ย้อนรอย “ออดี ลีออน เมอร์ฟี” จากฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ สู่นักแสดงมีชื่อแห่งฮอลลีวูด

เคยได้ยินชื่อของ ออดี ลีออน เมอร์ฟี (Audie Leon Murphy) กันมาก่อนไหม? เขาคือฮีโร่แห่งกองทัพสหรัฐฯ เจ้าของเหรียญเกียรติยศมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง และเขาก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของฮอลลีวูดอีกด้วย

 

 

ออดี ลีออน เมอร์ฟี เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่เท็กซัสเมื่อปีค.ศ. 1924 และต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟีจึงสมัครเป็นทหารเพื่อหาเงิน

ด้วยความที่ตัวเล็ก ทำให้เขาไม่ได้รับการยอมรับจากกองทัพเท่าไหร่ แต่ด้วยผลงานในกองทัพที่ดีมาก ทำให้เมอร์ฟีได้รับการเลื่อนยศอย่างรวดเร็ว เขาได้ไปรบที่แอฟริกาเหนือในปี 1943 และมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้มากมายในอิตาลี และฝรั่งเศส

 

 

อย่างไรก็ตามผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมอร์ฟีมาจากการรบที่ Colmar Pocket ในฝรั่งเศส เมื่อช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1945 มากกว่า

นั่นเพราะในเวลานั้นเมอร์ฟีที่อายุได้เพียง 19 ปี ได้บุกยิงถล่มกองทัพเยอรมันที่มีจำนวนมากกว่ามาก ด้วยปืนกลเพียงลำพังในขณะที่เพื่อนๆ ทหารถอยทัพเพื่อไปตั้งหลัก

 

 

ว่ากันว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้น เมอร์ฟีสังหารทหารนาซีไปถึง 40 นาย และแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาก็ไม่ยอมถอยจนในที่สุดทหารที่เหลือก็ได้โอกาสโจมตีโต้กลับจนทำให้สหรัฐฯ สามารถเขายึดพื้นที่ได้สำเร็จในที่สุด

หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 เมอร์ฟี ออกจากกองทัพไป แต่ด้วยหน้าตาที่ดูดีของเขาก็ทำให้นักแสดงชื่อ เจมส์ แคกนีย์ (James Cagney) สนใจในตัวเขาเข้าจนชักชวนให้เขามาเป็นนักแสดงด้วยในเวลาต่อมา

 

 

นั่นทำให้ชีวิตในฐานะนักแสดงของเมอร์ฟีเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง และนำมาซึ่งผลงานภาพยนตร์ร่วมๆ แล้วถึง 44 เรื่อง

น่าเสียดายที่การใช้ชีวิตช่วงท้ายของเมอร์ฟีไม่ได้ดีอย่างที่คิดเท่าไหร่ เขาต้องทรมานกับอาการ PTSD (อาการความเครียดหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ที่ทหารมักจะเป็นกัน) จนติดพนัน และยานอนหลับอย่างหนัก

เท่านั้นยังไม่พอเพราะเขายังต้องเสียเงินที่ได้มาส่วนมากไปกับการพนัน และการลงทุนที่ไม่ดี แถมในปี 1971 เครื่องบินที่เขานั่งยังประสบอุบัติเหตุจนทำให้เขาเสียชีวิตวัยเพียง 45 ปีเท่านั้น

 

 

แต่ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เชื่อเสียงและวีรกรรมของเมอร์ฟี ก็จะคงอยู่ในใจของชาวสหรัฐอเมริกา ไปอีกนานแสนนาน

 

ที่มา allthatsinteresting

Comments

Leave a Reply