“โซกุชินบุตสึ” การบำเพ็ญเพียรสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่พระจะ “ทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่”

เชื่อว่าหากพูดถึง “มัมมี่” ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงประเทศอียิปต์ขึ้นมาเป็นที่แรก แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าในประเทศอย่างญี่ปุ่นเอง ก็มีกลุ่มคนที่พยายามทำมัมมี่อยู่เช่นกัน แถมยังเป็นการ “ทำตัวเองเป็นมัมมี่” ด้วย

 

 

นี่เป็นวิธีการที่เรียกกันว่า “โซกุชินบุตสึ” หนึ่งในการบำเพ็ญเพียรของนิกายชินงอน ซึ่งพบได้ตั้งแต่ในช่วงปี 1081 เรื่อยไปจนในปี 1903 และมีบันทึกไว้ว่ามีพระอย่างน้อยๆ 20 รูป ที่สามารถ “กลายเป็นมัมมี่” ได้สำเร็จ

เชื่อกันว่าการบำเพ็ญเพียรในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้กระทำสามารถ เข้าไปสู่สวรรค์ชั้นที่ 4 ( “ธูษิตา” หรือ “ดุสิต” ) ได้ และจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1.6 ล้านปี ก่อนที่จะกลับมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกอีกครั้ง

 

 

แต่การจะใช้ชีวิตบนนั้น นานเป็นล้านปีจำเป็นต้องมีร่างกายที่คงทน ดังนั้นผู้บำเพ็ญโซกุชินบุตสึจึงตั้งเป้าหมายในการบำเพ็ญตนอยู่ที่การทำให้ตัวเองเป็นมัมมี่นั่นเอง

โซกุชินบุตสึจะเป็นการบำเพ็ญเพียรในหลายๆ รูปแบบ แต่มีจุดเด่นอยู่ที่การควบคุมอาหาร โดยในเบื้องต้นพระผู้บำเพ็ญตน จะหลีกเลี่ยงการทานอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่เรียกกันว่า “โมกุจิคิเกียว”

 

 

นี่เป็นรูปแบบอาหารที่ประกอบตัวไปด้วยเปลือกไม้ รากไม้ ถั่ว เมล็ดพันธุ์พืช และในบางแหล่งข้อมูลก็บอกว่ามีก้อนหินรวมอยู่ด้วย

เป็นไปได้ว่าลักษณะการทานอาหารแบบนี้ทำขึ้นเพื่อให้ร่างกายมีไขมันและกล้ามเนื้อน้อยที่สุด บวกกับกำจัดแบคทีเรียบางชนิด จนอัตราการเน่าเสียเกิดขึ้นช้า และร่างกายเหมาะสมกับการเป็นมัมมี่มากขึ้น

การควบคุมอาหารในรูปแบบนี้มักทำกันในระยะเวลา 1,000 วันหรือมากกว่านั้น (ว่ากันว่าพระบางรูปควบคุมอาหารแบบนี้นานถึง 3,000 วันเลย) โดยหลังจากนี้ไปผู้บำเพ็ญตนจะดื่มชาชนิดพิเศษที่ทำจากน้ำยางต้นอุรุชิ และจะไม่ทานอะไรอีกนอกจากน้ำผสมเกลือ

 

 

แน่นอนว่าการอดอาหารในรูปแบบนี้จะทำให้ร่างกายของผู้บำเพ็ญตนซูบผอมเป็นอย่างมาก และในตอนที่กำลังจะเสียชีวิตนั่นเองผู้บำเพ็ญตนก็จะลงไปนั่งอยู่ในใต้ดินโดยมีไม้ไผ่ปักเอาไว้เพื่อให้หายใจได้ และสั่นกระดิ่งวันละครั้งเพื่อบอกว่ายังมีชีวิตอยู่

ในยามที่เสียงกระดิ่งหยุดลง ลูกศิษย์จะปล่อยสุสานเอาไว้อีก 1,000 วัน ก่อนที่ขุดขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งถ้าศพแห้งเป็นมัมมี่ก็จะถือว่าการทำโซกุชินบุตสึสำเร็จได้ด้วยดีนั่นเอง

 

 

โซกุชินบุตสึถูกประกาศห้ามปฏิบัติอย่างเป็นทางการไปในปี 1877 และหลังจากนั้นการบำเพ็ญเพียรในรูปแบบนี้ก็กลายเป็นเพียงตำนานของประเทศสืบไป

 

ที่มา allthatsinteresting และหนังสือ Living Buddhas: The Self-Mummified Monks of Yamagata, Japan

Comments

Leave a Reply