เพิ่งมีการขุดค้นได้ไม่นาน แน่นอนว่าการค้นพบมัมมี่จำนวนมากแบบนี้ ย่อมทำให้มีมัมมี่อยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ และมีระดับความสมบูรณ์ที่ต่างกันไป อย่างไรก็ตามมัมมี่ที่น่าสนใจที่ถูกพบใน สุสาน TT33 ได้แก่ มัมมี่ของหญิงสาวที่ชื่อว่า “Pouyou” ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในสมัยของราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ (ราวๆ 1550-1295 ปีก่อนคริสตกาล)   การเปิดโลงศพของ Pouyou เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2018   มัมมี่หลายร่าง ที่คาดว่ามาจากครอบครัวขนาดใหญ่ครอบครัวเดียว ซึ่งถูกฝังอยู่นอกโลงศพหิน และอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับมัมมี่ของ Pouyou     และมัมมี่ของบุคคลผู้ที่ไม่มีทั้งชื่อและที่มา แต่คาดว่ามาจากยุคสมัยของราชวงศ์ที่ 17 ของอียิปต์ (ราวๆ 1580-1550 ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยที่ชาวเอเชียตะวันตกเข้ามาครอบครองประเทศอียิปต์   มัมมี่ไร้นามจากสุสาน TT33…

  • นักภาษาศาสตร์ สร้างภาพยนตร์ภาษาบาบิโลนเรื่องแรกของโลก หวังคืนชีพภาษาที่ตายไปแล้ว

    นักภาษาศาสตร์ สร้างภาพยนตร์ภาษาบาบิโลนเรื่องแรกของโลก หวังคืนชีพภาษาที่ตายไปแล้ว

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าในมนุษย์เรามีภาษาที่ตายไปแล้วอยู่หลายภาษา โดยหนึ่งในนั้นคือภาษาบาบิโลนโบราณ ที่ไม่มีใครใช้มาเป็นเวลาร่วม 2,000 ปี ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนพยายาม “คืนชีพ” ให้กับภาษาที่ตายไปแล้ว?     เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์คนหนึ่ง ออกมาจัดโครงการที่จะคืนชีพภาษาพูดของบาบิโลนขึ้นมา โดยแนวคิดสุดแปลกแหวกแนวนี้ เริ่มต้นมาจากการที่ ดร.มาร์ติน วอชิงตัน และนักเรียนของเขาจำนวนหนึ่งได้เรียนรู้ภาษาบาบิโลนโบราณ และหลงใหลในเสน่ห์ของภาษาโบราณเหล่านั้น     ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันทำภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก ที่มีการใช้ภาษาบาบิโลนขึ้น จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะใช้นิทานพื้นบ้านที่ถูกบันทึกไว้ในแผ่นจารึกดินเหนียวเมื่อ 701 ปีก่อนคริสตกาลเป็นเนื้อเรื่องหลัก และมีชื่อว่า “The Poor Man of Nippur” (คนจนแห่งเมืองนิปปูร์)   The Poor Man of Nippur สามารถรับชมได้จากช่อง Cambridge Archaeology หรือที่ข้างล่างนี้    โดยนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเลี้ยงแพะคนหนึ่ง ที่ล้างแค้นเจ้าเมืองที่ฆ่าแพะของเขาด้วยการทำลายเจ้าเมืองสามครั้ง แน่นอนว่าคำพูดของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง จะถูกถ่ายทอดออกมาในภาษาบาบิโลนทั้งหมด โดยจะมีการให้คำบรรยายเป็นภาษาต่างๆ กว่า 17 ภาษาทั่วโลก (น่าเสียดายที่ยังไม่มีภาษาไทย)    …

  • งานวิจัยใหม่บอก มีความเป็นไปได้ที่คนในอนาคตจะเรียกคนยุคเราว่า “มนุษย์ไก่”

    งานวิจัยใหม่บอก มีความเป็นไปได้ที่คนในอนาคตจะเรียกคนยุคเราว่า “มนุษย์ไก่”

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าบางทีคนในอดีตก็มักถูกเรียกด้วยชื่อเล่นตามลักษณะพิเศษ หรือผลงานที่เคยสร้างไว้ อย่างวัฒนธรรม Corded Ware ในแถบฟินแลนด์เอง ก็ได้ชื่อมาจากเครื่องปั้นดินเผาที่โดดเด่นของพวกเขา นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในอนาคตเองก็อาจจะมีชื่อเล่นให้กับพวกเราในปัจจุบันเช่นกัน และจากงานวิจัยของธรณีวิทยาชื่อ Carys Bennett แล้ว มีความเป็นไปได้สูงเลยที่พวกเราจะถูกเรียกว่า “มนุษย์ไก่” (Chicken People)     ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากหากในอนาคตอันห่างไกลมีการขุดพบฟอสซิลของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในปัจจุบัน สิ่งที่ใช้ในการตามรอยพวกเราได้ดีที่สุด จะเป็นไก่เลี้ยงนั่นเอง นั่นเพราะในปัจจุบันเราจะมีไก่เลี้ยงอยู่ทั่วโลกถึง 21,400 ล้านตัว ซึ่งนับว่ามากกว่าสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ ในโลกมาก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อนำมวลของมันมารวมกันจะมีน้ำหนักถึง 5,000 ล้านกิโลกรัม เลยทีเดียว     ตัวเลขที่มากขนาดนี้ทำให้ในโลกมีกระดูกไก่อยู่ในแทบจะทุกที่ โดยเฉพาะในที่ทิ้งขยะ ซึ่งหลายๆ แห่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะที่จะรักษากระดูกเหล่านี้จนกลายเป็นฟอสซิลไป ดังนั้นในอนาคตจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักโบราณคดีจะพบฟอสซิลกระดูกไก่เป็นสิ่งแรกๆ แถมกระดูกไก่เหล่านี้ยังเป็นของไก่ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุ์กรรมมา จนสังเกตได้ง่ายมากๆ ว่าพวกมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่ๆ     นั่นเพราะเมื่อเทียบกับในอดีต (ในที่นี่คือปี 1957) ไก่สายพันธุ์เดียวกันในปัจจุบันตัวโตขึ้นถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการตัดแต่งพันธุ์กรรมโดยมนุษย์ล้วนๆ     อย่างไรก็ตามมนุษย์ไก่นั้นอาจจะไม่ใช่ชื่อเล่นเดียว เพราะหากมองตามความคงทานแล้ว ขยะอย่างพลาสติกหรือโฟมเอง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะหลงเหลือไปถึงในอนาคตเช่นกัน  …

  • นาซาเผย ภาพดวงอาทิตย์ที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากยาน Parker Solar Probe

    นาซาเผย ภาพดวงอาทิตย์ที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากยาน Parker Solar Probe

    ตั้งแต่ที่มีการปล่อยออกไปในวันที่ 12 สิงหาคม 2018 ยาน “Parker Solar Probe” ของนาซาก็เดินทางมุ่งสู่ดวงอาทิตย์เรื่อยมาโดยที่แทบไม่มีใครรู้   ภาพจำลองของยาน Parker Solar Probe ที่เดินทางไปยังดวงอาทิตย์   จนกระทั่งช่วงคาบเปลี่ยนระหว่างเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในที่สุดยานลำนี้ก็เข้าไปถึง “โคโรนา” ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์แล้ว และในสถานที่อันแปลกประหลาดนั้นเอง ยาน Parker Solar Probe ก็ได้ถ่ายภาพของดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่งกลับมาให้โลกได้เห็นกันจนได้     ภาพที่เห็นนี้ ถูกถ่ายเก็บไว้ด้วยระบบ “Wide-field Imager for Solar Probe” (เครื่องตรวจจับพื้นที่กว้างสำหรับ Solar Probe) หรือ “WISPR” ในระยะห่างราวๆ 27 ล้านกิโลเมตรจากดวงอาทิตย์  จากในภาพเราจะสามารถมองเห็นถึงโคโรนา อันเป็นพลาสมาที่แผ่พุ่งของดวงอาทิตย์ ในรูปแบบแสงที่พุ่งออกมาจากด้านซ้ายของภาพ นอกจากนี้หากสังเกตดีๆ เรายังสามารถมองเห็นดาวพุธในลักษณะจุดสีขาวในภาพอีกด้วย ภาพถ่ายที่ออกมานี้เชื่อกันว่าจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ สามารถวิเคราะห์การกำเนิดของพลาสมารูปแบบนี้ได้เป็นอย่างดี และละเอียดอ่อนกว่าการสังเกตโคโรนาในเวลาที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงมาก   โคโรนาของดวงอาทิตย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง   นอกจากนี้ หากกำหนดการปฏิบัติภารกิจของยาน Parker Solar Probe…

  • 22 บุคคลในสมัยก่อนที่ไม่รู้ทำไม ถึงมีหน้าตาไปเหมือนเหล่าดาราคนดังในปัจจุบันได้ขนาดนี้

    22 บุคคลในสมัยก่อนที่ไม่รู้ทำไม ถึงมีหน้าตาไปเหมือนเหล่าดาราคนดังในปัจจุบันได้ขนาดนี้

    เคยมีคนกล่าวไว้ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกับเราอยู่อย่างน้อย 2 คน ดังนั้นการที่คนดังจะมีคนที่หน้าตาเหมือนกันอยู่บ้างจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากคนที่หน้าเหมือนดาราเหล่านั้น กลับเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในอดีตแทนล่ะ เรื่องราวความเหมือนเหล่านั้น มันจะน่าสนใจมากขนาดไหนกัน เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 22 บุคคลในสมัยก่อนที่ไม่รู้ทำไมถึงมีหน้าตาไปเหมือนเหล่าดาราคนดังในปัจจุบันได้ขนาดนี้   เริ่มกันจาก Joseph Stalin ในวัยหนุ่มที่ไม่รู้ทำไม หน้าคล้ายกับ Zayn Malik ที่เป็นอดีตสมาชิกวง One Direction แบบสุดๆ   นักแสดงหญิง Hedy Lamarr จากปี 1942 กับ Rose McGowan กลับชาติมาเกิดเรอะ   ชายไร้นามจากสมัยก่อนกับดาราคอมเมดี้ Eddie Murphy   Zubaida Tharwat ดาราชาวอียิปต์ที่เกิดในปี 1940 กับ Jennifer Lawrence   ชายไม่ทราบนามกับ Matthew McConaughey น่าเสียดายหนวดไม่เหมือน   Ilya Ilyich Mechnikov นักภูมิคุ้มกันศาสตร์ของรัสเซีย กับ Robin Williams…

  • เชื่อหรือไม่ “ทฤษฎีอะตอม” เคยมีการพูดถึงมาแล้วเมื่อ 2,600 ปีก่อน โดยนักปราชญ์ที่อินเดีย

    เชื่อหรือไม่ “ทฤษฎีอะตอม” เคยมีการพูดถึงมาแล้วเมื่อ 2,600 ปีก่อน โดยนักปราชญ์ที่อินเดีย

    เมื่อพูดถึงทฤษฎีอะตอมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงชื่อของจอห์น ดาลตันขึ้นมาเป็นชื่อแรก เพราะเขาคือนักเคมีและฟิสิกส์ผู้ที่มีชื่อเสียงจากการเป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีอะตอมนั่นเอง     ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในความเป็นจริงทฤษฎีอะตอมมีมานานกว่าที่เราคิดเยอะ เพราะในสมัยกรีกโบราณเอง “ดิมอคริตัส” (มีชีวิตอยู่เมื่อราว 460-370 ปีก่อนคริสตกาล) ก็เคยมีการพูดถึงทฤษฎีอะตอมมาแล้ว ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าดิมอคริตัสเองก็อาจจะไม่ใช่ชายคนแรกที่พูดถึงทฤษฎีอะตอม เพราะหากย้อนไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่ามีชายคนหนึ่งเคยคิดทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมขึ้นมาแล้วเหมือนกัน       ชายคนนั้นคือนักปราชญ์ (และนักปรัชญา) ชาวอินเดียที่ถูกเรียกว่า “อจารยา คานาต” (Acharya Kanad ในภาษาอังกฤษ และ कणाद ในภาษาสันสกฤต) ไม่มีใครทราบว่าจริงๆ แล้ว คานาตมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไหนกันแน่ แต่เชื่อกันว่าเขาเกิดเมื่อช่วง 200-600 ปีก่อนคริสตกาล (ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเกิดหลังดิมอคริตัสเช่นกัน) และมีชื่อเดิมว่ากัสสปะ     เขาเป็นคนที่สนใจในของสิ่งเล็กๆ มาก เลยเริ่มเก็บเมล็ดข้าวจากถนน จนกลายเป็นที่สนใจของคนที่ผ่านไปมามาก และเมื่อถูกถามว่าเขาเก็บเมล็ดข้าวที่ตกบนถนนไปทำไม เจ้าตัวก็บอกว่าเมล็ดข้าวนั้นแม้จะเล็กและดูไร้ค่า แต่ถ้านำมารวมกันก็จะกลายเป็นอาหารมื้อหนึ่งได้เลย การกระทำนี้เองที่ทำให้เขาได้รับชื่อ อจารยา คานาต (แปลว่า “อาจารย์ของสิ่งเล็กๆ”) ความชอบในสิ่งเล็กๆ ของคานาต ทำให้วันหนึ่งเขาแบ่งอาหารที่มีเป็นหน่วยที่เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง…

  • พบสุสานอียิปต์อายุกว่า 4,400 ปี พร้อมช่องลับ 5 แห่งที่อาจนำไปสู่โลงศพของนักบวชชั้นสูง

    พบสุสานอียิปต์อายุกว่า 4,400 ปี พร้อมช่องลับ 5 แห่งที่อาจนำไปสู่โลงศพของนักบวชชั้นสูง

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีประกาศจากกระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ เกี่ยวกับการค้นพบสุสานโบราณอายุร่วม 4,400 ปีที่นครโบราณซัคคาร่า ทางตอนเหนือของประเทศอียิปต์     โดยนี่เป็นสุสานสองชั้นที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นให้แก่ “Wahtye” ชายผู้เป็น “ผู้ตรวจสอบของพระเจ้า” นักบวชระดับสูงที่มีชีวิตอยู่ในสมัยฟาโรห์เนเฟอร์อิร์คาเร แห่งราชวงศ์ที่ห้าของอียิปต์ (ครองราชย์ช่วง 2446–2438 ปีก่อนคริสตกาล) จากคำบอกเล่าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ สุสานโบราณที่พบนั้นมีสภาพที่สมบูรณ์มาก และเต็มไปด้วยประติมากรรมมากมายจากในสมัยก่อน     สุสานโบราณแห่งนี้มีรูปปั้นเก่าแก่มากถึง 55 ชิ้นอยู่ภายใน โดยมีรูปปั้นอยู่ 31 ชิ้นอยู่ที่ชั้นล่างของสุสาน และอีก 24 ชิ้นอยู่ที่ชั้นบน ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปปั้นของมนุษย์และเทพ ที่มีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 1 เมตร นอกจากนี้ในสุสานยังมีตัวอักษรเฮียโรกลีฟิคที่กล่าวถึงมารดาและภรรยาของตัวนักบวชเองอีกด้วย โดยมารดาของ Wahtye นั้นชื่อ “Merit Meen” ซึ่งแปลว่า ผู้เป็นที่รักของเทพมิน เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (และเรื่องเพศ) ของอียิปต์     อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่าสนใจที่สุดของการค้นพบสุสานในครั้งนี้น่าจะเป็นการค้นพบช่องขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายปล่องจำนวนห้าแห่งภายในสุสานมากกว่า เพราะจากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้น หนึ่งในปล่องที่พบนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นทางลับที่นำไปสู่โลงศพที่เก็บร่างของ Wahtye และวัตถุโบราณอื่นๆ ต่อไปนั่นเอง    …

  • เปิดตำนาน “โดโมวอย” ผีบ้านผีเรือนของชาวสลาฟ เจ้านายแห่งบ้านที่จะคอยดูแลคุณ

    เปิดตำนาน “โดโมวอย” ผีบ้านผีเรือนของชาวสลาฟ เจ้านายแห่งบ้านที่จะคอยดูแลคุณ

    เมื่อพูดถึงเรื่องของผีบ้านผีเรือน แต่ละประเทศในโลกก็อาจจะมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต่างๆ กันไป แต่หากลองไปถามชาวสลาฟที่อยู่ทางยุโรปแล้ว พวกเขาก็คงจะนึกถึง “โดโมวอย” ก่อนเป็นอย่างแรก โดโมวอย (Domovoi) เป็นคำซึ่งมีที่มาจากคำว่า “Dom” ที่แปลว่าบ้าน และสามารถแปลแบบตรงๆ ได้ว่า “เจ้านายแห่งบ้าน” เลยนั่นเอง     โดยเจ้าโดโมวอย ตามความเชื่อของชาวสลาฟมักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก รูปร่างคล้ายผู้ชาย หรือสัตว์ที่มีขนและหนวดยาวมีเทา ซึ่งสามารถแปลงกายเป็นบรรพบุรุษ เจ้าของบ้านจริงๆ หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ ว่ากันว่าโดโมวอยมักจะหลบจากสายตาของมนุษย์อยู่เสมอๆ และจะอาศัยอยู่ตามมุมมืดของบ้าน ทำให้คนมักจะมองไม่เห็นมัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถรู้สึกถึงพวกเขาได้ด้วยสื่ออื่นๆ เช่นเสียงเดินหรือเสียงสัตว์เลี้ยงร้องตอนกลางคืนเป็นต้น     หน้าที่ของโดโมวอยนั้นใกล้เคียงกับผีบ้านผีเรือนอื่นๆ ของโลกมาก กล่าวคือพวกมันจะคอยปกป้องบ้านให้กับคนที่ดูแลบ้านเป็นอย่างดี และจะโมโหหากบ้านสกปรกหรือเจ้าของบ้านไม่เคารพต่อโดโมวอย ว่ากันว่าบ้านที่ทำโดโมวอยโกรธจะต้องพบกับโชคร้าย ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ ข้าวของก็ตกลงมาแตก ของสำคัญหายไปอย่างลึกลับ หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุภายในตัวบ้านเอง กลับกันหากโดโมวอยชอบใครในบ้าน บ้านหลังนั้นๆ ก็จะพบกับโชคดีเช่นกัน     กฎการอยู่ร่วมกับโดโมวอยและทำให้พวกมันชอบนั้นมีอยู่หลายอย่าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด โดยคร่าวๆ แล้วเจ้าของบ้านควรรักษาความสะอาดในบ้าน ไม่ใช้คำพูดไม่สุภาพ ควรจะออกไปข้างนอกบ้าง โดยมีการกล่าวลาโดโมวอยให้เรียบร้อย และมีการเตรียมของเซ่นไหว้เป็นบางครั้ง และหากวันไหนคุณผู้ชายตื่นมาและพบว่าหนวดเคราถูกถัก ก็แสดงว่าคุณเป็นที่รักของโดโมวอยมากเลยนั่นเอง…

  • ย้อนรอยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 กษัตริย์นักรบแห่งอังกฤษ ผู้ที่ว่ากันว่าทำให้คนกลัวจนตายได้เลย

    ย้อนรอยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 กษัตริย์นักรบแห่งอังกฤษ ผู้ที่ว่ากันว่าทำให้คนกลัวจนตายได้เลย

    เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษกันไหม? เขาคือกษัตริย์ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 13-14 และมีชื่อเสียงเรื่องการออกทัพต่อสู้กับชาวเวลส์และสก็อตในสมัยนั้น เอ็ดเวิร์ดที่ 1 เกิดในปี 1239 ที่เวสต์มินสเตอร์ และได้รับการตั้งชื่อตามนักบุญเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพของพระเจ้าเฮนรีที่ 3 บิดาของเขา     ว่ากันว่าตั้งแต่ตอนเด็ก พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็มีชื่อเสียงในด้านความน่ากลัวแล้ว ด้วยความที่เขานั้นสูงถึง 188 เซนติเมตร มีท่าทางหยิ่งผยอง แลดูโหดร้าย และน่าหวาดกลัว จนถึงขั้นที่ว่ามีเรื่องเล่าว่าเขาเคยทำให้คนที่เห็นเขาตายเพราะความกลัวเลยทีเดียว ชื่อเสียงของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 นั้นมาคู่กับสงครามมาตั้งแต่ที่ยังเป็นเจ้าชาย เพราะเขาได้เข้าร่วมทั้งสงครามขุนนางในปี 1264 เรื่อยไปยันสงครามครูเสดครั้งที่ 9 ในปี 1268 เลยทีเดียว   พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ฆ่าศัตรูที่พยายามลอบสังหารเขาในระหว่างสงครามครูเสด   พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ได้ชื่อเป็นกษัตริย์ในปี 1272 หลังจากที่กษัตริย์เฮนรีที่ 3 เสียชีวิตในตอนที่ เอ็ดเวิร์ดที่ 1 กำลังออกทำสงครามครูเสดในตะวันออกกลางพอดี เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาต้องกลับมายังอังกฤษในปี 1274 แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตในสงครามของเขาจบลงแต่อย่างใด นั่นเพราะสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัว…

  • รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนสหรัฐฯ เคยมีกฎหมายห้ามผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่เหมาะสมด้วย

    รู้หรือไม่ ในสมัยก่อนสหรัฐฯ เคยมีกฎหมายห้ามผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่เหมาะสมด้วย

    ในปัจจุบันความอิสระในการแต่งกายของสหรัฐอเมริกา อาจจะเป็นเรื่องที่เรานึกถึงเป็นสิ่งแรกๆ เมื่อพูดถึงประเทศนี้เลยก็เป็นได้ เพราะคนที่นั่นมีความอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายที่สูงมากๆ ที่หนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าแม้แต่ที่สหรัฐอเมริกาเอง คนเราก็ไม่ได้มีอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายมาตั้งแต่ต้นหรอกนะ เพราะในสมัยก่อน สหรัฐอเมริกาเองก็เคยมองว่าการใส่ชุดว่ายน้ำวาบหวิวเป็นเรื่องที่ไม่ดีเหมือนกัน   หญิงสาวที่ถูกจับเนื่องจากชุดว่ายน้ำสั้นเกินไป   นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ในยามที่การเผยผิวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในสังคม จนถึงขั้นที่ว่าชุดว่ายน้ำของผู้หญิงที่วางขายแทบจะมีแต่ชุดแบบคลุมทั้งตัวเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะนอกจากสายตาจากสังคมแล้ว ในบางเมืองของสหรัฐฯ ก็ถึงกับออกกฎหมายห้ามใส่ชุดว่ายน้ำที่ไม่เหมาะสมเลยด้วย โดยในกฎหมายมีการระบุไว้ว่าชุดว่ายน้ำที่เหมาะสมจะต้องเป็น เสื้อวันพีซแขนยาวชิ้นเดียวและต้องมีถุงน่อง   ชุดว่ายน้ำในสมัยนั้นก็จะเป็นอะไรประมาณนี้   โดยเมืองที่มีการใช้กฎหมายแบบนี้ก็อย่างเช่นที่ชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ และแอตแลนติกซิตี ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ (โดยเฉพาะอันหลังมีกฎห้ามไม่ให้ผู้ชายเปลือยท่อนบนที่หาด) อย่างไรก็ตามชุดว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมในประเทศ กลับเริ่มมีขนาดหดลงไปตามยุคตามสมัย จากที่เคยคลุมทั้งตัวก็เริ่มเปิดคอ เปิดแขน และส่วนขาเองก็สั้นลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา     การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้ในช่วงยุค 20-30 มีผู้หญิงจำนวนมากที่โดนจับบนหาดเนื่องจากใส่ชุดที่สั้นเกินไป (แม้ว่าเทียบกับปัจจุบันจะมิดชิดมากๆ ก็ตาม) เนื่องจากในกฎหมายนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเท่ากับแฟชั่นนั่นเอง     การไปเที่ยวชายหาดในสมัยนั้นจึงคล้ายๆ กับการใส่กระโปรงสั้นไปโรงเรียนนิดหน่อย กล่าวคือหากสายตรวจไม่มาก็ดีไป แต่ถ้าวันไหนเจอสายตรวจเข้า พวกเขาก็จะเข้ามาวัดความยาวกันอย่างละเอียดเลย แถมการตรวจที่ว่านี้ยังเรียกได้ว่าเข้มสุดๆ เพราะแค่ชุดสั้นไปนิดเดียวก็จะโดนพาออกไปจากหาดและดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ไม่ต้องพูดถึงชุดโชว์สะดือแบบสมัยนี้เลยด้วยซ้ำ     นับว่าโชคดีมากที่กระแสอิสระในการเลือกเครื่องแต่งกายแพร่กระจายไปทั่วประเทศเสียก่อน…

  • 21 ภาพการปล่อยผีของคนสมัยก่อน ในงานมาร์ดิกราส์แห่งนิวออร์ลีนส์เมื่อปี 1974-1982

    21 ภาพการปล่อยผีของคนสมัยก่อน ในงานมาร์ดิกราส์แห่งนิวออร์ลีนส์เมื่อปี 1974-1982

    เคยได้ยินเรื่องเทศกาลมาร์ดิกราส์กันไหม? นี่เป็นงานฉลองก่อนวันถือศีลอดของศาสนาคริสต์ มีลักษณะต่างๆ กันไปในแต่ละที่ (เช่นที่ซิดนีย์จะเน้นไปที่กลุ่มรักร่วมเพศ) อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงงานมาร์ดิกราส์ที่โด่งดังที่สุด เราก็คงต้องพูดถึงที่นิวออร์ลีนส์เป็นแห่งแรก เพราะสำหรับที่นี่แล้ว เทศกาลนี้เป็นเหมือนกับเทศกาลปล่อยผีเสียไม่มี ถึงขั้นที่ว่าคนจะแต่งตัวแปลกๆ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาก็อย่าได้แปลกใจเลย แถมยังมีประวัติกันว่ายาวนานกว่าศตวรรษแล้วด้วย เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมล่ะว่างานนี้จะเละกันขนาดไหน ถ้าอยากรู้ก็ลองไปชม 21 ภาพงานมาร์ดิกราส์แห่งนิวออร์ลีนส์เมื่อปี 1974-1982 ต่อไปนี้ดูสิ   วันงานมาร์ดิกราส์ มีชื่อเล่นกว่า “วันอังคารอ้วน” เนื่องจากเริ่มงานในวันอังคาร   นี่เป็นวันที่คนจะออกมากินดื่มกันอย่างเต็มที่   และทำอะไรห่ามๆ ก่อนที่จะไปถือศีลอดในวันศุกร์   ดังนั้นในวันนี้จะมีคนมากมายออกมาเที่ยวเล่น   โดยบางครั้งก็จะใส่หน้ากากเพื่อให้ปลดปล่อยได้เต็มที่   บางที่พวกเขาก็อาจจะแต่งตัวแปลกๆ   หรือทำอะไรเพี้ยนๆ อย่างที่ปกติไม่ทำ   เรียกได้ว่าคนเมาหลับข้างถนนคือเรื่องธรรมดาไปเลย   นี่เป็นวันที่คนสามารถเข้าร่วมได้ทุกเพศทุกวัย   แถมยังเปิดโอกาสให้คนผิวสีร่วมสนุกได้อย่างไม่แปลกแยก (ในสมัยที่ยังมีการแบ่งแยกสีผิวอยู่)   ดูรอยสักนั่นเสียก่อน   เรียกได้ว่าวันปลดปล่อยดีๆ นี่เอง   วันนี้เราก็อาจจะเห็นคนหุ่นกลมๆ เยอะหน่อย   หรือบางทีก็ทำอะไรเกินดีเกินงามไปบ้าง  …

  • รู้หรือไม่ เพนกวินอาเดลี “อึเป็นสีชมพู” มองเห็นได้จากดาวเทียม แถมช่วยนักวิทย์ได้เป็นอย่างดี

    รู้หรือไม่ เพนกวินอาเดลี “อึเป็นสีชมพู” มองเห็นได้จากดาวเทียม แถมช่วยนักวิทย์ได้เป็นอย่างดี

    เพื่อนๆ เคยรู้กันรึเปล่าว่าสัตว์น่ารักๆ แบบเพนกวินบางสายพันธุ์เขาอึเป็นสีชมพู!! แถมยังอึเยอะมากๆ จนถึงขั้นที่มองเห็นได้จากอวกาศเลยนะ     เพนกวินที่อึเป็นสีชมพูเหล่านี้ คือเพนกวินสายพันธุ์อาเดลี เพนกวินขนาดกลางที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขนหางซึ่งยาวกว่าเพนกวินอื่นๆ ซึ่งพบได้ทั่วไปในซีกโลกทางใต้ และมักอาศัยอยู่ร่วมกับเพนกวินจักรพรรดิ โดยจากการรายงานของสื่อต่างประเทศ ที่อึของเพนกวินเหล่านี้มีสีชมพูสว่าง น่าจะมาจากการทานอาหารของมัน ซึ่งมี “คริลล์” สิ่งมีชีวิตจำพวกกุ้งขนาดเล็กสีส้มหรือแดงเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งของเสียเหล่านี้มักจะเปื้อนไปกับตัวเพนกวินเอง และพื้นที่อยู่อาศัยของมัน จนทำให้พื้นที่เหล่านั้นกลายเป็นสีชมพูสว่างที่มองเห็นได้จากรูปถ่ายดาวเทียมเลยทีเดียว     แต่รอยเปื้อนเหล่านี้สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วนับว่ามีคุณค่ามากกว่าการเป็นสิ่งสกปรกเฉยๆ มาก เพราะการที่มันสามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมนั้น ทำให้พวกเขาสามารถใช้รอยเปื้อนเหล่านี้ในการติดตามพื้นที่อยู่อาศัยของเพนกวินอาเดลีได้เป็นอย่างดี โดยที่ผ่านๆ มา รูปถ่ายดาวเทียมได้แสดงสถานที่อยู่ใหม่ๆ ของเพนกวินอาเดลีมาเป็นจำนวนมากแล้ว เช่นการค้นพบนกเพนกวินอาเดลีกว่า 1.5 ล้านตัวที่หมู่เกาะแดนเจอร์นั่นเอง     การค้นพบในครั้งนั้นทำให้เพนกวินสายพันธุ์อาเดลีที่เคยถูกมองว่าเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ ได้รับการลดสถานะการอนุรักษ์เหลือเพียงระดับใกล้ถูกคุกคามไป และแน่นอนว่าความสามารถในการติดตามแพนกวินด้วยอึสีชมพูนี้เอง ก็ทำให้การสอดส่องดูแลเพนกวินสายพันธุ์นี้ ทำได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมากเลยนั่นเอง   ที่มา allthatsinteresting

  • ย้อนรอย “กลอเรีย รามิเรซ” หญิงสาวผู้มีร่างกายเป็นพิษร้าย แห่งสหรัฐอเมริกา

    ย้อนรอย “กลอเรีย รามิเรซ” หญิงสาวผู้มีร่างกายเป็นพิษร้าย แห่งสหรัฐอเมริกา

    เดิมทีแล้ว “กลอเรีย รามิเรซ” เป็นคุณแม่ลูกสองวัย 31 ปี ที่แม้ว่าจะโชคร้ายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรที่น่าสนใจมากนัก แต่แล้วในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1994 เมื่อเธอถูกทางครอบครัวนำตัวส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง เรื่องราวของเธอก็กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนไปอย่างไม่น่าเชื่อ     ในวันนั้น หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาล รามิเรซก็ถูกนำตัวไปยังห้องฉุกเฉินทันทีเนื่องจากดันโลหิตของเธอต่ำมาก ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จนต้องมีการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงขึ้นมาอยู่ที่ เมื่อพยาบาลทำการเจาะเลือดของเธอ จู่ๆ ก็มีกลิ่นแอมโมเนียโชยออกมาจากร่างของเธอ จนส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 6 คนมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ หรือแม้กระทั่งหมดสติ ในยามที่คอยดูแลเธอไป เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่ว่าหลังจากที่รามิเรซเสียชีวิต พวกเขาก็ต้องพิสูจน์ศพกันโดยใส่ชุดป้องกันวัตถุมีพิษเลยทีเดียว     กลอเรีย รามิเรซ ได้รับฉายาว่าเป็น “หญิงสาวผู้เป็นพิษ” จากทางหนังสือพิมพ์ที่มาทำข่าวหลังจากนั้น และแม้ว่าจะมีการตรวจสอบร่างของเธอหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทราบอยู่ดีว่าอะไรกันที่ทำให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมีอาการป่วยได้ เรื่องเดียวที่พวกเขาทราบมาจากคำบอกเล่าของทางพยาบาล ผิวของเธอมีลักษณะเหมือนถูกฉาบด้วยน้ำมัน และในเลือดของเธอมีสารสีขาวปริศนาอยู่เท่านั้น นั่นทำให้ทางทีมสืบสวนของตำรวจ ลงความเห็นว่าอาการของหน้าที่โรงพยาบาลนั้น น่าจะมาจากอุปาทานหมู่ เพราะได้กลิ่นของเลือดเสียมากกว่า     อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบร่างของเธอในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากที่เธอเสียชีวิต…

  • นักวิทย์ไขปริศนา เหตุ “การกินคน” อายุ 8,000 ปีในโปแลนด์ อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คิด

    นักวิทย์ไขปริศนา เหตุ “การกินคน” อายุ 8,000 ปีในโปแลนด์ อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่คิด

    ย้อนกลับไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน ในช่วงยุค 1950 ได้มีการค้นพบเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์โบราณที่มีอายุราวๆ 8,000 ปีในโปแลนด์ นี่เป็นเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์ ที่ถูกพบพร้อมๆ กับเครื่องมือหินเหล็กไฟ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าของกะโหลกจะเคยเป็นนักล่าสัตว์มาก่อน และใกล้ๆ กันนั้นเองยังมีโครงกระดูกของคนที่ถูกเผาจนตายอีกด้วย     ร่องรอยที่พบบวกกับรอยแผลบนกะโหลกนี้เอง ทำให้ชายผู้เป็นเจ้าของกะโหลก ถูกเชื่อกันว่าถูกสังหารโดยคนในสมัยนั้น ก่อนที่จะนำร่างไปย่างไฟกินในเวลาต่อมา แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง จากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้อีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับความจริงที่น่าสนใจเข้าจนได้ นั่นเพราะชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โดนกินแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าบาดแผลบนกะโหลกที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมองว่าเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์โบราณคนนี้นั้น แท้จริงแล้วมีร่องรอยการฟื้นตัวอยู่     นั่นหมายความว่าแม้จะได้รับบาดแผลดังกล่าวมา ชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกก็ยังไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างใด แถมยังมีความเป็นไปได้มากที่ว่า เขาจะมีชีวิตต่อไปอีกอย่างน้อยๆ หนึ่งสัปดาห์หลังจากได้บาดแผลมาเลยด้วย การค้นพบนี้ทำให้แนวคิดที่ว่าชายคนดังกล่าวถูกฆ่าเพื่อยังไฟกิน กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานไปโดยปริยาย และสาเหตุการตายของชายคนนี้เองก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกันอีกครั้งไป ถ้าอย่างนั้นแล้วรอยแผลไฟไหม้บนกระดูกนั้นมาจากไหนกัน? สำหรับเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์เองได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเผาศพในพิธีกรรมเสียมากกว่า     เพราะในสมัยนั้นเคยมีการค้นพบร่องรอยของการทำพิธีกรรมในงานศพ ทั้งด้วยวิธีการฝังและวิธีการเผามาแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานในส่วนนี้ ยังไม่มีหลักฐานลองรับเท่าที่ควร เนื่องจากโครงกระดูกที่โดนเผานั้น แทบไม่สามารถเก็บหลักฐานทาง DNA ได้เลย จนทางนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจฟันธงได้ด้วยซ้ำว่าชายคนนี้แท้จริงแล้วเสียชีวิตเพราะอะไร เรื่องเดียวที่เรารู้ คือเรื่องราวของชายคนนี้เมื่อ 8,000 ปีก่อน มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้มากนั่นเอง   ที่มา livescience

  • พบหินสลักรูปหัวงูสองก้อนจากยุคหิน เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมเมื่อ 8,300 ปีก่อนคริสตกาล

    พบหินสลักรูปหัวงูสองก้อนจากยุคหิน เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมเมื่อ 8,300 ปีก่อนคริสตกาล

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าคนในสมัยก่อนนั้น มีชีวิตอยู่กับความเชื่อและพิธีกรรม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีการค้นพบวัตถุโบราณที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเป็นจำนวนมากตามไปด้วย และเมื่อล่าสุดนี้เองที่ประเทศยูเครน ก็ได้มีการค้นพบวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำพิธีอีกครั้งแล้ว     โดยในครั้งนี้นักโบราณคดีได้พบกับหินถูกแกะสลักเป็นรูปคล้ายหัวของ “งู” จำนวนสองชิ้น ที่เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในพิธีกรรมเมื่อ 8,300 ปีก่อนคริสตกาลมาแล้วนั่นเอง นี่เป็นหินแกะสลักที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ ตามเทคโนโลยีในยุคหิน ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงปี 2016 ที่แหล่งโบราณสถาน Kamyana Mohyla I ก่อนจะมีการนำไปตรวจสอบ และเปิดเผยออกมาในภายหลัง จากข้อมูลของการตรวจสอบทางคาร์บอน หินทั้งสองชิ้นนั้นแม้ว่าจะมาจากยุคสมัยหินเช่นเดียวกัน แต่ก็มีอายุที่ต่างกันค่อนข้างมาก โดยก้อนที่เก่าแก่กว่า มาจากช่วง 8,300-7,500 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะที่ก้อนที่ใหม่กว่ามาจากช่วง 7,400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น   หินรูปหัวของงู ก้อนที่เก่าแก่กว่า   หินรูปหัวของงู ก้อนที่ใหม่กว่า   จากการเปรียบเทียบแล้วก้อนที่เก่าแก่กว่ามีขนาดใหญ่และหนักกว่าอีกก้อน แต่ก็โชคร้ายที่มีร่องรอยความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการขุดค้น ส่วนก้อนที่ใหม่กว่านั้นมีจุดเด่นที่มีผิวด้านหนึ่งแบน และมีส่วนที่คล้ายกับคอให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าหินทั้งสองก้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมแบบไหน แต่นักโบราณคดีก็เชื่อว่าพิธีกรรมนี้น่าจะได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลานานเลยทีเดียว นั่นเพราะในโบราณสถานที่อยู่ใกล้ๆ กันเอง นักโบราณคดีก็เคยมีการค้นพบรูปสลักที่คล้ายกับงูผสมปลามาแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกใช้ในพิธีกรรมดังกล่าวในช่วงเวลาหลายปีหลังจากนั้น   รูปสลักงูผสมปลาในโบราณสถานที่อยู่ใกล้ๆ   และแม้ว่านักโบราณคดีจะยังไม่รู้ว่าชนเผ่าใดกันแน่ที่เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเหล่านี้ขึ้นมาก็ตาม แต่พวกเขาก็น่าจะเป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยโบราณที่มีอารยธรรมเฉพาะตัวที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว  …

  • พบซากจรวดโบราณนับพันลูกที่อินเดีย เชื่อเคยถูกใช้โดยสุลต่านในสงครามเมื่อศตวรรษที่ 18

    พบซากจรวดโบราณนับพันลูกที่อินเดีย เชื่อเคยถูกใช้โดยสุลต่านในสงครามเมื่อศตวรรษที่ 18

    เมื่อพูดถึงจรวดที่ถูกใช้เป็นอาวุธ เชื่อว่าภาพที่หลายๆ คนคงจะนึกถึงขีปนาวุธสุดทันสมัยก่อนเป็นสิ่งแรก ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าการใช้อาวุธจำพวกจรวดนั้นมีมานานกว่าที่เราคิด เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวการค้นพบจรวดที่ยังไม่ระเบิดร่วม 1,000 ลูก ที่คาดว่าเคยมีการใช้งานมาก่อนในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่รัฐกรณาฏกะ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดียนั่นเอง     นี่เป็นจรวดที่เชื่อกันว่าเป็นของสุลต่านทิพัล ผู้ปกครองของอาณาจักรมัยซอร์ ซึ่งมีผลงานเคยต่อสู้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่ง โดยจรวดที่พบนั้น เป็นจรวดปลอกเหล็กขนาด 30-35 เซนติเมตรที่ถูกบรรจุโพแทสเซียมไนเตรต ถ่าน และผงแมกนีเซียม เอาไว้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “จรวดมิสโซเรียน” นั่นเอง     จรวดมิสโซเรียนนั้น ถือว่าเป็นจรวดปลอกเหล็กรุ่นแรกของโลกที่สามารถนำไปใช้งานในทางทหารได้สำเร็จเลยก็ว่าได้ และแม้ว่ามันจะมีความแม่นยำค่อนข้างต่ำก็ตาม แต่นี่ก็นับว่าเป็นต้นแบบของจรวดที่จะถูกนำไปปรับปรุงต่อเป็นจรวดคองกรีฟในภายหลังโดยทางอังกฤษเช่นกัน   จรวดมิสโซเรียนในสภาพสมบูรณ์   โดยนอกจากจรวดมิสโซเรียนร่วม 1,000 ลูกแล้ว นักโบราณคดียังค้นพบ เครื่องมืออื่นๆ ที่คาดว่าน่าจะเคยถูกใช้งานในการผลิต และประกอบจรวดมิสโซเรียนในอดีตอีกด้วย จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของจรวดมิสโซเรียน แต่ที่ผ่านๆ มาก็ประเทศอินเดียก็ไม่เคยค้นพบจรวดมิสโซเรียนพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากเท่าครั้งนี้มาก่อน     นั่นทำให้พื้นที่ที่มีการค้นพบจรวดในครั้งนี้ ถูกสันนิษฐานว่าน่าจะเคยเป็นป้อมปราการ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตจรวดมิสโซเรียนแห่งหลักของสุลต่านทิพัลเลยนั่นเอง ส่วนตัวของสุลต่านทิพัลเอง แม้ว่าจะสู้รบกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษอย่างสมศักดิ์ศรีอยู่ช่วงหนึ่งก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องฝ่ายแพ้ และเสียชีวิตไประหว่างการออกศึกครั้งที่สี่ ทิ้งเอาไว้เพียงชื่อเสียง และอาวุธสุดล้ำสมัยที่เขาคิดขึ้นก็เท่านั้น  …

  • รู้หรือไม่ “หลุมดำ” ไม่ได้เพียงแค่ดูดกลืนทุกสิ่งเท่านั้น แต่ยังเอามาใช้นำทางยานอวกาศได้ด้วย

    รู้หรือไม่ “หลุมดำ” ไม่ได้เพียงแค่ดูดกลืนทุกสิ่งเท่านั้น แต่ยังเอามาใช้นำทางยานอวกาศได้ด้วย

    เคยลองคิดกันดูไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากยานอวกาศที่เรานั่งหลงทางอยู่ในห้องอวกาศ ในเวลาแบบนั้นเราจะสามารถใช้อะไรมาช่วยในการนำทางกัน ในเมื่อ GPS ใช้ในอวกาศไม่ได้ แถมดาวเหนือเองก็บอกได้แค่ว่าคุณหันไปทางไหนอยู่เท่านั้น     แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์คิดถึงกันมาเป็นเวลานานเช่นกัน และสำหรับองค์การอวกาศยุโรป (ESA) แล้ว คำตอบของการนำทางในอวกาศก็อยู่ที่หลุมดำนั่นเอง โดยหลุมดำที่เหมาะสมกับการใช้นำทางที่ว่า คือหลุมดำที่สามารถปลดปล่อยพลังงานเป็นแสงสว่าง หรือที่เรียกว่า “เควซาร์” นั่นเอง เพราะเจ้าวัตถุกลางอวกาศชิ้นนี้นั้น สามารถส่องสว่างได้มากกว่าดาวฤกษ์ทั่วๆ ไป ถึง 1,000 เท่าเลยทีเดียว     นั่นทำให้เควซาร์กลายเป็นเหมือนประภาคาร ที่นำทางให้กับยานอวกาศได้เป็นอย่างดี และการนำทางในรูปแบบนี้ ก็ถูกเรียกกันว่า “Delta-Differential One-Way Ranging” หรือ “Delta-DOR” นั่นเอง โดยในระบบ Delta-DOR สัญญาณของยานอวกาศจะถูกรับโดยสถานีบนโลก 2 แห่ง ก่อนที่จะนำไปคำนวณกับเควซาร์ เพื่อหาตำแหน่งที่ชัดเจน และแม่นยำของตัวยานต่อไป   การทำงานแบบคราวๆ ของ Delta-DOR   และเมื่อที่ได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแน่นอนของยานอวกาศแล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการส่งข้อมูลกลับไปให้ตัวยาน เพื่อนำตัวยานกลับไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องต่อไปนั่นเอง   ที่มา scitechdaily และ newscientist

  • 8 อาหารของคนอียิปต์โบราณ ไปดูกันว่าในสมัยก่อน คนอียิปต์ทานอะไรกันในชีวิตประจำวัน

    8 อาหารของคนอียิปต์โบราณ ไปดูกันว่าในสมัยก่อน คนอียิปต์ทานอะไรกันในชีวิตประจำวัน

    ดินแดนอียิปต์โบราณเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง ประเพณีวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต ประเทศอียิปต์ก็เป็นอารยธรรมที่น่าค้นหาอยู่เสมอ     ว่าแต่ในระหว่างที่เราค้นหาปริศนาใหญ่ๆ ในอียิปต์อย่างพีระมิดกัน เคยสงสัยในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างคนอียิปต์โบราณเขาทานอะไรกันในชีวิตประจำวันไหม? เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้กับ 8 อาหาร ที่คนอียิปต์สมัยก่อนทานกันในชีวิตประจำวัน   เริ่มกันจากขนมปัง หาข้อมูลเกี่ยวอาหารในสมัยอียิปต์โบราณ ขนมปังจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คุณพบ มันเป็นอาหารที่ทานกันในแทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าคุณจะเป็นประชาชนหรือฟาโรห์ก็ตามที   เบียร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดนี้ มีการดื่มกันอย่างแพร่หลายในอียิปต์โบราณ จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพูดถึงอาหารของอียิปต์ คนสมัยก่อนจะนึกถึงขนมปังกับเบียร์ขึ้นมาก่อนเลยทีเดียว   เนื้อสัตว์ แน่นอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชาวอียิปต์จะมีการล่าสัตว์เป็นอาชีพสำคัญอาชีพหนึ่ง แถมพวกเขายังทานสัตว์แปลกๆ อย่างฮิปโปหรือเนื้อทรายด้วย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะพวกเขานับถือแมวเป็นพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าเจ้าเหมียวจะถูกกินแต่อย่างไร   เนื้อปลา แน่นอนว่าวิถีชีวิตริมแม่น้ำย่อมมาพร้อมกับการประมงเป็นธรรมดา และแม่น้ำไนลก็มีปลาอยู่เยอะซะด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะจับปลาได้ฟรีๆ หรอกนะเพราะน่านน้ำส่วนใหญ่มักมีเจ้าของแล้วนั่นเอง   ของหวาน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าของหวานเองก็เป็นหนึ่งในเมนูของคนอียิปต์เช่นกัน โดยของหวานเหล่านี้มักมาในรูปแบบ น้ำผึ้ง ลูกเกด หรือไม่ก็ผลไม้แห้งอื่นๆ แต่ใช่ว่าทุกคนจะทานของหวานได้หรอกนะ เพราะนี่นับเป็นสินค้าที่มีราคาอย่างหนึ่งเลยล่ะ   เนยและชีส…

  • พบบอร์ดเกมโบราณอายุ 4,000 ปี ที่อาเซอร์ไบจาน เชื่อคนแร่ร่อนเคยใช้เล่นเพื่อฆ่าเวลา

    พบบอร์ดเกมโบราณอายุ 4,000 ปี ที่อาเซอร์ไบจาน เชื่อคนแร่ร่อนเคยใช้เล่นเพื่อฆ่าเวลา

    ในปัจจุบันบอร์ดเกมเริ่มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีร้านบอร์ดเกมเปิดขึ้นมาใหม่กันเป็นจำนวนมาก ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าไม่ได้มีแต่คนปัจจุบันหรอกนะที่หลงใหลในบอร์ดเกม เพราะคนโบราณเองก็น่าจะชอบเล่นเกมแบบนี้กันพอสมควรเลย เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองที่ ก็ได้มีการค้นพบร่องรอยของการเล่นหนึ่งในบอร์ดเกมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน และมีอายุเก่าแก่ถึงราวๆ 4,000 ปี     โดยนี่เป็นร่องรอยของหลุมขนาดเล็ก ที่ถูกเจาะลงไปบนพื้นที่พักอาศัยที่ทำจากหิน และคาดกันว่าน่าจะเป็นเกม “58 Holes” (หรือ “Hounds and Jackals”) บอร์ดเกมที่ชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นในอียิปต์เมื่อ 2,200 ปีก่อนคริสตกาล แม้จะไม่มีหลักฐานวิธีการเล่นเกมนี้ถูกบันทึกไว้เป็นรายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่า เกมนี้น่าจะมีการเล่นคล้ายๆ บันไดงูในปัจจุบันนั่นเอง   รูปร่างโดยคร่าวๆ ของ “58 Holes”   ดูเหมือนว่าเกมนี้จะถูกเล่นกันในช่วงที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนแร่รอน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับการทำปศุสัตว์เป็นหลัก และเป็นช่วงเดียวกับที่เกม 58 Holes แพร่หลายไปในตะวันออกกลางด้วย “นี่เป็นเกมที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในทุกๆ ที่” วอลเตอร์ คริส นักวิจัยร่วมของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ในนิวยอร์กกล่าว “จริงอยู่ว่าชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่มันก็มีอายุห่างจากชิ้นที่เพิ่งค้นพบไม่มาก นั่นหมายความว่าเกมนี้แพร่กระจายออกไปเร็วจริงๆ”   สถานที่ที่มีการค้นพบบอร์ดเกมในครั้งนี้   การแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วของเกมที่พบนี้เป็นหลักฐานอย่างดีของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในสมัยก่อน และหากนึกถึงการใช้ชีวิตที่น่าจะมีเวลาว่างมากของคนในสมัยนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่บอร์ดเกมจะกลายเป็นอุปกรณ์ฆ่าเวลาที่ได้รับความนิยมไปนั่นเอง   58…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ความเป็นไปได้ โครงกระดูก “Little Foot” อาจเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่

    งานวิจัยใหม่ชี้ความเป็นไปได้ โครงกระดูก “Little Foot” อาจเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่

    ย้อนกลับไปเมื่อยุค 1990 โลกของเราได้รู้จักกับ “Little Foot” โครงกระดูกมนุษย์โบราณที่ถูกตั้งชื่อตามลักษณะของเท้าที่มีขนาดเล็ก ในแอฟริกาใต้ และเชื่อกันว่าน่าจะเคยมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 3.67 ล้านปีก่อน     ในช่วงแรกๆ ที่มีการค้นพบ Little Foot ถูกจัดไว้ในกลุ่ม “ออสตราโลพิเธคัส เรมิดัส” สายพันธุ์ของมนุษย์ที่มีฟอสซิลเด่นๆ คือ “ป้าลูซี่” ที่เรารู้จักกันอยู่ อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของงานวิจัยใหม่ล่าสุดนี้เอง เราก็ได้ทราบกันว่า แท้จริงแล้ว Little Foot อาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มมนุษย์ออสตราโลพิเธคัส เรมิดัส แต่เป็นมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็เป็นได้ เพราะ Little Foot ที่สูงเพียงแค่ 130 เซนติเมตรนั้น แม้ว่าจะมีขาที่ยาวกว่าแขนอันเป็นลักษณะสำคัญที่แยกมนุษย์ออกมาจากลิงก็ตาม แต่เธอกลับมีฟันที่ใหญ่ ใบหน้าที่แบน และช่องว่างระหว่างฟันที่กว้าง     นี่เป็นลักษณะฟันของสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ Little Foot ไม่น่าจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับ ป้าลูซี่ที่เริ่มมีการกินอาหารที่เป็นทั้งพืชและสัตว์แล้วนั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการวิเคราะห์กระดูกของนักวิทยาศาสตร์แล้ว Little Foot ยังมีความสามารถในการปีนต้นไม้ที่สูงกว่าคนในปัจจุบันมาก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถถือของได้ดีเท่าคนในปัจจุบันก็ตาม     โดย Ronald Clarke นักบรรพมานุษยวิทยาผู้มีส่วนร่วมในงานวิจัยครั้งนี้ ได้เสนอชื่อของเผ่าพันธุ์ใหม่ของ Little…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใต้พื้นโลก มีมวลคาร์บอนรวมมากกว่ามนุษย์เสียอีก

    นักวิทยาศาสตร์พบ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใต้พื้นโลก มีมวลคาร์บอนรวมมากกว่ามนุษย์เสียอีก

    ตั้งแต่ในอดีตมนุษย์เรามีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้พื้นโลก ถึงอย่างนั้นก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวเหล่านั้นก็เริ่มที่จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใต้พื้นโลกนั้นมีอยู่จริงๆ เพียงแค่มันไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้เท่าไหร่ก็เท่านั้น     เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบ สิ่งมีชีวิตระดับจุลินทรีย์กว่าพันๆ ล้านตัวกำลังใช้ชีวิตลึกลงไปใต้พื้นดินหลายกิโลเมตร ในพื้นที่ระหว่างเปลือกโลกและแกนโลก ซึ่งที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีการตรวจสอบสิ่งมีชีวิตได้มาก่อน นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 1,000 คนจาก 52 ประเทศทั่วโลก หลังจากที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ผืนโลกมายาวนานกว่า 10 ปี และเชื่อกันว่าพวกมันอยู่ในที่แห่งนี้มาตั้งแต่โลกกำเนิดใหม่ๆ เลยด้วย     เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากข้อมูลของพวกเขา จุลินทรีย์ที่พบนั้นเยอะมากถึงขนาดที่บอกได้ว่า 70% ของจุลินทรีย์ทั้งหมดบนโลก อาศัยอยู่ใต้ดินเลยทีเดียว ว่าง่ายๆ ว่าหากเปรียบเทียบมวลคาร์บอนกันแล้ว จุลินทรีย์ที่พบใต้ดินนั้น มีมวลคาร์บอนรวมๆ แล้วถึง 15-23 พันล้านตัน ซึ่งมากกว่ามนุษย์ทั้งโลกรวมกันเสียอีก แถมนอกจากจำนวนแล้ว การตรวจสอบในเบื้องต้นของนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าจุลินทรีย์เหล่านี้ มีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงมาก จนเผลอๆ จะสูงกว่าสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกเลยด้วยซ้ำ     นี่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันว่าโลกเรามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ระหว่างแกนกลางกับเปลือกโลกจริงๆ แต่ยังเป็นการค้นพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่เป็นจำนวนมากด้วย และการที่มีจุลินทรีย์ที่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โดนกดทับตลอดเวลา ไร้แสงสว่าง แทบไร้อาหาร แถมยังต้องอยู่กับอุณหภูมิสูง (ราวๆ 121…

  • ศาลเกาหลีใต้ สั่ง “มิตซูบิชิ” จ่ายค่าเสียหายคดีใช้แรงงานเมื่อร้อยปีก่อน กว่า 4.3 ล้านบาท

    ศาลเกาหลีใต้ สั่ง “มิตซูบิชิ” จ่ายค่าเสียหายคดีใช้แรงงานเมื่อร้อยปีก่อน กว่า 4.3 ล้านบาท

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นได้ก่ออาชญากรรมสงครามไว้เป็นจำนวนมาก จนทำให้คนรุ่นหลังต้องชดใช้ค่าความเสียหายใช้กับหลายๆ ประเทศอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาร่วมทศวรรษ นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในบรรดาผู้คนในสังคมที่ว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้นชดใช้ความผิดมากพอหรือยัง     เพราะเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาศาลฎีกาสูงสุดของประเทศเกาหลีใต้ ได้ออกคำตัดสินให้บริษัทอย่าง “มิตซูบิชิ” จ่ายค่าเสียหายเป็นให้แก่ครอบครัวของชาวเกาหลีหลายคนซึ่งถูกบังคับใช้แรงงาน ในช่วงปี 1910-1945 นั่นเอง โดยคำตัดสินในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีการสู้คดีกันมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปี และมีค่าเสียหายที่ถูกเรียกเก็บ อยู่ที่ประมาณครอบครัวละ 80-150 ล้านวอน (ราวๆ 2.3-4.3 ล้านบาท)     และแน่นอนว่าคำตัดสินของศาลในครั้งนี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากในหมู่ชาวญี่ปุ่น จนถึงขั้นที่ว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาชุมนุมประท้วงเลยทีเดียว นั่นเพราะก่อนหน้านั้นไม่น่า ศาลฎีกาแห่งนี้ก็เพิ่งมีการตัดสินให้บริษัทนิปปอน สตีล & ซูมิโตโม เมทัล จ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวน 100 ล้านวอน (ราวๆ 2.9 ล้านบาท) ให้แก่ครอบครัวชาวเกาหลี 4 คน ในคดีการบังคับใช้แรงงานเช่นกัน     โดยรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นนายทาโร่ โคโนะ ได้ให้ความเห็นกับทำตัดสินที่ออกมาว่า “เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และยอมรับไม่ได้มากๆ” เนื่องจากคดีความเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานทั้งหมด…

  • ย้อนรอย 17 มิถุนายน 1939 การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนด้วย “กิโยตีน” ครั้งสุดท้าย

    ย้อนรอย 17 มิถุนายน 1939 การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนด้วย “กิโยตีน” ครั้งสุดท้าย

    เชื่อกันว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักเครื่องประหารชีวิตที่ชื่อว่า “กิโยตีน” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นเครื่องประหารที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งของศตวรรษที่ 18 เลยก็ว่าได้ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่ากิโยตีนนั้น ถูกใช่เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน?     จริงอยู่ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจะมีข่าวว่าทางนาซีเอากิโยตีนออกมาประหารคนที่ต่อต้านพวกตนอยู่เป็นพักๆ แต่หากจะพูดถึงการประหารชีวิตอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายด้วยกิโยตีน เราก็คงต้องพูดถึงคดีของ Eugène Weidmann เท่านั้น โดย Eugène Weidmann เป็นนักลักพาตัว และฆาตกรต่อเนื่องชาวฝรั่งเศส ผู้ต้องหาของคดี สังหารผู้หญิง 2 คน และผู้ชายอีก 4 คนในกรุงปารีส เมื่อปี 1937   Eugène Weidmann ในตอนที่โดนจับ   เขาถูกจับได้ในเวลาต่อมา ก่อนที่จะถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตในเช้าวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 1939 ด้วยกิโยตีน นี่นับว่าเป็นการประหารชีวิตต่อหน้าประชาชนที่ห่างหายไปนานสำหรับชาวฝรั่งเศส ทำให้มีคนมากมายที่ตัดสินใจ เข้ามาชมการประหารชีวิตในครั้งนี้ โดยหนึ่งในนั้นมี “คริสโตเฟอร์ ลี” นักแสดงระดับตำนานที่ในเวลานั้นอายุเพียง 17 ปีด้วย   การเตรียมการกิโยตีนที่ใช้ (ซึ่งในภายหลังต้องมีการย้ายที่จัดการประหาร)   อย่างไรก็ตามแทนที่การประหารชีวิตในครั้งนี้จะจบลงไปด้วยดี ประชาชนที่มุงดูอยู่กลับทำตัวไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง…

  • พบเครื่องประดับศีรษะเก่าแก่อายุกว่า 50,000 ปีในไซบีเรีย และทำมาจาก “งาช้างแมมมอส”

    พบเครื่องประดับศีรษะเก่าแก่อายุกว่า 50,000 ปีในไซบีเรีย และทำมาจาก “งาช้างแมมมอส”

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าคนสมัยก่อนอาจจะเอาพวกซากสัตว์ที่ล่าได้มาทำเป็นเสื้อผ้าหรืออาวุธอย่างที่เห็นกันในเกมหรือภาพยนตร์ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่านอกจากเสื้อผ้าและอาวุธแล้ว คนสมัยก่อนยังเอากระดูกสัตว์ไปทำเป็นเครื่องประดับด้วย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ที่ถ้ำเดนิโซวาน ในไซบีเรีย สถานที่ซึ่งมีการขุดพบหลักฐานการอาศัยอยู่ร่วมกันของมนุษย์โฮโมเซเปียน มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล และมนุษย์เดนิโซวานในอดีต ได้มีการค้นพบวัตถุโบราณชิ้นใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง     นี่เป็นวัตถุโบราณที่มีรูปร่างคล้ายรัดเกล้า หรือมงกุฎ ที่ทำขึ้นจากงาช้างแมมมอสที่ถูกเจาะปลายทั้งสองเพื่อรอยเชือก และมีอายุมากถึง 50,000 ปี นั่นทำให้รัดเกล้าชิ้นนี้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องประดับศีรษะที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาในโลกเลยทีเดียว     รัดเกล้าที่พบนี้ เชื่อกันว่าทำขึ้นมาโดยมนุษย์เดนิโซวาน ซึ่งเคยมีหลักฐานการทำเครื่องประดับอย่างกำไลข้อมือ หรืออุปกรณ์อย่างเข็มจากงาช้างมาแล้ว และเคยมีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะผุพังไป และถูกนำมาทิ้งยังสถานที่ที่ค้นพบ เป็นไปได้ว่าเดิมทีแล้วรัดเกล้าชิ้นนี้จะเคยมีรูปร่างโค้งมากกว่านี้มาก่อน จากการทำให้โค้งงอด้วยฝีมือผู้สร้าง แต่ก็ยืดตรงขึ้นไปเอง หลังจากที่ถูกนำมาทิ้งไว้ตามกาลเวลา     ในเบื้องต้นนักโบราณคดีเชื่อกันว่ารัดเกล้าชิ้นนี้ น่าจะออกแบบมาให้ผู้ชายใช้งาน เนื่องจากขนาดของวัตถุโบราณที่พบนั้นค่อนข้างใหญ่ จนการที่จะใส่มันให้พอดีนั้น จำเป็นจะต้องมีศีรษะที่ใหญ่ตามไปด้วย และแม้ว่ารูปร่างของมันจะคล้ายแผ่นป้องกันศีรษะก็ตาม แต่นักโบราณคดีก็คาดว่าวัตถุชิ้นนี้ ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้เท่าไหร่ ในทางกลับกัน พวกเขาคิดว่านั้นอาจจะเป็นของที่สืบทอดกันในตระกูลของคนสมัยก่อน เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของบุคคลพิเศษในสมัยนั้น     จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการขุดพบเครื่องประดับที่ทำจากกระดูกของสัตว์ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบเครื่องประดับศีรษะที่เก่าแก่ขนาดนี้ในโลก และเป็นตัวอย่างที่ดีของความสามารถในการประดิษฐ์ผลงานของคนสมัยก่อนเลยนั่นเอง   ที่มา ancient-origins และ iflscience

  • ถ้วยไลเคอร์กุส โบราณวัตถุอายุ 1,600 ปี หลักฐานการใช้นาโนเทคโนโลยีของชาวโรมันโบราณ

    ถ้วยไลเคอร์กุส โบราณวัตถุอายุ 1,600 ปี หลักฐานการใช้นาโนเทคโนโลยีของชาวโรมันโบราณ

    ในปัจจุบันนาโนเทคโนโลยี ได้กลายเป็นหนึ่งส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะในทางการแพทย์ หรือตามผลิตภัณฑ์ที่วางขาย เราก็อาจจะเห็นการใช้งานนาโนเทคโนโลยีในนั้นได้ไม่ยากเลย ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบรึเปล่าว่าการใช้นาโนเทคโนโลยี ไม่ได้เพิ่งมามีเอาเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรอกนะ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 1,600 ปีก่อน ชาวโรมันโบราณเองก็มีการใช้นาโนเทคโนโลยีกับเขาเหมือนกัน     นี่คือถ้วยไลเคอร์กุส เครื่องประดับเก่าแก่ที่ถูกนำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษเมื่อช่วงยุคปี 1950 และมีจุดเด่นไม่เพียงแค่ความงามเท่านั้น แต่หากส่องแสงจากด้านหลัง มันยังสามารถเรื่องแสงเป็นสีแดงได้อีกด้วย ความสามารถของมันนั้นทำให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นถึงกับงงกันเป็นแถว เพราะไม่มีใครทราบได้เลยว่าอะไรกันที่ทำให้ ถ้วยไลเคอร์กุสเปลี่ยนสีได้ด้วยตัวเองแบบนี้     กว่าที่ปริศนาของถ้วยไลเคอร์กุสจะถูกไขให้กระจ่าง มันก็เป็นในปี 1990 เลยทีเดียว เมื่อนักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษลองเอาชิ้นส่วนของถ้วยไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดู และพบว่าสิ่งที่ทำให้ถ้วยเปลี่ยนสีได้นั่นไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นนาโนเทคโนโลยีนั่นเอง กล่าวคือภายในถ้วยไปนี้นั้นมีการผสมทองคำ และเงินที่มีขนาดเล็กกว่า 50 นาโนเมตร ลงไปในเนื้อแก้วด้วยนั่นเอง ทำให้เมื่อมีแสงส่องผ่าน โมเลกุลของทองและเงินเกิดการสั่นจนทำให้แก้วเปลี่ยนสีไปอย่างที่เห็น     จริงอยู่ว่าการกระทำของชาวโรมันโบราณนี้อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่นี่ก็นับเป็นความบังเอิญที่แม่นยำได้อย่างสุดๆ เพราะปริมาณของโมเลกุลทองและเงินที่ถูกใช้ไปนั้นออกมาพอดิบพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนมองว่าชาวโรมันน่าจะมีความรู้ในการควบคุมนาโนเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม   หากมีปริมาณโมเลกุลทองต่างกัน สีที่ออกมาก็จะต่างกันไปด้วย   และแม้ว่าถ้วยไลเคอร์กุสจะเป็นเพียงของประดับก็ตาม แต่มันก็เป็นก้าวแรกๆ ของมนุษยชาติในการใช้งานนาโนเทคโนโลยีเช่นกัน   ที่มา ancient-origins, smithsonianmag และ theguardian

  • “Speculum Alchemiae” ห้องปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุใต้ดิน ที่ถูกพบเพราะน้ำท่วมกรุงปราก

    “Speculum Alchemiae” ห้องปฏิบัติการเล่นแร่แปรธาตุใต้ดิน ที่ถูกพบเพราะน้ำท่วมกรุงปราก

    ในปี 2002 กรุงปรากแห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้พบกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำให้บ้านเรือนพังพินาศจนมีประชาชนกว่า 30,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน แต่ก็ราวกับเป็นความโชคดีในโชคร้าย เพราะหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมจบลง ประเทศเช็กเกีย ก็ได้พบกับห้องปฏิบัติการใต้ดินจากศตวรรษที่ 16 ในอาคารหลังหนึ่งเข้าพอดี     นี่เป็นห้องปฏิบัติการนี้เชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรธาตุอยู่อย่างครบครัน พร้อมกับทางลับที่เชื่อมไปยังสถานที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท โรงทหาร หรือแม้กระทั่งศาลากลางจังหวัด แถมนับว่าเป็นความโชคดีมากที่กาลเวลาที่ผ่านไป บวกกับเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ไปมากเท่าที่คิด ทำให้เครื่องมือหลายๆ อย่างในที่แห่งนี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมีน่าเชื่อ     สถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะเคยมีการใช้งานในสมัยของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง (เมื่อช่วงปี 1552-1612) ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสนับสนุนศิลปะและวิทยาศาสตร์ จนทำให้กรุงปรากกลายเป็นผู้นำทางศิลปะและวิทยาการของยุโรปไปช่วงหนึ่ง   ภาพของจักรพรรดิโรมันรูดอล์ฟที่สอง   นั่นทำให้เป็นไปได้ว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น เพราะแม้ในปัจจุบัน การเล่นแร่แปรธาตุจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ก็ตาม แต่ในอดีตศาสตร์นี้ถูกจัดเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งเลย     แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการแร่แปรธาตุในสมัยนั้นก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่มีความอันตรายสูงอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รูดอล์ฟที่สองจะจำเป็นต้องสร้างที่นี่ขึ้นมาอย่างลับๆ จนไม่มีใครหาพบเป็นเวลานานอย่างที่เห็น     ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมศาสตร์การแปรธาตุในอดีตภายใต้ชื่อ “Speculum Alchemiae” (แปลตรงๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์การแปรธาตุ” เลย) สืบไป…

  • เปิดตำนาน “Samodiva” ภูตสาวสุดสวยของชาวบัลแกเรีย ที่อันตรายกว่าที่เราคิด

    เปิดตำนาน “Samodiva” ภูตสาวสุดสวยของชาวบัลแกเรีย ที่อันตรายกว่าที่เราคิด

    หากพูดถึงเหล่าภูตในป่าแล้ว ภาพลักษณ์ในหัวของหลายๆ คนก็คงไม่พ้นคนตัวเล็กๆ (และมักจะเป็นผู้หญิง) ที่มีปีกบินได้ และค่อนข้างเป็นมิตร     แต่ถ้าเป็นในเรื่องเล่าของชาวบัลแกเรียแล้ว ภูตที่ดูสวยหรือน่ารักเหล่านั้น อาจจะไม่ได้เป็นมิตรเสมอไปก็เป็นได้ นั่นเพราะพวกเขามีภูตที่เรียกว่า “Samodiva” ภูตผู้มีรูปร่างเป็นผู้หญิงรูปงาม ซึ่งแม้ว่าจะดูไร้พิษภัย แต่พวกเธอกลับอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ     Samodiva เกิดขึ้นมาจากการร่วมคำสองคำ ได้แก่ “Samo” ที่แปลว่า “โดดเดี่ยว” หรือ “อยู่คนเดียว” กับ “Diva” ที่แปลได้ทั้ง “ป่า” และ “ภูต” และรวมกันเป็น “ภูตป่าผู้โดดเดี่ยว” ตามปกติพวกเธอจะอาศัยอยู่แบบหลีกเลี่ยงผู้คนสมชื่อ แต่ในบางครั้งพวกเธอก็จะใช้ความงามของตนล่อให้คนที่มาพบเห็นตกเป็นเหยื่อ ก่อนที่จะดูดพลังชีวิต ทำให้หลงป่า หรือกลั่นแกล้งต่อไป Samodiva มักถูกเล่าว่าเป็นหญิงที่รักในเสียงเพลง และมักจะล่อคนมาสังหารเพื่อขโมยบทเพลง หรือไม่ก็ภูตที่รักในการขี่สัตว์มากๆ และมัก “ลงโทษ” ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ที่เธอขี่ด้วยเวทมนตร์จนทำให้พวกเขาเสียชีวิตอย่างทรมาน ในบางตำราถึงกับบอกว่าใครก็ตามที่มาเห็นพวกเธอเต้นรำจะต้องเต้นกับพวกเธอไปจนเหนื่อยตายเลยทีเดียว     ที่มาของ Samodiva มีอยู่หลากหลาย บ้างก็ว่าพวกเธอเป็นลูกสาวของ Bendis เทพแห่งด้วยจันทร์และการล่าของเธรซ (คล้ายๆ อาร์ทิมิสของกรีก)  ในขณะที่บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าพวกเธอเป็นลูกหลานของลาเมียแทน…

  • เปิดตำนานดาบ Ulfberht สุดยอดดาบของชาวไวกิ้ง ที่ผู้คนยังพยายามตีขึ้น แม้ในปัจจุบัน

    เปิดตำนานดาบ Ulfberht สุดยอดดาบของชาวไวกิ้ง ที่ผู้คนยังพยายามตีขึ้น แม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องดาบ Ulfberht ของชาวไวกิ้งมาก่อนไหม? นี่เป็นดาบโบราณที่มีชื่อเสียงมากในช่วงปีค.ศ. 800-1000 และเคยมีการค้นพบมาแล้วราวๆ 170 เล่ม     นี่เป็นดาบที่มีจุดเด่นที่น้ำหนักเบา ทนทานไม่หัก และลวดลายบนดาบที่ยากที่จะทำเลียนแบบ แม้กระทั่งในปัจจุบัน ดาบ Ulfberht นั้นเชื่อกันว่าทำจากเหล็กคาร์บอนสูงที่ชื่อว่า “Crucible Steel” ซึ่งเป็นไปได้ว่าทำขึ้นมาจากการผสมเหล็กกับคาร์บอน (หลายๆ ที่เชื่อว่ามาจากถ่าน) ในสัดส่วนจำเพาะที่มีเพียงช่างตีเหล็กของไวกิ้งเท่านั้นที่รู้     ที่น่าแปลกคือการจะทำเหล็กที่มีความบริสุทธิ์สูงแบบ Crucible Steel นั้น จำเป็นที่จะต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก (สูงกว่า 1600 องศาเซลเซียส) ซึ่งด้วยเทคโนโลยีของชาวไวกิ้งในสมัยนั้นแล้ว ไม่น่าที่จะสร้างเหล็กแบบนี้ออกมาได้เลย เพราะในยุโรปเองกว่าที่เทคโนโลยีจะสูงพอที่จะทำเหล็กที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ Crucible Steel มันก็ในช่วงยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว     ผลที่ได้มาของการตีดาบในรูปแบบนี้ นำมาซึ่งดาบชั้นยอด ที่ทนทาน คมกริบ จนถึงขั้นที่ว่าแทงทะลุเกราะบางชนิดได้ และว่ากันว่าเป็นอาวุธที่อยู่เบื้องหลังความน่ากลัวของนักรบไวกิ้งไป ว่าง่ายๆ ว่าหากจะนับ Ulfberht ว่าเป็นดาบในตำนาน เหมือนดาบมารมุรามาสะ หรือเอกซ์แคลิเบอร์ ดาบ Ulfberht ของไวกิ้งก็คงจะเป็นตัวแทนของดาบที่ทำขึ้นจากวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ โดยไม่พึ่งพาเวทมนตร์ใดๆ นั่นเอง  …

  • พบเชื้อกาฬโรคโบราณอายุกว่า 5,000 ปี ที่สวีเดน เชื่อทำคนยุคหินตายเป็นจำนวนมาก

    พบเชื้อกาฬโรคโบราณอายุกว่า 5,000 ปี ที่สวีเดน เชื่อทำคนยุคหินตายเป็นจำนวนมาก

    เมื่อผู้ถึงสิ่งที่ต้องมีการเฝ้าระวังในการขุดค้นสิ่งของจากสมัยก่อน บางคนก็อาจจะนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับโรคระบาดขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ เพราะใครจะไปรู้ว่าเชื้อโรคในสมัยก่อนจะส่งผลอย่างไรกับคนในปัจจุบันบ้าง แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากตัวเชื้อโรคเอง ดันกลายเป็นส่วนสำคัญของการค้นพบไปเสียนี่     เพราะล่าสุดนี้เองที่ประเทศสวีเดน ได้มีการค้นพบร่องรอยโรคระบาดเก่าแก่ ที่เชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบโรคระบาดที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบมาของมนุษย์เลยนั่นเอง เจ้าโรคระบาดที่ว่านี้ถูกพบอยู่ในร่างของหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อราวๆ 5,000 ปีก่อน พร้อมๆ กับชาวบ้านชุมชนเกษตรกรรมในชนบทอีกราวๆ 78 คน ในพื้นที่ Gökhem ทางตะวันตกของประเทศสวีเดน โดยนี่เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียเยอซิเนีย เพสติส (Yersinia pestis)  ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในสัตว์หลายชนิด และก่อให้เกิดกาฬโรค โรคติดต่อที่น่ากลัวที่สุดอันหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์     นั่นหมายความว่ากาฬโรคนั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยยุคหินเลยนั่นเอง ซึ่งถือว่ามีมานานกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้พอสมควรเลย (เดิมทีแล้วเราคิดว่ากาฬโรคมาจากยุคสัมฤทธิ์) แต่นี่ไม่ใช่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่เราได้รับจากการค้นพบในครั้งนี้ เพราะจากคำบอกเหล่าของทีมนักโบราณคดี โรคที่พบนี้เกิดขึ้นมาก่อนการอพยพเข้ามาของชาวเอเชียในอดีตเสียอีก นั่นทำให้ความเป็นไปได้ที่ว่าชาวเอเชียในอดีตเป็นผู้นำกาฬโรคมาในยุโรป ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แถมในทางกลับกันนักวิทยาศาสตร์ยังบอกอีกว่าเป็นไปได้ที่กาฬโรคจะเกิดขึ้นมาในการตั้งถิ่นฐานของคนยุโรปเองเลย     เพราะในสมัยนั้นชุมชนที่ตั้งขึ้นน่าจะมีความแออัดสูง บวกกับมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดร่วมกันทำให้สุขอนามัย อยู่ในระดับที่ต่ำจนเกิดโรคระบาดได้ง่าย เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของประชากรมนุษย์ในช่วงยุคหินเอง ก็แสดงให้เห็นว่าในอดีตเองก็คงจะมีการระบาดอย่างหนักของกาฬโรค ที่อาจจะมีความรุนแรง มากกว่าหรือเท่ากับแบล็กเดดในยุคกลางเลยก็เป็นได้     อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ว่ามานี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการสันนิษฐานของนักโบราณคดี กับนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น และหากสามารถหาร่องรอยของโรคระบาดในกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานในยุโรปได้ มันจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะมาสนับสนุนของทฤษฎีดังกล่าวต่อไป  …

  • “เซซิเลีย เพย์น-กาปอชกิน” หญิงผู้พิสูจน์ส่วนประกอบดวงอาทิตย์ แต่กลับถูกโลกลืม

    “เซซิเลีย เพย์น-กาปอชกิน” หญิงผู้พิสูจน์ส่วนประกอบดวงอาทิตย์ แต่กลับถูกโลกลืม

    ถ้าจู่ๆ พูดชื่อ “เซซิเลีย เพย์น-กาปอชกิน”  (Cecilia Payne-Gaposchkin) ขึ้นมาคงมีคนไม่น้อยเลยที่ทำหน้าสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใครกัน ทั้งๆ ที่เธอนั้นเป็นเจ้าของการค้นพบครั้งใหญ่สุดๆ ครั้งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ     นั่นเพราะในปี 1925 เซซิเลียเป็นหญิงสาวคนแรกผู้เขียนวิทยานิพนธ์พิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์นั้นมีส่วนประกอบหลักเป็นฮีเลียม และไฮโดรเจน ในขณะที่เธออยู่ได้เพียง 25 ปีเท่านั้น นี่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากเลยก็ว่าได้ แต่เคยสงสัยกันไปว่าทำไม ชื่อของเซซิเลียกลับแทบไม่มีการพูดถึงเลย ทั้งๆ ที่มีผลงานยิ่งใหญ่ขนาดนั้น     เรื่องของเรื่องคือ เซซิเลียมีชีวิตอยู่ในสมัยที่สังคมมีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูง ดังนั้นแม้ว่าเธอจะได้เป็นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ตาม แต่งานวิทยานิพนธ์ของเธอก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักอยู่ดี เนื่องจากเขียนโดยผู้หญิง และปฏิเสธแนวคิดเดิมๆ แบบสุดโต่ง นั่นทำให้เพื่อนนักดาราศาสตร์ของเธอ “เฮนรี นอร์ริส รัสเซลล์” แนะนำไม่ให้เธอนำเสนอวิทยานิพนธ์ของตัวเองไป ซึ่งมันจะไม่มีปัญหาเลยถ้าเขาไม่นำมันวิทยานิพนธ์ที่ว่านั้นไปตีพิมพ์ในฐานะผลงานของตัวเองในเวลาต่อมา     การกระทำของเฮนรีทำให้ เซซิเลียไม่ได้รับชื่อเสียงอย่างที่เธอสมควรจะได้รับ และกว่าที่นักดาราศาสตร์คนอื่นๆ จะรู้ความจริงที่ว่า เซซิเลียเป็นคนเขียนวิทยานิพนธ์ฉบับนั้น เฮนรีก็ได้ใช้ชีวิตกับชื่อเสียงที่เขาขโมยมาอยู่นานทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เธอถูกแย่งผลงานไป การค้นพบปรากฏการณ์สตาร์คของเธอเองก็เคยถูกยับยั้งการตีพิมพ์ จนถูกนักวิทยาศาสตร์คนอื่นนำเสนอการค้นพบตัดหน้าไปก่อนเช่นกัน     นับว่าโชคดีมากที่ชีวิตหลังจากนั้นของเซซิเลียไม่ได้เลวร้ายลงไปกว่านั้น เพราะหลังจากเรื่องร้ายๆ ในชีวิต ในที่สุดเธอก็ได้รับตำแหน่งนักดาราศาสตร์อย่างเป็นทางการไปในปี 1938 เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากนั้นมา เซซิเลียก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ…

  • “การทดลองโรเซนแฮน” เมื่อนักจิตวิทยาพบว่าการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อนเชื่อถือไม่ได้

    “การทดลองโรเซนแฮน” เมื่อนักจิตวิทยาพบว่าการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อนเชื่อถือไม่ได้

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อจิตใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ผู้ป่วยมักจะถูกนำไปขังไว้เท่านั้น แต่การรักษาเองก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพแบบในปัจจุบันด้วย ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจากการทดลองในปีช่วงปี 1969-1972 แล้ว คนที่ทำการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสมัยก่อนนั้น แยกผู้ป่วยกับคนปกติออกจากกันไม่ได้ด้วยซ้ำ     นี่คือการทดลองที่ชื่อว่า “การทดลองโรเซนแฮน” จัดขึ้นโดยนักจิตวิทยา เดวิด โรเซนแฮนแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อไขปริศนาที่ว่าอะไรคือสิ่งที่บอกว่าเราเป็นคนปกติ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะไว้ใจได้แค่ไหนในการแยกผู้ป่วยทางจิตออกจากคนปกติ โดยนี่เป็นการทดลองที่จะให้คนธรรมดาแปดคน (รวมถึงตัวเขาเองด้วย) เอาไปแฝงตัวในโรงพยาบาลบ้า 12 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา โดยใช้ชื่อกับอาชีพที่เป็นของปลอม และอ้างว่าได้ยินเสียง “ว่างเปล่า” และ “กลวงโบ๋” ในหัวเป็นช่วงๆ   นักจิตวิทยา เดวิด โรเซนแฮน เมื่อปี 1973   เดิมทีแล้วเหล่าอาสาสมัครไม่เชื่อว่า เหตุผลประหลาดๆ แบบนี้จะทำให้พวกเขาเข้าไปในโรงพยาบาลบ้าได้จริงๆ แต่ในความเป็นจริง เพียงแค่อ้างว่าได้ยินเสียงโดยไม่ต้องแสดงอาการอื่นๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ ผู้อาสาสมัครทั้งแปดถูกรับเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว แถมเรื่องแบบนี้ยังเกิดขึ้นกับทุกๆ โรงพยาบาลที่มีการทดลองเลยด้วย นี่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะนอกจากการโกหกเรื่องการได้ยินเสียงแล้ว พวกเขาไม่ได้โกหกคำถามการใช้ชีวิตอื่นๆ เลย แต่กลับโดนหาว่าเป็น “ผู้มีอาการทางจิตอย่างรุนแรง” เหมือนกันหมด     เท่านั้นยังไม่พอเพราะไม่เพียงแต่ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลจะไม่มีใครรู้ความจริงว่าคนทั้งแปดไม่ได้มีอาการทางจิตจริงๆ แล้ว…

  • ชมโฆษณาของเล่นเด็กจากปี 1989 ยังจำกันได้ไหมว่าวัยเด็ก เราเคยอยากได้อะไรบ้าง

    ชมโฆษณาของเล่นเด็กจากปี 1989 ยังจำกันได้ไหมว่าวัยเด็ก เราเคยอยากได้อะไรบ้าง

    ของเล่น เป็นของที่คู่กับเด็กๆ (และผู้ใหญ่หลายๆ คน) มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เพียงแต่คนที่เกิดในต่างยุคสมัยก็อาจจะมีสิ่งที่อยากได้แตกต่างกันไปก็เท่านั้น ว่าแต่เพื่อนๆ ยังจำกันได้รึเปล่าว่าในสมัยเด็กตัวเองมีของเล่นแบบไหนที่เคยอยากได้เป็นพิเศษบ้าง เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม โฆษณาของเล่นเด็กจากปี 1989 กัน เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นคนที่เกิดในยุค 80-90 จะต้องมีของที่เคยอยากได้กันสักชิ้นล่ะ   นี่ไง เปิดมาก็เจอเกมบอย (รุ่นขาวดำ) กับ เครื่อง NES เลย   ตุ๊กตาของสาวๆ ก็มีเพียบ เห็นบาร์บี้ตัวนั่นไหม?   อันนี้สำหรับสายตุ๊กตุ่น ที่เด็ดๆ เลยก็ ทรานสฟอร์เมอร์ โรโบคอป โกสต์บัสเตอร์   สายรถแข่ง รถบังคับก็มา เสียดายไม่มีของทามิย่า   วอล์กกี้ทอล์กกี้ก็มีนะ ไม่รู้ทำไมสมัยนั้นเด็กๆ ชอบวิทยุสื่อสารกันเหลือเกิน   ใช่ๆ พวกหุ่นไดโนเสาร์ก็เหมือนกัน เมื่อก่อนร้องไห้อยากได้สุดๆ ส่วนเดียวนี้ก็มานั่งสงสัยตัวเองอยู่ว่าทำไมเมื่อก่อนอยากได้นักอยากได้หนา   มุมเครื่องเกมนินเทนโด้แบบล้วนๆ เลยก็มา   พวกรถรางๆ นี้ก็เต็มบ้านเลยเหมือนกัน ส่วนเครื่องเซก้าเจเนซิสแพงไป เลยโดนหลอกเอาเกมตลับมาให้เล่นแทน…

  • ฟันของ “ช้างแมมมอธ” อายุร่วม 13,000 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะน้องหมาหนึ่งตัว

    ฟันของ “ช้างแมมมอธ” อายุร่วม 13,000 ปี ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะน้องหมาหนึ่งตัว

    ในโลกนี้มีการค้นพบวัตถุโบราณเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะโดยนักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ หรือคนธรรมดาๆ ด้วยความบังเอิญ ว่าแต่ใครจะไปคิดเล่าว่าโบราณวัตถุจะถูกค้นพบโดยน้องหมาได้เหมือนกัน แถมไม่ใช่น้องหมาที่ฝึกมาเพื่อหาของด้วย เพราะเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาสุนัขลาบราดอร์วัยแปดเดือนชื่อ “สเกาท์” ได้ขุดพบฟันของช้างแมมมอธ ที่มีอายุร่วม 13,000 ปีเข้าที่สวนหลังบ้านใน เกาะ Whidbey รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกานั่นเอง     จากคำบอกเล่าของ Kirk Lacewell ผู้เป็นเจ้าของ ดูเหมือนว่าวันหนึ่งเจ้าสเกาท์จะออกไปเล่นที่สวนตามปกติ และกลับมาพร้อมกับวัตถุรูปร่างประหลาดอันหนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นหินหรือไม่ก็เศษไม้ อย่างไรก็ตามหลังจากเจ้าสเกาท์คาบมันเดินไปเดินมาได้ราวๆ หนึ่งวันคุณ Kirk ก็เริ่มรู้สึกว่าวัตถุที่เห็นมันมีอะไรแปลกๆ คล้ายกับกระดูก และดูเก่ามากอย่างไม่น่าเชื่อ     เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณ Kirk จึงถ่ายภาพสิ่งที่พบส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตันดู และก็เป็นในเวลานั้นเองที่เขาทราบว่าสิ่งที่เจ้าสเกาท์คาบไปคาบมานั้น ไม่ใช่หินหรือไม้ธรรมดาแต่เป็นฟันของช้างแมมมอธต่างหาก เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คุณ Kirk แปลกใจเป็นอย่างมากก็จริงอยู่ แต่ทางพิพิธภัณฑ์เองก็บอกว่ากระดูกในรูปแบบนี้พบได้บ่อยๆ ในพื้นที่ Whidbey เพราะในปี 2015 เอง ก็มีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ พบกับฟันช้างแมมมอธในรูปแบบใกล้เคียงกันนี้บนชายหาดมาแล้ว     และสำหรับใครที่เป็นห่วงว่าทางพิพิธภัณฑ์จะยึดเอาของเล่นของเจ้าสเกาท์ไปก็ขอให้สบายใจได้เลย เพราะฟันช้างแมมมอธที่พบนั้นไม่ได้หายากหรือมีความสำคัญมากจนต้องมีการนำไปเก็บรักษา ดังนั้นคุณ Kirk และเจ้าสเกาท์ จึงสามารถเก็บของเล่นอายุร่วม…

  • ฟังเสียงจากดาวอังคาร บันทึกไว้ได้โดยยาน “InSight ” ที่ไม่มีไมโครโฟนด้วยซ้ำ

    ฟังเสียงจากดาวอังคาร บันทึกไว้ได้โดยยาน “InSight ” ที่ไม่มีไมโครโฟนด้วยซ้ำ

    อย่างที่เราทราบกันว่าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายานสำรวจ InSight ของทางนาซาได้ทำการลงจอดบนดาวอังคารได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และตั้งแต่ในวันนั้นมา ยานสำรวจลำนี้ก็ได้ส่งข้อมูลที่น่าสนใจมากมายกลับมายังโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นผิว ภาพถ่าย และข้อมูลอื่นๆ ของดาวอีกเป็นจำนวนมาก     แต่หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งของข้อมูลที่ถูกส่งกลับมานั้น อยู่ที่บันทึก “เสียงของดาวอังคาร” จากอุปกรณ์ของยาน InSight ต่างหาก นั่นเพราะแม้ยาน InSight จะไม่มีหากไมโครโฟนติดอยู่ แต่หากแปลงข้อมูลของเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนบนยานแล้ว เราจะสามารถฟังเสียงจากดาวอังคารได้เลยนั่นเอง   เสียงจากเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนบนยาน แบบไม่ผ่านการตัดแต่งใดๆ (เนื่องจากเสียงที่ได้มาค่อนข้างเบา กรุณาใส่หูฟังเพื่อเสียงที่ชัดเจนขึ้น แต่ถ้ายังไม่ได้ยินอีก แนะนำให้ไปฟังอันข้างล่างแทน)    เสียงจากเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนบนยาน ที่มีการเพิ่มเสียงขึ้น 2 อ็อกเทฟ   นี่คือเสียงของลมบนดาวอังคารที่พัดผ่านยาน InSight ไปด้วยความเร็ว 16-24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจากคำบอกเล่าของ Bruce Banerdt นักวิจัยหลักของภารกิจ เสียงลมเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับเสียงลมในทะเลของโลกเลย แต่เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน ไม่ใช่อุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวที่ทางนาซาสามารถนำมาแปลงข้อมูลเป็นเสียงได้ และเซนเซอร์วัดความกดอากาศบนยานเอง ก็สามารถจับแรงสั่นสะเทือนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเซนเซอร์วัดความกดอากาศนี้ ไม่ได้ไวต่อคลื่นความถี่สูงและตรวจจับได้แต่คลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำ จนทางนาซาต้องเร่งความเร็วเสียงขึ้น 100 เท่า กว่าจะได้เสียงที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้   เสียงจากเซนเซอร์วัดความกดอากาศบนยาน (ผ่านการดัดแปลงให้มนุษย์สามารถได้ยินแล้ว)   …

  • 23 ภาพโลกอนาคตจากยุค 50-60 ไปดูกันว่าเมื่อก่อน คนเราจินตนาการโลกอนาคตไปแบบไหน

    23 ภาพโลกอนาคตจากยุค 50-60 ไปดูกันว่าเมื่อก่อน คนเราจินตนาการโลกอนาคตไปแบบไหน

    การจินตนาการถึงโลกอนาคตเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำกันในทุกยุคทุกสมัย บางครั้งความคิดนั้นก็อาจจะตรงอย่างไม่น่าเชื่อ หรือบางครั้งมันก็อาจจะผิดจากความจริงไปคนละโลก แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนมุมมองของคนเราต่ออนาคตก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ดี และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมมุมมองต่อโลกในอนาคตของ Arthur Radebaugh จิตรกรประจำคอลัมน์ “Closer Than We Think” ในหนังสือพิมพ์เมื่อช่วงปี 1958-1962 กัน ไปกันดีกว่าว่าในสมัยนั้น คนเรามีมุมมองแบบไหนกับโลกอนาคตกันบ้าง   เริ่มกันจากรถพลังงานแสงอาทิตย์   บ้านที่มีโดมแก้วป้องกันสภาพอากาศครอบอยู่ เห็นว่าจะทำให้บ้านอบอุ่นเสมอๆ แม้กลางพายุหิมะ   การปลูกพืชขนาดใหญ่ นึกภาพป๊อปคอร์นที่จะออกมาสิ   การใช้หุ่นยนต์ทำงานในคลังสินค้า อันนี้ ใกล้เคียงกับความจริงมากกว่าที่คิดนะ   การเรียนผ่านหน้าจอและปุ่มกด อันนี้ทำได้แล้ว   พาหนะเดินสี่ขา ตามที่เขียนไว้ในคำบรรยาย นี่จะเป็นพาหนะที่ใช้ในการพาคนออกจากเมืองในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน   รถลอยได้ รถบินได้นี่ใครๆ ก็อยากให้มีจริงๆ แฮะ   บุรุษไปรษณีย์สวมเจ็ทแพ็ค ระดับความ “รับน้า” อาจจะบวกขึ้นไปอีก   ทางหลวงไปรัสเซีย มันก็จะเป็นทางเชื่อมจากรัฐอะแลสกา ไปยังรัสเซียโดยตรงสมชื่อ แบบว่าลอดใต้ทะเลไปเลย   Space Mayflowers…

  • ศิลปินหัวใสจับ “มิสเตอร์บีน” ใส่ภาพดังในประวัติศาสตร์ เกิดเป็นภาพสุดฮาน้ำตาเล็ด

    ศิลปินหัวใสจับ “มิสเตอร์บีน” ใส่ภาพดังในประวัติศาสตร์ เกิดเป็นภาพสุดฮาน้ำตาเล็ด

    สำหรับคนที่ชอบหนังตลก (และคนทั่วไปหลายๆ คน) คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักละครตลกชื่อดังของประเทศอังกฤษอย่าง “มิสเตอร์บีน” อีกแล้ว เพราะสำหรับหลายๆ คน เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าของโรแวน แอตคินสัน มันก็น่าขำแบบสุดๆ แล้ว และด้วยเหตุผลนี้เอง ศิลปินนาม Rodney Pike จึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกันหากเอาหน้าของมิสเตอร์บีน ไปใส่ในภาพดังๆ ในประวัติศาสตร์ มันจะดีกว่าภาพเดิมกันขนาดไหนอย่างนั้นเหรอ? ก็ลองไปดูกันที่ข้างล่างนี้สิ   เริ่มกันจาก มิสเตอร์บีนในภาพวาดตัวเองของ Rembrandt Harmenszoon van Rijn   เทียบกับของจริงกันหน่อย   มิสเตอร์บีนในภาพ Young Man With Book ของ Agnolo Bronzino   เทียบกับของจริงใครเท่กว่ากัน   มิสเตอร์บีนในภาพ An Old Man in Military Costume ของ Rembrandt   เทียบกับของจริง   มิสเตอร์บีนในภาพ ‘Tronie’ of a…

  • 4 รูปแบบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งแรกของโลก ความสูญเสียจากรถในสมัยก่อน มันเป็นเช่นไรกัน

    4 รูปแบบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งแรกของโลก ความสูญเสียจากรถในสมัยก่อน มันเป็นเช่นไรกัน

    อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์บนท้องถนนนั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย แต่ก็เป็นเรื่องที่เราพบเจอกันอยู่เป็นประจำ และอยู่คู่กับการใช้รถใช้ถนนมาอย่างยาวนาน ว่าแต่เคยสงสัยกันรึเปล่าว่าไอ้เจ้าอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์เนี่ยมันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่กัน?   อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไอน้ำครั้งแรก คงต้องอธิบายกันหน่อยว่าอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์นั้นมีแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่หากจะพูดถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดก็คงไม่พ้นคดีที่เกิดขึ้นในปี 1869 เพราะในปีนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ Mary Ward ได้ตกจากรถพลังไอน้ำของเธอในระหว่างการทดลอง และถูกล้อรถทับจนถึงแก่ความตายไปนั่นเอง และนี่ก็ทำให้เธอเป็นมนุษย์คนแรกที่เสียชีวิตจากยานพาหนะระบบมอเตอร์ไป   อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันครั้งแรก นี่เป็นอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1891โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวิศวกรชื่อ James Lambert ขับรถไปสะดุดรากไม้จนเสียการควบคุมนั่นเอง รถของเขาพุ่งชนเข้ากับราวกั้นหลังจากนั้น แต่นับว่าเป็นโชคดีมากที่เขาไม่ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง ทำให้เขาและเพื่อนที่นั่งไปอีกคนรอดจากอุบัติเหตุครั้งนี้มาได้โดยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ชนคนครั้งแรก นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1896 กับหญิงสาวชื่อ Bridget Driscoll ที่ประเทศอังกฤษ โดยขณะที่เธอกับลูกสาว (และเพื่อนของลูกสาวอีกคน) กำลังข้ามถนนอยู่ รถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงสุด (ที่ราวๆ 6.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดนนาย Arthur Edsall พุ่งเข้าชนอย่างจังจนถึงแก่ความตาย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายมากที่เด็กทั้งสองคนที่อยู่กับเธอไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด   อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ทำให้คนขับเสียชีวิตครั้งแรก ถ้าไม่นับ Mary Ward ที่ตกจากรถพลังไอน้ำ อุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่ทำให้คนขับเสียชีวิตครั้งแรก จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1898 เมื่อ Henry…

  • ย้อนรอย “พระเจ้าหลุยส์ที่ 17” ผู้มีคนแอบอ้างชื่อมากกว่า 100 คน และถูกนำหัวใจไปทำมัมมี่

    ย้อนรอย “พระเจ้าหลุยส์ที่ 17” ผู้มีคนแอบอ้างชื่อมากกว่า 100 คน และถูกนำหัวใจไปทำมัมมี่

    เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศสไหม? ถ้าพูดมาแบบนี้หลายๆ คนอาจจะเกาหัวนึกไม่ออก เพราะเอาเข้าจริงๆ คนที่เป็นที่รู้จักกันมากๆ จากยุคนี้จะเป็นมารี อ็องตัวแน็ตผู้เป็นมารดาของเขาเสียมากกว่า     จริงอยู่ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 จะเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของบัลลังก์ฝรั่งเศส ตั้งแต่ที่พี่ชายของเขาเสียชีวิต แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 กลับไม่มีโอกาสที่จะได้นั่งบัลลังก์เลยในชีวิตของเขาเช่นกัน นั่นเพราะในตอนที่เขาอายุได้เพียง 8 ขวบครอบครัวของเขาก็ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีโดยการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1793 ที่ทั้งมารีและหลุยส์ที่ 16 ถูกประหารชีวิตกันไปในฐานะทรราชย์ และแน่นอนว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เองก็ถูกจับตัวไป และไม่มีใครเห็นเขาอีกตั้งแต่วันนั้นมา     อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นหลายปี ก็มีคนจำนวนมากออกมาอ้างตัวว่าพวกเขานี่ละ คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ที่หายตัวไป สร้างความสับสนให้แก่เจ้าหญิงมารี-เตแรซ ซึ่งเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอย่างมาก ไม่แปลกที่ในเวลานั้นจะมีคนจำนวนมากที่อยากจะเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เพราะด้วยความที่หลุยส์ที่ 17 มีสายเลือดราชวงศ์โดยตรง จะทำให้ใครก็ตามที่ถูกเชื่อว่าเป็นหลุยส์ที่ 17 จริงๆ จะได้สิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปนั่นเอง แต่ในหมู่คนที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 นั้น แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าทางรัฐนั้น มีคนคนจำนวนหนึ่งที่ทราบว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 เป็นเช่นไรอยู่…

  • “โซกุชินบุตสึ” การบำเพ็ญเพียรสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่พระจะ “ทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่”

    “โซกุชินบุตสึ” การบำเพ็ญเพียรสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่พระจะ “ทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่”

    เชื่อว่าหากพูดถึง “มัมมี่” ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงประเทศอียิปต์ขึ้นมาเป็นที่แรก แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าในประเทศอย่างญี่ปุ่นเอง ก็มีกลุ่มคนที่พยายามทำมัมมี่อยู่เช่นกัน แถมยังเป็นการ “ทำตัวเองเป็นมัมมี่” ด้วย     นี่เป็นวิธีการที่เรียกกันว่า “โซกุชินบุตสึ” หนึ่งในการบำเพ็ญเพียรของนิกายชินงอน ซึ่งพบได้ตั้งแต่ในช่วงปี 1081 เรื่อยไปจนในปี 1903 และมีบันทึกไว้ว่ามีพระอย่างน้อยๆ 20 รูป ที่สามารถ “กลายเป็นมัมมี่” ได้สำเร็จ เชื่อกันว่าการบำเพ็ญเพียรในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้กระทำสามารถ เข้าไปสู่สวรรค์ชั้นที่ 4 ( “ธูษิตา” หรือ “ดุสิต” ) ได้ และจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1.6 ล้านปี ก่อนที่จะกลับมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกอีกครั้ง     แต่การจะใช้ชีวิตบนนั้น นานเป็นล้านปีจำเป็นต้องมีร่างกายที่คงทน ดังนั้นผู้บำเพ็ญโซกุชินบุตสึจึงตั้งเป้าหมายในการบำเพ็ญตนอยู่ที่การทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่นั่นเอง โซกุชินบุตสึจะเป็นการบำเพ็ญเพียรในหลายๆ รูปแบบ แต่มีจุดเด่นอยู่ที่การควบคุมอาหาร โดยในเบื้องต้นพระผู้บำเพ็ญตน จะหลีกเลี่ยงการทานอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่เรียกกันว่า “โมกุจิคิเกียว”     นี่เป็นรูปแบบอาหารที่ประกอบตัวไปด้วยเปลือกไม้ รากไม้ ถั่ว เมล็ดพันธุ์พืช และในบางแหล่งข้อมูลก็บอกว่ามีก้อนหินรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ว่าลักษณะการทานอาหารแบบนี้ทำขึ้นเพื่อให้ร่างกายมีไขมันและกล้ามเนื้อน้อยที่สุด บวกกับกำจัดแบคทีเรียบางชนิด จนอัตราการเน่าเสียเกิดขึ้นช้า…

  • จดหมาย “ปฏิเสธพระเจ้า” ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกประมูลไปในราคาเกือบ 3 ล้านเหรียญ

    จดหมาย “ปฏิเสธพระเจ้า” ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกประมูลไปในราคาเกือบ 3 ล้านเหรียญ

    ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหนนักวิทยาศาสตร์กับศาสนาก็มักจะเป็นเรื่องที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่เสมอๆ และในอดีตเองก็มีอยู่บ่อยครั้งไม่น้อยที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง จะมีการออกมาปฏิเสธศาสนาอยู่เป็นพักๆ และในวันที่ 4 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เองเราก็ได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้นอีกครั้ง เมื่อสถานประมูลคริสตี้แห่งนิวยอร์กได้นำจดหมายฉบับหนึ่งของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ออกมาเปิดประมูลต่อหน้าสาธารณชน     นี่เป็นจดหมายความยาวหนึ่งหน้าครึ่งที่ถูกเขียนขึ้นในภาษาเยอรมันเมื่อปี 1954 และส่งไปให้นักปรัชญาชาวเยอรมันนาม Eric Gutkind เพื่อโต้แย้งเกี่ยวกับงานเขียนของเขา เนื้อความในจดหมายนี้โดยรวมแล้วเป็นการให้ความเห็นในเชิงปฏิเสธพระเจ้า คัมภีร์ไบเบิล และศาสนายิวโดยรวม ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากเพราะเดิมทีแล้วไอน์สไตน์เองก็เป็นชาวยิวเช่นกัน     โดยภายในจดหมายมีอยู่หลายส่วนที่มีการเลือกใช้คำที่ค่อนข้างรุนแรงเช่นการบอกว่าคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นเพียง “หนังสือรวมตำนานดั้งเดิม” หรือการบอกว่าพระเจ้านั้นสำหรับเขาแล้ว “เป็นเพียงการแสดงออกและผลผลิตจากความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น” นี่เป็นจดหมายที่แสดงให้เห็นถึงจุดยืนและมุมมองของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ต่อศาสนาคริสต์ได้เป็นอย่างดี และไม่แปลกเลยที่จะได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งจากผู้เข้าร่วมงานประมูล     นั่นทำให้ท้ายที่สุดแล้ว จดหมายฉบับนี้ก็ปิดประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบๆ 100 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว (เดิมทีแล้วคาดไว้ว่าจะปิดประมูลที่ 1-1.5 ล้านเหรียญ) อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่จดหมายฉบับแรกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่เคยมีการนำมาประมูลขาย เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็มีการนำจดหมายที่ไอน์สไตน์เตือนน้องสาวให้ระวังถึงการต่อต้านชาวยิวออกมาเปิดประมูลกันมาแล้วเช่นกัน   ที่มา bbc, theguardian

  • นักโบราณคดีเดือด หลังบริษัทก่อสร้างถนน ทำแหล่งโบราณสถานใกล้ๆ สโตนเฮนจ์เสียหาย

    นักโบราณคดีเดือด หลังบริษัทก่อสร้างถนน ทำแหล่งโบราณสถานใกล้ๆ สโตนเฮนจ์เสียหาย

    การก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มักจะนำมาซึ่งปัญหากับพื้นที่ใกล้เคียงอยู่เสมอ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างมลพิษทางเสียง เรื่อยไปจนถึงการขัดขวางทางจราจร แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการก่อสร้างที่ว่าดันไปทำลายโบราณสถานเข้าเสียล่ะ เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองที่ประเทศอังกฤษได้มีนักโบราณคดีจำนวนมากออกมากล่าวหาบริษัทก่อสร้างถนนไฮเวย์ว่าพวกเขานั้น ทำลายโบราณสถานอายุราว 6,000 ปี ไปเสียแล้ว นี่เป็นปัญหาการก่อสร้างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ Blick Mead แหล่งโบราณสถานอันเป็นของหมู่บ้านโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจากสโตนเฮนจ์ราวๆ 1.6 กิโลเมตรนั่นเอง   แหล่งโบราณสถาน Blick Mead บางครั้งก็ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสโตนเฮนจ์   ปัญหาที่ว่านี้เริ่มต้นขึ้นจากการขุดหลุมขนาด 3 เมตร เพื่อวัดระดับน้ำ ก่อนการเริ่มต้นทางอุโมงค์ใต้ดิน ยาว 2.9 กิโลเมตรเพื่อแก้ปัญหาการจราจรบนถนนในพื้นที่สโตนเฮนจ์ โดยจากทำกล่าวอ้างของทางนักโบราณคดี หลุมที่ว่านี้ขุดทะลุพื้นโบราณที่ทำจากหินเหล็กไฟจาก 4,000 ปีก่อนคริสตกาล และทำลายซากกระดูกสัตว์เก่าแก่ซึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 1,600 ปีก่อนไปเป็นจำนวนมาก   แผนที่โบราณสถานสโตนเฮนจ์ (วงกลมสีฟ้า) และพื้นที่ Blick Mead (วงกลมสีแดง)   “มันเป็นเรื่องที่ป่าเถื่อนมาก” David Jacques หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีแห่งพื้นที่ Blick Mead กล่าว “พวกเราดำเนินการที่นี่มาตั้งแต่ปี 2005 ด้วยแปรงอย่างละเอียดอ่อน แต่พวกเขากลับเขามาทำลายมันด้วยสว่านอย่างไม่น่าให้อภัย”   ภาพการค้นพบรอยเท้าสัตว์เก่าแก่ในโบราณสถานแห่งนี้   อย่างไรก็ตามทางบริษัทก่อสร้างเองก็ออกมาให้การปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน…

  • 26 ภาพซานตาคลอสสุดแปลกจากในอดีต ที่ทำให้เรารู้ว่าการเป็นซานต้าอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

    26 ภาพซานตาคลอสสุดแปลกจากในอดีต ที่ทำให้เรารู้ว่าการเป็นซานต้าอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

    ในเดือนที่วันคริสต์มาสใกล้เอามาทุกวันอย่างเดือนธันวาคมนี้ หลายๆ คนก็คงเริ่มคิดที่จะเตรียมหาของขวัญวันคริสต์มาสให้ลูกหลานกันแล้ว และแน่นอนว่าดาราที่ขาดไม่ได้เลยของงานนี้ก็คงไม่พ้นซานตาคลอสนั่นเอง แต่การจะแต่งตัวเป็นซานตาคลอสนั้น เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย จนในหลายๆ ครั้งซานตาคลอสที่ควรจะออกมาเป็นลุงใจดีก็กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ไป เหมือนอย่างซานตาคลอสสุดแปลกทั้ง 26 คนต่อไปนี้   แน่ใจนะว่านี้ซานตาคลอสไม่ใช่ตุ๊กตาโนม   ก่อนมาถ่ายรูปกินไปกี่ขวด… ตอบ!!   อันนี้เหมือนหลุดมาจากหนังฆาตกรรมมากกว่า   อีกนิดนึงจะบอกว่าหลุดมาจากคธูลูล่ะ   นี่คือแววตาของคนที่แบกความแค้นต่อกล้องถ่ายรูปเอาไว้   สิ่งมีชีวิตปริศนา ที่ทำตัวเป็นซานตาคลอส   ซานตาคลอสยังพอเข้าใจนะ แต่ไอ้สองตัวข้างมันอะไร!?   ถ้าอยากได้เด็กๆ คืน ส่งเงินมา 3 ล้าน!!   หน้าเด็กคือแบบว่ากลัวมากกกก ส่วนซานตาคลอสทำหน้าแบบว่า ไม่เป็นไรตรูชินแล้ว   เฮ้ยข้างหลัง!!   ในแววตาทั้งคู่ ไม่รับรู้อะไร…   เห็นความเหวอของน้องเขาไหม   ตุ๊กตาโนมหมายเลข 2   เดี๋ยวๆ ในมือเด็กนั่นมัน!?   เมื่อเบลดมาเป็นซานตาคลอส…

  • พบโครงกระดูกเก่าแก่อายุร่วม 500 ปีใส่รองเท้าบูทหนังสีดำยาวถึงเข่าที่อังกฤษ

    พบโครงกระดูกเก่าแก่อายุร่วม 500 ปีใส่รองเท้าบูทหนังสีดำยาวถึงเข่าที่อังกฤษ

    เมื่อพูดถึงรองเท้าบูทหนังที่ยาวมาถึงเข่า เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงนางแบบขาเรียวสวยสุดทันสมัยขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่ทราบกันหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วรองเท้าแบบนี้อาจจะมีการใช้งานมานานกว่าที่เราคิดก็เป็นได้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เอง ในระหว่างการก่อสร้างท่อน้ำทิ้งขนาดใหญ่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ นักโบราณคดีก็ได้พบกับโครงกระดูกแปลกๆ เข้าร่างหนึ่ง     นี่เป็นโครงกระดูกของผู้ชายที่ถูกพบฝังอยู่ในโคลน และมีอายุราวๆ 500 ปี สวมรองเท้าบูทหนังที่ยาวมาถึงเข่าสีดำ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่ค่อนข้างแปลกในสมัยนั้น นั่นเพราะรองเท้าที่เป็นที่นิยมในสมัยก่อนนั้น มักจะมีความยาวเพียงแค่ข้อเท้าเสียมากกว่า เพราะหากดูจากงานศิลป์ที่พบในสมัยแล้ว จะสังเกตได้ว่าแทบไม่มีใครในสมัยนั้นเลย ที่ใส่รองเท้าบูทแม้แต่แบบธรรมดาก็ตาม เท่านั้นยังไม่พอจากรายงานของ Mola Headland บริษัทที่รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้างในครั้งนี้ ชายผู้นี้น่าจะมีชีวิตอยู่ในสมัยของราชวงศ์ทิวดอร์ซึ่งเครื่องหนังเป็นสิ่งที่หายากมาก ทำให้การค้นพบในครั้งนี้ยิ่งดูแปลกเข้าไปอีก     เป็นไปได้ว่าชายคนนี้น่าจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ และไม่มีใครพบศพมาจนถึงปัจจุบันมากกว่าที่จะเป็นการฝังศพทั่วๆ ไป เพราะเครื่องหนังในสมัยนั้นมีราคาสูงเกินกว่าที่จะฝังไปกับศพนั่นเอง ความแปลกของการแต่งกายบวกกับสถานที่พบศพที่ใกล้กับแม่น้ำนี้เอง ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าชายคนดังกว่าน่าจะทำงานเป็นคนจับปลา หรือไม่ก็คนงานท่าเรือ และใช้รองเท้าบูทที่พบในการทำงานมากกว่าเพื่อแฟชั่น นอกจากนี้จากการศึกษาโครงกระดูกเบื้องต้นนักโบราณคดียังพบโรคทางข้อต่อกระดูก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้แรงงานหลายแห่งบนกระดูกอีกด้วย ทำให้ข้อสันนิษฐานข้างต้นยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก     และหากข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้องจริงๆ ก็หมายความว่ารองเท้าบูทหนังที่เป็นของใส่เพื่อแฟชันในปัจจุบัน อาจจะพัฒนามาจากรองเท้าใส่ลุยโคลนของสมัยก่อนก็เป็นได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าทำไมชายคนนี้ถึงประสบอุบัติในที่แห่งนี้ ส่วนกระดูกและรองเท้าหนังที่พบเอง ก็ยังต้องมีการนำไปศึกษากันต่อไปเช่นกัน   ที่มา livescience, allthatsinteresting

  • ทฤษฎีใหม่อ้าง มนุษย์สมัยโบราณผู้วาดภาพบนผนังถ้ำ อาจเคยตัดนิ้วตัวเองก็เป็นได้

    ทฤษฎีใหม่อ้าง มนุษย์สมัยโบราณผู้วาดภาพบนผนังถ้ำ อาจเคยตัดนิ้วตัวเองก็เป็นได้

    ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่คนที่เป็นศิลปินมักจะมีเรื่องเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเองออกมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ อย่างวินเซนต์ แวนโก๊ะที่ตัดหูตัวเองเป็นต้น นั่นทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อนักโบราณคดีเห็นภาพฝ่ามือบนผนังถ้ำในสมัยก่อน แล้วจะมีความเห็นขึ้นมาว่าศิลปินในสมัยก่อนอาจจะตัดนิ้วตัวเองก็เป็นได้ แถมล่าสุดนี้เองความคิดนี้ก็มีทฤษฎีออกมาสนับสนุนแล้วด้วย     นี่เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการค้นพบภาพในผนังถ้ำจากในสมัยยุคหินเก่าตอนปลาย (Upper Paleolithic) ที่ยุโรป ซึ่งมีการวาดมือที่นิ้วหายไปบางส่วนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งในประเทศสเปน และฝรั่งเศส จริงอยู่ว่าในสมัยก่อนภาพเหล่านี้จะถูกลงความเห็นว่าคนวาดน่าจะแค่งอนิ้วเพื่อเป็นตัวแทนของการนับเลขเท่านั้น แต่ในงานวิจัยใหม่ล่าสุดดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ศิลปินในสมัยก่อนจะตัดนิ้วตัวเองก็มีอยู่มากพอดูเช่นกัน     โดยหากอ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัยแล้ว เหตุผลที่คนในสมัยก่อนตัดนิ้วตัวเองจะมาจากความเชื่อ เช่นการบูชาคนที่ตายไปแล้ว โดยอ้างอิงจากความเชื่อในแอฟริกาใต้ที่ชนพื้นเมืองจะตัดนิ้วตัวเองตามจำนวนลูกหลานที่ตายไป นอกจากนี้ในทางกลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจินในออสเตรเลียเองก็มีการตัดนิ้วก้อยบางส่วน เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกอาชีพของเด็กในอนาคต แถมในหลายๆ วัฒนธรรมเองก็มีหลักฐานการตัดนิ้วเพื่อลงโทษ หรือเป็นสัญลักษณ์การแต่งงานเช่นกัน     จุดร่วมนี้เองที่ทำให้ทฤษฎีที่ว่าในสมัยก่อนนั้นน่าจะมี คนจำนวนไม่น้อยเลยที่มีนิ้วมือไม่ครบ และเป็นไปได้ว่าหนึ่งในคนเหล่านี้จะกลายมาเป็นผู้วาดภาพบนกำแพงในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนออกมาโต้แย้งเลยเช่นกัน เพราะในทางการใช้ชีวิตแล้ว การตัดนิ้วหลายๆ นิ้วเช่นที่เห็นในภาพมันไม่สมเหตุสมผล แถมในกรณีที่ชนเผ่ามีความเชื่อในการตัดนิ้ว นิ้วที่โดนตัดส่วนมากก็มักจะเป็นแค่นิ้วก้อยด้วย   อย่างในภาพนี้ก็แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากที่มีนิ้วมือครบ 5 นิ้ว   นอกจากนี้ในถ้ำบางแห่งยังมีภาพของมือขนาดใกล้เคียงกันที่มีจำนวนนิ้วที่ต่างกัน ซึ่งเป็นร่องรอยที่ว่าจำนวนนิ้วเกิดจากการพับนิ้วของผู้เขียนมากกว่านิ้วจะด้วนไปเลยอีกด้วย ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันต่อไป แต่แม้ว่านี่จะเป็นงานวิจัยที่ต้องมีการตามหาหลักฐานเพิ่มเติมกันอยู่ก็ตาม แต่แนวคิดที่ว่าคนเราตัดนิ้วตัวเองในสมัยก่อน ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ อยู่ดี   ที่มา livescience, ancient-origins

  • ชายชาวอังกฤษ ซื้อที่วางแปรงสีฟันจากตลาดนัด พบเป็นวัตถุโบราณอายุร่วม 4,000 ปี

    ชายชาวอังกฤษ ซื้อที่วางแปรงสีฟันจากตลาดนัด พบเป็นวัตถุโบราณอายุร่วม 4,000 ปี

    สำหรับหลายๆ คนแล้ว ตลาดนัดก็คงเปรียบเสมือนกองภูเขาสินค้าที่บางครั้งก็อาจจะมีขุมทรัพย์ดีๆ ฝังเอาไว้ และเราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าในนั้นจะมีอะไรรอให้เราไปค้นพบอยู่บ้าง คำพูดนี้น่าจะเป็นจริงพอสมควรเลยสำหรับชายชาวอังกฤษนาม คาร์ล มาร์ติน เพราะเขาคือชายผู้ที่ซื้อเครื่องปั้นดินเผาโบราณอายุร่วม 4,000 ปีมาในราคาเพียง 4 ปอนด์ (ราวๆ 160 บาท) เท่านั้น     เอาเข้าจริงๆ มาร์ตินไม่ได้ซื้อเครื่องปั้นดินเผาโบราณชิ้นนี้มาเพราะรู้มูลค่าของมันแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงเพราะเขาสนใจลวดลายของมันในตอนที่เดินเล่นในตลาดเมื่อปี 2013 ต่างหาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ที่ผ่านๆ มา มาร์ตินจะใช้เครื่องปั้นดินเผาที่ซื้อมาในฐานะที่วางแปรงสีฟันและเพิ่งมารู้ตัวจริงของมันเอาตอนที่มีวัตถุโบราณรู้ร่างคล้ายที่วางแปรงสีฟันของเขาออกวางประมูลเท่านั้น     แน่นอนว่าเมื่อเห็นดังนั้นมาร์ตินก็รีบนำที่วางแปรงสีฟันของเขาไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบทันที และแม้ว่าการใช้งานของเขาจะทำให้มันมีตำหนิอยู่บ้าง แต่นักโบราณคดีก็ยืนยันว่าสิ่งที่เขามีนั้นเป็นของที่มาจากในยุคราวๆ 1,900 ปีก่อนคริสตกาลจริงๆ โดยจากข้อมูลที่มาร์ตินทราบในภายหลัง ที่วางแปรงสีฟันของเขาแท้จริงแล้วจะเป็นเครื่องปั้นดินเผาโบราณจากเมืองฮารัปปา หนึ่งในศูนย์กลางของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว     หลังจากที่มีการค้นพบตัวจริงของมัน มาร์ตินก็นำโบราณวัตถุชิ้นนี้ออกประมูลขายในเวลาต่อมา และเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง เครื่องปั้นดินเผาของมาร์ตินก็ถูกประมูลออกไปในราคาสูงถึง 80 ปอนด์ (ราวๆ 3,300 บาท) เกือบๆ 20 เท่าของราคาที่มาร์ตินซื้อมาเลยนั่นเอง     ที่มา livescience, hansonsauctioneers

  • นักโบราณคดีพบ เอกสารโบราณที่บันทึก “คำสาบานนินจา” อายุกว่า 300 ปีเอาไว้ ที่ญี่ปุ่น

    นักโบราณคดีพบ เอกสารโบราณที่บันทึก “คำสาบานนินจา” อายุกว่า 300 ปีเอาไว้ ที่ญี่ปุ่น

    เชื่อว่าสำหรับหลายคนแล้ว หากพูดถึงเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นขึ้นมา สิ่งแรกๆ ที่เขามาในหัวก็คงไม่พ้นนักรบในเงามืดอย่างนินจาเป็นแน่ เพราะนี่เป็นอาชีพในสมัยก่อนที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเท่มากๆ เลยนั่นเอง ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่าการเป็นนินจานั้นนอกจากจะต้องผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วพวกเขายังอาจจะต้องมีพิธีการที่จะเรียกความเชื่อใจจากผู้เป็นนายมากกว่าที่เราคิดด้วย     เพราะเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เองที่ประเทศญี่ปุ่นได้มีการค้นพบเอกสารโบราณ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูล “คิซุ” ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลนินจาของหมู่บ้านอิงะ หนึ่งในสองหมู่บ้านนินจาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนั้น นี่เป็นเอกสาร “คำสาบาน” จำนวน 6 ชิ้น ที่มีการลงนามโดย “อิโนซุเกะ คิซุ” ผู้นำตระกูลคิซุคนสุดท้าย เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน     เนื้อความคร่าวๆ ในเอกสารจะเป็นการขอบคุณผู้ที่สอน “วิถีของนินจา” ก่อนจะสาบานว่าจะไม่ใช้วิชานินจาในการลักขโมย (นอกเสียจากว่าจะเป็นคำสั่งของเจ้านาย) และจะไม่แพร่งพรายวิชานินจาให้ใครรู้ แม้แต่คนสนิทและครอบครัว นอกจากนี้หากมีการค้นพบวิชาใหม่ๆ ที่ทางหมู่บ้านยังไม่รู้จัก อิโนซุเกะก็มีหน้าที่ที่จะนำวิชาดังกล่าวกลับมารายงานต่อหมู่บ้านอีกด้วย     แม้ว่านี่อาจจะเป็นเอกสาร ที่มีความคล้ายคลึงกับสัญญารักษาความลับในปัจจุบันก็ตาม แต่สิ่งที่น่าสนใจของเอกสารชิ้นนี้อยู่ที่วิธีการลงโทษคนผิดในกรณีที่มีการผิดคำสาบานต่างหาก เพราะอิโนซุเกะได้ระบุในเอกสารสาบานไว้ว่าในกรณีที่มีการผิดคำสาบาน เขาจะขอให้เทพ “ลงทัณฑ์” ลูกหลานในตระกูลของเขาสืบไป เป็นไปได้ว่าเอกสารสัญญาฉบับนี้จะถูกส่งคืนมายังตระกูลของเขาหลังจากที่อิโนซุเกะเสียชีวิต ก่อนจะมีการนำไปเก็บรักษาไว้จนถูกพบอีกครั้งในปัจจุบัน     จริงอยู่ว่านินจาจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในญี่ปุ่นเองก็ตาม แต่ประเพณีส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับนินจากลับไม่ค่อยจะมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมากนัก นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นการค้นพบที่มีค่ามากๆ ครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้  …

  • 14 ภาพการพรางตัวของ “บังเกอร์” จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่เนียนสุดๆ จนแทบดูไม่ออก

    14 ภาพการพรางตัวของ “บังเกอร์” จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่เนียนสุดๆ จนแทบดูไม่ออก

    อะไรคือสิ่งที่จะทำให้ทหารมีชีวิตรอดในสงคราม? บางคนอาจจะบอกว่าอาวุธ บางคนอาจจะบอกว่าชุดเกราะ แต่ในหลายๆ ครั้ง “การพรางตัว” ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทหารรอดชีวิตเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทหารมีชุดลายพราง และเป็นเหตุผลให้รถถังในสงครามบางครั้งก็ถูกหุ้มไว้ด้วยใบไม้ใบหญ้า     ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าการพรางตัวของทหารนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่สิ่งที่เคลื่อนไหวได้เท่านั้น เพราะสำหรับประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้วพวกเขาพรางตัว ให้แม้กระทั่งบังเกอร์ทหารเลยด้วย แถมพูดตรงๆ เลยว่าทำได้ดีแบบสุดๆ ไปเลยด้วย ไม่เชื่อก็ลองชมภาพการพรางตัวให้บังเกอร์ทหารของชาวสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองต่อไปนี้ดูสิ   ดูเหมือนว่าบังเกอร์ส่วนใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์จะใช้วิธีปลอมตัวเป็นบ้านประชาชนธรรมดา   อย่างอันนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหน้าต่างถูกวาดขึ้น   อันนี้ถ้าดูเผินๆ ก็จะคิดว่าเป็นบ้านสวนเฉยๆ เช่นกัน   หากมองจากที่ไกลๆ คงแยกไม่ออกเลยว่าเป็นบ้านคนหรือบังเกอร์ทหาร   “บ้าน” เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของแนวป้องกัน “Promenthouse Line” ของสวิตเซอร์แลนด์   และเพิ่งถูกรวบรวมมาในอัลบั้มที่ชื่อ “Fake Chalets” เมื่อปี 2015   ไอ้ที่เหมือนหน้าต่างอาจจะเป็นระบบระบายอากาศก็ได้   ทางเข้าจะถูกปิดด้วยกำแพงปลอมอีกที   แถมบางทีบังเกอร์ยังไม่ได้ปลอมเป็นแค่บ้านคนเท่านั้น   บางทีอาจจะเป็นเนินดิน   หรือก้อนหินใหญ่ๆ เลยก็มี…

  • รู้หรือไม่ ในอดีตศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ เคยจัดเป็น “วิทยาศาสตร์” มาก่อน

    รู้หรือไม่ ในอดีตศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ เคยจัดเป็น “วิทยาศาสตร์” มาก่อน

    เมื่อพูดถึงการทำนายทายทัก คงไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้ แต่รู้กันหรือไม่ว่าในช่วงปี 1810-1840 มันเคยมีศาสตร์การทำนายแบบหนึ่ง ที่คนเราถือว่าเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อยู่ด้วย ศาสตร์การทำนายที่ว่านี้คือ “Phrenology” หรือการทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะนั่นเอง     โดยในสมัยก่อนนี่เป็นศาสตร์ที่ “นักวิทยาศาสตร์” จะทำการศึกษา และวัดขนาดรูปร่างของกะโหลกศีรษะมนุษย์ เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดทั้งบุคลิกภาพ นิสัย ระดับความฉลาด เรื่อยไปจนถึงโอกาสเป็นอาชญากรเลย ศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปี 1796 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมัน Franz Joseph Gall ผู้ซึ่งเชื่อว่าสมองของมนุษย์ในแต่ละส่วนเก็บเอาลักษณะที่แตกต่างกันของผู้คนเอาไว้   Franz Joseph Gall ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดการทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ   ดังนั้นหากส่วนใดส่วนหนึ่งมีขนาดที่เล็ก นิสัยด้านนั้นๆ ก็จะมีน้อยลงตามไปด้วย และสำหรับ Gall และ สิ่งที่จะชี้วัดรูปร่างของสมอง ก็คือกะโหลกของมนุษย์นั่นเอง นั่นทำให้ Gall วาดแผนภาพของการทำงานของสมองแต่ละส่วนขึ้น และก็เป็นแผนภาพนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะมักจะนำไปใช้อ้างอิงในการ “วิจัย” นิสัยคนของพวกเขา     ว่ากันตามตรงในสมัยนั้นคนที่จะใช้ศาสตร์การทำนายนิสัยจากกะโหลกศีรษะ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษามาอย่างดีเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่มีแผนภาพของ Gall ไม่ว่าใครก็สามารถทำนายนิสัยใจคอของคนอื่นได้ เท่านั้นยังไม่พอ ศาสตร์การทำนายนี้ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ผู้ชายมีสมองที่ดีกว่าผู้หญิง และคนขาวฉลาดกว่าคนดำอีกด้วย และด้วยความที่ศาสตร์นี้ถูกมองว่าเป็น…

  • นักธรณีวิทยาพบ “คลื่นสั่นสะเทือนปริศนา” เคลื่อนที่ไปทั่วโลก และเบามากจนไม่มีใครรู้สึก

    นักธรณีวิทยาพบ “คลื่นสั่นสะเทือนปริศนา” เคลื่อนที่ไปทั่วโลก และเบามากจนไม่มีใครรู้สึก

    จริงอยู่ว่าจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมาเวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว ว่าแต่เพื่อนๆ รู้สึกตัวบ้างหรือไม่ว่าในวันนั้นอาจจะมีเรื่องแปลกๆ เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น โดยนักธรณีวิทยาหลายๆ คนทั่วโลกก็ได้สังเกตเห็นว่า ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้น ได้มีเหตุคลื่นสั่นสะเทือนปริศนาเกิดขึ้น     นี่เป็นการสั่นสะเทือนระดับต่ำที่แตกต่างไปจากแผ่นดินไหวทั่วไป และเบามากจนมนุษย์แทบจะไม่สามารถรู้สึกได้ โดยเกิดขึ้นครั้งแรกที่เกาะมายอตในประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปบริเวณอื่นๆ รอบโลก ตามการรายงานของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก การสั่นสะเทือนครั้งนี้มีความถี่ต่ำมาก ราวกับเป็นกระดิ่งที่ถูกทำมาอย่างดี และเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แรงสั่นนั้นเบามากทั้งๆ ที่การสั่นสะเทือนมีองค์ประกอบของ “คลื่น p” และ “คลื่น s” ซึ่งเป็นคลื่นที่ตามปกติแล้วมนุษย์จะรู้สึกได้ แถมยังแทบจะไม่ทำให้เกิดคลื่นในทะเลเลย   เกาะมายอต สถานที่ที่เชื่อกันว่าการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น   แม้ว่าในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะมีทฤษฎีจำนวนมากเกี่ยวกับแรงสั่นสะเทือนที่ว่านี้ แต่ก็ยังไม่มีทฤษฎีใดที่ได้รับการพิสูจน์ โดยหนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจคือ แรงสั่นสะเทือนนี้เกิดจากฟองของลาวาใต้โลก ดันตัวแทรกมาตามชั้นดิน และทฤษฎีแผ่นดินไหวแบบช้าๆ นั่นเอง     นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคำนึงถึงความเป็นไปได้ว่าที่ไหนสักที่ในโลก อาจจะถูกอุกกาบาตขนาดเล็กพุ่งเข้าชนด้วย อย่างไรก็ตามความเป็นได้ของทฤษฎีนี้มีอยู่ค่อนข้างต่ำ จนทฤษฎีเหล่านี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันต่อไป   ว่าแต่เพื่อนๆ…

  • ย้อนรอย “แฮร์รี่ ไอน์สไตน์” ชายผู้เสียชีวิตบนเวทีแสดง แต่กลับถูกมองว่าเล่นตลกอยู่เท่านั้น

    ย้อนรอย “แฮร์รี่ ไอน์สไตน์” ชายผู้เสียชีวิตบนเวทีแสดง แต่กลับถูกมองว่าเล่นตลกอยู่เท่านั้น

    เมื่อพูดถึง แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ คนที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อนก็คงจะถามขึ้นมาว่าเขาเป็นอะไรกับนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะเจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษรึเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงนักแสดงตลกเท่านั้น     แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1904 ก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาทำงานข่าวในเมืองบอสตัน อย่างไรก็ตามงานข่าวดูเหมือนจะไม่ใช่เส้นทางของเขาเท่าไหร่ และกว่าที่แฮร์รี่จะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมันก็ตอนที่เขาแสดงตลกในปี 1934 เขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะดาวตลกที่มีสำเนียงกรีกแบบสุดๆ ซึ่งก็น่าแปลกมากเพราะหากดูตามสายเลือดแล้ว แฮร์รี่เป็นชาวยิว-อเมริกันต่างหาก     แฮร์รี่ ไอน์สไตน์มีชื่อเสียงในฐานะตัวตลก ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย และใช้ชีวิตอย่างมีชื่อเสียงเรื่อยมาจนกระทั่งในปี 1958 พออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่า จริงอยู่ที่แฮร์รี่ ไอน์สไตน์มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ แต่แค่เป็นดาราก็ไม่น่าจะทำให้เรื่องราวของเขากลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกใช่ไหม?     คงต้องบอกว่าสิ่งที่ทำให้แฮร์รี่โด่งดังขึ้นมันมาจากความตายของเขาต่างหาก เพราะในวันที่ 23 พฤศจิกายน 1958 ขณะที่เขากำลังเผาเพื่อนตลกทั้งสองคนอยู่บนเวที จู่ๆ เขาก็เกิดอาการหัวใจวาย และล้มลงไปกลางเวที ท่ามกลางเสียงหัวเราะและปรบมือของผู้ชม ที่ไม่รู้ว่าเขาต่อสู้กับโรคหัวใจมาเป็นเวลานานแล้ว และคิดว่าเขาเพียงแค่แสดงตลกอยู่เท่านั้น กว่าที่ผู้ชมจะรับรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้นก็ในตอนที่เพื่อนร่วมงานของเขาตะโกนเรียกหมอออกมานั่นเอง   แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ ไม่นานก่อนที่จะเสียชีวิต   และแม้ว่าในหมู่ผู้ชมจะมีหมออยู่ถึงห้าคนซึ่งรีบวิ่งเข้ามาทำการรักษาแบบฉุกเฉินที่หลังเวทีทันที แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยชีวิตแฮร์รี่ไว้ได้อยู่ดี แฮร์รี่ ไอน์สไตน์ เสียชีวิตด้วยวัย 54…

  • พบแหวนโบราณที่สลักนามสกุลของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” ชายผู้สั่งประหารพระเยซูเอาไว้

    พบแหวนโบราณที่สลักนามสกุลของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” ชายผู้สั่งประหารพระเยซูเอาไว้

    ในช่วงปี 1968-1969 นักโบราณคดีในอดีตได้ค้นพบวัตถุโบราณจำนวนมากที่พระที่นั่งเฮอรอด (Herodium) พระราชวังที่สร้างขึ้นที่สร้างขึ้นให้แก่พระเจ้าเฮโรดมหาราชผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง 74-4 ปีก่อนคริสตกาล     โดยหนึ่งในวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบในเวลานั้น คือแหวนทองแดงวงหนึ่ง ซึ่งในเวลานั้นดูจะไม่ได้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากนัก และถูกส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์พร้อมๆ กับวัตถุโบราณอื่นๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้เองด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลของวงการนักโบราณคดี ก็ได้ทำให้เราทราบว่าแหวนที่ดูจะธรรมดาวงนี้ อาจไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เราคิดก็ได้ นั่นเพราะบนแหวนทองแดงวงนี้ มีการสลักคำว่า “แห่งปีลาตุส” เอาไว้นั่นเอง     จริงอยู่ที่ว่า ปีลาตุส เป็นนามสกุลที่พบได้ไม่บ่อยอันหนึ่งในสมัยโรมันโบราณ แต่ถึงอย่างนั้นในบรรดาคนที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ก็คงจะเคยได้ยินนามสกุลนี้กันมาบ้าง เพราะว่า “ป็อนติอุส ปีลาตุส” คือชื่อของชายผู้สั่งประหารชีวิตพระเยซูด้วยการตรึงกางเขนนั่นเอง     แต่นามสกุลที่อยู่บนแหวน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่นักโบราณคดีพบ เพราะจากการตรวจสอบประวัติการใช้งานของพระที่นั่งเฮอรอด นักโบราณคดีก็พบว่าที่แห่งนี้เคยมีการใช้งานในสมัยของป็อนติอุสเสียด้วย นั่นทำให้แหวนวงนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นของป็อนติอุสจริงๆ และเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นแหวนที่ใช้ในการหยดเทียนปิดผนึกจดหมาย เพื่อสร้างตราประจำตระกูลของเขานั่นเอง   เหรียญกษาปณ์ ที่มีตราของป็อนติอุสอยู่   อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดขัดแย้งเลย เพราะคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงอย่างป็อนติอุสไม่น่าจะใช้แหวนทองแดงที่ไม่สมกับสถานะของเขาเช่นนี้ แถมที่แหวนเองก็ยังมีรูปของ “Krater” แจกันขนาดยักษ์ที่มักโผล่มาในผลงานภาพของชาวยิว ซึ่งผิดกับเชื้อชาติของป็อนติอุสที่เป็นชาวโรมัน     แต่ถึงแม้ว่าแหวนที่พบนี้อาจจะไม่ใช่ของตัวป็อนติอุส โดยตรงเลยก็ตาม แต่มันก็เป็นไปได้สูงว่าแหวนนี้จะเป็นของคนใกล้ตัวหรือใกล้ชิดกับป็อนติอุสมากพอที่จะใช้นามสกุลเดียวกันได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน นักโบราณคดียังไม่ทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่าแหวนวงนี้อาจจะเป็นของคนที่มีนามสกุลเดียวกันกับป็อนติอุสเฉยๆ…

  • ย้อนรอย “ปีศาจโดเวอร์” สัตว์ประหลาดปริศนาที่เป็นที่หวาดกลัวของวัยรุ่นเมื่อปี 1977

    ย้อนรอย “ปีศาจโดเวอร์” สัตว์ประหลาดปริศนาที่เป็นที่หวาดกลัวของวัยรุ่นเมื่อปี 1977

    เคยได้ยินเรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” กันไหม? มันเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับหรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาว ที่เชื่อกันว่าปรากฏตัวที่เมืองโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ในปี 1977 เรื่องราวของปีศาจตัวนี้ เริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน เมื่อมีเด็กวัยรุ่นหลายคน พบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กัน โดยพวกเขาบอกว่าเห็น “สิ่งมีชีวิตประหลาด” ที่มีดวงตาสะท้อนแสงขนาดใหญ่ หัวโต และฝ่ามือเรียวยาวคล้ายไม้เลื้อย     ผู้เห็นเหตุการณ์คนแรกคือวิลเลียม บาร์ทเล็ทท์ วัย 17 ปี ในระหว่างที่เขากำลังขับรถกลับจากงานเลี้ยงกับเพื่อนอีกสองคน โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาเห็นมันกำลังเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน และมีลักษณะโดยรวมน่าเกลียดน่ากลัวมาก ส่วนเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกราวๆ 2 ชั่วโมง จอห์น แบกซ์เตอร์ อายุ 15 ปี ขณะกำลังเดินกลับมาจากบ้านแฟนสาว และอธิบายลักษณะของสิ่งที่เห็นไว้ใกล้เคียงกับวิลเลียมมากๆ   ภาพที่ จอห์น แบกซ์เตอร์ใช้อธิบายสิ่งที่เขาเห็น   ในตอนแรกคนส่วนใหญ่ชื่อว่าเด็กทั้งสองนั้นน่าจะตาฝาดไปเอง แต่ในคืนต่อมานั้นเอง แอ็บบี อับราฮัม อายุ 15 ปี และ วิลล์ เทนเตอร์ อายุ 18 ปีก็ออกมาบอกว่าพวกเขาก็พบกับ ปีศาจโดเวอร์ เช่นกัน เมื่อข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป…

  • รู้หรือไม่ ในยุคที่สหรัฐฯ ห้ามขายสุรา เคยมีการใช้ “รองเท้ากีบวัว” เพื่อตบตาสายตรวจด้วย

    รู้หรือไม่ ในยุคที่สหรัฐฯ ห้ามขายสุรา เคยมีการใช้ “รองเท้ากีบวัว” เพื่อตบตาสายตรวจด้วย

    ในช่วงปี 14 ปี ระหว่างปีคริสต์ศักราช 1919-1933 เป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมาในประเทศอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศกลายเป็นของผิดกฎหมาย ที่หากอยากจะดื่มจริงๆ ก็ต้องมีการซื้อขายกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับยาเสพติด   หน่วยดูแลและปราบปรามเครื่องดื่มมึนเมา กับการทำลายสุราที่ยึดมาได้ในสมัยนั้น   ด้วยเหตุนี้เอง สุราในสมัยนั้นจึงถูกผลิตและแอบขายโดยแก๊งใต้ดินหรือกลุ่มมาเฟีย และทำกันในที่ลับตาอย่างในป่าในเขา จนรอยเท้ากลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ทางตำรวจใช้ตามตัวของคนร้ายไป และเมื่อสมาชิกของแก๊งเริ่มถูกจับบ่อยเข้า ทางแก๊งใต้ดินและกลุ่มมาเฟียก็ได้เริ่มหาทางป้องกันการแกะรอยเท้าของทางตำรวจขึ้นมา โดยหนึ่งในวิธีการที่พวกเขาใช้ก็คือการใส่รองเท้ากีบวัวนั่นเอง     นี่เป็นรองเท้าแบบพิเศษที่ได้รับการดัดแปลงส่วนพื้นรองเท้าใช้มีลักษณะเหมือนกีบของสัตว์ ด้วยการติดแผ่นไม้ ที่ตัดแต่งมาอย่างดีลงไป จริงอยู่ที่ว่ารองเท้าในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้ใส่เดินยากขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยปลอมแปลงรอยเท้าของพวกเขาจนต่อให้ตำรวจที่ลาดตระเวนในป่ามาเห็นเข้าก็คิดเพียงแค่ว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์เท่านั้น   แผ่นไม้ที่ติดใต้รองเท้าจะเป็นตัวแทนของทั้งเท้าหน้าและเท้าหลังของวัวไปพร้อมๆ กัน   อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารองเท้าแบบนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ใช้งานได้เสมอไป เพราะในสมัยนั้นกรมตำรวจก็ได้มีการยึดรองเท้าในรูปแบบนี้เป็นหลักฐานไว้จำนวนหนึ่ง แถมในปี 1922 เองก็มีหนังสือที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับรองเท้าแบบนี้ออกมาเช่นกัน นั่นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าแม้จะมีการใช้รองเท้าดังกล่าวตำรวจก็สามารถตามจับคนแอบขายสุราได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การใช้รองเท้าแบบนี้จะค่อยๆ ลดลงไปในช่วงปลายของยุคห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมา แต่แม้ยุคสมัยของการห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมาในสหรัฐอเมริกาจะจบลงไปแล้ว การใช้ปลอมแปลงรอยเท้าด้วยรองเท้าในรูปแบบนี้ก็ใช่ว่าจะหายไปเลยเสียทีเดียว   เชื่อกันว่าแนวคิดของรองเท้าแบบนี้น่าจะได้มาจากนวนิยายเรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ของโคนัน ดอยล์   เพราะในช่วงสงครามโลกเองเหล่าผู้แทรกซึมเข้าไปในเยอรมนีก็มีการใช้รองเท้าที่จะทำรอยเท้ากลับด้าน เพื่อหลอกทหารนาซีให้ตามรอยเท้าไปผิดทางอยู่เช่นกัน และไม่แน่เหมือนกันว่าแม้แต่ในปัจจุบัน การปลอมรอยเท้าแบบนี้ก็อาจจะยังมีการใช้งานกันอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลกด้วยก็เป็นได้   ที่มา rarehistoricalphotos

  • 21 ภาพการอ่านหนังสือพิมพ์ในอดีต เพราะ “สังคมก้มหน้า” มีมาก่อนยุคสมาร์ทโฟนเยอะ

    21 ภาพการอ่านหนังสือพิมพ์ในอดีต เพราะ “สังคมก้มหน้า” มีมาก่อนยุคสมาร์ทโฟนเยอะ

    ตั้งแต่ที่มีการผลิตสมาร์ทโฟนออกมา เราก็มักจะได้ยินคนออกมาบอกว่าโทรศัพท์ทำให้สังคมของเรากลายเป็นสังคมก้มหน้า เพราะเดี๋ยวนี้มีแต่คนก้มหน้าเล่นมือถือเต็มไปหมด ว่าแต่ทราบกันหรือเปล่าว่าปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่าสังคมก้มหน้านั้น มันไม่ได้เพิ่งมาเกิดกันในสมัยนี้หรอก เพราะในอดีตเองก็มีคนมากมายที่เลือกจะก้มหน้าอยู่กับหนังสือพิมพ์มากกว่าที่จะพูดคุยกับผู้คนเช่นกัน ไม่เชื่อก็ลองดูภาพต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากเหล่าผู้คนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ข้างถนน   หรือบนรถโดยสาร   ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มีคนรักความเป็นส่วนตัว   และไม่ว่าจะในยุคไหนการคุยกับคนแปลกหน้าก็ยากกว่าการอยู่กับตัวเอง   ยิ่งในยุคที่มีหูฟังคนก็ยิ่งมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น   พวกเขาก็พกหนังสือพิมพ์ไปทุกที่   ไม่ว่าจะบนรถไฟ   ไปเที่ยวเล่น   เวลารอรถ   ระหว่างการเดินทาง   เวลาพักจากการทำงาน   หรือแม้กระทั่งเวลาข้ามถนน   เพราะนี่เป็นการรับข่าวสารในสมัยนั้น   แถมยังเป็นการฆ่าเวลาที่ดีเยี่ยม   โดยเฉพาะในเวลาที่เราต้องรออะไรนานๆ   หรือเดินทางไปในที่ที่มีคนไม่รู้จักเป็นจำนวนมาก   จริงอยู่ว่าการอ่านหนังสือพิมพ์ อาจจะดูดีกว่าการเล่นโทรศัพท์   แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายของทั้งสองก็แทบจะไม่มีความแตกต่าง   มันคือการหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวาย   ก้าวผ่านช่วงเวลาที่น่าเบื่อ   และใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว อย่างที่อยากทำนั่นเอง   ที่มา vintag

  • ย้อนรอยเหตุการณ์หมอกพิษครั้งใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ที่นำมาซึ่งความเสียหายที่รุนแรงที่สุด

    ย้อนรอยเหตุการณ์หมอกพิษครั้งใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ที่นำมาซึ่งความเสียหายที่รุนแรงที่สุด

    เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินฉายาของกรุงลอนดอนที่ว่า “เมืองแห่งหมอก” กันมาบ้าง ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าหมอกแห่งกรุงลอนดอนที่ว่านี้ ในอดีตเคยทำให้คนตายเป็นจำนวนมากมาแล้ว     เรื่องมันเกิดขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม 1952 โดยในปีนั้น อากาศในหน้าหนาวของอังกฤษหนาวมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นคนในสมัยก่อนจึงจุดเตาผิงอยู่ในบ้านกันทั่วเมือง โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของพวกตนจะนำมาซึ่งเรื่องเลวร้ายแบบไหน เผอิญในช่วงนั้นมีปรากฏการณ์แอนไทไซโคลนเกิดขึ้นในกรุงลอนดอน ซึ่งคอยกักอากาศเย็นให้อยู่ที่ระดับพื้นไปพร้อมๆ กับควันที่ออกมาจากการเผาไหม้ของชาวเมืองเอง     นั่นทำให้กรุงลอนดอนในเวลานั้นต้องถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกควันที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศผสมกับควันไฟ หมอกควันในครั้งนี้มีความหนาแน่นสูงมาก จนทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีจนเกิดอุบัติเหตุไปทั่วถนน และระบบขนส่งมวลชนแทบวิ่งไม่ได้ โดยมีเพียงรถรางเท่านั้นที่ยังทำงานได้ตามปกติ ในเวลานั้นว่ากันว่าในบางพื้นที่ผู้สัญจรไปมาถึงกับมองไม่เห็นเท้าตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะการที่หมอกควันเป็นหมอกมีพิษยังทำให้สุขภาพของประชาชนย่ำแย่ลงอีกด้วย เพราะหน้ากากกันควันในสมัยนั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขาเลย     และนับว่าเป็นโชคร้ายเข้าไปอีกเพราะในวันนั้นแทบจะไม่มีลมพัดเลย หมอกควันจึงปกคลุมเมืองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนถึงขั้นที่ว่าหมอกควันบางส่วนทะลักเข้าไปในที่อยู่อาศัยเลยทีเดียว โชคดีที่ราวๆ ห้าวันหลังจากนั้นภาวะหมอกพิษนี้ก็ลดลงไปจนลอนดอนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ก็ต้องแลกมาต้องชีวิตของชาวเมืองที่ต้องเสียไปโดยอุบัติเหตุ ควันพิษ หรือแม้กระทั่งเหตุอาชญากรรมที่อาศัยหมอกหนาในช่วงนั้น ยังไม่รวมสุขภาพของประชาชนที่ถดถอยลงไปจากการสูดดมควันพิษเป็นเวลานานอีก     เหตุการณ์ในครั้งนี้ถึงกับทำให้ทางอังกฤษต้องออกกฎหมายความสะอาดทางอากาศในปี 1956 เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์หมอกควันในลอนดอนอยู่ดี   ที่มา historydaily

  • 5 อุบัติเหตุและเรื่องบังเอิญในอดีตที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    5 อุบัติเหตุและเรื่องบังเอิญในอดีตที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    เมื่อพูดถึงการเกิดอุบัติเหตุ หลายๆ คนอาจจะนึกถึงเรื่องเลวร้ายก่อนเป็นอย่างแรก แต่หากมองตามรูปศัพท์จริงๆ แล้วคำว่า “อุบัติเหตุ” นั้นไม่ได้มีความหมายในทางที่ไม่ดีเท่านั้น และเพียงแค่สื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญก็เท่านั้น นั่นทำให้ในบางครั้งอุบัติเหตุก็อาจจะนำมาซึ่งเรื่องดีได้เช่นกัน เหมือนอย่างอุบัติเหตุในอดีตที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ ทั้ง 5 อย่างต่อไปนี้   เบียร์ แม้ว่าเราจะยังไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าเบียร์เกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่นักโบราณคดีส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องกันว่าเบียร์นั้นน่าจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญแน่ๆ เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนเมล็ดข้าวที่มีการเก็บไว้ (น่าจะเพื่อทำขนมปัง) จะโดนน้ำจนเปียกและกลายเป็นอาหารให้กับยีสต์จนเกิดเป็นแอลกอฮอล์ไป และคงมีใครสักคนในยุคนั้นเอาไปชิมและติดใจจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเบียร์ไปนั่นเอง   ปอมเปอี จริงอยู่ว่าการที่จู่ๆ ภูเขาไฟก็ปะทุจนเถ้าภูเขาไฟทำคนให้ทั้งเมืองตายอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุที่ดีเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกันก็เป็นเหตุการณ์ที่มีคุณค่าทั้งในทางโบราณคดีและการท่องเที่ยวมาก นั่นเพราะหลายร้อยหลายพันปีต่อมาหลังจากภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุ ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งโบราณคดีชั้นยอด แถมยังดึงดูดนักท่องเทียวมายังอิตาลีถึงปีละกว่า 2.5 ล้านคนเลยทีเดียว   ภาพเอกซเรย์ จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีเอกซเรย์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความตั้งใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่ามันถูกค้นพบด้วยความบังเอิญ เรื่องของเรื่องคือในปี 1895 ระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ศึกษารังสีแคโทดภายในหลอดสุญญากาศอยู่ เขาก็พบว่ามีรังสีที่มองไม่เห็นอันหนึ่งมีอำนาจทะลุทะลวงสูงจึงเรียกมันว่ารังสี X (เอกซเรย์) นั่นเอง และต้องบอกว่าโชคดีที่วิลเฮล์มมีอุปกรณ์ทดลองที่ค่อนข้างดี เขาจึงไม่ได้รับอันตรายจากเอกซเรย์   ไอศกรีมแท่ง หากดูจากความง่ายในการทำไอศกรีมแท่งแล้วหลายๆ คนคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะบอกว่า ไอศกรีมแท่งนั้นเกิดขึ้นจากความบังเอิญ ไอศกรีมแท่งนั้นเกิดขึ้นในหน้าหนาวของแคลิฟอร์เนียในปี 1905 โดยเด็กชาย 11…

  • ย้อนรอย “เฟเดริก ดักลาส” จากทาสสู่นักเขียน ผู้ช่วยให้เกิดการเลิกทาสแห่งสหรัฐอเมริกา

    ย้อนรอย “เฟเดริก ดักลาส” จากทาสสู่นักเขียน ผู้ช่วยให้เกิดการเลิกทาสแห่งสหรัฐอเมริกา

    เคยได้ยินเรื่องของเฟเดริก ดักลาสกันไหม? เขาคือนักเขียนชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 และมีชื่อเสียงที่สุดในเรื่องการเอาความจริงอันโหดร้ายของชีวิตทาสไปเปิดเผยต่อคนผิวขาวนั่นเอง     เฟเดริก ดักลาสนั้นเดิมทีแล้วเกิดมาในฐานะทาสเมื่อปี 1818 ก่อนที่จะเริ่มเรียนการอ่านเขียนด้วยตัวเอง และหนีออกมาจากการเป็นทาสในหลังจากที่อ่านเขียนได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เขาใช้ชีวิตในนิวยอร์กอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งแต่งงานในปี 1838 และย้ายไปใช้ชีวิตในรัฐแมสซาชูเซต ซึ่งในเมืองนี้เองที่เขาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มต่อต้านการใช้ทาสแห่งสหรัฐอเมริกา และเขียนหนังสือที่จะทำให้เขาเป็นตำนาน     งานเขียนหลายชิ้นของเขาอย่าง Narrative of the Life of Frederick Douglass, an American Slave นับว่ามีอิทธิพลในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่หนังสือเล่มนี้จะทำให้คนผิวขาวรู้ถึงความลำบากของทาสแล้ว มันยังเป็นผลงานที่ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าคนผิวสีมีสติปัญญาต่ำกว่าคนขาว และว่ากันว่านี่เป็นผลงานที่ช่วยให้เกิดการเลิกทาสขึ้นในเวลาต่อมาเลยด้วย   เฟเดริก ดักลาส ในช่วงปี 1848   แต่ผลงานของเฟเดริกนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องทาสเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้สนับสนุน เรื่องความเท่าเทียมในรูปแบบอื่นๆ เช่นความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย นอกจากนี้เฟเดริกยังเป็นเจ้าของคำคมมากมายในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น “ข้าพเจ้าจะเข้าร่วมกับใครก็ตามเพื่อทำสิ่งที่ถูก และไม่เข้าร่วมกับใครเพื่อทำสิ่งที่ผิด” หรือ “การมีทาสนั้นเป็นศัตรูของทั้งตัวทาสเองและเจ้าของทาส”  แต่คำพูดที่ทรงพลังที่สุดของเขานั้นก็คงจะเป็นคำพูดที่ว่า “สำหรับทาสอเมริกันแล้ว วันที่ 4 กรกฎาคมเป็นวันอะไร”      เพราะแม้ว่านี่จะเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา…

  • พบ “หน้ากากหินโบราณ” อายุราว 9,000 ปี ที่อิสราเอล เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา

    พบ “หน้ากากหินโบราณ” อายุราว 9,000 ปี ที่อิสราเอล เชื่อเคยถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา

    ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีอยู่บ่อยครั้งที่นักโบราณคดีจะค้นพบวัตถุโบราณแปลกๆ จากสมัยก่อน ที่แค่เห็นหน้าตาของมัน เราก็รู้สึกไปเองได้ว่าของเหล่านั้นมันจะต้องมีคำสาปอยู่แน่ๆ เลย เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบหน้ากากหินหน้าตาชวนขนลุก ในภูมิภาค Pnei Hever ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเทือกเขาฮีบรอน ประเทศอิสราเอล     โดยนี่เป็นหน้ากากหินที่มีอายุราวๆ 9,000 ปี ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหน้ากากฮอกกี้ มีการเจาะรูสี่รูที่คาดว่าเพื่อใช้ในการร้อยเชือกเพื่อผูกติดกับใบหน้า และผิวหน้ากากที่เรียบเนียนอย่างไม่น่าเชื่อ มันถูกทำให้มีรูปร่างโค้งที่จมูกเพื่อให้เข้ากับใบหน้าผู้ใส่ แถมยังมีร่องรอยของการแกะสลักรูปฟันลงไปที่รอบๆ รูที่บริเวณปากอีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตมากเมื่อเทียบกับอายุของมัน     จากคำบอกเล่าของทางนักโบราณคดี การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าไปพบกับหน้ากากนี้เข้าในระหว่างทำการเกษตร ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในบริเวณใกล้เคียง อาจจะมีวัตถุโบราณอื่นๆ ฝังเอาไว้ด้วย จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้น เป็นไปได้ว่าหน้ากากที่มีการค้นพบนี้ น่าจะมาจากยุคหินใหม่ หรือไม่ก็ยุคก่อนการใช้เครื่องปั้นดินเผา บี (Pre-Pottery Neolithic B) และเชื่อว่าน่าจะเป็นหน้ากากที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาของคนสมัยก่อน     อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการค้นพบหน้ากากในรูปแบบนี้ เพราะในปี 1970 เองก็เคยมีการค้นพบหน้ากากที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วเช่นกัน ในเวลานี้หน้ากากที่พบได้ถูกส่งไปเก็บไว้กับหน่วยป้องกันการโจรกรรมโบราณวัตถุของ IAA (คือหน่วยอะไร) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางนักโบราณคดีก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจจะมีการค้นพบวัตถุโบราณอื่นๆ จากพื้นที่ภูมิภาค Pnei Hever ในเร็วๆ นี้…

  • นักวิทย์บอก “มนุษย์นีแอนเดอธัล” อาจมีโทนเสียงสูง และไม่สามารถออกเสียงบางสระได้

    นักวิทย์บอก “มนุษย์นีแอนเดอธัล” อาจมีโทนเสียงสูง และไม่สามารถออกเสียงบางสระได้

    ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบันเรามีการผลการวิจัยมากมายเกี่ยวกับมนุษย์นีแอนเดอธัล ไม่ว่าจะเป็นความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในสมัยก่อน อุปนิสัย หรือแม้กระทั่งหน้าตา ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นจะมี “เสียง” แบบใดกันแน่     เป็นเรื่องที่ทราบกันดีตั้งแต่ในอดีตแล้วว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นน่าจะมีความสามารถในการส่งเสียงได้คล้ายกับมนุษย์ในสมัยก่อน โดยการอ้างอิงจากการวิจัยโครงกระดูกของพวกเขาในปี 2013 นั่นเป็นเพราะมนุษย์นีแอนเดอธัล มีกระดูกไฮออยด์ที่ทำหน้าที่ค้ำจุนโคนลิ้นเช่นเดียวกับมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะล้มล้างทฤษฎีที่ว่ามนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีความสามารถในการพูดเมื่อราวๆ 100,000 ปีก่อนเท่านั้น     อย่างไรก็ตามอวัยวะการออกเสียงของมนุษย์นีแอนเดอธัลก็ใช่ว่าจะเหมือนของมนุษย์เสียทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้โดยรวมแล้วนีแอนเดอธัลน่าจะมีโทนเสียงต่างไปจากมนุษย์ปัจจุบันพอสมควร โดยจากคำบอกเล่าของดร.โรเบิร์ต แม็กคาร์ธีแห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาแอตแลนติก ดูเหมือนว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลจะไม่สามารถออกเสียงสระในบางรูปแบบได้ และอาจจะมีโทนเสียงที่สูงกว่ามนุษย์ทั่วไปในระดับหนึ่ง   คลิปที่มีการอธิบายเสียงของมนุษย์นีแอนเดอธัลเอาไว้จากช่อง BBC Studios นั่นเป็นเพราะรูปร่างของกะโหลกที่ใหญ่บวกกับรูปร่างของหน้าอก และลำคอของนีแอนเดอธัลนั้น เหมาะแก่การออกเสียงที่ดัง และแหลมสูงนั่นเอง จริงอยู่ว่าเพียงแค่ลักษณะของลำคอเองอาจจะไม่สามารถนำมาฟันธงเสียงโดยรวมของมนุษย์นีแอนเดอธัลได้ แต่หากผลงานวิจัยนี้เป็นจริง เราก็อาจจะต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ของมนุษย์ในอดีตไปพอสมควรเลย     เพราะโทนเสียงที่สูงของมนุษย์นีแอนเดอธัลนั้นทำให้พวกเขาไม่น่าจะสื่อสารกันด้วยเสียงต่ำๆ อยู่ในคออย่าที่เราคิด กลับกันชาวนีแอนเดอธัลน่าจะสื่อสารกันด้วยเสียงสูงคล้ายเสียงกรี๊ดเสียมากกว่านั่นเอง น่าเสียดายที่งานวิจัยนี้ไม่อาจจะไขข้อถกเถียงที่มีมาอย่างยาวนานที่ว่าชาวนีแอนเดอธัลมีการสื่อสารด้วยภาษาหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็ทราบว่าพวกเขาน่าจะมีอวัยวะที่เพียบพร้อมพอที่จะใช้ในการพูดคุยหากต้องการจริงๆ   ที่มา thevintagenews

  • 24 ภาพสุดงามจากเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งทาชเคนต์ ระบบขนส่งแห่งอุซเบกิสถาน

    24 ภาพสุดงามจากเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งทาชเคนต์ ระบบขนส่งแห่งอุซเบกิสถาน

    เคยได้ยินชื่อ “รถไฟใต้ดินทาชเคนต์” กันมาก่อนไหม? นี่เป็นระบบขนส่งในกรุงทาชเคนต์ เมืองหลวงของประเทศอุซเบกิสถานนั่นเอง แต่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ระบบขนส่งธรรมดาๆ ที่เห็นได้ทั่วไปหรอกนะ เพราะรถไฟใต้ดินทาชเคนต์นั้นว่ากันว่าเป็นเส้นทางที่มีสถานีรถไฟฟ้าหรูหราที่สุดในโลกเลยทีเดียว แถมยังไม่ใช่สถานที่ที่หาชมภาพกันได้ง่ายๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี่เคยมีกฎห้ามถ่ายภาพ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 24 ภาพสุดงดงามจากเส้นทางรถไฟใต้ดินสุดหรูแห่ง “ทาชเคนต์” ไปดูกันดีกว่าว่าที่นี่หรูหราขนาดไหนกันถึงต้องห้ามถ่ายภาพมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา   เริ่มกันจากภาพทางเดินของสถานี Yunus Rajabiy   งานศิลปะประดับกำแพงของสถานีทาชเคนต์   ทางเดินในสถานีทาชเคนต์   ดูงานแกะสลักที่กำแพงนั่นสิ   แค่ลงบันไดเลื่อนมาก็ทึ่งแล้ว   อันนี้งานศิลป์จากสถานี Buyuk Ipak Yuli   ภาพของ Valentina Tereshkova หญิงสาวคนแรกที่ได้ขึ้นสู่อวกาศ   ทางเดินในสถานี Gafur Qulom   ทางเข้าสถานี Pakhtakor   ในสถานีมีหลุมหลบภัยสำหรับหลบระเบิดด้วยนะ   งานศิลป์ของทหารกองทัพแดงกับธงรูปค้อนเคียวที่ถูกลบออกไป   ดูความงามนี่เสียก่อน   เดินๆ ไปอาจจะมีแสบตากันบ้าง   จะตกบันไดก็เพราะมัวดูความงามนี่ละ  …

  • “สเตฟาน แมนเดล” ชายผู้ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ถึง 14 ครั้ง ด้วยพลังของคณิตศาสตร์

    “สเตฟาน แมนเดล” ชายผู้ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ถึง 14 ครั้ง ด้วยพลังของคณิตศาสตร์

    สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว วันที่ 1 กับวันที่ 16 ของแต่ละเดือนก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ เลยก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นเวลาที่เราจะได้ทราบกันว่าลอตเตอรี่ที่ซื้อมานั้นถูกหรือไม่นั่นเอง ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้า #เหมียวศรัทธา บอกว่าในอดีตเคยมีคนคิดวิธีที่จะซื้อลอตเตอรี่ให้มันถูกแทบจะแน่นอน จนตัวเขาเองถูกรางวัลใหญ่ถึง 14 ครั้งทั่วโลกล่ะ? เพราะนี่เป็นเรื่องราวของ “สเตฟาน แมนเดล” นักเศรษฐศาสตร์ชาวโรมาเนีย ผู้โลดแล่นอยู่ในวงการลอตเตอรี่ในช่วงยุค 80-90 นั่นเอง     เรื่องราวมันเกิดขึ้นจากการที่ประเทศโรมาเนียที่เขาอยู่นั้น ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้สเตฟานมีรายได้ที่ต่ำมากๆ ทั้งที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เขาจึงหาทางรวยทางลัดด้วยการซื้อหวยแบบคนทั่วไป แต่สเตฟานนั้นต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เพราะเขาจะซื้อหวยด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์มาก่อนนั่นเอง     นั่นเพราะด้วยระบบลอตเตอรี่ในสมัยนั้น มีความเป็นไปได้ที่เงินรางวัลจะมีมูลค่าโดยรวมมากกว่าโอกาสถูกลอตเตอรี่เสียอีก เช่นโอกาสถูกรางวัลหนึ่งในสามล้าน แต่เงินรางวัล 11 ล้านเหรียญเป็นต้น นั่นหมายความว่าต่อให้ซื้อลอตเตอรี่มันทุกตัวเลข (ซึ่งลอตเตอรี่ในสมัยนั้นมักราคาแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) สเตฟานก็จะได้กำไร 8 ล้านเหรียญอยู่ดี     หลังหักลบภาษีแล้ว การซื้อลอตเตอรี่ในรูปแบบนี้ จะทำให้สเตฟานจะต้องเล็งซื้อลอตเตอรี่ที่มีรางวัลมากกว่าต้นทุน 3 เท่าขึ้นไปเพื่อที่จะให้ได้กำไรในระดับที่พอรับได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์คนนี้กลัวเลย เพราะระบบการออกลอตเตอรี่ในสมัยนั้นมันง่ายมาก เพราะไม่เพียงแต่จะซื้อลอตเตอรี่กี่ใบก็ได้ แต่ในหลายๆ ครั้งเขายังสามารถพิมพ์เบอร์ที่ต้องการลงไปยังลอตเตอรี่โดยตรงได้เลยด้วย นั่นทำให้การซื้อลอตเตอรี่ของสเตฟานกลายเป็นกิจการไป เขามีผู้ให้ความร่วมมือมากมาย…

  • นักโบราณคดีพบในถ้ำโบราณสองแห่งที่เมืองคุมราน เชื่ออาจมี “ม้วนหนังสือเดดซี” อยู่ภายใน

    นักโบราณคดีพบในถ้ำโบราณสองแห่งที่เมืองคุมราน เชื่ออาจมี “ม้วนหนังสือเดดซี” อยู่ภายใน

    ม้วนหนังสือเดดซี (Dead Sea Scrolls) คือวัตถุโบราณที่ถูกพบเป็นจำนวนมากภายในถ้ำใกล้ๆ “ทะเลเดดซี” ทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมากจนคนลอยตัวได้แบบไม่มีวันจม ที่ผ่านมาม้วนหนังสือเดดซีจะมีการค้นพบในถ้ำร่วม 12 แห่ง ในเขตของเมืองคุมรานประเทศอิสราเอล โดยถ้ำ 11 แห่งแรกถูกค้นพบในช่วงระหว่างปี 1947-1956 ส่วนถ้ำที่ 12 เพิ่งถูกพบไปในปี 2017   ม้วนหนังสือเดดซีที่เคยมีการค้นพบ   ถ้ำที่ 12 นั้นแม้ว่าจะมีร่องรอยของวัตถุโบราณก็จริง แต่ม้วนหนังสือเดดซีที่พบที่นี่กลับเป็นแค่กระดาษเปล่า และเชื่อกันว่าตัวม้วนหนังสือจริงๆ อาจจะถูกขโมยไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้ค้นพบถ้ำอีกสองแห่งที่อาจจะมีม้วนหนังสือเดดซีอยู่ภายในจนได้ โดยนี่เป็นถ้ำสองแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับถ้ำที่ 12 และมีร่องรอยของ ม้วนหนังสือเดดซี อยู่เช่นกัน   ภาพของถ้ำที่ถูกค้นพบในครั้งนี้   ถ้ำที่พบนั้นในปัจจุบันถูกตั้งชื่อว่าถ้ำ “53b” และ “53c” โดยภายในตัวถ้ำ 53b นักโบราณคดีได้พบกับหม้อที่ทำจากทองแดง ขวด ถ้วย และชิ้นส่วนของสิ่งทอ น่าแปลกที่ในปัจจุบัน นักโบราณคดีกลับยังไม่มีการพบตัวม้วนหนังสือเดดซีในตัวถ้ำทั้งสองนี้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าถ้ำที่พบนี้ น่าจะเคยถูกโจรเข้ามาขโมยม้วนหนังสือเช่นเดียวกับถ้ำก่อนหน้า   ม้วนหนังสือเดดซีที่เคยมีการค้นพบ   แต่แม้ว่าถ้ำ 53b อาจจะไม่มีม้วนหนังสือเดดซีอยู่แล้วก็ตาม ทางนักโบราณคดีก็ยังไม่หมดหวัง…

  • ย้อนรอยเรื่องราวของ “โรเบิร์ต วิลเลียมส์” ชายคนแรกของโลก ที่ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์

    ย้อนรอยเรื่องราวของ “โรเบิร์ต วิลเลียมส์” ชายคนแรกของโลก ที่ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์

    เมื่อพูดถึงหุ่นยนต์หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเครื่องมือสุดสะดวกสบายที่จะมารับใช้มนุษย์ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็คงมีอีกหลายคนเช่นกันที่นึกถึงภัยร้ายที่มนุษย์อาจจะพบ หากจู่ๆ หุ่นยนต์ก่อกบฏขึ้นมาเช่นกัน     ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีการบันทึกเหตุการณ์หุ่นยนต์ทำร้ายมนุษย์มาแล้วจริงๆ โดยเขาคนนั้นคือ “โรเบิร์ต วิลเลียมส์” ชายผู้ได้รับการบันทึกโดยกินเนสบุ๊กว่าเป็นชายคนแรกของโลก ที่ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์ เรื่องราวมันเกิดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 1979 ในโรงงานของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์  บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา โดยในวันนั้นจู่ๆ เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในสายการผลิตก็เกิดการส่งข้อมูลผิดพลาดขึ้น     นั่นทำให้วิลเลียมส์ที่ในเวลานั้นอายุได้ 25 ปีได้รับคำสั่งให้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลจริงๆ ที่ควรจะถูกส่งมา และในระหว่างที่กำลังทำงานนั้นเอง เขาก็ถูกแขนกลที่ทำงานอยู่ในเวลานั้นฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนเสียชีวิต แม้ว่าความตายของวิลเลียมส์นั้นเป็นอุบัติเหตุอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงระบบการทำงานที่ยังไม่รัดกุมของสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากตัวแขนกลเองจะไม่มีระบบป้องกันแล้ว ในที่ทำงานยังไม่มีระบบเตือนภัย หรือเทคโนโลยีที่จะทำให้หุ่นยนต์เปลี่ยนการทำงานในกรณีที่มีคนเข้ามาในพื้นที่เลย     แน่นอนว่าทางวิศวกรส่วนใหญ่ในประเทศเองก็คิดแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ครอบครัวของวิลเลียมส์จะสามารถชนะคดีกับบริษัทที่ผลิตแขนกลไป และได้ค่าทำขวัญถึง 10 ล้านเหรียญในสมัยนั้น นับตั้งแต่วันนั้นมาโลกเราก็ได้เห็นความตายที่เกิดขึ้นจากหุ่นยนต์อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่มือกลผลักคนงานชาวญี่ปุ่นจนตกจากที่สูงโดยบังเอิญในปี 1981 หรืออุบัติเหตุกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในทศวรรษต่อมา     จริงอยู่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านั้นล้วนแต่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของหุ่นยนต์แต่อย่างใด แต่นี่ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าหากมนุษย์ไม่รอบคอบกับการใช้เครื่องมือ เราก็อาจจะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีเท่าไร่ก็เป็นได้   ที่มา howstuffworks, wired

  • 20 ภาพจากโปรเจกต์อพอลโลของนาซา ซึ่งออกมาต่อสู้กับทฤษฎีมนุษย์ไม่เคยไปดวงจันทร์

    20 ภาพจากโปรเจกต์อพอลโลของนาซา ซึ่งออกมาต่อสู้กับทฤษฎีมนุษย์ไม่เคยไปดวงจันทร์

    ตั้งแต่ที่ยานอพอลโล 11 ลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 1969 เวลาก็ผ่านไปหลายทศวรรษแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังคงเชื่อว่ามนุษย์เราไม่เคยไปดวงจันทร์กันจริงๆ อยู่ดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นแม้จะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็เหมือนกับเป็นการปฏิเสธการทำงานอย่างยากลำบากของเหล่านักบินอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เองทางนาซาจึงตัดสินใจปล่อยภาพที่มีการบันทึกไว้ในระหว่างการปฏิบัติการร่วม 10,000 ภาพของโปรเจกต์อพอลโล ออกมาเสียเลย เพื่อเป็นหลักฐานที่ใช้ต่อสู้กับเหล่าทฤษฎีสมคบคิดที่ออกมา และในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำส่วนหนึ่งของภาพดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพเจ้าปัญหาของโปรเจกต์อพอลโล   ภาพพื้นผิวของดวงจันทร์   บัซ อัลดรินทำความเคารพธงสหรัฐฯ บนดวงจันทร์   ภาพของโลกที่มองเห็นจากดวงจันทร์   ยานพาหนะที่นักบินใช้บนพื้นผิวดวงจันทร์   ธงชาติสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าบนดวงจันทร์   รูปภาพภาพแรกที่นีล อาร์มสตรองถ่ายบนดวงจันทร์   วิวของดวงจันทร์ที่ถูกเก็บภาพโดยนีล อาร์มสตรอง   รอยเท้าของนีล อาร์มสตรอง   ภาพในตำนานของโปรเจกต์อพอลโลแบบเต็มๆ ภาพ   แสงที่น่าจะมาจากดวงอาทิตย์   หลุมตื้นๆ บนดวงจันทร์   ภาพของตัวยานที่ลงจอดบนดวงจันทร์   รอยเท้ามากมายที่เกิดขึ้นจากนักบินอวกาศ   บรรยากาศความเงียบเหงาบนผิวดาว…

  • 4 คำขอครั้งสุดท้ายก่อนตายของคนในอดีต ที่แปลกเอามากๆ จนคนที่ได้ยินต้องเกาหัว

    4 คำขอครั้งสุดท้ายก่อนตายของคนในอดีต ที่แปลกเอามากๆ จนคนที่ได้ยินต้องเกาหัว

    คำขอสุดท้ายของคนตาย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบพินัยกรรมหรือคำพูดปากเปล่าก็มักจะเป็นคำขอที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเสมอ ดังนั้นจึงแทบไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คำขอสุดท้ายส่วนมากมักจะถูกทำให้เป็นจริงไม่ว่าจะยากเพียงไหน แต่ในบางครั้งคำขอของคนตายก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่แปลกเอามากๆ ได้เช่นกัน จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ถึงขั้นที่ทำตามไม่ได้ แต่ก็แปลกเสียจนคนที่ได้ยินต้องเกาหัวไปตามๆ กัน เหมือนอย่างคำขอครั้งสุดท้ายของคนทั้ง 4 คนต่อไปนี้   เริ่มกันจาก Leona Helmsley เธอคือนักธุรกิจหญิงผู้ทำให้หลานๆ ของตัวเองช็อกแบบสุดๆ เนื่องจากพินัยกรรมของเธอระบุไว้ว่าทรัพย์สินที่เธอมีร่วม 12 ล้านเหรียญสหรัฐจะถูกส่งให้สุนัขชื่อ “Trouble” โดยไม่เหลือให้หลานๆ แม้แต่เหรียญเดียว แน่นอนว่าหลานๆ ของเธอเข้าสู้คดีกับคำสั่งเสียนี้ แต่สุดท้ายก็แพ้คดีไป ส่วนเจ้าสุนัขเองก็ต้องมีการจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัยเฝ้ากันตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการโดนลอบสังหารเลยทีเดียว   James Kidd เขาเป็นชายผู้หายตัวไปในปี 1949 และถูกประกาศให้เป็นผู้เสียชีวิต 5 ปีหลังจากนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังไม่ได้อยู่ที่การหายตัวไป แต่เป็นพินัยกรรมของเขาต่างหาก เพราะ James Kidd ได้เขียนพินัยกรรมไว้ว่าจะมอบทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับใครก็ตามที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเรื่องวิญญาณออกจากร่างมนุษย์ได้ แน่นอนว่าการกระทำนี้ทำให้มีคนจำนวนมากออกมาอ้างตัวเพื่อรับเงินของเขา จนในที่สุดเมื่อปี 1971 ศาลจึงเอาเงินของเขาไปมอบให้สมาคมจิตวิทยากับมูลนิธิวิจัยจิตวิทยา ของสหรัฐอเมริกา เสียเลย   Harry Houdini เขาคือจิตกรผู้เสียชีวิตในปี 1926 และมีชื่อเสียงจากการที่เขาสั่งภรรยาว่าต้องพยายามติดต่อเขาในโลกหลังความตายด้วยข้อความลับแบบพิเศษ…

  • 10 กฎหมายสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลก ที่บางทีก็ส่งสัยว่าคนร่างกฎหมายเขาคิดอะไรกันอยู่

    10 กฎหมายสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลก ที่บางทีก็ส่งสัยว่าคนร่างกฎหมายเขาคิดอะไรกันอยู่

    เนื่องจากคนเรานั้นมีวัฒนธรรมที่ต่างๆ กันไป ดังนั้นตั้งแต่ในอดีตจึงมีอยู่หลายครั้งที่กฎหมายที่ดูจะมีเหตุผลในประเทศหนึ่งกลับดูแปลกในอีกหลายๆ ประเทศ และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 10 กฎหมายสุดแปลกจากทั่วทุกมุมโลก ที่บางทีก็ส่งสัยว่าคนร่างกฎหมายเขาคิดอะไรกันอยู่   เริ่มกันจากที่อังกฤษมีกฎหมายห้ามถือ “ปลาแซลมอน” ใน “สถานการณ์ที่น่าสงสัย” ร่างขึ้นมาเมื่อปี 1986   ที่สิงคโปร์ห้ามไม่ให้มีการนำหมากฝรั่งเข้าประเทศ น่าจะทำเพื่อรักษาความสะอาด   ที่เดนมาร์กมีการห้ามตั้งชื่อลูกแบบแปลกๆ แบบนี้ก็ตั้งว่า เฟี้ยวฟ้าว สุดสวิงริงโก้ ไม่ได้ดิ   ในเม็กซิโก ห้ามขี่จักรยานอย่างไม่ระมัดระวัง คนขี่จะต้องวางเท้าไว้บนแป้นเหยียบเสมอ ในระหว่างขี่จักรยาน (แต่ไม่รู้ทำไมให้ปล่อยมือได้)   สวิสเซอร์แลนด์ห้ามแก้ผ้าเดินทางด้วยเท้า กฎหมายนี้เกิดขึ้นหลังจากครอบครัวที่กำลังปิกนิกครอบครัวหนึ่งพบเห็นชายชาวเยอรมัน แก้ผ้าเดินผ่านไป   ที่เวนิสห้ามให้อาหารนกพิราบ นั่นเพราะรัฐบาลที่นั่นระบุว่านกพิราบจะนำมาซึ่งโรคและความสกปรกนั่นเอง   ที่แคนาดาห้ามผิวปาก เอาจริงๆ คือที่เมือง Petrolia เท่านั้น และไม่ได้ห้ามแค่ผิวปาก แต่รวมไปถึงการส่งเสียงดังเป็นที่รำคาญอื่นๆ อย่างการตะโกน หรือร้องเพลงด้วย   ที่ประเทศจอร์เจียห้ามปล่อยไก่ข้ามถนน ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วกฎหมายนี้จะออกมาเพื่อไม่ให้เจ้าของไก่ปล่อยไก่ออกมาเดินเพ่นพานต่างหาก   ที่ประเทศกรีซมีกฎหมายห้ามสวมรองเท้าส้นสูง เป็นไปได้ว่าออกกฎหมายนี้มาจากการที่ส้นสูงไปทำให้โบราณสถานเสียหาย   ที่เยอรมนีการน้ำมันหมดบนทางด่วนถือว่ามีความผิด…

  • 20 ภาพของ “เกาะบาหลี” ช่วงต้นยุค 1950 ก่อนจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว

    20 ภาพของ “เกาะบาหลี” ช่วงต้นยุค 1950 ก่อนจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยว

    จังหวัดบาหลี หรือ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงด้านความงดงามทางธรรมชาติ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากไปสักครั้ง ว่าแต่เคยสงสัยไหมว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมแบบนี้นั้น ในอดีตจะมีความแตกต่างไปจากในปัจจุบันหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ดีใจไว้ได้เลย เพราะในวันนี้เราจะไปชม 20 ภาพของจังหวัดบาหลีในช่วงต้นยุค 50 ไปดูกันดีกว่าว่าจังหวัดนี้ในสมัยก่อนนั้นมีสภาพเช่นไร   เริ่มกันจากการเตรียมเครื่องสักการะในวันปีใหม่เมื่อปี 1952 งานปีใหม่ที่นี่จัดในวันที่ 7-8 มีนาคม   ภาพความงามสไตล์ดั่งเดิมของชาวบาหลี   ที่อยู่อาศัยและชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่   เด็กๆ (ที่น่าจะเป็นพี่น้อง) หน้าที่อยู่อาศัย   ชาวบาหลีที่หาดซานูร์   ดูกันแบบใกล้ๆ   ถนนในพื้นที่หาดซานูร์   ระบำบารอง ศิลปะการแสดงท้องถิ่นของบาหลี   นักดนตรีในงานระบำบารอง   เรือพายที่ซานูร์   อีกมุมหนึ่งของเรือพายที่หาดซานูร์   การชนไก่ในพื้นที่   บรรยากาศวันปีใหม่ในวัด   การประดับบ้านรับวันปีใหม่ของบาหลี   ชาวบาหลีตกปลาที่หาดซานูร์   ดูกันแบบชัดๆ   การตัดผมในเมืองเดนปาซาร์  …

  • “การทดลอง 21 กรัม” เมื่อนายแพทย์ในอดีต พยายามวัดน้ำหนัก “วิญญาณของมนุษย์”

    “การทดลอง 21 กรัม” เมื่อนายแพทย์ในอดีต พยายามวัดน้ำหนัก “วิญญาณของมนุษย์”

    วิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ยังมีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ทั้งในหมู่ผู้คน และแม้กระทั่งในหมู่นักวิทยาศาสตร์เอง อาจเพราะคนเราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ทำให้ความเชื่อเรื่องนี้ถูกมองต่างออกไปในแต่ละคน และสำหรับนายแพทย์อย่าง Duncan MacDougall แล้ว วิญญาณของมนุษย์ อาจจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 21 กรัมก็เป็นได้   ภาพของ Duncan MacDougall เมื่อปี 1911   นี่เป็นการทดลองภายใต้ชื่อ “การทดลอง 21 กรัม” ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อของ Duncan ที่ว่า วิญญาณน่าจะมีน้ำหนักทางกายภาพจริงๆ การทดลองที่ว่าเริ่มต้นขึ้นในปี 1901 กับอาสาสมัครจำนวน 6 รายที่ถูกเลือกมาจากบรรดาผู้ป่วยใกล้ตายในโรงพยาบาล โดยมีการดัดแปลงเตียงนอนของพวกเขาให้สามารถวัดน้ำหนักของผู้ป่วยได้อย่างละเอียด พวกเขาถูกขอร้องให้นอนให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนของน้ำหนัก และมีการคำนึงถึงการสูญเสียน้ำในร่างกายยามเสียชีวิตมาเป็นอย่างดี     นี่เป็นการทดลองที่ใช้เวลานานมาก เพราะแม้ช่วงเวลาที่ Duncan ต้องการจะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่อาสาสมัครเสียชีวิต แต่เขาก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าแต่ละคนจะเสียชีวิตไปตอนไหนกัน แน่นอนว่าผลการทดลองเป็นไปตามที่ Duncan คิด เพราะในผลการทดลองครั้งนี้ เจ้าตัวได้อ้างว่าร่างของผู้ตายนั้นสูญเสียน้ำหนักไปแทบจะในทันที 21 กรัม ซึ่งเป็นไปได้ว่ามาจากการที่วิญญาณออกจากร่างไป สุดผลงานของ Duncan ก็ได้ออกสู่สายตาประชาชนในปี 1907 และนอกจากจะได้รับการตีพิมพ์ในวรสารการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว ผลงานของเขายังถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์อีกด้วย     แน่นอนว่าการทดลองของ Duncan จะถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือในสมัยนั้น…

  • เคมบริดจ์สร้าง “แผนที่ฆาตกรรม” ที่รวมเอาข้อมูลคดีในลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 14 เอาไว้

    เคมบริดจ์สร้าง “แผนที่ฆาตกรรม” ที่รวมเอาข้อมูลคดีในลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 14 เอาไว้

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า การใช้ชีวิตในอดีตนั้นไม่ได้สบายอย่างที่เราคาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 14 ในยุโรป หรือที่รู้จักกันในฐานะ “ยุคมืด” แล้วด้วย นั่นเพราะในช่วง 40 ปีแรกของศตวรรษนี้มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งมากๆ จนถึงขั้นที่ว่ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เอง สามารถรวมข้อมูลคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1300-1340 ที่ลอนดอนมาทำเป็น “แผนที่ฆาตกรรม” ได้เลย     นี่เป็นแผนที่แบบออนไลน์ ที่นอกจากจะแสดงสถานที่ซึ่งเกิดเหตุฆาตกรรมในอดีตแล้ว มันยังแสดงข้อมูลของผู้ลงมือ อาวุธที่ใช้อีกด้วย หรือแม้กระทั่งเหตุจูงใจในการลงมือ (ในบางคดี) เลยด้วย โดยข้อมูลส่วนมากที่ปรากฏในแผนที่อันนี้จะมาจากบันทึกที่ชื่อ “Coroners’ Rolls” ซึ่งมีการบันทึกคดีฆาตกรรมในลอนดอนช่วงศตวรรษที่ 14-15 และถอดรหัสโดยศาสตราจารย์ Manuel Eisner แห่งศูนย์วิจัยความรุนแรงนั่นเอง     จากคำบอกเล่าของศาสตราจารย์ Eisner คดีที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมักจะเกิดขึ้นบนถนน และมีโอกาสเกิดมากขึ้นในวันหยุดไม่ต่างกับในปัจจุบันเลย จากข้อมูลในแผนที่ การฆาตกรรมในสมัยก่อนมักจะเกิดขึ้นจากเรื่องเกี่ยวกับศักดิ์ศรี ตัวอย่างเช่น ในสมัยนั้นชายชื่อ William เคยมีเรื่องชกต่อยจนบานปลายเป็นเหตุฆาตกรรม จากการที่เขาไปฉี่ใส่รองเท้าคนอื่นเป็นต้น     นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆ น่าสนใจอีกหลายเรื่อง เช่นกว่า 68% ของอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรมมักจะเป็นมีด หรือการที่อัตราการเกิดคดีฆาตกรรมในสมัยนั้น สูงกว่าในปัจจุบันถึง 15-20%…

  • นักวิทยาศาสตร์เชื่อ โลกจะกลับมารวมกันเป็น “มหาทวีป” อีกครั้ง ในอนาคตข้างหน้า

    นักวิทยาศาสตร์เชื่อ โลกจะกลับมารวมกันเป็น “มหาทวีป” อีกครั้ง ในอนาคตข้างหน้า

    เรื่องที่ว่าทวีปทั้งหมดในโลกของเรานั้นเดิมทีแล้วเคยเป็นทวีปเดียวกันมาก่อน (เรียกกันว่า “มหาทวีปแพนเจีย”) เป็นแนวคิดที่ได้รับความเชื่อถือสูงจากทางนักวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ว่าแต่ทราบหรือไม่ว่า นักวิทยาศาสตร์เอง ก็มีแนวคิดที่ว่าในอนาคตทวีปทั้งหมดในโลกจะกลับมารวมกันเป็นมหาทวีปอีกครั้งด้วย   รูปร่างของมหาทวีปแพนเจียในอดีต   นั่นเพราะทวีปต่างๆ ในโลกนั้น เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา และตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มหาสมุทรแอตแลนติกก็ขยายตัวกว้างขึ้นราวๆ ปีละ 2.5 เซนติเมตร ซึ่งนั่นหมายความว่า โลกจะใช้เวลาอีกราวๆ 250 ล้านปีในการทำให้ทวีปทั้งหมดกลับมารวมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเรื่องที่ว่ามหาทวีปในอนาคตจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาแบบไหนนั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และนักธรณีวิทยา โดยมีแนวคิดที่ได้รับความนิยม 4 รูปแบบใหญ่ๆ ดังนี้   แบบที่ 1 มหาทวีป “Novopangea” นี่เป็นมหาทวีปที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นในกรณีที่อัตราการขยายตัวของมหาสมุทรแอตแลนติกจะคงที่ต่อไปเช่นในปัจจุบัน มหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวอยู่เป็นก้อนกลางมหาสมุทรโดยมีทวีปอเมริกาอยู่ทางตะวันออกแทนที่จะเป็นตะวันตก   แบบที่ 2 มหาทวีป “Pangea Ultima” นี่เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ มหาสมุทรแอตแลนติกหยุดขยายตัว และกลับกลายเป็นฝ่ายที่หดตัวเสียเอง โดยมหาทวีปนี้จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปทั้งหมดจะจับตัวกันคล้ายวงแหวนที่มีทะเลอยู่ตรงกลาง   แบบที่ 3 มหาทวีป “Aurica” นี่เป็นรูปร่างของมหาทวีปที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่มหาสมุทรแอตแลนติกมีลักษณะการขยายตัวที่เปลี่ยนไปจนทำให้ทั้ง มหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกหายไปทั้งคู่ และเกิดเป็นมหาสมุทรใหม่ขึ้นมาแทน ในกรณีนี้มหาทวีปใหม่จะมีลักษณะเด่นที่ทวีปยุโรปรวมกับแอฟริกา ก่อนที่จะเคลื่อนที่มารวมกับ ทวีปเอเชียที่รวมกับโอเชียเนีย และอเมริกาอีกที   …

  • ชม 30 ภาพของอัฟกานิสถานในช่วงปี 60 มาดูกันว่าที่นี่เป็นเช่นไร ก่อนสมัยของตอลิบาน

    ชม 30 ภาพของอัฟกานิสถานในช่วงปี 60 มาดูกันว่าที่นี่เป็นเช่นไร ก่อนสมัยของตอลิบาน

    ในปัจจุบันหากพูดถึงประเทศอัฟกานิสถาน เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะเป็นประเทศอันตรายที่เปื้อนไปด้วยไฟแห่งสงครามและการก่อการร้าย ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าอัฟกานิสถานไม่ได้เป็นเช่นนั้นมาตลอดหรอกนะ เพราะในช่วงปี 60 ก่อนที่กลุ่มตอลิบาน จะเข้ามาปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อัฟกานิสถานก็เคยเป็นเมืองที่งดงามน่าเที่ยวเมืองหนึ่งเลยเช่นเดียวกัน ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพของ Dr. Bill Podlich ศาสตราจารย์ผู้เดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ทั้ง 30 ภาพต่อไปนี้ดูสิ ไม่แน่นะว่าความคิดของคุณเกี่ยวกับอัฟกานิสถานอาจจะเปลี่ยนไปพอสมควรเลยก็เป็นได้   เริ่มกันที่ภาพของ Dr. Bill Podlich (คนที่สองจากด้านซ้าย ที่ห้อยกล้อง) ที่ถ่ายรูปร่วมกับชาวอัฟกานิสถาน   ภาพการปิกนิกของหนุ่มๆ อัฟกัน   บรรยากาศภายในระบบขนส่งของประเทศ   Dr. Bill Podlich บนเนินเขาในกรุงคาบูล   พระพุทธรูปในหุบเขา Bamiyan Valley ต่อมาในปี 2001 กลุ่มตอลิบานได้เข้ามาทำลายพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดไปสองอัน   เหล่าหนุ่มๆ นั่งมอง แหล่งเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ของประเทศ   เหล่าหนุ่มๆ และเด็กๆ เล่นน้ำในแม่น้ำคาบูล   เด็กชายชาวอัฟกานิสถานกำลังแต่งเค้ก   บรรยากาศการซื้อขายของในอิสตาลิฟ   พ่อค้ากับสินค้ามากมายของเข้า   บรรยากาศตลาดนัดที่เต็มไปด้วยผู้คน…

  • 16 ภาพสี ของเหล่าผู้อพยพเข้านิวยอร์กในอดีต ความหลากหลายของเชื้อชาติที่จะทำให้คุณทึ่ง

    16 ภาพสี ของเหล่าผู้อพยพเข้านิวยอร์กในอดีต ความหลากหลายของเชื้อชาติที่จะทำให้คุณทึ่ง

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีกว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ที่เข้ามายัง “โลกใบใหม่” แห่งนี้เพื่อลงหลักปักฐานในดินแดนที่แทบจะยังไม่มีใครรู้จักมาก่อน นั่นทำให้ที่ด้านตรวจคนเข้าเมืองของที่นิวยอร์ก ได้เห็นผู้คนจากหลายสถานที่ หลากวัฒนธรรมซึ่งแต่งกายมาในชุดประจำชาติของตัวเองอยู่เสมอๆ จนสามารถนำมารวมเป็นอัลบั้มดีๆ ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1892-1954     จริงอยู่ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสำคัญอะไร แต่ลำพังความหลากหลายของเชื้อชาติเองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ด้วยเหตุนี้เองช่างภาพมือสมัครเล่น Augustus Francis Sherman จึงได้ออกถ่ายภาพของพวกเขาเก็บเอาไว้ ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะถูกเก็บและแต่งเติมสีสันข้ามกาลเวลา จนในที่สุด ภาพเหล่านั้นก็ออกมาเป็นผลงานอันน่าดึงดูดใจ ที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ชมกันข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพของหญิงสาวชาวอิตาลี ในชุดพื้นเมืองประจำชาติ   คนแอลจีเรียผู้สวมชุดที่เรียกกันว่า Kaftan กับผ้าโพกหัวที่เรียกว่า Kufiya เอาไว้   ชาวซามิ หรือ “แลปแลนเดอร์” ชนพื้นเมืองที่อยู่อาศัยในแถบอาร์กติกในชุดประจำชาติ   หญิงชาวนอร์เวย์สวมชุดแบบดั้งเดิมที่มีหมวกคลุมผม เพื่อระบุสถานภาพการสมรส   เป็นชาวโรมาเนีย ที่มาพร้อมกับเครื่องเป่าประจำตัว   ชายชาวเดนมาร์ก ในชุดเสื้อขนสัตว์ที่มีกระดุมทำจากเงิน แสดงถึงสถานะที่ร่ำรวยได้เป็นอย่างดี   ผู้หญิงชาวดัตช์ที่ สวมหมวกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีชื่อเสียงของชุดประจำชาติเนเธอร์แลนด์   นักบวชออร์โธดอกซ์ชาวกรีก ในชุดคลุมยาวถึงข้อเท้า   ทหารจากอัลบาเนีย (หรือแอลเบเนีย) ในชุดที่ออกแบบมาโดยคำนึกถึงลักษณะภูมิภาคของประเทศ…

  • 25 ภาพเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่มีชื่อเสียงในโลก ระหว่างอดีตและปัจจุบัน

    25 ภาพเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่มีชื่อเสียงในโลก ระหว่างอดีตและปัจจุบัน

    ว่ากันว่าโลกของเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่เล็กลงจนเอาใส่กระเป๋ากางเกงได้ หรือโทรทัศน์ที่แบนขึ้นทุกวัน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมืองต่างๆ ในโลกนั้นจะมีรูปร่างแตกต่างไปจากที่เคยเป็นในสมัยก่อน จนบางครั้งก็อาจจะทำให้เราสงสัยเลยว่ามันเคยเป็นเมืองเดียวกันจริงๆ เช่นนั้นหรือ และด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปนำภาพเปรียบเทียบเมืองที่มีชื่อเสียงในโลก ระหว่างอดีตและปัจจุบันมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ว่าแต่จะมีเมืองอะไรบ้างนั้น คงต้องไปชมกันที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพเปรียบเทียบเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อปี 2000 กับปัจจุบัน   อีกมุมหนึ่งของดูไบ เมื่อปี 2005 เทียบกับกับปัจจุบัน   กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 1900 กับปัจจุบัน   กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย (อยู่ใกล้ๆ โปแลนด์กับรัสเซีย) เมื่อปี 1900 กับปัจจุบัน   กรุงอาบูดาบี จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เทียบระหว่างปี 1970 และตอนนี้   สาธารณรัฐสิงคโปร์ (ประเทศนี้เล็ก มีแค่รัฐเดียว) เมื่อปี 2000 และปัจจุบัน   กรุงโตเกียว…

  • พบวัตถุโบราณร่วมพันชิ้นของชาวไวกิ้งที่เดนมาร์ก เผยอีกด้านของพวกเขาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

    พบวัตถุโบราณร่วมพันชิ้นของชาวไวกิ้งที่เดนมาร์ก เผยอีกด้านของพวกเขาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

    เมื่อพูดถึงชนเผ่าไวกิ้ง คนส่วนมากก็มักจะติดภาพลักษณ์ของชนเผ่านักรบที่ป่าเถื่อน เนื่องจากชื่อเสียงของชาวไวกิ้งนั้นมักจะเป็นเรื่องของการปล้นสะดมเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆ ในโลก ใช่ว่าชาวไวกิ้งทุกคนจะเป็นคนป่าเถื่อนไปเสียหมด เพราะอย่างในการค้นพบใหม่ล่าสุดนี้เอง ก็เป็นการค้นพบเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวไวกิ้งเสียด้วย     โดยนี่เป็นการค้นพบวัตถุโบราณร่วม 1,000 ชิ้น ซึ่งคาดกันว่าเคยเป็นสินค้าที่ชาวไวกิ้งใช้ในการค้าขาย ที่ใต้ถนนในเมือง Ribe ประเทศเดนมาร์ก ภายใต้โครงการที่ชื่อ “Northern Emporium” ข้าวของที่มีการค้นพบในครั้งนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่า ไวกิ้งมีวัฒนธรรมการค้าที่เก่าแก่มากๆ เพราะจากการตรวจสอบหนึ่งในสิ่งของที่มีการค้นพบอย่าง “ม้าหิน” นั้นมีอายุอยู่ในช่วงปีคริสตศักราชที่ 720 เลยทีเดียว     นั่นหมายความว่าม้าหินตัวนี้อาจจะมีความเก่าแก่กว่าการออกปล้นสะดมที่มีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในช่วงศควรรษที่ 8 เสียอีก แถมนอกจากม้าหินแล้ว นักโบราณคดียังค้นพบ เครื่องเพชรพลอย เหรียญ และเครื่องดนตรีแบบสายในพื้นที่อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ การค้นพบเหล่านี้ยังเป็นหลักฐานอย่างทีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดเร่ขายของที่ตั้งขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่เป็นที่หมู่บ้านหรือเมืองที่มีผู้คนลงหลักปักฐานอาศัยแบบถาวรเลย     ซึ่งนั่นหมายความว่าในอดีต ชาวไวกิ้งมีหมู่บ้านหรือเมืองที่ทำการค้าขายเป็นหลักด้วยนั่นเอง แถมที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้มีเพียงพ่อค้าและนักรบ แต่ยังมีชาวนา ช่างฝีมือ คนเดินทะเล เจ้าของโรงแรม หรือแม้กระทั่งนักดนตรีเลยด้วย นั่นทำให้การค้นพบครั้งนี้น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะทำให้เราทราบถึงอีกด้านของชาวไวกิ้งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแล้ว การพบหลักฐานนักเดินเรือ ยังทำให้เรารู้ว่าชาวไวกิ้งอาจจะมีการเดินเรือมานานกว่าที่เราคิดด้วยเช่นกัน     ที่มา history, sciencenordic

  • นักวิทย์นาซาผวา พบ “แบคทีเรียชนิดใหม่” ในสถานีอวกาศ ที่อาจก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน

    นักวิทย์นาซาผวา พบ “แบคทีเรียชนิดใหม่” ในสถานีอวกาศ ที่อาจก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน

    มีคำพูดที่ว่าในอวกาศ ความผิดพลาดเพียงเล็กๆ น้อยก็สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ได้ ดังนั้นสำหรับที่อย่างสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) สิ่งที่อันตรายต่อชีวิตนักบินอวกาศที่สุดอาจไม่ต้องเป็นอะไรน่ากลัวๆ อย่างเอเลียนเลยด้วยซ้ำ เพราะล่าสุดนี้เอง สิ่งที่กำลังสร้างความลำบากใจให้กับนักวิทยาศาสตร์ของนาซามากที่สุดคือ “แบคทีเรียอวกาศ” ตัวเล็กๆ บนยานเองต่างหาก     เพราะจากการวิจัยล่าสุดของทาง NASA นี่เป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแบคทีเรีย “เอนเทอโรแบคเตอร์” ที่พบได้บ่อยๆ ในโรงพยาบาลของโลก เดิมทีแล้วนี่เป็นหนึ่งในแบคทีเรีย 5 ชนิดที่เคยมีการค้นพบในห้องน้ำของสถานี ISS และมีการตรวจสอบกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมปี 2015     อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สิ่งที่ทำให้แบคทีเรียตัวนี้อันตรายกว่าตัวอื่นๆ อยู่ที่ความเป็นไปได้ถึง 79 เปอร์เซนต์ที่มันจะก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน และอาจจะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีกหากมันดื้อยาขึ้นมา จริงอยู่ว่าในปัจจุบันแบคทีเรียตัวนี้จะยังไม่แข็งแรงพอที่จะทำให้มนุษย์ป่วยได้จริงๆ ก็ตาม แต่หากไม่ระวังให้ดี แบคทีเรียตัวนี้ก็อาจจะกลายเป็นฝันร้ายของนักบินอวกาศผู้ใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลสุดๆ เลยก็เป็นได้     นั่นทำให้ในเวลานี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ NASA ได้พยายามอย่างหนักในการตรวจสอบแบคทีเรียดังกล่าว และจะมีการสังเกตุการณ์และควบคุมความคืบหน้าของแบคทีเรียชนิดนี้อย่างใกล้ชิดกันต่อไป   ที่มา mirror, unilad