Author:

  • การวิจัยลายมือพบ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” จริงๆ แล้วอาจถนัดมือทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

    การวิจัยลายมือพบ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” จริงๆ แล้วอาจถนัดมือทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่า “เลโอนาร์โด ดา วินชี” สุดยอดอัจฉริยะชาวอิตาลีผู้มีผลงานทั้งทางงานศิลปะ งานประดิษฐ์ และวิทยาศาสตร์นั้นเป็นคนถนัดซ้ายกันมาบ้าง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้นั้น แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้ถนัดแค่มือซ้ายอย่างที่เราคิด แต่สามารถใช้มือทั้งของข้างได้อย่างคล่องแคล่วเลย     นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก “Opificio delle Pietre Dure” (OPD) สถาบันศิลปะของกระทรวงมรดกวัฒนธรรมอิตาลีได้ออกมาทำการทดลองตรวจสอบภาพของเลโอนาร์โด ดา วินชี และทีมผู้เชี่ยวชาญก็พบว่า ภาพวาดของเขานั้นมีลักษณะเฉพาะที่แปลกประหลาดอยู่   โดยรูปที่ถูกใช้ในการตรวจสอบในครั้งนี้คือภาพ “Landscape 8P” หรือที่มักจะเลือกกันสั้นๆ ว่า “8P” ซึ่งเป็นภาพร่างลายเส้นที่เลโอนาร์โดวาดขึ้นเมื่อปี 1473 ในตอนที่เขาอายุเพียง 21 ปี   .   จากในภาพนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้พบว่าการตัวหนังสือของเลโอนาร์โดในบริเวณมุมซ้ายบนของภาพมีการเขียนแบบกลับด้าน (ขวาไปซ้าย) ในขณะที่ลายมือด้านหลังของภาพนั้นมีการเขียนแบบปกติ (ซ้ายไปขวา) จริงอยู่ว่าเหตุผลที่เลโอนาร์โดเขียนตัวอักษรกลับด้านนั้นจะยังเป็นเรื่องที่เราไม่อาจฟันธงได้ก็ตาม แต่จากการตรวจสอบภาพด้วยเทคนิคต่างๆ มากมาก เหล่าผู้เชี่ยวชาญก็มั่นใตว่าตัวหนังสือบนภาพนั้นเขียนขึ้นจากคนคนเดียวแน่ๆ   ตัวหนังสือแบบกลับด้าน   ตัวหนังสือแบบปกติ   ความต่างของลายมือที่ออกมาในภาพเป็นหลักฐานอย่างดีว่า เลโอนาร์โดนั้นน่าจะเขียนตัวหนังสือเหล่านี้ด้วยมือที่ต่างกัน…

  • พบโครงกระดูกโบราณในอังกฤษ เชื่ออาจเกี่ยวข้อง “การบูชายัญ” และมีอายุ 3,000 ปี

    พบโครงกระดูกโบราณในอังกฤษ เชื่ออาจเกี่ยวข้อง “การบูชายัญ” และมีอายุ 3,000 ปี

    ในตอนที่ทีมคนงานก่อสร้างวางท่อระบายน้ำในพื้นที่ออกซฟอร์ดเชอร์ มณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ เชื่อว่าพวกเขาคงไม่คาดคิดหรอกว่าจะพบกับหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์โบราณ อยู่ใต้ดินที่พวกเขาขุดแน่ๆ แต่เรื่องราวการค้นพบสุดบังเอิญดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา แถมในบรรดาสิ่งที่คนงานก่อสร้างค้นพบยังเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปในท่าทางแปลกประหลาดอย่างที่ไม่น่าเชื่อ     อ้างอิงจากสื่อต่างประเทศโครงกระดูกของหญิงสาวที่เห็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกมนุษย์ยุคหิน 26 ร่างที่มีการพบในพื้นที่ โดยโครงกระดูกร่างนี้มีลักษณะเด่นอื่นๆ นอกจากท่าทางในเวลาตายซึ่งมีลักษณะกางขาแล้ว ยังมีส่วนเท้าโดนตัดออก และการที่ถูกมัดมือไพล่หลัง   นอกจากหญิงสาวที่เห็นข้างต้นแล้ว นักโบราณคดียังพบโครงกระดูกไม่ทราบเพศอีกร่างหนึ่ง ที่มีการฝังโดยที่ถูกตัดเอาส่วนศีรษะไปวางไว้ที่ปลายเท้า ซึ่งนับว่าเป็นการฝังในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโบราณโดยตรง ในเบื้องต้นนักโบราณคดีคาดกันว่า โครงกระดูกที่พบนั้น ส่วนมากน่าจะเป็นเหยื่อของการบูชายัญในสมัยก่อน     จากคำบอกเล่าของนักโบราณคดี ในพื้นที่เดียวกับที่มีการค้นพบโครงกระดูกพวกเขายังพบกับโบราณวัตถุจำพวกมีด เครื่องปั้นดินเผา หวี และซากสัตว์ (ที่คาดว่าเป็นม้า) ซึ่งถูกใช้งานในสมัยนั้นอีกด้วย โครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกพบนั้น คาดกันว่ามีอายุถึง 3,000 ปี อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณส่วนมากที่ถูกพบจะมาจากช่วงเวลาต่างๆ กันไปในช่วงยุคเหล็กซึ่งกินเวลาตั้งแต่เมื่อ 800 ปีก่อนศริสตกาล ไปจนถึงช่วงคริสตศักราชที่ 300 หรือราว 1,700 ปีก่อน     ดังนั้นเหล่านักโบราณคดีจึงตั้งความหวังเป็นอย่างมากว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะสามารถให้ข้อมูลใหม่ๆ…

  • ย้อนรอย “มหาวิหารนอเทรอดาม” ที่ซึ่งมีความสำคัญต่อฝรั่งเศส มากกว่าแค่โบสถ์ยักษ์เก่าแก่

    ย้อนรอย “มหาวิหารนอเทรอดาม” ที่ซึ่งมีความสำคัญต่อฝรั่งเศส มากกว่าแค่โบสถ์ยักษ์เก่าแก่

    กลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญโด่งดังกันไปทั่วโลก… หลังจากเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่มหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) แห่งกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส     จริงอยู่ว่าสำหรับหลายๆ คนแล้ว เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อ้างจะฟังดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากจนทำให้ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นถึงได้กลายเป็นข่าวที่มีคนติดตามไปทั่วโลกได้ แต่สำหรับคนฝั่งยุโรป โดยเฉพาะคนฝรั่งเศสเอง วิหารแห่งนี้เป็นอะไรที่มากกว่าโบสถ์ยักษ์ที่เก่าแก่มาก เพราะที่แห่งนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส และคงอยู่มาผ่านยุคสมัยอย่างยาวนานกว่า 850 ปี (ซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าสมัยสุโขทัยของประเทศเราอีก)     มหาวิหารนอเทรอดามถูกประกาศสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1163 ที่ใกล้ๆ แม่น้ำแซน บนสถานที่ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นที่ตั้งของวิหารแซ็งเตเตียนอีกทีหนึ่ง ภายใต้ความคิดของบิชอปแห่งปารีส และสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระแม่มารี การก่อสร้างวิหารแห่งนี้กินเวลานานถึง 150 ปี และกลายเป็นมหาวิหารคู่บ้านคู่เมืองของฝรั่งเศสไปอีกนานแสนนาน   ตั้งแต่ที่ถูกสร้างขึ้นมหาวิหารแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่เป็นฉากหลังในเหตุการณ์สำคัญๆ มากมายของฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นการสวมมงกุฎของกษัตริย์ในปี 1431 การทำพิธีขึ้นเป็นจักรพรรดิของนโปเลียน โบนาปาร์ตในปี 1804 หรือแม้แต่การประกาศให้ “ฌาน ดาร์ก” (โจนออฟอาร์ค) พ้นจากข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และขึ้นเป็นนักบุญในปี 1909  …

  • ชม 22 ภาพสุดงดงาม จากการเข้าสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา เมื่อปี 1911-1914

    ชม 22 ภาพสุดงดงาม จากการเข้าสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา เมื่อปี 1911-1914

    ย้อนกลับไปในปี 1911 ทีมนักสำรวจที่นำโดย Dr Douglas Mawson ได้ออกเดินทางไปยัง ทวีปแอนตาร์กติกา เพื่อทำการสำรวจพื้นที่เย็นยะเยือกตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่แอนตาร์กติกาไปจนถึงตอนล่างของออสเตรเลีย สถานที่ซึ่งในเวลานั้น แทบจะไม่มีใครเลยที่เข้าไปสำรวจได้สำเร็จ การสำรวจในครั้งนั้นทำให้พวกเขาถูกรู้จักกันในชื่อ “คณะสำรวจออสเตรเลเชียนแอนตาร์กติก” (Australasian Antarctic Expedition) หรือ “AAE” กลุ่มคนที่ยอมถวายชีวิตของตัวเองเพื่อให้โลกได้รู้จักพื้นที่แอนตาร์กติกา และหลังจากที่พวกเขาอาศัยในพื้นที่หนาวเย็นอยู่เกือบๆ 3 ปี ในที่สุดเรื่องราวของพวกเขาก็ได้เป็นที่รู้จักกันผ่านภาพถ่ายของพวกเขา และภาพหายากที่ออกมานี้เองก็จะเป็นสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้กับ 22 ภาพการสำรวจครั้งแรกของทีม AAE ตั้งแต่ปี 1911-1914 ไปชมกันดีกว่าว่าในช่วงเวลานั้นพวกเขาพบอะไรบ้างในอ่าวหนาวเย็นแห่งแอนตาร์กติกา   เริ่มกันจากภาพของสมาชิกส่วนหนึ่งในทีมสำรวจในครั้งนี้ .   การขนของลงจากเรือที่ Cape Denison พื้นที่ที่ถูกพบโดยทีม AAE เมื่อปี 1912   อีเรคเคร็ซทเพนกวิน หนึ่งในสายพันธุ์นกเพนกวินที่อาศัยในพื้นที่แอนตาร์กติก   การนอนอาบแดด? ของเหล่าแมวน้ำในแอนตาร์กติก   หลุมหลบลมหนาวในพื้นที่ Queen Mary Land หนึ่งในพื้นที่ชายฝั่งที่ถูกพบในปี 1912  …

  • พบฟอสซิลบรรพบุรุษปลิงทะเลในอังกฤษ มีรยางค์รอบตัว จนถูกตั้งชื่อตาม “ตำนานคธูลู”

    พบฟอสซิลบรรพบุรุษปลิงทะเลในอังกฤษ มีรยางค์รอบตัว จนถูกตั้งชื่อตาม “ตำนานคธูลู”

    เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้ออกมาตีพิมพ์การค้นพบฟอสซิลโบราณอายุกว่า 430 ล้านปี ที่ Herefordshire ประเทศอังกฤษ     นี่เป็นฟอสซิลซึ่งเป็นของบรรพบุรุษของปลิงทะเล ที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่รยางค์จำนวนมากรอบตัวจนได้รับชื่อวิทยาศาสตร์สุดแปลกว่า “Sollasina cthulhu” ตามลักษณะที่คล้ายกับตัวละครคธูลูที่ออกมาในงานประพันธ์ของเอช. พี. เลิฟคราฟท์     อ้างอิงจากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีฟอสซิลคธูลูที่พวกเขาพบนี้มีขนาดเพียงแค่ 3 เซนติเมตร ส่วนรยางค์ที่มีมากมายของมันก็ถูกออกแบบมาเพื่อเคลื่อนไหวไปตามพื้นทะเล และจับเหยื่อกินในยามที่มันต้องการ โดยตั้งแต่ที่มีการพบฟอสซิลครั้งแรก นักโบราณคดีก็ได้ใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบพิเศษที่ที่จะทำการถ่ายภาพฟอสซิลในมุมที่ต่างๆ กันกว่าร้อยภาพในการสร้างภาพสามมิติของสัตว์ตัวนี้ในตอนที่มันยังมีชีวิตขึ้น     แน่นอนว่าภาพที่ออกมานั้นไม่เพียงแต่จะเป็นสัตว์ที่หน้าตาเหมือนปีศาจในฝันร้ายของหลายๆ คนเท่านั้น แต่มันยังทำให้นักโบราณคดีสังเกตเห็นว่าสัตว์ชนิดนี้มี “วงแหวนภายใน” ซึ่งทำงานคล้ายระบบท่อน้ำซึ่งให้ในการกินอาหารและเคลื่อนที่ด้วย นี่นับเป็นอะไรที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะการพบระบบนี้เองคือสาเหตุหลักที่เหล่านักโบราณคดีตัดสินใจว่า Sollasina cthulhu น่าจะมีความใกล้เคียงกับสัตว์ตระกูลปลิงทะเล (ที่มีระบบแบบเดียวกัน) มากกว่าที่จะเป็นหอยเม่นตามลักษณะตัวที่เป็นทรงกลมของมัน     นี่นับว่าเป็นการค้นพบครั้งใหม่ที่น่าสนใจครั้งหนึ่งของวงการสัตว์ตระกูลปลิงทะเลเลยก็ว่าได้ และหากมีการศึกษาฟอสซิลที่พบดีๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมกันสัตว์ตระกูลนี้จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองมาอยู่ในสภาพที่คล้ายกับทากอย่างในปัจจุบัน โดยการค้นพบในครั้งนี้ ถูกตีพิมพ์อย่างละเอียดในวารสาร “Proceedings of the Royal…

  • เปิดตำนาน “มังกร” สัตว์ในตำนานสุดโด่งดัง ที่พบได้ในแทบทุกพื้นที่ทั่วโลก

    เปิดตำนาน “มังกร” สัตว์ในตำนานสุดโด่งดัง ที่พบได้ในแทบทุกพื้นที่ทั่วโลก

    เชื่อว่าในปัจจุบันไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหนก็คงจะต้องรู้จักสัตว์ในตำนานที่มีชื่อเสียงสุดโด่งดังอย่าง “มังกร” กันมาบ้างสักครั้ง เพราะมังกรนั้น ไม่เพียงแต่สามารถเห็นได้จากในสื่อต่างๆ มากมาย แต่พวกมันยังปรากฏอยู่ในตำนานของแทบจะทุกประเทศด้วย     แน่นอนว่าด้วยความเก่าแก่ของมังกรเองก็ทำให้เราไม่สามารถบอกได้เลยว่ามังกรนั้นมีจุดเริ่มต้นของตำนานอยู่ที่ไหนกันแน่ อย่างไรก็ตามเรื่องราวของมังกรนั้นมีบันทึกไว้ตั้งแต่ในสมัยของอารยธรรมกรีกและอารยธรรมซูเมอร์ (ราวๆ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล) ทั้งในฐานะของผู้ปกป้อง และผู้ทำลาย สำหรับคนในสมัยก่อนแล้วมังกรไม่เพียงแต่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น แต่สำหรับพวกเขาแล้วสัตว์ชนิดนี้มีตัวตนอยู่จริงๆ ที่ไหนสักแห่ง และกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ถูกพบในเวลานั้น ก็มักจะถูกเหมาว่าเป็นมังกรไปเสียหมด ซึ่งก็คงไม่แปลกนักสำหรับยุคสมัยที่คนยังไม่รู้จักไดโนเสาร์กัน     แม้มังกรอาจจะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้จักก็ตาม ภาพลักษณ์ของมังกรในแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไปกว่าที่เราคิด อย่างทางจีนมังกรจะมีสภาพตัวยาวๆ และเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ในขณะที่ทางยุโรปมังกรมักถูกมองว่ามีลำตัวและขาขนาดใหญ่อีกทั้งยังมักมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีคนอัศวินหรือผู้กล้าต้องไปปราบอยู่เสมอ สำหรับคนไทยแล้วสิ่งที่ใกล้เคียงกับมังกรมากที่สุด (ถ้าไม่นับตัวมังกรเองเลย) ก็คงไม่พ้นพญานาค ซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อของทางอินเดียอีกที (เนื่องจากพญานาคมีการพูดถึงในมหากาพย์มหาภารตะด้วย)   มังกรแบบจีนที่จังหวัดนครสวรรค์   แต่ไม่ว่าจะเป็นในความเชื่อไหน มังกรก็จะมีจุดร่วมอยู่ที่การเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ยากที่จะจัดการหากเป็นศัตรู และมักเป็นบันไดให้เหล่านักรบที่ปราบมันได้แสดงชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของตนให้โลกได้เห็นคล้ายๆ กัน เป็นไปได้ว่าที่มังกรมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในทางยุโรปอาจจะมาจากการแพร่กระจายของศาสนาคริสต์ในช่วงยุคกลางก็เป็นได้ ด้วยความที่ในสมัยนั้นมังกรมักถูกนำไปโยงเกี่ยวว่าเป็นร่างจำลองของซาตาน และเรื่องราวการปราบมังกรของนักบุญจอร์จเองก็เป็นเรื่องที่โด่งดังมากๆ ในสมัยนั้นอีกด้วย     นอกจากนั้นนักวิชาการหลายๆ คนยังเชื่อว่าการที่มังกรพ่นไฟได้เองก็น่าจะมีที่มามาจากช่วงเวลาเดียวกันนี้ด้วย โดยน่าจะเป็นการอ้างอิงจากแนวคิดทางลงนรกในสมัยก่อน ที่มักจะออกแบบมาในรูปแบบของปากขนาดใหญ่ที่มีไฟลุกท่วม ดังนั้นมังกรที่มีความเกี่ยวข้องกับซาตาน (ตามความเชื่อ)…

  • ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “ภาพหลุมดำ” ไขข้อสงสัยหลังภาพดังถูกเปิดเผยออกไป

    ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “ภาพหลุมดำ” ไขข้อสงสัยหลังภาพดังถูกเปิดเผยออกไป

    กลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกไปแล้ว หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางนาซาได้ออกมาเปิดเผยภาพ “หลุมดำ” ของจริงภาพแรกในประวัติศาสตร์ และนำมาซึ่งประเด็นการพูดคุยถกเถียงกันไปทั่วตั้งแต่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ จนถึงคนทั่วๆ ไปในร้านกาแฟ (อ่านข่าวเกี่ยวกับภาพหลุมดำได้ที่ ‘หลุมดำ’ ภาพจริงแรกในประวัติศาสตร์ หลังเป็นเพียงทฤษฎีมานานกว่า 100 ปี!!)     และแน่นอนว่าประเด็นที่มีการพูดคุยกันมากขนาดนี้ย่อมนำมาซึ่งคำถามมากมายเกี่ยวกับภาพหลุมดำในครั้งนี้เป็นแน่ ดังนั้นทางสื่อต่างประเทศจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาพหลุมดำในครั้งนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการอธิบาย และ #เหมียวศรัทธา ก็ได้คัดเอาคำถามที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้วที่นี่   เริ่มกันจากคำถามพื้นฐานอย่าง “หลุมดำคืออะไร?” หลุมดำหมายถึงวัตถุที่ยังไม่ทราบว่าเป็นของแข็งของเหลวหรือก๊าซ ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงสูงมากจนแม้กระทั่งแสงยังถูกดูดเข้าไปด้วย ซึ่งตามปกติจะเกิดขึ้นจากการแตกดับลงของดาวฤกษ์ที่มีมวลมากๆ     “ทำไมเราไม่เคยเห็นภาพหลุมดำมาก่อน?” สาเหตุหลักๆ คือหลุมดำที่มนุษย์เคยค้นพบมานั้นมีขนาดที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่นักเมื่อมองจากโลก อย่างการที่จะมองหลุมดำที่กลางกาแล็กซีทางช้างเผือกซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 4 ล้านเท่าเอง หากเปรียบเทียบกับระยะทางแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพยายามมองแผ่น DVD บนพื้นของดวงจันทร์ แถมตามปกติหลุมดำจะไม่สามารถมองเห็นได้เพราะการดูดแสงของมันอีกด้วย   “ถ้าอย่างนั้นก่อนภาพนี้ออกมาเรารู้ได้อย่างไรว่าหลุมดำมีอยู่จริง” อย่างอิงจากข้อมูลของนาซาการมีอยู่ของหลุมดำถูกคาดการไว้เป็นครั้งแรกโดยทฤษฎีของไอน์สไตน์ ซึ่งแม้จะไม่มีหลักฐานโดยตรง แต่ก็มีหลักฐานอ้อมๆ อยู่หลายอย่าง หลักฐานเหล่านี้ก็อย่างพฤติกรรมหรือสัญญาณที่มาจากวัตถุอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงหลุมดำเอง เช่นเมื่อหลุมดำก็กลืนดาวฤกษ์…

  • นักโบราณคดีพบ มนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ที่ฟิลิปปินส์ คาดสูงเพียง 1.2 เมตรเท่านั้น

    นักโบราณคดีพบ มนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ที่ฟิลิปปินส์ คาดสูงเพียง 1.2 เมตรเท่านั้น

    เมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีที่นำโดยนักบรรพมานุษยวิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งปารีส ได้ออกมาประกาศการค้นพบฟอสซิลมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 50,000 ปีก่อนที่ถ้ำคาลเลา ที่เกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์     มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ได้รับชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Homo luzonensis ตามชื่อเกาะที่ และมีลักษณะเด่นอยู่ที่ส่วนสูงของพวกเขา ซึ่งอยู่ที่เพียง 1.2 เมตรเท่านั้น ทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์มนุษย์แคระที่พวกเราเคยรู้จักมาไป (อีกสายพันธุ์คือ Homo floresiensis ถูกพบในปี 2004 ที่อินโดนีเซีย) แต่แม้ว่า Homo luzonensis จะมีส่วนสูงที่ไม่มากนักก็ตาม พวกเขาก็มีลักษณะอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับมนุษย์โบราณในช่วงเวลาใกล้กัน อย่างการมีกระดูกนิ้วมือและนิ้วเท้าที่โค้งงอ ซึ่งเอื้อต่อการปีนป่าย คล้ายกับที่พบในมนุษย์ Homo habilis และ Homo erectus   กระดูกนิ้วที่โค้งงอของ Homo luzonensis   เท่านั้นยังไม่พอมนุษย์ Homo luzonensis ยังมีฟันกรามขนาดเล็กซึ่งใกล้เคียงกลับมนุษย์ปัจจุบันหรือ Homo sapiens เป็นอย่างมากอีกด้วย…

  • ยานอวกาศ “Beresheet lander” ของอิสราเอลชนเข้ากับดวงจันทร์ในระหว่างการลงจอด

    ยานอวกาศ “Beresheet lander” ของอิสราเอลชนเข้ากับดวงจันทร์ในระหว่างการลงจอด

    หากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 องค์กรทางอวกาศของอิสราเอล ได้ทำการปล่อยยานอวกาศชื่อ “Beresheet lander” ยานอวกาศจากเงินทุนเอกชนลำแรกขึ้นสู่ดวงจันทร์ พร้อมบรรทุก “แคปซูลกาลเวลา” ที่เก็บเอาข้อมูลประวัติศาสตร์ของมนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าเอาไว้ (อ่านเรื่องราวของยานลำนี้ได้ที่ ยานอวกาศอิสราเอล ที่เดินทางไปดวงจันทร์ บรรทุกประวัติศาสตร์มนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าไว้)   ยาน Beresheet lander   จริงอยู่ที่ตั้งแต่การปล่อยออกไปยาน Beresheet lander จะมีปัญหาเรื่องบัคในระบบอยู่บ้าง แต่ตลอดเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาตัวยานก็สามารถเดินทางไปยังดวงจันทร์ได้เป็นอย่างดี และมีกำหนดการที่จะลงจอดบนดวงจันทร์ภายในวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมานี้ แต่แล้วในวันนั้นเองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ต้องพบกับข่าวร้ายกันอีกครั้งเมื่อยาน Beresheet lander ที่ควรจะลงจอดบนดวงจันทร์ได้โดยสวัสดิภาพ กลับพุ่งเข้าชนพื้นพิวของดวงจันทร์ และทำให้ภารกิจในครั้งนี้จบลงด้วยความล้มเหลวไปในก้าวสุดท้ายแบบพอดิบพอดี   หนึ่งในภาพพื้นผิวดวงจันทร์ที่ยาน Beresheet lander ถ่ายไว้ได้   อ้างอิงจากการออกมาเปิดเผยของทาง SpaceIL (องค์กรทางอวกาศของอิสราเอล) ดูเหมือนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในภารกิจครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบเครื่องยนต์หลักของตัวยานเอง ซึ่งเกิดหยุดทำงานไปในระหว่างการลงจอด ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นมากพอที่จะทำให้ชนยานเสียการควบคุมจนชนเข้ากับผิวดวงจันทร์ต่อหน้าประชาชนนับไม่ถ้วนที่เฝ้ามองการลงจอดในครั้งนี้ผ่านการถ่ายทอดสด…

  • งานวิจัยเผย “การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า” ช่วยให้สมองคนแก่ทำงานเหมือนคนหนุ่มได้

    งานวิจัยเผย “การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า” ช่วยให้สมองคนแก่ทำงานเหมือนคนหนุ่มได้

    เชื่อว่าในปัจจุบันหลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่าสมองของมนุษย์นั้น มีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับคลื่นไฟฟ้า ดังนั้นคงจะต้องมีคนเคยคิดกันบ้างว่า คนเรานั้นจะสามารถรักษาการทำงานของสมองที่สูญเสียไปด้วยไฟฟ้าได้หรือไม่ แน่นอนว่าเทคนิคการรักษาสมองด้วยไฟฟ้านั้นในปัจจุบัน ยังคงอยู่ในขั้นตอนการทดลองก็จริงอยู่ แต่หากเราอ้างอิงจากการทดลองของมหาวิทยาลัยบอสตันที่มีการตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแล้ว อย่างน้อยๆ ไฟฟ้าก็สามารถทำให้สมองของคนมีอายุกลับมาทำงานเท่ากับคนหนุ่มได้เลย     การทดลองในทั้งนี้จัดขึ้นโดยมีอาสาสมัครจำนวน 84 คน โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 20-29 ปีในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60-76 ปี และอาสาสมัครทุกคนจะได้รับภารกิจให้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับความจำ อย่างการจับผิดภาพ แน่นอนว่าในการทดลองตามปกติ อาสาสมัครที่เป็นคนสูงอายุจะมีผลงานการจับผิดภาพที่ต่ำกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่เป็นผู้ใหญ่ โดยคนสูงอายุจะทำคะแนนได้อยู่ที่ราวๆ 80% ในขณะที่ผู้ใหญ่จะทำคะแนนได้ที่ราวๆ 90%   เกมจับผิดที่ใช้เป็นรูปแบบที่ให้อาสาสมัครดูภาพทีละภาพและหาความแตกต่าง (ภาพด้านล่างเป็นเพียงภาพตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ภาพที่ใช้ในการทดลองแต่อย่างไร)   อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการกระตุ้นสมองของผู้สูงอายุ ด้วยระบบที่เรียกว่าการกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้าทางอ้อมหรือ “tACS” (transcranial alternating-current stimulation) เป็นเวลา 15 นาทีพวกเขาก็พบว่าอาสาสมัครผู้สูงอายุ สามารถทำคะแนนในการจับผิดภาพได้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับผู้ใหญ่ทั่วไปเลย การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเหล่านี้ อาศัยข้อสังเกตที่ว่าคนหนุ่มจะมีการทำงานของจังหวะคลื่นสมองบางส่วนที่สูงกว่าคนสูงอายุ ดังนั้นเราจึงสามารถให้ไฟฟ้ากระตุ้นคลื่นสมองที่ว่านี้ในคนสูงอายุเพื่อช่วยให้สมองของพวกเขามีการทำงานที่ดีขึ้นได้     อ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมการทดลอง การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะคงอยู่ราวๆ 50…

  • 23 ภาพ “โจนส์ทาวน์” ก่อนเกิดเหตุสังหารหมู่ อีกด้านของประวัติศาสตร์ที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    23 ภาพ “โจนส์ทาวน์” ก่อนเกิดเหตุสังหารหมู่ อีกด้านของประวัติศาสตร์ที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    เมื่อพูดถึง “โจนส์ทาวน์” เชื่อว่าด้วยชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้หลายๆ คนนึกถึงเหตุการณ์การสังหารและฆ่าตัวตายหมู่อย่าง “Jonestown Massacre” ของลัทธิ “Peoples Temple” ลัทธิที่ก่อตั้งขึ้นมาในยุค 50 กันขึ้นมาเป็นสิ่งแรก (อ่านเรื่องราวเต็มๆ ของ Jonestown Massacre ได้ที่ รู้จัก “จิม โจนส์” เจ้าลัทธิสุดสยอง ผู้เคยหลอกให้คน 900 คนฆ่าตัวตายพร้อมๆ กัน!!) วันนี้ #เหมียวศรัทธา มีภาพหายากของโจนส์ทาวน์ในช่วงเวลาที่การสังหารและฆ่าตัวตายหมู่ยังไม่เกิดขึ้นกันมาฝาก ไปชมกันดีกว่าอีกมุมหนึ่งของเมืองเล็กๆ ที่ติดภาพลักษณ์ของความตายแห่งนี้ก่อนเกิดเรื่องมันเคยเป็นที่แบบไหนมาก่อน   เริ่มกันจากภาพของคนงานและเด็กๆ ที่เล่นด้วยกันในเมือง เมื่อปี 1978 (ปีเดียวกับที่เกิดเหตุ)   เด็กๆ ที่เล่นกันแบบไม่แบ่งแยกสีผิว . .   โครงบ้านที่อยู่ในระหว่างการสร้าง   ผู้ใหญ่และเด็กๆ กับการพบปะกันที่นอกเมืองเล็กน้อย   การเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร   เด็กสองคนในเครื่องเล่นที่ทำขึ้นโดยคนในเมือง   แม่ลูกกับช่วงเวลาอ่านหนังสือ   หนึ่งในหนุ่มน้อยไม่ทราบนามในเมือง…

  • นักโบราณคดีพบเมืองเก่าแก่ในอิรัก เชื่ออายุมากกว่า 4,000 ปี และถูกทิ้งร้างจากเหตุไฟไหม้

    นักโบราณคดีพบเมืองเก่าแก่ในอิรัก เชื่ออายุมากกว่า 4,000 ปี และถูกทิ้งร้างจากเหตุไฟไหม้

    เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้ทำการรายงานข่าวการค้นพบซากเมืองโบราณในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน พื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศอิรัก     นี่เป็นการค้นพบของทีมนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซึ่งพยายามทำการขุดพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ต้องพบกับความยากลำบากเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งเกี่ยวกับนายซัดดัม ฮุสเซน และการก่อการร้ายในเวลาต่อมาของกลุ่ม ISIS ทำให้การสำรวจเพิ่งจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาเท่านั้น อ้างอิงจากทีมนักโบราณคดี พื้นที่ที่พวกเขาพบเมืองโบราณนั้นถูกเรียกกันว่า “Kunara” ซึ่งในอดีตตั้งอยู่ที่ชายแดนทางตะวันตกของอาณาเขตที่มีการแพร่หลายของอารยธรรมเมโสโปเตเมียพอดี และน่าจะเป็นใจกลางของอาณาจักรของเหล่าชาวเขาชื่อ Lullubi   หนึ่งในซากสิ่งก่อสร้างที่มีการค้นพบ นักโบราณคดีบอกว่าอาคารนี้น่าจะทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรม   โดยจากการตรวจสอบอายุของฐานสิ่งก่อสร้างในเมืองที่พบ นักโบราณคดีก็คาดกันว่าเมืองแห่งนี้น่าจะเคยมีคนอาศัยอยู่ในเมื่อราวๆ 4,200 ปีก่อน และน่าจะถูกทิ้งร้างหลังเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อราวๆ 4,000 ปีก่อน และในพื้นที่เมืองนั้นเอง นักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบแผ่นจารึกที่ทำจากดินเหนียวนับสิบชิ้น ซึ่งมีการสลักข้อความไว้ในรูปแบบอักษรรูปลิ่มอันเป็นระบบการเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และคาดกันว่ามีใจความเกี่ยวข้องกับวิธีการขนแป้ง     การพบอักษรรูปลิ่มนี้ ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่าประชาชนที่เคยอาศัยในเมืองนี้น่าจะมีความรู้เรื่องภาษาพอสมควร และเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะสามารถให้ภาษาได้ทั้งของ อัคคาเดียน ซูเมเรียน และภาษาในกลุ่มเมโสโปเตเมีย นอกจากแผ่นจารึกแล้ว นักโบราณคดียังได้ทำการค้นพบหัวลูกธนูที่ทำจากหินออบซิเดียน และแจกันที่มีลวดลายของงูและแมงป่องอีกด้วย อย่างไรก็ตามในบรรดาสิ่งที่พวกเขาพบนั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่จะสามารถบอกพวกเขาได้ว่าเมื่อก่อนเมืองแห่งนี้เคยมีชื่อว่าอะไร   .   นั่นทำให้ในปัจจุบันทีมนักวิทยาศาสตร์ได้วางแผนที่จะกลับมาทำการขุดค้นหลักฐานของเมืองที่พบในพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง โดยหากกำหนดการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…

  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนภัยเชื้อราดื้อยาอีกครั้ง หลังระบาดหนักในสหรัฐฯ และหลายพื้นที่ทั่วโลก

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนภัยเชื้อราดื้อยาอีกครั้ง หลังระบาดหนักในสหรัฐฯ และหลายพื้นที่ทั่วโลก

    ในช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ได้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับแบคทีเรียดื้อยาที่มีชื่อเรียกว่า Superbugs หลังจากที่หนังสือพิมพ์ New York Times ได้ออกมารายงานการแพร่กระจายอย่างน่าตกใจหายในสหรัฐฯ ของมัน และความเป็นไปได้ที่ว่าโรงพยาบาลหลายแห่งปกปิดข่าวเกี่ยวกับแบคทีเรียตัวนี้     โดยเจ้านี้มาจากเชื้อราที่สายพันธุ์ชื่อ Candida auris ซึ่งตามปกติแล้วจะอาศัยอยู่บนผิวหนังและเยื่อเมือกโดยไม่มีอันตรายใดๆ เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันก็ได้กระจายไปทั่วพื้นที่สำคัญๆ ของโลกอย่างอังกฤษ สเปน อินเดีย เวเนซุเอลา และสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื้อรา Candida auris นั้นมีการค้นพบครั้งแรกในปี 2009 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในผู้ป่วยอาการหูอักเสบคนหนึ่ง แม้ว่าเราจะมีตัวอย่างทางการแพทย์ที่ชี้ว่าเชื้อราตัวนี้อาจเคยถูกพบในปี 1996 ที่เกาหลีใต้ก็ตาม    Candida auris บนจานเพาะเชื้อ   จริงอยู่ว่าตามปกติเชื้อรา Candida auris จะไม่มีอันตรายมากนักก็ตาม แต่หากเชื้อราตัวนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางแผล หรือการผ่าตัดของผู้มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อรา Candida auris ก็อาจจะมีการแพร่เชื้อในกระแสเลือดทำให้อวัยวะภายในร่างกายล้มเหลวได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากลัวของเชื้อราเหล่านี้คือความสามารถในการต้านทานยาและการแพร่กระจายของมันต่างหาก เพราะไม่เพียงแต่เชื้อราในสายพันธุ์ทุกตัวจะมีความสามารถในการต้านทานยาต้านเชื้อราอย่างน้อยหนึ่งตัวเท่านั้น…

  • พบปล่องน้ำร้อนแห่งใหม่ใต้ทะเลกอร์เตส พร้อม “หอคอยแร่” ที่สวยราวหลุดมาจากเทพนิยาย

    พบปล่องน้ำร้อนแห่งใหม่ใต้ทะเลกอร์เตส พร้อม “หอคอยแร่” ที่สวยราวหลุดมาจากเทพนิยาย

    ลึกลงไปในอ่าวกาลิฟอร์เนีย (หรือทะเลกอร์เตส) ราวๆ 1,200 เมตรในระหว่างที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาปล่องน้ำร้อนใต้ทะเล (Hydrothermal vent) และสภาพแวดล้อมที่เรียกกันว่า Cold Seeps พวกเขาก็ได้พบกับพื้นที่ปล่องน้ำร้อนใต้ทะเลแห่งใหม่ ที่มีความงดงามราวกับหลุดมาจากในเทพนิยาย ในพื้นที่นั้นนักวิทยาศาสตร์ได้พบกับ “หอคอย” ที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุ ที่มีความสูงถึง 23 เมตร และมีจุดเด่นอยู่ที่รูปร่างที่คล้ายจานแบนๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งมีลักษณะพื้นผิวคล้ายกระจก ที่หากมองจากด้านล่างแล้วจะทำให้เรารู้สึกราวกับว่ากำลังมองอะไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกเลย     แถมที่น่าสนใจคือ พื้นที่ที่มีการค้นพบภูเขาแร่อันนี้นั้น จริงๆ แล้วเคยมีการสำรวจมาก่อนแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน แถมในเวลานั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบร่องรอยใดๆ เลยที่จะนำมาสู่หอคอยแร่ที่มีความสูงขนาดนี้ได้ ดังนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์จึงให้ความเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาสักช่วงหนึ่งในระหว่างปี 2008-2019 ปล่องน้ำร้อนใต้ทะเลน่าจะมีปริมาณการปล่อยความร้อนออกมาที่มากขึ้น จนทำให้พื้นที่รอบๆ กลายเป็นหอคอยแร่แบบนี้ได้ในเวลาสั้นๆ นี่นับเป็นการค้นพบที่สำคัญมากๆ ครั้งหนึ่งสำหรับทีมนักวิทยาศาสตร์ชุดนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหอคอยแร่ที่พวกเขาพบนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอะไรที่มีความงดงามมากเท่านั้น แต่มันถือว่าเป็นระบบนิเวศ หายากที่จะดึงดูดสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่เราอาจไม่เคยพบมาก่อนให้มาอาศัยอยู่ด้วย   .   อย่างในเบื้องต้นเองทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับสิ่งมีชีวิตที่หาชมได้ยากอย่างจุลินทรีย์ สเกลเวิร์ม และหนอนท่อยักษ์ (giant tube worm) อาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วยสารเคมีจากปล่องน้ำร้อนมาแล้วด้วย แถมสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังมีสีสันที่งดงามมากไม่แพ้หอคอยแร่เอง แต่แม้ว่าที่แห่งนี้จะงดงามมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังคงมีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์รู้สึกเสียดายอยู่ดี เพราะภายในระบบนิเวศที่ราวกับหลุดมาจากความฝันนี้…

  • “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV

    “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV

    เมื่ออาทิตย์วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ที่เมืองคาวาซากิ จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการจัดงานประจำปีอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้น ด้วยการแห่ “ลึงค์” ขนาดยักษ์ ภายในเทศกาลที่รู้จักกันในชื่อ “คานามาระ มัตสุริ” หรือ “เทศกาลลึงค์เหล็ก”     นี่เป็นงานเทศกาลสุดแปลกที่จัดขึ้นทุกๆ วันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน และมีจุดเด่นอยู่ที่ธีมของงานทั้งหมดล้วนแต่จะมีรูปร่างที่เกี่ยวข้องกับลึงค์ หรืออวัยวะเพศชายทั้งนั้น นั่นทำให้งานเทศกาลที่นี่ กลายเป็นหนึ่งในงานเทศกาลเพียงไม่กี่แห่งบนโลก ที่เราจะมีโอกาสได้เห็นสินค้าในร้านค้าแผงลอยอย่าง ขนม เสื้อ หน้ากาก เทียน หมวก หรือแม้กระทั่งขวดน้ำ ถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างเหมือนกับอวัยวะเพศชาย และเหล่าผู้คนสามารถซื้อขายมันได้ในที่สาธารณะอย่างที่ไม่ต้องอายใคร     คานามาระ มัตสุริ เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานความเชื่อที่หลากหลายของคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อทางศาสนา ตำนานพื้นบ้าน และประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมาในพื้นที่ ในด้านตำนานพื้นบ้าน ศาลเจ้าของเมืองคานามาระ เคยมีตำนานว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งถูกปีศาจสิงในอวัยวะเพศ ทำให้ใครก็ตามที่คิดจะมีเพศสัมพันธ์กับเธอจะต้องโดนกัดอวัยวะเพศจนขาด ดังนั้นหญิงสาวจึงไปขอความช่วยเหลือจากช่างตีเหล็ก และได้รับลึงค์เหล็กมา ซึ่งเธอได้ใช้ในการล่อให้ปีศาจกัดใส่จนฟันหัก และจำเป็นต้องปล่อยให้หญิงสาวเป็นอิสระในที่สุด     ส่วนสำหรับบันทึกด้านประวัติศาสตร์ ในสมัยเอโดะ (1603-1867)…

  • พบซากเรือโบราณที่เนเธอร์แลนด์ คาดเป็นรอยต่อที่หายไปของการต่อเรือในศตวรรษที่ 16

    พบซากเรือโบราณที่เนเธอร์แลนด์ คาดเป็นรอยต่อที่หายไปของการต่อเรือในศตวรรษที่ 16

    ย้อนกลับไปในปี 1540 ตระกูล Fugger ตระกูลเจ้าของธนาคารที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16 ได้ทำการล่องเรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งออกไปยังทะเลเหนือ แต่โชคร้ายที่เรือลำดังกล่าวไม่ได้กลับมาหาพวกเขาอีกต่อไป นั่นเพราะเกือบๆ 500 ปีต่อมาในระหว่างที่หน่วยสำรวจทางทะเลของประเทศเนเธอร์แลนด์กำลังออกตามหาคอนเทนเนอร์ที่ตกจากเรือสินค้าเพราะพายุในช่วงต้นเดือนมกราคม พวกเขาก็ได้พบกับซากเรือโบราณของตระกูล Fugger จมอยู่ใต้ทะเลพร้อมแผ่นทองแดงจำนวนมาก ที่คาดว่าถูกขนมาเป็นสินค้าในสมัยนั้น     การค้นพบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เหล่านักโบราณคดีของชาวดัตช์รู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่านี่จะดูเหมือนข่าวการค้นพบซากเรือโบราณธรรมดาๆ ก็ตาม แต่เรือลำนี้นั้นเป็นเรือที่จมลงไปก่อนสมัยที่เนเธอร์แลนด์จะเข้าสู่ยุคทอง (ซึ่งมีการพบซากเรือบ่อยๆ) ถึง 100 ปี ดังนั้นเรือลำนี้จึงอาจจะเป็น “รอยต่อที่ขาดหายไป” ของรูปแบบการสร้างเรือในประเทศเลย แถมหากไม่มีอะไรผิดพลาด เรือลำนี้อาจจะเป็นซากเรือล่องมหาสมุทรที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาในเนเธอร์แลนด์เลยด้วย   ตราของตระกูล Fugger ถูกพบบนแผ่นทองแดงจากซากเรือใต้มหาสมุทร   นักโบราณคดีได้ข้อสรุปนี้มาจากการตรวจสอบแผ่นไม้ 12 ชิ้นที่ถูกเก็บกู้ขึ้นมาพร้อมๆ กับแผ่นทองแดงและพบว่าไม้เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเรือมาก่อน แถมยังมีร่องรอยการต่อเรือที่เป็นการผสมผสานของแบบสมัยกลางและแบบศตวรรษที่ 16-17 ในเบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าซากเรือที่ในปัจจุบันยังคงนอนอยู่ที่ก้นทะเลนั้นน่าจะเป็นเรือที่มีขนาดราวๆ 30×7 เมตร และอาจบรรทุกแผ่นทองแดงได้มากถึง 5 ตัน ซึ่งน่าจะมีเป้าหมายที่จะนำไปขายในประเทศอย่างเบลเยียม   หนึ่งในไม้ที่ถูกเก็บกู้ขึ้นมา   และแน่นอนว่าเรือที่มีความสำคัญมากๆ เช่นนี้ย่อมที่จะต้องมีการทำการสำรวจกันต่อไปในอนาคต ซึ่งทีมนักประดาน้ำก็ได้วางกำหนดการกันไว้ว่า พวกเขาน่าจะสามารถกลับมาตรวจสอบซากเรือที่พบอย่างละเอียดได้อีกครั้งภาคในฤดูร้อนปีนี้…

  • ชม 20 ภาพสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1963 ที่ถ่ายไว้โดยหนึ่งในแผ่นพิมพ์ที่มีสีสวยที่สุดในโลก

    ชม 20 ภาพสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1963 ที่ถ่ายไว้โดยหนึ่งในแผ่นพิมพ์ที่มีสีสวยที่สุดในโลก

    ในตอนที่คุณ Kevin Danks นักสะสมภาพเก่าชาวอังกฤษตามหาภาพเก่าใน eBay เขาก็ได้พบกับแผ่นพิมพ์ Kodachrome หนึ่งในแผ่นพิมพ์ที่มีชื่อเสียงว่าให้สีสวยที่สุดในโลกเข้า ในเวลานั้นเขาได้ตัดสินใจซื้อแผ่นพิมพ์ดังกล่าวและพบว่ามันเป็นภาพถ่ายฝีมือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ สวิตเซอร์แลนด์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1963 แถมยังเป็นภาพถ่ายที่งดงามเป็นอย่างมาก จนคุณ Kevin รู้สึกเสียดายที่คนในครอบครัวของสามีภรรยาคู่นี้ตัดสินใจขายมันออกไปเลย ดังนั้นเพื่อที่จะให้ภาพอันงดงามเหล่านี้ถูกจดจำโดยใครบางคนต่อไป คุณ Kevin จึงได้นำภาพจากพิมพ์เหล่านั้น อัปโหลดลงในโลกออนไลน์เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าชมความงาม และ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำภาพส่วนหนึ่งจากอัลบั้มของเขา มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากจุดพักดื่มชาใน Gruyere หมู่บ้านโบราณ เมื่อปี 1963 .   ร้านกาแฟใน Gstied   หมู่บ้าน Gunten ที่ถ่ายจากเรือในทะเลสาบ   โรงแรม De La Truite ใน Reuchenette .   Interlaken และ Jungfrau เมื่อถ่ายจากบนเรือ   Interlaken…

  • พบฟอสซิลจำนวนมากที่เฮลล์ครีก เชื่อใช้อธิบายการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 66 ล้านปีก่อนได้

    พบฟอสซิลจำนวนมากที่เฮลล์ครีก เชื่อใช้อธิบายการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 66 ล้านปีก่อนได้

    นับตั้งแต่เมื่อปี 2013 ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาแอตแลนติก ได้เข้าทำการขุดค้นเฮลล์ครีกฟอร์เมชัน แหล่งโบราณคดีในรัฐนอร์ธดาโกตา สหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายในการเรียนรู้เหตุการณ์อุกกาบาตที่เคยตกมายังโลกจนทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 66 ล้านปีก่อน     และแล้วหลังจากที่ทำงานมาได้กว่า 6 ปีในที่สุดเหล่านักโบราณคดีก็ได้พบกับหลักฐานสำคัญที่จะช่วยอธิบายช่วงเวลาที่อุกกาบาตถล่มโลกเมื่อ 66 ล้านปีได้ เมื่อทีมสำรวจได้พบกับฟอสซิลสัตว์ดึกดำบรรพ์จำนวนมาก ทั้งที่เป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ ต้นไม้ หรือแม้แต่แมลง กองทับกันอยู่ในชั้นดินที่ทับถมกันเป็นเวลานาน   ซากต้นไม้ที่มีการขุดพบ   โดยคุณ Robert DePalma หนึ่งในทีมนักโบราณคดีได้เล่าว่าจุดที่พวกเขาพบฟอสซิลอยู่ห่างไปจากจุดที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกราวๆ 3,000 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามแรงปะทะในวันนั้นก็ส่งผลกระทบที่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปหลายล้านไปอยู่ดี อ้างอิงจากทีมนักโบราณคดี ในวันที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกได้เกิดแผ่นดินไหวแมกนิจูด 10-11 ขึ้นจากแรงกระแทก และส่งผลให้หลายพื้นที่ในโลกต้องพบกับเหตุ “อุลกมณี” แก้วสีดำทึบ อันเกิดจากทรายหลอมละลายจากความร้อนของอุกกาบาตตกลงจากท้องฟ้าด้วยความเร็วราว 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง   อุลกมณี (Tektites) บางส่วนที่ถูกพบในตัวปลา   อุลกมณีที่ตกมาในวันนั้นมีความร้อนสูงมากทำให้พืชและสัตว์บริเวณนั้นตายในทันที ส่วนปลาที่อยู่ในน้ำเองหลายส่วนก็ต้องตายไปเพราะอุลกมณีเข้าไปติดในเหงือก   ปลาบางส่วนที่ถูกพบ   แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเพียงเรื่องเดียวที่สิ่งมีชีวิตในสมัยนั้นต้องพบ เพราะการที่สัตว์น้ำและสัตว์บกตายอยู่ในที่เดียวกันนั้นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าในอดีตได้เกิดเหตุคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ที่มีความสูงอย่างน้อยๆ 9-10…

  • พบฟอสซิลวาฬสี่ขา อายุ 42.6 ล้านปีในเปรู เชื่อช่วยอธิบายการวิวัฒนาการของวาฬและโลมา

    พบฟอสซิลวาฬสี่ขา อายุ 42.6 ล้านปีในเปรู เชื่อช่วยอธิบายการวิวัฒนาการของวาฬและโลมา

    เมื่อพูดถึงสัตว์ในอันดับทางวิทยาศาสตร์ซิเทเซีย (Cetacea) หรือที่รู้จักกันในฐานะ “สัตว์จำพวกวาฬหรือโลมา” เชื่อว่าคงจะมีหลายคนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่าสัตว์ในตระกูลเหล่านี้เป็นปลา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเพราะหากดูแค่รูปร่างและการที่มันอาศัยในน้ำแล้ว การจะบอกว่าวาฬและโลมามีความคล้ายกับปลาก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนัก ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าหากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนแล้ว วาฬและโลมานั้นไม่เพียงแต่มีรูปร่างที่ต่างไปจากปลาทั่วๆ ไปที่เราเคยเห็นมาก แต่พวกมันมีขาถึงสี่ข้างเลยด้วย     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาทีมนักโบราณคดีในประเทศเปรู ได้ออกมารายงานการค้นพบฟอสซิลวาฬโบราณอายุกว่า 42.6 ล้านปีในพื้นที่ชายหาดชื่อ Playa Media Luna ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเปรู     โดยเจ้าฟอสซิลวาฬที่พบนี้มีขนาดตัวอยู่ที่ราวๆ 4 เมตร มีลักษณะเด่นอยู่ที่จมูกยาว มีกรามและเขี้ยวขนาดใหญ่ มีขาทั้ง 4 ข้างที่มีลักษณะเป็นกีบเล็กๆ ซึ่งออกแบบมาสำหรับเดินบนบก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีลักษณะร่างกายอื่นๆ อย่างหางและพังผืดคล้ายตัวนาก ซึ่งทำให้มันน่าจะว่ายน้ำได้เป็นอย่างดีเช่นกัน     ในเบื้องต้นนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อให้กับวาฬที่พบนี้ว่า Peregocetus pacificus และให้ความสนใจในตัวของมันมาก เพราะนี่นับว่าเป็นการค้นพบหลักฐานของวาฬสี่ขาเป็นครั้งแรกของประเทศทางทวีปอเมริกา     นอกจากนี้ การค้นพบในครั้งนี้ยัง คาดกันว่าจะช่วยไขปริศนาที่เราไม่เคยทราบมาก่อนของบรรพบุรุษวาฬและโลมาได้เป็นอย่างดี เพราะที่ผ่านๆ มาข้อมูลการวิวัฒนาการของวาฬโบราณ จะมีเพียงแค่พวกมันกำเนิดขึ้นในเอเชียเมื่อกว่า…

  • ชมหน้ากากของ “Alexander Peden” อุปกรณ์สุดน่ากลัว ที่ปกป้องเจ้านายมาอย่างยาวนาน

    ชมหน้ากากของ “Alexander Peden” อุปกรณ์สุดน่ากลัว ที่ปกป้องเจ้านายมาอย่างยาวนาน

    ตั้งแต่ในสมัยก่อน โลกของเรานั้นมักจะมีเครื่องมือที่มีหน้าตาแปลกๆ ราวกับหลุดมาจากในหนังสยองขวัญปรากฏออกมาให้เห็นกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหมวกนักรบที่ออกแบบมาเพื่อข่มขวัญศัตรูในสงคราม หรือเครื่องทรมานที่ออกแบบมาไม่ให้คนทำผิดหรือท้าทายอำนาจของผู้ปกครองเมือง ถึงอย่างนั้นก็ตามในโลกใบนี้ก็ยังมีอุปกรณ์บางส่วนที่แม้จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อข่มขวัญศัตรู แต่ก็น่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่ออยู่เหมือนกัน และหนึ่งในอุปกรณ์ที่กล่าวมานั้น ก็คือหน้ากากของ ผู้เผยแผ่ศาสนาแห่งศตวรรษที่ 17 นั่นเอง     โดยนี่คือหน้ากากที่ถูกจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ซึ่งมีจุดเด่นที่รูปร่างอันน่าหวาดกลัว มีส่วนใบหน้าทำจากหนังสัตว์ และหนวดกับเส้นผมของที่ว่ากันว่าทำจากของมนุษย์จริงๆ หน้ากากชิ้นนี้มีร่องรอยว่าในอดีตน่าจะมีการประดับด้วยขนนกมาก่อนและที่สำคัญคือมันเคยมีฟันปลอมติดอยู่ที่บริเวณปากด้วย!?   .   แต่แม้ว่าหน้ากากชิ้นนี้จะดูเป็นอะไรที่น่ากลัวมากก็ตาม วัตถุประสงค์ของมันกลับไม่ใช่การข่มขวัญศัตรูแต่อย่างไร กลับกันมันยังทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องปลอมตัวของ Alexander Peden ที่เขาใช้ในการออกเผยแผ่ศาสนาก็เท่านั้นด้วย Alexander Peden เป็นชายที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1626-1686 และมีชื่อเสียงในสกอตแลนด์ในฐานะหนึ่งในผู้นำของ “Covenanter” ชาวคริสเตียนในคณะเพรสไบทีเรียน ซึ่งในสมัยนั้นตั้งตนเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้ที่ปกครองสกอตแลนด์ในสมัยนั้น ภายใต้ความขัดแย้งด้านศาสนา   ภาพวาดที่เชื่อกันว่าเป็นใบหน้าจริงๆ ของ Alexander Peden   ตำแหน่งของเขานี้เองทำให้ Peden จำเป็นต้องอยู่แบบลับๆ ซ่อนๆ ดังนั้นเพื่อที่จะหลบซ่อนจากทหารของฝั่งกษัตริย์ที่ Peden จึงเลือกที่จะใส่หน้ากากนี้ทุกครั้งที่ตัวเองออกเผยแผ่ศาสนา และหาแนวรวมให้กับคณะเพรสไบทีเรียน น่าเสียดายที่หน้ากากอย่างเดียวไม่สามารถปกป้องชายคนนี้ได้ตลอดไป…

  • ย้อนรอยเรื่องราวของ “ทองคำ” โลหะทรงคุณค่า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ

    ย้อนรอยเรื่องราวของ “ทองคำ” โลหะทรงคุณค่า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ

    ตั้งแต่หลายพันปีก่อน “ทองคำ” ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องหมายแห่งความมั่งคั่งที่มนุษย์พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง มันเป็นโลหะมีค่าที่ไม่เพียงแต่มีมูลค่าสูง แต่ยังมีบทบาทพิเศษที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนานตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมอีกด้วย     ในทางวิชาเคมี ทองคำ คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ “Au” ซึ่งมาจากคำว่า Aurum ซึ่งแปลว่า “สีเหลือง” ในภาษาละติน และเป็นหนึ่งในธาตุ 12 ชนิดบนตารางธาตุที่ไม่สามารถระบุชื่อคนที่คนพบได้ การที่เราไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ค้นพบทองคำเป็นคนแรกนั้น คงจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่เรามีเกี่ยวกับการใช้งานทองคำของมนุษย์ ก็มีการระบุไว้ว่าพวกเรามีการใช้โลหะมีค่าเหล่านี้มาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์ เมื่อราวๆ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาลเลย     แน่นอนว่าด้วยความมันวาวและไม่เป็นสนิมของมัน ทำให้ทองถูกใช้งานในฐานะเครื่องประดับเป็นหลักมาตั้งแต่ในสมัยก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทองคำจะไม่สามารถนำไปใช้งานในด้านอื่นๆ เลยเหมือนกัน นั่นเพราะตั้งแต่ในอดีตมา คนเรามีการนำทองคำไปประยุกต์ใช้กันอย่างหลากหลายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีอย่างการนำไปผลิตเป็นเหรียญ ไปจนถึงเรื่องแปลกๆ อย่างการใช้เป็นยา หรือแม้แต่ใช้ในการผลิตนาโนเทคโนโลยี   ภาพจำลองสามมิติของอนุภาคนาโนของทอง   แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ทองก็สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้โดยอาศัยโมเลกุลภายในที่มีลักษณะการเรียงตัวที่เป็นเอกลักษณ์ และพบได้ทั้งในยาที่อาศัยการฉีดเข้าร่างกายอย่าง Myocrisin, Solganol และ Allocrysin หรือยาสำหรับรับทานอย่าง Auranofin ส่วนในทางนาโนเทคโนโลยี เราจะสามารถเห็นการใช้ทองคำมาตั้งแต่ในสมัยโรมันโบราณ…

  • ทางการอียิปต์ประกาศ พบสุสานแห่งใหม่ในซูฮัก พร้อมมัมมี่แมว หนู และเหยี่ยวรวมกว่า 50ตัว

    ทางการอียิปต์ประกาศ พบสุสานแห่งใหม่ในซูฮัก พร้อมมัมมี่แมว หนู และเหยี่ยวรวมกว่า 50ตัว

    เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เลขาธิการสภาโบราณวัตถุสูงสุดแห่งประเทศอียิปต์ คุณ Mostafa Waziri ได้ออกมาทำการเปิดเผยรายละเอียดการค้นพบสุสานแห่งใหม่ในเขตซูฮัก พื้นที่ทางตอนใต้ของกรุงไคโร     สุสานที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่าสร้างขึ้นเพื่อชาวอียิปต์ชื่อ “ทูทู” หรือ “ตูตู” และภรรยา ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคราชวงศ์ทอเลมีตอนต้น ซึ่งจบลงด้วยการถูกยึดครองโดยชาวโรมันเมื่อช่วง 30 ปีก่อนคริสตกาล คุณ Mostafa เล่าว่าสุสานแห่งนี้มีร่องรอยว่าเคยถูกบุกรุกมาก่อนในอดีต แต่โชคดีที่คนร้ายไม่ได้ทำลายภาพวาดบนผนังไป ดังนั้นสุสานแห่งนี้จึงยังคงอยู่ในสภาพที่งดงามและมีสีสัน ซึ่งประกอบไปด้วยห้องขนาดใหญ่ตรงกลางและห้องฝังศพที่มี โลงศพหินอยู่สองอัน     โดยในที่แห่งนี้นักโบราณคดีได้พบกับมัมมี่ของมนุษย์อยู่สองร่าง โดยร่างหนึ่งเป็นของผู้หญิงอายุราวๆ 35-50 ปี ในขณะที่อีกร่างเป็นของเด็กอายุราวๆ 12-14 ปี     อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้นักโบราณคดีแปลกใจ คือพวกเขาพบมัมมี่ของสัตว์จำนวนมากถูกเก็บเอาไว้ในสุสานแห่งนี้ด้วยต่างหาก โดยมัมมี่ของสัตว์ที่พบประกอบไปด้วย มัมมี่ของหนู แมว และเหยี่ยว ซึ่งมีจำนวนรวมๆ แล้วมากถึง 50 ตัว     แน่นอนว่าการพบมัมมี่ของแมวในอียิปต์นั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกเท่าไหร่…

  • NASA จับมือ MIT พัฒนาปีกเครื่องบินแบบใหม่ ปรับรูปร่างระหว่างบินได้ และเบากว่าเดิมมาก

    NASA จับมือ MIT พัฒนาปีกเครื่องบินแบบใหม่ ปรับรูปร่างระหว่างบินได้ และเบากว่าเดิมมาก

    ตั้งแต่ที่สองพี่น้องวิลเบอร์ และออร์วิล ไรท์คิดค้นเครื่องบินมาจนบินได้จริงในปี 1903 มนุษย์เราก็ได้ทำการพัฒนาระบบการบินเรื่อยมาจนถึงในปัจจุบัน ทำให้เมื่อเรารองเปรียบเทียบกันแล้วเครื่องบินในปัจจุบันจึงมีลักษณะที่ต่างไปจากในสมัยก่อนมากเลยทีเดียว     แต่เมื่อล่าสุดนี้เองระบบการบินของโลกของเราก็อาจจะพัฒนาไปอีกขั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อองค์กรการบินและอวกาศของสหรัฐฯ หรือ “นาซา” ได้ทำการจับมือกับทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) เพื่อพัฒนาปีกเครื่องบินรูปแบบใหม่ ที่จะนำมาซึ่งเครื่องบินที่เบาขึ้น และบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเจ้าปีกเครื่องบินรูปแบบใหม่นี้จะอาศัยโครงสร้างรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมเรขาคณิตซึ่งทำขึ้นจากพลาสติก “พอลิเอทิลีน” เรียงทับซ้อนกันเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งจะนำมาซึ่งโครงสร้างที่เบากว่าปีกเครื่องบินที่ทำจากโลหะมาก โดยที่ไม่ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อการบิน     กลับกัน Benjamin Jenett หนึ่งในทีมผู้พัฒนายังระบุว่า ปีกเครื่องบินแบบใหม่นี้จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าแบบเดิมอีกด้วย เพราะโครงสร้างเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเบากว่าปีเครื่องบินแบบเดิมเท่านั้นแต่มันยังมีความยืดหยุ่นมากกว่าปีกเครื่องบินทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดด้วย ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะรูปทรงของโครงสร้างปีแบบใหม่นี้ ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างปีกที่สามารถ “เปลี่ยนรูปร่าง” ตามการบังคับโดยตรงได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการปรับแฟลปของเครื่องบิน หรือการขยับปีกเล็กแก้เอียง (Ailerons) อย่างที่เคยเป็นมา   ตัวอย่างการทำงานของปีกรูปแบบใหม่จากช่อง NASA’s Ames Research Center อันนี้เป็นปีกต้นแบบที่ทำขึ้นในปี 2016    โดยในปัจจุบันทาง MIT และนาซาได้ทำการทดลองปีแบบใหม่นี้ในอุโมงค์ลมที่ศูนย์วิจัยแลงก์ลีย์ ในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่พวกเขาผลว่าการทำงานของปีกรูปแบบใหม่นี้ออกมาดีกว่าที่คาดไว้มาก แม้ว่าจะไม่มีการระบุว่าปีกดังกล่าวจะมีการผลิตและใช้งานจริงเมื่อไหร่ก็ตาม และนอกจากผลการทดลองที่ออกมาแล้ว…

  • ย้อนรอย “Codex Gigas” คัมภีร์ปีศาจแห่งโลกยุคกลาง ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเขียนขึ้นมาได้อย่างไร

    ย้อนรอย “Codex Gigas” คัมภีร์ปีศาจแห่งโลกยุคกลาง ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเขียนขึ้นมาได้อย่างไร

    ว่ากันว่าโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ และตั้งแต่ในอดีตมาเราก็มีเรื่องราวมากมายแปลกๆ มากมายที่เกิดขึ้นมาโดยยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้นั้นทำขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ และหากเราจะกล่าวถึงหนึ่งในหนังสือที่มีความลึกลับที่สุดเล่มหนึ่งของโลกแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะเคยได้ยินชื่อของหนังสืออย่าง “Codex Gigas” หรือ “คัมภีร์ปีศาจ” กันมาบ้าง     โดยนี่เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงใหญ่ๆ อยู่ที่การกล่าวถึงเรื่องราวของปีศาจ และขนาดที่ใหญ่โตผิดปกติของมัน Codex Gigas มีความกว้าง 50 เซนติเมตร สูง 91 เซนติเมตร และหนักถึง 74.8 กิโลกรัม ซึ่งหมายความว่าในตอนที่ทำขึ้นนั้นผู้ผลิตหนังสือจะต้องใช้หนังสัตว์มากกว่า 160 ชิ้น และหนักมากพอที่จะทำให้การขนย้ายหนังสือต้องใช้คนถึงสองคนขึ้นไปเลย อ้างอิงจากตำนานในสมัยก่อน ว่ากันว่าหนังสือเล่มดังกล่าวถูกเขียนขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยนักบวชเพื่อแลกกับการละเว้นโทษประหารของตนเอง โดยเขาได้ที่ทำสัญญากับปีศาจ และใช้เวลาในการเขียนเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น     แน่นอนว่าตำนานส่วนใหญ่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เพราะอ้างอิงจากข้อมูลของนักโบราณคดีแล้ว ต่อให้คนหนึ่งคนเขียนหนังสือทั้งวันทั้งคืนแบบไม่พัก พวกเขาก็ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีในเขียนหนังสือเล่มดังกล่าว และหากมองตามความเป็นจริง หนังสือเล่มนี้ก็น่าจะใช้เวลาเขียนถึง 25 ปีเลย อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็ถูกเชื่อโดยนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนเลยว่าน่าจะเขียนขึ้นโดยคนคนเดียวในเวลาสั้นๆ จริงๆ แม้ว่าคงจะไม่ใช่ในหนึ่งคืนอย่างที่ในตำนานอ้างก็ตาม สำหรับข้อมูลในทางประวัติศาสตร์แล้ว…

  • พบสุสานอายุ 4,300 ปี ของชนชั้นสูงในอียิปต์ พร้อมภาพฝาผนังและชื่อราชินีที่ไม่เป็นที่รู้จัก

    พบสุสานอายุ 4,300 ปี ของชนชั้นสูงในอียิปต์ พร้อมภาพฝาผนังและชื่อราชินีที่ไม่เป็นที่รู้จัก

    เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมากระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ได้ออกมาประกาศการค้นพบครั้งใหม่ของประเทศ เมื่อทีมนักโบราณคดีที่ทำการสำรวจโบราณสถานในแหล่งโบราณคดีในเมืองซัคคาร่าได้ทำการค้นพบสุสานโบราณของชนชั้นสูงชาวอียิปต์ ที่มีอายุมากกว่า 4,300 ปี     สุสานที่มีการค้นพบในครั้งนี้เป็นสุสานรูปตัว “L” ที่สร้างขึ้นจากหินปูน ซึ่งมีการประดับไว้ด้วยภาพวาดฝาผนังที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างมาก โดยภาพบนฝาผนังนั้นคาดกันว่าเป็นภาพของชาวอียิปต์ที่ทำการสังหารวัวและตัดแบ่งวัวตัวดังกล่าวเป็นชิ้นๆ     จากตัวอักษรฮีโรกริฟฟิค และหลักฐานอื่นๆ ที่พบในสุสาน นักโบราณคดีพบว่าสุสานแห่งนี้น่าจะเป็นของชาวอียิปต์ชื่อ Khuwy ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในอียิปต์ช่วงราชวงศ์ที่ 5 หรือเมื่อราวๆ 2388-2356 ปีก่อนคริสตกาล อ้างอิงจากข้อมูลของทางกระทรวงโบราณวัตถุ สุสานแห่งนี้ถูกพบใกล้ๆ หมู่พีระมิดของฟาโรห์ Djedkare Isesi และมีร่องรอยว่าเคยถูกโจรปล้นสุสานบุกเข้ามาทำลายในอดีต แต่ก็นับว่าโชคดีมากที่มัมมี่ซึ่งคาดว่าเป็นของ Khuwy ยังไม่ได้หายไปแม้จะไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่ควรแล้วก็ตาม     นอกจากนี้นักโบราณคดียังพบกับหลักฐานการมีตัวตนอยู่ของราชินีชื่อ Sebtihor ซึ่งเป็นราชินีที่ไม่เป็นที่รู้จักในจารึกบนหินแกรนิตในตัวสุสานเองด้วย ซึ่งหากอ้างอิงจากคำบรรยายตัวเธอในสุสานแล้ว เป็นไปได้มากว่าเธอจะเป็นภรรยาของฟาโรห์ Djedkare Isesi นั่นเอง หากเป็นเช่นนั้นจริงการค้นพบในครั้งนี้จะนับว่าเป็นการค้นพบที่ช่วยไขปริศนาสำคัญในอดีตเลย เพราะก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยมีการขุดพบสุสานประหลาดในพื้นที่ใกล้ๆ พีระมิดของฟาโรห์ด้วยและที่ผ่านๆ มาเราไม่อาจทราบได้ว่าเป็นของใครกันแน่     ดังนั้นในปัจจุบันเหล่านักโบราณคดีจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องราวของสุสานที่พบในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง…

  • นักวิทย์พบสุสานโบราณที่ฟิลาเดลเฟีย หลังคนงานเจอโครงกระดูกกว่าร้อยร่างในการก่อสร้าง

    นักวิทย์พบสุสานโบราณที่ฟิลาเดลเฟีย หลังคนงานเจอโครงกระดูกกว่าร้อยร่างในการก่อสร้าง

    ย้อนกลับไปในเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่เจ้าหน้าที่มารับก่อสร้างของเมืองฟิลาเดลเฟียรับทำงานก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสุดหรู เชื่อว่าพวกเขาคงจะคาดไว้แล้วว่าการก่อสร้างที่ต้องขุดหลุมลึกแบบนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าพวกเขาจะเจอโครงกระดูกถูกฝังอยู่สักร่างสองร่าง     แต่ปัญหาคือแทนที่จะเจอกระดูกแค่ร่างสองร่าง ตั้งแต่ที่เริ่มทำงานในปี 2016 เป็นต้นมา ทีมคนงานกลับพบกับกระดูกมนุษย์อยู่เรื่อยๆ จนในที่สุดกองกระดูกเหล่านั้นก็กองกันจนทีมงานก่อสร้างเริ่มสงสัยและได้ทำการติดต่อนักโบราณคดีให้มาตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาพบไป ในตอนนั้นเองที่เหล่านักโบราณคดีพบว่ากระดูกที่เหล่าคนงานก่อสร้างพบนั้นไม่ใช่ศพของคนที่เพิ่งถูกฝังมาได้ไม่นานอย่างที่พวกเขาคิด แต่เป็นเหล่าผู้คนที่เคยถูกนำมาฝังไว้ที่นี้ตลอดช่วงศตวรรษที่ 18-19 ต่างหาก     นั่นเพราะอ้างอิงจากข้อมูลที่พวกเขาพบ ที่แห่งนี้จริงๆ แล้วในสมัยก่อนเคยเป็นสุสานขนาดใหญ่ของโบสถ์ First Baptist มาก่อน และเปิดใช้งานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1702-1860 อายุที่ยาวนานนี้ทำให้ในสุสานมีร่างของคนถูกฝังเอาไว้กว่า 3,000 ร่าง ถึงอย่างนั้นก็ตามตอนที่คณะกรรมการสุขภาพฟิลาเดลเฟียประกาศดัดแปลงพื้นที่สุสานให้เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองในปี 1860 พวกเขากลับให้เวลาในการขุดย้ายศพเพียง 3 เดือน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีร่างของคนมากมายที่ถูกทิ้งไว้ในที่แห่งนี้ และเพิ่งจะมาถูกคนพบอีกครั้งในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาเท่านั้น     น่าเสียดายที่ด้วยระบบกฎหมายของเมืองให้ในช่วงแรกๆ ที่มีการค้นพบกระดูก การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการหยุดลงเพื่อให้นักโบราณคดีเข้าไปสำรวจแต่อย่างไร ส่งผลให้โครงกระดูกหลายๆ ร่างต้องถูกทำลายหรือเสียหายไปก่อนที่ทีมนักโบราณคดีจะมีโอกาสได้ตรวจสอบอย่างช่วยไม่ได้ Kimberlee Moran หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มีโอกาสได้เข้าไปสำรวจพื้นที่บอกว่า โครงกระดูกทั้งหมดที่มีการค้นพบในที่แห่งนี้นั้นมีอยู่ราวๆ 500 ร่าง อย่างไรก็ตามมีเพียงแค่ 3 ร่างเท่านั้นที่นักโบราณคดีสามารถระบุชื่อได้…

  • “The Stoned Ape” ทฤษฎีแปลกที่อ้างว่าการ “เมาเห็ด” มีส่วนช่วยในวิวัฒนาการของมนุษย์

    “The Stoned Ape” ทฤษฎีแปลกที่อ้างว่าการ “เมาเห็ด” มีส่วนช่วยในวิวัฒนาการของมนุษย์

    ตั้งแต่ในอดีตมาการศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ได้นำมาซึ่งทฤษฎีการวิวัฒนาการอันหลากหลายทั้งที่มีความเป็นไปได้สูง และแนวคิดที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในอดีตเราจะมีทฤษฎีที่ฟังดูแปลกสุดๆ แต่กลับมีความเป็นไปได้ปรากฏออกมาให้เห็นกันอยู่บ้าง และหนึ่งในทฤษฎีสุดแปลกเหล่านี้ก็คือทฤษฎี “The Stoned Ape” ของ Terence McKenna นักเขียน นักปรัชญา และพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่บอกว่าเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เรามีการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในอดีตนั้นอาจจะมาจากการ “เมาเห็ด” ก็เป็นได้     The Stoned Ape เป็นทฤษฎีที่ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในปี 1992 ที่ถูกคิดออกมาเพื่ออธิบายการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงรอยต่อของ “โฮโม อีเร็กตัส” และ “โฮโม เซเปียนส์” โดยในทฤษฎีนี้ McKenna ได้อ้างว่าเหตุผลหลักที่ทำให้โฮโม อีเร็กตัสมีขนาดของสมองเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเกี่ยวข้องการที่มนุษย์โฮโม อีเร็กตัสเปลี่ยนไปทาน “เห็ดวิเศษ” หรือ “เห็ดขี้ควาย” (Psilocybe cubensis) อันเป็นเห็ดที่มีฤทธิ์กับระบบประสาท ในช่วงที่อากาศในแอฟริกาเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง   Terence McKenna ผู้คิดทฤษฎี   นี่อาจจะเป็นทฤษฎีที่ฟังดูแปลกและไม่น่าเป็นไปได้จริงๆ แต่ McKenna ก็ใช่ว่าจะตั้งทฤษฎีนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่มีอะไรอ้างอิงเลยเช่นกัน…

  • ชม 21 ภาพความงามของอิตาลีช่วงศตวรรษที่ 19 อีกมุมของประเทศดังที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    ชม 21 ภาพความงามของอิตาลีช่วงศตวรรษที่ 19 อีกมุมของประเทศดังที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี  ภาพลักษณ์ของที่แห่งนี้ในหัวของหลายๆ คนก็คงจะไม่พ้นยุคเรอเนซองส์ หรือไม่ก็ยุคปัจจุบันไปเลย ด้วยอิทธิพลของสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เกม หรือแม้แต่การ์ตูน ซึ่งแม้ว่าจะถ่ายทอดประเทศอิตาลีออกมาตรงแค่ไหนมันก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเมืองอันโด่งดังแห่งนี้เท่านั้น ดังนั้นเพื่อที่จะรู้จักประเทศนี้ขึ้นอีกนิด เราจะไปชมภาพของประเทศอิตาลีในช่วงเวลาที่คนไม่ค่อยจะได้เห็นกันเท่าไหร่อย่างช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่เมืองแห่งนี้ในสมัยก่อนจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากท่าเรือ Messina เมื่อปี 1862   วัวและเกวียนในโรม 1862   Piazza del Campidoglio ในกรุงโรม 1862   ตลาดในจัตุรัส Piazza Navona กรุงโรม 1862   เรือบนชายฝั่งอามัลฟี ราวๆ ปี 1865   สะพาน Bridge of Sighs แห่งเวนิส 1865   หอเอนปิซา เมื่อราวๆ ปี 1865   วิหาร Messina…

  • พบตราหินอายุ 2,600 ปีที่เยรูซาเล็ม เชื่อสลักชื่อบุคคลที่เคยปรากฏใน “คัมภีร์ไบเบิล” เอาไว้

    พบตราหินอายุ 2,600 ปีที่เยรูซาเล็ม เชื่อสลักชื่อบุคคลที่เคยปรากฏใน “คัมภีร์ไบเบิล” เอาไว้

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการขุดค้นลานจอดรถ Givati ​​ของเมือง David ได้กลายเป็นหนึ่งในการขุดค้นทางโบราณคดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเยรูซาเล็มในปัจจุบันไป โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมาเอง เหล่านักโบราณคดีก็มีการค้นพบเศษเครื่องดินเผาอายุกว่า 2,500 ปีในที่แห่งนี้มาแล้ว (อ่านข่าวเก่าได้ที่ พบเศษเครื่องดินเผาอายุกว่า 2,500 ปีในอิสราเอล เชื่อเป็นของ “เทพเบส” ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย)     และแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักโบราณคดีของอิสราเอลก็ได้ทำการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งใหม่ในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้อีกครั้งเมื่อ พวกเขาได้ค้นพบตราหินอายุ 2,600 ปี ที่มีชื่อของบุคคลสำคัญในคัมภีร์ไบเบิลที่ในสมัยก่อนเราไม่เคยมีหลักฐานเลยว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือไม่ โดยตราหินที่พบนั้นประกอบไปด้วยเป็นตราหินขนาดราวๆ 1 เซนติเมตร สองชิ้นที่สลักคำว่า “(เป็นของ) Nathan-Melech ข้ารับใช้แห่งราชา” และ “(เป็นของ) Ikar บุตรแห่ง Matanyahu” เอาไว้   ตราของ Nathan-Melech ข้ารับใช้แห่งราชา   ชื่อของ Nathan-Melech นั้นเคยปรากฏออกมาในคัมภีร์ไบเบิลบท 2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 23:11 (2 Kings…

  • “Grauballe Man” มนุษย์พรุพีตแห่งเดนมาร์ก กับการเสียชีวิตที่ยังไม่แน่ชัดแม้ในปัจจุบัน

    “Grauballe Man” มนุษย์พรุพีตแห่งเดนมาร์ก กับการเสียชีวิตที่ยังไม่แน่ชัดแม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Grauballe Man” กันไหม นี่คือหนึ่งใน “มนุษย์พรุพีต” ร่างของมนุษย์โบราณที่ได้รับการรักษาไว้โดยธรรมชาติเนื่องจากถูกฝังไว้ในพื้นที่แบบบึงโคลน ซึ่งมักถูกพบในยุโรป และมีลักษณะเด่นอยู่ที่การที่ยังคงมีหนังและอวัยวะภายในอยู่ ต่างไปจากมัมมี่ของประเทศทางตะวันออก     Grauballe Man ถูกพบในเดนมาร์กเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1952 โดยเขาเป็นชายอายุราวๆ 30 ปี ผู้มีผมสีน้ำตาลแดง ที่ถูกทิ้งไว้ในโคลนในสภาพเปลือย และถูกเชื่อว่าเป็นช่างตัดไม้จากศตวรรษที่ 19 ในช่วงแรกๆ ที่มีการค้นพบ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบร่างที่พบในเวลาหลายปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า Grauballe Man นั้น จริงๆ แล้วมีที่มาต่างจากที่เราคิดมาก เพราะมือของเขายังไม่มีร่องรอยของการใช้แรงงานเลย ดังนั้นจึงไม่น่าใช่ช่างตัดไม้อย่างที่เราคิด     เท่านั้นยังไม่พอจากการตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี เรายังทราบอีกว่าจริงๆ แล้ว Grauballe Man เป็นคนที่อาศัยอยู่ในช่วงปลายยุคเหล็กหรือราวๆ 310-56 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนานกว่าที่เราคาดไว้ในตอนแรกเป็นหลายพัน ปีเลย เป็นไปได้ว่าชายคนดังกล่าวน่าจะเสียชีวิตมาจากการเชือดที่คอ อย่างไรก็ตามนอกจากแผลที่คอแล้วเขามีร่องรอยของแผลกระแทกที่ศีรษะ แถมในกระเพาะของเขายังมีร่องรอยของสมุนไพรกว่า 30 ชนิด และหญ้าที่มีเชื้อราเป็นพิษในกลุ่มเออร์ก็อต…

  • ชมภาพ “สุริยุปราคาบนดาวอังคาร” จากยาน Curiosity ที่เกิดขึ้นมากถึง 3 ครั้งในเดือนเดียว

    ชมภาพ “สุริยุปราคาบนดาวอังคาร” จากยาน Curiosity ที่เกิดขึ้นมากถึง 3 ครั้งในเดือนเดียว

    สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส สำหรับหลายๆ คนแล้วคงจะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกันทุกวันและมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยสำหรับบนโลกแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ เคลื่อนตัวมาบดบังพระอาทิตย์ ซึ่งในปีปีหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่เกิน 5 ครั้งเท่านั้น   สุริยุปราคาเต็มดวงบนโลกเมื่อปี 1999   แต่ทราบกันหรือไม่ว่าเหตุการณ์อย่างสุริยุปราคานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่บนโลกเท่านั้น เพราะเมื่อช่วงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ยาน Curiosity ของนาซาก็ได้มีโอกาสได้พบกับสุริยุปราคาบนดาวอังคารเช่นกัน แถมในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนบนดาวอังคารก็เกิดสุริยุปราคาขึ้นถึง 3 ครั้งแล้วด้วย โดยภาพของสุริยุปราคาบนดาวอังคารที่ยาน Curiosity ถ่ายกลับมาได้เป็นครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม โดยเป็นการที่ดวงจันทร์ของดาวอังคารชื่อ Deimos โคจรผ่านดวงอาทิตย์พอดี ซึ่งแม้ว่าขนาดดวงจันทร์จะเล็กมากๆ จนบอกว่าเป็นสุริยุปราคาได้ไม่เต็มปากแต่ก็เป็นภาพที่น่าสนใจพอสมควรเลย   ภาพ “สุริยุปราคา” ของดวงจันทร์ Deimos (ความเร็ว x10)   อย่างไรก็ตามภาพที่น่าสนใจของสุริยุปราคาที่ยาน Curiosity ถ่ายได้นั้นเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 25 มีนาคมต่างหาก เพราะในขณะที่ยาน Curiosity สำรวจดาวอังคารอยู่มันก็พบกับเงาที่เคลื่อนผ่านท้องฟ้าไปซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่ามีการเกิดสุริยุปราคาขึ้น และมนุษย์ก็พลาดที่จะถ่ายภาพสิ่งที่เกิดขึ้นไปเสียแล้ว   ภาพเงาของสุริยุปราคาในวันที่…

  • งานวิจัยพบตัวอ่อน “ยุงยักษ์” จะอ้าปากคล้ายพรีเดเตอร์ และจับเหยื่อในเวลาไม่ถึง 1 วินาที

    งานวิจัยพบตัวอ่อน “ยุงยักษ์” จะอ้าปากคล้ายพรีเดเตอร์ และจับเหยื่อในเวลาไม่ถึง 1 วินาที

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันว่าในธรรมชาติของโลกนั้น ไม่ได้มีแต่สิ่งมีชีวิตที่น่ารักเสมอไป เพราะในหลายๆ สถานที่ (อย่างเช่นแหล่งน้ำ) เราก็จะสามารถพบสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าตาสุดประหลาด ที่มีวิธีล่าเหยื่อราวกับหลุดมาจากหนังอย่างเอเลี่ยน หรือ พรีเดเตอร์ได้เหมือนกัน เพราะเมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการสังเกตการตัวอ่อนของ “ยุงยักษ์” (Chaoborus) แมลงที่แม้ว่าจะมีชื่อภาษาไทยว่ายุงแต่จริงๆ แล้วเป็นแมลงวันพันธุ์หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเจ้าตัวอ่อนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีจุดเด่นที่ร่างกายโปร่งใสราวแก้วเท่านั้น แต่มันยังมีวิธีการ “อ้าปาก” ที่แปลกสุดๆ เลยด้วย     อ้างอิงจากวิดีโอความเร็วสูงและการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือ “ซีทีสแกน” นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าตัวอ่อนของยุงยักษ์นั้นมีส่วนปากที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายปล้องประกอบกันซึ่งสามารถกางออกกว้างกว่าส่วนหัวของตัวมันเพื่อจับเหยื่อ ก่อนที่จะ “เคี้ยว” เหยื่อทั้งเป็นและส่งเข้าหลอดอาหารโดยตรง ความเร็วในการกินเหยื่อตั้งแต่เริ่มจนจบของตัวอ่อนยุงยักษ์สายพันธุ์นี้กินเวลาเพียงแค่ 14 มิลลิวินาที (0.014 วินาที) เท่านั้น เร็วกว่าที่คนเราจะมองเห็นด้วยวิธีการตามธรรมชาติมาก ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงต้องทำการสร้างโมเดลสามมิติขึ้นมาเพื่ออธิบายการทำงานของปากตัวอ่อนยุงยักษ์เลย     การโจมตีของตัวอ่อนยุงยักษ์นั้น เร็วกว่าการโจมตีการโจมตีของตั๊กแตนตำข้าวซึ่งใช้เวลา 42 มิลลิวินาทีเสียอีก แม้ว่าจะยังเป็นรองกั้งซึ่งใช้เวลา 4-8 มิลลิวินาที และ แมงมุมสายพันธุ์ Chilarchaea quellon ที่ใช้เวลาโจมตีน้อยกว่า 1 มิลลิวินาทีก็ตาม แต่แม้ว่าตัวอ่อนยุงยักษ์จะมีการอ้าปากแบบพิเศษและความเร็วในการล่าเหยื่อที่สูงแค่ไหนก็ตาม มีนก็ใช่ว่าจะสามารถจับเหยื่อได้เสมอไป เพราะแม้ว่ามันมีโอกาสจับไรน้ำได้ถึง…

  • พบ “ร้านฟาสต์ฟู้ด” กว่า 150 ในเมืองปอมเปอี พร้อมภาพปูนเปียกที่ใช้เป็นป้ายร้าน

    พบ “ร้านฟาสต์ฟู้ด” กว่า 150 ในเมืองปอมเปอี พร้อมภาพปูนเปียกที่ใช้เป็นป้ายร้าน

    เมื่อพูดถึงเมืองโบราณอย่าง “ปอมเปอี” เชื่อว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของหลายๆ คงไม่พ้นภาพคนที่ตายไปในเถ้าภูเขาไฟวิสุเวียส หรือไม่ก็ภาพของเมืองมรณะที่หายสาบสูญไปจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในสมัยก่อน แต่ไม่ว่าภาพในหัวของหลายๆ คนจะเป็นเช่นไร เชื่อว่าคงไม่มีใครหรอกที่ได้ยินชื่อเมืองปอมเปอีแล้วนึกถึง “ร้านฟาสต์ฟู้ด”     แต่เชื่อเจ้าร้านฟาสต์ฟู้ดที่ฟังดูสุดจะทันสมัยนี้ แท้จริงแล้วอาจมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตคนโบราณมากกว่าที่เราคิดไว้ก็ได้ เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบร้านขายอาหารแบบที่ว่าในเมืองปอมเปอีเข้าแล้ว นั่นเพราะเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีได้ออกมาประกาศการค้นพบ “Thermopolium” ร้านค้าอาหารที่ให้บริการแบบสแน็คบาร์กว่า 150 แห่งทั่วพื้นที่ Regio V พื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองปอมเปอี ซึ่งโด่งดังเรื่องการขายขนมปังกับปลาเค็ม ถั่ว ชีสอบ และสไปซี่ไวน์     คำว่า Thermopolium สามารถแปลตรงๆ ว่า “สถานที่ซึ่งมีอาหารร้อนๆ ขาย” มีหน้าที่ขายอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งคาดกันว่าเป็นที่นิยมในหมู่คนจน ที่ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ทำครัวของตัวเองในสมัยก่อน ตัวร้าน Thermopolium ที่พบส่วนมากจะเป็นเคาน์เตอร์ที่ทำจากหิน โดยในบางร้านจะมีการใช้ภาพวาดปูนเปียกในฐานะป้ายร้านในการเรียกลูกค้า และมีไหที่เรียกว่า “Dolias” ซึ่งใช้ในการเก็บเนื้อแห้งติดตั้งไว้ในตัวเคาน์เตอร์     อ้างอิงจากข้อมูลของสื่อต่างประเทศ ชนชั้นสูงในสมัยก่อนจะพยายามไม่มาทานอาหารที่ร้านเหล่านี้ เนื่องจากผู้มาทานอาหารที่ร้าน Thermopolium…

  • 20 ภาพเท็กซัสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อีกด้านของรัฐแห่งคาวบอยที่เราอาจไม่ค่อยได้เห็น

    20 ภาพเท็กซัสในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อีกด้านของรัฐแห่งคาวบอยที่เราอาจไม่ค่อยได้เห็น

    เมื่อพูดถึงรัฐเท็กซัสช่วงศตวรรษที่ 19 แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็คงจะนึกภาพของคาวบอยควงปืนขึ้นมาเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะด้วยอิทธิพลของหนัง เกม หรือภาพที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ แต่ก็เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆ ในโลก เท็กซัสไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องราวเกี่ยวกับคาวบอยเท่านั้น และผู้คนทั่วไปเองก็ต้องมีการใช้ชีวิตประจำวันเช่นกัน ภาพเหล่านี้นี่เองก็เป็นสิ่งที่ SMU Libraries Digital Collections ห้องสมุดออนไลน์ของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นเมธอดิสต์ในเท็กซัสได้เก็บไว้ และ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำส่วนหนึ่งของภาพเหล่านั้นมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากร้าน “Empire Livery & Sale Stable” เมื่อปี 1880   ศาลในเมืองลัมปาซาสเมื่อปี 1880   เหตุไฟไหม้ที่ศาลาว่าการรัฐเทกซัส 1881   การก่อสร้างอาคารศาลากลางที่ ออสติน 1882   โรงแรม Pierson ในเอลพาโซ่ 1882-1895   ศาลากลางชั่วคราวในออสติน 1883-1888   ซานแองเจโลจากมุมสูง 1885   บ้านฟาร์มในซานแองเจโล 1885   ป้อมปราการ…

  • ย้อนรอย “ฮาเร็ม” สถานที่มีชื่อแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ที่ไม่ได้มีไว้แค่ปรนนิบัติสุลต่าน

    ย้อนรอย “ฮาเร็ม” สถานที่มีชื่อแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ที่ไม่ได้มีไว้แค่ปรนนิบัติสุลต่าน

    เชื่อว่าสำหรับหลายๆ คน ในปัจจุบัน คำว่า “ฮาเร็ม” นั้นคงจะหมายถึงแนวการ์ตูนญี่ปุ่น ที่มีตัวเอกหญิงหลายคน แต่มีตัวเอกชายแค่คนเดียว อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ของฮาเร็มในอดีตนั้นมีความหมายต่างจากในปัจจุบันมากอยู่ เพราะในสมัยนั้นการที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีฮาเร็มเป็นของตัวเองนั้น มันมีความหมายมากกว่าการเป็นที่รักของผู้หญิงหลายๆ คน     คำว่า “ฮาเร็ม” เป็นภาษาตุรกีที่มาจากคำว่า “ฮาราม” ในภาษาอาหรับแบบว่า สถานที่ต้องห้ามหรือสถานที่ปลอดภัย และมักใช้สื่อถึงสถานที่ที่จัดขึ้นเพื่อสตรีโดยเฉพาะ และมีเพียงผู้เป็นสามีของพวกเธอเท่านั้นที่จะเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ เรื่องราวของฮาเร็มมีบันทึกไว้ตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ. 1299 แต่มีช่วงเวลาที่โด่งดังที่สุดอยู่ที่ฮาเร็มของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมันในช่วงศตวรรษที่ 16-17 และเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจในสมัยนั้น โดยที่ยิ่งสุลต่านมีอำนาจมากเท่าไหร่ เขาก็จะถูกคาดหวังให้มีฮาเร็มใหญ่ตามไปเท่านั้น โดยมากแล้วฮาเร็มจะถูกดูแลโดย “วาลีเดซุลตัน” หญิงสาวผู้ที่มักจะเป็นมารดาของสุลต่านที่เป็นเจ้าของฮาเร็ม และจะมีการแบ่งอันดับของผู้หญิงในฮาเร็มอย่างชัดเจน โดยมี Gözde (ที่ชื่นชอบ) Ikbal (ผู้โชคดี) และ Kadın (ผู้หญิง/ภรรยา) เป็นตำแหน่งที่นับว่าสูงที่สุด   Gülnuş Sultan หนึ่งในวาลีเดซุลตันผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1695-1715   แน่นอนว่าการที่มีผู้หญิงอยู่ในฮาเร็มเป็นจำนวนมากย่อมหมายความว่าไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะมีสิทธิ์ได้หลับนอนกับสุลต่าน และผู้หญิงเหล่านั้นเองก็มีโอกาสที่จะถูกส่งไปแต่งงานกับชายคนอื่นๆ ได้ หากพวกเขาทำผลงานได้ดี เนื่องจากผู้หญิงในฮาเร็มโดยมากแล้วจะไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองได้ด้วยการมีลูกกับสุลต่าน ดังนั้นในหลายๆ…

  • ผลเอกซเรย์พบ มัมมี่ลึกลับจากเปรูเมื่อร้อยปีก่อน แท้จริงแล้วเป็นของวัยรุ่นที่ขาดแคลเซียม

    ผลเอกซเรย์พบ มัมมี่ลึกลับจากเปรูเมื่อร้อยปีก่อน แท้จริงแล้วเป็นของวัยรุ่นที่ขาดแคลเซียม

    ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 100 ปีก่อน ในช่วงปี 1923 พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ Everhart ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ได้รับมัมมี่ร่างหนึ่งมาจากประเทศเปรู แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้าในเวลานั้น มัมมี่ร่างนี้จึงยังมีเรื่องราวมากมายที่ทางพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถไขได้เลย     ในเวลานั้นพวกเขาเชื่อว่ามัมมี่ที่ได้มานั้นน่าจะเป็นของชายวัยกลางคนผู้อยู่ในวัฒนธรรมปาราคัส หนึ่งในวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาใต้ ซึ่งรุ่งเรืองมากๆ ในช่วง 800-100 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็ได้มีโอกาสตรวจสอบมัมมี่ในพิพิธภัณฑ์ Everhart ด้วยการเอกซเรย์จนได้ และก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่พวกเขาพบว่า มัมมี่ที่ถูกเชื่อว่าเป็นชายวัยกลางคนมาตลอดนั้น จริงๆ แล้วเป็นของเด็กวัยรุ่นต่างหาก อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์การตรวจสอบมัมมี่ด้วยการเอกซเรย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะการที่ต้องระวังไม่ให้มัมมี่เสียหาย ทำให้ในบางครั้งนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องสแกนมัมมี่จากในตู้โชว์ (ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นแบบนั้น) ทำให้ในหลายๆ ครั้งการตรวจสอบมัมมี่ก็จะใช้เวลานานกว่าที่ควรเป็น     นับว่าโชคดีที่นักวิทยาศาสตร์สามารถหามุมเอกซเรย์มัมมี่ร่างนี้อย่างสมบูรณ์จากในกล่องได้สำเร็จ ดังนั้นเราจึงได้รับข้อมูลที่น่าสนใจใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีการระบุมาก่อนของมัมมี่ร่างนี้เป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากการเอกซเรย์คือเด็กผู้กลายเป็นมัมมี่คนนี้น่าจะเคยเป็นโรคร้ายก่อนที่จะเสียชีวิตเนิ่งจากเด็กคนดังกล่าวมีปริมาณแคลเซียมในกระดูกสันหลังที่น้อยผิดปกติ Dr. Scott Sauerwine หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า อาการแบบนี้ตามปกติแล้วจะเกิดขึ้นในคนอายุมาก แต่มัมมี่ที่พบนี้เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังอายุได้แค่ช่วงวัยรุ่นเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเขามีอาการของโรคเก๊าท์เทียม หรือไม่ก็โรคไฮโปพาราไทรอยด์ซึ่งเป็นภาวะการหลั่งสารเคมีบางตัวน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้การดูดซึมแคลเซียมไปใช้ลดลง  …

  • ย้อนรอย “Lit Clos” เตียงกล่องจากศตวรรษที่ 16 ที่ยังมีการใช้งานกันอยู่ แม้ในปัจจุบัน

    ย้อนรอย “Lit Clos” เตียงกล่องจากศตวรรษที่ 16 ที่ยังมีการใช้งานกันอยู่ แม้ในปัจจุบัน

    ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 600 ปีก่อนในประเทศแถบยุโรป ยังมีเตียงรูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมจากคนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก จากลักษณะการใช้งานที่มีเอกลักษณ์และมอบความเป็นส่วนตัวอย่างมากให้กับผู้ใช้งาน เตียงที่ว่านี้ถูกเรียกโดยชาวฝรั่งเศสว่า “Lit Clos” หรือ “เตียงกล่อง” ในประเทศอื่นๆ โดยมันเป็นเตียงที่ติดตั้งไว้ในเฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกล่องเช่น ตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้เก็บของ     Lit Clos เป็นเตียงที่มีรูปแบบที่ค่อนข้างหลากหลายมาตั้งแต่ในอดีต โดยมีตั้งแต่แบบที่ดัดแปลงจากเฟอร์นิเจอร์อื่นเฉยๆ หรือแบบที่ออกแบบมาเพื่อเป็นเตียงในกล่องไม้สี่เหลี่ยมตั้งแต่ต้น แถมยังมีทั้งแบบที่เลื่อนได้ และแบบที่ตั้งถาวรอยู่กับที่ด้วย ความนิยมของ Lit Clos นั้นเชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 16 ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามหลักฐานส่วนมากที่มีการพูดถึงเตียงชนิดนี้กลับมักจะมาจากช่วงเวลาที่เตียงกล่องแพร่กระจายไปทั่วยุโรปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแพร่หลายอย่างรวดเร็วได้เป็นอย่างดี     ช่วงเวลาที่เตียงแบบนี้กลายเป็นที่นิยมที่สุดเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 จากการที่ในสมัยนั้นมีการคิดค้นเตียงกล่องในรูปแบบที่แตกต่างกันออกมาเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญหลายๆ รูปแบบก็ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันด้วย เตียงที่เห็นนี้อาจจะดูเล็กและคับแคบไปบ้างในสายตาของคนในปัจจุบัน แต่สำหรับในอดีตที่คนยังมักต้องนอนรวมกันในห้องเดียวแล้ว Lit Clos นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดีเลย แถมยังใช้เก็บของได้ในกรณีที่ไม่มีการใช้งาน และสร้างความอบอุ่นได้ดีกว่าเตียงธรรมดาในฤดูหนาวด้วย     แน่นอนว่าหลังจากที่มนุษย์เรามีชีวิตที่ดีขึ้นจนสามารถมีห้องส่วนตัวได้ เตียงแบบ Lit Clos ก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ…

  • นักโบราณคดีพบวัตถุโบราณจำนวนมาก ใต้ทะเลสาบติติกากา คาดเป็นเครื่องบูชาในอดีต

    นักโบราณคดีพบวัตถุโบราณจำนวนมาก ใต้ทะเลสาบติติกากา คาดเป็นเครื่องบูชาในอดีต

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อของทะเลสาบ “ติติกากา” กันมาบ้าง มันเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอนดีส แถบชายแดนของประเทศเปรูและประเทศโบลิเวีย ที่ผ่านๆ มาทะเลสาบติติกากา ถูกใช้งานทั้งในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวและเส้นทางการเดินเรือเชิงพาณิชย์ จนกลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าใต้ทะเลสาบชื่อดังแห่งนี้ ยังมีสมบัติโบราณซ่อนอยู่อีกด้วย     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักสำรวจใต้น้ำ ซึ่งนำทีมโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ก็ได้มีการออกมาตีพิมพ์การค้นพบวัตถุโบราณของชนพื้นเมืองในวัฒนธรรมติวานากูจำนวนมากใต้ผืนน้ำของทะเลสาบที่กว้างใหญ่นี้ โดยวัตถุโบราณที่มีการค้นพบในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย รูปสลักเสือพูมาที่ทำจากลาพิส ลาซูลี่อัญมณีสีน้ำเงินที่หาได้ยากในอดีต เหรียญทอง จี้หินเทอร์ควอยซ์ และสมบัติมีค่าอื่นๆ ที่ทำจากทองอีกมากมาย     อ้างอิงจากทีมนักค้นหา ในบริเวณใกล้เคียงกับวัตถุโบราณที่พวกเขาพบ ยังมีกระดูกของสัตว์อย่างลามะ และปลาที่น่าจะถูกสังหารโดยคนในสมัยก่อนอยู่ด้วย และเมื่อทำการตรวจสอบอายุคาร์บอนกัมมันตรังสี พวกเขาก็พบว่ากระดูกที่พบและโบราณวัตถุอื่นๆ น่าจะถูกนำมาทิ้งไปที่นี่ ตั้งแต่เมื่อช่วงปี ค.ศ. 794-964 เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนโบราณวัตถุเหล่านี้ถูกนำมาถวายที่เกาะหินขนาดเล็กซึ่งโผล่ขึ้นมากลางทะเลสาบ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปเกาะดังกล่าวก็จมลงจู่ใต้น้ำไป พร้อมๆ กับวัตถุโบราณที่ชนพื้นเมืองนำมาถวายไว้     และแม้ว่าการค้นพบครั้งนี้จะดูเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่มันไม่ใช่การค้นพบวัตถุโบราณครั้งแรกในทะเลสาบแห่งนี้แต่อย่างไร เพราะในช่วงปี 1988-1992…

  • งานวิจัยใหม่เผย เพลงของ “สกริลเลกซ์” สามาถทำให้ยุงดูดเลือดและผสมพันธุ์น้อยลงได้!?

    งานวิจัยใหม่เผย เพลงของ “สกริลเลกซ์” สามาถทำให้ยุงดูดเลือดและผสมพันธุ์น้อยลงได้!?

    เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่รู้จัก นักดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ชาวอเมริกันอย่าง ซอนนี จอห์น มัวร์ หรือ “สกริลเลกซ์” เพราะเพลงของเขาอย่าง “Scary Monsters And Nice Sprites” นั้นในปัจจุบันมีผู้เข้าชมไปเป็นจำนวนมากถึง 300 ล้านวิวแล้ว แถมยังมีท่าทีที่จะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ แม้เพลงจะออกมาตั้งแต่ปี 2010 แล้วก็ตาม     ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่า อ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดแล้ว เจ้าเพลงดับสเต็บเพลงนี้ ไม่เพียงแต่จะถูกใจคนนับล้านเท่านั้น แต่มันยังสามารถทำให้ยุงกัดและผสมพันธุ์น้อยลงกว่าปกติอีกด้วย!! โดยงานวิจัยที่ราวกับเป็นข่าววันเอพริลฟูลส์เดย์ชิ้นนี้ ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Acta Tropica เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และเกี่ยวข้องกับการศึกษาผลกระทบของเสียงเพลงที่ดังต่อพฤติกรรมของยุง โดยเฉพาะการดูดเลือดและการผสมพันธุ์     การทดลองครั้งนี้จัดทำขึ้นโดยการเปรียบเทียบพฤติกรรมของยุงตัวเมียสองกลุ่มที่อดอาหารมาเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ต่อหนูแฮมสเตอร์ที่ถูกมัดไว้ (ให้เป็นอาหาร) และยุงตัวผู้หนึ่งตัวในกรง ซึ่งยุงกลุ่มหนึ่งนั้นจะต้องฟังเพลง Scary Monsters and Nice Sprites ซ้ำไปซ้ำมา…

  • นักวิจัยอ้าง ที่มนุษย์ต่างดาวไม่ติดต่อมนุษย์ อาจเพราะเราอยู่ใน “สวนสัตว์” ของพวกเขาอยู่แล้ว

    นักวิจัยอ้าง ที่มนุษย์ต่างดาวไม่ติดต่อมนุษย์ อาจเพราะเราอยู่ใน “สวนสัตว์” ของพวกเขาอยู่แล้ว

    เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนสงสัยกันบ้างว่าถ้ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง ทำไมมนุษย์เราถึงไม่เคยได้รับข้อความอะไรจากเหล่ามนุษย์มนุษย์ต่างดาวนอกโลกเลย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ในแต่ละคนย่อมมีแนวคิดที่ต่างๆ กันออกไป เพราะแม้แต่เรื่องราวที่ว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงหรือไม่ก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีการเถียงกันอย่างไม่รู้จบอยู่แม้แต่ในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามอ้างอิงจากคำกล่าวอ้างของกลุ่มนักวิจัยนานาชาติแห่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง “Messaging Extraterrestrial Intelligence” (METI) ไม่แน่เหมือนกันว่าการที่เราไม่เคยพบมนุษย์ต่างดาว อาจจะเป็นเพราะพวกเราอยู่ในกาแล็กซี “สวนสัตว์” ของพวกเขาก็เป็นได้     แนวคิดสุดแปลกนี้เกิดขึ้นในระหว่างการโต้วาทีภายใต้หัวข้อเรื่อง “The Great Silence” หรือทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงไม่ติดต่อมาหามนุษย์ของ เหล่านักวิทยาศาสตร์ราวๆ 60 คน โดยทฤษฎีที่ออกมานี้ เป็นการอ้างอิงสมมติฐานสวนสัตว์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 และระบุไว้ว่าโลกของเรานั้นเคยถูกตรวจสอบโดยมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว และพวกเขาตัดสินใจซ่อนตัวจากมนุษย์ เพื่อเฝ้าดูอยู่ห่างๆ โดยไม่รบกวนพัฒนาการของพวกเรา คล้ายสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์     ประธานของ METI คุณ Douglas Vakoch บอกว่าในกรณีที่เป็นเช่นนี้จริงสิ่งที่เราควรทำคือพัฒนาระบบส่งข้อความขึ้นเพื่อสื่อสารให้ “ผู้ดูแล” ทราบว่าพวกเรามีความรู้มากกว่าที่คิด โดยคุณ Vakoch ได้ยกตัวอย่างว่าหากจู่ๆ ม้าลายเกิดตัวเลขจำนวนเฉพาะอย่างต่อเนื่องขึ้นมา มนุษย์ก็จะต้องทำการวัดความรู้ของม้าลายใหม่แน่นอน อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เหตุผลที่มนุษย์ต่างดาวไม่ยอมติดต่อเรามาจะเป็นเพราะพวกเขากีดกันมนุษย์ออกจากมนุษย์ดาวเพื่อนบ้าน ซึ่งหากเป็นกรณีนี้จริงๆ เราคงจะไม่มีทางได้พบมนุษย์ต่างดาวไปอีกนานแสนนาน     แน่นอนว่าแนวคิดที่เกิดขึ้นมานี้ไม่ได้มีหลักฐานที่สามารถนำมายืนยันอย่างชัดเจนได้แต่อย่างไร ถึงอย่างนั้นนี่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจของทางองค์กร…

  • 5 เมืองร้างมีชื่อจากทั่วโลก พร้อมเหตุผลในอดีตที่ทำให้ผู้คน ยอมทิ้งสถานที่เหล่านี้ไป

    5 เมืองร้างมีชื่อจากทั่วโลก พร้อมเหตุผลในอดีตที่ทำให้ผู้คน ยอมทิ้งสถานที่เหล่านี้ไป

    ในช่วงเวลาที่ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหนก็พบผู้คนได้อยู่เสมอๆ นั้น ในโลกใบนี้ก็ยังคงมีสถานที่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างไร้ซึ่งผู้คนอยู่ดี แน่นอนว่าสถานที่เหล่านั้นส่วนมากแล้วจะเป็นทะเลภูเขาหรือป่าลึก แต่ในบางครั้งสถานที่ที่ไร้ผู้คนก็อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่เมืองได้เช่นกัน โดยมากแล้วสถานที่เหล่านี้จะเป็นสถานที่ที่มนุษย์เรามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป และบ่อยครั้งก็จะเป็นเบื้องหลังที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อเลยด้วย ดังเช่นเมืองร้างทั้ง 5 แห่ง ที่เราจะไปชมกันต่อไปนี้   1. เมือง Centralia ในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่ซึ่งมีเหตุไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นเมืองที่เดิมทีแล้วมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อปี 1962 กลับเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นในเหมืองที่ลึกลงไปใต้ดิน นำไปสู่รอยแตกมากมายเหนือพื้นที่เมือง ตามมาด้วยควันไฟจำนวนมากจนอากาศเป็นพิษและคนส่วนมากต้องออกจากเมืองไป แถมดูเหมือนว่าไฟที่อยู่ใต้ดินของเมืองก็จะยังลุกไหม้ต่อไปถึงราวๆ 200 ปีเลย   2. เมือง Kolmanskop สถานที่ที่จมอยู่ในทรายแห่งนามิเบีย Kolmanskop เป็นเมืองที่ในอดีตมีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จากการที่มีการพบเหมืองเพชรหลายแห่ง อย่างไรก็ตามสภาพของเมืองที่มีแต่ทรายก็ทำให้เมื่อ แร่เพชรเริ่มที่จะหมดลงในปี 1950 เมืองแห่งนี้ก็เริ่มที่จะสูญสิ้นคุณค่าไป  และแน่นอนว่าในช่วงเวลาเดียวกันคนในเมืองก็ค่อยๆ ลดลงไปด้วย นั่นทำให้ในท้ายที่สุด ในปัจจุบันสิ่งที่ยังคงหลงเหลือในเมืองแห่งนี้ก็เลยมีเพียงแค่ทราย และบ้านร้างที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็เท่านั้น   3. Plymouth มอนต์เซอร์รัต “เมืองปอมเปอีแห่งทะเลแคริบเบียน” Plymouth เดิมทีแล้วเป็นเมืองในแนวหมู่เกาะแอนทิลลิสน้อย ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะลีวาร์ด ซึ่งแม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่แต่ก็มีคนอาศัยอยู่พอประมาณอย่างไรก็ตามในปี 1997…

  • ป้ายหลุมศพหินจากศตวรรษที่ 10-11 ถูกค้นพบที่สกอตแลนด์ โดยฝีมือเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี

    ป้ายหลุมศพหินจากศตวรรษที่ 10-11 ถูกค้นพบที่สกอตแลนด์ โดยฝีมือเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี

    เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สำนักข่าวของประเทศสกอตแลนด์ได้ออกมาประกาศข่าวการค้นพบป้ายหลุมศพโบราณจากศตวรรษที่ 10-11 ในสุสานของโบสถ์ Govan Old Parish โบสถ์เก่าแก่ในเขต Govan ของเมืองกลาสโกว์ เรื่องที่น่าสนใจของการค้นพบในครั้งนี้คือวัตถุโบราณดังกล่าวไม่ได้ถูกค้นพบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือนักโบราณคดี แต่กลับเป็นฝีมือของเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี นาม “Mark McGettigan” อาสาสมัครที่เข้ามาช่วยงานขุดค้นที่โบสถ์เท่านั้น     โดยวัตถุโบราณชิ้นนี้เป็นป้ายหลุมศพที่เรียกกันว่า “Govan Stones” ป้ายหินซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่การสลักลวดลายในแบบของเซลติก และที่ผ่านๆ มาเคยมีการค้นพบมาแล้วราวๆ 46 ชิ้น แม้ว่าแทบจะทั้งหมดเป็นของที่ถูกพบมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้วก็ตาม ดังนั้นสำหรับนักโบราณคดีหลายๆ คนในสกอตแลนด์แล้วการค้นพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในรอบ 20 ปีหรือมากกว่านั้นเลย   หนึ่งใน “Govan Stones” ที่ถูกเก็บไว้   อ้างอิงจากทีมนักโบราณคดีที่ทำการตรวจสอบป้ายหลุมศพที่พบ ป้ายหินนี้น่าจะเป็นของอาณาจักรสแตรธไคลด์ ซึ่งในสมัยนั้นใช้เขต Govan เป็นศูนย์กลางทางความเชื่อของอาณาจักรมาเป็นเวลานาน Mark McGettigan ผู้ค้นพบวัตถุโบราณในครั้งนี้บอกว่า ตอนที่เขามาช่วยงานนั้นเขายังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรบ้าง…

  • นักวิทย์พบธารน้ำแข็งที่เคยบางลงเพราะโลกร้อน หนาขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    นักวิทย์พบธารน้ำแข็งที่เคยบางลงเพราะโลกร้อน หนาขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    ตามปกติเมื่อพูดถึงสถานการณ์โลกร้อนแล้ว เหตุการณ์สำคัญที่ตามมาก็น่าจะเกี่ยวกับการที่น้ำแข็งในหลายๆ ที่บนโลก (เช่นขั้วโลก) ละลายจนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้พบกับปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งในพื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์นั้น ไม่เพิ่มแต่ไม่ละลายเท่านั้นแต่ยังหนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย     นั่นเพราะแทนที่ธารน้ำแข็งชื่อ “Jakobshavn” จะบางลงและค่อยๆ ไหลเข้าใกล้ชายฝั่งเหมือนกับธารน้ำแข็งอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโลกร้อน มันกลับหนาขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไหลออกไปยังทะเลแทน อ้างอิงจากข้อมูลในอดีต ธารน้ำแข็ง Jakobshavn นั้นเป็นที่กังวลของเหล่านักวิทยาศาสตร์มากตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 และในระหว่างปี 2003-2016 ธารน้ำแข็งแห่งนี้ก็เสียความหนาไปถึง 152 เมตร อย่างไรก็ตามตั้งแต่ช่วงปี 2013 เป็นต้นมามันกลับเริ่มกลับมาหนาขึ้นอีกครั้งแถมยังมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปด้วย ทำให้ในช่วงปี 2016-2017 ที่ผ่านมาน้ำแข็งที่พบก็มีความหนามากขึ้นถึง 30 เมตร     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของนาซาที่เฝ้าสังเกตการณ์เหตุน้ำแข็งละลายในกรีนแลนด์หรือ “Oceans Melting Greenland” (OMG) รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นนับว่าผิดไปจากธารน้ำแข็งอื่นๆ ที่พวกเขาพบมาก นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่าเหตุการณ์แปลกๆ นี้ อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ทะเลทางชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์มีอุณหภูมิที่ต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้ โดยนี่เป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางอากาศที่เรียกว่า North Atlantic Oscillation ซึ่งจะส่งผลให้มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือมีอุณหภูมิสลับไปมาระหว่างน้ำเย็นและน้ำอุ่นทุกๆ…

  • งานวิจัยพบ ใต้ทะเลสาบเดดซี มีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอาศัยอยู่ ด้วยการกินชิ้นส่วนเพื่อนที่ตาย

    งานวิจัยพบ ใต้ทะเลสาบเดดซี มีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอาศัยอยู่ ด้วยการกินชิ้นส่วนเพื่อนที่ตาย

    เมื่อพูดถึง “ทะเลสาบเดดซี” เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักชื่อเสียงของที่แห่งนี้กันเป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ หรือในฐานะของทะเลสาบที่ไม่มีวันจม และแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้สมชื่อทะเลสาบแห่งความตาย     ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าลึกลงไปใต้แหล่งน้ำที่เค็มที่สุดในโลกแห่งนี้ มันยังมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่าง “อาร์เคีย” สิ่งมีชีวิตคล้ายแบคทีเรียแต่มีเยื่อหุ้มเซลล์ที่ต่างกันและจัดเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท อาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ แถมอ้างอิงจากงานวิจัยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแล้ว พวกมันอาศัยการกินเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ตายไปในการเอาชีวิตรอดด้วย     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยจากสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสฝ่ายใต้เป้าหมายอยู่ที่การสำรวจสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบเดดซี เพื่อหาว่าสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวใช้วิธีการแบบไหนกันแน่ในการเอาชีวิตรอดในสถานที่ที่มีสภาวะแวดล้อมยากแก่การอยู่อาศัย อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ อาร์เคียที่พวกเขาพบจะเปลี่ยนชิ้นส่วนของเพื่อนที่ตายไปให้เป็น”Wax Esters” โมเลกุลจัดเก็บพลังงานชนิดหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวนำมาใช้ชีวิตได้ ซึ่งและอาศัยพลังงานเหล่านี้เป็นพลังงานหลักในการใช้ชีวิตใต้ทะเลสาบ จริงอยู่ว่าการกินเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในโลก และในบรรดาสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเองเราก็จะสามารถพบแบคทีเรียมีความสามารถกินเพื่อนเพื่อสร้าง Wax Esters แต่ที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบเลยว่าอาร์เคียเองจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย   อาร์เคียกับแบคทีเรียแม้จะคล้ายกันแต่ก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท   การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเช่นนี้ไม่เพียงแต่ล้มล้างความคิดในสมัยก่อนที่ว่า สิ่งมีชีวิตไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับน้ำเค็มจัดของทะเลเท่านั้น แต่มันยังสามารถช่วยอธิบายระบบนิเวศของทะเลสาบเดดซีได้เป็นอย่างดีเลย แถมความรู้ที่มาจากการค้นพบในครั้งนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายการที่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอื่นๆ อย่างใต้พื้นโลกได้ด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทยาศาสตร์พบ สิ่งมีชีวิตจำนวนมากใต้พื้นโลก มีมวลคาร์บอนรวมมากกว่ามนุษย์เสียอีก)     และที่แน่ๆ คือทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าทะเลสาบแห่งความตายนั้น…

  • ย้อนรอยที่มาของ “April Fools’ Day” เทศกาลแห่งการโกหก ที่จัดขึ้นทุกๆ 1 เมษายน

    ย้อนรอยที่มาของ “April Fools’ Day” เทศกาลแห่งการโกหก ที่จัดขึ้นทุกๆ 1 เมษายน

    วันที่ 1 เมษายน สำหรับหลายๆ คนแล้วคงเป็นวันที่ต้องระวังตัวในการรับข่าวสารมากกว่าปกติมากเลยทีเดียว เพราะนี่เป็นวันที่มีคนจำนวนมากออกมาทำการโกหกกันอย่างสนุกสนานกันทั่วโลกเลย ดังนั้นเชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยสงสัยกันบ้างล่ะว่าเจ้าวันโกหกนี้แท้จริงแล้วมันมีที่มาอย่างไรกัน     วันแห่งการโกหกหรือ April Fools’ Day และ All Fools’ Day นั้น เป็นวันที่มีการเฉลิมฉลองกันในหลายๆ วัฒนธรรมทั่วโลกมาตั้งแต่ในสมัยก่อนและเก่าแก่มากพอที่จะทำให้หลักฐานที่มาของมันหายไปตามกาลเวลาได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีหลายๆ รายก็ตั้งข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจว่า วันแห่งการโกหกนั้นเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นแถวๆ ปี 1582 ในตอนที่ประเทศฝรั่งเศสเปลี่ยนปฏิทินประจำประเทศจาก “ปฏิทินจูเลียน” ไปเป็น “ปฏิทินเกรโกเรียน”   จูเลียส ซีซาร์ (ซ้าย) และสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรีที่ 13 (ขวา) บุคคลที่ถูกนำชื่อไปตั้งเป็นชื่อปฏิทิน   การเปลี่ยนแปลงปฏิทินนี้ส่งผลกระทบหลายอย่างกับสังคมฝรั่งเศส โดยหนึ่งในเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญคือการเปลี่ยนวันปีใหม่จากช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงวันที่ 1 เมษายน ไปเป็นวันที่ 1 มกราคมอย่างในปัจจุบัน แน่นอนว่าในปีแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงย่อมมีกลุ่มคนที่ไม่ทันข่าวกันอยู่บ้างและยังคงฉลองปีใหม่ตามปฏิทินแบบเก่าอยู่ และคนเหล่านี้เองก็จะกลายเป็นตัวตลกที่ถูกล้อเลียน จนเป็นที่มาของงานเมษาหน้าโง่ไป     แต่จากเปลี่ยนวันปีใหม่นี้ก็ใช่ว่าจะเป็นทฤษฎีเดียวที่มีการคิดออกมาเพื่ออธิบายการมีอยู่ของวันแห่งการโกหกแต่อย่างใด เพราะยังมีนักโบราณคดีอีกหลายคนที่คาดกันว่า วันแห่งการโกหกอาจจะมีที่มาจาก เทศกาลฮิลาเรียในสมัยโรมันโบราณก็เป็นได้…

  • ชม 19 ภาพเมือง “บูดาเปสต์” เมื่อปี 1965 สถานที่สุดงามของฮังการีที่หลายคนอยากไปสัมผัส

    ชม 19 ภาพเมือง “บูดาเปสต์” เมื่อปี 1965 สถานที่สุดงามของฮังการีที่หลายคนอยากไปสัมผัส

    “บูดาเปสต์” หากเห็นคำนี้แบบผ่านๆ หลายคนก็อาจจะเข้าใจผิดว่า #เหมียวศรัทธา กำลังพูดถึงวงดนตรีอย่างวงบุดด้า เบลสขึ้นมาก่อนก็เป็นได้ แต่จริงๆ แล้วบูดาเปสต์นั้นเป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการีต่างหาก โดยเมืองนี้เกิดขึ้นจากการรวมเมืองบูดากับเมืองเปสต์ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำดานูบเข้าด้วยกัน และมีชื่อเสียงในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน และนำมาซึ่งภาพที่งดงามมากมายตั้งแต่ในอดีต เช่นเดียวกับภาพของเมืองบูดาเปสต์จากปี 1965 ทั้ง 19 ภาพต่อไปนี้   เริ่มจากจัตุรัส Hősök tere หนึ่งในจัตุรัสสำคัญของบูดาเปสต์   สวนน้ำ Palatinus Strandbad . . .   รัฐสภาที่มองจากอีกฝั่งของแม่น้ำ   อีกมุมหนึ่งของรัฐสภา   Stephanskirche หรือโบสถ์เซนต์สตีเฟน .   Szépművészeti Múzeum พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งฮังการี   เมืองบูดาเปสต์เมื่อมองจากมุมสูง   สิงโตประดับที่สะพานข้ามแม่น้ำ   เรือสินค้าเหนือแม่น้ำดานูบ   เมืองบูดาเปสต์ (ฝั่งเมืองบูดา) เมื่อมองจากแม่น้ำ   Erzsébet híd หรือ สะพานเอลิซาเบธ…

  • 5 เหล่าคนมีอำนาจในอดีต ผู้มีวิธีการเสียชีวิตที่แปลกและไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

    5 เหล่าคนมีอำนาจในอดีต ผู้มีวิธีการเสียชีวิตที่แปลกและไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

    ตั้งแต่ในอดีตคนเรามีคำพูดที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานว่า คนเราไม่มีวันหนีความตายพ้น เพราะหากจะถึงคราวตาย แม้แต่ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกก็ทำให้ถึงตายได้ ดังนั้นไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนเราก็จะสามารถพบกับเหล่าผู้คนที่ต้องจากโลกใบนี้ไปด้วยเรื่องอะไรแปลกๆ อยู่เสมอ ความตายของคนพวกนี้หลายๆ คน หากมองกันตามตรงแล้วก็คงจะเป็นอะไรที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างนั้นก็ตามเมื่อมองในสายตาของพวกเราแล้วมันก็เป็นวิธีการตายที่แปลก และไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เหมือนอย่างเหล่าผู้คนในอดีตทั้ง 5 คนต่อไปนี้   เริ่มกันจากราชา Aelle แห่งราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรีย ผู้ถูกสังหารด้วย “อินทรีโลหิต” ในช่วงปี ค.ศ. 867 เขาได้สังหารผู้นำของไวกิ้งด้วยการโยนใส่หลุมงูพิษ ทำให้ลูกชายของผู้นำไวกิ้งคนดังกล่าวจึงบุกมาถึงนอร์ทัมเบรีย (มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ) และจับเขาประหารด้วยการหักกระดูกซี่โครง ปอด และกระดูกสันหลังมาทำเป็นปีก คล้ายกับนกอินทรี ซึ่งเป็นการประหารที่โหดที่สุดของไวกิ้งเป็นการล้างแค้น   จักรพรรดิ Valerian แห่งโรมัน ถูกประหารด้วยการเททองร้อนๆ ใส่ปาก จักรพรรดิคนนี้ถูกประหารโดยชาวเปอร์เซียหลังจากแพ้สงคราม โดยมีการบันทึกไว้สองแบบ หนึ่งคือโดนกรอกทองร้อนๆ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ส่วนอีกแบบบอกว่าเขาถูกถลกหนังและเอาไปยัดฟางเพื่อเก็บเป็นที่ระลึก   Béla I แห่งฮังการี ผู้ตายเพราะบัลลังก์ Béla I ขึ้นครองราชย์ในปี 1060 หลังจากที่ต่อสู้กับศัตรูของฮังการีมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามเขากลับได้ครองบัลลังก์เพียงแค่สามปีเท่านั้น เพราะวันหนึ่งบัลลังก์ที่เจ้าตัวนั่งดันเกิดหักขึ้นมาทำให้เขาบาดเจ็บจนถึงแก่ความตายไป  …

  • นักโบราณคดีพบ “ถ้วยกะโหลกมนุษย์” จากยุคหินในสเปน เชื่อเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย

    นักโบราณคดีพบ “ถ้วยกะโหลกมนุษย์” จากยุคหินในสเปน เชื่อเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินสุภาษิต “ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา” กันมาบ้าง นี่เป็นสุภาษิตจากสมัยโบราณที่หมายความว่า ให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว แต่ในขณะเดียวกันมันก็แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่าคนในสมัยก่อนเคยมีความคิดที่จะนำกะโหลกมาให้เป็นถ้วยหรือภาชนะได้เป็นอย่างดี แถมแนวคิดเหล่านี้เองก็ยังไม่ได้มีอยู่แค่เพียงในไทย เสียด้วยเพราะในทางยุโรปเองเราก็เคยพบหลักฐานการใช้กะโหลกของศัตรูมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มกันมาอย่างยาวนาน และเป็นไปได้ว่ามนุษย์เราจะมีการใช้ “ถ้วยกะโหลก” เหล่านี้มาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์แล้วด้วย   ถ้วยกะโหลกที่เคยมีการถูกพบที่ถ้ำ Gough’s Cave ในอังกฤษ   ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในตอนที่นักโบราณคดีทำการขุดค้นถ้ำโบราณ Cueva de El Toro ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน พวกเขาจะพบว่าคนในยุคหินเองก็มีการใช้ “ถ้วยกะโหลก” กับเขาเช่นเดียวกัน การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัย Durham  มหาวิทยาลัย Cantabria และมหาวิทยาลัย La Laguna โดยพวกเขาได้มีการพบโครงกระดูกของผู้ใหญ่สี่คนและเด็กอีกสามคนที่อยู่ในสภาพที่มีร่องรอยการถูกตัดเฉือน และมีถ้วยที่ทำจากกะโหลก 4 อันอยู่ใกล้ๆ     ทีมนักโบราณคดีบอกว่า จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่การพบถ้วยกะโหลกครั้งแรกในประเทศสเปน แต่กะโหลกที่มีการค้นพบในครั้งนี้ก็นับว่ามีความประณีตในการทำเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับถ้วยกะโหลกอื่นๆ ที่เคยมีการพบมา โดยหลังจากวัดอายุของกระดูกที่พบนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าถ้วยกะโหลกเหล่านี้น่าจะมีอายุได้มากที่สุดถึง 8,000 ปีเลย จากการที่โครงกระดูกทั้ง 7 ร่างมีสภาพถูกตัดเฉือน นักโบราณคดีก็คาดว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นเหยื่อของการที่มนุษย์กินกันเอง หนึ่งในเหตุการณ์ที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ทั้งเรื่องที่ว่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายจริงๆ หรือไม่…

  • นักโบราณคดีพบพระราชวังอายุ 3,000 ปีในอียิปต์ พร้อมคาร์ทูชของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2

    นักโบราณคดีพบพระราชวังอายุ 3,000 ปีในอียิปต์ พร้อมคาร์ทูชของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2

    กลายเป็นข่าวการค้นพบครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของทางประเทศอียิปต์ไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ได้ออกมาประกาศข่าวการค้นพบส่วนหนึ่งของพระราชวังอายุกว่า 3,000 ปี ในเมืองอไบดอส เมืองเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไปทางใต้ของกรุงไคโรราวๆ 550 กิโลเมตร     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นโดยฝีมือของเหล่านักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และเชื่อกันว่าเป็นของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 (หรือโอซีแมนเดียสตามที่บันทึกไว้ในเอกสารกรีกโบราณ) ผู้ซึ่งปกครองอาณาจักรในช่วง 1279–1213 ปีก่อนคริสตกาล โบราณสถานแห่งนี้ ถูกพบครั้งแรกในสภาพสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ ข้างวิหารขนาดใหญ่ที่เคยมีการค้นพบไปก่อนหน้าแล้ว และมี “คาร์ทูช” (สัญลักษณ์ที่ใช้แทนชื่อของฟาโรห์) ของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 สลักเอาไว้ที่บริเวณทางเข้า ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงเชื่อว่าอาคารแห่งนี้น่าจะเคยถูกใช้งานเป็นห้องรับรองของพระราชวังมาก่อน     โดยหลังจากที่พวกเขาทำการสำรวจพื้นที่รอบๆ เพิ่มเติม พวกเขาก็พบกับห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่งซึ่งช่วยยืนยันเป็นอย่างดีว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นพระราชวังจริงๆ อย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงแต่ห้องที่พบจะมีขนาดใหญ่เท่านั้น แต่มันยังมีอักษรฮีโรกริฟฟิคสลักไว้อีกมากพอสมควรเลย อ้างอิงจากข้อมูลของนักโบราณคดีอาคารเหล่านี้ทำขึ้นจากอิฐโคลนและหินปูนเป็นหลัก โดยมีเศษเพดานบางส่วนที่สลักรูปดวงดาวเอาไว้พังลงมาอยู่ที่พื้นด้วย จากฮีโรกริฟฟิคบางส่วนที่มีการค้นพบนักโบราณคดีก็คาดว่าเดิมทีแล้วพระราชวังแห่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอย่างแรก ก่อนฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 จะมีการสั่งให้สร้างวิหารขนาดใหญ่ขึ้นมาใกล้ๆ พระราชวังอีกที ในช่วงเวลาต่อมา   รูปสลักของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 หนึ่งในผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งราชวงศ์ที่ 19   การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นหลักฐานอย่างดีที่บอกว่าเมืองโบราณอย่างอไบดอสนั้นในสมัยก่อนอาจจะมีความสำคัญมากกว่าที่คิด…

  • งานวิจัยเผย มนุษย์เราจะใช้พื้นที่สมองราวๆ 1.5 Mb ในการเรียนภาษาแม่เมื่อตอนเด็ก

    งานวิจัยเผย มนุษย์เราจะใช้พื้นที่สมองราวๆ 1.5 Mb ในการเรียนภาษาแม่เมื่อตอนเด็ก

    ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหนในอดีตเราก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่สมองของเรายังคงเด็กมากจนพูดได้แค่เสียงที่ไม่มีความหมายอย่าง “อ้อแอ้ๆ” ก็เท่านั้น นี่เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนมากจะได้เริ่มเรียนรู้ภาษาแม่ของตัวเอง แม้ว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วช่วงเวลานี้คงจะไม่เหลืออยู่ในความทรงจำอีกต่อไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2019 นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยว่าการเรียนรู้ภาษาแม่ (ในที่นี้คือภาษาอังกฤษ) ซึ่งหลายๆ คนมองว่าเป็นเรื่องยากนั้น ตั้งแต่ตอนเกิดไปจนถึงอายุ 18 ปีจะกินพื้นที่ของสมองเราไปแค่ราวๆ 1.5 เมกะไบต์ หรือเท่าๆ กับแผ่นฟลอปปีดิสก์หนึ่งแผ่นเท่านั้น     อ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัย หน่วยวัดปริมาณแบบ “ไบต์” ที่ถูกใช้เปรียบเทียบในครั้งนี้จริงๆ แล้วเป็นรูปแบบการเก็บข้อมูลด้วยตัวเลขฐานสองของคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่างไปจากรูปแบบการเก็บข้อมูลที่สมองมนุษย์ใช้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เพราะในอดีตเองก็เคยมีงานวิจัยออกมาบอกแล้วว่าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งสมองจะเก็บข้อมูลได้ถึงมากที่สุดถึงราวๆ 25 เพตาไบต์ (ประมาณ 25 ล้านกิกะไบต์) ดังนั้นเราจึงสามารถเปรียบเทียบได้ว่าภาษาที่เรารู้สึกกันว่าเรียนรู้กันยากเหลือเกินนั้น จริงๆ แล้วจึงใช้พื้นที่ในการเก็บในสมองของเราน้อยกว่าไฟล์เพลง Mp3 บางเพลงด้วยซ้ำ     ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าในวันหนึ่งคนเราจะสามารถจดจำภาษาแม่ได้มากที่สุดราวๆ 1,000-2,000 ไบต์ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเราจะจดจำภาษาได้ที่ราวๆ 120 ไบต์ต่อวัน ที่น่าสนใจคือภายใน 1.5 เมกะไบต์ ที่สมองเราใช้ในการจดจำภาษานั้น โดยมากแล้วจะไม่ได้ใช้ในการจดจำไวยากรณ์อย่างที่เราคิด…

  • นักวิทย์พบ กบฟักทองในบราซิล มีกระดูกเรืองแสงทะลุผิวหนังได้ เมื่อส่องด้วยแสง UV

    นักวิทย์พบ กบฟักทองในบราซิล มีกระดูกเรืองแสงทะลุผิวหนังได้ เมื่อส่องด้วยแสง UV

    ลึกเข้าไปในป่าแอตแลนติก ทางตะวันออกของประเทศบราซิล ทีมนักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสถาบันการศึกษานานาชาติได้เข้าไปทำการสำรวจการใช้ชีวิตของกบฟักทอง (Pumpkin Toadlets) กบพิษที่มีจุดเด่นอยู่ที่สีเหลืองอมส้มเพื่อข่มขวัญนักล่าอื่นๆ ที่นั่นพวกเขาได้บังเอิญใช้ไฟฉาย UV ส่องไปยังกบฟักทองสองสายพันธุ์ (Brachycephalus ephippium กับ Brachycephalus pitanga) และพบว่า กบเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีจุดเด่นที่สีของมันเท่านั้น แต่พวกมันยังมีกระดูกที่เรืองแสงสีฟ้าทะลุผิวหนังออกมาได้ด้วย     โดยแสงที่ออกมานี้เป็นการเรืองแสงแบบที่เรียกกันว่า “การวาวแสง” หรือ “Fluorescence” ซึ่งต่างไปจากการเรืองแสงแบบปกติตรงที่มันจะมองไม่เป็นในที่มืดธรรมดา แต่เป็นการที่โมเลกุลบางชนิดดูดซับแสงไว้และปล่อยออกมาโดยมีความยาวคลื่นมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ในภาวะพิเศษอย่างการได้รับแสง UV แทน ตามปกติแล้วการการวาวแสงในรูปแบบนี้มักจะไม่ค่อยพบในสัตว์ที่อาศัยบนบกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง แถมตามปกติสีที่แสดงออกมายังมักเป็นสีแดงหรือเขียวด้วย ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ค่อนข้างแปลกเลย     ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าทำไมกบทั้งสองสายพันธุ์จึงมีการการวาวแสงแบบนี้ แต่พวกเขาก็ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งในลักษณะการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเพื่อขู่นักล่าเนื่องจากนกและแมงมุมบางชนิดจะสามารถมองเห็นการวาวแสงได้ อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกบเหล่านี้คือพวกมันการวาวแสงเพื่อสื่อสารกันเองแบบลับๆ เนื่องจากพวกมันไม่มีหูชั้นกลางและไม่สามารถได้ยินเสียงร้องของตัวเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการการวาวแสงนี้เกิดขึ้นเพื่อหาคู่ในการผสมพันธุ์     อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานชิ้นหลังนี้จะเป็นจริงได้ในกรณีที่กบสองชนิดนี้สามารถมองเห็นการการวาวแสงแบบนี้ได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าพวกมันมีความสามารถนี้ไหม การค้นพบสุดแปลกนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสาร Scientific Reports ส่วนทางทีมวิจัยเองในปัจจุบันก็ได้ทำการเตรียมการตรวจสอบกบทั้งสองสายพันธุ์ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะหาคำตอบว่าการการวาวแสงเหล่านี้ แท้จริงแล้วเกิดขึ้นเพื่ออะไรกันแน่ต่อไป…

  • ชม 21 ภาพเรือเหาะในยุค 1900-1940 ช่วงเวลาสุดโรแมนติกของเหล่าคนรักเรือเหาะ

    ชม 21 ภาพเรือเหาะในยุค 1900-1940 ช่วงเวลาสุดโรแมนติกของเหล่าคนรักเรือเหาะ

    ช่วงยุค 1900-1940 นั้นเป็นช่วงเวลาที่ความฝันในการบินบนฟ้าของมนุษย์ กลายเป็นความจริงขึ้นมาด้วยการสร้างเครื่องบินของพี่น้องตระกูลไรท์ อย่างไรก็ตามแม้จะมีการคิดค้นเครื่องบินขึ้นมาแล้วก็ตาม ในเวลานั้นยานพาหนะอย่างเรือเหาะเองก็ยังคงเป็นสิ่งที่บินบนฟ้าคู่กับเครื่องบินไปอีกนานแสนนาน จริงอยู่ว่าหลังจากช่วงเวลานี้ไปโศกนาฏกรรมของเรือเหาะฮินเดนเบิร์กจะทำให้การสร้างเรือเหาะของโลกต้องยุติลงไปช่วงหนึ่ง แต่ต้นศตวรรษที่ 20 เอง ก็ยังคงเป็นปีแห่งความโรแมนติกของคนรักเรือเหาะอยู่เสมอ และความโรแมนติกเหล่านี้เองก็คือสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้กับภาพเรือเหาะแห่งยุค 1900-1940  ทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากเรือเหาะของ Thomas Scott Baldwin หนึ่งในผู้พัฒนาระบบการบินแบบบอลลูนเมื่อปี 1905   เรือเหาะที่บินอยู่เหนือทำเนียบขาวเมื่อปี 1906   เรือเหาะ Baldwin ในโรงเก็บที่แฮมมอนด์สพอร์ต 1907   เรือเหาะของกองทัพฝรั่งเศส “Republique” ในปี 1907   ภาพเรือเหาะที่มองจากน้ำเมื่อปี 1908   ภาพเครื่องบินและเรือเหาะที่เชื่อกันว่าถ่ายจากเรือ เมื่อปี 1922   เรือเหาะ “Norge” ที่สร้างโดยอิตาลี เหนือนานฟ้าที่นอร์เวย์ 1926   เรือเหาะของเยอรมนี เมื่อปี 1929   เครื่องบินสองลำที่บินอยู่ใต้เรือเหาะ R33…

  • นักวิทย์เผย ประชากรกบทั่วโลกลดลงอย่างน่าใจหาย หลังเชื้อราสองชนิดระบาดรุนแรง

    นักวิทย์เผย ประชากรกบทั่วโลกลดลงอย่างน่าใจหาย หลังเชื้อราสองชนิดระบาดรุนแรง

    ย้อนกลับไปในช่วงยุค 1970 นักวิทยาศาสตร์ของโลกได้พบกับเหตุการณ์ประหลาด เมื่อประชากรกบของโลกเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงทั้งๆ ที่พวกมันก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว การลดลงอย่างปริศนานี้เกิดขึ้นเรื่อยมาจนกระทั่งในยุค 1990 ซึ่งในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับ “Batrachochytrium dendrobatidis” และ “Batrachochytrium salamandrivorans” เชื้อราที่อยู่เบื้องหลังการลดลงของกบในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา   “Batrachochytrium dendrobatidis” และ “Batrachochytrium salamandrivorans” จะก่อให้เกิดโรคชื่อ Chytridiomycosis ซึ่งโรคนี้เองที่เป็นสาเหตุหลักของการลดลงของประชากรกบที่ผ่านๆ มา   แต่ปัญหาคือในเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้คิดไว้เลยว่าเจ้าเชื้อราสองตัวนี้ในอนาคต และลุกลามรุนแรงได้มากขนาดไหน นั่นเพราะเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ 41 คนจากนานาประเทศ ก็ได้ออกมาเปิดเผยความจริงที่ว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เชื้อราสองตัวนี้ได้ทำให้ประชากรสัตว์สายพันธุ์ครึ่งบกครึ่งน้ำของโลกกว่า 500 สายพันธุ์ลดลงไปอย่างน่าใจหาย แถมยังทำให้สัตว์อีกอย่างน้อย 90 สายพันธุ์สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย   กบเรดอายหนึ่งในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 500 สายพันธุ์ที่ได้รับผลจากเชื้อราสองตัวนี้   อ้างอิงจากงานวิจัยที่ออกมา เชื้อราเหล่านี้คาดกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากที่คาบสมุทรเกาหลี โดยมันจะมีความสามารถในการแพร่พันธุ์และติดต่อในหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างรวดเร็วผ่านทางการสัมผัสตัวในหมู่สัตว์ และการแพร่กระจายของสปอร์ไปบนผิวน้ำ เมื่อเชื้อราเหล่านี้สัมผัสกับผิวสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่เป็นเหยื่อมันจะเริ่มแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็วจนทำให้ ผิวของสัตว์ลอกออกมา…

  • นักวิจัยเกาหลีเตือน ไวรัสไข้วัดใหญ่ในสุนัข อาจติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้

    นักวิจัยเกาหลีเตือน ไวรัสไข้วัดใหญ่ในสุนัข อาจติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้

    เป็นที่ทราบกันว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในสัตว์นั้นในบางครั้งก็จะสามารถเกิดการติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังมนุษย์ได้ ดังนั้นที่ผ่านๆ มาหากมีโรคภัยไข้เจ็บระบาดรุนแรงในหมู่สัตว์ใกล้ตัวคนเราปล่อยครั้งก็จะมีการออกมาประกาศเตือนภัยโดยเหล่าแพทย์อยู่เสมอ และแล้วเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 นี่เองเราก็ได้เห็นการออกมาเตือนภัยในรูปแบบดังกล่าวอีกครั้ง เมื่อเหล่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกาหลีในประเทศเกาหลีใต้ได้ออกมาประกาศผลการวิจัยใหม่ที่ว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่บางชนิดในสุนัขนั้นอาจมีความสามารถติดต่อข้ามสายพันธุ์มายังคนก็เป็นได้     การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่กินเวลากว่า 10 ปี ซึ่งต่อยอดจากงานวิจัยในอดีต ที่ว่าไวรัสไข้หวัดหมู (H1N1/2009) และไวรัสไข้หวัดนก (H3N2) สามารถติดต่อไปยังสุนัขได้ แต่ในงานวิจัยล่าสุดนี้เองทางมหาวิทยาลัยเกาหลีได้พบว่าไวรัสไข้หวัดหมู และไข้หวัดนกนั้นไม่เพียงแต่ติดต่อไปยังสุนัขได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถ “ผสมกัน” ในสุนัขจนเกิดเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ด้วย   ไวรัส H1N1 ที่มีประวัติเคยระบาดในหมูและสุนัขมาแล้ว   โดยไวรัสตัวใหม่นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2012 และถูกเรียกโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า “CIVmv” ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกที่ออกมาไวรัสตัวนี้จะดูไม่มีผลกระทบกับคนเป็นพิเศษ แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันมีโอกาสที่จะติดต่อมายังมนุษย์ได้ด้วย ข้อสรุปนี้ เกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์พบว่าไวรัสตัวนี้สามารถติดต่อจากสุนัขไปยังตัวเฟอเรทที่มีระบบตัวรับกรดซิลิก (ซึ่งไวรัสจะใช้ในการผูกตัวกับเซลล์) คล้ายมนุษย์ ได้มีการติดไวรัส CIVmv ไปแล้ว แถมยังเกิดขึ้นเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับการติดต่อข้ามสายพันธุ์ของไวรัสอื่นๆ ที่ผ่านมาด้วย เมื่อติดไวรัสตัวนี้แล้วสุนัขและเฟอเรทจะมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ มีอาการ ไอ น้ำตาไหล จาม อ่อนเพลียและความอยากอาหารลดลง ซึ่งเป็นอาการโดยพื้นฐานของไข้หวัดใหญ่ในสุนัข  …

  • “Shtorka” ปีศาจร้ายไร้รูปร่างซึ่งใช้ความกลัวเป็นอาวุธ ตำนานที่ถูกลืมแห่งโครเอเชีย

    “Shtorka” ปีศาจร้ายไร้รูปร่างซึ่งใช้ความกลัวเป็นอาวุธ ตำนานที่ถูกลืมแห่งโครเอเชีย

    เคยได้ยินเรื่องราวของปีศาจร้ายชื่อ “Shtorka” กันไหม? เชื่อว่าเมื่อถามแบบนี้คำตอบของหลายๆ คนก็คงจะเป็นคำว่าไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะเรื่องราวของปีศาจตนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นที่เล่าขานกันในประเทศโครเอเชียเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมันยังมักจะถูกลืมว่ามีตัวตนไปแล้วด้วย Shtorka หรือชื่อเดิมว่า “Štorka” เป็นปีศาจที่มีจุดเด่นอยู่ที่การ “ไร้รูปร่าง” ซึ่งต่างไปจากสัตว์ในเทพนิยายอื่นๆ มาก และส่งผลให้มันไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควรแม้ว่าจะมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจไป     ปีศาจตัวนี้แม้ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นปีศาจก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะโจมตีคนไม่เลิกหน้า กลับกันพวกมันยังมักซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและค่อยปกป้องเด็กๆ ไม่ให้เจ็บตัวหรือหลงป่าอีกด้วย ซึ่งมาในรูปแบบการขู่ให้เด็กกลัวด้วยวิธีต่างๆ กันไป เช่นทำให้เด็กๆ เห็นภาพหลอนของสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุด ปัญหาคือหากคนที่ Shtorka ติดตามอยู่ไม่ย่อมฟังคำเตือนของมัน ปีศาจตัวนี้จะเปลี่ยนจากการเตือนไม่ให้เด็กๆ พบกับอันตรายเป็นการออกล่าพวกเขาแทน โดยมันจะลากเด็กๆ เข้าไปในความมืด กัดกินพวกเขาทั้งเป็นและลากวิญญาณไปทรมานต่ออีก     แน่นอนว่าตำนานของ Shtorka นั้นไม่ได้หยุดอยู่ที่เด็กๆ เท่านั้น เพราะในสมัยก่อน หลายๆ พื้นที่ (โดยเฉพาะในชนบท) ของประเทศโครเอเชียก็มีการใช้ Shtorka ในการสอนผู้ใหญ่เช่นกัน ทำให้สัตว์ร้ายตัวนี้กลายเป็นฝันร้ายของคนกลุ่มหนึ่งไปเลยก็ไม่ผิดนัก แน่นอนว่า Shtorka ในความเป็นจริงแล้วก็น่าจะเป็นเพียงกุศโลบายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ทำตัวไม่ดี หรือแอบเข้าไปในป่า เช่นเดียวกับตำนานอื่นๆ ก็เท่านั้น…

  • พบเศษเครื่องดินเผาอายุกว่า 2,500 ปีในอิสราเอล เชื่อเป็นของ “เทพเบส” ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย

    พบเศษเครื่องดินเผาอายุกว่า 2,500 ปีในอิสราเอล เชื่อเป็นของ “เทพเบส” ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย

    เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ของประเทศอิสราเอลได้มีการออกมาประกาศข่าวการค้นพบเศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผาอายุกว่า 2,500 ปีของชาวเปอร์เซีย ในการขุดค้นที่จอดรถ Givati ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่กำลังมีการขุดค้นของเยรูซาเล็มในปัจจุบัน     โดยเศษเครื่องปั้นดินเผาที่มีการพบในครั้งนี้มีจุดเด่นอยู่การตกแต่งเป็นรูปของเทพเบส (Bes) เทพที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขนาดตัวที่เล็กคล้ายคนแคระ สวมหมวกรูปขนนกกระจอกเทศ และมีใบหน้าที่แปลกประหลาดที่มักแลบลิ้นราวกับล้อเลียนอะไรบางอย่างอยู่ เทพเบสนั้นเป็นเทพพื้นเมืองซึ่งปรากฏตัวออกมาบ่อยๆ ในงานศิลปะอียิปต์ ซึ่งแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่แปลกแต่ก็ทำหน้าที่คุ้มครองคนในบ้านจากสิ่งชั่วร้ายได้เป็นอย่างดี จนในหลายๆ ครั้งคนโบราณก็เชื่อกันว่าเสียงหัวเราะของเทพเบสนั้นจะทำให้ภูตผีปีศาจหวาดกลัวได้เลย     น่าเสียดายที่เศษเครื่องปั้นดินเผาที่พบนั้นส่วนล่างของใบหน้าเทพเบสนั้นได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามเราก็ยังสามารถเห็นความเป็นเอกลักษณ์ของเทพเบสได้ไม่ยากจากดวงตาและจมูกที่ยังเหลืออยู่ อ้างอิงจากทีมนักโบราณคดี เศษเครื่องปั้นดินเผานี้น่าจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของเหยือกที่เรียกกันว่า “Bes-vessel” หรือ “เหยือกเบส” หนึ่งในงานฝีมือที่ชาวเปอร์เซียนำเข้ามาจากอียิปต์ และเป็นที่โด่งดังมากในช่วง 400-500 ปีก่อนคริสตกาล     คุณ Yuval Gadot ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Tel Aviv บอกว่าเศษเครื่องปั้นดินเผาชิ้นนี้นับเป็นเหยือกเบสชิ้นแรกที่นักโบราณคดีเคยพบมาในเยรูซาเล็มเลย ดังนั้นแม้ว่าโบราณวัตถุที่มีการค้นพบจะไม่สมบูรณ์อย่างที่หวังก็ตาม แต่นี่ก็ยังคงนับว่าเป็นการค้นพบที่มีคุณค่าสำหรับอิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง   ที่มา cbn, archaeology, livescience และ israelnationalnews

  • นักโบราณคดีพบ “ไหใส่ไข่” ในสุสานที่ประเทศจีน คาดมาจากยุคชุนชิว และมีอายุราว 2,500 ปี

    นักโบราณคดีพบ “ไหใส่ไข่” ในสุสานที่ประเทศจีน คาดมาจากยุคชุนชิว และมีอายุราว 2,500 ปี

    เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสำนักข่าวประเทศจีนได้ออกมารายงานการค้นพบไหขนาดใหญ่ในสุสานเก่าแก่ในแหล่งโบราณคดีที่เมือง Shangxing ทางตะวันออกของประเทศจีน โดยไหที่พบนี้เชื่อกันว่ามีอายุราวๆ 2,500 ปี และภายในบรรจุไข่ราวๆ 20 ฟองเอาไว้     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างนักโบราณคดีจากสถาบันโบราณคดีนานกิงและพิพิธภัณฑ์ลี่หยาง ผู้ซึ่งได้ทำการเข้าสำรวจสุสาน 6 ชั้นจากยุคชุนชิว (770-453 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และพบไหประหลาดนี้อยู่ในสุสานชั้นที่ห้า อ้างอิงจากทีมนักสำรวจ ไหขนาดใหญ่อันนี้ถูกพบในดินโคลนในสภาพที่มีฝาปิด พร้อมๆ กับอุปกรณ์ทำครัวอื่นๆ เช่นถ้วย หม้อ จาน ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าเจ้าของสุสานนี้น่าจะมีฐานะในระดับหนึ่ง     น่าเสียดายที่เนื้อในของไข่นั้นส่วนมากได้ถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาแล้ว เหลือไว้เพียงเปลือกที่เป็นแคลเซียมเท่านั้น ทำให้การตรวจสอบไข่ที่พบจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวังมาก เพราะเพียงแค่การสัมผัสไข่เบาๆ ก็อาจจะทำให้เปลือกไข่แตกได้ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในการค้นพบเมื่อปี 2015 ที่มณฑลกุ้ยโจว คุณ Lin Liugen จากสถาบันโบราณคดีนานกิงกล่าวว่าการที่ไข่มาอยู่ในสุสานได้นั้นอาจมีเหตุผลได้หลากหลาย ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ หรือแนวคิดที่ว่าการฝังอาหารไว้กับผู้ที่จากไปจะทำให้พวกเขาไม่ต้องทนหิวในโลกหลังความตาย     แน่นอนว่านี่อาจจะไม่ใช่การค้นพบไข่ในสุสานเป็นครั้งแรกของประเทศจีนก็จริงอยู่ แต่การค้นพบไข่ที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้วางแผนที่จะนำไข่เหล่านี้ไปทำการทดสอบกันต่อไป  …

  • นักโบราณคดีพบจารึกโบราณอายุกว่า 3,900 ปี กว่า 100 ชิ้น ที่เหมืองอเมทิสต์ในอียิปต์

    นักโบราณคดีพบจารึกโบราณอายุกว่า 3,900 ปี กว่า 100 ชิ้น ที่เหมืองอเมทิสต์ในอียิปต์

    เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศได้มีการออกมารายงานการค้นพบจารึกโบราณที่แกะสลักบนหินร่วม 100 ชิ้น ที่ Wadi el-Hudi เหมืองอเมทิสต์ (พลอยสีม่วง) ที่เคยมีการใช้งานในประเทศอียิปต์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์     ในการค้นหาครั้งนี้ ทีมวิจัยได้ทำการใช้เทคโนโลยีโมเดลสามมิติ การถ่ายภาพ RTI (Reflectance Transformation Imaging) และเทคโนโลยีการรังวัดด้วยภาพในการตรวจสอบเหมือง และพบว่านอกจากวัตถุโบราณที่เคยมีการค้นพบเมื่อปี 2015 แล้ว เหมือง Wadi el-Hudi ยังมีจารึกที่เราไม่ทราบมาก่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมากเลย โดยนอกจากหิน 100 ชิ้น แล้วในบริเวณใกล้เคียงนักโบราณคดียังพบ “สตีล” (จารึกบนพื้นหรือเสา) อีก 14 อัน และ “ออสตราก้า” (จารึกบนเครื่องปั้นดินเผา) อีกกว่า 45 อัน     จารึกโบราณบนหินส่วนมากจะมีอายุราวๆ 3,900 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รู้จักกันในชื่อ “อาณาจักรกลาง”…

  • ชม 19 ภาพสุดแปลกจากช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่บอกให้รู้ว่าคนสมัยก่อนไม่ได้ซีเรียสเสมอไป

    ชม 19 ภาพสุดแปลกจากช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่บอกให้รู้ว่าคนสมัยก่อนไม่ได้ซีเรียสเสมอไป

    ภาพถ่ายเก่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหน ก็มีหน้าที่เก็บเอาความทรงจำของผู้คนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆ ที่พวกเขาได้ไปเห็น เหตุการณ์ที่พวกเขาต้องประสบ หรือแม้แต่เหล่าผู้คนที่พวกเขารัก แต่ก็อย่างที่คนในปัจจุบันไม่ได้ถ่ายภาพแบบซีเรียสๆ เสมอไป คนสมัยก่อนเองในบางครั้งก็ถ่ายภาพด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้อยากจริงจังเท่าไหร่กัน และภาพเหล่านี้เองก็จะออกมาในสภาพที่ตลกบ้างแปลกบ้างแล้วแต่โอกาสไป เหมือนอย่างเช่นภาพถ่ายจากต้นศตวรรษที่ 20 เรากำลังจะไปชมกันต่อไปนี้   เริ่มจากอะไรที่ไม่แปลกนักแต่ก็ไม่ได้ธรรมดาอย่าง “รถม้าลาย” เมื่อปี 1905   ภาพการปั่นจักรยานที่มีจุดให้ตั้งคำถามเต็มไปหมดจากปี 1900   การแต่งงานสลับเพศจากช่วงปี 1900   ภาพที่ถูกตั้งชื่อว่า “Fallen Over” หรือ “การล้มลง” จากช่วงปี 1900   บ้านต้นไม้ที่ไม่รู้ทำไมไปสร้างอยู่ระหว่างต้นไม้   ภาพเด็ก “แอบมอง” จากปี 1908 ว่าแต่ออกมาจากตรงไหนนั่น   ภาพเด็กบนเกวียนไก่จากช่วงปี 1910   ภาพการเผชิญหน้าจากปี 1910   ภาพสาวๆ ปล่อยผมในปี 1910 หลอนแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก   ภาพ…

  • ว่าที่นักบินอวกาศพบ สัตว์ตระกูลครัสเตเชียนสายพันธุ์ใหม่ ระหว่างการฝึกในถ้ำที่อิตาลี

    ว่าที่นักบินอวกาศพบ สัตว์ตระกูลครัสเตเชียนสายพันธุ์ใหม่ ระหว่างการฝึกในถ้ำที่อิตาลี

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่ากว่าจะได้นักบินอวกาศที่มีฝีมือมาเหล่านักบินจะต้องผ่านการฝึกที่หลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกใต้น้ำ หรือเหนือจากพื้นดิน 400 กิโลเมตร และที่แปลกแต่ก็ขาดไม่ได้เลยอย่างการฝึกในถ้ำใต้ดิน 800 เมตร     เดิมทีแล้วการฝึกประเภทสุดท้ายนี้ออกแบบมาให้นักบินชินกับการสำรวจพื้นที่ที่มืดมิดและไม่รู้จักซึ่งมีความใกล้เคียงกับการสำรวจดวงดาวหลายๆ ดวงในอวกาศ ในกรณีที่พวกเขาต้องออกสำรวจด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาอุปกรณ์อัตโนมัติ ว่าแต่ใครจะคิดกันเล่าว่าในระหว่างการสำรวจที่ทำขึ้นเพื่อการฝึกแบบนี้ เหล่านักบินอวกาศจะพบกับสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่เข้าจริงๆ     โดยในระหว่างการฝึกในถ้ำที่แคว้นปกครองตนเองซาร์ดิเนียในประเทศอิตาลี ตั้งแต่เมื่อปี 2012 นั้น เหล่านักบินอวกาศได้บังเอิญค้นพบสัตว์น้ำโปร่งใสในตระกูลครัสเตเชียน (ตระกูลกุ้ง กั้ง ปู) ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาจึงได้ตัดสินใจจับสัตว์ที่พบมาตรวจสอบโดยอาศัยเหยื่อที่ทำจากตับและชีสเน่า การวิเคราะห์โมเลกุลหลังจากนั้นแสดงให้พวกเขาทราบว่าสัตว์น้ำตัวนี้ไม่เหมือนสัตว์อื่นๆ ที่เคยมีการพบมาในพื้นที่เลย ดังนั้นเหล่านักบินอวกาศจึงได้ตั้งชื่อสัตว์ที่พบว่า “Alpioniscus Sideralis” ซึ่ง Sideralis เป็นคำว่า “ดวงดาว” (Stellar) ในภาษาละติน และได้มีการจัดการตีพิมพ์รายงานการค้นพบตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา     Alpioniscus Sideralis นั้นจัดว่าเป็นแมงคาเรือง หรือเหาไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนที่ขึ้นจากน้ำมาอาศัยบนบก โดยสายพันธุ์ Sideralis ที่ถูกพบในครั้งนี้จะมีจุดเด่นอยู่ที่การวิวัฒนาการเปลือกนอกที่ควรจะเป็นสีดำให้เป็นสีขาว และวิวัฒนาการส่วนหัวให้เหมาะสมกับการอาศัยในถ้ำมากขึ้น     Paolo…

  • ย้อนรอย “เข็มกลัดทารา” งานฝีมือแห่งไอร์แลนด์ที่แม้แต่ราชินีวิกตอเรียก็อยากได้ไว้ครอบครอง

    ย้อนรอย “เข็มกลัดทารา” งานฝีมือแห่งไอร์แลนด์ที่แม้แต่ราชินีวิกตอเรียก็อยากได้ไว้ครอบครอง

    เคยได้ยินเรื่อง “เข็มกลัดทารา” กันมาก่อนไหม นี่เป็นหนึ่งในงานฝีมือโลหะที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของไอร์แลนด์เลยก็ว่าได้     เจ้าเข็มกลัดชิ้นนี้เป็นเข็มประดับที่ทำด้วยเงินทุบทอง ซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายเฉพาะตามรูปแบบของเซลติกโบราณ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากนก หมาป่า และมังกร และคาดกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 700 เข็มกลัดทารา ได้รับชื่อมาจากเนินทาราซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระที่นั่งของกษัตริย์ไอร์แลนด์ อย่างไรก็ตามผิดจากชื่อของมันตัวเข็มกลัดนั้นไม่ได้มีหลักฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับกษัตริย์หรือตัวเนินดังกล่าวเลย     กลับกันบันทึกที่เหล่านักโบราณคดีมียังบอกว่าเข็มกลัดทารา (ในสมัยนั้นยังไม่มีชื่อ) ถูกพบที่หาดในเบ็ตตีสทาวน์เมื่อปี 1850 โดยหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งแทน แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ว่าหญิงคนดังกล่าวจะโกหกเพื่อที่จะได้มีต้องมีปัญหากับเจ้าของพื้นที่ที่เธอพบเข็มกลัดจริงๆ ก็ตาม แต่ไม่ว่าที่มาของเข็มกลัดนี้จะเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วมันก็จะถูกขายต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปอยู่ในมือของพ่อค้าชาวดูไบ George Waterhouse และได้รับชื่อว่าเข็มกลัดทาราในภายหลัง (เชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนชื่อเพื่อเพิ่มมูลค่าของตัวเข็มกลัดอีกที)     แน่นอนว่าด้วยรูปร่างที่งดงามของมัน ในช่วงเวลานั้นจึงมีคนอยากได้เข็มกลัดแบบนี้ไปครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น Waterhouse ผู้ซึ่งเปิดร้านเครื่องประดับอยู่แล้ว จึงได้เริ่มทำเครื่องประดับรูปร่างคล้ายกับเข็มกลัดทาราออกขายจนเป็นที่รู้จักของคนในสมัยนั้นไป หลังจากวันนั้นมาเข็มกลัดทาราก็ถูกนำไปจัดแสดงอยู่หลายที่ตั้งแต่กรุงลอนดอนของอังกฤษ และกรุงปารีสของฝรั่งเศส จนทำให้ตัวเข็มกลัดเลียนแบบขายดีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียมาสั่งซื้อไปเป็นจำนวนมากเลย     ท้ายที่สุดแล้วเข็มกลัดทาราก็ถูกส่งไปยังคอลเล็กชันของราชวิทยาลัยแห่งไอร์แลนด์ในปี ก่อนที่ทางราชวิทยาลัยจะส่งใช้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไอร์แลนด์ในเวลาต่อมา และถูกจัดแสดงมาตลอดจนถึงในปัจจุบัน   ที่มา ancient-origins, museum

  • หนุ่มอินเดียเสียชีวิต หลังตรวจพบพยาธิจำนวนมากในสมอง ตาขวา และถุงอัณฑะ

    หนุ่มอินเดียเสียชีวิต หลังตรวจพบพยาธิจำนวนมากในสมอง ตาขวา และถุงอัณฑะ

    เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสาร “The New England Journal of Medicine” ได้มีการออกมาเปิดเผยข่าวประหลาด เมื่อมีชายหนุ่มอายุ 18 ปีชาวอินเดียคนหนึ่งถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาล ด้วยอาการชักกระตุก หมดสติ และมีการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง พ่อแม่ของชายหนุ่มบอกกับทีมแพทย์ว่าลูกชายของพวกเขามีอาการเจ็บที่บริเวณขาหนีบมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เองเขากลับมีอาการชัก และตาขวาบวมอย่างผิดปกติ     หลังจากที่ทางทีมแพทย์ตรวจสอบร่างกายของชายหนุ่มอย่างละเอียดด้วยระบบ MRI และการตรวจสอบอื่นๆ พวกเขาก็พบว่าชายหนุ่มคนนี้มีถุงน้ำซึ่งเกิดจากพยาธิตัวตืดอยู่ที่สมองชั้นนอก เหนือตาขวา และถุงอัณฑะ   อ้างอิงจากในรายงานนี่คืออาการของโรค Neurocysticercosis โรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวตืดในระบบประสาทซึ่งพบได้ในประเทศแถบแอฟริกา ลาตินอเมริกา และเอเชีย โดยในกรณีนี้ชายหนุ่มมีการติดเชื้อจากพยาธิตัวตืดหมู (Taenia solium) ซึ่งคาดว่าติดมากับการทานอาหารของตัวชายหนุ่มเอง   ส่วนหัวของ Taenia solium เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์   อาการของโรคนี้สามารถรุนแรงได้ถึงระดับเสียชีวิต โดยเฉพาะในกรณีของชายคนนี้ เขามีถุงน้ำจำนวนมากในร่างกายจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาต่อต้านปรสิตธรรมดา ทำให้สุดท้ายทีมแพทย์จำเป็นต้องรักษาโดยพึ่งพาสเตียรอยด์และยาต้านโรคลมชักแทน   น่าเสียดายที่แม้ว่าทางทีมแพทย์จะพยายามยื้อชีวิตของชายหนุ่มมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือชายคนนี้ไว้ได้อยู่ดี เพราะหลังจากที่ทนทรมานอยู่ราวๆ…

  • ชมดาบของขุนศึกชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 15 ที่ถูกบันทึกด้วยระบบสามมิติเต็มรูปแบบ

    ชมดาบของขุนศึกชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 15 ที่ถูกบันทึกด้วยระบบสามมิติเต็มรูปแบบ

    ในสมัยก่อนหากเราอยากเห็นดาบโบราณสักเล่มแบบที่ไม่ใช่รูปภาพ สิ่งที่เราต้องทำก็คงจะไม่พ้นการเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ที่เก็บดาบเหล่าไว้ด้วยตัวเอง แต่ในปัจจุบันนั้นด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ในที่สุดเราก็อาจจะสามารถรับชมดาบโบราณสวยๆ ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องลุกออกจากหน้าคอมหรือมือถือด้วยซ้ำ     เพราะเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานั้นเอง ด้วยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งวาเลนเซีย และบริษัท Ingheritag3D เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการบันทึกภาพดาบโบราณ (อย่างน้อยๆ ก็ส่วนด้ามจับ) ไว้เป็นโมเดลสามมิติเพื่อเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าชมผ่านทางอินเทอร์เน็ตจนได้ โดยเจ้าดาบที่ถูกนำไปทำเป็นโมเดลสามมิติในครั้งนี้คือดาบของ “Ali Atar” ขุนศึกชาวมุสลิมผู้เสียชีวิตในการรบแห่งลูเซนา (Battle of Lucena) การรบระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสเตียน ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1483   โมเดลสามมิติที่ถูกทำออกมาโดยมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งวาเลนเซีย และบริษัท Ingheritag3D ถ้าดูไม่ได้ให้เข้าไปชมโดยตรงที่นี่   นี่เป็นดาบที่เรียกกันว่า “ดาบนาส์ริท” ตามชื่อราชวงศ์มุสลิมราชวงศ์สุดท้ายแห่งคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่การประดับด้ามจับไว้ด้วยทอง หินมีค่าหลายชนิด ลวดลายของสัตว์ต่างๆ ตัวอักษรอาราบิกสุดงดงาม และปลายด้ามดาบรูปโดม อ้างอิงจากรายงานของมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งวาเลนเซียด้ามสามมิติที่เห็นนี้ ถูกทำขึ้นจากการถ่ายรูปดาบจากหลายๆ มุมก่อนที่จะมีการวัดขนาดจากภาพที่ได้ และคำนวณออกมาในระบบดิจิทัล     José Luis Lerma หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ในปัจจุบันเราจะไม่สามารถพึงพอใจกับการรักษาทรัพยากรที่มีค่าทางวัฒนธรรมในรูปแบบกายภาพเท่านั้นอีกต่อไป…

  • “สามอเมริกัน” ภาพถ่ายชิ้นแรก ที่เผยแพร่ความตายของทหารสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลก

    “สามอเมริกัน” ภาพถ่ายชิ้นแรก ที่เผยแพร่ความตายของทหารสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลก

    ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ๆ ทางประเทศได้มีการขอความร่วมมือไม่ให้นักข่าวสงครามนำภาพความตายของทหารสหรัฐฯ กลับไปเผยแพร่ในประเทศ เนื่องจากความกลัวว่าประชาชนจะไม่สนับสนุนสงครามอีกต่อไป อย่างไรก็ตามในยุทธการที่กัวดัลคะแนล บนหาดบูนาได้มีช่างภาพคนหนึ่งตัดสินใจถ่ายภาพความโหดร้ายของสงครามกลับไปเผยแพร่ในประเทศจนได้ และในเวลาต่อมา ภาพของเขามันก็จะกลายเป็นตำนานไป     นี่คือภาพ “ชาวอเมริกันสามคนเสียชีวิตบนชายหาดบูนา” (Three dead Americans lie on the beach at Buna) หรือ “สามอเมริกัน” (Three Americans) ภาพที่มีชื่อง่ายๆ ตรงๆ ของทหารไม่ทราบนามสามนาย ที่เสียชีวิตในระหว่างการปฏิบัติการ และนอนแน่นิ่งอยู่บนหาดอย่างน่าปวดใจ ภาพที่ว่านี้ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในนิตยสาร Life เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1943 ซึ่งถูกเก็บภาพไว้โดยช่างภาพชื่อ George Strock แต่แม้ว่าภาพนี้จะมีชื่อง่ายๆ ก็ตามแต่กว่าที่มันจะออกมาสู่สายตาประชาชนได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทางคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวิดิทัศน์ (กองเซนเซอร์) ของสหรัฐฯ ในสมัยนั้น ได้มีการสั่งยับยั้งการตีพิมพ์ภาพดังกล่าวในหนังสืออย่างเด็ดขาด   การรบที่หาดบูนานั้น มีทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งจากฝั่งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น จนที่แห่งนี้ได้ชื่อเล่นว่า “หาดนอน”…

  • นักวิทย์ฯ เนเธอร์แลนด์แจก “กัญชาสังเคราะห์” ในการทดลองแบบควบคุมเป็นครั้งแรกของโลก

    นักวิทย์ฯ เนเธอร์แลนด์แจก “กัญชาสังเคราะห์” ในการทดลองแบบควบคุมเป็นครั้งแรกของโลก

    เพื่อนๆ เคยได้ยินข่าวเรื่อง “กัญชาสังเคราะห์” หรือ “K2” กันไหม มันเป็นการผลิตสารที่ส่งผลคล้ายกัญชาขึ้นมาด้วยการพ่นสารเคมีลงบนใบพืช ทำให้สามารถกำหนดระดับความเมาได้ง่าย และเชื่อกันว่ามันเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์กว่ากัญชาธรรมชาติ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดได้ว่ากัญชาสังเคราะห์นั้นส่งผลกับคนมากน้อยเพียงใด     ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์จากประเทศเนเธอร์แลนด์จึงได้จัดการทดลองสุดแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนด้วยการแจกกัญชาให้อาสาสมัครเพื่อทดสอบผลกระทบของกัญชาสังเคราะห์ต่อมนุษย์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้สูบเสียเลย งานวิจัยชิ้นนี้ได้มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และจัดทำขึ้นโดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมทั้งหมด 17 คน โดยแต่ละคนจะต้องมาที่ห้องทดลองสองครั้งในช่วงเวลาที่ห่างกัน 7 วัน โดยในครั้งแรกนั้น อาสาสมัครจะได้รับกัญชา ที่มีการผสมกัญชาสังเคราะห์จากสารชื่อ JWH-018 ส่วนในการมาครั้งที่สอง พวกเขาจะได้รับกัญชาธรรมชาติ โดยที่อาสาสมัครจะไม่ทราบว่าตัวเองได้กัญชาแบบไหนไปในตอนที่ทำการทดสอบ   ผงสาร JWH-018 ที่นำไปทำกัญชาสังเคราะห์   ในบรรดาอาสาสมัครนั้นจะมี 5 คนซึ่งได้รับกัญชาสังเคาระห์ในปริมาณที่กำหนดตามน้ำหนักตัว ในขณะที่อีก 12 คนจะได้รับกัญชาสังเคราะห์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่คน และทุกคนจะต้องถูกสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 12 ชั่วโมงยังจากที่มีการเสพกัญชาไป น่าเสียดายที่ผลที่ออกมานั้นไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างที่หวังไว้ เพราะแม้ว่าผู้เสพกัญชาทุกคนจะมีอาการหัวใจเต้นเร็วราวๆ 1 ชั่วโมงหลังจากเสพกัญชาสังเคราะห์ไปก็ตาม แต่อาการอื่นๆ ของอาสาสมัครทั้งการแสดงออก ปริมาณสารเคมีในกระแสเลือด และความรู้สึกของผู้เสพ…

  • พบซากเสือจากัวร์และเด็กที่ถูกบูชายัญในเม็กซิโก เชื่อนำไปสู่สุสานจักรพรรดิแอซเท็กที่หายไป

    พบซากเสือจากัวร์และเด็กที่ถูกบูชายัญในเม็กซิโก เชื่อนำไปสู่สุสานจักรพรรดิแอซเท็กที่หายไป

    เมื่อราวๆ 500 ปีก่อนจัตุรัสกลางเมือง Zocalo แหล่งท่องเที่ยวในประเทศเม็กซิโก เชื่อกันว่าเคยเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมแอซเท็กมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยึดครองโดยชาวสเปนในปี 1521 ที่นั่นมีแหล่งโบราณคดีที่รู้จักกันในชื่อว่า “Templo Mayor” สถานที่ซึ่งในอดีตมีพีระมิด 15 ชั้น ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของจักรพรรดิซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆ มาเรากลับไม่สามารถหาสุสานดังกล่าวได้พบมาก่อนเลย   รูปจำลองของ Templo Mayor ในอดีต   จนกระทั่งเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ เมื่อสื่อของเม็กซิโกได้ออกมารายงานการค้นพบพบกล่องสี่เหลี่ยมสองกล่องที่ขนาดต่างกัน ทำจากหินถูกฝังอยู่ที่แท่นบูชายัญใกล้ๆ พื้นที่พีระมิดของ Templo Mayor นั่นเอง โดยในกล่องที่เล็กกว่าโครงกระดูกของเด็กชายที่เป็นเหยื่อในพิธีบูชายัญ บรรจุเอาไว้ในสภาพที่แต่งกายคล้ายนักรบ ที่ทรวงอกมีร่องรอยถูกควักหัวใจออกไป และประดับไปด้วยมีดกับหินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง     ส่วนกล่องขนาดใหญ่ที่พบนั้นมีขุมทรัพย์ที่เกี่ยวกับการบูชายัญของชาวแอซเท็กเก็บไว้อยู่ข้างในเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่กระดูกเสือจากัวร์ที่ประดับไว้ด้วยตราของเทพสงคราม Huitzilopochtli นก Roseate Spoonbill (เป็นนกฟลามิงโกสายพันธุ์หนึ่ง) และเปลือกหอยและปะการังใส่เอาไว้เป็นชั้นๆ นักโบราณคดีก็คาดกันว่านี่น่าจะเป็นการบูชายัญที่จัดทำขึ้นเพื่อเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ในสมัยนั้น เพราะเสือจากัวที่นำมาเป็นเครื่องบูชานั้น สามารถใช้เป็นตัวแทนของ “Ahuitzotl” หนึ่งในผู้นำทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมโสอเมริกาได้เลย     ที่น่าสนใจคือเหล่านักโบราณคดียังสามารถขุดค้นกล่องดังกล่าวไปได้เพียงราวๆ 1 ใน…

  • นักโบราณคดีพบ สาเหตุที่เมืองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสลาย หลังตรวจสอบขยะอายุ 1,500 ปี

    นักโบราณคดีพบ สาเหตุที่เมืองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสลาย หลังตรวจสอบขยะอายุ 1,500 ปี

    ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 1,500 ปีก่อนเมือง Elusa (หรือ Haluza) หนึ่งในเมืองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้เติบโตขึ้นจนถึงขีดสุด คนมีทั้งโรงละคร โรงอาบน้ำ แถมยังมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างต่ำๆ ถึง 20,000 คน จนกลายเป็นหนึ่งในเมืองส่งออกสำคัญของสมัยนั้นไป แต่แล้วหลังจากที่เมืองรุ่งเรืองอยู่ได้ราวๆ 1-2 ศตวรรษจู่ๆ เมือง Elusa  ก็เกิดล่มสลายไปอย่างมีปริศนา ทิ้งเอาไว้เพียงซากเมืองที่ถูกทรายกลบหายไปตามกาลเวลาเท่านั้น     ที่ผ่านๆ มาเราคิดกันว่าการล่มสลายของเมืองแห่งนี้น่าจะมาจากการถูกกำหนดข้อจำกัดในการผลิตไวน์ซึ่งเป็นรายได้หลักของเมืองแห่งนี้ แต่แล้วล่าสุดนี้เอง เราก็พบกับความเป็นไปได้ใหม่ของสาเหตุที่ทำให้เมืองแห่งนี้ล่มสลายไปจนได้ เมื่อเหล่านักโบราณคดีได้ทำการตรวจสอบขยะที่เชื่อว่าถูกทิ้งโดยคนในเมือง Elusa ในอดีตและพบว่า เมืองแห่งนี้นั้นจริงๆ แล้วน่าจะล่มสลายไปจากเหตุผลอื่นมากกว่า     นั่นเพราะในที่ทิ้งขยะของเมือง Elusa นักโบราณคดีได้ทำการค้นพบถ่าน เมล็ดพืชต่างๆ และอาหารที่ถูกทิ้งไว้เป็นจำนวนมากซึ่งหากนำไปตรวจสอบอายุแล้วนักโบราณคดีก็ทราบว่าถูกนำมาทิ้งที่นี่ตลอดระยะเวลา 150 ปีหลังจากที่เมือง Elusa ถูกตั้งขึ้น และหายไปอย่างน่าประหลาดหลังจากนั้น จากหลักฐานใหม่นี้ทำให้นักโบราณคดีทราบว่าเมือง Elusa นั้นน่าจะเริ่มล่มสลายไปช่วงกลางศตวรรษที่ 6 ซึ่งเป็นก่อนที่ชาวอิสลามจะเข้ามาควบคุมการปกครองในพื้นที่และตั้งข้อจำกัดในการผลิตไวน์เสียอีก     กลับกันในช่วงเวลาที่เมือง Elusa ล่มสลายไป นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าในพื้นที่ของจักรวรรดิไบแซนไทน์นั้น…

  • นาซาเผยภาพอุกกาบาตเมื่อ วันที่ 18 ธ.ค. 2018 หลังพบว่ามีดาวเทียมจับภาพไว้ได้ถึง 2 ดวง

    นาซาเผยภาพอุกกาบาตเมื่อ วันที่ 18 ธ.ค. 2018 หลังพบว่ามีดาวเทียมจับภาพไว้ได้ถึง 2 ดวง

    หากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทางนาซาได้ออกมาประกาศว่า ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ได้มีอุกกาบาตระเบิดเหนือท้องฟ้าของมหาสมุทรบริเวณเขตแดนระหว่างรัสเซียกับรัฐอลาสก้า แต่กลับแทบไม่มีใครรู้ตัวเลย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นาซาเผย วันที่ 18 ธ.ค. 2018 มีอุกกาบาตระเบิดเหนือท้องฟ้า รุนแรงกว่าปรมาณู 10 เท่า)     ในเวลานั้นเราคาดกันว่าภาพของอุกกาบาตลูกดังกล่าวคงจะแทบไม่มีดาวเทียมดวงไหนถ่ายไว้ทันเลย แต่หลังจากที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ของนาซาได้ทำการตรวจสอบบันทึกข้อมูลที่พวกเขามีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ดูจริงๆ แล้ว พวกเขาก็พบว่ามีดาวเทียมอย่างน้อย 2 ดวง สามารถจับภาพอุกกาบาตในวันนั้นได้ ดาวเทียมสองดวงที่จับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้คือดาวเทียม Terra ของนาซา และดาวเทียม Himawari-8 ของญี่ปุ่น โดย Himawari-8 นั้นได้นำภาพอุกกาบาตมาเผยแพร่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2019     อย่างไรก็ตามภาพในวันนั้นไม่ใช่ภาพทั้งหมดที่ดาวเทียมดวงนี้ถ่ายไว้ เพราะทั้งดาวเทียม Himawari-8 และดาวเทียม Terra นั้นสามารถถ่ายภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้เป็นจำนวนมาก…

  • ผู้เชี่ยวชาญบอก ที่รูปสลักอียิปต์โบราณมักมีจมูกที่เสียหาย เกิดขึ้นเพราะคนไม่ใช่กาลเวลา

    ผู้เชี่ยวชาญบอก ที่รูปสลักอียิปต์โบราณมักมีจมูกที่เสียหาย เกิดขึ้นเพราะคนไม่ใช่กาลเวลา

    เคยสังเกตกันไหมว่าประติมากรรมโบราณของทางอียิปต์หลายอย่าง เช่นรูปสลักของสฟิงซ์นั้นมักจะมีส่วนจมูกที่ไม่สมบูรณ์อยู่เสมอ ในสมัยก่อนเราอาจจะเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากตัวประติมากรรมเหล่านี้เกิดความเสียหายขึ้นตามกาลเวลา ส่วนที่ยื่นออกมาอย่างจมูกจึงถูกทำลายไปอย่างช่วยไม่ได้     แต่อ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดโดยภัณฑารักษ์ (เจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์) ของหอศิลป์อียิปต์ในพิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน Edward Bleiberg ดูเหมือนว่าที่จมูกของประติมากรรมอียิปต์โบราณมักจะถูกทำลายนั้นไม่ได้เกิดมาจากการพังทลายตามกาลเวลา แต่เป็นเพราะการทำลายโดยเจตนาของมนุษย์มากกว่า คุณ Edward ได้แนวคิดนี้มาหลังจากที่เขาได้ทำการตรวจสอบวัตถุโบราณจากในพิพิธภัณฑ์และพบว่า ความเสียหายที่บริเวณจมูกและใบหน้าบนวัตถุโบราณของอียิปต์นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ในหมู่รูปปั้นหรือรูปสลักเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในผลงานสองมิติอย่างภาพวาดหรือภาพสลักด้วย     จริงอยู่ว่าความเสียหายตามกาลเวลาอาจจะทำให้ส่วนจมูกที่เปราะบางของงานประติมากรรม 3 มิติพังทลายลงมาได้ แต่สำหรับงานศิลปะ 2 มิติแล้ว การที่ส่วนใบหน้าหรือจมูกเท่านั้นที่ถูกทำลายมันเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติเป็นอย่างมาก ดังนั้น Edward จึงคาดว่าความเสียหายพวกนี้น่าจะเกิดขึ้นอย่างตั้งใจมากกว่า Edward อธิบายว่าตามปกติแล้วงานศิลป์ในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็น 3 มิติ หรือ 2 มิติ ล้วนแต่ทำขึ้นเพื่อแสดงอำนาจไม่ว่าจะเป็นทางกำลังทรัพย์ของผู้ก่อสร้าง หรืออำนาจของเทพต่างๆ  แต่สำหรับคนอียิปต์แล้วงานศิลป์ต่างๆ จะถูกนับเป็น “ตัวแทน” ของต้นแบบงานศิลป์นั้นๆ ได้ด้วย     งานศิลป์ของอียิปต์เองจะถูกใช้เป็นสื่อระหว่างโลกคนเป็นกับโลกหลังความตาย ราวกับว่าวิญญาณคนที่ตายไปได้มาสิงอยู่ในรูปปั้น และคงอยู่ไปอีกนานแสนนาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ที่ไม่พอใจต้นแบบของผลงานศิลป์จะทำลายรูปปั้นที่เป็นตัวแทนคนเหล่านั้น และการทำลายที่เจาะจงไปที่จมูกก็น่าจะเพื่อไม่ให้ตัวแทนของคนที่ตัวเองเกลียดสามารถ “หายใจ” ได้อีกต่อไป  …

  • ชม 20 ภาพสุดหดหู่ของ “Jonestown Massacre” เมื่อความเชื่อทำให้คนตายกว่า 900 คน

    ชม 20 ภาพสุดหดหู่ของ “Jonestown Massacre” เมื่อความเชื่อทำให้คนตายกว่า 900 คน

    เคยได้ยินเรื่องราวของการสังหารและฆ่าตัวตายหมู่แห่งโจนส์ทาวน์หรือ “Jonestown Massacre” กันมาก่อนไหม มันเป็นเหตุการณ์ที่ลัทธิ “Peoples Temple” ซึ่งก่อตั้งมาในช่วงยุค 50 ก่อการฆ่าตัวตายหมู่ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ และมีผู้เสียชีวิตกว่า 900 คนนั่นเอง (อ่านเรื่องราวเต็มๆ ของ Jonestown Massacre ได้ที่ รู้จัก “จิม โจนส์” เจ้าลัทธิสุดสยอง ผู้เคยหลอกให้คน 900 คนฆ่าตัวตายพร้อมๆ กัน!!) Jonestown Massacre นั้นนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีประชาชนชาวสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งเลยก็ว่าได้ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงพาเพื่อนๆ ไปชมภาพส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้กัน จะได้เป็นอุทาหรณ์ว่าครั้งหนึ่งความเชื่องมงายเคยทำให้คนต้องจบชีวิตลงไปแบบไหน   เริ่มกันจากภาพถ่ายทางอากาศของสถานที่เกิดเหตุ .   ศพจำนวนมากที่ในบริเวณพื้นที่ของลัทธิ Peoples Temple .   โดยมากแล้วผู้ตายในเหตุการณ์นี้จะอยู่ในสภาพนอนคว่ำ และบางครั้งก็โอบกอดกันอยู่ . .   วรรณกรรมคอมมิวนิสต์ที่เกลื่อนเต็มห้องสมุดของโจนส์ทาวน์   เข็มฉีดยาที่คาดว่าใช้ในการฆ่าตัวตายหมู่ซึ่งวางอยู่เกลื่อนโต๊ะ   เข็มฉีดยาและขวดใส่ยาพิษที่ถูกเก็บมาเป็นหลักฐาน .  …

  • ชม “อักษรโรโงโรโง” อักขระลึกลับแห่งเกาะอีสเตอร์ ที่คาดว่าเก็บประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้ไว้

    ชม “อักษรโรโงโรโง” อักขระลึกลับแห่งเกาะอีสเตอร์ ที่คาดว่าเก็บประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้ไว้

    เมื่อพูดถึงเกาะราปานูอี หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เกาะอีสเตอร์” เชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงจะคิดถึงตำนานหินหน้าคนอย่าง “โมอาย” ขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรก เพราะนอกจากนี่จะเป็นมรดกโลกล้ำค่าแล้ว โมอายยังเป็นวัตถุโบราณที่ผู้เชี่ยวชาญถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าทำขึ้นมาเพื่ออะไรด้วย ว่าแต่รู้หรือไม่ว่านอกจากตัวโมอายเองแล้ว บนเกาะแห่งนี้เองก็ยังมีวัตถุโบราณปริศนาที่ยังไขไม่ออกอยู่อีกอย่างหนึ่งด้วย โดยมันเป็นจารึกอักษรโบราณที่มีรูปร่างสุดประหลาด และยังไม่มีใครถอดรหัสได้นั่นเอง     นี่คืออักขระที่ชื่อว่า “อักษรโรโงโรโง” อักษรที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์ หรือไม่ก็อักษรฮีโรกราฟฟิกของอียิปต์ ซึ่งมักถูกสลักไว้บนแผ่นไม้ และเชื่อกันว่ามีอยู่รวมๆ แล้วมากกว่าหมื่นตัว อักษรโรโงโรโงถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1864 โดย Eugène Eyraud ผู้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาบนเกาะ โดยในเวลานั้นเข้าได้พบกับแผ่นไม้ที่มีอักษรประหลาดเช่นนี้ถึง 26 อัน     คำว่า “โรโงโรโง” มาจากภาษาราปานูอีอันเป็นภาษาดังเดิมของเกาะอีสเตอร์ แปลว่า “การร่ายมนตร์” หรือ “การสวด” ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าไหร่เพราะสภาพอักขระโรโงโรโงที่เราเห็นบ่อยๆ นั้นมักจะถูกเขียนอัดกันเต็มแผ่นไม้ไปหมดจนทำให้มันดูขลังและลึกลับคล้ายบทร่ายคาถามากๆ น่าเสียดายที่นอกจากชื่อแล้ว เราแทบจะไม่ทราบเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับแผ่นไม้นี้เลย ทั้งวิธีอ่าน ที่มา หรือแม้แต่ใครกันที่เป็นคนคิด     ทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับแผ่นไม้นี้คือ มันถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยประชาชนบนเกาะอีสเตอร์หลังจากเห็นการเขียนของชาวสเปน เมื่อปี 1770 ก่อนที่จะใช้อยู่ช่วงหนึ่งโดยเป็นการบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะเป็นหลัก อย่างไรก็ตามอักษรที่ออกมานั้นใช้ยากเกินไปคนบนเกาะจึงเปลี่ยนไปใช้อักษรละตินแทน…

  • ผู้เชี่ยวชาญพบ “โรงงานผลิตเครื่องมือ” ของมนุษย์นีแอนเดอธัล ในแหล่งโบราณคดีที่โปแลนด์

    ผู้เชี่ยวชาญพบ “โรงงานผลิตเครื่องมือ” ของมนุษย์นีแอนเดอธัล ในแหล่งโบราณคดีที่โปแลนด์

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่ามนุษย์โบราณอย่าง “มนุษย์นีแอนเดอธัล” นั้น มีการคิดค้นอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้งานตั้งแต่ในอดีตไม่ต่างจากบรรพบุรุษของมนุษย์ แถมอุปกรณ์ของพวกเขาเองก็มีประสิทธิภาพดีกว่าที่เราคิดด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ งานวิจัยพบ “มนุษย์นีเอนเดอร์ธัล” อาจขว้างหอกได้มีประสิทธิภาพกว่าที่เราคิด) ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์นีแอนเดอธัล ไม่เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่พวกเขายังจริงจังกับการผลิตอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันมากด้วย เพราะจากการค้นพบล่าสุดในโปแลนด์ ดูเหมือนว่ามนุษย์โบราณเหล่านี้จะมี “โรงงาน” ไว้ผลิตเครื่องมือโดยเฉพาะเลย     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทีมวิจัยจากสถาบันโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Wrocław และสถาบันมานุษยวิทยาวิวัฒนาการ Max Planck โดยเกิดขึ้นในแหล่งโบราณคดี Pietraszyno ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโปแลนด์ ที่นั่นนักโบราณคดีได้ค้นพบพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าเคยถูกใช้เป็นสถานที่ผลิตเครื่องมือหินโดยมนุษย์นีแอนเดอธัลเมื่อราวๆ 60,000 ปีก่อน เนื่องจากในที่แห่งนี้มีอุปกรณ์หินเก่าแก่ถูกค้นพบถึง 17,000 ชิ้น การค้นพบในครั้งนี้ทำให้แหล่งโบราณคดีแห่งนี้กลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องมือนอกถ้ำของมนุษย์นีแอนเดอธัลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ของการใช้งานอุปกรณ์หินในหมู่มนุษย์โบราณเลย     นั่นเพราะที่ผ่านๆ มา เราเคยเชื่อกันว่าการผลิตอุปกรณ์ในปริมาณมากๆ ของมนุษย์โบราณนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นในช่วง 40,000-10,000 ปีก่อนโดยมนุษย์ยุคใหม่เท่านั้น ส่วนมนุษย์โบราณอย่างนีแอนเดอธัลนั้นไม่น่าจะอาศัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานพอที่จะทำโรงงานขนาดใหญ่ Dr. Andrzej Wiśniewski จากมหาวิทยาลัย Wrocław หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า การค้นพบในครั้งนี้ขัดแย้งกับความเชื่อเก่าๆ โดยสิ้นเชิงเพราะการที่มีเครื่องมือหินที่สร้างโดยมนุษย์นีแอนเดอธัลอยู่ในที่เดียวกันเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมเป็นหลักฐานอย่างดีว่ามนุษย์นีแอนเดอธัลอย่างน้อยๆ ก็ต้องอาศัยอยู่ที่นี่นานพอสมควรแน่ๆ นอกจากนี้เครื่องมือในโรงผลิตยังมีการแบ่งประเภทการใช้งานที่ค่อนข้างชัดเจนและมีเครื่องมือที่แปลกแยกไปจากหมวดหมู่หลักอย่างอุปกรณ์ชำแหละหรืออุปกรณ์ออกล่าอยู่ไม่มาก…

  • ชม 5 อาหารเก่าแก่ที่นักโบราณคดีพบในโบราณสถาน หากเผลอกินไปคงได้เข้าโรงพยาบาล

    ชม 5 อาหารเก่าแก่ที่นักโบราณคดีพบในโบราณสถาน หากเผลอกินไปคงได้เข้าโรงพยาบาล

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า อาหารส่วนใหญ่ที่มนุษย์ทานมักเป็นของที่เน่าเสียได้ง่ายมาก ดังนั้นการที่จะพบอาหารจริงๆ ที่ยังอยู่ในสภาพตรวจสอบได้ในโบราณสถานจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่านักโบราณคดีจะไม่เคยพบอาหารโบราณเลย เพราะในบางครั้งอาหารจากสมัยก่อนก็สามารถอยู่รอดผ่านกาลเวลามาถึงในปัจจุบัน แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่ากินเป็นอย่างยิ่งแล้วก็ตาม เหมือนกับอาหารโบราณสุดแปลกทั้ง 5 ชนิดต่อไปนี้ ที่บอกเลยว่าถ้าเผลอกินลงไปอาจจะได้เข้าโรงพยาบาลกันบ้างละ   1. ซุปโบราณจากจีน นี่เป็นซุปกระดูกที่ถูกใส่ไว้ในหม้อสามขา ถูกพบในเมืองซีอาน ซึ่งมีจุดเด่นคือตัวน้ำซุปที่ยังคงเป็นน้ำอยู่แม้ผ่านไปกว่า 2,400 ปี อย่างไรก็ตามตัวซุปนั้นกลายเป็นสีเขียวไปแล้ว เนื่องจากปฏิกิริยาออกซิเดชันจากหม้อที่ทำจากทองแดงอย่างที่เห็น   2. “Bog butter” เนยจากบึงแห่งไอร์แลนด์ สำหรับชาวไอร์แลนด์โบราณนั้น พวกเขาจะมีการหมักเนยแบบแปลกๆ อย่างการขุดหลุมในบึงและฝังเนยเอาไว้อยู่ และแน่นอนว่าเมื่อมีการฝังเนยหลายชิ้น ย่อมต้องมีคนที่ลืมเนยที่ตัวเองฝังกันบ้าง ทำให้เนยเหล่านี้ผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันไป โดย Bog butter ก้อนที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ มีอายุถึง 5,000 ปีเลยทีเดียว   3. ชีสของมัมมี่ในจีน ในตอนที่นักโบราณคดีค้นพบมัมมี่ 200 ร่างที่ทะเลทราย Taklamakan ในจีนนั้น เชื่อว่าพวกเขาคงจะรู้สึกแปลกใจพอสมควรเลย เพราะที่คอของมัมมี่ที่พวกเขาพบนั้นดันมีชีสผูกเอาไว้ด้วย แถมยังมีสภาพดีอยู่แม้เวลาผ่านไปกว่า 4,000 ปี โดยเชื่อกันว่า ชีสเหล่านี้ถูกนำมาผูกไว้เพื่อเป็นเสบียงให้กับคนตายระหว่างการเดินทางไปโลกหน้า   4.…

  • ย้อนรอยภาพดัง “The Last Man to Die” ของทหารสหรัฐฯ ที่ถูกซุ่มยิง เมื่อปี 1945

    ย้อนรอยภาพดัง “The Last Man to Die” ของทหารสหรัฐฯ ที่ถูกซุ่มยิง เมื่อปี 1945

    ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1945 ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองใกล้ถึงจุดสิ้นสุดลงเต็มทีแล้ว ช่างภาพสงครามชื่อ Robert Capa ได้ร่วมเดินทางกับหน่วยทหารราบที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อไปถ่ายภาพที่เมืองไลพ์ซิช ประเทศเยอรมนี ที่นั่นเขาพบกับพลทหารสองคนที่ขึ้นไปเตรียมตั้งปืนกลบนระเบียงบ้าน เขาจึงตัดสินใจตามขึ้นไปถ่ายภาพการทำงานของทหารทั้งสองด้วย โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่าภาพที่เขาจะได้พบในวันนั้น จะกลายเป็นภาพในตำนานของสงครามโลกครั้งที่สองไป     นี่คือภาพ “The Last Man to Die” หรือ “ชายคนสุดท้ายที่ตาย” ภาพของทหารอเมริกันที่ถูกยิงสังหารโดยหน่วยซุ่มยิงของนาซี ซึ่งในภายหลังจะได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร Life และกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีคนกล่าวถึงมากที่สุดในยุคนั้นไป อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของตากล้องในเวลานั้นพลปืนคนหนึ่งได้เดินไปสูบหรี่ในบ้านพอดี ดังนั้นผู้ตายจึงต้องบรรจุกระสุนปืนอยู่คนเดียว และในเสี้ยววินาทีนั้นเองก็มีกระสุนพุ่งทะลุหน้าผากของเขาไป   สถานที่เกิดเหตุไม่นานหลังจากนั้น   Robert Capa บอกว่าความตายที่เขาเห็นนั้น “สะอาดหมดจด และงดงามอย่างน่าประหลาด” จนกลายเป็นสิ่งที่เขาจดจำได้ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยพลทหารที่ตายในภาพนั้นในภายหลังได้มีทางครอบครัวออกมายืนยันว่าชื่อ Raymond J. Bowman ซึ่งในตอนนั้นอายุได้เพียง 21 ปีเท่านั้น อ้างอิงจากเข็มกลัดอักษรย่อที่คอเสื้อของเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการยืนยันจากทางนิตยสาร Life แต่หลายๆ…

  • กรณีศึกษาแห่งเคนยา เมื่อการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมนำมาซึ่งเหตุนองเลือด และความตาย

    กรณีศึกษาแห่งเคนยา เมื่อการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมนำมาซึ่งเหตุนองเลือด และความตาย

    ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1991 ประเทศเคนยาได้พบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของระบบการบริหารบ้านเมือง เมื่อพรรคสหภาพแห่งชาติเคนยา (Kenya National Union Party) หรือ KANU ซึ่งปกครองประเทศแต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี 1982 ได้ออกมาประกาศการเลือกตั้งแบบระบบหลายพรรคเป็นครั้งแรก     ในเวลานั้นประชาชนรู้สึกมีความหวังกันมาก เพราะนี่หมายความว่าในที่สุดประชาชนก็จะได้มีสิทธิ์เลือกประธานาธิบดี และก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยแล้ว ส่วนทางพรรค KANU เองถึงจะต้องพบกับความท้าทายอยู่บ้างแต่ก็ยังคงสามารถชนะการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในปี 1992 และกุมอำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งไว้ได้อีกเกือบๆ 10 ปี แต่แล้วในปี 2002 เมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งในเคนยาก็ถูกหว่านลงไปโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เมื่อนาย Daniel arap Moi จากพรรค KANU แพ้การเลือกตั้งให้แก่นาย Mwai Kibaki จากพรรคพันธมิตรสายรุ้งแห่งชาติ (National Rainbow Coalition หรือ NARC) และประเทศเคนยาก็ได้ประธานาธิบดีที่ไม่ใช่ของพรรค KANU จนได้   นาย Mwai Kibaki ประธานาธิบดีคนที่สามของเคนยา   ปัญหาคือในระหว่างการบริหารประเทศนาย Kibaki กลับถูกมองว่าทำหน้าที่บริหารได้ไม่ดีในหลายๆ…

  • ชม 19 ภาพหายากขององค์กร NASA ในยุคแรกๆ ตั้งแต่ช่วงที่อวกาศยังเป็นเพียงแค่ความฝัน

    ชม 19 ภาพหายากขององค์กร NASA ในยุคแรกๆ ตั้งแต่ช่วงที่อวกาศยังเป็นเพียงแค่ความฝัน

    เมื่อพูดถึงองค์กรการบินและอวกาศที่มีชื่อเสียงของโลกอย่าง “NASA” ชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงจะนึกภาพขององค์กรที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยศูนย์รวมของเหล่าผู้เชี่ยวชาญลำดับต้นๆ ของโลกขึ้นมาเป็นสิ่งแรก แต่ก็แน่นอนว่าไม่ว่าองค์กรนี้จะใหญ่แค่ไหนมันก็ต้องมีวันที่องค์กรเพิ่งเริ่มต้นขึ้นใหม่ๆ กับเขาเหมือนกัน ซึ่งสำหรับองค์กร NASA แล้ว เรื่องราวของพวกเขาก็เริ่มขึ้นในแถวๆ ยุค 20 ตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเป็นองค์กรคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการบินแห่งชาติหรือ NACA  อยู่เลย ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพหายากขององค์กร NASA และ NACA ในช่วงที่การขึ้นไปบนอวกาศยังเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นกัน ว่าแต่จะเป็นภาพแบบไหนกันนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพของอุโมงค์ลมแห่งแรกของ NACA ที่ถ่ายในปี 1921   ถังแรงดันของอุโมงค์ความหนาแน่นผันแปรของ NACA เมื่อปี 1922   การผลิตโครงส่วนปีกของเครื่องบิน Thomas-Morse MB-3 เมื่อปี 1922   การทดสอบเครื่องบิน Sperry M-1 ในปี 1927   อุโมงค์ลมความเร็วสูงที่มองจากหอระบายความร้อนเมื่อปี 1942   โมเดลขนาด 1 ต่อ…

  • ชม “ทุ่งไหหิน” แหล่งโบราณคดีไหหินทรายของลาว ที่ยังไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไร

    ชม “ทุ่งไหหิน” แหล่งโบราณคดีไหหินทรายของลาว ที่ยังไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไร

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่อง “ทุ่งไหหิน” หรือ “Plain of Jars” กันมาก่อนไหม มันเป็นแหล่งโบราณคดีและแหล่งท่องเที่ยวที่มีความมหัศจรรย์และลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ที่เชียงขวาง แขวงทางเหนือของประเทศลาวเพื่อนบ้านของเรา     ที่แห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีประเภทหินขนาดใหญ่ (Megalith) ที่ประกอบไปด้วยหินรูปร่างคล้ายไหหลายร้อยอันที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ 2,000-3,000 ปี โดยส่วนมากแล้วจะทำจากหินทราย มีชิ้นที่ใหญ่ที่สุดสูงถึง 3 เมตร และน้ำหนักสูงสุด 15 ตัน ทุ่งไหหินถูกบันทึกไว้ว่ามีการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 โดยความร่วมมือระหว่าง นักโบราณคดีชาวลาวและชาวญี่ปุ่น พร้อมๆ กับวัตถุโบราณเกี่ยวกับพิธีกรรมที่น่าจะเป็นงานศพใกล้ๆ และโครงกระดูกมนุษย์ในไหบางลูก     เหตุผลที่แท้จริงที่คนในสมัยก่อนสร้างไหเหล่านี้ขึ้นมายังคงเป็นปริศนาแม้ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามอ้างอิงจากสิ่งที่พบพร้อมๆ กับไห เหล่านักโบราณคดีก็คาดว่าที่แห่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลังความตายของคนสมัยก่อนหรือไม่ก็ใช้เป็นที่เก็บน้ำฝน ในขณะที่ตำนานของทางลาวเองได้ระบุว่า ที่แห่งนี้นั้นเป็นที่เก็บสุราโบราณ ซึ่งกษัตริย์ในสมัยก่อนสั่งให้สร้างขึ้นหลังสามารถปราบยักษ์ที่เป็นศัตรูได้     ทุ่งไหหินในลาวนั้น ถูกแบ่งเป็นสามกลุ่มตามสถานที่ตั้งของมันโดยกลุ่มที่หนึ่งมีอยู่ประมาณ 200 ลูก และมีขนาดใหญ่กว่าในกลุ่มอื่นๆ ห่างจากเมืองโพนสวรรค์ประมาณ 7.5 กิโลเมตร กลุ่มที่สอง อยู่ห่างจากเมืองไปทางใต้ 25…

  • “เส้นแห่งซาฮามา” เส้นลึกลับแห่งโบลิเวีย ที่เรายังไม่ทราบว่าสร้างโดยใคร และเพื่ออะไร

    “เส้นแห่งซาฮามา” เส้นลึกลับแห่งโบลิเวีย ที่เรายังไม่ทราบว่าสร้างโดยใคร และเพื่ออะไร

    เมื่อพูดถึงเส้นลึกลับที่เกิดจากน้ำมือของคนสมัยก่อน เชื่อว่าไม่ว่าใครก็คงจะนึกถึง “เส้นนาซคา”ในทะเลทราย ประเทศเปรูเป็นสิ่งแรก แต่ทราบกันหรือไม่ว่าเส้นลึกลับในรูปแบบคล้ายๆ กับเส้นนาซคานั้นยังมีอยู่อีกแห่งหนึ่งบนโลกด้วย     โดยเจ้าเส้นลึกลับนี้มีชื่อว่า “เส้นแห่งซาฮามา” (Sajama Lines) เส้นทางที่ตั้งอยู่ในราบสูงทางตะวันตกของประเทศโบลิเวีย และคาดกันว่าสร้างขึ้นโดยชนพื้นเมืองเมืองใกล้ๆ ภูเขาไฟซาฮามาเมื่อราวๆ 3,000 ปีก่อน เส้นแห่งซาฮามาครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 22,525 ตารางกิโลเมตร ซึ่งแต่ละเส้นมีความกว้างราวๆ 1-3 เมตร และมีเส้นที่ยาวที่สุดอยู่ที่ 20 กิโลเมตร     ต่างไปจากเส้นที่ทะเลทรายนาซคา  เส้นที่พบในซาฮามาจะไม่ได้โค้งเป็นรูปร่างประหลาด แต่มักจะเป็นเส้นตรงหลายๆ เส้นตัดกลับไปมาที่สร้างขึ้นจากการกวาดเอาเศษหินเศษทรายออกไปจากทางด้วยมือมนุษย์สมัยก่อนที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีค่อยช่วยเหลือแต่อย่างไร เส้นแห่งซาฮามาเชื่อกันว่าถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยนักเดินทางชื่อว่า Aimé Felix Tschiffely ในปี 1932 ก่อนที่จะมีนักวิจัยชื่อ Alfred Metraux เข้ามาทำการศึกษาและทำให้เส้นนี้เป็นที่รู้จัก จนมีการจัดตั้งองค์กรขึ้นดูแลไม่ให้ที่แห่งนี้ถูกทำลายไปในเวลาต่อมา     นักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่าเส้นที่เห็นเหล่านี้ในสมัยก่อนน่าจะถูกให้ในการนำทางผู้เดินทางแสวงบุญไปมาระหว่างสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า “Wak’as” (ศาลเจ้า) กับ “Chullpas” (หอคอยฝังศพ) และชุมชน อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ไม่ได้มีหลักฐานปรากฏอยู่แต่อย่างไร น่าเสียดายที่แม้เราจะเก็บข้อมูลมากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่พบหลักฐานที่จะมายืนยันได้อยู่ดีว่าที่แห่งนี้สร้างขึ้นโดยใคร สร้างขึ้นอย่างไร…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ ที่คนเราออกเสียง “f” และ “v” ได้ อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน

    งานวิจัยใหม่ชี้ ที่คนเราออกเสียง “f” และ “v” ได้ อาจจะมาจากการเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าความสามารถในการออกเสียงที่ซับซ้อนของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานของมนุษย์ ว่าแต่เชื่อกันไม่ว่าเสียงบางเสียงที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น เป็นเสียงที่เราเพิ่งจะใช้กันได้เมื่อไม่กี่พันปีก่อนนี้เอง นั่นเพราะอ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยซูริค เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาอ้างว่าเสียง /f/ และ /v/ ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น ไม่ได้มาพร้อมกับการวิวัฒนาการของมนุษย์เมื่อ 300,000 ปีก่อนอย่างที่พวกเราเคยคิด แต่มาจากการทำการเกษตรเมื่อราวๆ 10,000-4,000 ปีก่อนเท่านั้น (แล้วแต่พื้นที่ของโลก)     โดยทางนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่าในตอนที่มนุษย์เราเริ่มมีการทำการเกษตรนั้น บรรพบุรุษของเหล่ามีการเปลี่ยนอาหารหลักจากเนื้อสัตว์ไปเป็นผลิตภัณฑ์การเกษตรซึ่งมีความนุ่มมากกว่าอาหารในอดีตมาก ความนุ่มนี้ทำให้ระบบฟันของคนเรานั้นมีความเปลี่ยนแปลงไป จากที่ฟันบนเคยอยู่ในระดับเสมอกับฟันล่าง คนในสมัยนั้นก็พัฒนาฟันบนที่ยืนไปข้างหน้ามากกว่าฟันล่างเล็กน้อยขึ้น หรือที่เรียกว่า “Overbite” และเจ้าฟันนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญของการออกเสียงในมนุษย์   ภาพการเปรียบเทียบฟันแบบเสมอกัน (ซ้าย) และฟันแบบ Overbite (ขวา)   นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองสร้างแบบจำลองของศีรษะมนุษย์ในคอมพิวเตอร์ดู พวกเขาก็พบว่าการที่คนเรามีฟันแบบ Overbite นั้น จะทำให้เราออกเสียงที่ต้องอาศัยริมฝีปากล่างและฟันบน หรือ “Labiodental” ได้ง่ายกว่าการมีฟันแบบเสมอกันถึง 29% เลย การค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในสมัยก่อนเสียง /f/ และ /v/ น่าจะไม่เป็นที่นิยมหรือไม่มีการใช้งานเลยในสมัยก่อน และเพิ่งจะมามีการใช้งานในช่วงที่ฟันของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้วเท่านั้น     อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการในครั้งนี้กลับไม่ได้มีแต่ข้อดีเท่านั้น เพราะมันทำให้ขากรรไกรล่างของเราสั้นลงกว่าในอดีตและส่งผลกระทบโดยตรงกับฟันคุดอย่างในปัจจุบันไปนั่นเอง จริงอยู่ว่าในปัจจุบันงานวิจัยครั้งนี้ยังคงมีการถกเถียงกับในหมู่นักวิทยาศาสตร์…

  • กินเนสส์บุ๊กประกาศ แผนที่ดาวที่ในเรือจากปี 1503 เป็นแผนที่ดาวทางทะเลที่เก่าแก่ที่สุด

    กินเนสส์บุ๊กประกาศ แผนที่ดาวที่ในเรือจากปี 1503 เป็นแผนที่ดาวทางทะเลที่เก่าแก่ที่สุด

    ย้อนกลับไปในปี 2014 กลุ่มนักโบราณคดีทางท้องทะเลได้ทำการค้นพบซากเรือโปรตุเกสจมอยู่ใต้อ่าวโอมาน โดยมันเป็นเรือรบจากศตวรรษที่ 16 ของผู้บัญชาการชื่อ Vicente Sodré ที่จมลงไปจากอุบัติเหตุในปี 1503     ในเวลานั้นมีวัตถุโบราณมากมายถูกเก็บกู้ขึ้นมาจากเรือลำนี้ แต่สิ่งที่เหล่านักโบราณคดีให้ความสำคัญมากที่สุดกลับเป็นแผนที่ดาวเก่าแก่ชิ้นหนึ่งแทน เพราะที่ผ่านๆ มาทั่วทั้งโลกเคยมีการค้นพบแผนที่ดาวแบบนี้เพียง 104 ชิ้นเท่านั้น แถมหลังจากที่มีการนำแผนที่ดาวชิ้นนี้ไปตรวจสอบ นักโบราณคดียังพบกับความจริงที่ไม่น่าเชื่ออีกข้อเกี่ยวกับแผนที่ดาวที่พวกเขาพบ นั่นเพราะวัตถุโบราณชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นของหายากเท่านั้น แต่มันคือแผนที่ดาวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยด้วย     อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ แผนที่ดาวที่พบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 17.5 เซนติเมตร มีตราทหารของโปรตุเกสประดับไว้ ทำจากโลหะผสมทองแดง และถูกใช้งานในช่วงปี 1496-1501 แน่นอนว่าการถูกทิ้งไว้ใต้น้ำเป็นเวลานานย่อมทำให้แผนที่ดาวอันนี้เสียหายไปจากที่เคยเป็นอยู่บ้าง แต่ถ้าหากนำวัตถุโบราณชิ้นนี้ไปสแกนด้วยระบบเลเซอร์สามมิติ เราก็จะยังคงสามารถเห็นรอยสลักเก่าแก่ซึ่งช่วยให้นักเดินเรือสามารถวัดความสูงของดวงอาทิตย์หรือดวงดาวเพื่อกำหนดละติจูดของเรือได้     จริงอยู่ที่ว่าแผนที่ดาวถูกบันทึกไว้ว่าใช้งานครั้งแรกในปี 1481 โดยนักเดินเรือชาวโปรตุเกส อย่างไรก็ตามบันทึกข้อมูลนี้มีเพียงแค่ลายลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่ได้มีตัวเครื่องมือเป็นชิ้นเป็นอันอยู่เลย นั่นทำให้แผนที่ดาวที่พบนี้ ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นแผนที่ดาวที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกที่มนุษย์เคยพบมาไปเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาด้วยเหตุนี้     แต่แม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ดูน่าสนใจมากก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่การค้นพบที่น่าสนใจเพียงเรื่องเดียวของซากเรือที่ค้นพบในปี 2014 แต่อย่างไร เพราะในบรรดาวัตถุโบราณที่นักโบราณคดีพบบนเรือนั้นยังมีระฆังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี 1498…

  • นักโบราณคดีพบเครื่องบูชาจากวัฒนธรรมวารีจำนวนมาก หลังขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เปรู

    นักโบราณคดีพบเครื่องบูชาจากวัฒนธรรมวารีจำนวนมาก หลังขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เปรู

    เมื่อช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของแหล่งโบราณคดี Pikillaqta ในประเทศเปรู ทีมนักโบราณคดีของประเทศได้ทำการค้นพบโบราณวัตถุจำนวนหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเครื่องบูชาของวัฒนธรรมวารี และมีอายุมากกว่า 900 ปี     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นักโบราณคดีขุดหลุมลงไปในแหล่งโบราณคดีราวๆ 70 เซนติเมตร โดยในตอนแรกพวกเขาได้พบกับ กระดูกอูฐที่ถูกเผา 2 ชิ้น เปลือกหอย Spondylus 8 ชิ้น แผ่นเงินขนาดเล็กสองอัน และแผ่นเงินประหลาดความยาวราวๆ 73 เซนติเมตร อีกหนึ่งแผ่น อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีสังเกตว่าแผ่นเงินที่พบนั้นราวกับว่าถูกใช้เพื่อแยกอะไรบางอย่างออกจากกันอยู่ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขุดหลุมดังกล่าวลึกลงไปอีกเล็กน้อย   .   และที่นั่นเองพวกเขาก็พบกับหุ่นหล่อทองแดงขนาดเล็ก 6 ตัว หุ่นนักรบเสือพูม่า 2 ตัว รูปจำลองสัตว์เทพ 2 ตัว หุ่นหล่อเงินของนักรบหญิง 24 ตัว หุ่นรูปคนธรรมดา 3 ตัว และชิ้นส่วนหุ่นโบราณที่มีรูปร่างคล้ายร่างกายมนุษย์อย่างแขน ขา หัว อีกกว่า 107 ชิ้น  …

  • ชม 19 ภาพนิวซีแลนด์ในยุค 1970-1971 ที่จะทำให้เราทราบว่าที่นี่เขางดงามมานานแล้ว

    ชม 19 ภาพนิวซีแลนด์ในยุค 1970-1971 ที่จะทำให้เราทราบว่าที่นี่เขางดงามมานานแล้ว

    นิวซีแลนด์เป็นประเทศเกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีชื่อเสียงเรื่องอากาศบริสุทธิ์ ธรรมชาติที่งดงามและความเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ และมีคุณภาพชีวิตของคนในประเทศที่ถือว่าค่อนข้างสูงเลย ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมความงดงามของประเทศนี้กัน โดยในคราวนี้เราจะเป็นภาพของนิวซีแลนด์ในยุค 1970-1971 ส่วนหนึ่งจากอัลบั้ม Archives New Zealand แต่จะงดงามโดนตาโดนใจขนาดไหน ก็เชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากการเดินซื้อของใน Auckland เมื่อเดือนธันวาคม 1970   บรรยากาศการตีกอล์ฟที่ Arikikapakapa มกราคม 1970   ปิกนิกที่ Arrowtown เมือง Otago มกราคม 1970   รถรับส่งนักเรียนทันตพยาบาล ตุลาคม 1970   ภาพบนแพขนานยนต์ “Opua” มกราคม 1970   การปิกนิกที่ Rotorua มกราคม 1970   หมู่บ้านใน Waiuku เมษายน 1970   สาวๆ…

  • นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุร่วม 400 ชิ้น จากเหตุสังหารหมู่ช่วงสงครามโลกที่เยอรมนี

    นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุร่วม 400 ชิ้น จากเหตุสังหารหมู่ช่วงสงครามโลกที่เยอรมนี

    เดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารนาซีเยอรมันได้ทำการสังหารนักโทษสงครามชาวโปแลนด์กับรัสเซียร่วม 208 คนในพื้นที่ประเทศเยอรมนีเอง ก่อนที่จะนำไปศพเหล่านั้นไปฝังไว้ในที่ต่างๆ กัน 3 แห่ง และถูกพบโดยทหารสัมพันธมิตรในเวลาต่อมา     นับตั้งแต่วันนั้นมาเกือบ 74 ปี เหล่านักโบราณคดีก็ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง และพบกับหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในครั้งนั้น เพราะเมื่อในวันที่ 8 มีนาคม พวกเขาได้ออกมาเปิดเผยถึงการค้นพบโบราณวัตถุร่วม 400 ชิ้น ในพื้นที่ชนบทสามแห่ง ซึ่งคาดกันว่าเป็นพื้นที่ที่ทางนาซีเคยให้สังหารแรงงานเกณฑ์มาก่อน โดยวัตถุโบราณเหล่านี้ถูกพบในเมือง Warstein, Suttrop และ Eversberg โดยเป็นของใช้ส่วนตัวของเหล่าผู้ถูกสังหารเช่น รองเท้า กระดุม หนังสือ กระสุน เหรียญของโซเวียต และฮาโมนิก้า     อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยวัตถุโบราณส่วนมากนั้นถูกพบที่ Warstein สถานที่ซึ่งนักโทษสงคราม 71 คน (ซึ่งประกอบด้วยผู้หญิง 60 คน กับเด็กอีก 1 คน) ไปยิงทิ้งในป่า หลังจากถูกสั่งให้ทิ้งของที่มีทั้งหมดเอาไว้ข้างถนน กลับกันในโบราณวัตถุที่ผลในเมือง…

  • พบฟอสซิลสัตว์ทะเลที่ประเทศจีน มีรยางค์ 18 เส้น และอาจมีความเกี่ยวข้องกับ “หวีวุ้น”

    พบฟอสซิลสัตว์ทะเลที่ประเทศจีน มีรยางค์ 18 เส้น และอาจมีความเกี่ยวข้องกับ “หวีวุ้น”

    เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2019 ในวารสาร “Current Biology” ได้มีการตีพิมพ์รายงานการค้นพบฟอสซิลโบราณของสัตว์น้ำชนิดใหม่ ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้เมื่อราวๆ 518 ล้านปีก่อน และคาดกันว่าจะนำไปสู่ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรเลย     นี่คือ Daihua sanqiong ฟอสซิลของสัตว์ทะเลที่ถูกค้นพบในเป็นครั้งแรกในประเทศจีน มีจุดเด่นอยู่ที่รยางค์ 18 เส้นรอบๆ ปาก ซึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์คาดกันว่าน่าจะใช้งานในการว่ายน้ำในทะเล และจับเหยื่อ โดยรยางค์ของ Daihua sanqiong นั้นมีลักษณะเด่นอยู่ที่กิ่งก้านของรยางค์ซึ่งคล้ายคลึงกับ “ขน” ที่คาดกันว่าทำหน้าที่ช่วยให้เจ้าสัตว์ทะเลตัวนี้จับเหยื่อได้ง่ายขึ้น     คุณ Jakob Vinther นักบรรพชีวินวิทยาหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ลักษณะของฟอสซิลนี้เองชี้ให้เห็นว่า Daihua sanqiong นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเครือญาติ หรือไม่ก็บรรพบุรุษของ “หวีวุ้น” สัตว์น้ำลักษณะคล้ายแมงกะพรุน (แต่เป็นแพลงก์ตอนสัตว์) ในปัจจุบัน นั่นเพราะอ้างอิงตามข้อมูลการวิจัย ขนบนรยางค์ในลักษณะนี้ที่ผ่านๆ มา จะพบได้ในหวีวุ้นก็เท่านั้น (อ่านเรื่องราวของหวีวุ้นได้ที่ งานวิจัยพบ “หวีวุ้น” สามารถสร้างทวารขึ้นมาเพื่อขับถ่าย…

  • กลุ่มรักสัตว์อ้าง สหรัฐฯ เคยทดลองให้ลูกแมวกินเนื้อสุนัขและแมว จนมีสัตว์ตายกว่า 4,000 ตัว

    กลุ่มรักสัตว์อ้าง สหรัฐฯ เคยทดลองให้ลูกแมวกินเนื้อสุนัขและแมว จนมีสัตว์ตายกว่า 4,000 ตัว

    กลายเป็นกระแสโด่งดังที่มีคนให้ความสนใจมากมายไปแล้ว หลังจากที่เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา กลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง “The White Coat Waste Project” หรือ “WCW” ได้ออกมาอ้างว่ากระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้มีการทดลองสุดหดหู่ที่ให้ลูกแมวกินเนื้อสุนัขและเนื้อแมวด้วยกันเอง   ศูนย์วิจัยการเกษตรที่ Beltsville สถานที่ซึ่งทาง WCW อ้างว่าจัดการทดลองขึ้นทดลอง   อ้างอิงจากข้อมูลของทาง WCW การทดลองที่ว่านี้ทำให้มีแมวและสุนัขจำนวนมากถูกสังหาร ทั้งจาก โคลัมเบีย บราซิล เวียดนาม จีน และเอธิโอเปีย แถมยังกินเงินภาษีจากประชาชนเป็นเงินมากถึง 700 ล้านบาทเลย สื่อต่างประเทศบอกว่าทดลองที่เกิดขึ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองโรคทอกโซพลาสโมซิสของสหรัฐฯ ที่จัดทำขึ้นมาตั้งแต่ในปี 1982 โดยมีเป้าหมายในการตรวจสอบไข่ของโปรโตซัว Toxoplasma gondii ซึ่งมักพบได้ในเนื้อสัตว์ดิบ   Toxoplasma gondii เมื่อส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์   ดังนั้นเพื่อที่จะเก็บไข่ของโปรโตซัวมาใช้ในการทดลองนักวิทยาศาสตร์จึงได้มีให้ลูกแมวอายุ 2 เดือนกินเนื้อของสัตว์ที่ปนเปื้อนโรคทอกโซพลาสโมซิสซึ่งมักจะเป็นเนื้อส่วนหัวใจและตับของแมวหรือสุนัข เพื่อเก็บตัวอย่างอุจจาระของแมวไปตรวจสอบ และสังหารแมวทิ้งหลังจากการทดลองจบลงในแต่ละครั้ง ทาง WCW…

  • นักวิทย์พบ การทานน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูง ทำให้หนูเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

    นักวิทย์พบ การทานน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูง ทำให้หนูเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่าการทานของหวานปริมาณมากนั้นส่งผลที่ไม่ดีต่อร่างกาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากการนักวิทยาศาสตร์พบว่าการทานหวานนั้นสามารถเพิ่มโอกาสเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ในหนู     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองในวารสาร “Science” นักวิจัยได้ค้นพบความจริงที่น่าสนใจที่ว่าหนูที่ทานเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูงหรือ HFCS (High fructose corn syrup) ราวๆ 12 ออนซ์จะมีการเร่งการสะสมเนื้องอกขึ้นในร่างกาย ที่สูงกว่าหนูซึ่งทานน้ำเปล่ามากอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าผลการวิจัยที่ในเกิดขึ้นในหนูนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นกับคนเสมอไป แต่นักวิจัยก็บอกว่าหนูที่ถูกทดลองในครั้งนี้มีการตัดต่อยีนเพื่อให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นแล้ว แถมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรายังพบว่าในปัจจุบันที่คนเรามีอัตราการทานน้ำตาลมากขึ้น เด็กๆ ยังมักมีอาการมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าอาการที่เกิดขึ้นกับหนูนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นกับคนได้จริงๆ     นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่น่าสนใจของความเกี่ยวข้องระหว่างน้ำตาลกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อก่อนเราจะคิดว่าความอ้วนจากการทานของหวานนั้นเป็นปัจจัยของมะเร็งลำไส้ แต่ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วน้ำตาลอาจจะเป็นปัจจัยของมะเร็งเองโดยตรง ไม่ใช่ความอ้วนอย่างที่เราคิด เพราะแม้แต่หนูที่ไม่อ้วน นักหากทานน้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุ๊กโตสสูงในระดับที่กล่าวไว้ข้างต้นก็จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ได้เช่นกัน     นับว่าโชคดีมากที่การทดลองครั้งนี้นั้นไม่ได้พบแต่ปัญหาของน้ำตาลเท่านั้น เพราะการทดลองครั้งนี้เองยังมีการค้นพบอีกว่าในเนื้องอกที่พบนั้นมีเอนไซม์ที่ชื่อ “Ketohexokinase” หรือ “KHK” อยู่ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้เนื้องอกโตขึ้น ด้วยการเปลี่ยนฟรักโทสเป็นไขมันชื่อ “Fructose-1-phosphate” ดังนั้นหากเราให้ยาที่ส่งผลโดยตรงกับเอนไซม์ตัวนี้เราก็อาจจะหยุดเนื้องอกที่เกิดจากน้ำเชื่อมข้าวโพดได้นั่นเอง    …

  • นักวิจัยเอาหูฟังไปใส่ให้จระเข้ 40 ตัว เพื่อหาคำตอบการได้ยินของไดโนเสาร์ในอดีต

    นักวิจัยเอาหูฟังไปใส่ให้จระเข้ 40 ตัว เพื่อหาคำตอบการได้ยินของไดโนเสาร์ในอดีต

    ตั้งแต่ในอดีตแล้วเพื่อไขปริศนาทางวิทยาศาสตร์ ในบางครั้งเหล่านักวิจัยก็จะต้องทำการวิจัยที่ฟังดูแปลกสุดๆ กันบ้าง อย่างที่ผ่านๆ มาเองเราก็เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์สวนท่อปัสสาวะตัวเอง หรือให้อาสาสมัครดื่มเลือดเพื่อการทดลองกันมาแล้ว และเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองเราก็ได้เห็นนักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองแปลกๆ กันอีกครั้ง เมื่อเหล่านักวิจัยตัดสินใส่มอมยานอนหลับจระเข้ 40 ตัวก่อนที่จะเอาหูฟังไปใส่ให้เพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับการได้ยินของพวกมัน     นี่เป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่านักล่าในน้ำอย่างจระเข้นั้นน่าจะอาศัยทักษะการฟังเพื่อล่าเหยื่อมากกว่าทักษะอื่นๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะนำไปสู่ความรู้เรื่องการได้ยินของสัตว์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างไดโนเสาร์ด้วย อ้างอิงจากข้อมูลของทีมวิจัยจระเข้เป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดบนโลกที่มีทั้งลักษณะทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ยังคงคล้ายกับไดโนเสาร์ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นสัตว์ที่เหมาะสมกับการทดลองครั้งนี้ไป     โดยในการทดลองครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์จะมุ่งเน้นไปที่การตรวจจับความต่างของเวลาที่เสียงจะไปถึงหูซ้ายและขวา หรือ ITD (Interaural Time Difference) เป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าตามปกติ ITD จะกินเวลาแค่ในระดับหนึ่งในล้านของวินาทีแต่มันก็สามารถบ่งบอกถึงลักษณะการได้ยินของสัตว์ได้เป็นอย่างดี แถมเจ้าระบบที่ว่านี้ยังเป็นระบบสำคัญที่สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนมากใช้ในการระบุตำแหน่งที่มาของเสียงอีกด้วยไม่ว่าจะในการใช้ชีวิตตามปกติ หรือการล่าเหยื่อ   ตัวอย่างของ ITD ในกรณีนี้จะสังเกตได้ว่าหูซ้าย (ภาพบน) จะได้ยินเสียงช้ากว่าหูขวา (ภาพล่าง) เล็กน้อย ช่องว่างระหว่างการได้ยินนี้เองที่สัตว์บางชนิดใช้ในการระบุตำแหน่งที่มาของเสียง   ผลการทดลองที่ออกมานั้นนับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่จระเข้จะมีลักษณะของ ITD ที่คล้ายกับนกซึ่งเป็นทายาทอีกชนิดของไดโนเสาร์มาก แต่ระบบของพวกมันยังต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีก การทดลองในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่า การได้ยินของสัตว์อย่างไดโนเสาร์เองก็น่าจะแตกต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นกัน แถมยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมันจะพัฒนาการได้ยินมาอยู่ในรูปแบบนี้ค่อนข้างนานแล้วด้วย     เท่านั้นยังไม่พอเพราะจระเข้นั้นมีขนาดสมองเมื่อเทียบกับตัวที่น้อยมากๆ ดังนั้นการทดลองนี้จึงยังเป็นหลักฐานอย่างดีว่าความสามารถทางการได้ยินนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับขนาดของสมองเลย…

  • 20 ภาพ ห้องน้ำของทหารเยอรมันในสงครามโลก ที่ไม่ได้สะดวก สะอาด หรือเป็นส่วนตัวเลย

    20 ภาพ ห้องน้ำของทหารเยอรมันในสงครามโลก ที่ไม่ได้สะดวก สะอาด หรือเป็นส่วนตัวเลย

    ในช่วงที่ทางยุโรปกำลังตกอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชายหนุ่มจำนวนมากได้ออกจากพื้นที่ที่ตัวเองคุ้นเคยและเข้าสู่การรบอันแสนตึงเครียดของสงครามสนามเพลาะ ในที่แห่งนั้นพวกเขาต้องทิ้งหลายๆ สิ่งที่เคยได้รับไป ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ความสะดวกสบาย หรือความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ดังนั้นแม้ว่าจะฟังดูแปลกไปสักหน่อยแต่ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพอีกมุมหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งหลายๆ คนคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นกับ 20 ภาพการใช้งานห้องน้ำของทหารเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งไม่มีทั้งความสะดวกสบาย ความสะอาด หรือแม้กระทั่งความเป็นส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย (ไม่แนะนำให้ดูระหว่างทานข้าว) นี่คือ “ห้องน้ำสนามเพลาะ” ที่ใช้กันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง . โดยมากแล้วห้องน้ำสนามเพลาะ มักทำขึ้นโดยการขุดหลุมลึก 1-1.5 เมตร ก่อนจะทำส้วมครอบไว้ข้างบน . นั่นทำให้ห้องน้ำที่ออกมาถ้าโชคดีก็อาจจะมีกำแพงและหลังคา . แต่ถ้าโชคร้ายคุณก็อาจจะพบกับไม้พาดไว้บนหลุมเผยๆ . ห้องน้ำสนามเพลาะมักจะถูกใช้โดยคนทั้งกองทหาร และบ่อยครั้งก็มักจะถูกใช้งานโดยคนมากๆ ในเวลาเดียวกัน โดยในกองทหารแต่ละกองจะต้องมีคนคอยรักษาความสะอาดของห้องน้ำของคน . ซึ่งโดยมากแล้วจะเป็นตำแหน่งที่สำรองไว้ลงโทษทหารในสถานเบา . ในกรณีที่มีการย้ายที่ประจำการ กองทหารจะต้องทำการฝังกลบห้องน้ำสนามเพลาะ ก่อนที่จะไปขุดห้องน้ำใหม่ในที่ประจำการอีกแห่ง แน่นอนว่าห้องน้ำแบบนี้อาจจะดูสกปรกสำหรับคนในปัจจุบัน แต่ในสมัยที่คนรบกันในหลุม ห้องน้ำแบบนี้ถือว่ามีสุขอนามัยพอสมควรเลย เพราะในระหว่างที่รบกัน บ่อยครั้งเหล่าทหารจะต้องทำธุระในกระป๋องหรือถัง ก่อนที่จะโยนอุปกรณ์ทำธุระออกมาจากหลุมพร่องเลยทีเดียว ที่มา vintag

  • งานวิจัยพบ การอยู่ในอวกาศทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้ เชื่อส่งผลต่อภารกิจระยะยาว

    งานวิจัยพบ การอยู่ในอวกาศทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้ เชื่อส่งผลต่อภารกิจระยะยาว

    สำหรับเหล่าคนที่ทำงานบนอวกาศแล้ว การที่สภาพพื้นที่นอกโลกส่งผลกับร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่พวกเขาทราบกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการเกี่ยวกับกระดูกที่เกิดจากสภาพไร้น้ำหนัก หรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากไม่มีการเตรียมตัวให้ดีอวกาศก็จะทำให้คนเราป่วยได้อย่างง่ายๆ เลย     และแล้วเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เหล่านักบินอวกาศก็ได้พบกับผลกระทบใหม่ของการใช้ชีวิตนอกโลกอีกครั้ง เมื่อพวกเขาพบว่าในร่างกายของนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติกว่าครึ่ง มีการร่องรอยการแบ่งตัวของไวรัสโรคเริม (Herpes simplex) อีกครั้งทั้งๆ ไวรัสมีสภาพหยุดนิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าไวรัสโรคเริมนั้น หากติดเชื้อไปแล้วมันจะคงอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต และกว่าครึ่งของชาวสหรัฐฯ จะเคยเป็นโรคนี้มาก่อนสักครั้งในชีวิต ดังนั้นการที่ไวรัสนี้ตัวนี้กลับมาทำงานอีกครั้งในสภาวะนอกโลกได้จึงทำให้ทางนักวิทยาศาสตร์เป็นกังวลอย่างมาก     เพราะแม้ว่าการที่ไวรัสกลับมาแบ่งตัวจะไม่ได้หมายความว่าโรคเริมกลับมาแสดงอาการอีกครั้งเสมอไปก็ตาม แต่ก็มีนักบินบางส่วนแล้วที่มีอาการของโรคเริมขึ้นมาให้เห็นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่อาศัยในสถานีเป็นเวลานานแล้ว นั่นหมายความว่ายิ่งมนุษย์อยู่ในอวกาศนานแค่ไหน คนเคยมีไวรัสก็จะมีโอกาสกลับไปเป็นโรคอีกครั้งมากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็อาจทำให้ไวรัสตัวนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำภารกิจระยะยาวอย่างการส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคาร แถมแม้ตัวนักบินจะไม่มีอาการเองพวกเขาก็ยังสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้อยู่ดี   โรคเริมแบบแสดงอาการที่ริมฝีปากล่าง   ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามอย่างมากในการหาทางป้องกันเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ เช่นการทดลองใช้วัคซีน อย่างไรก็ตามในบรรดาวัคซีนป้องกันไวรัสจำพวกนี้นั้น เรามีก็ยังมีเพียงแต่ของโรคงูสวัด ซึ่งแม้จะมีอาการใกล้เคียงกับโรคเริม แต่ก็เป็นไวรัสคนละตัวกันอยู่ดี   ที่มา livescience, health และ sciencealert

  • งานวิจัยใหม่เผย สมองคนเรารับรู้สนามแม่เหล็กโลกได้ และบางคนอาจทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ ด้วย

    งานวิจัยใหม่เผย สมองคนเรารับรู้สนามแม่เหล็กโลกได้ และบางคนอาจทำได้ดีกว่าคนอื่นๆ ด้วย

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า “สนามพลังแม่เหล็ก” นั้นมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายแค่ไหน เพราะไม่เพียงแต่มันจะช่วยป้องกันพวกเราจากพายุสุริยะแล้ว สนามพลังแม่เหล็กยังถูกใช้โดยสัตว์ต่างๆ หลายชนิดเพื่อเป็นสื่อนำทางในการเดินทางหรืออพยพอีกด้วย     มาถึงตรงนี้แล้วคงมีหลายคนไม่น้อยเลยที่คิดว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่มนุษย์เรานั้นไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของสนามพลังแม่เหล็กได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดของเหล่านักวิทยาศาสตร์ สมองของมนุษย์เรานั้นแท้จริงแล้วก็รับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้เช่นกัน โดยนี่เป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร “eNeuro” และอ้างว่าตัวเองสามารถหาหลักฐานที่ยืนยันว่ามนุษย์สามารถรับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้ จากอนุภาคแม่เหล็กที่กระจายอยู่ในสมอง เอาเข้าจริงๆ แล้วแนวคิดที่ว่าคนเรารับรู้ถึงสนามพลังแม่เหล็กได้นั้น มีมาตั้งแต่ในช่วงยุค 80 แล้ว โดยในสมัยนั้นเรียกกันว่า “Magnetoreception” หรือการรับรู้แม่เหล็ก อย่างไรก็ตามแม้จะมีการทดลองอย่างมากในช่วงยุค 90 เราก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันแนวคิดนี้ได้อยู่ดี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองให้อาสาสมัคร 34 คนไปนั่งในห้องมืดและปล่อยคลื่นแม่เหล็กในระดับเดียวกับสนามแม่เหล็กโลกเป็นระยะๆ (ในระดับที่เบากว่าที่เครื่อง MRI ปล่อยราวๆ 100,000 เท่า) ในขณะที่ทำการสังเกตการณ์คลื่นอัลฟา ในสมองของอาสาสมัครไปด้วย     ผลที่ออกมาคือในบรรดาอาสาสมัคร 34 คน จะมีอยู่ 4 คนที่มีปฏิกิริยาต่อคลื่นแม่เหล็กที่ถูกปล่อยอย่างชัดเจน โดยที่พวกเขามีการขยับศีรษะตาม ในขณะที่คลื่นอัลฟาในสมองเองก็ลดลงถึง 60% ในช่วงเวลาเดียวกัน Connie Wang บอกว่านี่เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เองก็แปลกใจเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะพบกับคนที่ตอบสนองต่อคลื่นแม่เหล็กได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ และเหล่านักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ดังนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญนักวิทยาศาสตร์จึงทดลองซ้ำอีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ให้หลัง…

  • นักโบราณคดีพบเรือรูปร่างประหลาดที่อียิปต์ เชื่อเป็นลำเดียวกับที่ “เฮอรอโดทัส” เคยกล่าวถึง

    นักโบราณคดีพบเรือรูปร่างประหลาดที่อียิปต์ เชื่อเป็นลำเดียวกับที่ “เฮอรอโดทัส” เคยกล่าวถึง

    สำหรับนักโบราณคดีหลายๆ คน ประเทศอียิปต์นั้นก็เปรียบเสมือนกับแหล่งโบราณคดีแหล่งใหญ่ของโลก ซึ่งอาจจะมีการพบวัตถุโบราณชิ้นใหม่ๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แถมแหล่งโบราณคดีที่ว่านี้ยังไม่ได้มีอยู่แค่บนพื้นดินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่อย่างแม่น้ำ และทะเลอีกด้วย และช่วงกลางเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักโบราณคดีก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบครั้งใหม่อีกครั้ง โดยในคราวนี้พวกเขาได้มีโอกาสค้นพบเรือโบราณรูปร่างประหลาดซึ่งที่ผ่านๆ มาเคยมีการพูดถึงไว้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นที่โบราณสถาน Thonis-Heracleion ท่าเรือโบราณใกล้ๆ เมืองอเล็กซานเดรีย ที่จมอยู่ใต้น้ำจากเหตุแผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติในอดีต อ้างอิงจากรายงานการค้นพบสภาพตัวเรือราวๆ 70% นั้นยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์แบบเกือบเต็มดวงที่มีความยาวราวๆ 28 เมตร สร้างขึ้นโดยอาศัยการประกอบไม้เข้าด้วยกันผ่านระบบเดือย และเป็นหนึ่งในเรือค้าขายขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาในอียิปต์     Dr. Damian Robinson ผู้อำนวยการศูนย์โบราณคดีทางทะเลของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดซึ่งทำการตีพิมพ์การค้นพบในครั้งนี้บอกว่า ในอดีตเมื่อราวๆ 450 ปีก่อนคริสตกาล “เฮอรอโดทัส” นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เคยมีการกล่าวถึงการต่อเรือประหลาดลำหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างที่ต่างไปจากเรืออื่นในสมัยเดียวกันมาก แต่ผ่านๆ มา นักวิทยาศาสตร์กลับไม่เคยพบเรือที่เขากล่าวเอาไว้เลย จนนักโบราณคดีบางคนถึงกับคิดว่าชายคนนี้โกหก     อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบลักษณะของเรือลำที่พบกับการบรรยายเรือของเฮอรอโดทัส นักโบราณคดีก็พบว่าเรือทั้งสองลำนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันในระดับที่ว่าตรงกันแบบคำต่อคำ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่าเรือลำที่พบนี้น่าจะเป็นเรือประหลาดที่เฮอรอโดทัสเคยกล่าวไว้     แน่นอนว่าการค้นพบเช่นนี้ นับว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก เพราะไม่เพียงแต่เรือลำนี้จะเป็นหลักฐานอย่างดีว่าเรือที่เฮอรอโดทัสพูดถึงนั้นมีอยู่จริงแล้ว…

  • ชม “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” เครื่องพิมพ์ดีดสุดแปลกของนักดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

    ชม “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” เครื่องพิมพ์ดีดสุดแปลกของนักดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า “โน้ตดนตรี” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเหล่านักดนตรีมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่อารยธรรมแรกๆ ของโลก ก่อนที่จะพัฒนามาอย่างปัจจุบัน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่าเจ้าโน้ตดนตรีซึ่งมีรูปร่างที่แปลกๆ แถมยังต้องพิมพ์ในระดับความสูงที่แตกต่างนี้ ในอดีตเขาพิมพ์มันลงไปบนกระดาษได้อย่างไรกัน     แน่นอนว่าในสมัยก่อนนั้นการเขียนตัวโน้ตลงในกระดาษมักจะต้องเขียนกันด้วยมือ อย่างไรก็ตามเมื่อโลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างเครื่องพิมพ์ดีดก็เริ่มที่จะแพร่หลายขึ้น และมีการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนในแทบทุกสายงานอาชีพ ในช่วงเวลาที่ Robert H. Keaton ได้ทำการคิดค้นเครื่องพิมพ์ดีดแบบใหม่ขึ้น เพื่อให้นักดนตรีสามารถเขียนโน้ตดนตรีลงบนกระดาษได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     นี่คือเครื่องพิมพ์ดีดแบบพิเศษที่มีชื่อว่า “The Keaton Music Typewriter” หรือ “เครื่องพิมพ์โน้ตคีตัน” อุปกรณ์หน้าตาสุดแปลกที่มีการออกแบบมาเพื่อพิมพ์โน้ตดนตรีอย่างรวดเร็วและชัดเจน ซึ่งใช้งานกับครั้งแรกในปี 1936 เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันในช่วงแรกๆ เป็นเครื่องพิมพ์ดีดที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ เกี่ยวกับดนตรี 14 แบบ ก่อนที่จะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่พิมพ์ได้เป็น 33 แบบ และพัฒนาระบบใหม่จนสมบูรณ์ในปี 1953   เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันรุ่นแรกๆ   ในช่วงเวลานั้นเครื่องพิมพ์โน้ตคีตันถูกออกแบบมาเพื่อให้พิมพ์ตัวโน๊ตได้อย่างชัดเจนและแม่นยำที่สุดดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาให้เป็นรูปวงกลม ซึ่งต่างไปจากรูปร่างของเครื่องพิมพ์ดีดทั่วๆ ไปเป็นอย่างยิ่ง ในปี 1953 เครื่องพิมพ์โน้ตคีตันถูกวางขายในราคาราวๆ 255 เหรียญสหรัฐ (ราวๆ…

  • นาซาเผย วันที่ 18 ธ.ค. 2018 มีอุกกาบาตระเบิดเหนือท้องฟ้า รุนแรงกว่าปรมาณู 10 เท่า

    นาซาเผย วันที่ 18 ธ.ค. 2018 มีอุกกาบาตระเบิดเหนือท้องฟ้า รุนแรงกว่าปรมาณู 10 เท่า

    เพื่อนๆ ยังจำกันได้ไหมว่าวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ตัวเองทำอะไรกันอยู่ หรือในวันนั้นตัวเองมีความรู้สึกแปลกๆ ไหม เพราะในระหว่างที่หลายๆ คนคงจะไม่รู้สึกตัวกัน ในวันนั้นที่เขตแดนระหว่างรัสเซียกับรัฐอลาสก้า ได้มีอุกกาบาตขนาดเท่ารถบัสระเบิดเหนือท้องฟ้าด้วยความรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 173 กิโลตัน หรือมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าราวๆ 10 เท่า     เจ้าอุกกาบาตลูกที่ว่านี้ถูกพบโดยทางนาซาหลังจากที่เกิดเหตุจริงๆ ด้วยระบบตรวจจับขีปนาวุธของกองทัพอากาศ และคาดกันว่ารุนแรงจนมีคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน) ดังไปทั่วโลกเลย อ้างอิงจากทางนาซาอุกกาบาตที่ตกมานี้หนักราวๆ 1,360 ตัน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เมตร และพุ่งด้วยความเร็ว 115,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรัศมีระเบิดกว้าง 25 กิโลเมตร ซึ่งรุนแรงน้อยกว่าเหตุอุกกาบาตตกในปี 2013 ราวๆ 60%     ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงแทบจะไม่มีใครรู้สึกตัวถึงอุกกาบาตลูกนี้เลย? สำหรับเรื่องนี้ทางนาซาได้บอกว่ามาจากการที่อุกกาบาตที่ตกมาค่อนข้างเล็กแถมยังมีจุดระเบิดในชั้นบรรยากาศเหนือทะเลซึ่งห่างไกลผู้คนมากๆ ทำให้ระบบตรวจจับอุกกาบาตโลกจึงตรวจจับไม่ได้ และแทบจะไม่มีใครรู้ โดยข่าวของอุกกาบาตนี้ถูกเฉยแพร่ออกมาให้โลกทราบในงานการประชุมวิทยาศาสตร์ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ในเท็กซัส เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมายืนยันว่าผู้คนไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก…

  • นักวิชาการเผย ผู้มีความบกพร่องทางกายสมัยก่อน อาจได้รับความเคารพและการดูแลดีกว่าที่เราคิด

    นักวิชาการเผย ผู้มีความบกพร่องทางกายสมัยก่อน อาจได้รับความเคารพและการดูแลดีกว่าที่เราคิด

    ตั้งแต่ในอดีตมาเมื่อพูดถึงการปฏิบัติต่อคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่าคนในสมัยก่อนน่าจะมีการปฏิบัติตัวกับคนเหล่านี้แบบไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคนที่ร่างกายสมบูรณ์เมื่อหลายพันปีก่อนคงจะไม่มานั่งดูแลคนเป็นโรคที่ตัวเองยังไม่รู้จักอย่าง “ภาวะแคระ” หรือ “ปากแหว่งเพดานโหว่” หรอก   ชาวสปาตัน หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าคนสมัยก่อนปฏิบัติตัวไม่ดีกับผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย   แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองในการประชุมเหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลิน เหล่าผู้เชี่ยวชาญก็ได้เผยแนวคิดใหม่เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายในสมัยก่อนออกมา โดยทฤษฎีใหม่ของพวกเขาคือคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายนั้น ในสมัยก่อนน่าจะได้รับการเคารพบูชาเป็นอย่างมาก หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้ใช้ชีวิตโดยมีคนดูแลในระดับที่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป   อักษรอียิปต์โบราณพร้อมภาพของเจ้าหน้าที่ศาลผู้มีภาวะแคระ ซึ่งพบในสุสานฟาโรห์เดนแห่งราชวงศ์ที่ 1   แนวคิดนี้มาจากการที่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านๆ มานักโบราณคดีมักจะมีการขุดพบกระดูกของมนุษย์ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ในสถานที่สำคัญทางศาสนาอยู่เสมอ แถมยังมีร่องรอยการให้ชีวิตที่ดีไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ (หรือตอนเสียชีวิต) และไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากเมืองอย่างที่เราเคยคิด อย่างมัมมี่ที่มีร่องรอยของโรคลูคีเมีย จากเปรูในช่วง 1,200 ปีก่อนคริสตกาลเอง ก็ถูกฝังเอาไว้อย่างเคารพ ทั้งๆ ที่จากการตรวจสอบกระดูกแล้ว ชายคนนี้น่าจะเดินตรงๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าตลอดเวลาที่เขาใช้ชีวิตคนในสังคมค่อยดูแลเขาเป็นอย่างดีเลย โดยหนึ่งในนักชีววิทยาโบราณ Anna Pieri ได้ออกมาบอกว่าเหล่าผู้มีความบกพร่องทางร่างกายนั้นไม่เพียงได้รับการดูแลอย่างดีเท่านั้น แต่ในหลายๆ ครั้งยังถูกเคารพบูชาด้วย โดยอ้างอิงจากการที่ผู้ปกครองในสมัยอียิปต์โบราณมักจะชอบรับคนที่มีภาวะแคระมาเป็นข้าราชบริพาร     และนอกจากภาวะแคระแล้ว ดูเหมือนว่าคนเป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่เองก็เป็นที่ยอมรับของคนในสมัยก่อนเช่นกัน เพราะนักพยาธิวิทยาโบราณ จากมหาวิทยาลัยแซแกดอย่างคุณ Erika Molnar เองก็ได้รายงานว่า โครงกระดูกของชายผู้เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่รุนแรงที่มีชีวิตในช่วง 900 ปีก่อนคริสตกาลที่ฮังการี…

  • ย้อนรอย “ปฏิบัติการกรีฟ” เมื่อทหารนาซีปลอมตัวไปสร้างความวุ่นวายให้ฝั่งพันธมิตร

    ย้อนรอย “ปฏิบัติการกรีฟ” เมื่อทหารนาซีปลอมตัวไปสร้างความวุ่นวายให้ฝั่งพันธมิตร

    ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ออทโท สกอร์เซนี นายทหารยศโอแบร์สทุร์มบันน์ฟือแรร์ (เทียบได้เป็นพันโท) ของหน่วย SS ได้ถูกเรียกตัวโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่อให้ไปทำภารกิจที่ “สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา”     ภารกิจที่ว่านี้มีชื่อว่า “ปฏิบัติการกรีฟ” (Operation Greif) ภารกิจแทรกซึมและปลอมตัวเป็นทหารอเมริกันของทางนาซี เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ฝ่ายศัตรู และซื้อเวลาอันมีค่าให้กับเหล่าทหารในแนวหน้า โดยเหล่าทหารที่ถูกเรียกตัวไปปฏิบัติการในครั้งนี้จะเป็นคนที่มีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว จงรักภักดี และมีฝีมือไว้ใจได้ โดยพวกเขาได้รับหน้าที่กระโดดร่มลงไปหลังแนวรบฝั่งสัมพันธมิตรทางตะวันตก ปลอมตัวเป็นทหารอเมริกัน และทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในพื้นที่มากที่สุด เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการทำลายเชื้อเพลิง สะพาน หรือคลังกระสุนปืน และทำการก่อกวนอื่นๆ อย่างให้คำสั่งปลอมและเปลี่ยนป้ายถนน เปลี่ยนป้ายระวังกับระเบิด ไปจนถึงการปิดถนนด้วยป้ายปลอม และตัดสายโทรศัพท์สื่อสาร   รถถังเยอรมันที่ปลอมเป็นรถถังอเมริกันในระหว่างปฏิบัติการ   แน่นอนว่าแผนการในครั้งนี้ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว เพราะในบรรดาทหารที่รับมา 2,500 คนนั้น มีเพียงแต่ 400 คนเท่านั้นที่พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันได้ชัดเจน แถมมีเพียง 10 คนเท่านั้นที่พูดได้ดีถึงในระดับที่ “ไม่มีวันถูกดูออกต่อให้อีกฝ่ายหูหนวก” เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังหาชุดและหมวกของทหารสหรัฐฯ ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมแทบจะไม่ได้ จนสุดท้ายทหารที่ถูกส่งไปก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน    …

  • ชม 18 ภาพยากของประเทศเบลเยียม ที่ถูกถ่ายไว้ด้วยเทคโนโลยี Dufaycolor เมื่อปี 1936

    ชม 18 ภาพยากของประเทศเบลเยียม ที่ถูกถ่ายไว้ด้วยเทคโนโลยี Dufaycolor เมื่อปี 1936

    ประเทศเบลเยียม เป็นหนึ่งในสมาชิกรุ่นก่อตั้งของสหภาพยุโรป มีชื่อเสียงเรื่องช็อกโกแลต และเบียร์ ถึงอย่างนั้นก็ตามประเทศแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้มีความงดงามด้านอื่นเลย และวิวทิวทัศน์ของเมืองและการใช้ชีวิตของผู้คนในที่แห่งนี้เองก็เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ไม่แพ้ใครเลยเช่นกัน ดังนั้นแล้วในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตของคนที่นี่ในช่วงปี 1936 กัน แถมภาพในครั้งนี้ยังเป็นภาพหายากที่ถ่ายด้วยเทคโนโลยี “Dufaycolor” อันเป็นเทคนิคทำภาพสีที่ต่างไปจาก Autochrome และเลิกใช้ไปแล้วในช่วงปี 1950 อีกด้วย แต่ภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นไรนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพหาด ที่ Ostend . .   อันนี้หาดที่ Blankenberge บรรยากาศคนละแนวกับที่ Ostend เลย . .   งานแข่งม้าที่ Ostend . .   โรงแรม Littoral ใน Ostend   ท่าเรือใน Ostend ที่มีภาพเรือที่กำลังเดินทางเป็นฉากหลัง   Ostend Kursaal แห่งท่องเที่ยวมีชื่อของเบลเยียม   สวนนาฬิกาดอกไม้ใน Ostend   สภาพการณ์เดินเท้าบนถนนใน Ostend   จุดพักผ่อนต่างๆ บนชายหาดของเมือง…

  • ย้อนรอย “แม่มดแห่งราตรี” เหล่านักบินหญิงแห่งโซเวียต ฝันร้ายของนาซีในช่วงสงครามโลก

    ย้อนรอย “แม่มดแห่งราตรี” เหล่านักบินหญิงแห่งโซเวียต ฝันร้ายของนาซีในช่วงสงครามโลก

    เคยได้ยินเรื่องราวของเหล่า “แม่มดแห่งราตรี” ประจำสงครามโลกครั้งที่สองกันไหม นี่เป็นหนึ่งในฝันร้ายที่ทหารนาซีต้องพบในระหว่างการรบกับสหภาพโซเวียตเลยก็ว่าได้ แถมนี่ยังเป็นผลงานที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเหล่านักรบแห่งกองทัพหญิงเสียด้วย     แม่มดแห่งราตรีเป็นฉายาของกองบินทิ้งระเบิดกลางคืนที่ 588 (588th Night Bomber Regiment) หน่วยทหารอากาศหญิงล้วนผู้มีผลงานทิ้งระเบิดสำเร็จเกือบ 30,000 ครั้ง และทิ้งระเบิดไปร่วมกว่า 23,000 ตัน ตลอดช่วงเวลาไม่ถึง 4 ปีในสงคราม เรื่องราวของหน่วยทิ้งระเบิดหญิงหน่วยนี้ เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ โจเซฟ สตาลิน ประกาศตั้งกองบินหญิงล้วนจำนวนสามแห่งในปี 1941 และกลายเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นบินในสงคราม แต่แม้จะมีกองบินหญิงหลายกองก็ตามกองบินที่ 588 กลับเป็นกองบินเดียวที่เป็นกองบินหญิงล้วนจริงๆ และนำทีมโดยนักบินหญิง Nadezhda Popova ผู้ผ่านภารกิจมาถึง 852 ครั้ง     พวกเธอนั้นได้ใช้เครื่องบิน Polikarpov Po-2 ซึ่งนับว่าตกยุคมากๆ ในสมัยนั้น โดยไม่มีทั้งเรดาร์ ปืนกล วิทยุสื่อสาร ระบบป้องกันอากาศหนาวเย็น หรือแม้กระทั่งร่มชูชีพ และต้องทำภารกิจโดยอาศัยเพียงเข็มทิศ ไม้บรรทัด ดินสอ นาฬิกา ไม้ฉาย และแผนที่เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ตามนักสู้เหล่านี้กลับสามารถทำภารกิจก่อกวนยามราตรีได้สำเร็จเรื่อยมา ทั้งๆ…

  • เกร็ดความรู้คู่ปัญญา สัตว์อะไรมีฟันมากที่สุดในโลก? หากนับฟันทั้งหมดที่มันใช้ในหนึ่งชีวิต

    เกร็ดความรู้คู่ปัญญา สัตว์อะไรมีฟันมากที่สุดในโลก? หากนับฟันทั้งหมดที่มันใช้ในหนึ่งชีวิต

    สำหรับวงการบรรพชีวินวิทยาแล้วจริงเล็กๆ อย่าง “ฟัน” ของสัตว์นับว่าเป็นหลักฐานสำคัญของขั้นตอนการวิวัฒนาการที่น่าทึ่งเลยก็มีผิดนัก อย่างงูที่ออกแบบเขี้ยวมาเพื่อใช้ฉีดพิษ หรือวอลรัสที่สามารถใช้เขี้ยวขนาดใหญ่ฝังลงไปบนน้ำแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองไหลไปตามพื้นลื่นๆ ได้     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าบนโลกใบนี้นั้น สัตว์ชนิดใดกันแน่ที่มีอวัยวะสุดน่าทึ่งเหล่านี้อยู่มากที่สุด สำหรับสัตว์บกแล้วสัตว์ที่มีฟันมากที่สุดที่มนุษย์รู้จักมาก็คงเป็นตัวนิ่มยักษ์ (Priodontes maximus) ที่อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นของอเมริกาใต้ โดยมันมีฟันอยู่ 72 ซี่     นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูไม่มากเท่าไหร่ แต่ตัวนิ่มยักษ์ก็ถือว่ามีฟันเยอะอยู่ในระดับต้นๆ ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลย เพราะเอาจริงๆ แล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีฟันน้อยที่สุดกลุ่มหนึ่งเลย ส่วนสำหรับปลานั้นหลายๆ คนอาจจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ฉลามจะได้ตำแหน่งนี้ไป เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้นั้น ใช้ระบบหมุนเวียนฟันเก่าทิ้งและเลื่อนฟันชั้นต่อไปขึ้นมาแทนได้นั่นเอง นั่นทำให้แม้ฉลามจะมีฟันที่ถูกใช้งานอยู่ที่ครั้งละราวๆ ร้อยกว่าซี่ แต่ตลอดทั้งชีวิตของมัน ปลาฉลามจะสามารถมีฟันได้เป็นหมื่นๆ ซี่ โดยเฉพาะฉลามแนวปะการัง ที่ทั้งชีวิตใช้ฟันโดยเฉลี่ยถึง 30,000 ซี่เลย   ฉลามเสือบาฮามาสหนึ่งใน 60 สายพันธุ์ ของฉลามแนวปะการัง   ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าฉลามเป็นสัตว์ที่มีฟันมากที่สุดเช่นนั้นเหรอ?  สำหรับเรื่องนี้แล้วคงต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการให้ความหมายของคำว่าฟันในแต่ละคน แต่หากเรามองฟันเป็นอวัยวะที่อยู่ในปากและมีหน้าที่ช่วยในการทานอาหารแล้ว สัตว์ที่มีฟันมากที่สุดก็คือ “ทากทะเล” นั่นเอง นั่นเพราะหากเราใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูในปากของทากทะเล เราจะพบว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้นั้นมีฟันเล็กๆ ที่การใช้งานคล้ายตะไบในปากกว่าแสนซี่ (ซึ่งเรียกกันว่า “แรดูลา”)…

  • เปิดตำนาน “ต้นไม้ภูต” ความเชื่อเก่าแก่ของชาวไอร์แลนด์ ที่แม้แต่รัฐบาลยังต้องหลีกทางให้

    เปิดตำนาน “ต้นไม้ภูต” ความเชื่อเก่าแก่ของชาวไอร์แลนด์ ที่แม้แต่รัฐบาลยังต้องหลีกทางให้

    เคยได้ยินตำนาน “ต้นไม้ภูต” ของชาวไอร์แลนด์กันมาก่อนไหม? นี่เป็นต้นไม้ที่ปรากฏออกมาบ่อยๆ ในตำนาน เรื่องเล่า และนิทานของประเทศไอร์แลนด์ตั้งแต่ในอดีต และเป็นที่เชื่อถือของคนหลายๆ กลุ่มในประเทศว่าเป็นทางเชื่อมไปยังอีกโลกหนึ่ง     ต้นไม้ที่ถูกมองว่าเป็นต้นไม้นั้น โดยมากแล้วจะเป็นต้นฮอร์ธอร์นหรือไม่ก็ต้นแอชที่ขึ้นอยู่โดดๆ กลางที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นกลางทุ่งหรือริมถนน และในหลายๆ ครั้งก็จะมีหินอยู่ใกล้ๆ ลำต้นด้วย ชาวไอร์แลนด์เชื่อว่าที่ต้นไม้ภูตมีสภาพเช่นนี้เนื่องจากจริงๆ แล้วต้นไม้เหล่านี้ถูกภูตใช้งานเป็นประตูในการเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกของภูต ดังนั้นมันจึงตั้งอยู่ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย และได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี ด้วยหินซึ่งมีเวทมนตร์บรรจุไว้     ว่ากันว่าใครก็ตามที่ตัดหรือทำร้ายต้นไม้ภูตจะต้องพบกับโชคร้ายไปตลอดชีวิตจากความโกรธแค้นของเหล่าภูต แถมการกระทำที่เรียกว่าทำร้ายต้นไม้นี้ก็รวมไปถึงการเด็ดดอกไม้จากต้นเลยด้วย แม้ว่าโทษจะไม่แรงเท่าการตัดต้นไม้ตรงๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองต้นไม้ที่งอกขึ้นมาแบบเดียวๆ จึงมักได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยชาวไอร์แลนด์ โดยในบางเวลาพวกเขายังมักพันกิ่งก้านของต้นไม้ดังกล่าวด้วยผ้าสีตามความเชื่อที่ว่าจะนำมาซึ่งโชคดีอีกด้วย     ตำนานของต้นไม้ภูตนั้นอาจจะเป็นความเชื่อที่ดูเก่าก็จริงอยู่ แต่มันก็แตกต่างไปจากตำนานอื่นๆ ของชาวไอร์แลนด์ตรงที่ยังมีคนเชื่ออยู่เป็นจำนวนมากแม้ในปัจจุบัน อย่างสนามกอล์ฟ “Ormeau Golf Club” ในเมืองเบลฟาสต์เองก็มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งซึ่งผู้ดูแลไม่ยอมตัดแต่งกิ่งเลย (เพราะกลัวไปทำร้ายต้นไม้ภูต) แถมหากผู้เล่นเผลอตีลูกกอล์ฟไปโดนต้นไม้ พวกเขาก็จะได้รับทำแนะนำให้ขอโทษต้นไม้ต้นนี้ด้วย     ความเชื่อเรื่องต้นไม้ภูตนั้นฝังลึกถึงขั้นที่ว่าเมื่อปี ค.ศ. 1999 ทางรัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนการสร้างทางมอเตอร์เวย์จากการที่มีต้นไม้ภูตขวางทางอยู่ แถมสุดท้ายพวกเขาก็ต้องสร้างทางอ้อมต้นไม้ไปตามข้อเรียกร้องของคนในพื้นที่เลย     และแม้ว่าเราจะไม่สามารถบอกได้ว่าต้นไม้ภูตนั้นมีอยู่จริงๆ…

  • ย้อนรอยการค้าขายมัมมี่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เมื่อร่างคนตายถูกใช้งานต่างสินค้า

    ย้อนรอยการค้าขายมัมมี่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เมื่อร่างคนตายถูกใช้งานต่างสินค้า

    ในช่วงยุควิกตอเรีย การที่นโปเลียนบุกไปถึงอียิปต์ได้ทำให้ชาวยุโรปได้มีโอกาสพบกับวัฒนธรรมที่ยาวนานของอียิปต์ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นมัมมี่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้กลับมักจะไม่ได้รับความเคารพจากชาวยุโรปเท่าที่ควรเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ในช่วงเวลานี้ เราจะสามารถเห็นมัมมี่ถูกนำไปขายข้างถนนราวกับเป็นของฝากอยู่เสมอ และส่งผลให้จำนวนมัมมี่ของอียิปต์ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงศตวรรษที่ 18-19   การขายมัมมี่ข้างถนน 1865   เหตุผลที่ชาวยุโรปซื้อมัมมี่ไปนั้นมีอยู่หากหลายตั้งแต่การใช้ในงานปาร์ตี้สุดแปลกที่ชื่อ “Mummy Unwrapping Parties” หรืองานเลี้ยงแกะผ้าห่อมัมมี่ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีการแกะผ้าห่อศพของมัมมี่โชว์สมชื่องาน นอกจากนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในยุโรปยังมีความเชื่อสุดแปลกเกิดขึ้น โดยคนในสมัยนั้นจะนำร่างของมัมมี่ที่ได้มาไปบดจนเป็นผง และใช้บริโภคเป็นยา แถมยังเป็นที่นิยมเอามากๆ จนมีการทำมัมมี่ปลอมที่ทำจากคนจนหรือคนไร้บ้านที่ตายบนถนน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการเลย (ซึ่งคงไม่ต้องพูดขึ้นเรื่องสุขอนามัย)   ภาพวาดงานเลี้ยงแกะผ้าห่อมัมมี่   วิธีการทำมัมมี่ปลอมนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่แต่โดยมากแล้วจะทำโดยการเอาศพไปฝังในทรายหรือไม่ก็ยัดบิทูเมน (ยางมะตอย) ก่อนที่จะปล่อยตากแดดเอาไว้ ต่อมาเมื่อทางยุโรปเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม แทนที่จะเอาไปบดทาน มัมมี่ของอียิปต์ก็ถูกนำไปใช้งานอย่างอื่นแทน โดยในช่วงเวลานี้ ร่างของมัมมี่จะถูกบดส่งไปยังอังกฤษและเยอรมนีเพื่อให้เป็นปุ๋ย หรือไม่ก็ทำเป็นผงสีที่ชื่อ “น้ำตาลมัมมี่” แถมในอียิปต์เองก็มีข่าวลือว่ามัมมี่ถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงหัวรถจักรด้วย     นับว่าโชคดีมากที่หลังจากนั้นไม่นานมัมมี่ก็เริ่มถูกเห็นค่าในฐานะของแสดงและสะสมจนมีนักสะสมจำนวนมากซื้อเก็บไว้ในราคาสูง จนการทำลายมัมมี่มีน้อยลงกว่าที่เคยเป็น อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถซื้อมัมมี่ทั้งร่างได้ในยุคนี้ตลาดมืดจึงมักจะหั่นร่างของมัมมี่เพื่อแยกขายซึ่งก็นับว่าเป็นการทำลายวัตถุโบราณอยู่ดี และแม้ว่าในปัจจุบันมัมมี่จะได้รับการคุ้มครองที่ดีขึ้นมากก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าการหั่นมัมมี่ขายในตลาดมืดนั้นก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นช่วงๆ อยู่ดี   การแอบขนชิ้นส่วนมัมมี่ในปี 2019   ที่มา rarehistoricalphotos, atlasobscura และ allthatsinteresting

  • ผลพิสูจน์ DNA ชี้ ฆาตกรต่อเนื่อง “Jack the Ripper” แท้จริงแล้วเป็นช่างตัดผม

    ผลพิสูจน์ DNA ชี้ ฆาตกรต่อเนื่อง “Jack the Ripper” แท้จริงแล้วเป็นช่างตัดผม

    เชื่อว่าด้วยความโด่งดังในสื่อ ในปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของฆาตกรรมต่อเนื่องนาม “Jack the Ripper” อีกต่อไปแล้ว เพราะผลงานการเชือดหญิงสาวในกรุงลอนดอน เมื่อช่วงปี 1888 ของเขานั้น เรียกได้ว่าเป็นคดีที่น่าหวาดผวาที่สุดคดีหนึ่งของอังกฤษมาเป็นเวลากว่าร้อยปีเลย แน่นอนว่าคดีลึกลับที่ไขไม่ออกเช่นนี้ย่อมกลายเป็นคดีที่มีคนออกมาตั้งทฤษฎีเพื่อทำการอธิบายมากมาย ทั้งในทางประวัติศาสตร์ และทฤษฎีสมคบคิด โดยที่ผ่านมาก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจออกมามากมาย ทั้งที่บอกว่าคนร้ายเป็นศัลยแพทย์ คนขายเนื้อ หรือแม้กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง     แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Liverpool John Moore ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขานั้นอาจจะทราบตัวจริงของ Jack the Ripper แล้ว อ้างอิงจากผลตรวจผ้าคลุมเปื้อนเลือด หนึ่งในหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ผ้าเปื้อนเลือดชิ้นนี้นั้นถูกประมูลไว้โดยนักธุรกิจชื่อ Russell Edwards ในปี 2007 ก่อนที่เขาจะเก็บมันไว้ช่วงเวลาหนึ่งและติดต่อนักวิทยาศาสตร์ให้มาตรวจสอบผ้าชิ้นดังกล่าวในภายหลัง     โดยจากการตรวจสอบ DNA บนผ้าโดยละเอียดนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับเรื่องที่น่าสนใจเข้า เพราะนอกจากผ้าผืนนี้จะมี DNA ของ Catherine Eddowes หนึ่งในเหยื่อของ Jack แล้ว มันยังมี DNA ของคนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย คนอีกคนที่ว่านั้นคือ Aaron Kosminski ช่างตัดผมชาวโปแลนด์ที่ในเวลานั้นกำลังอายุได้ 23…

  • 25 ภาพสุดงามของจอร์เจียช่วงปี 1970-1980 ไปดูกันว่าวิถีชีวิตของคนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง

    25 ภาพสุดงามของจอร์เจียช่วงปี 1970-1980 ไปดูกันว่าวิถีชีวิตของคนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง

    จอร์เจียเป็นประเทศหนึ่งในสมาชิก UN ที่ตั้งอยู่ติดกับภูเขาคอเคซัส ในบริเวณจุดตัดระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย มีชื่อเสียงเรื่องวิวที่งดงาม สถาปัตยกรรมโบราณ และวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แน่นอนว่าประเทศที่โดดเด่นในเรื่องความงามของทัศนียภาพเช่นนี้ย่อมจะต้องมีภาพถ่ายที่งดงามถูกถ่ายเก็บไว้โดยนักท่องเที่ยวที่หลากหลายอยู่แล้ว แต่ภาพที่ออกมานั้นโดยมากแล้วจะเป็นภาพของประเทศในศตวรรษที่ 21 เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพของประเทศจอร์เจียในช่วงเวลาที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันบ้าง โดยนี่เป็นภาพวิถีชีวิตของคนที่จอร์เจียในช่วงปี 1970-1980 เป็นหลัก แต่จะเป็นเช่นไรบ้างนั้นเชิญเพื่อนๆ ไปชมกันเลยข้างล่างนี้   เริ่มกันจากถนน Batumi ในเมือง Adjara ค.ศ. 1975   ตลาดใน Batumi เมือง Adjara ค.ศ. 1975 .   ถนน Georgian Military Road (ชื่อเรียกถนนจากจอร์เจียไปรัสเซีย) 1975   สะพาน Metechi Brücke เมือง Tbilisi 1975   วิหาร Svetitskhoveli เมือง Mtskheta 1975   โบสถ์ Metekhi St. Virgin เมือง Tbilisi 1977 .   ถนนที่ใกล้ๆ เขตพรมแดนประเทศ…

  • ประชาชนตื่น หลังมีข่าวนักวิทย์ย้อนเวลาอนุภาคในควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ MIT แย้ง “ไม่จริง”

    ประชาชนตื่น หลังมีข่าวนักวิทย์ย้อนเวลาอนุภาคในควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ MIT แย้ง “ไม่จริง”

    เพื่อนๆ คิดว่ามนุษย์เรานั้นจะในอนาคตจะสามารถสร้างเครื่องมือย้อนเวลาหรือ “ไทม์แมชชีน” ขึ้นมาได้ไหม และหากสร้างขึ้นได้ เราจะสร้างมันขึ้นมาได้เมื่อไหร่กัน     เพราะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองได้มีข่าวที่ว่านักวิทยาศาสตร์ของทางสถาบันฟิสิกส์และเทคโนโลยีแห่งมอสโก (หรือ “MIPT”) สามารถทำการย้อนเวลา “อนุภาค” ภายในควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “Qubits” ได้สำเร็จ และถูกประกาศออกมาโดยสื่อหลายแห่งในต่างประเทศ   มันคืออะไรกันนะ!? นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นโดยการจำลองอนุภาคอิเล็กตรอนจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถกระจายตัวไปได้ในรูปแบบที่หลากหลาย ก่อนที่จะใช้ “ปัจจัยภายนอก” ในการทำให้อนุภาคเหล่านั้นกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม โดยใช้กลุ่มข้อมูลที่อาจจะแสดงผลเป็นเลข “หนึ่ง” เลข “ศูนย์” หรือตัวเลขที่ผสมกัน ทางสื่อต่างประเทศอธิบายว่า การทดลองนี้ก็คล้ายกับการแทงสนุกเกอร์ไปอยู่ในตำแหน่งมั่วๆ ในการแทงครั้งแรก และทำให้ลูกสนุกกลับไปอยู่ที่เดิมโดยการกลิ้งย้อนกลับโดยไม่ใช้มือจับ     โดยทางนักวิจัยได้ออกมาอ้างว่าหากมี Qubits สองหน่วยพวกเขาจะสามารถ “ย้อนเวลา” ได้สำเร็จถึง 85%  แต่หากมี Qubits สามหน่วยความผิดพลาดจะมากขึ้นทำให้พวกเขาย้อนเวลาสำเร็จเพียง 50% แน่นอนว่าเมื่อผลการทดลองนี้ถูกนำเสนอไปก็มีประชาชนที่ให้ความสนใจกับผลการทดลองที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามทางนิตยสาร MIT Technology Review ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ได้ออกมาบอกว่างานวิจัยชิ้นนี้นั้นไม่สามารถนำมาอ้างว่าทำการย้อนเวลาได้จริงๆ เลย    …

  • งานวิจัยใหม่ชี้ มนุษย์เราอาจอาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย มาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อน

    งานวิจัยใหม่ชี้ มนุษย์เราอาจอาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย มาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าทวีปออสเตรเลีย นั้นเป็นทวีปที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากๆ แห่งหนึ่งของโลก เพราะจากหลักฐานที่เราพบมาในอดีต มนุษย์เรานั้นเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน จนชาวอะบอริจินได้ชื่อว่าเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไป     นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูมากแล้วสำหรับหลายๆ คนก็จริงอยู่ แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิจัยจากหลากหลายแห่ง ก็ได้ออกมาเปิดเผยความเป็นไปได้ใหม่ที่ว่าการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในออสเตรเลีย จริงๆ แล้วอาจจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 120,000 ปีก่อนต่างหาก โดยนี่เป็นงานวิจัยที่อ้างอิงหลักฐานชิ้นใหม่ซึ่งถูกพบในทางใต้ของรัฐวิกทอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งประกอบไปด้วยหินที่โดนไฟเผาจนเป็นสีดำ และเปลือกหอยโบราณจำนวนหนึ่ง     จากคำบอกเล่าของนักวิทยาศาสตร์หินที่พวกเขาพบถูกเผาจนดำในลักษณะที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติหรือไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่หินเหล่านี้จะถูกเผาโดยน้ำมือของมนุษย์ ส่วนเปลือกหอยโบราณที่พวกเขาพบเองก็ล้วนแต่เป็นของหอยที่ทานได้ ซึ่งบ่งบอกถึงหลักฐานการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าหินที่พวกเขาพบจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากการก่อไฟทำอาการและใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน แถมมันยังมีอายุเก่าแก่กว่าที่คาดไว้ถึง 55,000 ปี   ภาพหินซึ่งเป็นหลักฐานเก่าว่ามีมนุษย์อยู่ที่ออสเตรเลียตั้งแต่เมื่อ 65,000-70,000 ปีก่อน   อย่างไรก็ตามการทดลองในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อกังขาเลย เพราะพวกเขานั้นไม่มีการพบวัตถุโบราณที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมือมนุษย์ อย่างพวกเครื่องมือหรือภาชนะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แถมจากการตรวจสอบ DNA ก่อนหน้าเอง ก็บอกว่าชาวอะบอริจินนั้นมีร่องรอยทางพันธุกรรมสามารถย้อนรอยกลับไปเพียง 75,000 ปีเท่านั้น แถมยังแยกออกมาจากชาวยูเรเชียอีกที ดังนั้นจึงไม่น่าจะอยู่ในพื้นที่นี้เมื่อ 120,000 ปีก่อนได้ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ ข้อมูลทางพันธุกรรมชี้ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ “ชาวอะบอริจิน” ในออสเตรเลีย)…

  • ย้อนรอย “เหมืองคิมเบอร์ลีย์” เหมืองแรงงานมนุษย์แห่งแอฟริกาใต้ ที่ว่ากันว่าถูกสาปโดยคนตาย

    ย้อนรอย “เหมืองคิมเบอร์ลีย์” เหมืองแรงงานมนุษย์แห่งแอฟริกาใต้ ที่ว่ากันว่าถูกสาปโดยคนตาย

    เคยได้ยินเรื่องเหมืองคิมเบอร์ลีย์ (Kimberley Mine) กันมาก่อนไหม นี่เป็นเหมืองเพชรในแอฟริกาใต้ ที่มักถูกเชื่อกันว่าเป็นเหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดซึ่งถูกขุดโดยแรงงานมนุษย์ (แม้ว่าจริงๆ แล้วเหมือง Jagersfontein จะใหญ่กว่าก็ตาม)     คิมเบอร์ลีย์เปิดตัวขึ้นในปี 1871 ภายใต้การทำงานของคนงานที่หมุนเวียนกันกว่า 50,000 ราย โดยมันมีความลึกถึง 1,097 เมตร และขุดเพชรขึ้นมาได้กว่า 3,000 กิโลกรัม พร้อมๆ กับดินอีกร่วม 22 ล้านตัน ด้วยความที่เป็นเหมืองแบบเปิด หากมองจากภายนอกเหมืองคิมเบอร์ลีย์จะมีสภาพคล้ายหลุม ดังนั้นมันจึงได้รับชื่อเล่นว่าหลุมใหญ่ (Big Hole) โดยเฉพาะในยามที่คนยังคิดว่าหลุมที่ว่านี้ลึกที่สุดในโลก แน่นอนว่า การขุดเหมืองด้วยมือในสภาพอากาศที่ร้อนจัด มีความสกปรกสูงแถมยังหาน้ำและอาหารได้ยาก มันก็ต้องมีคนไม่น้อยที่สละชีวิตไปเป็นธรรมดา และความตายที่เกิดขึ้นนี้เอง ก็ทำให้คนหลายๆ คนเชื่อว่าเหมืองแห่งนี้อาจจะมีคำสาปอยู่ก็ได้     อย่างไรก็ตามหากเรามองกันให้ดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเหมืองนี้ก็ล้วนแต่จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของมนุษย์ล้วนๆ นั่นเพราะความตายของคนในเหมืองส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่หินถล่ม โดนรถรางทับหรือไม่ก็ระเบิดที่เตรียมไว้เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีต้นเหตุมาจากการขาดประสบการณ์ หรือไม่ก็การเร่งงานที่มากจนเกินไปของผู้คุม     เรื่องเพียงเรื่องเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นโชคร้ายจริงๆ ของเหมืองแห่งนี้ คือการที่มันต้องปิดตัวลงก่อนเวลาอันควรในปี 1914 จากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหลังจากนั้นมามันก็ไม่เคยถูกเปิดเป็นเหมืองอีกเลย…

  • เปิดตำนาน “แจ๊คคาโลป” เรื่องราวของกระต่ายมีเขา ที่เหล่าผู้คนตามหากันในศตวรรษที่ 20

    เปิดตำนาน “แจ๊คคาโลป” เรื่องราวของกระต่ายมีเขา ที่เหล่าผู้คนตามหากันในศตวรรษที่ 20

    เคยได้ยินเรื่องเล่าของแจ๊คคาโลปกันมาก่อนไหม มันคือกระต่ายที่มีเขาเหมือนกวาง ที่ว่ากันว่าเป็นตำนานพื้นบ้านของทางทวีปอเมริกาเหนือ และกลายเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เป็นที่ต้องการมาก จนมีคนออกมาตามหาเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาหนึ่ง     ชื่อของแจ๊คคาโลป (Jackalope) มาจากคำว่า “Jackrabbit” กับ “Antelope” ซึ่งก็แปลว่ากระต่ายกับแอนทิโลปสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกวาง แบบตรงๆ เลย โดยเชื่อกันว่าชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นตามลักษณะของแจ๊คคาโลปเอง น่าแปลกที่เรื่องราวของแจ๊คคาโลปสามารถย้อนรอยกลับไปได้ถึงเพียงแค่ช่วงปี 1930 เท่านั้นซึ่งถือว่าไม่เก่ามากเมื่อเทียบกับตำนานอื่นๆ โดยส่วนมากจะเชื่อกันว่ามันเป็นสัตว์ลูกผสมของกวางที่สูญพันธุ์ไปแล้วกับกระต่ายนักฆ่า ซึ่งเป็นตำนานอีกเรื่องในสมัยก่อน และคาดกันว่าอาศัยอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาอีกที ชื่อเสียงของแจ๊คคาโลปนั้นโด่งดังมากในสมัยนั้น จนมีคนมากมายออกมาอ้างตัวว่าเคยพบมัน ทั้งเหล่าคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเอง และคนที่อยู่ในทางยุโรป อย่างในเยอรมันก็มีคนออกมาอ้างว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้ยังไม่ได้มีแค่เขากวาง แต่ยังมีเขี้ยวและปีก ส่วนทางสวีเดนก็บอกว่าสัตว์ตัวนี้มีครึ่งหลังเป็นไก่ป่า     ในบางตำนานของแจ๊คคาโลปนั้นมีการระบุไว้ว่าแจ๊คคาโลปนั้นสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ แถมยังมีเรื่องเล่าบางที่ซึ่งบอกว่านมของมันมีผลเป็นยาปลุกอารมณ์ และเขาของมันก็ยังนำมาทำยาได้อีก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในสมัยนั้นจะออกล่ากระต่ายตัวดังกล่าวกันเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของแจ๊คคาโลปนั้น เป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วอาจจะเกิดขึ้นจากพี่น้อง Herrick ผู้ซึ่งอาศัยในรัฐไวโอมิงเท่านั้น และไม่ใช่ตำนานที่มีมาแต่โบราณอย่างที่หลายๆ คนเชื่อ เพราะอ้างอิงอ้างอิงจากบันทึกในสมัยก่อน พี่น้อง Herrick เป็นนักล่าที่เปิดร้านสตัฟฟ์สัตว์ และวันหนึ่งในช่วงปี 1930 พวกเขาก็นึกสนุกลองผสมชิ้นส่วนสัตว์หลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน โดยหนึ่งในนั้นคือกระต่ายกับเขากวาง และเกิดเป็นที่มาของตำนานแจ๊คคาโลปไป    …

  • ตอบคำถาม ทำไมสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียนถึงมีรูปร่างประหลาดๆ มันเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการ

    ตอบคำถาม ทำไมสิ่งมีชีวิตยุคแคมเบรียนถึงมีรูปร่างประหลาดๆ มันเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการ

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าบนโลกของเรานั้นมีสัตว์บางชนิดที่รูปร่างหน้าตาประหลาดและน่ากลัวเอามากๆ และยิ่งเราลองย้อนไปในอดีตเท่าไหร่เราก็จะสามารถพบสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในช่วงยุคแคมเบรียน นั่นเพราะหากดูจากการค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตในยุคนี้ เราจะเห็นได้ว่ายุคแคมเบรียนนั้นมีทั้งสัตว์อย่าง Hallucigenia ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาเป็นปีในการหาว่าหัวของมันอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือ Collinsium ciliosum ที่รูปร่างของมันราวกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญเลยไม่มีผิด   Hallucigenia sparsa หนอนมีหนามที่รูปร่างราวกับเป็นเอเลี่ยน   และความที่สัตว์หน้าตาแปลกๆ มักจะมารวมกันอยู่ในยุคเดียวกันนี้เองก็สร้างคำถามให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมกันสัตว์ในยุคแคมเบรียนจึงมักจะต้องมีรูปร่างแบบนี้ แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ ที่สัตว์บนโลกเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองไปนั้น แทบจะทั้งหมดมาจากการวิวัฒนาการและความพยายามในการเอาตัวรอด อย่าง Opabinia regalis สัตว์โบราณที่มีตาห้าดวง ก็วิวัฒนาการรูปร่างสุดประหลาดของมันออกมาเพื่อให้ขุดดินหาอาหารได้   Opabinia regalis   ดังนั้นการที่สัตว์แปลกๆ จะไปรวมกันอยู่ในยุคแคมเบรียนก็อาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายกว่าที่คิดก็เป็นได้ อ้างอิงจากคำบอกเล่าของคุณ Javier Ortega-Hernández นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาชีววิทยาสิ่งมีชีวิตและวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยุคแคมเบรียนนั้นนับเป็นยุคแห่งการวิวัฒนาการของสัตว์โบราณเลย นั่นเพราะราวๆ พันล้านปีก่อนยุคแคมเบรียนบนโลกใบนี้จะยังมีแค่สัตว์ตระกูลจุลินทรีย์ในน้ำเท่านั้น ก่อนที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจะเริ่มเกิดขึ้นมาในช่วงต้นของยุคแคมเบรียน และหลังจากนั้นอีกราวๆ 541 ล้านปี สัตว์ในตระกูลหนอนก็มีการพัฒนากล้ามเนื้อขึ้น และเปลี่ยนแปลงระบบการใช้ชีวิตในยุคนั้นไป   Collinsium ciliosum   สัตว์เหล่านี้สามารถมุดลงไปได้พื้นทะเลได้แล้ว ซึ่งทำให้พวกมันมีทั้งสถานที่หาอาหารใหม่ๆ แถมยังใช้การซ่อนตัวจากผู้ล่า และซุ่มโจมตีเหยื่อได้ง่ายขึ้นในเวลาเดียวกัน และก็เป็นช่วงเวลานี้เองที่เราเรียกกันว่าช่วง Cambrian Explosion ซึ่งทิ้งร่องรอยฟอสซิลไว้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการในช่วงนี้มักจะออกมาในสภาพที่สุดโต่ง อย่างสัตว์ที่เป็นนักล่า…

  • ย้อนรอย Percy Fawcett ชายผู้หายตัวไป ระหว่างการตามหา “Z” นครทองคำแห่งป่าอเมซอน

    ย้อนรอย Percy Fawcett ชายผู้หายตัวไป ระหว่างการตามหา “Z” นครทองคำแห่งป่าอเมซอน

    เคยได้ยินเรื่องนครลับที่สาบสูญไปอย่าง “Z” (The Lost City of Z) กันไหม สำหรับหลายๆ คนแล้ว ชื่อนี้คงเป็นที่รู้จักกันในฐานะของภาพยนตร์เมื่อปี 2016 ว่าแต่เชื่อไหมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มีต้นแบบมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต โดยนี่เป็นเรื่องราวของ Percy Harrison Fawcett นักสำรวจผู้กำเนิดในอังกฤษเมื่อปี 1867 และกลายเป็นหนึ่งในตำนานนักเดินป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ที่เชื่อกันว่าเก่งมากจนมีชีวิตรอดในป่าเป็นเวลานานโดยใช้แค่เข็มทิศกับมีดพร้า แถมยังเป็นเพื่อนกับชนพื้นเมืองในป่าได้ ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยพบคนขาวมาก่อน   Percy Harrison Fawcett ในปี 1911   แน่นอนว่าด้วยอาชีพแล้ว Percy ย่อมเป็นคนที่รักในการสำรวจอย่างมาก โดยที่เขาจะชอบพื้นที่ในอเมริกาใต้เป็นพิเศษ เพราะเขาคิดว่าที่นั่นน่าจะมีอารยธรรมโบราณซ่อนอยู่เต็มไปหมด Percy กล่าวถึงนครลับที่สาบสูญไปซึ่งเขาเรียกว่า “Z” ครั้งแรกในปี 1912 ไม่นานหลังจากที่โลกมีการค้นพบเมืองอินคาอย่างมาชูปิกชู (ในปี 1911) โดยเขาอ้างว่านครลับ Z น่าจะถูกฝังอยู่ลึกเข้าไปในป่าแถบประเทศชิลี โดยที่มีถนนทำจากเงินและหลังคาที่ทำจากทอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 ชาวยุโรปก็มีความเชื่อในหมู่นักสำรวจว่า อาณาจักรทั้งหมดในป่าทวีปอเมริกาใต้นั้นล้วนแต่เป็นทองคำทั้งสิ้น     อย่างไรก็ตามในปี 1920 Percy ก็พบกับเอกสารจากนักเดินทางชาวโปรตุเกสในปี…

  • เปิดตำนานเกาะ “Hy-Brasil” สถานที่ในเรื่องเล่านักเดินเรือ ที่ว่ากันว่าซ่อนดินแดนมหัศจรรย์ไว้

    เปิดตำนานเกาะ “Hy-Brasil” สถานที่ในเรื่องเล่านักเดินเรือ ที่ว่ากันว่าซ่อนดินแดนมหัศจรรย์ไว้

    เมื่อพูดถึงเมืองในตำนานที่หายสาบสูญไปของโลก เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงมหานครอย่างแอตแลนติส ที่ถูกกล่าวถึงโดยปราชญ์ของชาวกรีกโบราณขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องราวของเกาะที่ชื่อ “Hy-Brasil” กันมาก่อนไหม เพราะหากพูดถึงเกาะในตำนานที่มีชื่อเสียงแล้ว เกาะแห่งนี้เองก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจพอใช้ได้เลย     เกาะ Hy-Brasil หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “Brasil” นั้นเชื่อกันว่าตั้งอยู่ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ และได้ชื่อมาจากสีย้อมสีแดงสด ที่ว่ากันว่าหาได้จากเกาะแห่งนี้ หรือไม่ก็คำว่า “Breas” ในภาษาไอริสที่แปลว่าโชคดี เกาะแห่งนี้ว่ากันว่าโผล่ออกมาในแผนที่ครั้งแรกในช่วงยุคกลาง (แถวๆ ปี 1325) และเป็นที่มาของตำนานนักเดินเรือที่มากมายหลายในยุคนั้น ซึ่งโดยมากแล้วเชื่อกันว่านี่เป็นเกาะของเหล่าผู้คนที่มีอารยธรรมนำสมัย และร่ำรวยสุดๆ     ตามปกติเกาะแห่งนี้จะถูกบดบังจากสายตามนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นจากการจมอยู่ใต้ทะเล หรือมีหมอกหนาปกคลุมอยู่ตลอดและจะแสดงตัวออกมา 7 ปีครั้งเท่านั้น แต่หากใครก็ตามสามารถขึ้นไปบนเกาะได้ พวกเขาก็จะกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย หรือเรื่องเล่าของดินแดนมหัศจรรย์ ว่ากันว่าคนที่มีโอกาสเห็นเกาะที่ว่านี้บ่อยที่สุดจะเป็นนักเขียนชื่อ T. J. Westropp ผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเห็นเกาะนี้มาแล้วถึงสามครั้ง แถมในครั้งที่สามในปี 1872 เขายังพาแม่และเพื่อนๆ อีกหลายคนไปพบเกาะแห่งนี้ด้วยกันอีกด้วย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ตาม     แน่นอนว่าตั้งแต่ในอดีตมีคนจำนวนมากที่พยายามหาเกาะแห่งนี้ และแม้กระทั่งในปัจจุบันเองก็มีนักธรณีวิทยาและนักโบราณคดีหลายๆ คนอยู่ที่พยายามหาคำอธิบายว่าแท้จริงแล้วตัวตนจริงๆ ของเกาะนี้คืออะไรกันแน่ สถานที่ซึ่งน่าสนใจที่สุดที่อาจจะเคยเป็นที่ตั้งของ Hy-Brasil นั้น…

  • 21 ภาพทหารสหภาพแห่งสงครามกลางเมืองอเมริกา เหล่าผู้ที่สู้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ

    21 ภาพทหารสหภาพแห่งสงครามกลางเมืองอเมริกา เหล่าผู้ที่สู้ปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ

    สงครามกลางเมืองอเมริกา หรือ American Civil War เป็นสงครามสงครามกลางเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1861-1865 ระหว่างฝ่ายสหภาพหรือฝ่ายเหนือ ซึ่งนำโดยอับราฮัม ลินคอล์น กับฝ่ายสมาพันธรัฐหรือฝ่ายใต้ ซึ่งนำโดยเจฟเฟอร์สัน เดวิส ภายใต้ความขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้งานทาส สงครามในครั้งนั้นนับว่าเป็นสงครามครั้งสำคัญของสหรัฐอเมริกาเลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการเก็บภาพเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก และในวันนี้เองเราก็จะไปชมภาพที่ถูกถ่ายมาในช่วงสงครามครั้งนี้กัน โดยเน้นไปที่ภาพของตัวทหารแต่ละคนของฝ่ายสหภาพในช่วงนั้น ไม่ใช่ภาพของตัวสงครามเองอย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ   เริ่มกันจากภาพของทหารฝั่งสหภาพสองคนที่ถือซิการ์ให้กันและกัน   เหล่าทหารไม่ปรากฏชื่อสามคน ที่ถ่ายรูปกับหมวกและปืนคู่ใจ   พลทหาร  Hiram J และ พลทหาร William H จากตระกูล Gripman สองพี่น้องที่เข้าร่วมสงครามกับฝั่งสหภาพ   สิบโท Alvin B. Williams กับปืนประจำตัวที่มีการติดดาบปลายปืนเอาไว้   สิบเอก Edwin Chamberlain กับการเล่นกีตาร์ในเครื่องแบบ   เหล่าทหารห้าคนของฝั่งสหภาพที่ถูกถ่ายไว้หน้าค่ายทหาร   John E. Cummins จากกองทหารราบโอไฮโอ 185 ถ่ายภาพคู่กับม้า   พลทหาร Albert H. Davis ในสภาพแบกอุปกรณ์ทหารครบชุด   พลทหาร David…

  • นักวิทย์วิเคราะห์กระดูกหมูใกล้ “สโตนเฮนจ์” อาจถูกใช้จัดงานฉลองใหญ่มาก่อน

    นักวิทย์วิเคราะห์กระดูกหมูใกล้ “สโตนเฮนจ์” อาจถูกใช้จัดงานฉลองใหญ่มาก่อน

    สโตนเฮนจ์เป็นหนึ่งในโบราณสถานหินขนาดยักษ์ ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่บริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ และมีอายุอย่างต่ำถึง 4,000 ปี     ตั้งแต่ในอดีตมาเหล่านักโบราณคดีได้ทำการถกเถียงและตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้งานของโบราณสถานแห่งนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรสักอย่าง จนกระทั่งเมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบกระดูกของหมูจำนวนราวๆ 131 ตัว ถูกฝังเอาไว้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ และทำมาซึ่งทฤษฎีที่ว่าโบราณสถานแห่งนี้ในสมัยก่อนอาจจะเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานฉลองขนาดใหญ่ก็ได้ นั่นเพราะจากการตรวจสอบกระดูกหมูที่พบ นักวิทยาศาสตร์ก็ทราบว่ากระดูกเหล่านี้ไม่เพียงแต่มาจากช่วง 2,800-2,400 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น แต่พวกมันยังมีอาหารการกินที่ต่างกันมาก ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เห็นว่าหมูเหล่านี้ถูกเคยถูกเลี้ยงในสถานที่ที่ต่างกัน และถูกพามารวมกันที่ใกล้ๆ สโตนเฮนจ์เพื่อใช้ในงานฉลอง     จากรายงานการทดลองในบรรดาหมูที่พบมีอย่างน้อยๆ 5 ตัวที่เดินทางมาจากสกอตแลนด์และอีกหลายๆ ส่วนก็น่าจะเดินทางมาจากเวลส์ อ้างอิงจากการพบ สตรอนเชียม-87 สารที่พบบ่อยๆ ในกระดูกสัตว์ที่มาจากพื้นที่เหล่านี้ นี่นับว่าเป็นการเดินทางที่ถือว่าค่อนข้างไกล และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในสมัยก่อนเลย เพราะหมูนั้นไม่ใช่สัตว์ที่เหมาะสมกับการเดินไกลๆ ด้วยเท้าแบบในสมัยก่อน นั่นหมายความว่าไม่ว่างานฉลองที่จัดขึ้นที่สโตนเฮนจ์นั้น น่าจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงสามารถทำให้คนยอมลำบากรวบรวมหมูมากขนาดนี้มาใช้     โดย Dr Richard Madgwick แห่งสำนักโบราณคดีและศาสนาจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ หนึ่งในทีมวิจัยเล่าว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงระดับความซับซ้อนของสังคมในสมัยในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และหากการนำหมูเหล่านี้มาที่สโตนเฮนจ์จะมีเหตุผลเพื่อใช้ทำอาหารเลี้ยงแขกในงานจริงๆ งานฉลองที่เกิดขึ้นนั้น ก็อาจจะไม่ใช่แค่งานฉลองสำคัญเฉยๆ แต่อาจจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งของสมัยนั้นเลย   ที่มา allthatsinteresting, sciencemag และ iflscience

  • งานวิจัยใหม่ชี้ การบริโภคไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจถึง 6%

    งานวิจัยใหม่ชี้ การบริโภคไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจถึง 6%

    เพื่อนๆ ชอบทานไข่กันไหม เชื่อว่าคงมีอยู่หลายคนเป็นแน่ที่ชอบเจ้าวัตถุดิบอาหารชิ้นนี้ เพราะไม่ว่าจะต้ม ผัด ทอด หรือนึ่ง ไข่ก็เป็นหนึ่งในของที่ปรุงง่ายและอร่อยอยู่เสมอ ดังนั้นนี่อาจจะนับเป็นข่าวร้ายสำหรับหลายๆ คนเลยก็ได้ เพราะเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาวารสาร JAMA ได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นใหม่ที่บอกว่าการบริโภคไข่มากกว่า 3-4 ฟองต่อสัปดาห์นั้นอาจทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้สูงขึ้น 6% และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากเหตุผลอื่นๆ มากขึ้นอีก 8% เทียบกับคนที่ทานไข่น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์     ดูเหมือนว่าเหตุผลหลักที่ไข่อาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพจะมาจากคอเลสเตอรอลของตัวไข่เอง ซึ่งทางทีมวิจัยพบว่าหากทานคอเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัม (ไข่หนึ่งฟองมีคอเลสเตอรอล 373 มิลลิกรัม) คนเราจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้นถึง 17% เลยทีเดียว โดยนี่เป็นการทดลอง ที่เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลในกลุ่มผู้ใหญ่ 29,615 คน ผู้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และจะถูกติดตามอาการทางสุขภาพเป็นเวลา 17.5 ปี ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นไฟน์เบิร์ก แน่นอนว่างานวิจัยนี้ขัดแย้งโดยตรงกับ “แนวทางการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกัน” ที่จัดทำโดยกรมอนามัย และกรมการเกษตรของสหรัฐอเมริกา ที่มีการถอดคอเลสเตอรอลจากอาหารต้องควบคุมในปี 2015 และบอกว่าไข่ไก่สามารถทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวล     สำหรับเรื่องนี้ผู้ทำการวิจัย…

  • นักวิจัยเผย ผู้หญิงบางคนอาจมียีนหายากที่ทำให้ยาคุมกำเนิดเกิดความผิดพลาดได้บ่อยขึ้น

    นักวิจัยเผย ผู้หญิงบางคนอาจมียีนหายากที่ทำให้ยาคุมกำเนิดเกิดความผิดพลาดได้บ่อยขึ้น

    สำหรับคนที่ใช้งานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด คุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่ายาคุมกำเนิดรูปแบบนี้ บางครั้งก็ไม่สามารถคุมกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งแม้ว่าจะเกิดจากปัจจัยที่หลากหลาย แต่ส่วนมากแล้วคนก็มักจะคิดว่าเกี่ยวกับการทานยาที่ไม่ถูกต้อง     แต่จากผลงานวิจัยใหม่ล่าสุดของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโคโลราโดในเดนเวอร์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2019 ดูเหมือนว่าที่บางครั้งยาคุมกำเนิดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์นั้น อาจจะมาจากยีนบางตัวของผู้หญิงเองก็เป็นได้ โดยในระหว่างการวิจัยในครั้งนี้ ทีมวิจัยได้พบว่าในเวลาที่ทานยาคุมกำเนิด ผู้หญิงที่มียีนหายากที่ชื่อ “CYP3A7” จะมีระดับฮอร์โมนเลือดที่น้อยกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไป ซึ่งบางครั้งก็อยู่ในระดับที่น้อยเกินกว่าที่ยาคุมกำเนิดจะทำงานได้     ยีน CYP3A7 เดิมทีแล้วเป็นยีนที่เกี่ยวกับเอนไซม์ในตับ ซึ่งทำงานในตอนที่มนุษย์เรายังเป็นทารกในครรภ์และหยุดทำงานไปก่อนที่จะเกิด แต่ในกรณีหายาก ยีนตัวนี้ก็จะไม่มีการหยุดทำงานซึ่งส่งผลให้เด็กที่เกิดมามีความสามารถย่อยสลายยีน “Estrogen” และ “Progestin” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในการคุมกำเนิดได้เร็วกว่าคนทั่วไป Dr. Aaron Lazorwitz หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า เมื่อก่อนนั้นหากผู้หญิงท้องในระหว่างการใช้ยาคุม โดยมากแล้วผู้คนจะโทษให้เป็นความสะเพร่าในการทานยาของฝ่ายหญิง แต่จากงานวิจัยนี้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการทานยาคุมกันใหม่เลย     แน่นอนว่างานวิจัยชิ้นนี้ยังคงจำเป็นต้องมีการทดลอง กันอีกมากกว่าที่เราจะมั่นใจได้ว่ายีน CYP3A7 นั้นส่งผลต่อการทำงานของยาคุมกำเนิดจริงๆ แต่หากผลการทดลองนี้ถูกต้องจริงๆ แล้ว ไม่แน่ว่าอีกหน่อยก่อนที่จะมีการจ่ายยาคุม แพทย์อาจจะต้องตรวจยีนของผู้หญิงที่มารับยาก่อนก็เป็นได้  …

  • นักวิทย์พบหมึกกระดองที่ถนัดขวา จะมีโอกาสชนะในการต่อสู้และการผสมพันธุ์กว่าหมึกที่ถนัดซ้าย

    นักวิทย์พบหมึกกระดองที่ถนัดขวา จะมีโอกาสชนะในการต่อสู้และการผสมพันธุ์กว่าหมึกที่ถนัดซ้าย

    สำหรับมนุษย์เรานั้นอัตราความแตกต่างระหว่างคนถนัดขวาและคนถนัดซ้าย จะอยู่ที่ประมาณ 9:1 โดยคนส่วนใหญ่จะถนัดขวา และตามปกติแล้วมือข้างที่ถนัดจะไม่สำคัญกับชีวิตมากถึงขั้นที่เห็นผลได้อย่างชัดเจนนัก (ยกเว้นในกิจกรรมเฉพาะหรือการเล่นกีฬาบางประเภท) แต่ดูเหมือนว่าการถนัดซ้ายหรือถนัดขวานั้น สำหรับสัตว์อย่าง “Cuttlefish” หรือ “หมึกกระดอง” นั้น จะส่งผลกับชีวิตมากกว่ามนุษย์มาก เพราะจากการวิจัยที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น หมึกกระดองที่ถนัดขวาจะมีโอกาสชนะในการต่อสู้ และการผสมพันธุ์มากกว่าหมึกกระดองที่ถนัดซ้าย     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์สังเกตพฤติกรรมของหมึกกระดองกลุ่มหนึ่ง และพบว่าหมึกกระดองส่วนมากนั้นถนัดซ้าย อ้างอิงจากงานวิจัยดั้งเดิม บวกกับการเคลื่อนไหว และการใช้ดวงตาของมัน ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าในยามที่หมึกกระดองเหล่านี้หาคู่ ตัวผู้ที่มักจะได้ผสมพันธุ์กลับเป็นผู้ที่เข้าหาตัวเมียจากทางขวาเสียเป็นส่วนใหญ่     นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าในการต่อสู้กันเองของหมึกกระดอง ตัวผู้ที่ถนัดขวา (ส่วนน้อย) ยังมักจะมีชัยเหนือ ตัวผู้ที่ถนัดซ้าย (ส่วนมาก) อีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับระบบความถนัดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในโลกขึ้น (รวมทั้งมนุษย์ด้วย) จากผลการค้นพบในครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดการว่าการที่หมึกกระดองที่ถนัดขวามักจะมีชัยเหนือหมึกกระดองที่ถนัดซ้ายน่าจะมาจากการที่วิธีว่ายน้ำในตอนสู้ของมัน ซึ่งยากที่จะคาดการณ์กว่า คล้ายกับที่พบในวงการกีฬาของมนุษย์     และเมื่อหมึกกระดองที่ชนะการต่อสู้แย่งชิงตัวเมียมักจะเป็นตัวที่ถนัดขวา ตัวเมียจึงมักชินกับแนวคิดที่ว่าตัวผู้ที่ว่ายน้ำเข้าหาจากทางขวา (ถนัดขวา) จะเป็นตัวผู้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นตัวผู้ที่เข้าหาตัวเมียในรูปแบบนี้จะมีโอกาสได้รับการยอมรับจากตัวเมีย มากกว่าการเข้าหาจากทางซ้ายไป นี่อาจจะเป็นการศึกษาที่ดูจะไม่มีอะไรสำคัญ แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ให้ความสนใจกับผลการทดลองที่ออกมาเป็นอย่างมาก เพราะงานวิจัยนี้อาจจะให้คำตอบเราว่าทำไมสิ่งมีชีวิตถึงมีมือข้างที่ถนัด และทำไมคนส่วนมากจึงมักถนัดมือข้างเดียวกันทั้งๆ ที่ถนัดมือข้างอีกข้าง (ที่เป็นส่วนน้อย) อาจทำให้เราได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นแท้ๆ   ที่มา phys และ livescience

  • นักวิทยาศาสตร์เผย แมงมุมสายพันธุ์ใหม่ ถูกตั้งชื่อตาม “สตอร์มทรูปเปอร์” จากสตาร์วอร์

    นักวิทยาศาสตร์เผย แมงมุมสายพันธุ์ใหม่ ถูกตั้งชื่อตาม “สตอร์มทรูปเปอร์” จากสตาร์วอร์

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าเวลาที่มีการค้นอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ดวงดาว หรือสายพันธุ์ของสัตว์ บ่อยครั้งผู้ที่เป็นคนค้นพบก็จะได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อของสิ่งที่พบ โดยมากแล้วชื่อที่ถูกนำมาตั้ง จะเป็นชื่อของผู้ที่พบเองหรือไม่ก็ชื่อที่เกิดจากภาษาโบราณอย่างภาษาละติน แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ชื่อที่ถูกนำมาตั้งจะได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรแปลกๆ อย่างภาพยนตร์เรื่อง “สตาร์วอร์” ได้เช่นกัน     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาประกาศว่า แมงมุมขาโก่งสายพันธุ์ใหม่ 6 ชนิดซึ่งถูกค้นพบที่ทวีปอเมริกาใต้ จะได้รับชื่อสปีชีส์ว่า “Stormtropis” ชื่อที่มีต้นแบบมาจาก “สตอร์มทรูปเปอร์” เหล่ากองทหารที่มีชื่อเสียงแห่งฝั่งจักรวรรดิ ที่แมงมุมเหล่านี้ได้ชื่อว่า Stormtropis มาจากเหตุผลว่า แมงมุมทั้ง 6 ชนิดนั้นมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกันมาก แถมบางพันธุ์ยังมีความสามารถในการพรางตัว และอ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์บางคน มันซุ่มซ่ามเงอะงะคล้ายสตอร์มทรูปเปอร์ที่ยิงอะไรก็ไม่เคยโดน     แน่นอนว่าแมงมุมทั้งหกชนิดที่ถูกค้นพบนั้นย่อมมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่และสายพันธุ์ ถึงอย่างนั้นพวกมันกลับมีรูปร่างที่คล้ายกันมาก โดยตัวผู้จะมีกรงเล็บ 2 อันต่อขาหนึ่งข้าง (ซึ่งน้อยกว่าแมงมุมขาโก่งอื่นๆ ที่จะมีกรงเล็บ 3 อัน) และมีอวัยวะเพศที่เห็นได้ชัด ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะเพศรูปร่างคล้ายเห็ด ซึ่งแน่นอนว่าต่างจากแมงมุมขาโก่งอื่นๆ เช่นกัน     อันที่จริงแล้วแมงมุมตระกูล Stormtropis นั้นมีอยู่ค่อนข้างเยอะและพบได้ง่ายกว่าที่คิด…

  • งานวิจัยพบ “หนอนริบบิ้น” บางสายพันธุ์งอกหัวออกมาใหม่ได้ แม้สมองถูกทำลายไปแล้ว

    งานวิจัยพบ “หนอนริบบิ้น” บางสายพันธุ์งอกหัวออกมาใหม่ได้ แม้สมองถูกทำลายไปแล้ว

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของหนอนทะเลที่ชื่อ “หนอนริบบิ้น” กันมาก่อนไหม สำหรับหลายคนแล้ว ชื่อของเจ้าหนอนตัวนี้อาจจะเป็นอะไรที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ในขณะที่บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของมันในฐานะหนอนประหลาดที่พ่นใยสีขาวได้ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าหนอนริบบิ้นนั้นไม่ได้มีความสามารถแค่พ่นใยสีขาวเท่านั้น เพราะจากงานวิจัยใหม่ล่าสุด เจ้าหนอนในตระกูลนี้ บางสายพันธุ์สามารถงอกสมองใหม่ได้ด้วย     เอาเข้าจริงๆ เรื่องของสมองในสัตว์จำพวกหนอนหรือไส้เดือนนั้นเป็นอะไรที่แปลกอยู่แล้วเพราะพวกมันมีทั้งสายพันธุ์ที่ไม่มีสมอง สายพันธุ์ที่ใช้เส้นประสาทต่างสมอง หรือแม้กระทั่งสายพันธุ์ที่มีสมองคล้ายกับมนุษย์ แต่จากการทดลองที่ผ่านๆ มา นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ามีแค่หนอนริบบิ้นบางสายพันธุ์เท่านั้นที่งอกสมองออกมาใหม่ได้เมื่อหัวถูกทำลายไป อ้างอิงจากรายงานที่ถูกตีพิมพ์ออกมาในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองกับหนอนริบบิ้นจำนวน 22 สายพันธุ์ (และเทียบข้อมูลกับอีก 13 สายพันธุ์) ทุกๆ ตัวจะสามารถซ่อมแซมหางตัวเองได้ แต่ที่แปลกคือในบรรดาหนอนเหล่านั้นกลับมีถึง 5 สายพันธุ์ที่งอกหัวออกมาใหม่พร้อมกับสมองได้ อันที่จริงแล้วนักวิทยาศาสตร์พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าในบรรดาหนอนริบบิ้นที่ได้มาจะมีอย่างน้อยๆ หนึ่งชนิดที่งอกสมองใหม่ได้ (เพราะก่อนหน้านี้เคยมีผลการทดลองยืนยันอยู่) แต่พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีหนอนงอกหัวใหม่ได้มากถึง 5 ชนิดเช่นนี้   การงอกหัวและสมองใหม่ของหนอนริบบิ้น Lineus sanguineus หนึ่งในห้าหนอนที่งอกหัวใหม่ได้สำเร็จ   นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเพราะหนอนที่ถูกนำมาทดลองนั้น ล้วนแต่มีบรรพบุรุษเดียวกันทั้งสิ้น และแน่นอนว่าบรรพบุรุษดังกล่าวก็ไม่ได้มีความสามารถในการงอกหัวเลยด้วย นั่นทำให้นักวิทยาศาสตร์มองว่าความสามารถสุดแปลกนี้น่าจะเพิ่งพัฒนาขึ้นมาในช่วง 10-15 ล้านปีก่อนเท่านั้น ไม่ได้มีมานานมาแล้วอย่างที่งานวิจัยอื่นๆ เคยคาดไว้…

  • ชม ภาพพาโนรามาของยาน “Opportunity” ที่เก็บภาพวิวสุดท้ายที่ก่อนที่ยานจะหยุดทำงานไว้

    ชม ภาพพาโนรามาของยาน “Opportunity” ที่เก็บภาพวิวสุดท้ายที่ก่อนที่ยานจะหยุดทำงานไว้

    หากว่ายังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ทางนาซาได้ออกมาเปิดเผยข้อความสุดท้ายที่ยานสำรวจดาวอังคาร “Opportunity”  ส่งกลับมายังโลก และกลายเป็นเรื่องราวสุดซึ้งกินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นาซาเผย การติดต่อครั้งสุดท้ายกับยาน “Opportunity” ที่กินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก)     แต่รายงานเรื่องพลังงานของตัวยานนั้น ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ยาน Opportunity ส่งกลับมายังโลกในช่วงท้ายของการปฏิบัติการแต่อย่างใด เพราะเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมานี้เอง ทางนาซาก็ได้ออกมาเปิดเผยภาพชุดสุดท้าย ที่ยาน Opportunity ส่งมายังโลก ก่อนที่จะหยุดทำงานไป โดยชุดภาพดังกล่าวนั้นประกอบไปด้วยรูปถ่าย 354 ภาพที่ถูกถ่ายไว้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ไปจนถึง 10 มิถุนายน ค.ศ. 2018 ซึ่งถูกนำมารวมกันโดยเจ้าหน้าที่ และเกิดเป็นภาพถ่ายพาโนรามาของสถานที่สุดท้าย ที่ยาน Opportunity หลับใหลอยู่   ผลภาพถ่ายที่ออกมาจาก เว็บไซต์ Nasa    ผู้จัดการโครงการ Opportunity คุณ John Callas บอกว่า ภาพพาโนรามาสุดท้ายนี้ แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของการสำรวจและการค้นพบของยาน Opportunity ได้เป็นอย่างดี และที่ภาพบางส่วนยังเป็นสีขาวดำ ก็เพราะพายุพัดเข้ามาก่อนที่ยานจะสำรวจพื้นที่ด้วยระบบสีได้สำเร็จ ทำให้ข้อมูลที่ส่งมาถึงโลกไม่มีสีไป ทางนาซาบอกว่าภาพที่เห็นนี้ก็เป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยภาพชุดสุดท้ายที่ยัง “มองออก” ว่าเป็นภาพอะไร…

  • นักวิทย์พบ เซลล์แมมมอธ “คืนชีพ” ชั่วคราว และพยายามแบ่งตัว หลังฉีดเข้าไปในไข่ของหนู

    นักวิทย์พบ เซลล์แมมมอธ “คืนชีพ” ชั่วคราว และพยายามแบ่งตัว หลังฉีดเข้าไปในไข่ของหนู

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 2011 ที่ไซบีเรีย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบมัมมี่ของช้างแมมมอธอายุกว่า 28,000 ปีตัวหนึ่ง ถูกฝังอยู่ในชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งคงตัวหรือ “เพอร์มาฟรอส” และมีสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมา     แน่นอนว่าตั้งแต่วันนั้นมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พยายามใช้ประโยชน์จากความสมบูรณ์ของมัมมี่ตัวนี้ในการทดลองต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงความพยายามในการคืนชีพแมมมอธด้วยการโคลนนิ่ง และแล้วหลังจากที่เวลาผ่านไปเกือบ 8 ปี ในที่สุดเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานความคืบหน้าของการทดลองที่พวกเขาทำจนได้ เพราะเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมารายงานการ “คืนชีพ” ของเซลล์แมมมอธ หลังจากที่มีการปลูกถ่ายลงไปในไข่ของหนู     นี่เป็นการทดลองที่จัดทำขึ้นโดยการนำนิวเคลียสที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างสูงของช้างแมมมอธสายพันธุ์ “Mammuthus primigenius” ไปปลูกถ่ายไว้ในไข่ของหนูทดลองเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเซลล์ดังกล่าว พวกเขาพบว่าการกระทำนี้จะทำให้โครโมโซมของช้างแมมมอธเกิดการปฏิกิริยาขึ้น และมีร่องรอยของการเริ่มต้นกระบวนการแบ่งตัวให้เห็น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 28,000 ปี เซลล์ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง     น่าเสียดายกระบวนการแบ่งตัวของเซลล์ช้างแมมมอธในไข่หนูกลับหยุดการทำงานลงกลางคันก่อนที่จะมีการแบ่งตัวเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีสาเหตุมาจากความเสียหายของเซลล์ที่นำมาใช้ ทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าผลการทดลองที่ออกมานั้นทำให้พวกเขามั่นใจว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่มีความก้าวหน้ามากพอที่จะโคลนนิ่งช้างแมมมอธได้ (อย่างน้อยก็ด้วยเซลล์จากมัมมี่ที่พบ) เพราะแม้ว่าพวกเขาจะใช้เซลล์ที่มีสภาพดีที่สุดในการทดลอง แต่ผลที่ออกมาก็ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่ดี     ถึงอย่างนั้นก็ตามตัวการทดลองในครั้งนี้เองก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ เพราะ Rebekah Rogers ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านชีวสารสนเทศของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา บอกว่าแค่การที่นักวิทยาศาสตร์สามารถฉีดเซลล์ของช้างแมมมอธลงไปในไข่ของหนูได้ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว เพราะหากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เป็นไปตามที่อ้างจริงๆ…

  • “ซิเกอร์ ไอดอล” รูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการใช้งานยังเป็นที่พูดคุยแม้ในปัจจุบัน

    “ซิเกอร์ ไอดอล” รูปสลักที่เก่าแก่ที่สุดในโลก กับการใช้งานยังเป็นที่พูดคุยแม้ในปัจจุบัน

    “ซิเกอร์ ไอดอล” (Shigir Idol) นี่คือชื่อของรูปสลักไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกพบเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1894 ที่รัสเซีย เชื่อกันว่ามันถูกสร้างขึ้นเมื่อราวๆ 11,600 ปีก่อน และทำขึ้นจากต้นไม้ที่มีอายุกว่า 159 ปี     ซิเกอร์ ไอดอลที่เราพบสูงราวๆ 2.8 เมตร แต่ว่ากันว่าเดิมทีแล้วอาจจะสูงกว่า 5.3 เมตรมาก่อนเลย ตั้งแต่ที่มีการพบซิเกอร์ ไอดอลเหล่านักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีต่างก็พยายาม หาวิธีใช้งานของเจ้ารูปสลักที่พบนี้ ตั้งแต่การใช้เป็นอุปกรณ์ในพิธีกรรมทางศาสนา เป็นตัวแทนของสิ่งชั่วร้ายอย่างปีศาจ และทฤษฎีอื่นๆ อีกมากมาย     แน่นอนว่าทฤษฎีที่ได้รับความนิยมที่สุดของซิเกอร์ ไอดอลนั้นย่อมไม่พ้นการใช้เป็นเสาโทเทม แต่อ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุด ดูเหมือนว่ารูปสลักนี้ไม่น่าจะมีการใช้งานแบบเสาโทเทมเท่าไหร่ นั่นเพราะส่วนปลายของมันไม่ได้มีร่องรอยว่าถูกฝังไว้ในดินเลย ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ซิเกอร์ ไอดอลน่าจะถูกพาดไว้กับต้นไม้หรือหิน โดยหันหน้าให้กับทะเลสาบมากกว่าที่จะฝังลงไปในดินโดยตรงอย่างที่เราคิด     นอกจากนี้ดูเหมือนว่าจะมีแนวคิดที่ว่าซิเกอร์ ไอดอลเคยถูกใช้เป็นแพในการข้ามทะเลสาบมาก่อนด้วย เนื่องจากตัวรูปสลักมีร่องรอยการอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามนี่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะรูปสลักเคยล้มลงจากที่พาดและจมอยู่ในน้ำอยู่ช่วงหนึ่งมากกว่า     ส่วนเรื่องซิเกอร์ ไอดอลอาจจะเป็นตัวแทนของปีศาจร้ายในสมัยก่อนนั้น Dr Mikhail Zhilin…

  • พบหลักฐานพายุสุริยะเก่าแก่ ในน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ เชื่อแรงกว่าที่เคยพบตลอด 70 ปีที่ผ่านมา

    พบหลักฐานพายุสุริยะเก่าแก่ ในน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ เชื่อแรงกว่าที่เคยพบตลอด 70 ปีที่ผ่านมา

    เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์พายุสุริยะหรือ “Solar Storm” กันไหม นี่เป็นปรากฏการณ์อนุภาคประจุไฟฟ้าพุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ และทำให้สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน จนบางครั้งก็ทำให้ระบบการสื่อสารบางอย่างของมนุษย์ไม่สามารถใช้การได้     จริงอยู่ที่เหตุการณ์พายุสุริยะอย่างพายุสุริยะนั้นย่อมต้องเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วตลอดชีวิตอันยาวนานของโลก แต่จากรายงานล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนว่าเมื่อราวๆ 2,500-2,600 ปีก่อน โลกเราจะเคยพบกับพายุสุริยะที่น่าสนใจมากๆ ครั้งหนึ่ง นั่นเพราะเจ้าพายุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น มันรุนแรงมากพอที่จะทิ้งร่องรอยของมันไว้ในแผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ ในสภาพของคาร์บอน เบริลเลียม และคลอรีน แถมยังติดอยู่อย่างนั้นมาจนถึงในปัจจุบันเลยด้วย และเจ้าแผ่นน้ำแข็งที่ว่านี้เองก็กลายเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์นำมาศึกษาจนพบหลักฐานของพายุสุริยะครั้งใหญ่นี้     อ้างอิงจากการคำนวณอนุภาค พายุสุริยะในครั้งนั้นมีความรุนแรงสูงกว่าที่เราเคยมีการบันทึกตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมาถึง 10 เท่า และมีความรุนแรงในระดับที่ใกล้เคียงกับพายุสุริยะที่รุนแรงที่สุด ที่มนุษย์เคยเจอมาเมื่อปี ค.ศ. 775 เลย ความรุนแรงขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกรบกวนเท่านั้น แต่ยังมากพอที่จะลดระดับโอโซนของโลกลง จนสิ่งมีชีวิตต้องพบกับรังสีอัลตราไวโอเลตที่รุนแรงขึ้นด้วย แถมการค้นพบพายุสุริยะที่รุนแรงมากหลายครั้งเช่นนี้ ยังทำให้เราทราบว่าสภาพภูมิอากาศในอวกาศอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ และไม่แน่ว่าโลกอาจจะต้องพบกับพายุสุริยะที่รุนแรงอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดด้วย     ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และเราไม่มีการเตรียมการรับมือที่ดี พายุสุริยะนี้ก็อาจจะทำให้เราต้องเสียอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดาวเทียมหลายๆ ดวง และสุขภาพร่างกายของมนุษย์หลายๆ คนไปเลยก็เป็นได้ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เตรียมการค้นหาร่องรอยอื่นๆ ของคลื่นสุริยะในอดีตบนโลกทันที เพราะจากคำบอกเล่าของ Raimund Muscheler หนึ่งในทีมวิจัยเอง…

  • ย้อนรอย “Emanuela Orlandi” เด็กสาวที่หายตัวไปจากวาติกัน ปริศนาแห่งนครรัฐศักดิ์สิทธิ์

    ย้อนรอย “Emanuela Orlandi” เด็กสาวที่หายตัวไปจากวาติกัน ปริศนาแห่งนครรัฐศักดิ์สิทธิ์

    ในนครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1983 ได้มีเหตุการณ์ลึกลับเกิดขึ้น หลังลูกสาวของข้าราชการในนครรัฐ เกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากที่มีการพบเห็นครั้งสุดท้ายที่กรุงโรม ชื่อของเธอคือ Emanuela Orlandi เด็กสาววัย 15 ปี ผู้ซึ่งหายตัวไปในระหว่างเดินทางกลับบ้านในนครรัฐวาติกัน หลังจากที่เธอไปเรียนดนตรีในพื้นที่ใกล้เคียง     นี่อาจจะดูเหมือนเป็นคดีคนหายที่เห็นกันได้บ่อยๆ ในโลก แต่การที่เด็กสาวหายตัวไปในวาติกัน ซึ่งมีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร และมีประชาชนอยู่แค่พันกว่าคนก็ทำให้การหายไปของเด็กสาวคนนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าพิศวงมากๆ นั่นเพราะไม่ว่าจะตามหากันขนาดไหน ก็ไม่มีใครพบตัวหรือศพของเด็กสาวที่หายไปเลย แถมคดีที่เกิดขึ้นเองก็ยังคงมีการสืบคดีกันมาจนถึงในปัจจุบันด้วย     ตั้งแต่ที่เรื่องราวของเด็กสาวเป็นที่รับรู้กันไปทั่วโลกก็มีทฤษฎีมากมายที่ออกมาอธิบายการหายตัวไปของเธอ ตั้งแต่เรื่องธรรมดาๆ อย่างเด็กสาวหนีไปเอง ไปจนถึงทฤษฎีประหลาดๆ อย่างเด็กสาวถูกลักพาตัวไปโดยมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับพ่อของเธอ หรือโดนจับตัวไปโดยกลุ่มพวกใคร่เด็กภายในวาติกันเอง และเรื่องที่แปลกที่สุดของคดีนี้ ก็ได้เกิดขึ้นในปี 2018 ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อมีคนส่งจดหมายปริศนาไปให้ที่บ้านของเด็กสาว โดยในจดหมายมีรูปของสุสานแห่งหนึ่งอยู่ พร้อมข้อความที่ว่า “มองไปที่ที่นางฟ้าชี้”     แน่นอนว่าข้อความในจดหมายนี้ทำให้สายสืบออกดำเนินการตามหาสุสานและรูปปั้นที่ถูกกล่าวถึงทันที ซึ่งเมื่อหาสุสานในภาพเจอทางตำรวจก็พบว่ารูปปั้นในที่แห่งนั้นถือแผ่นจารึกคำว่า “หลับอย่างสงบ” ในภาษาละติน และชี้ไปที่หลุมศพหลุมหนึ่ง แต่นอกจากทางตำรวจจะไม่พบศพที่น่าจะเป็นของ Emanuela Orlandi ในพื้นที่แล้ว พวกเขายังพบว่าหลุมศพที่นางฟ้าชี้ไปยังมีร่องรอยถูกเปิดมาก่อนแล้วอย่างน้อยๆ หนึ่งครั้งอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีใครบางคนที่พยายามจูงจมูกการสืบสวนอยู่อย่างเห็นได้ชัด…

  • นักโบราณคดีสกอตแลนด์ พบหลักฐานอารามเก่าแก่ ที่ถูกทำลายโดยไวกิ้งเมื่อพันกว่าปีก่อน

    นักโบราณคดีสกอตแลนด์ พบหลักฐานอารามเก่าแก่ ที่ถูกทำลายโดยไวกิ้งเมื่อพันกว่าปีก่อน

    ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 7 องค์หญิง Aebbe แห่ง Coldingham ของประเทศสกอตแลนด์ ได้ทำการสร้างอารามแห่งหนึ่งขึ้นในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ หลังจากที่เจ้าตัวเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์   องค์หญิง Aebbe แห่ง Coldingham หนึ่งในบุคคลสำคัญของศาสนาคริสต์แห่งสกอตแลนด์   ตามปกติผลงานเช่นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาตามประวัติศาสตร์ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวโบราณ แต่แล้วอารามขององค์หญิง Aebbe กลับถูกทำลายไปในปี ค.ศ. 870 เสียก่อน จากการรุกรานของชาวไวกิ้ง สถานที่ตั้งจริงๆ ของอารามดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาหลังจากนั้น ทำให้เหล่านักโบราณคดีที่พยายามหาหลักฐานของโบราณสถานแห่งนี้ต้องพบกับความลำบากเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มนักโบราณคดีก็ได้พบกับข่าวดีจนได้ เมื่อในที่สุดพวกเขาก็พบร่องรอยอารามขององค์หญิง Aebbe เข้าจนได้ หลังจากที่ตามหากันมาอย่างยาวนาน     โดยนี่เป็นรอยรอยของ หนึ่งในโครงสร้างการป้องกันที่อยู่อาศัยโบราณซึ่งเรียกกันว่า “Vallum” หรือหลุมขุดที่จะอยู่หลังกำแพงเมืองอีกที แม้ว่าตามปกติ Vallum จะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันเมือง แต่ในกรณีของสถานที่แห่งนี้ ตัวหลุมมีขนาดค่อนข้างตื้น ดังนั้นเหล่านักโบราณคดีจึงเชื่อกันว่าหลุมเหล่านี้น่าจะใช้งานเป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าพื้นที่ต่อจากนี้ไป จะเป็นพื้นที่ (หมู่บ้าน) ศักดิ์สิทธิ์มากกว่า     นอกจากนี้ห่างออกไปจากตัวหลุมไม่ไกลนัก ทีมนักสำรวจยังมีการค้นพบโครงกระดูกของสัตว์อย่างวัว มา หมู แพะ แกะ ไก่บ้าน และกวางแดงอีกเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าในอดีตที่แห่งนี้เคยมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมาก่อน แถมจากการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีโครงกระดูกเหล่านี้ยังมาจากช่วงปี…

  • พบสมอเรือเก่าแก่ ที่ประเทศอังกฤษ เป็นของเรือโบราณที่จมไปพร้อมทอง 45 ตัน

    พบสมอเรือเก่าแก่ ที่ประเทศอังกฤษ เป็นของเรือโบราณที่จมไปพร้อมทอง 45 ตัน

    เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ทะเลห่างออกไปจากชายฝั่งประเทศอังกฤษ ชาวประมงในพื้นที่ได้ทำการค้นพบสมอเรือชิ้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของเรือโบราณจากศตวรรษที่ 17     นี่อาจจะดูเป็นข่าวการค้นพบธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่จากการตรวจสอบที่มาของสมอที่พบแล้ว ทีมนักสำรวจก็พบว่ามันเป็นของเรือ “Merchant Royal” เรือสินค้าที่ขนทองคำหนักกว่า 45,000 กิโลกรัม และแท่งเงินแท้อีก 400 แท่งเอาไว้ เรือ Merchant Royal ถูกบันทึกไว้ว่าจมไปในปี 1641 เนื่องจากต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่ดีในระหว่างที่เดินทางกลับอังกฤษจากประเทศเม็กซิโก และได้รับฉายาจากบรรดานักล่าสมบัติว่า “เอล โดราโด (นครทองคำ) แห่งท้องทะเล”     Mark Milburn นักล่าสมบัติซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งศูนย์โบราณคดีการเดินเรือคอร์นวอลล์ กล่าวว่ามูลค่าของสินค้าบนเรือ Merchant Royal นั้นอาจมีค่ามากถึง 41,000 ล้านบาท ดังนั้นการค้นพบสมอของเรือลำดังกล่าวจึงถือเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับนัดล่าสมบัติ เพราะข้อมูลที่พวกเขาได้จากการตรวจสอบสมอชิ้นนี้จะสามารถช่วยในการระบุตำแหน่งของขุมทรัพย์ที่หายไปได้นั่นเอง   สมอเรือที่พบถูกลากติดมากับแหของเรือหาปลาในพื้นที่   ปัญหาคือแม้ว่าจะมีการค้นพบตำแหน่งของเรือดังกล่าวแล้ว แต่พื้นที่ที่เรือจมกลับมีความลึกถึง 90 เมตร ซึ่งไม่ใช่ว่าใครก็สามารถดำลงไปได้…

  • นักโบราณคดีเผยไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ ตัวเท่าจิงโจ้แคระ หลังพบฟอสซิลในออสเตรเลีย

    นักโบราณคดีเผยไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ ตัวเท่าจิงโจ้แคระ หลังพบฟอสซิลในออสเตรเลีย

    เมื่อพูดถึงสัตว์อย่างไดโนเสาร์ เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนก็คงจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวใหญ่โตน่าเกรงขาม อย่างไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงทราบกันดีว่าไดโนเสาร์นั้นมีหลายขนาด และบนโลกนี้เองก็มีไดโนเสาร์ขนาดเล็กอยู่เช่นเดียวกัน และแล้วเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักโบราณคดีก็ได้รายงานการค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้เจ้าไดโนเสาร์ดังกล่าวมีขนาดตัวใกล้เคียงกับ จิงโจ้แคระ (Wallaby) เท่านั้น     โดยเจ้าไดโนเสาร์ขนาดเท่าเล็กเหล่านี้ ถูกพบในประเทศที่มีสัตว์ประจำชาติเป็นจิงโจ้อย่างออสเตรเลียแบบพอดิบพอดี ในระหว่างการขุดค้นหินอายุ 125 ล้านปีที่รัฐวิกตอเรีย และเป็นชิ้นส่วนขากรรไกรจำนวนห้าชิ้น พวกมันได้รับชื่อว่า “Galleonosaurus dorisae” และคาดว่าเป็นไดโนเสาร์เดินสองขาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระหว่างออสเตรเลียกับแอนตาร์กติกา ในช่วงยุคครีเทเชียส     Matthew Herne แห่งมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ หนึ่งในผู้นำการจัดทำรายงานบอกว่า ไดโนเสาร์ที่พบนั้นเป็นไดโนเสาร์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลไดโนเสาร์ปากเป็ด หรือ “Ornithopods” และมีสุดเด่นอยู่ที่กำลังขากับความว่องไวในการวิ่ง     จากข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์พบ ไดโนเสาร์เหล่านี้น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับ ไดโนเสาร์ปากเป็ดที่พบในปาตาโกเนีย ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศอาร์เจนตินาและชิลี เนื่องจากในสมัยก่อนพื้นที่เหล่านี้เคยอยู่ใกล้กันในฐานะผืนแผ่นดินกอนด์วานานั่นเอง     อันที่จริงแล้วฟอสซิลของ Galleonosaurus dorisae ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน…

  • ประเทศจีนพบ “ต่อยักษ์” ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คาดอาจเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน

    ประเทศจีนพบ “ต่อยักษ์” ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คาดอาจเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน

    เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยเลยที่กลัวตัวต่อ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเท่าไหร่ เพราะในประเทศหลายๆ ประเทศ (อย่างเช่นญี่ปุ่น) ในปีหนึ่งเราก็จะเห็นข่าวคนตายเพราะโดนตัวต่อต่อยกันอยู่บ่อยๆ แถมเจ้าแมลงชนิดนี้ ยิ่งตัวใหญ่เท่าไหร่ก็จะยิ่งดุร้ายขึ้นเสียด้วย ดังนั้นในตอนที่นักกีฏวิทยาของจีนได้ค้นพบต่อยักษ์ที่คาดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในมณฑลยูนนาน ทางสำนักข่าวทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับข่าวในครั้งนี้กันเป็นอย่างมาก     โดยเจ้าต่อยักษ์ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้นั้นมีความกว้างปีกอยู่ที่ 9.35 เซนติเมตร และมีขนาดลำตัวที่ยาวถึง 6 เซนติเมตร ซึ่งใหญ่กว่า ต่อยักษ์ที่เคยมีการพบมาก่อนหน้ามาก แถมเจ้าต่อยักษ์เหล่านี้ยังไม่ได้มีเพียงตัวเดียวอีกด้วย เพราะมันถูกพบพร้อมๆ กับรังขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 2 เมตรอีกด้วย เรียกได้ว่าอันตรายมากๆ เลยก็ไม่ผิดนัก     น่าเสียดายที่รังของต่อยักษ์ที่ถูกพบในครั้งนี้ไม่มีราชินีอยู่ เพราะตามปกติแล้วราชินีต่อจะมีขนาดใหญ่กว่าต่ออื่นๆ ในรังอีกทีหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ ขนาดของต่อยักษ์ที่ถูกบันทึกไว้ใหญ่ยิ่งกว่าที่มีการบันทึกไว้อีก     ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในประเทศจีนบอกว่านี่ไม่เพียงแต่เป็นต่อยักษ์เอเชียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาเท่านั้น แต่ต่อยักษ์เหล่านั้นยังมีโอกาสที่จะเป็นต่อยักษ์สายพันธุ์ใหม่อีกด้วย เนื่องจากที่ผ่านๆ มาไม่มีต่อยักษ์ที่มีขนาดโดยรวมใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย     อย่างไรก็ตามต่อที่พบนี้จะเป็นสายพันธุ์ใหม่จริงๆ หรือไม่นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปในปัจจุบันอยู่ดี   ที่มา ladbible, dailymail,

  • ย้อนรอยเทพีคบเพลิง “Columbia Pictures” กับแรงบันดาลใจและนางแบบที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    ย้อนรอยเทพีคบเพลิง “Columbia Pictures” กับแรงบันดาลใจและนางแบบที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    รูปของหญิงสาวชุดขาวผู้ถือคบเพลิงหรือ “The Columbia Pictures Torch Lady” นั้น จะบอกว่าเป็นหนึ่งในโลโก้บริษัทภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันดีที่สุดเลยก็คงไม่ผิดนัก เพราะนี่เป็นโลโก้ที่อยู่คู่กับวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนานกว่า 25 ปีเลยทีเดียว     ตั้งแต่ที่พี่น้องแจ็กและแฮร์รี คอห์น และโจ แบรนดต์ เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก CBC Film Sales Corporation มาเป็น Columbia Pictures พวกเขาก็มีการเปลี่ยนโลโก้ของบริษัทมาบ่อยครั้ง ตั้งแต่ทหารโรมันหญิงในปี 1924 ผู้หญิงห่มธงในปี 1928 และผู้หญิงสวมชุดสตอลา (เครื่องแต่งกายของหญิงโรมันโบราณ) ในช่วงเวลาหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามภาพของหญิงสาวถือคบเพลิงที่เรารู้จักกันนั้น ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1992 โดยมีต้นแบบมาจาก “Lady Columbia” หญิงสาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกใบใหม่ และการไล่ตามอิสรภาพซึ่งมักพบอยู่บนโปสเตอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง     แต่ Michael Deas ผู้เป็นคนออกแบบโลโก้กลัวว่าการใช้ Lady Columbia เลยอาจจะทำให้ผลงานที่ออกมามีปัญหาด้านลิขสิทธิ์ได้ ดังนั้นแทนที่จะให้หญิงสาวที่ออกมาสวมธงชาติสหรัฐเหมือนในต้นฉบับพวกเขาจึงให้หญิงสาวสวมชุดขาวและมีผ้าคลุมไหล่ และมีโทนสีภาพเป็นขาวน้ำเงินส้มแทน ภาพชุดแรกๆ ของเทพีคบเพลิงคนนี้ถูกเก็บภาพไว้โดยตากล้องชื่อ Kathy Anderson และมีนางแบบที่ถูกทาบทามตัวมาแบบงงๆ ชื่อ Jenny Joseph…

  • ตอบคำถาม “คนเราเรียนรู้ในยามหลับได้ไหม” นักวิทย์บอกได้ แต่อาจไม่ใช่แบบที่เราคิด

    ตอบคำถาม “คนเราเรียนรู้ในยามหลับได้ไหม” นักวิทย์บอกได้ แต่อาจไม่ใช่แบบที่เราคิด

    เคยคิดกันไหม ว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าคนเราสามารถเรียนหนังสือในยามหลับได้ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะใช้เครื่องมืออะไรสักอย่างในการอัดความรู้เข้าไปในสมองขณะที่เรานอนหลับ     คำตอบของคำถามนี้คือทั้งได้และไม่ได้ เพราะในขณะที่การเรียนรู้ในขณะหลับด้วยการฟังเสียงแบบที่เราเห็นกันบ่อยๆ ในหนังหรือการ์ตูนจะแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้ สมองของเราก็ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยในยามหลับเช่นกัน ความพยายามในการคิดค้นวิธีการเรียนรู้ในตอนหลับนั้นอยู่คู่กับนักวิทยาศาสตร์มานานแสนนานแล้ว โดยเราสามารถพบงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้เรื่อยๆ ตามยุคสมัยและมีชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดมาจากปี 1914 เลยทีเดียว โดยในเวลานั้น นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน Rosa Heine พบว่าคนเราจะจำเรื่องที่เรียนรู้ก่อนนอนได้ดีกว่าเรื่องที่เรียนมาในตอนกลางวัน     แต่หากจะพูดถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับการอัดความรู้เข้าไปในหัวตอนหลับครั้งแรก เราคงต้องมองย้อนไปในปี 1930 ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเปิดคำพูดให้กำลังใจกับผู้เขารับการทดลองขณะหลับผ่านอุปกรณ์ที่ชื่อ “Psycho-phone” ในเวลานั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาอ้างว่าคนเราสามารถเรียนรู้เรื่องราวจาก Psycho-phone ได้จริงๆ แต่ในอีกราวๆ 20 ปีต่อมาคำกล่าวอ้างเหล่านี้ก็โดนล้มล้างไปโดยนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มที่ทำการสแกนคลื่นสมองของคนในยามหลับ และพบว่าลักษณะของคลื่นสมองที่เกิดขึ้นเวลาเราเรียนรู้อะไร จะเกิดขึ้นได้ในยามที่คนเราตื่นอยู่เท่านั้น     งานวิจัยชิ้นนี้ทำลายความเป็นไปได้ของการเรียนรู้ยามหลับ ในเวลานั้นไปจนหมด และแทบจะไม่มีใครสามารถล้มล้างงานวิจัยชิ้นนี้ได้เลย จนกระทั่งโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นั่นเพราะในปี 2012 นักวิทยาศาสตร์ในอิสราเอลก็พบความจริงที่น่าสนใจข้อหนึ่งของสมองเข้า เพราะแม้สมองของคนเราจะไม่สามารถ “เรียนรู้” สิ่งใหม่ๆ ในยามหลับ แต่หากมีการใช้วิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถ “สร้างความทรงจำใหม่” ให้สมองในตอนที่หลับอยู่ได้     โดยนี่เป็นผลการทดลองที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสียงรูปแบบหนึ่งพร้อมๆ กับกลิ่นเหม็นให้อาสาสมัครดมในยามหลับในช่วงเวลาหนึ่ง และพบว่าเมื่ออาสาสมัครตื่นพวกเขาจะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ได้ยินเสียงรูปแบบเดียวกับในตอนหลับ เพราะสมองเชื่อว่าจะมีกลิ่นเหม็นตามมาในภายหลัง…

  • พบ “LLSVP” ภูเขายักษ์สองลูกใต้โลก ที่กว้างเท่าทวีปและสูงกว่าเขาเอเวอร์เรส 100 เท่า

    พบ “LLSVP” ภูเขายักษ์สองลูกใต้โลก ที่กว้างเท่าทวีปและสูงกว่าเขาเอเวอร์เรส 100 เท่า

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าโลกของเรานั้นประกอบไปด้วยชั้นโลกหลายชั้น และชั้นโลกเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่สำรวจได้ยากมาก แม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน นั่นทำให้ที่ผ่านๆ มาเราแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าในพื้นที่ระหว่างชั้นโลกเรานั้นมีอะไรอยู่กันแน่ เว้นก็แต่เรื่องหนึ่ง คือที่ใต้โลกของเรานั้นมีภูเขาขนาดใหญ่เท่าทวีปซ่อนอยู่ถึงสองแห่งนั่นเอง     เจ้าภูเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มหินร้อนที่ถูกเรียกกันว่า “Large Low Shear Velocity Province” หรือ “LLSVP” เนื่องจาก เวลาคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านพื้นที่นี้ การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนที่ช้าลงเป็นอย่างมาก LLSVP ส่วนที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกส่วนหนึ่งนั้นตั้งอยู่ที่แอฟริกาและบางส่วนของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งหากนำมาตั้งบนพื้นโลกมันจะสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสถึง 100 เท่า ซึ่งมากพอที่จะทำให้สถานีอวกาศอย่าง ISS จำเป็นต้องบินอ้อมมันเลย     ภูเขาใต้ดินนี้ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงปี 1970 ถึงอย่างนั้นในปัจจุบันเราก็ยังแทบไม่ทราบอะไรนอกจากการมีอยู่และขนาดที่ใหญ่โตของมันอยู่ดี และเนื่องจากการที่มันฝังอยู่ลึกมาก และมีขนาดใหญ่โตจนการสำรวจแทบจะเป็นไปไม่ได้ อ้างอิงจากแหล่งข้อสันนิษฐานของนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นไปได้ว่าเจ้า LLSVP จะเกิดจากสารความร้อนสูงที่ระเบิดออกมาจากแกนโลก และเย็นลงในชั้นเนื้อโลกจนมีสภาพแบบในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามการกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปอยู่ดี     แต่แม้ว่าเรื่องราวของ LLSVP จะยังคงเป็นเรื่องที่ดูลึกลับสำหรับมนุษย์ มันก็ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเลยเช่นกัน เพราะอ้างอิงจากวารสาร Nature รูปร่างของ LLSVP นั้นอาจสามารถนำมาอ้างอิงในการทำแผนที่หาเหมืองเพชรได้นั่นเอง   ที่มา eos, nature และ livescience

  • พบอาวุธโบราณของสุลต่านทิพัล ถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาที่อังกฤษ เชื่ออาจมีมูลค่าเป็นล้าน

    พบอาวุธโบราณของสุลต่านทิพัล ถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาที่อังกฤษ เชื่ออาจมีมูลค่าเป็นล้าน

    ย้อนกลับไปในปี 1799 ในช่วงปลายสงครามระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษกับสุลต่านทิพัลแห่งอาณาจักรมัยซอร์ ในเวลานั้นทางสุลต่านเริ่มเสียเปรียบเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีการใช้อาวุธสุดล้ำสมัยอย่างจรวดมิสโซเรียนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วตัวของสุลต่านทิพัลเองแม้ว่าจะสู้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ก็ต้องเสียชีวิตไป โดยอาวุธคู่กายของเขาก็ถูกเก็บไว้โดยนายพลชาวอังกฤษชื่อ Thomas Hart ที่เป็นศัตรู และถูกหลงลืมไปในระหว่างการส่งมอบในตระกูลผ่านยุคสมัย     แต่แล้วหลังจากวันนั้น 220 ปี ในที่สุดอาวุธของสุลต่านทิพัลก็ถูกค้นพบอีกครั้ง ในสภาพถูกห่อเอาไว้ในหนังสือพิมพ์ และเก็บอย่างลวกๆ ในห้องใต้หลังคาของบ้านที่เบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยหนึ่งในอาวุธที่พบนั้นเป็นปืนยาวแบบคาบศิลา (Flintlock Musket) ที่แม้ว่าจะถูกเก็บแบบไม่ได้มีการดูแลเป็นพิเศษ แต่มันกลับอยู่ในสภาพที่ดีกว่าที่คิด เพราะลวดลายที่อยู่บนปืน รวมทั้งตราประจำตัวสุลต่าน ยังคงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นร้อยๆ ปี     ร่องรอยความเสียหายทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนปืนนั้น ล้วนแต่เป็นบาดแผลดั้งเดิมของปืนซึ่งได้รับมาจากการออกศึกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวไม้ หรือไกปืน ก็ล้วนแต่ถูกทำลายไปด้วยกระสุนปืน ไม่ใช่การเสื่อมโทรมตามกาลเวลาแต่อย่างใด     แถมปืนกระบอกนี้ยังไม่ใช่ของมีค่าเพียงอย่างเดียวในบรรดาอาวุธที่มีการค้นพบด้วย เพราะในห้องเก็บของเดียวกัน ยังพบกับดาบที่มีการประดับไว้ด้วยลวดลายทองคำอีก 4 เล่ม และเครื่องประดับอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าตัวดาบจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีมากนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณค่าสำหรับนักสะสม     ในปัจจุบันวัตถุโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำออกประมูลภายใต้ความร่วมมือของบริษัทรับประมูลอาวุธและชุดเกราะ Antony Cribb…

  • งานวิจัยใหม่บอก “โรคซึมเศร้า” อาจมีความเกี่ยวข้องกับ “อาการเส้นเลือดในสมอง”

    งานวิจัยใหม่บอก “โรคซึมเศร้า” อาจมีความเกี่ยวข้องกับ “อาการเส้นเลือดในสมอง”

    เชื่อว่าในปัจจุบันหลายๆ คนคงจะทราบกันแล้วว่าโรคซึมเศร้านั้นส่งผลต่อมนุษย์มากมายกว่าที่เราเคยคิดกันในอดีต มันไม่ใช่เรื่องของคนที่อ่อนแอหรือท้อแท้ แต่อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับสารเคมีในสมองและทำให้คนคนหนึ่งสามารถฆ่าตัวตายได้ไม่ยาก หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ แต่เชื่อหรือไม่ว่าโรคซึมเศร้านั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโอกาสที่คนเราจะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองด้วย     นี่เป็นผลการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2019 โดยทีมแพทย์จากภาควิชาประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยไมอามีมิลเลอร์ หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาถึง 14 ปีในการติดตามอาสาสมัคร 1,100 คน (ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 70 ปี) ในเมืองนิวยอร์ก ผลที่ออกมาคือในช่วงเวลา 14 ปีนั้น มีอาสาสมัครประมาณ 100 รายที่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่หากนำข้อมูลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลสุขภาพจิตของอาสาสมัครแล้ว ทีมแพทย์ก็พบกับตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ ชุดหนึ่งเข้า   สำนักแพทย์ของมหาวิทยาลัยไมอามีมิลเลอร์   นั่นเพราะเมื่ออ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติแล้ว ทีมแพทย์ก็พบว่าอาสาสมัครที่มีอาการของโรคซึมเศร้าในระดับสูงนั้นมีโอกาสป่วยเป็น หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) สูงกว่าคนทั่วไปถึง 75% เลย โดยจากที่ระบุไว้ในรายงาน มีอาสาสมัครที่ถูกระบุว่ามีอาการของโรคซึมเศร้าในระดับสูงถึง 11% ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งมากกว่าตัวเลขรวมกันของอาสาสมัครที่ไม่มีอาการโรคซึมเศร้า หรือมีอาการในระดับต่ำรวมกันซึ่งอยู่ที่ 7% เสียอีก จริงอยู่ว่าผลการทดลองที่ออกมานี้ยังคงเป็นเพียงผลการทดลองขั้นต้นเท่านั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้ Dr. Marialaura เจ้าของรายงานออกมาบอกเลยว่าการค้นพบนี้อาจจะทำให้ความสำคัญของการรักษาโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นจากที่เคยมากเลยก็ได้…

  • ลิงชิมแปนซีพยายามกินแขนตัวเองที่นอร์เวย์ หลังนักท่องเที่ยวโยนขวดใส่ยาปริศนาลงไปให้

    ลิงชิมแปนซีพยายามกินแขนตัวเองที่นอร์เวย์ หลังนักท่องเที่ยวโยนขวดใส่ยาปริศนาลงไปให้

    เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางสื่อท้องถิ่นของประเทศนอร์เวย์ได้ออกมารายงานข่าวเหตุการณ์สุดแปลก เมื่อลิงชิมแปนซีชื่อดังของสวนสัตว์คริสเตียนแซนด์นาม “จูเลียส” ได้เริ่มมีอาการประหลาด และเริ่มพยายามกัดแทะกินแขนของตัวเองต่อหน้านักท่องเที่ยวที่เข้ามาชม     จากการตรวจสอบกล้อง CCTV พวกเขาก็พบว่าก่อนเกิดเหตุประหลาดในครั้งนี้ไม่นาน เจ้าจูเลียสกำลังเดินไปเดินมาในกรงโดยถือขวดน้ำหวานประหลาดอยู่ จากปากคำของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ พวกเขาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าขวดที่เจ้าจูเลียสถืออยู่นั้นถูกโยนลงไปในกรงโดยใครบางคนในกลุ่มผู้ที่มาดูลิงที่มีชื่อเสียงตัวนี้ และนับว่าโชคดีมากที่นอกจากจูเลียสแล้ว ไม่มีลิงตัวอื่นสามารถเปิดขวดดังกล่าวออกได้เลย Rolf-Arne Olberg สัตวแพทย์ประจำสวนสัตว์บอกว่าเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จำเป็นที่จะต้องยิงยาสลบใส่เจ้าจูเลียสเพื่อให้มันสงบลง ก่อนที่จะทำการเย็บแผลที่แขน และส่งตัวอย่างเลือดกับปัสสาวะของมันไปให้กับโรงพยาบาล   เจ้าจูเลียสในตอนยังเด็ก   พวกเขาพบว่าในตัวอย่างปัสสาวะที่ส่งไปนั้นมีสารเสพติดปนเปื้อนอยู่ (ทางสวนสัตว์ไม่ได้เปิดเผยว่าสารเสพติดที่พบมาจากตัวยาอะไร) และได้ทำการประสานงานไปยังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป Olberg เล่าว่าสายพันธุ์ของเจ้าจูเลียสนั้นในปัจจุบันมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์สูง และตัวยาที่มีการใช้งานกับมันในครั้งนี้เองก็อาจจะทำให้ลิงตัวนี้ตายได้เลย นับว่าโชคดีมากที่หลังจากที่ทำแผลเสร็จอาการของเจ้าจูเลียสก็ดูดีขึ้นตามลำดับ และในวันต่อมามันก็ไม่ได้มีอาการเมายาเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว   ข่าวต้นฉบับจากเฟสบุ๊ก Dyreparken อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด โดยในปัจจุบันพวกเขาก็ได้ออกตามหาผู้ต้องสงสัยโยนขวดดังกล่าวลงไปในกรงลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดกันว่าจะหาตัวคนกระทำผิดมาลงโทษได้ในเร็วๆ นี้   ที่มา allthatsinteresting, dailymail และเฟสบุ๊ก Dyreparken

  • “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ทำไมเขาถึงสั่งประหารพระเยซู

    “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กับข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า ทำไมเขาถึงสั่งประหารพระเยซู

    สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์กันมาบ้างอาจจะเคยได้ยินชื่อของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” กันมาบ้าง เพราะนี่คือคนที่สั่งประหารชีวิตพระเยซูด้วยการตรึงกางเขนตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์นั่นเอง     เรื่องราวของชายคนนี้นั้นแม้ว่าจะดูไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เขาคือหนึ่งในบุคคลจากในพระคัมภีร์ที่มีหลักฐานยืนยันว่ามีตัวตนอยู่จริงตามประวัติศาสตร์ แถมเมื่อไม่นานมานี้ นักโบราณคดียังมีการค้นพบแหวนที่อาจจะเป็นของเขามาแล้วด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ พบแหวนโบราณที่สลักนามสกุลของ “ป็อนติอุส ปีลาตุส” ชายผู้สั่งประหารพระเยซูเอาไว้) แต่การมีตัวต้นจริงๆ ของเขานี้เอง ก็ทำให้เราเห็นความแปลกของเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ขึ้นมาจุดหนึ่ง เพราะในพระคัมภีร์มีการระบุไว้ว่าปีลาตุสในตอนแรกไม่ได้จะประหารพระเยซูแต่ต้องทำเพราะประชาชนชาวยิวเรียกร้อง แต่ในประวัติศาสตร์กลับมีการระบุไว้ว่าชายคนนี้เป็นผู้โหดร้ายที่กล้าทำลายธรรมเนียมโบราณของชาวยิวเลย     ถ้าอย่างนั้นแท้จริงแล้วทำไมชายคนนี้จึงสังหารพระเยซูกัน และระหว่างในประวัติศาสตร์กับพระคัมภีร์ ข้อมูลไหนกันที่น่าจะเป็นของจริง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของปีลาตุสมาจากนักปรัชญาชาวยิว ฟิโลแห่งอะเล็กซานเดรีย ผู้ซึ่งระบุถึงปีลาตุสไว้ในช่วงปี ค.ศ. 50 โดยระบุไว้ว่าปีลาตุสนั้นเป็นคนที่ปกครองด้วยการติดสินบน ดูหมิ่น ปล้น ข่มขืน ประหารชีวิตอย่างไร้เหตุผล และเป็นผู้โหดร้ายอย่างถึงที่สุด ลักษณะนิสัยของเขานี้เองทำให้ ปีลาตุส ทำผิดกฎที่ชาวยิวยึดถือหลายข้อ และทำไปสู่ความบาดหมางระหว่างผู้ปกครองและชาวยิวในเยรูซาเล็มไป     อย่างติตุส ฟลาวิอุส โยเซพุสนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันเองก็เคยระบุไว้ว่าปีลาตุสทำการตั้งรูปปั้นจักรพรรดิในเมืองเยรูซาเล็มซึ่งมีกฎของชาวยิวระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามติดตั้งรูปหรือวัตถุเสมือนคนจริงเด็ดขาด จนทำให้เกิดการประท้วงและจบลงด้วยเหตุนองเลือดด้วย น่าแปลกที่คนเช่นนี้จะสั่งประหารชีวิตพระเยซูตามความกดดันของชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเองได้ออกตัวปกป้องพระเยซูก่อนหน้าที่จะสั่งประหารด้วย จากที่ระบุไว้ในพระวรสารนักบุญมัทธิวได้มีการระบุว่าปีลาตุสนั้นได้สังหารประเยซูโดยปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่ชาวยิว เนื่องจากในวันนั้นมีชาวยิวจำนวนมากมาชุมนุมกันและอาจจะเกิดเหตุวุ่นวายได้ถ้าเขาไม่ทำตาม   ก่อนประหารพระเยซู ปีลาตุสได้ล้างมือและบอกว่าเลือดของพระเยซูไม่ได้เปื้อนอยู่บนมือของเขา   แน่นอนว่าเรื่องราวของพระวรสารนักบุญมัทธิวอาจจะไม่สามารถนับว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ แถมนักประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนหลายคนก็ยังมักเขียนประวัติศาสตร์ตามความคิดและอารมณ์ของตัวเอง (อย่างฟิโลแห่งอะเล็กซานเดรียเองก็เป็นชาวยิวเลยเกลียดปีลาตุสเป็นพิเศษ) แต่ถึงอย่างนั้น แนวคิดที่ว่าปีลาตุสสังหารประเยซูเพื่อปัดความรับผิดชอบมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เนื่องจากถ้านี่เป็นเรื่องจริง…

  • ไขปริศนา เหล่าสัตว์รู้จักปู่ย่าตายายของตัวเองหรือไม่ นักสัตววิทยาบอก “บางชนิดทราบ”

    ไขปริศนา เหล่าสัตว์รู้จักปู่ย่าตายายของตัวเองหรือไม่ นักสัตววิทยาบอก “บางชนิดทราบ”

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าระบบพ่อแม่ลูกนั้นไม่ได้มีการใช้งานแค่เพียงในหมู่มนุษย์เท่านั้น เพราะในบรรดาเหล่าสัตว์โลกอื่นๆ หลายชนิดเราก็สามารถเห็นภาพพ่อแม่ดูแลลูกๆ ของตัวเอง หรือลูกๆ เดินตามพ่อแม่ได้เช่นกัน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าสัตว์อื่นๆ นอกจากมนุษย์จะมีระบบครอบครัวที่ซับซ้อนเพียงไหน พวกมันมีระบบปู่ย่าตายายหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาไขปริศนาข้อนี้กัน     น่าเสียดายที่คงต้องบอกว่าสำหรับสัตว์ส่วนมากแล้ว คำตอบของคำถามนี้คงจะเป็นคำว่า “ไม่” เพราะอายุขัยของพวกมันนั้นไม่ได้มากพอที่จะทำให้มันพบกับญาติรุ่นปู่ย่าตายายได้ แถมในสัตว์อีกหลายๆ ชนิดพวกมันยังมักออกเดินทางจากถิ่นกำเนิดเพื่อป้องกันการแย่งอาหารอีกทำให้โอกาสที่สัตว์จะเจอญาติรุ่นปู่ย่าตายายเป็นเรื่องที่น้อยมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าสัตว์อื่นๆ นอกจากมนุษย์จะไม่รู้จักปู่ย่าตายายของตัวเองเลย เพราะอ้างอิงจากหนังสือ “The Social Behavior of Older Animals” ของนักสัตววิทยาชาวแคนาดาชื่อ Anne Innis Dagg เธอได้พบว่าสัตว์ในตระกูลลิงนั้น อาจจะมีระบบปู่ย่าตายายคล้ายกับคนก็เป็นได้ นั่นเพราะในระหว่างการสังเกตุการณ์ค่างในอินเดียของเธอ Anne ก็พบว่าค่างเพศเมียที่มีอายุมากแล้ว มักจะอาศัยอยู่กับค่างทั้งที่เป็นรุ่นลูกและรุ่นหลานของตัวเอง     ค่างที่อายุมากมักจะทำหน้าที่ปกป้องเด็กๆ ในฝูงจากอันตรายรอบข้าง แถมจากรายงานของ Anne เธอยังพบว่าค่างบางตัวจะมีพฤติกรรมดูแลหลานๆ ของตัวเองดีกว่าเด็กๆ ตัวอื่นในฝูงด้วย นอกจากค่างแล้วสัตว์อื่นๆ ที่เราคาดกันว่ามีระบบปู่ย่าตายายก็ได้แก่วาฬบางชนิด ซึ่งตัวเมียที่ชราแล้วจะรับหน้าที่ดูแลหลานๆ ในระหว่างวาฬที่เป็นแม่ออกหาอาหาร และช้างซึ่งเหล่าผู้อาวุโสและคอยสอนโขลงของตัวเองด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้มาทั้งชีวิต     แม้เราจะไม่อาจฟันธงได้ว่าช้างอาวุโสใช้วิธีไหนในการส่งต่อความรู้ของตัวเอง แต่จากการศึกษาเมื่อปี 2016 เราก็ยืนยันได้ว่าช้างรุ่นปู่ย่าตายายจะให้เวลาอยู่กับหลานๆ อย่างมีนัยยะสำคัญจริงๆ แต่สัตว์เลี้ยงรู้ด้วยนมเองก็ไม่ใช่สัตว์เพียงประเภทเดียวที่มีระบบปู่ย่าตายายเช่นกันเพราะในปี…

  • ย้อนรอย การหาลำดับดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำ ของฟอสซิลม้าอายุ 700,000 ปี

    ย้อนรอย การหาลำดับดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำ ของฟอสซิลม้าอายุ 700,000 ปี

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าตั้งแต่ที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีการหาลำดับดีเอ็นเอขึ้นมา เหล่านักโบราณคดีก็สามารถทำงานในการค้นหาข้อมูลของมัมมี่และซากสัตว์ที่พบในอดีตได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการหาลำดับดีเอ็นเอก็ใช้ว่าจะเป็นคำตอบของการค้นหาทางโบราณคดีทั้งหมดในโลกอยู่ดี เพราะหากดีเอ็นเอที่นำมาตรวจสอบนั้นมีการเสื่อมสภาพและการปนเปื้อนการหาลำดับดีเอ็นเอก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าในบรรดาดีเอ็นเอที่คนเราเคยหาลำดับมานั้น ดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดมันมีอายุมากขนาดไหนกัน สำหรับมนุษย์เรานั้น ดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการหาลำดับได้สำเร็จจะมีอายุราวๆ 430,000 ปี โดยมาจากกระดูกที่พบในสเปน แต่หากจะให้พูดถึงดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการหาลำดับมาจริงๆ ตำแหน่งนี้จะตกเป็นของดีเอ็นเอม้าโบราณที่ถูกพบในแคนาดาเมื่อปี 2003 ต่างหาก เพราะดีเอ็นเอของมันมีอายุมากถึง 700,000 ปีเลย   ชิ้นส่วนฟอสซิลที่ถูกนำมาหาลำดับดีเอ็นเอ   โดยการหาลำดับดีเอ็นเอที่ว่านี้เกิดขึ้นในปี 2013 และนับว่าเป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เพราะดีเอ็นเอที่นักโบราณคดีได้มานั้นไม่เพียงแต่เสื่อมสภาพไปมากแล้ว แต่ยังปนเปื้อนไปด้วยจุลินทรีย์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดีเอ็นเอที่ว่านี้ปนเปื้อนมากจนนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่าทุกๆ 200 โมเลกุลของดีเอ็นเอที่พบ จะมีโมเลกุลเพียงแค่อันเดียวเท่านั้นที่เป็นของม้าจริงๆ เลย     ถึงอย่างนั้นก็ตามด้วยความพยายามและการพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยี ในที่สุดเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็สามารถหาลำดับดีเอ็นเอของม้าที่พบได้สำเร็จจนได้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้มาจากการหาลำดับดีเอ็นเอ เจ้าม้าที่พบนี้เป็นของม้าเพศผู้ของสายพันธุ์โบราณซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ยูคอนทางตะวันตกของประเทศแคนาดา และคาดกันว่ามีขนาดใกล้เคียงกับม้าของชาวอาหรับในปัจจุบัน   ดีเอ็นเอของม้าที่พบถูกนำไปเทียบกับม้าเปรวาสกี้ (Przewalski Horse) ผลการตรวจสอบทำให้เราพบว่าม้าเปรวาสกี้เป็นม้าป่าพันธุ์สุดท้ายของโลกเลย   ดีเอ็นเอของเจ้าม้าสายพันธุ์นี้ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่าสัตว์ในสายพันธุ์ “Equus” (ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม้าแต่ยังประกอบไปด้วยลาและม้าลาย) แม้จริงแล้วมีชีวิตมาตั้งแต่ 4-4.5 ล้านปีก่อน ซึ่งนับว่านานกว่าที่เราเคยคาดกันไว้ถึง 2 ล้านปีเลย…

  • NASA เผยภาพกำแพงเสียงรวมตัวกัน ที่จะนำไปสู่การบินเหนือเสียงโดยไม่เกิดโซนิคบูม

    NASA เผยภาพกำแพงเสียงรวมตัวกัน ที่จะนำไปสู่การบินเหนือเสียงโดยไม่เกิดโซนิคบูม

    เป็นเรื่องที่หลายคนคงจะทราบกันแล้วว่าเครื่องบินรบในปัจจุบันนั้นมีความสามารถในการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง จนเกิดเป็นปรากฏการณ์เครื่องบินฝ่ากำแพงเสียง โดยที่ผ่านๆ มานั้นการบินฝ่ากำแพงเสียง จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็จับภาพได้หากใช้กล้องแบบพิเศษ และมีชื่อเรียกกันว่าภาพ “Knife-Edge”     จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเครื่องบินนั้นกำลังพุ่งผ่านโมเลกุลของอากาศ และทำให้สภาพของอากาศบิดเบือนไปจนเกิดเสียงและแรงกระแทกที่ดังสนั่นหรือที่รู้จักกันในชื่อ “โซนิคบูม” แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เองทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซาก็ได้ทำการพัฒนาระบบกล้องถ่ายภาพของพวกเขาขึ้นไปอีกขั้น จนทำให้พวกเขาสามารถจับภาพเครื่องบิน T-38 สองลำพุ่งผ่านกำแพงเสียงพร้อมๆ กัน ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลย     จากรายงานของทางนาซา เครื่องบินทั้งสองลำเป็นเครื่องบินทดสอบที่บินด้วยระยะห่างกัน 9 เมตร ในระดับความสูงที่ต่างกัน 3 เมตร โดยเป็นการถ่ายภาพจากเครื่องบินอีกลำที่บินอยู่สูงกว่าเครื่องบินทั้งสองราวๆ 610 เมตรอีกที ภาพที่ออกมานั้นหากดูเผินๆ อาจคล้ายกับการพุ่งผ่านกำแพงเสียงธรรมดาๆ เพียงแต่มีเครื่องบินสองลำ แต่หากสังเกตให้ดีๆ เราจะพบว่ากำแพงเสียงในส่วนที่ถูกพุ่งผ่านนั้นมีอยู่จุดหนึ่งที่เกิดการรวมตัวกัน จนไม่มีรูปทรงอย่างที่ควรเป็น ลักษณะของภาพที่ออกมานี้เชื่อกันว่าจะสามารถช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศเมื่อเกิดการฝ่ากำแพงเสียงได้เป็นอย่างดี และอาจช่วยให้เราสามารถพัฒนาเครื่องบินระบบใหม่ที่บินเหนือเสียงได้ดีกว่าที่เคยด้วย     โดยในเบื้องต้นทางนาซาทางนาซาได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวนี้ในการร่วมพัฒนาเครื่องบิน X-59 เครื่องบินซึ่งมีความมีความสามารถในการเร่งความเร็วเหนือเสียงได้โดยที่ไม่เกิดโซนิคบูม ซึ่งใช้งบประมาณในการคิดค้นราวๆ  7,850 ล้านบาท และคาดกันว่าจะสามารถทดลองใช้งานได้จริงในปี 2021-2022 ต่อไปนั่นเอง   ที่มา livescience

  • งานวิจัยพบ “หวีวุ้น” สามารถสร้างทวารขึ้นมาเพื่อขับถ่าย และทำให้หายไปในยามที่ไม่ใช้

    งานวิจัยพบ “หวีวุ้น” สามารถสร้างทวารขึ้นมาเพื่อขับถ่าย และทำให้หายไปในยามที่ไม่ใช้

    เพื่อนๆ รู้จัก “หวีวุ้น” (Comb Jelly) กันไหม หวีวุ้นเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่มีร่างกาย 95% เป็นน้ำ มีลักษณะคล้ายแมงกะพรุน (แต่จริงๆ แล้วมาจากคนละไฟลัมและไม่ได้มีความใกล้ชิดกันเลย) และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตชนิดแรกๆ ที่เกิดมาบนโลกเลย     จริงอยู่ว่าหวีวุ้นนั้นอาจจะคล้ายแมงกะพรุนมากจนหลายๆ คนเข้าใจผิด แต่สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ก็มีจุดที่แตกต่างกันมากๆ อยู่หนึ่งจุด นั่นคือในขณะที่แมงกะพรุนใช้ปากทั้งทานอาหารและขับถ่ายของเสีย (ระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์) หวีวุ้นนั้นมีทั้งปากและรูทวาร (ระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์) แต่เจ้าระบบทางเดินอาหารนี้เองที่ทำให้หวีวุ้นกลายเป็นสัตว์ที่แปลกกว่าสัตว์อื่นๆ ไป เพราะเจ้าสัตว์น้ำตัวนี้นั้นสามารถทำให้รูทวารปรากฏขึ้นหรือหายไปได้ตามที่ตัวเองต้องการเลย     โดยหลังจากที่หวีวุ้นกินอาหารเข้าไปมันจะเก็บของเสียจากการย่อยอาหารเอาไว้ในตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งของเสียในตัวมันมากพอที่จะทำให้อวัยวะภายในสัมผัสกับผิวหนังชั้นนอก ในเวลานั้นเองหวีวุ้นจะสร้างรูแบบชั่วคราวขึ้นมาบนผิวหนังซึ่งใช้ในการทำให้ของเสียไหลออกไปจากตัวคล้ายการขับถ่าย และปิดเจ้ารูที่ว่าในตอนที่การขับถ่ายจบลง     การขับถ่ายในรูปแบบนี้เองทำให้หวีวุ้นไม่จำเป็นต้องมีรูทวารอยู่ตลอดเวลาเหมือนสัตว์ชนิดอื่นๆ และแม้จะฟังดูยุ่งยากอยู่บ้างแต่ด้วยระยะห่างระหว่างเครื่องในกับผนังชั้นนอกที่ไม่มากก็ทำให้หวีวุ้นสามารถขับถ่ายได้บ่อยกว่าที่เราคิด นักวิทยาศาสตร์ที่สังเกตการณ์เจ้าสัตว์ชนิดนี้บอกว่าระบบการขับถ่ายของหวีวุ้นนั้นแม้จะถูกเรียกว่าเป็นระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีความก้ำกึ่งกับระบบทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์อยู่     เป็นไปได้ว่าเจ้าหวีวุ้นนั้นเป็นสัตว์ที่หยุดการวิวัฒนาการระบบขับถ่ายไว้กลางทางก่อนที่มันจะมีทวารถาวรแบบในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนักวิทยาศาสตร์ก็ชื่อว่าการศึกษาเจ้าสัตว์ชนิดนี้ อาจจะนำเราไปสู่ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับขั้นตอนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็เป็นได้   ที่มา allthatsinteresting, newscientist และ livescience

  • พบวัตถุโบราณกว่า 150 ชิ้น ใต้แหล่งโบราณสถานมายา เชื่อไม่ถูกแตะต้องมากว่า 1,000 ปี

    พบวัตถุโบราณกว่า 150 ชิ้น ใต้แหล่งโบราณสถานมายา เชื่อไม่ถูกแตะต้องมากว่า 1,000 ปี

    เคยได้ยินชื่อแหล่งโบราณสถานของชาวมายาที่ชื่อ Chichén Itzá กันไหม นี่เป็นแหล่งโบราณสถานที่ถูกค้นพบในปี 1966 โดยนักโบราณคดีที่ชื่อ Víctor Segovia Pinto และมีลักษณะเด่นอยู่ที่พีระมิดขั้นบันไดตามแบบอารยธรรมมายาเก่าแก่     แต่แล้วเมื่อปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา เหล่านักโบราณคดีที่เข้าไปสำรวจโบราณสถานแห่งนี้ด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหม่กลับพบว่า ที่ด้านใต้ของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้แท้จริงแล้วยังมีถ้ำเก่าแก่ซ่อนอยู่ข้างใต้อีกแห่งหนึ่งด้วย ถ้ำที่ว่านี้ถูกเรียกกันว่า Balamku  หรือ “ถ้ำของเทพแห่งเสือจากัวร์” สถานที่ซึ่งเชื่อกันว่าเคยถูกใช้งานเป็นที่บูชาของเทพองค์สำคัญของชาวมายาในอดีต และไม่เคยมีใครเข้ามาเป็นเวลากว่า 1,000 ปีแล้ว     และแล้วหลังจากที่มีการสำรวจมาตั้งแต่ปลายปี 2018 ในที่สุดนักโบราณคดีก็พบว่า ภายในถ้าที่พวกเขาพบนั้นมีโบราณวัตถุเก็บเอาไว้กว่า 150 ชิ้นเลย อ้างอิงจากรายงานของสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติแห่งเม็กซิโก ในบรรดาของที่พบนั้นก็มีทั้งเครื่องหอม แจกัน จานตกแต่ง ไปจนถึงเครื่องใช้ที่มีใบหน้าของเทพ และสัญลักษณ์ทางศาสนาอื่นๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าที่แห่งนี้แทบจะไม่มีคนเข้ามาย่างกรายเลยจริงๆ     Guillermo de Anda หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า วัตถุโบราณเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับวัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมายาในสมัยก่อนเลยก็เป็นได้ แถมตัวถ้ำเองก็ยังสามารถทำการตรวจสอบทางธรณีวิทยาและจุลชีววิทยาเพื่อหาของเวลาที่โบราณสถาน Chichén Itzá เคยมีการใช้งานไปจนถึงโดนปล่อยทิ้งร้างต่อไปได้อีกด้วย…

  • นักโบราณคดีพบ “หวีสัก” อายุ 2,700 ปี ถูกลืมไว้ในห้องเก็บของ และทำจากกระดูกมนุษย์

    นักโบราณคดีพบ “หวีสัก” อายุ 2,700 ปี ถูกลืมไว้ในห้องเก็บของ และทำจากกระดูกมนุษย์

    หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เหล่านักโบราณคดีได้มีการค้นพบอุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร อายุมากถึง 2,000 ปี ที่ทวีปอเมริกาเหนือ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ) แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองที่ประเทศออสเตรเลีย ทีมนักโบราณคดีในมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียก็ได้ทำการค้นพบอุปกรณ์สักอายุร่วม 2,700 ปีของชาวตองงา (ประเทศในแถบพอลินีเชีย ที่มหาสมุทรแปซิฟิก) อยู่ภายในห้องเก็บของของมหาวิทยาลัยเสียอย่างนั้น     จากคำบอกเล่าของทีมนักโบราณคดี อุปกรณ์สักที่พวกเขาพบนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ชิ้น ซึ่งเชื่อกันว่าถูกนำมาเก็บไว้ที่มหาวิทยาลัยเพื่อรอการตรวจสอบตั้งแต่เมื่อปี 1963 และเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุที่ทางมหาวิทยาลัยมีกำหนดการที่จะตรวจสอบตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมา อุปกรณ์สักเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “หวีสัก” (Tattoo combs) เนื่องจากส่วนปลายของอุปกรณ์จะมีตัวเข็มเป็นซี่ๆ คล้ายกับหวี ที่จะปักลงไปบนผิวหนังมนุษย์ และทำให้เกิดลวดลายของน้ำหมึก ซึ่งต่างจากเข็มสักอื่นๆ ในอดีต และใกล้เคียงกับเข็มสักบางรุ่นในปัจจุบันมากกว่า จากการตรวจสอบหวีสัก นักโบราณคดีก็พบว่าหวีสักมีความเก่าแก่กว่าที่พวกเขาเคยคาดไว้มาก แถมครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์สักที่พวกเขาพบยังทำจากวัสดุที่ค่อนข้างแปลกอย่างกระดูกของมนุษย์อีก     เป็นไปได้ว่าที่เป็นเช่นนี้ จะเป็นเพราะในช่วงแรกๆ ที่ผู้คนไปอยู่ที่ตองงา สัตว์บกนอกจากมนุษย์จะมีอยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย ดังนั้นชาวตองงาจึงมักขุดกระดูกของผู้ที่จากไปมาใช้งานอย่างที่เห็น สำหรับคนในเขตแปซิฟิกแล้วการสักนักว่าเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญกับชีวิตมาก เพราะรากศัพท์ของคำว่า “Tattoos” ในภาษาอังกฤษเองก็มาจากภาษาพอลินีเชียที่ว่า “Tatau” เลย และสำหรับผู้ชายที่ตองงาเองคนที่ไม่มีรอยสักก็มักจะถูกเยาะเย้ยด้วย    …

  • ศาสนจักรเตรียมเผย เอกสารของ “พระสันตะปาปาปิอุสที่ 12” ในช่วงเหตุการณ์ “ฮอโลคอสต์”

    ศาสนจักรเตรียมเผย เอกสารของ “พระสันตะปาปาปิอุสที่ 12” ในช่วงเหตุการณ์ “ฮอโลคอสต์”

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าเหตุการณ์สังหารชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหรือ “ฮอโลคอสต์” มีผู้ที่พยายามออกมาต่อต้าน และช่วยเหลือชาวยิวอยู่มากมาย ตั้งแต่ “นิโคลัส วินตัน” ผู้ช่วยชีวิตเด็กชาวยิวกว่า 669 คน หรือ “ชิอุเนะ ซุงิฮะระ” ผู้ออกวีซ่าให้ผู้ลี้ภัยชาวยิวให้สามารถเดินทางมายังญี่ปุ่นได้ ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่ามีคนอีกคนหนึ่งที่อาจช่วยเหลือชาวยิวได้ แต่กลับมักถูกสงสัยมาตลอดว่าเขาได้ลงมืออะไรจริงๆ หรือไม่     โดยคนที่ว่านั้นคือสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ผู้ซึ่งครองตำแหน่งผู้นำทางศาสนาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง อันที่จริงพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนที่ค่อนข้างต่อต้านนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ทันทีที่สงครามจบลงโลกในสมัยนั้นกลับมีเสียงวิจารณ์ปรากฏขึ้นมาว่าทางวาติกันนั้น ต่อต้านนาซีแต่ในนาม และไม่ได้ช่วยเหลือชาวยิวเท่าที่ควรจริงๆ หรือแม้กระทั่งเมินเฉยต่อชาวยิวไปเลย     น่าเสียดายที่หลักฐานที่จะเปิดเผยให้โลกทราบว่าจริงๆ แล้ว พระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 เมินเฉยต่อชาวยิวจริงๆ หรือไม่นั้นถูกเก็บไว้โดยทางศาสนจักรในฐานะข้อมูลลับตลอดมา ทำให้นักโบราณไม่สามารถบอกได้เลยว่าในช่วงสงครามโลกนั้น ทางพระสันตะปาปามีแนวคิดอย่างไรกับชาวยิว แต่แล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ก็ได้ออกมาประกาศว่าทางศาสนจักรจะทำการเปิดฐานข้อมูลเกี่ยวกับพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ทั้งหมดที่มี ในเดือนมีนาคมปีหน้า เพื่อทำการฉลองครบรอบการขึ้นรับตำแหน่งของพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12     พระสันตะปาปาฟรานซิสบอกว่า “ทางโบสถ์จะไม่กลัวประวัติศาสตร์” ในขณะที่ออกมาประกาศการเปิดเผยครั้งใหญ่อีกครั้งของทางวาติกัน ตั้งแต่ที่ออกมาประกาศเรื่องความมีอยู่ของการกดขี่ทางเพศในศาสนจักรเมือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา…

  • พิพิธภัณฑ์พบ ชิ้นส่วน “เรือจำลอง” ของตุตันคาเมนในห้องเก็บของ หลังหายไปนานกว่า 90 ปี

    พิพิธภัณฑ์พบ ชิ้นส่วน “เรือจำลอง” ของตุตันคาเมนในห้องเก็บของ หลังหายไปนานกว่า 90 ปี

    ในปี ค.ศ. 1922 ในตอนที่ทีมนักโบราณคดีของอังกฤษได้เปิดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นครั้งแรก คุณ Howard Carter หนึ่งในเหล่านักโบราณคดี ก็ได้ทำการเก็บกู้วัตถุโบราณบางส่วนมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ประเทศอียิปต์     จริงอยู่ว่าของที่ถูกนำไปเก็บไว้ในวันนั้นส่วนมากจะถูกนำออกมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ภายในห้องเก็บของของพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ กลับยังมีวัตถุโบราณกล่องหนึ่งถูกลืมเอาไว้เป็นเวลายาวนานร่วม 97 ปี และแล้วเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ ก็ได้ทำการค้นพบกล่องโบราณกล่องนี้อีกครั้ง โดยเจ้ากล่องโบราณชิ้นนี้ถูกค้นพบในระหว่างที่คุณ Mohamed Atwa ผู้เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่เข้ารวบรวมวัตถุโบราณมาจัดเพื่อใช้ในการจัดแสดงในงานนิทรรศการที่มีกำหนดการอยู่ในปี 2020 และมีชิ้นส่วนของเรือจำลอง ซึ่งเชื่อกันว่าทำขึ้นเพื่อให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ภายใน     จากบันทึกของพิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณที่พบนี้ถูกบันทึกว่าสูญหายไปเมื่อปี 1973 และจากวันที่บนหนังสือพิมพ์ที่ใช้ห่อกล่อง ทางพิพิธภัณฑ์ก็คาดว่าเวลาที่มีคนเห็นกล่องที่บรรจุชิ้นส่วนของเรือนี้ไว้เป็นครั้งสุดท้าย มันก็ในปี 1933 เลยทีเดียว การพบชิ้นส่วนเรือในครั้งนี้ทำให้เรือที่เคยถูกคิดว่าเสียหายกลับมามีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งสำหรับคุณ Mohamed แล้ว เขาบอกว่า “นี่เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของผมเลย” การฝังเรือจำลองไปพร้อมกับผู้ตายในสมัยอียิปต์โบราณมักจะทำกับชนชั้นสูงเป็นหลัก เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถนำเรือไปใช้ในโลกหลังความตายได้ ไม่ว่าจะในการประมงหาปลา หรือในการเดินทางไปในที่ที่ต้องการ   หนึ่งในชิ้นส่วนเรือที่พบอยู่ในกล่อง คือส่วนเสาของเรือจำลองลำหน้าสุดในภาพ   และจริงอยู่ว่าแม้การค้นพบส่วนหนึ่งของเรือเองจะไม่ใช่เรื่องที่ดูยิ่งใหญ่มากนักสำหรับนักโบราณคดี แต่สำหรับทางพิพิธภัณฑ์แล้วการค้นพบในครั้งนี้ก็นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก…

  • พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ

    พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ

    เมื่อพูดถึงไดโนเสาร์อย่าง “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” หรือ “ทีเร็กซ์” เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกภาพเจ้าไดโนเสาร์อันเป็นเอกลักษณ์จากในภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” หรือ “จูราสสิค เวิลด์” ขึ้นมาเป็นเรื่องแรกๆ นั่นเพราะขนาดตัวที่ใหญ่โตและน่าเกรงขามของเจ้าสัตว์ตัวนี้ คงทำให้มีคนหลงรักในความแข็งแกร่งของมันกันเป็นจำนวนมาก ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าแม้แต่เจ้าไดโนเสาร์อย่างทีเร็กซ์เอง ก็มีช่วงเวลาที่ตัวไม่ได้ใหญ่โตกับเขาเช่นกัน เพราะจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยมาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ดูเหมือนว่าทีเร็กซ์นั้นในตอนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆ จะตัวเล็กมาก แถมยังมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบด้วย     อ้างอิงจากข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาในตอนที่ทีเร็กซ์ฟักออกมาจากไข่ในช่วงวันแรกๆ มันจะมีขนาดใกล้เคียงกับไก่งวงเท่านั้น แต่อัตราการเติบโตที่รวดเร็วมากๆ ของมันก็จะทำให้เจ้าทีเร็กซ์จิ๋วเหล่านี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงวันละ 3 กิโลกรัมตลอดช่วง 13 ปีแรกของชีวิต นั่นทำให้ในตอนที่มันอายุได้ราวๆ 20 ปี ทีเร็กซ์ที่โตเต็มไวจะมีส่วนสูงถึง 3.6-4 เมตร และหนักระหว่าง 6-9 ตันเลยทีเดียว     หนึ่งในทีมนักบรรพชีวินวิทยา Mark Norell บอกว่านอกจากแนวคิดเรื่องทีเร็กซ์ตัวเล็กและมีขนในวัยเด็กแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังพบอีกว่าแขนของทีเร็กซ์จริงๆ แล้วยังมีขนาดที่เล็กกว่าที่เราคาดไว้ในอดีตอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ไปเลยเช่นกัน นั่นเพราะจากรูปแบบกระดูกที่พบ นักบรรพชีวินวิทยาก็เชื่อกันว่ากล้ามเนื้อส่วนแขนของทีเร็กซ์นั้นแข็งแรงกว่าสภาพที่เราเห็นมากพอสมควร     ถึงอย่างนั้นก็ตามทีเร็กซ์คงจะไม่จำเป็นต้องใช้แขนของมันสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าทีเร็กซ์นั้น มีแรงกัดถึง 34,500 นิวตันซึ่งมากกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในปัจจุบันเลย…

  • 18 ภาพ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส” วันมหัศจรรย์ที่ทหารหยุดยิงกันกลางสงครามโลก

    18 ภาพ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส” วันมหัศจรรย์ที่ทหารหยุดยิงกันกลางสงครามโลก

    ในคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อปี ค.ศ. 1914 ในช่วงที่โลกตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงคราม เหล่าทหารที่เผชิญหน้ากันอยู่ที่แนวรบระหว่างอังกฤษกับเยอรมนีได้ยินเสียงใครบางคนเริ่มร้องเพลงคริสต์มาสขึ้น บทเพลงนั้นดังก้องและถูกร้องตามโดยเหล่าทหารที่สนามเพลาะทั้งสองฝั่ง ก่อนที่จะนำไปสู่การหยุดยิงอย่างไม่เป็นทางการของเหล่าทหาร  ที่รู้จักกันในชื่อ “การพักรบแห่งวันคริสต์มาส”     ในวันนั้นทหารทั้งสองฝั่งได้วางอาวุธลงและออกมา เลี้ยงฉลองวันคริสต์มาสไปด้วยกัน ทั้งสวมกอด แลกของขวัญ แบ่งปันบุหรี่ รวมทั้งร่วมกันฝังผู้ที่เสียชีวิตไป และเกิดขึ้นในมากมายหลายพื้นที่จนกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกขนานนามต่อไปว่าเป็นความมหัศจรรย์แห่งวันคริสต์มาสเลย และในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำภาพบางส่วนที่มีการถ่ายเก็บไว้ของวันแห่งความมหัศจรรย์วันนั้น มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะซึ้งกินใจขนาดไหนนั้นคงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากนายทหารของอังกฤษและเยอรมันที่ออกมาพบกันในแผ่นดินที่เคยเป็นพื้นที่สังหาร .   เหล่าทหารที่ยืนคาบบุหรี่ถ่ายรูปร่วมกันอย่างสบายใจ .   ภาพบรรยากาศารถ่ายรูปหมู่ที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าถ่ายมาจากกลางสนามรบ .   เมื่อเทียบกับสนามเพลาะที่คับแคบแล้ว   แผ่นดินระหว่างแนวรบช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน   ในวันนั้นเหล่าทหารได้ออกมาสังสรรค์ร่วมกัน   ช่วยกันฝังศพทหารที่ตายไป .   แบ่งปันบุหรี่   ถอนขนไก่เตรียมงานฉลอง   พบปะพูดคุย   ดื่มเหล้าเฮฮา   แจกของขวัญด้วยรอยยิ้ม   หรือแม้กระทั่งเล่นฟุตบอลแข่งกัน…

  • ย้อนรอยคดีฆาตกรรม “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย” คดีลึกลับของเด็กชายไม่ทราบชื่อแห่งสหรัฐฯ

    ย้อนรอยคดีฆาตกรรม “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย” คดีลึกลับของเด็กชายไม่ทราบชื่อแห่งสหรัฐฯ

    เคยได้ยินเรื่องราวของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย (Little Lord Fauntleroy) กันมาก่อนไหม นี่คือนวนิยายเด็กของฟรานซิส ฮอดจ์สัน เบอร์เนทท์ และเป็นที่โด่งดังในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากหลังจากที่มีการตีพิมพ์ออกมาในปี 1881     แต่ชื่อของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยนั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะหนังสือของเด็กเท่านั้น เพราะในช่วงปี 1921 ชื่อนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะชื่อคดีฆาตกรรมสุดลึกลับและมีชื่อเสียงแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นในเช้าวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1921 ที่รัฐวิสคอนซิน เมื่อคนงานของบริษัทเหมืองหิน O’Laughlin พบร่างของเด็กชายคนหนึ่งเสียชีวิตอยู่ภายในบึงใกล้ๆ เหมืองหินของบริษัทเข้า จากการที่เขามาตรวจสอบของตำรวจพวกเขาก็พบว่าเด็กชายคนนี้มีอายุอยู่ระหว่าง 5-7 ปี มีผมสีบลอนด์กับดวงตาสีน้ำตาล และเสียชีวิตในสภาพที่แต่งกายด้วยชุดราคาแพงคล้ายชนชั้นสูงจนทำให้สื่อตั้งชื่อชั่วคราวให้กับเขาตามนิทานเด็กว่า “ลอร์ดน้อยฟอนเติลรอย”     เรื่องราวของคดีนี้ทวีความน่าสนใจยิ่งขึ้นในตอนที่ตำรวจทราบว่าเด็กชายนั้นมีแผลถูกทำร้ายที่ศีรษะ และแทบไม่มีน้ำในปอดเลย ซึ่งบอกให้ทราบว่าเด็กคนนี้เสียชีวิตก่อนที่จะถูกนำมาทิ้งที่บึง ดังนั้นคดีที่เกิดขึ้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคดีฆาตกรรม ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายๆ คนคิดในตอนแรก ปัญหาคือตั้งแต่ที่มีการพบศพของเด็กคนนี้มากลับไม่มีใครเลยที่ออกมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้ แถมแม้ว่าทางตำรวจจะมีพยานว่าเคยมีคู่รักชายหญิงมาตามหาเด็กใกล้ๆ บริษัทเหมือง แต่ต่อให้มีการออกตามหาคู่รักที่ว่านานหลายสัปดาห์ ทางตำรวจก็ไม่สามารถหาตัวพวกเขาพบ หรือระบุได้ว่าตกลงเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่อยู่ดี     ดังนั้นเรื่องราวของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยจึงกลายเป็นคดีที่ไขไม่ออกของสหรัฐฯ ในยุคนั้นไป ส่วนตัวเด็กเองก็ถูกฝังไปด้วยเงินเรี่ยไรจากชาวบ้าน และนำมาซึ่งข่าวลือมากมายเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาที่มาเยี่ยมหลุมศพในบางเวลา คดีของลอร์ดน้อยฟอนเติลรอยดูเหมือนจะเงียบไปหลงจากวันนั้น แต่หลังจากคดีเกิดขึ้นได้ราวๆ 28 ปี ในปี…

  • พบรูหนอน อายุกว่า 500 ล้านปีที่แคนาดา เชื่ออาจเปลี่ยนความคิดเรื่องระบบนิเวศในพื้นที่

    พบรูหนอน อายุกว่า 500 ล้านปีที่แคนาดา เชื่ออาจเปลี่ยนความคิดเรื่องระบบนิเวศในพื้นที่

    เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแหล่งข่าวต่างประเทศได้มีการออกมารายงานข่าวการค้นพบรูหนอนโบราณอายุกว่า 500 ล้านปีในหินที่ประเทศแคนาดา ซึ่งคาดกันว่าเคยถูกหนอนในสมัยก่อนใช้งานคล้าย “ทางด่วน” ในปัจจุบัน     ทางด่วนหนอนที่ถูกพบในครั้งนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และถูกพบเป็นครั้งแรกโดยบังเอิญในระหว่างการทดสอบหินก้อนเดียวกัน ในการทดลองอีกชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2018 จากการวัดระยะอย่างละเอียดรูหนอนนี้มีความกว้างเพียง 0.5-15 มิลลิเมตร แต่กลับแข็งแรงพอที่จะไม่ผุพังจากน้ำทะเลได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเดินทางอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวจากนักล่า อ้างอิงจากการที่ส่วนหนึ่งของรูมีร่องรอยคล้ายการโดยขุดจากด้านบน     นอกจากนี้ในระหว่างการศึกษาของปี 2018 นักวิทยาศาสตร์ยังพบซากหนอนโบราณตัวหนึ่งอยู่ในรูหนอนแห่งนี้ด้วย แม้ว่าหนอนตัวนี้ไม่น่าจะใช่หนอนที่ขุดรูก็ตาม (เนื่องจากซากหนอนที่ขุดรูถูกพบอยู่ในอุจาระสัตว์ใกล้ๆ) นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะที่ผ่านๆ มาเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตตระกูลหนอนและไส้เดือนนั้นมีอยู่บนโลกมาตั้งแต่หลายล้านปีก่อน แต่สิ่งที่ทำให้การค้นพบในครั้งนี้น่าสนใจอยู่ที่สถานที่ที่มีการค้นพบทางด่วนที่ว่านี้ต่างหาก     นั่นเพราะทางด่วนหนอนที่มีการค้นพบในครั้งนี้ ถูกพบอยู่ที่พื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา ซึ่งเมื่อช่วง 500 ปีก่อนนั้นเราเชื่อกันว่าปกคลุมไปด้วยทะเลโบราณ ที่ไม่น่าจะมีออกซิเจนมากพอที่จะรักษาสภาพของสิ่งมีชีวิตได้ จนบางครั้งก็ถูกเรียกว่าเขตไร้ชีวิตไป ดังนั้นการที่มีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้จึงนับว่าเป็นการค้นพบที่ส่งผลกระทบกับแนวคิดเรื่องพื้นที่โลกในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก เพราะการมีตัวตนอยู่ของหนอนเหล่านี้มันเป็นหลักฐานอย่างดีเลยว่าทะเลในสมัยก่อนนั้น มีออกซิเจน และสิ่งมีชีวิตมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้   ที่มา livescience, sciencedaily และ infosurhoy

  • นักโบราณคดีพบงานศิลป์บนหินของโบราณ โดนขีดเขียนเล่นโดยนักล่าวาฬจากศตวรรษที่ 19

    นักโบราณคดีพบงานศิลป์บนหินของโบราณ โดนขีดเขียนเล่นโดยนักล่าวาฬจากศตวรรษที่ 19

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าในโลกใบนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ชอบมือบอนไปทำลายหลักฐานเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ หรือเพียงแค่ความคึกคะนองชั่วขณะ จนทำให้ทั้งโบราณสถานและวัตถุโบราณล้ำค่าหลายๆ ชิ้นต้องถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย แถมคนมือบอนเหล่านี้ ยังไม่ได้เพิ่งมามีเอาในยุคปัจจุบันด้วย     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีก็ได้ออกมารายงานร่องรอยการทำลายวัตถุโบราณอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ฝีมือของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน แต่เป็นนักล่าวาฬจากในช่วงศตวรรษที่ 19 ต่างหาก การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นในระหว่างนักโบราณคดีทำการศึกษา งานศิลปะบนหินเของชนพื้นเมืองของออสเตรเลียหรือ “ชาวอะบอริจิน” ในพื้นที่เกาะ 42 แห่งในคาบสมุทรทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ซึ่งอาจมีอายุเก่าแก่ได้ถึง 50,000 ปี     โดยร่องรอยที่พวกเขาพบนั้นเกิดจากการที่คนในสมัยศตวรรษที่ 19 ทำการสลักข้อความต่างๆ ทับลงไปคนตัวหิน ซึ่งมีทั้งชื่อคน ชื่อเรือ หรือแม้กระทั่งปีที่สลัก ด้วยความที่ว่าอักษรที่ใช้กันในศตวรรษที่ 19 กับปัจจุบันนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก นักโบราณคดีจึงสามารถระบุได้ในทันทีที่เห็นว่า ผู้ลงมือน่าจะเป็นลูกเรือของเรือล่าวาฬสหรัฐฯ ที่ออกเดินทางผ่านพื้นที่แห่งนี้ในปี 1841 และลูกเรือของเรือชื่อ “Delta” ที่ผ่านหมู่เกาะเหล่านี้ในปี 1849   .   ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่อาจฟันธงได้ว่าผู้ลงมือทำไปด้วยความไม่รู้ ความเกลียดชังชาวอะบอริจิน หรือเพียงแค่ความคึกคะนองเท่านั้น อย่างไรก็ตามเหล่านักโบราณคดีก็ตั้งข้อสังเกตว่าบนเกาะมีหินก้อนอื่นๆ…

  • ชมหลักฐาน “สลอธยักษ์” สูง 4 เมตรในอดีต และชีวิตความเป็นอยู่ของมันเมื่อ 27,000 ปีก่อน

    ชมหลักฐาน “สลอธยักษ์” สูง 4 เมตรในอดีต และชีวิตความเป็นอยู่ของมันเมื่อ 27,000 ปีก่อน

    เชื่อว่าด้วยอิทธิพลของสื่อหลายๆ อย่างคนไทยในปัจจุบันคงจะทราบเรื่องราวของสัตว์อย่างสลอธกันเป็นอย่างดี ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าสัตว์ที่เราเห็นว่ามันช้าๆ เนิบๆ เหล่านี้ หากย้อนไปในอดีตแล้ว มันสูงราวๆ 4 เมตรเลย     โดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของสลอธยักษ์ในอดีตนั้นถูกพบในปี 2014 โดยเหล่านักโบราณคดีในระหว่างที่พวกเขาทำการสำรวจหลุมลึกที่ประเทศเบลิซ เพื่อตามหาโบราณวัตถุของเผ่ามายา แต่แทนที่จะได้วัตถุโบราณ พวกเขากลับพบกับฟันของสัตว์ที่มีความยาวถึง 10 เซนติเมตร และกระดูกอื่นๆ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำไปตรวจสอบแล้วก็พบว่าเป็นของสลอธยักษ์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อราวๆ 27,000 ปีก่อน     อ้างอิงจากรายงานชิ้นใหม่ล่าสุดของการตรวจสอบสลอธยักษ์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 เมื่อเทียบขนาดกระดูกที่พบกับขนาดตัวของสัตว์แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่าสลอธที่เป็นเจ้าของฟันชิ้นนี้น่าจะมีขนาดความยาว 6 เมตร สูง 4 เมตร และหนักถึง 6.5 ตันเลย พวกเขายังบอกอีกว่า สลอธยักษ์เหล่านี้น่าจะเคยอาศัยในพื้นที่ที่มีอากาศแห้งอย่างระบบนิเวศแบบสะวันนา ซึ่งต่างไปจากความเชื่อก่อนหน้าที่บอกว่าสลอธยักษ์อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นมาก   กระดูกต้นแขนของสลอธยักษ์ อีกหนึ่งในหลักฐานที่มีการพบในปี 2014   โดยสลอธยักษ์จะใช้วิธีการสลับอาหารของตัวมันตามสภาพอากาศที่มันพบ โดยอาศัยอาหารจากสิ่งที่มันสามารถหาได้งานในช่วงเวลานั้นๆ เป็นหลัก ซึ่งทำให้พวกมันสามารถเอาชีวิตรอดในสภาพอากาศที่เลวร้ายมาได้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามสลอธยักษ์ กลับสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 14,000-10,000 ปีก่อนเสียอย่างนั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร่ว่าสัตว์ที่มีการปรับตัวกับสภาพอากาศอย่างดีเหล่านี้ จะสูญพันธุ์ไปเพียงเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ว่าในปัจจุบันเราจะยังไม่อาจทราบได้เลยว่าอะไรเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สลอธยักษ์สูญพันธุ์ไป…

  • นักวิทย์พบไวรัสชนิดใหม่ ทำอะมีบาให้กลายเป็นหินได้ คล้ายเมดูซ่าในเทพปกรณัมกรีก

    นักวิทย์พบไวรัสชนิดใหม่ ทำอะมีบาให้กลายเป็นหินได้ คล้ายเมดูซ่าในเทพปกรณัมกรีก

    ความสามารถในการทำให้เหยื่อกลายเป็นหินนั้น เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เป็นที่โด่งดังของปีศาจในเทพนิยายอย่าง “เมดูซ่า” และถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องในเทพนิยายที่ไม่น่ามีอยู่จริงมาเป็นเวลานาน     แต่แล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับได้มีการออกมาเปิดเผย การมีตัวตนอยู่ของไวรัสชนิดใหม่ที่มีความสามารถทำให้เหยื่อกลายเป็นหิน ซึ่งอาศัยอยู่ในโคลนจากน้ำพุร้อนที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเจ้าไวรัสตัวนี้มักจะอาศัยอยู่ในอะมีบาชื่อ “Acanthamoeba castellanii” และทำให้อะมีบาที่ติดเชื้อพัฒนาผิวชั้นนอกที่หนาและแข็งคล้ายหินขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่สภาพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวที่เรียกว่า “Encystment”   อะมีบา Acanthamoeba castellanii   นักวิทยาศาสตร์มองว่าความสามารถของไวรัสตัวนี้นั้นคล้ายกับปีศาจมีชื่อในเทพปกรณัมกรีกมาก จึงได้ตั้งชื่อให้ไวรัสดังกล่าวว่า “Medusavirus” ในเวลาต่อมา แต่ความสามารถในการทำให้เหยื่อกลายเป็นหินนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ไวรัสตัวนี้คล้ายกับเมดูซ่า เพราะจากการตรวจสอบรูปร่างของไวรัสเอง นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าไวรัสตัวนี้มีรูปร่างที่น่าสนใจมากเลย นั่นเพราะไวรัสตัวนี้ ไม่เพียงแต่จะมีลักษณะที่ใหญ่กว่าไวรัสทั่วไป (เรียกกันว่าไวรัสยักษ์) แต่มันยังมีหนามที่มีส่วนปลายเป็นทรงกลมจำนวนกว่า 2,600 อันติดอยู่รอบตัวด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เปรียบว่าคล้ายกับงูบนศีรษะของเมดูซ่า และไม่เคยมีการพบมาก่อน ส่งผลให้ไวรัสตัวนี้ถูกเสนอให้จัดหมวดหมู่เป็นไวรัสในตระกูลใหม่ไป   รูปจำลองของ Medusavirus   เท่านั้นยังไม่พอเพราะยีนหลายตัวของ Medusavirus ยังมีการถูกพบในอะมีบาที่มันอาศัยอยู่อีกด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีที่ว่าไวรัสตัวนี้น่าจะมีอยู่บนโลกมาตั้งแต่โบราณแล้ว นับว่าโชคดีมากที่ไวรัสตัวนี้ไม่สามารถอาศัยในร่างกายของมนุษย์ได้ และในปัจจุบันเองนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการศึกษาเจ้าไวรัสตัวนี้ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพวกเขาหวังว่าจะสามารถทราบลำดับการวิวัฒนาการของไวรัสตัวนี้ได้ในเร็วๆ นี้   ที่มา livescience และ syfy

  • ชม 21 ภาพการใช้ชีวิตกับคนตายของชนเผ่า Toraja ที่เก็บร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในบ้าน

    ชม 21 ภาพการใช้ชีวิตกับคนตายของชนเผ่า Toraja ที่เก็บร่างของผู้เสียชีวิตเอาไว้ในบ้าน

    มนุษย์เรานั้นหากอาศัยในพื้นที่ต่างกันก็มักจะมีพิธีกรรมและความเชื่อที่ต่างกันไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเรื่องปกติจะถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนกลุ่มอื่น และสำหรับชนเผ่า Toraja แห่งประเทศอินโดนีเซียแล้ว ประเพณีเกี่ยวกับความตายของพวกเขานี่เอง ที่เป็นประเพณีหลักที่ทำให้ชนเผ่าของพวกเขานั้นโด่งดังไปกว่าเผ่าอื่น     นั่นเพราะสำหรับชนเผ่านี้แล้ว งานศพจะเป็นงานที่สำคัญและใช้เงินในการจัดที่สูงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะเก็บศพญาติๆ ที่เสียชีวิตไว้อย่างยาวนานเป็นเดือนๆ หรือบางครั้งก็หลายปี แถมยังมีประเพณีที่จะขุดศพที่ถูกฝังไว้มาล้างให้สะอาดทุกๆ 1-3 ปีอีก ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเผ่านี้เราจะเห็นคนใช้ชีวิตกับคนตายเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นในวันนี้เหมียวศรัทธาจึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชาว Toraja ไปชมกันดีกว่าว่าการใช้ชีวิตกับคนตายของคนที่นี่ มันเป็นอย่างไรกันแน่   เริ่มกันจากภาพของ Clara ผู้กำลังกอดน้องสาวที่เสียไปตั้งแต่อายุได้แค่ 6 ขวบ   Songa (ขวา) ที่สูบบุหรี่อยู่กับหลานๆ   เอ้าจุดไฟ   Yuanita ที่ถ่ายเซลฟี่กับญาติของเธอที่เสียไปตอนอายุ 20 ปี   หลานๆ ที่ยืนดูปู่ย่านอนหลับ   เหล่าเด็กที่ได้พบพี่น้องอีกคนที่จากไปเมื่อ 10 ปีก่อน   Adaris เด็กหนุ่มผู้เสียชีวิตไปเมื่อ 70 ปีก่อน   เหล่าผู้เสียชีวิตกับที่ได้รับการตกแต่งศพด้วยฟันปลอม   Nene’ Tiku หลังจากที่ตายไปได้ 3…

  • นักวิทย์สำรวจ “หลุมยักษ์สีน้ำเงิน” เสร็จสิ้น พบแท่งแร่ ซากปูเสฉวน และกระทั่้ง “ขยะพลาสติก”

    นักวิทย์สำรวจ “หลุมยักษ์สีน้ำเงิน” เสร็จสิ้น พบแท่งแร่ ซากปูเสฉวน และกระทั่้ง “ขยะพลาสติก”

    เพื่อนๆ เคยไปเที่ยวหลุมยักษ์สีน้ำเงิน (Great Blue Hole) แห่งประเทศเบลิซกันไหม มันเป็นหลุมลึกใต้น้ำรูปทรงกลมกลางทะเล ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่บรรดานักดำน้ำอยากไปกันมากที่สุด ตั้งแต่ที่หลุมนี้เริ่มโด่งดังขึ้นมาในปี 1971 จากฝีมือของนักสำรวจและนักสร้างภาพยนตร์อย่าง Jacques Cousteau ก็มีผู้คนมากมายที่พยายามลงไปสำรวจที่ก้นบึ้งของหลุมที่โด่งดังหลุมนี้ โดยหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ Fabien Cousteau หลานชายของผู้ซึ่งทำให้หลุมยักษ์แห่งนี้โด่งดังออกไปเป็นคนแรกเอง     และเมื่อล่าสุดนี้เอง Fabien และทีมสำรวจของเขา ได้ออกมาประกาศว่าการสำรวจหลุมยักษ์สีน้ำเงิน ที่พวกเขาทำการสำรวจมาเป็นเวลานานนั้นในที่สุดก็สำเร็จลงไปด้วยดีแล้ว โดย Fabien กับทีมงานนั้นได้มีการใช้คลื่นโซนาร์ที่ติดกับเรือดำน้ำขนาดเล็กในการสร้างแผนที่สามมิติของหลุมยักษ์ที่มีความลึก 124 เมตร และกว้างถึง 318 เมตรในระดับที่ละเอียดที่สุดเท่าที่เคยมีการทำมา     แต่นั่นไม่ใช่การค้นพบเพียงอย่างเดียวของทีมงานกลุ่มนี้ เพราะนอกจากจะมีการสร้างแผนที่สามมิติของหลุมยักษ์สีน้ำเงินแล้ว ทีมนักดำน้ำของ Fabien เองยังพบกับแท่งแร่ชิ้นใหม่ รวมไปถึงซากหอย และปูเสฉวนที่ตายอยู่ใต้ทะเล และที่สำคัญคือ “ขยะพลาสติก” อีกจำนวนหนึ่งด้วย     แท่งแร่ที่พบนี้มีรูปร่างคล้ายกับแท่งน้ำแข็งย้อย คาดว่าเกิดขึ้นมาในสมัยที่หลุมแห่งนี้ยังมีสภาพเป็นเพียงถ้ำและระดับน้ำยังต่ำกว่าในปัจจุบันราวๆ 150 เมตร ก่อนที่ตัวถ้ำจะถูกระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นท่วม และผุพังจนกลายเป็นหลุมอย่างทุกวันนี้ ส่วนซากปูเสฉวนที่ตายอยู่ใต้ทะเลนั้น คาดว่าเกิดจากการที่หอยถูกพัดตกลงไปในหลุม ซึ่งลึกมากจนหนีออกไปไม่ได้ และทำให้มันขาดออกซิเจนจนตายไปในที่สุด     ปัญหาที่ทีมงานของ Fabien…

  • โศกนาฏกรรมสถานี “Bethnal Green” เหตุคนตาย 173 คนใน 15 วินาที ที่ถูกรัฐบาลปิดข่าว

    โศกนาฏกรรมสถานี “Bethnal Green” เหตุคนตาย 173 คนใน 15 วินาที ที่ถูกรัฐบาลปิดข่าว

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1943 กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษมักจะถูกโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายเยอรมนีอยู่บ่อยๆ ทำให้สถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่งมักถูกใช้งานในฐานะหลุมหลบภัยจำเป็นไป     แน่นอนว่าในเวลาแบบนี้หากจะมีคนตายขึ้นมาบ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร เพราะใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีชีวิตรอดจากการทิ้งระเบิดได้นานพอที่จะไปถึงหลุมหลบภัย แต่ในบรรดาคนที่ต้องจากโลกนี้ไปนั้น ยังมีบางกลุ่มเหมือนกันที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของทางรัฐบาลเอง เรื่องมันเกิดขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1943 โดยในวันนั้นมีเสียงไซเรนแจ้งเตือนการทิ้งระเบิดดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงของจรวดต่อต้านอากาศยานที่ยิงออกมาจากฐานทัพทหาร     สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คนในเมืองรีบร้อนหนีไปยังสถานีรถไฟใต้ดินกันอย่างแตกตื่น ถึงอย่างนั้นคนส่วนมากก็สามารถไปถึงที่หลบภัยได้อย่างปล่อยภัยกัน ยกเว้นเหล่าผู้คนที่มุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน “Bethnal Green” นั่นเพราะที่สถานีแห่งนี้มีทางเข้าที่มีขนาดเล็ก ทำให้คนที่มาหลบภัยไม่สามารถเข้าไปได้ในทันทีและต้องกรูกันอยู่ที่หน้าสถานที่เพื่อรอให้คนที่มาก่อนลงบันไดให้เสร็จ   ภาพทางเข้าของสถานี Bethnal Green   ในเวลานั้นเองมีคนคนหนึ่ง (สำนักข่าวต่างประเทศบอกว่าเป็นผู้หญิง) เกิดลื่นล้มลงบนบันไดและทำให้มีคนจำนวนมากล้มไปตามๆ กันราวโดมิโน และส่งผลให้คนด้านหลังที่กำลังแตกตื่นเหยียบคนที่กำลังล้มอยู่จนทำให้หลายๆ คนต้องเสียชีวิตไป ท้ายที่สุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 173 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้หญิง 84 คน และเด็กอีก 62 คน เสียชีวิตไปในเวลาไม่ถึง 15 วินาที     แถมราวกับจะตอกย้ำความเสียใจของคนในเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีการทิ้งระเบิดเกิดขึ้นจริงๆ และเสียงของจรวดต่อต้านอากาศยานก็มาจากการทดสอบอาวุธของภาครัฐเท่านั้น…

  • จดหมายโบราณอ้าง “ชาลส์ ดิกคินส์” เคยพยายามส่งภรรยาที่เป็นคนปกติไปเข้าโรงบาลบ้า

    จดหมายโบราณอ้าง “ชาลส์ ดิกคินส์” เคยพยายามส่งภรรยาที่เป็นคนปกติไปเข้าโรงบาลบ้า

    หากพูดชื่อของ “ชาลส์ ดิกคินส์” ขึ้นมา คงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่เกาหัวสงสัยว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเขาคือนักเขียนผู้อยู่เบื้องหลังผลงานเรื่อง “คริสต์มาส แครอล” (A Christmas Carol) เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักผลงานของเขาเป็นอย่างดี   ชาลส์ ดิกคินส์   ชาลส์ ดิกคินส์นับว่าเป็นสุดยอดนักเขียนแห่งยุควิคตอเรียเลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนแบบนี้น่าจะมีคนไม่น้อยที่อยากแต่งงานด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้ อาจเคยวางแผนที่จะส่งภรรยาของตัวเองเข้าโรงพยาบาลบ้า ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนธรรมดาที่ปกติทุกอย่างก็เป็นได้ เรื่องสุดฉาวของนักเขียนในอดีตนี้ถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบของจดหมายเก่าแก่จำนวน 98 ฉบับ ที่เขียนโดย “เอ็ดเวิร์ด ดัตตัน คุก” นักข่าวที่เป็นเพื่อนบ้านของ “แคทเธอรี ดิกคินส์” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของชาลส์   แคทเธอรี ดิกคินส์ ในสมัยที่ยังเยาว์วัย   เรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ในจดหมายนั้นมาจากการพูดคุยปรับทุกข์และหว่างแคทเธอรี และเอ็ดเวิร์ด ราวๆ 20 ปีหลังจากที่เธอหย่ากับชาลส์เมื่อปี ค.ศ. 1858 โดยหญิงสาวได้เล่าให้นักข่าวฟังว่า หลังจากที่เธอแต่งงานกับชาลส์ได้ 22 ปี ชาลส์ก็เริ่มแอบมีความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะ “กำจัด” ภรรยาของตนซึ่งผ่านการคลอดลูกมาร่วม 10 คน…

  • นักโบราณคดีพบ ใต้คุกที่เกาะ “อัลคาทราซ” มีค่ายทหารเก่าแก่ จากศตวรรษที่ 19 ซ่อนอยู่

    นักโบราณคดีพบ ใต้คุกที่เกาะ “อัลคาทราซ” มีค่ายทหารเก่าแก่ จากศตวรรษที่ 19 ซ่อนอยู่

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของเกาะ “อัลคาทราซ” กันมาบ้าง นี่คือเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในอ่าวซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงเรื่องเป็นคุกทหารที่โหดร้ายที่สุดของอเมริกา (แม้จะเป็นชื่อเสียงที่เกินจริงไปบ้างก็ตาม) และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อในปัจจุบัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าเกาะอัลคาทราซแห่งนี้ยังมีความลับอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทราบมาก่อนซ่อนอยู่ด้วย       นั่นเพราะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ได้มีรายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันออกมาบอกว่า ที่ใต้คุกของเกาะอัลคาทราซนั้น แท้จริงแล้วยังมีค่ายทหารเก่าแก่ซ่อนอยู่อีกหนึ่งแห่ง โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการสำรวจเกาะอัลคาทราซด้วยเทคโนโลยีเรดาร์และเลเซอร์ ที่เผยให้เห็นถึงร่องรอยของทางเดินคล้ายสนามเพลาะที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันระเบิด อุโมงค์อิฐโค้ง และพื้นที่ว่างที่คาดว่าเคยมีไว้วางปืนใหญ่ในช่วงปี 1860 เป็นไปได้ว่าเดิมทีแล้วพื้นที่เหล่านี้จะเคยถูกใช้ในการวางระบบป้องกันเกาะมาก่อน และถูกกลบลงไปใต้ดินตามกาลเวลาก่อนที่จะมีการสร้างคุกอัลคาทราซขึ้น   รูปภาพที่ระบบป้องกัน ที่คาดกันว่าน่าจะเป็นรูปแบบเดียวกับของที่อัลคาทราซ . .   คุณ Timothy de Smet หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า เขารู้สึกแปลกใจกับการค้นพบในครั้งนี้มาก เพราะเขาไม่คิดเลยว่าใต้คุกอัลคาทราซ จะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ฝังเอาไว้อีกแห่งหนึ่งด้วย และแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถขุดค้นโบราณสถานที่พบขึ้นมาโดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้แก่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้ทราบกันแล้วว่า ใต้คุกมีชื่ออย่างเกาะอัลคาทราซนั้น ยังมีโบราณสถานที่เก็บเรื่องราวในอดีตเอาไว้อีกแห่งหนึ่งด้วย     ที่มา mirror, thesun และ sciencedaily

  • เชื่อหรือไม่ ในยุโรปสมัยก่อนมีการนำสัตว์ที่ทำผิดไปขึ้นศาล ด้วยกระบวนการเหมือนมนุษย์

    เชื่อหรือไม่ ในยุโรปสมัยก่อนมีการนำสัตว์ที่ทำผิดไปขึ้นศาล ด้วยกระบวนการเหมือนมนุษย์

    เป็นที่ทราบกันว่ามนุษย์เรานั้นมีการตัดสินความผิดภายในศาลกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบยุโรปที่มีระบบศาลอย่างซับซ้อนแล้วด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าที่ยุโรปนั้น ศาลไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ตัดสินคดีความของมนุษย์เท่านั้น เพราะหากสัตว์อื่นๆ เอง หากมีการทำผิดแล้วก็ต้องมาตัดสินโทษที่ศาลเช่นกัน     นี่เป็นเรื่องราวสุดแปลกที่มีการบันทึกอยู่จริงๆ และมีการอ้างอิงถึงในหนังสือ “The Criminal Prosecution and Capital Punishment of Animals” ของ Edward Payson Evans ผู้เป็นนักวิชาการและนักภาษาศาสตร์มีชื่อของสหรัฐฯ มาแล้ว ในหนังสือของเขานั้นมีการบอกว่าในปี ค.ศ. 1266 เคยมีหมูถูกนำขึ้นพิจารณาคดีในศาล หลังจากที่มันถูกจับได้ว่ากินมนุษย์   Edward Payson Evans   การขึ้นศาลดังกล่าวนั้นมีกระบวนการคล้ายมนุษย์ทุกอย่าง โดยในศาลจะมีทั้งอัยการ ผู้พิพากษา พยาน และทนายของทั้งสองฝั่ง แถมยังมีการไต่ส่วนหาหลักฐานตามปกติ และมีการเปิดโอกาสให้สัตว์แก้ตัวด้วย (โดยทนายจะเป็นคนพูดแทน) แถมหนังสือของ Edward เองยังไม่ใช่หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่บอกว่าการตัดสินโทษสัตว์ในศาลนั้นมีอยู่จริง เพราะในใบเสร็จรับเงินของเพชฌฆาตในฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1386 เองก็มีการระบุไว้ว่าเขาได้รับเงินจากการแขวนคอหมู ที่กินเด็กอายุ 3 เดือนเช่นกัน    …

  • นักโบราณคดีจีนพบ “ยาอายุวัฒนะ” อายุกว่า 2,000 ปีในสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น

    นักโบราณคดีจีนพบ “ยาอายุวัฒนะ” อายุกว่า 2,000 ปีในสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น

    มนุษย์เรานั้นไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็หวาดกลัวความตายอยู่เสมอ ดังนั้นเหล่าผู้คนที่มีอำนาจในสมัยก่อน จึงมักทำทุกอย่างเพื่อออกตามหา “ยาอายุวัฒนะ” ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามี ดังนั้นจึงนับว่าเป็นน่าสนใจมาก ที่เมื่อเหล่านักโบราณคดีแห่งสถาบันวัฒนธรรมและโบราณคดีแห่งเมืองลั่วหยางได้เข้าไปสำรวจสุสานโบราณของราชวงศ์ฮั่น (ปกครองประเทศตั้งแต่ 202 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 8) พวกเขาก็พบกับยาอายุวัฒนะ ที่เหล่าฮ่องเต้ตามหากันมานานแสนนาน     โดยวัตถุที่พวกเขาพบนั้นเป็นของเหลวปริมาณราวๆ 3.5 ลิตรที่มีกลิ่นคล้ายสุรา และถูกใส่เอาไว้ในหม้อทองแดง ซึ่งถูกขนย้ายออกมาจากตัวสุสานเมื่อเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ในตอนแรกนักโบราณคดียังไม่ทราบว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นคืออะไรกันแน่ แต่จากการตรวจเพิ่มเติมพวกเขาก็พบว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นทำจากโพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์     อ้างอิงจากวรรณกรรมลัทธิเต๋าโบราณ โพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์ เป็นส่วนผสมลับของนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งลัทธิเต๋า ที่ใช้ในการทำยาอายุวัฒนะ ดังนั้นนักโบราณคดีจึงเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขาพบนั้นน่าจะเป็นเป็นยาอายุวัฒนะของราชวงศ์ฮั่น แม้จะถูกเรียกว่ายาอายุวัฒนะ ยาที่พบนี้ก็ไม่ได้มีความสามารถในการยืดอายุให้มนุษย์ได้จริงแต่อย่างไร กลับกันโพแทสเซียมไนเตรต และอะลูไนต์ ยังมักนำไปใช้ทำปุ๋ย ดอกไม้ไฟ และดินปืน ซึ่งไม่เหมาะกับการบริโภคอย่างยิ่ง     ความเชื่อผิดๆ นี้เอง ที่ทำให้ฮ่องเต้หลายๆ คนซึ่งพยายามตามหาความเป็นอมตะ จนจ่ายเงินจำนวนมากไปเพื่อจ้างนักเล่นแร่แปรธาตุลัทธิเต๋ามาทำงานให้ กลับต้องเสียชีวิตไวกว่าที่ควรเป็น จากการที่ยาอายุวัฒนะที่กินไปเป็นพิษ จริงอยู่ว่าการค้นพบในครั้งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การค้นพบยาอายุวัฒนะ แต่นี่ก็ไม่ใช่โบราณวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่นักโบราณคดีค้นพบ เพราะในสุสานแห่งเดียวกัน นักโบราณคดียังพบกับ หม้อดินเผาทาสี หยก โบราณวัตถุที่ทำจากสัมฤทธิ์ และโครงกระดูกที่คาดกันว่าเป็นของเจ้าของสุสานอีกด้วย  …

  • FBI ขอความช่วยเหลือจากทั่วโลก เพื่อตามหาที่มาวัตถุโบราณร่วมพันชิ้น ที่ยึดมาในปี 2014

    FBI ขอความช่วยเหลือจากทั่วโลก เพื่อตามหาที่มาวัตถุโบราณร่วมพันชิ้น ที่ยึดมาในปี 2014

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 เจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐได้ทำการบุกเข้าไปในบ้านของนาย Don Miller อดีตวิศวกรทหาร นักเผยแผ่ศาสนา ผู้ซึ่งตลอดช่วง 70 ปีที่ผ่านมาได้ออกเดินทางและเก็บสะสมวัตถุโบราณผิดกฎหมายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ในช่วงเวลานั้นทาง FBI ได้ทำการยึดวัตถุโบราณเอาไว้ร่วม 7,000 ชิ้น และมีการทำการตรวจสอบที่มาของสิ่งของเหล่านั้นเรื่อยมา เพื่อหาเจ้าของดั้งเดิมของวัตถุโบราณเหล่านี้     ทางเจ้าหน้าที่ FBI ออกมาเปิดเผยว่า คุณ Miller ที่อายุ 91 ปีในเวลานั้น ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการและการตามหาที่มาของวัตถุโบราณเป็นอย่างดี แต่ด้วยความที่เขามีวัตถุโบราณจากทั้งแถบอเมริกาเหนือและใต้ เขตทะเลแคริเบียน ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ไปจนถึงเอเชีย การจะตามหาที่มาของวัตถุโบราณทั้งหมดจึงทำได้ยากมาก และก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คุณ Miller นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ในปี 2015 แล้วดังนั้นการค้นหาที่มาของวัตถุโบราณที่เหลือจึงทำได้ยากมากขึ้นไปอีก     เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้เองทาง FBI จึงได้ทำการขอความช่วยเหลือจากชุมชนชาวอเมริกันพื้นเมือง และรัฐบาลทั่วโลก เพื่อช่วยตามหาที่มาของวัตถุโบราณที่ถูกสะสมอย่างผิดกฎหมายนี้ต่อไป การขอความช่วยเหลือจากทางชุมชนชาวอเมริกันพื้นเมืองในครั้งนี้ มีเหตุผลมาจากการที่บรรดาวัตถุโบราณที่ยึดมานั้น มีอยู่หลายชิ้นที่คาดว่าเป็นของชนพื้นเมืองอเมริกัน เช่นโครงกระดูกราวๆ 500 ร่างที่คาดกันว่าถูกขุดขึ้นมาจากสุสานของชนพื้นเมืองนั่นเอง     จนถึงในปัจจุบันมีวัตถุโบราณเพียงแค่…

  • ผล DNA เผย หญิงชาวพิตส์เบิร์กผู้ทิ้งครอบครัวไปในปี 1964 แท้จริงแล้วถูกฝังอยู่หลังบ้าน

    ผล DNA เผย หญิงชาวพิตส์เบิร์กผู้ทิ้งครอบครัวไปในปี 1964 แท้จริงแล้วถูกฝังอยู่หลังบ้าน

    ย้อนกลับไปเมื่อ 55 ปีก่อน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1964 ได้มีเหตุการณ์หญิงสาววัย 36 ปีนามว่า Mary Arcuri ผู้อาศัยในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ท่ามกลางความสับสนและงุนงงของคนในครอบครัว   Mary Arcuri   สามีของเธอ Albert Alcuri ได้บอกกับทางตำรวจในเวลานั้นว่า Mary น่าจะตัดสินใจทิ้งเขาและลูกๆ ไปด้วยสีหน้าที่ดูโศกเศร้าและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อทางตำรวจพบว่าข่าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของ Mary เองก็หายไปเช่นกัน พวกเขาจึงเชื่อว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะหายตัวไปจากบ้านเองด้วยความสมัครใจ หลังจากวันนั้นราวๆ หนึ่งปี Albert ผู้เป็นสามีของ Mary ก็เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ ดังนั้นครอบครัวที่เหลืออยู่จึงตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่มีความหลังอันเลวร้ายหลังนี้ไป     แต่แล้ว ในระหว่างที่คนงานก่อสร้างเข้ามาทำการปรับปรุงบ้านหลังนี้เมื่อช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา พวกเขากลับพบว่าที่หลังบ้านของครอบครัว Alcuri นั้นมีโครงกระดูกปริศนาถูกฝังเอาไว้อยู่ร่างหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความสงสัยให้กับทางครอบครัวมากๆ ดังนั้นพวกลูกหลานในตระกูลจึงได้ขอให้มีการนำกระดูกดังกล่าวไปตรวจ DNA และเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 ที่ผ่านมานี้เองโลกก็ได้ทราบความจริงที่ว่า Mary Arcuri นั้นจริงๆ แล้วไม่ได้หายตัวไป แต่เสียชีวิตอยู่ที่หลังบ้านในปี 1964 ต่างหาก  …

  • นักวิทย์อธิบาย ทำไมบางครั้งเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว มันเกิดจาก “ช่องว่าง” ระหว่างความคิด

    นักวิทย์อธิบาย ทำไมบางครั้งเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว มันเกิดจาก “ช่องว่าง” ระหว่างความคิด

    เคยสงสัยไหมว่าทำไม เวลาที่ได้ทำอะไรที่ชอบแล้วรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน และเวลาที่ต้องทำอะไรที่น่าเบื่อ หนึ่งนาทีมันกลับรู้สึกว่านานเป็นปีๆ แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นเรื่องราวของความรู้สึกของมนุษย์เฉยๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในความจริงแล้วการที่มนุษย์รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเวลามีความสุขนั้นเป็นเรื่องที่มีการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เราคิด     อ้างอิงจาก Dr. Michael Shadlen นักประสาทวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์เออร์วิงของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์กซิตี้ สมองคนเรานั้นจะมี “ช่องว่าง” ในระหว่างความคิดอยู่ เจ้าช่องว่างนี้ทำงานคล้ายกับการเว้นวรรคในหนังสือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ประโยชน์หรือทุกๆ ถ้อยคำที่มีการเขียนไว้ ในกรณีที่เรากำลังตั้งใจทำอะไรที่ชอบอยู่สมองจะมองช่องว่างดังกล่าวในภาพรวม คล้ายกับการอ่านหนังสือและหยุดในท้ายย่อหน้า ทำให้ทุกอย่างดูผ่านไปเร็วกว่าในความเป็นจริง     ในขณะเดียวกันหากเราทำในสิ่งที่ไม่ชอบสมองจะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดๆ ไป คล้ายการหยุดอ่านหนังสือในทุกๆ คำที่เขียนไว้ การกระทำเช่นนี้จะทำให้ในช่วงเวลาเท่าๆ กันสมองมีช่องว่างของความคิดมากกว่าเวลาทำสิ่งที่ชอบและทำให้ความรู้สึกด้านเวลาดูนานขึ้นตามไปด้วย แต่นี่ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่เรารู้สึกว่าเวลายาวนานไม่เท่ากันในสถานการณ์ต่างๆ กัน เพราะนอกจากเรื่องช่องว่างระหว่างความคิดแล้ว สมองของเรายังใช้เวลาในการประมวลผลสิ่งที่เราควรจะทำแตกต่างกันไปในแต่ละเหตุการณ์ด้วย     หากเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยพบมาก่อน สมองจะใช้เวลาในการประมวลผลสถานการณ์นั้นๆ นาน ในขณะที่หากเราทำเรื่องอะไรซ้ำๆ ของเดิมสมองก็จะดึงข้อมูลมาจากประสบการณ์และไม่จำเป็นต้องประมวลผลใหม่ทำให้เวลาในการทำสิ่งเหล่านั้นดูไวกว่าที่เป็นจริงๆ หากจะให้ยกตัวอย่างก็อย่างเช่นการที่เรานั่งรถนานๆ เราอาจจะบ่นในครั้งแรกๆ แต่หลังจากที่ต้องนั่งรถสายนี้ทุกวัน เราก็จะรู้สึกว่าเวลาที่เราใช้นั่งรถมันสั้นลง ทั้งๆ ที่รถก็วิ่งด้วยเวลาเท่าเดิม     นี่คือเหตุผลเดียวกับที่คนเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่อายุมากขึ้น ผิดกับตอนเด็กๆ ที่เวลาแต่ละคนมีมันดูยาวนานและมีค่าสุดๆ เลยนั่นเอง…

  • ย้อนรอย “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” กับภาพสุดท้ายสุดหดหู่ของชาวยิวหญิงและเด็ก

    ย้อนรอย “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” กับภาพสุดท้ายสุดหดหู่ของชาวยิวหญิงและเด็ก

    ในยามที่โลกยังคงร้อนระอุด้วยไฟของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เนินดินในทางตะวันตกของเมือง Liepaja ประเทศลัตเวีย ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวขึ้นโดยทหารนาซีที่เข้ามาปกครองประเทศ เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชื่อว่า “การสังหารหมู่แห่ง Liepaja” เหตุการณ์ที่ชาวยิวกว่า 2,740 คน ซึ่งนับเป็นกว่าครึ่งของประชาชนชาวยิวในประเทศทั้งหมดถูกนำไปสังหารอย่างโหดร้ายในช่วงวันที่ 15-17 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1941     เอาเข้าจริงๆ การสังหารชาวยิวในประเทศลัตเวียนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ในเวลานั้นมีชาวยิวเสียชีวิตไปที่ราวๆ 200 คน และยังไม่ใช่การสังหารหมู่ที่มีการปฏิบัติการอย่างจริงจังขนาดนั้น แต่แล้วในคืนวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1941 จู่ๆ ตำรวจของลัตเวียก็เริ่มออกจับชาวยิวที่ยังไม่ไปอยู่ในสลัม ให้ไปรวมตัวกันที่เรือนจำหญิง ก่อนที่จะถูกส่งไปสังหารที่เมือง Liepaja ต่อไป   .   นี่เป็นการสังหารหมู่ที่อาจจะฟังดูเป็นหนึ่งในเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็จริงอยู่ แต่เมื่อภาพของการสังหารหมู่ในครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นอีก นั่นเพราะในรูปภาพนั้น ชาวยิวที่ถูกสังหารมีเพียงแต่ผู้หญิงและเด็กๆ เท่านั้น   . . . .   รูปภาพเหล่านี้ถูกพบหลังจากที่การสังหารจบลงหลายเดือนโดย ชายชาวยิวชื่อ David Zivcon ผู้ซึ่งทำงานเป็นช่างไฟฟ้าในพื้นที่ ก่อนที่จะแอบเอาภาพไปคัดลอกโดยความช่วยเหลือของเพื่อที่รู้จัก และเอากลับบ้านไป…

  • รายงานใหม่เผย พบผู้รับศัลยกรรมเสริมบั้นท้าย ป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นรายแรกของสหรัฐฯ แล้ว

    รายงานใหม่เผย พบผู้รับศัลยกรรมเสริมบั้นท้าย ป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นรายแรกของสหรัฐฯ แล้ว

    สำหรับเพื่อนๆ ที่ติดตามข่าววงการแพทย์มาอาจจะเคยได้ยินข่าวที่ว่าการผ่าตัดเสริมอกด้วยซิลิโคน (โดยเฉพาะแบบผิวไม่เรียบ หรือ Textured Implants) อาจจะนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งหายากบางชนิดได้ อ้างอิงจากรายงานขององค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา     ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่านอกจากการเสริมหน้าอกแล้ว การผ่าตัดเสริมบั้นท้ายเองก็อาจจะสามารถทำให้เราเป็นมะเร็งได้เช่นกัน มะเร็งที่ว่านี้ คือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์ใหญ่และโตเร็ว (Anaplastic Large Cell Lymphoma) หรือ ALCL ซึ่งเป็นมะเร็งที่ช่วงปีที่ผ่านมามีผู้ศัลยกรรมหน้าอกเป็นกันมากขึ้นอย่างน่าใจหาย   เซลล์ของ ALCL   เอาจริงๆ การที่ผู้ศัลยกรรมบั้นท้ายจะเป็นมะเร็ง ALCL เองก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรเพราะซิลิโคนแบบผิวไม่เรียบที่มีปัญหากันอยู่นั้น มีการใช้งานในการศัลยกรรมบั้นท้ายเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ตามรายงานล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2019 ในวารสาร Aesthetic Surgery Journal กลับเป็นรายงานชิ้นแรกของมะเร็ง ALCL ในผู้ศัลยกรรมบั้นท้าย ที่มีการรายงานออกมาเท่านั้น นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสาววัย 49 ปี ที่ทำศัลยกรรมบั้นท้ายด้วยซิลิโคนแบบผิวไม่เรียบ ก่อนที่จะเริ่มป่วยและไปพบแพทย์ ในช่วงเวลาราวๆ หนึ่งปีหลังจากการศัลยกรรม     โดยผลการตรวจสอบออกมาว่าเธอนั้นมีแผลเป็นหนองในเนื้อเหยื่อบริเวณใกล้ๆ ซิลิโคน และมีมะเร็ง ALCL กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ รวมทั้งปอดเป็น ซึ่งมะเร็ง ALCL นี้เองที่ส่งผลให้คนไข้เสียชีวิตไปในอีกไม่กี่เดือนต่อมา จริงอยู่ว่านี่เป็นเพียงรายงานที่บอกว่ามีผู้ศัลยกรรมบั้นท้ายที่เป็นมะเร็ง ALCL เท่านั้นและไม่ได้เป็นการระบุว่า…

  • ย้อนรอย “Scold’s Bridle” อุปกรณ์ลงโทษผู้หญิงปากไม่ดี แห่งศตวรรษที่ 16

    ย้อนรอย “Scold’s Bridle” อุปกรณ์ลงโทษผู้หญิงปากไม่ดี แห่งศตวรรษที่ 16

    ในช่วงยุคกลางของยุโรปคนเรามีความเชื่อว่าการที่จะทำให้คนผิดพ้นจากบาปที่ด้วยเองทำได้นั้น จะต้องมีการชดใช้ผ่านความทรมาน หรือความเจ็บปวดเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแลกที่ในสมัยนั้นคนเราจะมีเครื่องทรมานอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในบางครั้งโทษที่คนเรากระทำก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่มากจนต้องลงโทษด้วยเครื่องทรมานใหญ่โตเช่นกัน เพราะการกระทำอย่างการนินทาว่าร้ายคนนิดๆ หน่อยๆ นั้นจะถูกลงโทษด้วยการนาบด้วยเหล็กร้อนมันก็อาจจะดูเกินไปหน่อย     นี่คือจุดที่อุปกรณ์ลงโทษอย่าง “Scold’s bridle” เข้ามามีบทบาทในสังคม เพราะนี่คืออุปกรณ์หน้ากากเหล็กที่ออกมาแบบให้ใช้งานกับผู้หญิง (โดยเฉพาะเหล่าภรรยา) ที่มีนิสัยขี้นินทา จู้จี้ ชอบหาเรื่องเพื่อนบ้าน หรือขี้โกหก โดยมีผู้ลงทัณฑ์เป็นสามีของเธอเอง (ตามภาษาสังคมสมัยก่อนที่ผู้ชายเป็นใหญ่)   .   อุปกรณ์ชิ้นนี้อาจจะมีรูปร่างแตกต่างกันไปอยู่บ้าง แต่มักมีจุดร่วมอยู่ที่ทำจากเหล็กมีหน้าตาแปลกประหลาด และมักมีส่วนปากเป็นหนามแหลมคม หรือเหล็กที่กดลงบนปากและลิ้น ซึ่งออกแบบมาไม่ให้ผู้ใช้สามารถขยับปากหรือพูดออกมาได้นั่นเอง หากจะว่ากันตามตรงแล้ว เครื่องมือชิ้นนี้เน้นไปที่การทำให้คนทำผิดอับอายมากกว่าที่จะทำให้ร่างกายบาดเจ็บ อ้างอิงจากรูปแบบอุปกรณ์และภาพการใช้งานในสมัยก่อนที่มักเป็นการใช้งานต่อหน้าสาธารณชน   .   ถึงอย่างนั้นก็ตามหากโทษของผู้ทำความผิดหนักมากๆ พวกเธอก็อาจจะโดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกทำร้ายร่างกายในระหว่างใส่อุปกรณ์ชิ้นนี้ด้วย หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้งาน Scold’s Bridle นั้น ถูกบันทึกไว้ในสกอตแลนด์เมื่อปี 1567 และแม้ว่าจะบอกว่าใช้กับผู้หญิงเป็นหลักก็ตาม แต่บางครั้งเครื่องมือชิ้นนี้ก็ถูกใช้กับผู้ชายเช่นกัน     นับว่าโชคดีมากที่ในตอนที่เหล่าผู้แสวงบุญเดินทางไปทวีปอเมริกาในศตวรรษที่ 17 พวกเข้าไม่ได้นำเอาเครื่องมืออย่าง Scold’s Bridle ไปด้วย และภายในยุโรปเองเครื่องมือเหล่านี้ก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้เพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันก็เท่านั้น…

  • “The Weeping Frenchman” ภาพของชาวฝรั่งเศสในยามที่ประเทศพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี

    “The Weeping Frenchman” ภาพของชาวฝรั่งเศสในยามที่ประเทศพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี

    ในช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1940 ธงของประเทศฝรั่งเศสถูกเชิญผ่านท้องถนนแห่งเมืองมาร์แซย์ เมืองทางตอนใต้ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะถูกนำขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยังแอฟริกา ท่ามกลางประชาชนที่มายืนดูทั้งน้ำตา นี่เป็นการกระทำที่กองทหารซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดกระทำ เพื่อปกป้องธงของประเทศที่พวกเขาภูมิใจ ในช่วงเวลาที่ประเทศดำเนินมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และต้องยอมแพ้ให้แก่ประเทศเยอรมนี หลังจากที่ต้องพบกับเทคนิคการรบแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) เป็นเวลา 6 สัปดาห์     การเสียน้ำตาของเหล่าผู้คนในวันนั้นถูกจับภาพ และถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Life ก่อนที่จะโด่งดังไปทั่วโลก จนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “The weeping Frenchman” หรือ “เหล่าชาวฝรั่งเศสที่ร่ำไห้” อ้างอิงจากหนังสือ “Marseille sous l’occupation” หนังสือภาพเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง นักเขียนได้บอกไว้ว่า ภาพที่เห็นนี้เป็นของชายชื่อ Monsieur Jerôme Barzetti และเพื่อนๆ ซึ่งไม่เพียงแต่โผล่มาให้เห็นในหนังสือเท่านั้น แต่ยังถูกจับภาพไว้โดยกล้องวิดีโอในสมัยนั้นด้วย   ภาพวิดีโอที่ว่าจากช่อง All is History    อันนี้แถม เป็นเรื่องที่รู้กันว่าประเทศเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นไม่พอใจประเทศฝรั่งเศสอยู่หลายอย่าง เพราะสนธิสัญญาจากประเทศฝรั่งเศส ที่ทางเยอรมนีถูกบังคับให้ยอมรับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นสร้างความยากลำบากให้แก่เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในประเทศมาก ดังนั้นในยามที่ประเทศเยอรมนีบุกยึดฝรั่งเศสได้สำเร็จในปี 1940 ฮิตเลอร์จึงขอให้การลงนามในสัญญายอมแพ้ของฝรั่งเศสจัดทำขึ้นที่สถานที่เดียวกับที่เยอรมนีเคยใช้ลงนามยอมแพ้ในปี 1918 (บนรถไฟขบวนเดียวกัน) เพื่อเอาคืนประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว    …

  • “มัมมี่ครูเซเดอร์” อายุ 800 ปี ถูกคนร้ายบุกเข้าไปตัดและขโมยศีรษะ จากในโบสถ์ที่ไอร์แลนด์

    “มัมมี่ครูเซเดอร์” อายุ 800 ปี ถูกคนร้ายบุกเข้าไปตัดและขโมยศีรษะ จากในโบสถ์ที่ไอร์แลนด์

    เมื่อวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาโบสถ์เซนต์ไมเคิลที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ได้มีการแจ้งความกับตำรวจว่าถูกคนร้ายไม่ทราบชื่อและหน้าตาบุกเข้ามาทำลายมัมมี่โบราณ และขโมยชิ้นส่วนบางส่วนไป     จากคำให้การของเจ้าหน้าที่ในโบสถ์พวกเขาพบว่าห้องเก็บของใต้ดินของโบสถ์ถูกใครบางคนบุกเข้าไปในช่วงบ่ายวันจันทร์ ก่อนที่จะพบว่ามัมมี่ “The Nun” ที่มีอายุ 400 ปี และมัมมี่ “The Crusader” ที่มีอายุ 800 ปีของโบสถ์นั้นมีร่องรอยการถูกทำให้เสียหายอยู่ ทางโบสถ์ได้รายงานกับตำรวจว่ามัมมี่ The Nun นั้นถูกหักส่วนหัวไป 180 องศา ส่วนมัมมี่ The Crusader นั้นถูกตัดศีรษะออกจากลำตัว ก่อนที่จะขโมยส่วนศีรษะออกจากโบสถ์ไป     มัมมี่ The Crusader นั้น ถูกเชื่อโดยเหล่านักโบราณคดีว่าเป็นหนึ่งในทหารที่เข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในช่วงปี 1202-1204 ซึ่งกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติจากการที่ร่างของเขาถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้ดินที่ทำจากอิฐหินปูน และดูดเอาความชื้นในอากาศไปจนหมด มัมมี่ทั้งของตัวนี้นับว่าเป็นมัมมี่ที่มีความสำคัญสำหรับโบสถ์แห่งนี้มาก เพราะไม่เพียงแต่มัมมี่ทั้งสองจะมีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ แต่มัมมี่เหล่านี้ยังนับว่าเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวหลักของโบสถ์เลยด้วย     นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มัมมี่ในโบสถ์แห่งนี้ถูกทำลายแต่อย่างใด เพราะในปี 1996 เอง ห้องเก็บของใต้ดินในโบสถ์ก็เคยถูกเด็กๆ ในพื้นที่บุกเข้าไป “เล่นฟุตบอล” จนมัมมี่เสียหายไปจำนวนหนึ่งมาแล้ว…

  • งานวิจัยใหม่ตอบคำถาม ชาวปอมเปอีที่รอดชีวิตไปอยู่ที่ไหน หลังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด

    งานวิจัยใหม่ตอบคำถาม ชาวปอมเปอีที่รอดชีวิตไปอยู่ที่ไหน หลังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในปีคริสต์ศักราชที่ 79 ภูเขาไฟวิซุเวียส ได้เกิดระเบิดขึ้น และทำให้ผู้คนนับพันจากในเมืองปอมเปอี ต้องถูกฝังอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟ และทำให้เมืองปอมเปอีกลายเป็นเมืองร้างที่ไร้ซึ่งชีวิตไป แต่ก็เช่นเดียวกับภัยพิบัติอื่นๆ ของโลก แม้ว่าคนในปอมเปอีและเสียชีวิตไปมากแค่ไหน มันก็ย่อมต้องมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง ถึงจะน้อยมากก็ตาม และเรื่องราวของคนเหล่านี้เองที่เหล่านักโบราณคดีสนใจ จนเกิดเป็นงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Analecta Romana     นี่เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากคำถามที่ว่าเหล่าผู้รอดชีวิตจากปอมเปอีนั้นไปอยู่ที่ไหนต่อกันแน่ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยคุณ Steven Tuck ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยไมอามี โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร วัตถุโบราณ และบันทึกในสมัยนั้น แน่นอนว่าหากนึกถึงความสามารถในการเดินทางของคนในสมัยนั้น คนที่ไร้บ้านก็ไม่น่าจะเดินทางได้ไกลนัก คุณ Steven จึงตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่าชาวปอมเปอีน่าจะกระจายกันไปอยู่ที่เมืองรอบๆ โดยเฉพาะเมืองท่า อย่างเมือง Cumae, Naples, Ostia และ Puteoli หนึ่งในข้อมูลที่ Steven ใช้ในการระบุเมืองเหล่านี้ มาจากบันทึกการบูชาเทพ Vulcanus อันเป็นเทพแห่งไฟ (และภูเขาไฟ) หรือไม่ก็ Venus Pompeiana เทพประจำปอมเปอี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในบรรดาเมืองที่คนจากปอมเปอีลี้ภัยไปอยู่     โดยในบรรดาเมืองที่กล่าวมาข้างบนนั้น เมืองที่น่าสนใจที่สุดที่มีหลักฐานว่าคนจากปอมเปอีลี้ภัยไฟคือเมือง Naples เนื่องจากในเมืองนี้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่า มีชายชื่อว่า Cornelius Fuscus ลี้ภัยมาจากปอมเปอี และเข้ามาเป็นทหารอยู่ นอกจากนี้เองคำว่า “HAVE” …

  • ยานอวกาศอิสราเอล ที่เดินทางไปดวงจันทร์ บรรทุกประวัติศาสตร์มนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าไว้

    ยานอวกาศอิสราเอล ที่เดินทางไปดวงจันทร์ บรรทุกประวัติศาสตร์มนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าไว้

    หากเพื่อนๆ เป็นคนที่ติดตามข่าวสารด้านวงการอวกาศ เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ยินข่าวการปล่อยยาน Beresheet lander ขึ้นไปบนดวงจันทร์ของทางอิสราเอล เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 กันมาบ้าง     ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าบนยานที่ถูกปล่อยออกไปนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่อุปกรณ์สำรวจดวงจันทร์ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ทาง SpaceIL (องค์กรทางอวกาศของอิสราเอล) ได้มีการแอบใส่ “แคปซูลกาลเวลา” ลงไปบนตัวยานด้วย เจ้าแคปซูลกาลเวลาที่ว่านี้ คือแผ่นดิสก์นิกเกิลซึ่งมีความหนา 40 ไมครอน 25 แผ่น ซึ่งออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพพื้นที่บนอวกาศ และเก็บเอาข้อมูลประวัติศาสตร์ของมนุษย์ร่วม 30 ล้านหน้าเอาไว้     นี่เป็นแหล่งข้อมูลที่ได้รับชื่อว่า “Lunar Library” หรือห้องสมุดดวงจันทร์ ออกแบบมาเพื่อใช้เป็น “แผนสำรอง” ที่จะป้องกันไม่ใช้ข้อมูลของมนุษยชาติหายไป ซึ่งจัดทำขึ้นโดยมูลนิธิ Arch Mission Foundation โดยภายในแผ่นดิสก์ที่ส่งไปนี้จะมีทั้งข้อมูลของ รูปภาพ หนังสือ หน้าเว็บวิกิพีเดีย เอกสารข้อมูลสำคัญๆ ภาพวาด คู่มือทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ช่วยแปลภาษา บทเพลง หรือแม้กระทั่งรูปของเด็กๆ     จากรายงานของสื่อต่างประเทศแผ่นดิสก์นี้สามารถอ่านได้ด้วยวิธีการอันหลากหลาย ตั้งแต่การใช้แว่นขยายธรรมดาๆ…

  • นักโบราณคดีพบ สัญลักษณ์รูป “อวัยวะเพศชาย” ในเหมืองหินโบราณอายุกว่า 1,800 ปี

    นักโบราณคดีพบ สัญลักษณ์รูป “อวัยวะเพศชาย” ในเหมืองหินโบราณอายุกว่า 1,800 ปี

    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1980 ในบริเวณใกล้ๆ แหล่งโบราณคดี “กำแพงฮาดริอานุส” กำแพงโรมันโบราณในเขตเมือง Brampton ประเทศอังกฤษ เหล่านักโบราณคดีได้ทำการค้นพบ เหมืองหินโบราณที่เชื่อกันว่าเคยมีการขุดไปซ่อมกำแพง และมีการจารึกข้อความโบราณจำนวนมากเอาไว้ นี่คือแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อว่า “Written Rock of Gelt” กลุ่มข้อความและสัญลักษณ์ราวๆ 9 แบบ ที่คาดกันว่าเขียนโดยผู้นำคนงานเหมืองหินในสมัยโรมันโบราณ ตั้งแต่เมื่อช่วงปี ค.ศ. 207 และที่ผ่านๆ มา เราแทบจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าข้อความเล่านี้เขียนว่าอะไรหรือต้องการสื่ออะไรกันแน่     แต่แล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เหล่านักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล และหน่วยงานประวัติศาสตร์อังกฤษของรัฐบาล ก็ได้ร่วมกันตรวจสอบ ฟื้นฟู และถอดรหัสสัญลักษณ์ที่ Written Rock of Gelt อีกครั้ง และได้พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายเลย นั่นเพราะในบรรดาสัญลักษณ์ที่พวกเขาพบอยู่ที่กำแพงหินนี้จากการวิเคราะห์ภาพด้วยระบบสามมิตินั้น ยังมีสัญลักษณ์ที่คล้ายกับภาพอวัยวะเพศชายวาดเอาไว้ด้วย     นี่อาจจะดูเป็นเรื่องน่าแปลกก็จริงอยู่แต่จากคำบอกเหล่าของทีมนักโบราณคดี ดูเหมือนว่าสัญลักษณ์รูปอวัยวะเพศชายหรือ “The Phallus” นั้นในสมัยก่อนจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์นำโชคของชาวโรมัน ละเคยมีการพบมาแล้วในโบราณสถานโรมันอื่นๆ แต่แม้ว่า The Phallus จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดูแปลกตาสำหรับคนในปัจจุบันก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่สัญลักษณ์เพียงอย่างเดียวที่มีการพบในการศึกษาครั้งนี้…

  • ชม 26 ภาพเห็ดสุดงดงามที่มีการพบมาในโลก ความสดใส ที่อาจแฝงไว้ด้วยพิษร้าย

    ชม 26 ภาพเห็ดสุดงดงามที่มีการพบมาในโลก ความสดใส ที่อาจแฝงไว้ด้วยพิษร้าย

    เชื่อว่าในปัจจุบันคงไม่มีใครในโลกที่ไม่รู้จักเห็ด เพราะนี่คือชีวอินทรีย์ที่สามารถพบได้ในแทบทุกที่ และมีอยู่มากกว่า 10,000 สายพันธุ์ทั่วโลก (นับแค่ที่มนุษย์รู้จัก) ด้วยจำนวนที่มากมายเช่นนี้ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บางครั้ง คนเราจะไม่เคยเห็นเห็ดที่มีรูปร่างแปลกๆ และแม้ว่าเห็ดเหล่านี้ส่วนมากจะกินไม่ได้ (เพราะมีพิษ) แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเห็ดพวกนี้นั้น สวยงามมากจริงๆ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 26 ภาพเห็ดสุดงดงามของโลก แต่จะกินได้หรือไม่นั่น คงต้องให้ไปหาข้อมูลกันเอาเองนะ   เริ่มกันจาก Cyathus striatus เหมือนหินในเปลือกหอยเลย   Hydnellum peckii มีอีกชื่อว่า “Bleeding tooth fungus” หรือเห็ดฟันเลือด   Amethyst Deceiver สีเหมือนแร่แอเมทิสต์สมชื่อ   Leratiomyces นี่มันไอศกรีมชัดๆ   Panus fasciatus   Amanita muscaria   Mycena chlorophos เรืองแสงด้วยล่ะ   Rhodotus palmatus เหมือนน้ำค้างติดเห็ดเลย   Crepidotus…

  • นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุของเผ่ามายาร่วม 800 ชิ้น ใต้ทะเลสาบที่กัวเตมาลา

    นักโบราณคดีพบ โบราณวัตถุของเผ่ามายาร่วม 800 ชิ้น ใต้ทะเลสาบที่กัวเตมาลา

    เมื่อพูดถึงการค้นพบเกี่ยวกับเผ่ามายาแล้ว คนเราก็มักจะนึกถึงการค้นพบในวิหารลึกลับ หรือในก็การค้นพบในผืนป่ากว้างใหญ่เป็นหลัก ว่าแต่แต่ทราบกันหรือไม่ว่าบางครั้งการค้นพบเกี่ยวกับเผ่ามายา ก็เกิดขึ้นได้ในทะเลสาบเช่นกัน     นั่นเพราะชาวมายาในสมัยก่อน นับถือทะเลสาบบางแห่งให้เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ และมีการใช้งานในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรมด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใต้ทะเลสาบในทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา อย่างทะเลสาบ Petén Itzá ที่ตั้งอยู่กลางเมืองโบราณ Nojpetén ทีมนักสำรวจจะสามารถค้นพบโบราณวัตถุ จมอยู่ร่วม 800 ชิ้น     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของทีมค้นหาวัตถุโบราณแห่งมหาวิทยาลัย Jagiellonian ของประเทศโปแลนด์ และคาดกันว่าวัตถุโบราณเหล่านี้อาจมาจากพิธีกรรมของชาวมายาจากหลายยุคหลายสมัยเลย จากการตรวจสอบในเบื้องต้น วัตถุโบราณที่พบนี้โดยมากจะมาจากช่วงปี ค.ศ. 1000-1697 แต่ก็มีบางชิ้นเหมือนกันที่เป็นเครื่องเซรามิกซึ่งมาจากช่วง 150 ปีก่อนคริสตกาลถึงปีคริสต์ศักราช 250 ในบรรดาของที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการพบนั้น ประกอบไปด้วยชามเซรามิกสามชิ้น มีดที่ทำจากหินภูเขาไฟ (Obsidian) ซึ่งเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนใช้ในพิธีบูชายัญสัตว์เล็ก อ้างอิงจากกระดูกสัตว์ที่ถูกพบอยู่ในถ้วยใต้น้ำ (แม้ว่าจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากการที่สัตว์มาตายทีหลังก็ได้)     Magdalena Krzemień หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า สำหรับชาวมายาสมัยก่อนแล้ว น้ำนับเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นสื่อกลางที่ใช้เชื่อมโลกของคนเป็นเขากับโลกของคนตาย สถานที่ซึ่งเหล่าทวยเทพของเผ่ามายาอยู่ จริงอยู่ที่ว่าการค้นพบวัตถุโบราณพร้อมๆ กันกว่า 800 ชิ้น อาจจะดูเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักโบราณคดีกลุ่มนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดจะหยุดการสำรวจไว้เพียงเท่านี้เลย เพราะในปัจจุบันพวกเขาได้มีกำหนดการในการตรวจสอบทะเลสาบแห่งนี้เพิ่มเติมแล้ว ภายในเดือนสิงหาคมปีนี้   ที่มา livescience, medicaldaily

  • ย้อนรอย “เทพีเสรีภาพ” อนุสาวรีย์ของผู้แสวงหาอิสระ ที่อยู่คู่กับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน

    ย้อนรอย “เทพีเสรีภาพ” อนุสาวรีย์ของผู้แสวงหาอิสระ ที่อยู่คู่กับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน

    เชื่อว่าในปัจจุบันคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเทพีเสรีภาพของสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว เพราะนอกจากนี่จะเป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจของเหล่าผู้แสวงหาเสรีภาพแล้ว เทพีเสรีภาพยังเป็นงานประติมากรรมที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมปีละมากมายหลายล้านคนด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า กว่าจะมาเป็นเทพีเสรีภาพสุดงดงามอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ เมื่อราวๆ 130 ปีก่อน ในตอนที่กำลังสร้างขึ้นมา เทพีดังกล่าวมีสภาพอย่างไรกัน     เทพีเสรีภาพนั้น เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสสร้างขึ้นให้แก่ชาวอเมริกันในปี 1876 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โดยในเวลานั้น มีชื่อว่า “Liberty Enlightening the World” หรืออนุสาวรีย์เสรีภาพตรัสรู้โลก   . .   เทพีเสรีภาพนั้น ได้รับแนวคิดมาจาก Édouard René de Laboulaye ประธานสมาคมต่อต้านการค้าทาสของฝรั่งเศสในปี 1865 เพื่อเพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และออกแบบโดยประติมากร Frédéric Auguste Bartholdi ผู้มีผลงานเด่นๆ อยู่ที่การออกแบบหอไอเฟล   . .   น่าเสียดายที่ในช่วงปี 1870 ฝรั่งเศสต้องเข้าร่วมสงครามพอดีทำให้เวลานั้นงบประมาณที่ใช้ในการสร้างอนุสาวรีย์ไม่พอ และ Bartholdi จำเป็นที่จะต้องใช้แผนอื่นในการหาเงินมาทำอนุสาวรีย์ เขาตัดสินใจสร้างเฉพาะส่วนมือที่ถือคบเพลิงตั้งไว้ในแมนฮัตตัน เพื่อเรี่ยไรเงินจากบริจาคจากทั่วโลก…

  • นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ

    นักโบราณคดีพบ อุปกรณ์สักที่ทำจากหนามต้นกระบองเพชร คาดเก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเหนือ

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการสักนั้นเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน และเกิดขึ้นในแทบทุกที่บนโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย หรืออเมริกา และเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 เหล่านักโบราณคดีก็ได้ออกมาทำการเปิดเผยถึงการค้นพบอุปกรณ์สักอันน่าทึ่ง โดยในครั้งนี้อุปกรณ์สักที่พบ นับว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการพบมาในทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือเลยทีเดียว     นี่เป็นอุปกรณ์สักที่ทำจากหนามของต้นกระบองเพชรพันเข้ากับไม้ ความยาวราวๆ 10 เซนติเมตร ซึ่งถูกค้นพบอยู่ในโรงเก็บของของพิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน และคาดกันว่ามีอายุมากถึง 2,000 ปี จากการตรวจสอบทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์แล้ว ทางผู้เกี่ยวข้องก็พบว่าเข็มดังกล่าวน่าจะเคยถูกใช้โดย กลุ่มบรรพบุรุษชนเผ่าพิวโบล ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลไปจนถึงคริสต์ศักราชที่ 500 ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์ และมีการใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 79-130     Andrew Gillreath-Brown นักศึกษาปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน ผู้ค้นพบวัตถุโบราณชิ้นนี้กล่าวว่า การสักของคนในแถบอเมริกาเหนือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มักจะมีค่อยมีการพูดถึงเท่าไหร่ นั่นเพราะที่ผ่านๆ มาแทบจะไม่มีการค้นพบหลักฐานการสักแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย แถมหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ของกรสักในอเมริกาเหนือที่ผ่านๆ มายังมาจากช่วง ค.ศ. 1100-1280 ซึ่งนับว่าไม่เก่าแก่เท่าไหร่นัก     ดังนั้นแม้ว่านี่จะเป็นอุปกรณ์สักที่พบจะไม่ใช่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการสักแต่อย่างไร (เพราะมัมมี่ของ “Ötzi” ที่ถูกพบในอิตาลีเองก็มีร่องรอยของการสักอยู่เหมือนกัน แถมมีอายุถึง 5,300…

  • พบรูปสลักสฟิงซ์หัวแกะ อายุกว่า 3,000 ปีที่อียิปต์ เชื่อสร้างในสมัยปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน

    พบรูปสลักสฟิงซ์หัวแกะ อายุกว่า 3,000 ปีที่อียิปต์ เชื่อสร้างในสมัยปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน

    เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในพื้นที่เหมืองหินเก่าแก่ Gebel el-Silsila ใกล้ๆ เมือง Aswan ประเทศอียิปต์ ทีมนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยลุนด์แห่งสวีเดนได้ค้นพบรูปสลักสฟิงซ์เก่าแก่ที่มีอายุถึง 3,000 ปี     นี่เป็นรูปสลักสฟิงซ์ที่เรียกกันว่า “Criosphinx” หรือสฟิงซ์ที่มีหัวเป็นแกะ ทำขึ้นจากหินทรายที่มีน้ำหนักร่วม 10 ตัน และมีส่วนสูงถึงราวๆ 3.5 เมตร โดยสฟิงซ์หัวแกะตัวนี้เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์แอเมนโฮเทปที่ 3 ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน และครองราชย์ในช่วง 1390-1350 ปีก่อนคริสตกาล     น่าเสียดายที่จากร่องรอยที่พบ ครึ่งบนของหัวสฟิงซ์ตัวนี้จะได้รับความเสียหายรุนแรง และผุพังเสียหายไปตามกาลเวลา (แต่ยังเหลือมากพอที่จะทราบว่าเป็นสฟิงซ์หัวแกะ) แถมตัวของสฟิงซ์เองก็ถูกทิ้งเอาไว้ในเหมืองหินแห่งนี้ก่อนที่จะเสร็จด้วย แม้ว่านักโบราณคดีจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าทำไมสฟิงซ์ตัวนี้จึงถูกทิ้งไว้ก่อนที่จะแกะสลักเสร็จ แต่พวกเขาก็คาดว่าอาจจะเป็นเพราะตัวรูปสลักเสียหายในระหว่างการนำเดินงาน หรือไม่ก็ตัวฟาโรห์จากไปก่อนที่งานจะสำเร็จนั่นเอง     โดยนอกจากสฟิงซ์หัวแกะแล้ว เหล่านักโบราณคดียังพบกับโบราณวัตถุในพื้นที่ใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งป้ายอักษรเฮียโรกลิฟฟิค ชิ้นส่วนของรูปจานกลมแห่งดวงอาทิตย์ (Solar Disk) และรูปสลักสฟิงซ์ขนาดเล็กที่คาดกันว่าทำขึ้นโดยคนงานฝึกหัดในสมัยนั้น     นั่นทำให้ในปัจจุบันทีมนักสำรวจกำลังมุ่งเน้นความพยายามไปกับการถอดรหัสอักษรเฮียโรกลิฟฟิคที่พบเป็นหลัก…

  • สนามบินไคโร พบชิ้นส่วนมัมมี่เก่าแก่ถูกซ่อนอยู่ใน “ลำโพง” เตรียมลักลอบขนไปเบลเยียม

    สนามบินไคโร พบชิ้นส่วนมัมมี่เก่าแก่ถูกซ่อนอยู่ใน “ลำโพง” เตรียมลักลอบขนไปเบลเยียม

    ตั้งแต่ในอดีตมา มีอยู่บ่อยครั้งที่เราจะพบโบราณวัตถุไปอยู่ในที่แปลกๆ ที่ไม่น่าจะไปอยู่ ซึ่งแม้ว่าส่วนมากจะเกิดจากความบังเอิญ แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่การพบวัตถุโบราณในที่แปลกๆ นั้นจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลจากน้ำมือของมนุษย์ล้วนๆ อย่างเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองทางกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าที่สนามบินของกรุงไคโรได้มีการค้นพบชิ้นส่วนของมัมมี่เก่าแก่ อยู่ในลำโพงที่จะถูกส่งไปเบลเยียมเสียอย่างนั้น     นี่เป็นการค้นพบสุดแปลกที่เกิดขึ้นในระหว่างการตรวจสอบพัสดุด้วยระบบเอกซเรย์ก่อนขึ้นเครื่องบิน และทำให้ลำโพงที่พบ ถูกทางภาครัฐนำไปตรวจสอบต่อทันที โดยจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมา ภายในลำโพงที่ถูกยึดมานั้นมีชิ้นส่วนขาสองข้าง แขนซ้าย และส่วนหนึ่งของลำตัวมนุษย์ที่แห้งจนเป็นมัมมี่ซ่อนอยู่ ซึ่งจากการตรวจสอบของนักโบราณคดี พวกเขาก็พบว่าชิ้นส่วนมนุษย์ที่พบนั้น น่าจะมาจากมัมมี่เก่าแก่สองร่างในอียิปต์เอง     แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มาจากความพยายามลักลอบขนวัตถุโบราณออกนอกประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายตั้งแต่ช่วงปี 1983 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงปี 2011-2013 ที่ผ่านมา แม้ไม่อาจทราบได้ว่าชิ้นส่วนที่ กระจายเป็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหล่านี้จะถูกขนออกไปนอกประเทศเพื่อขายให้ใครก็ตาม แต่นี่ก็นับเป็นการกระทำที่ทำให้วัถุโบราณเสียหายเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จึงได้ออกดำเนินการตามล่าตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษต่อไป     ชิ้นส่วนมัมมี่ที่ถูกยึดไว้เป็นหลักฐานในครั้งนี้นั้น หลังจากที่การตรวจสอบจบลงก็ได้ถูกส่งไปยัง พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุอียิปต์ในไคโรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบ และฟื้นฟูชิ้นส่วนมัมมี่เหล่านี้กันต่อไป   ที่มา livescience, geek

  • 15 ภาพผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิต ด้วยฝีมือของชาวเน็ต

    15 ภาพผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิต ด้วยฝีมือของชาวเน็ต

    เป็นเรื่องที่เราทราบกับว่าก่อนหน้ายุค 1950-1960 ภาพถ่ายสีจะยังเป็นเรื่องที่หายากมาก ดังนั้นแม้แต่ภาพคนดังในสมัยก่อน เราก็มีโอกาสได้เห็นแต่ในสภาพรูปขาวดำเท่านั้น นับว่าโชคดีมากที่ในปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีและผู้คนมากมายที่จะพยายามที่จะชุบชีวิตภาพขาวดำเก่าๆ มาให้เราได้ชมกันอีกครั้ง และสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างคุณ seriykotik1970 แล้ว ผลงานของเขาก็เน้นไปที่เหล่าผู้คนของศตวรรษที่ 19 นั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 15 ภาพเหล่าผู้คนของศตวรรษที่ 19 ที่ถูกนำมาตกแต่งสีจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ว่าแต่ภาพจะสวยแค่ไหน หรือมีใครบ้าง คงต้องเชิญเพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เอง   เริ่มกันจากรูปภาพ “สาวงาม” ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถ่ายโดยกล้องดาแกโรไทพ์ จากปี 1848   Lola Montez นักร้องชาวไอร์แลนด์ เมื่อปี 1851   อีกมุมหนึ่งของ Lola Montez แต่งสีแล้วเหมือนภาพวาดเลย   หนึ่งในโสเภณีชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดของปารีส Cora Pearl จากปี 1854   หญิงสาวไม่ทราบนามจากสตูดิโอภาพของ “นาดาร์” ช่างภาพมีชื่อของฝรั่งเศส เมื่อปี 1861   นักแสดงหญิง  Ellen Terry ก่อนที่จะแต่งงานเล็กน้อย…

  • นักวิทย์พบ หากคนเราไม่มียีนบางตัว เราจะหายจากอาการหลอดเลือดสมองได้ง่ายขึ้น

    นักวิทย์พบ หากคนเราไม่มียีนบางตัว เราจะหายจากอาการหลอดเลือดสมองได้ง่ายขึ้น

    ถ้าเพื่อนๆ ได้ติดตามข่าวความพยายามในการตัดต่อพันธุกรรมในเด็ก เพื่อสร้างเด็กที่มีความสามารถในการป้องกันโรค HIV เมื่อช่วงปลายปี 2018 เพื่อนๆ อาจจะทราบกันว่าการตัดยีนบางตัวออกไปจากร่างกายของมนุษย์นั้น สามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรคหลายๆ ตัวได้ นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้เอง ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมานำเสนอรายงานชิ้นใหม่ที่ว่า การตัดยีน CCR5 ซึ่งเดิมทีเกี่ยวข้องกับโรค HIV ออกไปจากร่างกายมนุษย์ นอกจะทำให้ภูมิคุ้มกัน HIV ของคนดีขึ้นแล้ว (ตามการผลทดลองในปี 2018) มันยังช่วยให้เราหายจากอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้ง่ายขึ้นด้วย     งานวิจัยในครั้งนี้นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการทดลองให้ยา “Maraviroc” (ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย HIV) ซึ่งมีผลในการหยุดการทำงานของยีน CCR5 กับหนู และพบว่าหนูนั้นมีความสามารถในการควบคุมร่างกายที่ดีขึ้น จริงอยู่ที่ว่าการที่หนูควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นก็ใช่ว่ามนุษย์เราจะมีอาการแบบเดียวกัน แต่จากการที่ปกติคนเป็นโรคหลอดเลือดสมองมักจะมีปัญหากับการควบคุมร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่ายีน CCR5 นั้นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองก็เป็นได้     ดังนั้นพวกเขาจึงได้ทำการทดลองกับคนไข้ที่มีอาการหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน 450 คน โดยที่มีบางส่วนเป็นชาวยิวอัชเคนาซิ (ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่คนเชื่อสายนี้กลับมักจะไม่มียีน CCR5) และพบว่าคนไข้ที่เป็นชาวยิวอัชเคนาซินั้นมีอัตราการฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมองเร็วกว่าคนทั่วไปจริงๆ นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หากคนเราไม่มียีน CCR5 แล้ว เราจะมีปัญหากับโรคหลอดเลือดสมองน้อยลงจริงๆ และไม่แน่ว่าการตัดยีนบางตัวของมนุษย์ออกไปอาจจะมีผลดีกว่าที่คิดก็เป็นได้   อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นหนึ่งในชาวยิวอัชเคนาซิเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม ดร.…

  • “หญ้าฝรั่น” เครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ที่อาจหายไปจากอินเดียเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง

    “หญ้าฝรั่น” เครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ที่อาจหายไปจากอินเดียเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง

    สำหรับคนในประเทศไทยที่นับว่ารักเครื่องเทศมากๆ ในระดับหนึ่ง เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่รู้จักเครื่องเทศอย่างหญ้าฝรั่นกันเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่มันจะใช้เป็นยาและอาหารได้เท่านั้น แต่ตั้งแต่ในอดีตหญ้าฝรั่นก็เคยมีการนำไปใช้เป็นทั้งน้ำย้อมและเครื่องย้อม จนทำให้มันกลายเป็นเครื่องเทศที่มีราคาเป็นอย่างมากไป     หญ้าฝรั่นเก็บได้จากดอกหญ้าฝรั่นสมชื่อ โดยจะเป็นการเก็บยอดเกสรเพศเมียสีแดงออกมาจากตัวดอกไม้ออกสีม่วง ซึ่งเชื่อกันว่าถูกใช้ในฐานะเครื่องเทศครั้งแรกๆ ใน อิหร่าน เมโสโปเตเมีย หรือไม่ก็กรีก ก่อนที่จะเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลาต่อมา หญ้าฝรั่นมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและมีรสค่อนข้างขม มีสรรพคุณในการขับเหงื่อ บำบัดโรคต่างๆ ลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บรรเทาอาการท้องอืด แถมยังช่วยทำให้เจริญอาหาร ดังนั้นมันจึงมักถูกนำไปทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และยุโรปมาอย่างยาวนาน     นอกจากนี้ในอินเดียสมัยโบราณหญ้าฝรั่นยังมักจะนำมาย้อมจีวรโดยเหล่าสงฆ์อีกด้วย ทำให้เรียกได้ว่าหญ้าฝรั่นนั้น เป็นเครื่องเทศที่ตลาดค้าขายต้องการอยู่เสมอๆ เลยก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในแคชเมียร์ประเทศอินเดีย หญ้าฝรั่นจะนับเป็นเครื่องเทศที่แพงที่สุด โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ กิโลกรัมล่ะ 106,000 บาท เนื่องจากกระบวนการเก็บที่ต้องทำด้วยมือ และเมื่อเก็บแล้วดอกไม้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ด้วย     ที่สำคัญคือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาปริมาณการผลิตหญ้าฝรั่นในแคชเมียร์ยังถือว่าลดลงอย่างน่าใจหายเลยด้วย เพราะจากที่ชาวไร่เคยเก็บหญ้าฝรั่นได้ถึงครั้งละ 400 กิโลกรัมในช่วงปี 2000 ในช่วงปี 2016-2018 ที่ผ่านมา พวกเขากลับสามารถเก็บหญ้าฝรั่นได้เพียง 15 กิโลกรัมเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจากการที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ที่อินเดียแทบไม่มีฝนตกเลยก็เป็นได้ และหากปล่อยไว้แบบนี้ หญ้าฝรั่นจากแคชเมียร์ซึ่งนับว่ามีคุณภาพดีที่สุดในโลกก็อาจจะหายไปเลยก็เป็นได้  …

  • ย้อนรอยหลักฐานการเลี้ยงสุนัขและจิ้งจอกเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์

    ย้อนรอยหลักฐานการเลี้ยงสุนัขและจิ้งจอกเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ในช่วงต้นยุคสัมฤทธิ์

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่าสุนัขนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน เพราะตั้งแต่ในอดีตมา เราก็เคยมีหลักฐานที่ว่ามนุษย์และสุนัขมีวิธีชีวิตที่พึ่งพาอาศัยกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมแรกๆ ที่เรารู้จักเลย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าสุนัขนั้น ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์อย่างแพร่หลายเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่     ที่ผ่านๆ มาเรามีหลักฐานว่ามนุษย์อยู่กับสัตว์สายพันธุ์สุนัขมาตั้งแต่เมื่อราวๆ 36,000 ปีก่อน จากการตรวจสอบ DNA และหลักฐานทางโบราณคดีในถ้ำหลายแห่ง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสุนัขนั้นน่าจะถูกเลี้ยงไว้เป็นเวลานานมากๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหากจะพูดถึงช่วงเวลาที่เราพบหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง ที่บอกว่ามนุษย์ได้นำสุนัขมาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแพร่หลายแล้ว เราก็คงต้องพูดถึงหลักฐานที่พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย ที่มาจากต้นยุคสัมฤทธิ์เป็นหลัก     เพราะในที่พื้นที่แห่งนี้เองนักวิทยาศาสตร์ได้พบแหล่งโบราณคดีถึงสองแห่ง ที่มีโครงกระดูกของมนุษย์ ถูกฝังไว้กับสุนัข และสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากนั่นเอง เรื่องชี้ชัดที่สุดว่าสุนัขเหล่านี้ถูกนำมาเลี้ยงในที่แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงการสังหารสุนัขป่าและนำมาทิ้ง คือการที่พวกมันทานอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ผู้เป็นเจ้านาย แถมยังเกิดขึ้นกับทั้งสุนัข และจิ้งจอก ซึ่งนับว่าค่อนข้างแปลกเพราะตามปกติแล้วสุนัขจิ้งจอกมักจะไม่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยง     นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าในมนุษย์นั้นมีการให้อาหารแบบพิเศษกับสุนัขบางส่วนอีกด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นจากการให้อาหารเป็นรางวัลหลังการใช้แรงงานพวกมัน การใช้แรงงานที่ว่านี้ได้รับการสันนิษฐานโดยนักวิทยาศาสตร์ว่ามีความเกี่ยวข้องกับงานบรรทุกสิ่งของ เนื่องจากขนาดของสุนัขที่การให้อาหารเป็นพิเศษจะตัวค่อนข้างใหญ่ แถมบางตัวยังมีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังซึ่งมักเกิดขึ้นจากการบรรทุกน้ำหนักมากเกินไปไว้บนหลัง นอกจากนี้กระดูกของหนึ่งในสุนัขจิ้งจอกที่พบในยุคนี้เองก็มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันมีร่องรอยว่าเคยขาหัก และถูกด้ามขาให้โดยมนุษย์นั่นเอง ซึ่งการกระทำนี้เองก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าคนในสมัยนั้นน่าจะให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาในระดับหนึ่ง     เป็นไปได้ว่าที่สุนัขได้รับการปฏิบัติที่ต่างไปจากสัตว์อื่นๆ ที่มนุษย์เลี้ยงนั้น น่าจะมาจากความสามารถในการปรับตัวเข้ากับมนุษย์ บวกกับความฉลาด และฝึกได้ง่ายของมัน ดังนั้น แม้ว่าสุนัขบางส่วนจะถูกนำไปใช้ทำงานแบกหามก็ตาม…

  • พบฟอสซิลหนูโบราณอายุกว่า 69 ล้านปี ที่เขตอาร์คติก บนเกาะที่มีกลางคืนยาวนาน 4 เดือน

    พบฟอสซิลหนูโบราณอายุกว่า 69 ล้านปี ที่เขตอาร์คติก บนเกาะที่มีกลางคืนยาวนาน 4 เดือน

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมค้นหาซากดึกดำบรรพ์ของมหาวิทยาลัยโคโลราโด ซึ่งออกเดินทางไปยังรัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทำการค้นหาซากดึกดำบรรพ์ ในเขตอาร์คติก ได้ทำการค้นพบฟอสซิลสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสายพันธุ์ใหม่ ที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับไดโนเสาร์     เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวที่ว่านี้ คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลหนู ที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “Unnuakomys Hutchisoni” จากการร่วมคำภาษาอินุอิท “Unnuak” ที่แปลว่ากลางคืน และคำภาษากรีก “Mys” ที่แปลว่าหนู จากการคาดการอายุเบื้องต้นเจ้าหนูที่พบนี้น่าจะมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 69 ล้านปีก่อน ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะสวาลบาร์ด ที่ซึ่งในเวลานั้นจะมีกลางคืนยาวนานถึง 4 เดือน โดยชิ้นส่วนที่มีการค้นพบในครั้งนี้คือชิ้นส่วนขากรรไกรล่างที่มีความยาวเพียง 1.5 มิลลิเมตร และฟันขนาดเล็กอีกราวๆ 70 ชิ้น ดังนั้นจึงนำว่าเป็นโชคดีมากที่เหล่านักโบราณคดีสามารถเก็บกู้มันมาได้โดยที่ไม่สูญหายไปเสียก่อน     ขนาดของขากรรไกรที่พบทำให้นักโบราณคดีคาดว่าเจ้าหนูที่พบน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกับหนูตัวเล็กในปัจจุบัน และจากรูปร่างของขากรรไกรเอง นักโบราณคดีก็เชื่อว่าเจ้าหนูตัวนี้นั้นน่าจะมีรูปร่างคล้ายตัวพอสซัมในปัจจุบัน จริงอยู่ว่าพื้นที่แถวๆ ขั้วโลกในอดีตจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าในปัจจุบัน แต่มันก็เป็นไปได้มากว่าเจ้า Unnuakomys Hutchisoni น่าจะต้องอาศัยในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยเพียง 6 องศาเซลเซียสอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่เจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีการขุดหลุมไปอาศัยใต้ดินเพื่อหลบอากาศหนาว    …

  • นักธรณีพบภูเขาใต้เปลือกโลก สูงกว่าเขาเอเวอร์เรส หลังศึกษาเหตุแผ่นดินไหวในโบลิเวีย

    นักธรณีพบภูเขาใต้เปลือกโลก สูงกว่าเขาเอเวอร์เรส หลังศึกษาเหตุแผ่นดินไหวในโบลิเวีย

    เหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็มักจะนำมาซึ่งข่าวการสูญเสียที่น่าเศร้าอยู่เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ตามการเกิดแผ่นดินไหวเองก็ไม่ได้นำมาแต่เรื่องแย่ๆ เสมอไป เพราะเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสารออนไลน์ “Science” เหล่านักธรณีวิทยาแห่งสถาบันธรณีฟิสิกส์ในประเทศจีนก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบครั้งใหม่ ที่เกิดขึ้นได้จากการศึกษาเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโบลิเวียเมื่อปี 1994     นี่เป็นการค้นพบว่าที่ใต้เปลือกโลกของเรานั้น มีชั้นเคมีที่ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ ที่มีความสูงมากกว่าภูเขาเอเวอร์เรส ซ่อนอยู่ข้างใต้เปลือกโลกนั่นเอง โดยเจ้าภูเขาใต้ดินที่ว่านี้อยู่ลึกลงไปใต้ดินราวๆ 660 กิโลเมตร ในช่วงรอยต่อระหว่าง “ชั้นแมนเทิล” หรือ “เนื้อโลก” ส่วนบน และส่วนล่าง ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจสอบโดยไม่มีเหตุการณ์ทางธรรมชาติมาช่วย     อย่างไรก็ตามเมื่อมีการคำนวณคลื่นสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวที่โบลิเวีย ซึ่งเกิดขึ้นจากชั้นโลกในบริเวณใกล้เคียงพอดี นักธรณีวิทยาก็สามารถบอกได้ว่าที่ใต้ดินนั้นมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่อยู่ จริงอยู่ที่ว่าการจะคำนวณขนาดของภูเขาที่อยู่ใต้ดินอย่างชัดเจนนั้นเป็นไปได้ยากมากๆ แต่ Jessica Irving หนึ่งในทีมวิจัยก็บอกว่าหากคำนวณจากแรงสั่นสะเทือนแล้ว ก็เป็นไปได้มากเลยที่ภูเขาลูกนี้จะมีขนาดใหญ่มากกว่าภูเขาเอเวอร์เรส และเผลอๆ จะเป็นภูเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยพบมาเลย     เธอยังบอกอีกว่า กว่าที่จะทราบว่ามีภูเขาลูกนี้อยู่ใต้ดินได้ พวกเธอก็ต้องอาศัยแผ่นดินไหวที่มีขนาดถึง 8.2 ริกเตอร์ และการจะคำนวณขนาดภูเขาก็จะต้องอาศัยการศึกษาแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่อีกหลายครั้งเลย อย่างไรก็ตามการวิจัยในครั้งนี้ก็ช่วยให้มนุษย์เราเรียนรู้เรื่องการกำเนิดของผิวโลกเมื่อพันล้านปีก่อนได้เป็นอย่างดี และในอนาคตเองเราก็อาจจะค้นพบความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับลักษณะพื้นดินใต้โลกอีกก็เป็นได้   ที่มา thesun,…

  • นักวิทย์ไขปริศนา วิดีโอเอาองุ่นผ่าครึ่งไปอุ่นตู้ไมโครเวฟแล้วเกิดพลาสม่า

    นักวิทย์ไขปริศนา วิดีโอเอาองุ่นผ่าครึ่งไปอุ่นตู้ไมโครเวฟแล้วเกิดพลาสม่า

    เคยเอาองุ่นผ่าครึ่งแบบยังมีเปลือกติดกัน ไปอุ่นตู้ไมโครเวฟกันไหม นี่เป็นวิดีโอที่โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง โดยหลังจากที่ไมโครเวฟเริ่มทำงานได้ช่วงหนึ่ง ที่ระหว่างองุ่นทั้งสองจะเกิดประกายพลาสมาขึ้น สร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก     ในเวลานั้น หลายๆ คนเชื่อกันว่าเหตุการณ์ที่เห็นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับองุ่นที่ใช้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้องุ่นพ่นพลาสม่าได้แบบนี้ แต่แล้วเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้โลกได้รู้กันจนได้ นี่เป็นผลการศึกษาที่ได้มาจากการทดลองอุ่นไมโครเวฟวัตถุหลายชนิด เช่นองุ่น ลูกปัดไฮโดรเจล หรือไข่นกกระทาที่มีการเติมน้ำลงไปด้วยกล้องความเร็วสูง และกล้องตรวจจับความร้อน เพื่อศึกษาปฏิกิริยาที่น้ำมีต่อคลื่นไมโครเวฟ     ผลที่ออกมาคือหากสิ่งที่น้ำไปอุ่นนั้นมีขนาดและปริมาณน้ำภายในใกล้เคียงกับองุ่น ของเหล่านั้นก็จะเกิดพลาสม่าได้ เช่นเดียวกับองุ่นเลย นั่นเพราะขนาดและปริมาณน้ำที่ใกล้เคียงกับองุ่นเหล่านี้มีความเหมาะสมมากพอที่จะดักความยาวของคลื่นไมโครเวฟไว้ได้พอดี     ดังนั้นหากมีของในรูปแบบนี้สองชิ้นวางติดกันอยู่ คลื่นไมโครเวฟก็จะใช้จุดที่เชื่อมกันในการกระโดดข้ามไปมา ทำให้จุดเชื่อมต่อได้รับภาระหนัก จนร้อนขึ้นและระเบิดออกมาเป็นพลาสม่าอย่างที่เห็น แน่นอนว่าการที่ต้องการพื้นที่เชื่อมต่อกันแบบนี้ก็จะทำให้ผลไม้เพียงลูกเดียวไม่สามารถพ่นพลาสม่าออกมาได้ และต่อให้ไม่มีเปลือกเป็นจุดเชื่อมก็ตาม ขอแค่วัตถุดังกล่าววางติดกัน และมีคุณสมบัติที่เหมาะสม มันก็จะมีโอกาสเกิดพลาสม่าได้ถึง 60%   นอกจากองุ่นแล้ว บลูเบอร์รี่ ระฆังทอง มะกอก และมะเขือเทศบางชนิดเองก็สามารถพ่นพลาสม่าได้เช่นกัน  …

  • พบ เผ่า Darkhad ชนเผ่าในมองโกเลีย ผู้รับหน้าที่ดูแลสุสานและวิญญาณของเจงกิสข่าน

    พบ เผ่า Darkhad ชนเผ่าในมองโกเลีย ผู้รับหน้าที่ดูแลสุสานและวิญญาณของเจงกิสข่าน

    เคยได้ยินเรื่องราวของชนเผ่า “Darkhad” กันมาก่อนไหม พวกเขาคือหนึ่งในชนเผ่าย่อยที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศมองโกเลีย เชื่อว่าตัวเองเป็นลูกหลานของ Bo’orchu และ Muqali ของแม่ทัพที่ได้รับหน้าที่อันทรงเกียรติอย่างการปกป้องสุสานของเจงกิสข่านตั้งแต่ในปี 1227     ผู้คนในเผ่านี้ในอดีตมักถูกพบปักหลักปกป้องพื้นที่หุบเขา Darkhad ในจังหวัด Khövsgöl ของมองโกเลียมา และเชื่อกันว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ คำว่า Darkhad ในภาษามองโกเลียแปลว่า ผู้ที่ไม่สามารถจับต้องได้ และผู้ถูกปกป้อง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เผ่านี้จะดูปลีกตัวออกจากสังคม และนอกจากจะปกป้องพื้นที่ที่เป็นสุสานของเจงกิสข่านแล้ว คนเหล่านี้ยังรับหน้าที่ดูแลรักษาวัตถุโบราณที่สืบทอดกันมาแต่อดีตด้วย     หน้าที่เหล่านี้เองทำให้เผ่านี้ยังคงใช้ชีวิตหลักจารีตประเพณีดั้งเดิมอยู่ พวกเขาอาศัยใน “Gers” ที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายกระโจม และยังคงใช้ชีวิตด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์ ในอดีตวัตถุโบราณของเจงกิสข่าน จะถูกเก็บไว้ในกระโจม 8 แห่งของชนเผ่า โดยหนึ่งในสิ่งของเหล่านี้คือ “Suledu” อาวุธรูปร่างคล้ายสามง่าม ที่ถูกเชื่อโดยคนในเผ่าว่าถูกประทานมาให้เจงกิสข่าน จากทวยเทพ โดยแลกกับการบูชายัญม้า 1,000 ตัว และ แกะอีก 10,000 ตัว     แน่นอนว่าชาว Darkhad นั้นเคารพวัตถุโบราณเหล่านี้มากกว่าเพียงสิ่งของธรรมดามา และพวกเขาเองก็เชื่อว่าในวัตถุโบราณเหล่านี้นั้น มีวิญญาณของเจงกิสข่านสิงอยู่ภายในด้วย จริงอยู่ว่าที่อยู่จริงๆ ของสุสานของเจงกิสข่านจะหายในไปประวัติศาสตร์แล้ว…

  • ไอร์แลนด์นำเกาะร้างที่มีโบราณสถานพร้อม “หินสาปแช่ง” ออกขาย ในราคาราว 44 ล้านบาท

    ไอร์แลนด์นำเกาะร้างที่มีโบราณสถานพร้อม “หินสาปแช่ง” ออกขาย ในราคาราว 44 ล้านบาท

    เพื่อนๆ เคยรู้สึกว่าอยากได้เกาะส่วนตัวไว้สักเกาะไหม? โดยเฉพาะถ้าบนเกาะมีโบราณสถานอยู่ด้วย เพราะเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ที่ประเทศไอร์แลนด์ ได้มีการนำเกาะร้างไร้ผู้คนเกาะหนึ่งในเขตเมืองกัลเวย์ ออกมาประกาศให้คนที่สนใจสามารถเข้าไปจับจองได้แล้ว ภายในราคาราวๆ 44,000,000 บาทเท่านั้น     ที่ผ่านๆ มาเกาะแห่งนี้ถูกครอบครองโดยนักกวีชื่อ Richard Murphy ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927-2018 และถูกปล่อยขายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไป จากข้อมูลของสื่อต่างประเทศ เกาะที่ถูกนำมาวางขายนี้ มีชื่อว่าเกาะ “Ardoileán” เกาะขนาด ราวๆ 320,000 ตารางเมตร ที่อยู่ห่างออกไปจากหาดเมืองกัลเวย์ 3 กิโลเมตร ซึ่งมีทะเลสาบขนาดเล็กสองแห่ง และสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่อีกสองแห่ง     อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจของเกาะนี้ไม่ได้อยู่ที่ทะเลสาบ หรือสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ที่แถมมา แต่เป็นการที่บนเกาะมีโบราณสถานอยู่แห่งหนึ่งต่างหาก โดยนี่เป็นวิหารโบราณที่สร้างจากหิน ที่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 โดยนักบุญ Féchín of Fore เพื่อให้คนบนเกาะที่เป็นชาวเซลติกในเวลานั้นได้ใช้ในการทำพิธีกรรมทางศาสนา     วิหารนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ “หินสาปแช่ง” หินที่มีรูปร่างเกือบกลมขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ในการสาปแช่งศัตรูสมชื่อ ซึ่งที่ผ่านๆ…

  • พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราทราบว่า “ไทแรนโนซอรัส” เดิมทีแล้วตัวเล็กกว่าที่เราคิด

    พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราทราบว่า “ไทแรนโนซอรัส” เดิมทีแล้วตัวเล็กกว่าที่เราคิด

    เมื่อพูดถึงไทแรนโนซอรัส เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงนึกถึงไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่กินเนื้อเป็นอาหาร และดุร้ายมากๆ ตามในภาพยนตร์กันเป็นส่วนใหญ่     แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับไดโนเสาร์ตัวนี้ กลับค่อยๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของมันเปลี่ยนไปจากที่เราคิด ไม่ว่าจะการที่พวกมันกินกันเอง หรือการที่พวกมันอาจจะเคยกินศพเป็นหลักมาก่อน (ถึงข้อหลังจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ตาม) และเมื่อล่าสุดนี้เอง เราก็มีการค้นพบใหม่ที่ออกมาบอกว่าไทแรนโนซอรัส ที่เราเห็นกันนั้นแท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่เราเห็นมาตั้งแต่ต้นก็เป็นได้     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ในวารสาร Communications Biology ได้มีการออกมาตีพิมพ์การค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์ “Moros intrepidus” ไดโนเสาร์ขนาดเล็กสมาชิกใหม่ของตระกูลไทแรนโนซอรัส ที่รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา และคาดกันว่ามีชีวิตอยู่มาก่อนไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ ที่เรารู้จักกันเสียอีก โดยเมื่อดูจากฟอสซิลที่พบแล้ว Moros intrepidus จะมีส่วนสูงเพียงแค่ 90-120 เซนติเมตรในขณะโตเต็มวัยเท่านั้น ซึ่งผิดกับไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ที่มีความสูงถึง 4 เมตร     ขนาดตัวของมันทำให้นักชีววิทยาเชื่อว่าไทแรนโนซอรัสในสมัยก่อนน่าจะมีน้ำหนักเบา และอาศัยความเร็วเป็นกุญแจหลัก ทั้งในการล่าเหยื่อ และหนีจากการถูกล่าเสียเอง แต่ถึงแม้จะมีขนาดเล็กก็ตาม ฟอสซิลของ Moros intrepidus…

  • 22 ภาพชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 อีกด้านของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    22 ภาพชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 อีกด้านของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    หลังจากที่การเลือกตั้งเพื่อรวมเวียดนามจบลงด้วยความผิดพลาด ประเทศนี้ก็เข้าสู่ภาวะสงครามเวียดนามต่อไปในช่วงปี 1955-1975 โดยเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนโดยโซเวียตและจีน ส่วนเวียดนามใต้ ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ตามปกติแล้วภาพของเวียดนามที่เราเห็นในช่วงนี้จะมีแต่ภาพในส่วนของสงคราม และไม่ค่อยได้เห็นการใช้ชีวิตปกติของชาวเมืองเท่าไหร่ โดยเฉพาะในทางเหนือของเวียดนาม ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการใช้ชีวิตของคนเวียดนามเหนือในช่วงปี 1960 กัน ไปชมกันดีกว่าว่าคนเวียดนามเหนือในยามนั้น นอกจากสงครามแล้วมีชีวิตเช่นไรบ้าง   เริ่มกันจากเหล่าผู้คนที่เดินเล่น และนั่งพักอยู่ริมทะเลสาบ . .   เงาของคนที่เดินกลางทุ่งนาอันสงบสุข . .   การทำงานศิลปะรูปปั้นของวลาดีมีร์ เลนิน   เด็กๆ ในชุดที่ทำจากฟาง   เด็กสาวที่นั่งขายของเล่นทหาร   เหล่าชาวเมืองที่พักผ่อนอยู่ริมน้ำ โดยมีบรรยากาศทหารและสงครามอยู่เล็กน้อย   เหล่าประชาชนที่เดินขบวนกันโดยมีอุปกรณ์ทำการเกษตรในมือ   ทุ่งนาที่มีฐานยิงจรวดตั้งไว้   การฝึกทหารของเด็กผู้หญิง   บางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันกับการรบก็ถูกกั้นไว้ด้วยกระดาษบางๆ แผ่นเดียว   เด็กชายที่กำลังเล่นกับปืนของเล่น ที่มีเหล่าทหารเป็นฉากหลัง   นักบินที่กำลังเล่าเรื่องในสงครามผ่านเครื่องบินของเล่น 2 ลำ…

  • เปิดตำนาน คาสโนว่า หนุ่มสุด “ป๊อป” ที่มีสาวนับร้อย คบซ้อนไหมก็ไม่รู้!!

    เปิดตำนาน คาสโนว่า หนุ่มสุด “ป๊อป” ที่มีสาวนับร้อย คบซ้อนไหมก็ไม่รู้!!

    เวลาผู้ถึงคนเจ้าชู้ในปัจจุบันแล้ว หนึ่งในคำที่เรามักจะให้เรียกเขากันมากที่สุดคำหนึ่งก็คงไม่พ้นคำว่า “คาสโนวา” อันเป็นคำนิยามของผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าคารม และมักพบรักกับสาวๆ เป็นจำนวนมากๆ ในเวลาสั้นๆ ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าคำว่าคาสโนวานั้นเป็นคำไม่ใช่เพียงคำที่จู่ๆ ก็มีการตั้งขึ้น แต่เป็นชื่อของคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 17 ต่างหาก     ชื่อจริงๆ ของชายคนนี้คือ “จาโกโม จีโรลาโม กาซาโนวา” เขาเป็นนักเขียนและนักผจญภัย ชาวเวนิสที่มีชื่อเสียงจากหนังสืออัตชีวประวัติ 12 เล่มของเขา ซึ่งมีการบอกเล่าถึงธรรมเนียมและสังคมฝรั่งเศสเอาไว้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งของนักโบราณคดีไป อย่างไรก็ตามในหนังสือเล่มเดียวกันนี้เอง ก็มีการระบุไว้ด้วยว่า กาซาโนวา (หรือคาสโนวา) ได้มีโอกาสได้หลับนอนกับสตรีมากว่า 112 คน และต่างไปจาก “ดอน ฆวน” ที่เป็นสัญลักษณ์ของชายเจ้าชู้อีกคนหนึ่ง เพราะเขาคนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าจากในอดีต กาซาโนวาเกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1725 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ในเมืองที่เต็มไปด้วยสถานรื่นเริง ก่อนที่จะถูกส่งไปเรียนและผ่านชีวิตที่ผกผันขึ้นลงตั้งแต่คนในราชวัง คนผีพนันที่หมดตัว นักเปียโน ไปจนถึงนักเดินทาง แต่ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงชีวิตไหน เจ้าตัวก็แทบไม่เคยขาดสตรีนอนเคียงข้างเลย     ชีวิตการคั่วผู้หญิงของกาซาโนวาถึงจุดสูงสุดในตอนที่เขาผิดหวังจาก “รักแท้”…

  • เปิดตำนานของ “ดอน ฆวน” สุดยอดเสือผู้หญิง ผู้โด่งดังมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 17

    เปิดตำนานของ “ดอน ฆวน” สุดยอดเสือผู้หญิง ผู้โด่งดังมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 17

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินคำว่า “นี่มันดอนฆวนชัดๆ” กันมาบ้าง มันเป็นคำที่มักถูกให้เรียกหนุ่มๆ ที่คารมดี มักไล่ตามผู้หญิง เจ้าชู้ จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอันตรายของผู้หญิง     โดยมากแล้ว “ดอน ฆวน” ที่ถูกใช้สื่อถึงในครั้งนี้ จะหมายถึงดอน ฆวนจากภาพยนตร์ในปี 1994 ที่ชื่อ “Don Juan DeMarco” หรือไม่ก็ภาพยนตร์เมื่อปี 1926 ที่ชื่อ “Don Juan” ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเรื่องราวของตำนานชายที่ชื่อดอน ฆวนนั้นแท้จริงแล้วมีมานานกว่านั้นมาก เรื่องราวของดอน ฆวนนั้นเชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นในฐานะตำนานพื้นบ้านของทางสเปน อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของตำนานเรื่องนี้เริ่มโด่งดังในยุโรป และมีการบันทึกไว้จริงๆ มันก็จะเป็นในช่วงศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานี้ ตำนานของดอน ฆวนถูกนำไปทำทั้งละครเวทีอย่าง “The Stone Feast” ในปี 1665 โอเปราของโมซาร์ทอย่าง Don Giovanni ในปี 1787 และบทกลอนยาวอย่าง “Don Juan” ในช่วงปี 1819-1824   ภาพของดอน ฆวน ที่วาดขึ้นจากโอเปราของโมซาร์ท…

  • นักชีววิทยาพบผึ้งยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1981

    นักชีววิทยาพบผึ้งยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1981

    ไม่แน่ว่าปี 2019 อาจจะเป็นทองของการค้นพบทางชีววิทยาเลยก็เป็นได้ เพราะแม้ว่าจะเริ่มต้นปีมาได้เพียงสองเดือนมนุษย์เราก็พบว่าจริงๆ แล้ว สัตว์ที่เราเชื่อว่าสูญพันธุ์นั้น แท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ถึงสองชนิด โดยไม่นานมานี้เองชีววิทยาก็เพิ่งจะมีการค้นพบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส ที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906 มาแบบสดๆ ร้อน (อ่านข่าวนี้ได้ที่ พบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906) แต่แล้วเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักชีววิทยาของก็ได้ออกมาประกาศการค้นพบผึ้งยักษ์ที่เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1981 อีกครั้ง ภายในป่าใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย     นี่เป็นผึ้งยักษ์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Megachile Pluto ผึ้งยักษ์ที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าผึ้งทั่วไปถึง 4 เท่า โดยตัวที่มีการค้นพบนั้นมีความยาวถึง 3.5 ซ.ม. และความกว้างปีกถึง 6.4 ซ.ม. เรียกได้ว่าเป็นผึ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ไม่ผิดนัก ผึ้งดังกล่าวถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ Alfred Russel Wallace ในปี 1858 ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในปี 1981 และถูกพบอีกครั้งโดยทีมนักชีววิทยาชาวอเมริกาและออสเตรเลียในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ข่าวการค้นพบในครั้งนั้นทำให้ช่างภาพนามว่า Clay Bolt รู้สึกสนใจมาก เขาจึงได้นำทีมออกไปสำรวจป่า เพื่อตามถ่ายภาพผึ้งยักษ์ตัวนี้ให้ประชาชนได้มีโอกาสชมกัน     อย่างที่เห็นว่าจุดเด่นของผึ้งตัวนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ขนาดตัวของมันเท่านั้น แต่มันยังมีส่วนหัวที่คล้ายกับด้วงกว่าง สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นมาก…

  • เอราทอสเทนีส ชายชาวกรีกผู้พิสูจน์ว่าโลกกลม เมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยใช้เพียงไม้และสมอง

    เอราทอสเทนีส ชายชาวกรีกผู้พิสูจน์ว่าโลกกลม เมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยใช้เพียงไม้และสมอง

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าโลกใบนี้นั้นมีรูปร่างเป็นทรงกลม ไม่ว่าจะด้วยการพิสูจน์ของ โคลัมบัส กาลิเลโอ หรือแม้กระทั่งการปล่อยจรวดของทางนาซาในศตวรรษที่ 20     ว่าแต่เชื่อกันไหมละว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เรามีการพิสูจน์ว่าโลกกลมมาอย่างยาวนานกว่าที่เราคิดมาก เพราะตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในสมัยก่อนคริสตกาล ชาวกรีกเองก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกที่พวกเขาอยู่นั้นมีลักษณะที่กลมจริงๆ ชายที่พิสูจน์เรื่องนี้ มีนามว่า “เอราทอสเทนีส” ชายชาวกรีกผู้ที่ได้รับชื่อว่าบิดาแห่งภูมิศาสตร์ (เนื่องจากเป็นคนแรกที่เรียกตัวเองว่า “Geographer” หรือนักภูมิศาสตร์) เขาเป็นชายคนแรกที่คิดหาวิธีการกำหนดตำแหน่งของสถานที่อย่างแม่นยำ และมีผลงานเด่นๆ มากมายเกี่ยวกับภูมิศาสตร์โลก     เอราทอสเทนีส ใช่วิธีการหลายอย่างในการพิสูจน์เรื่องโลกกลม ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตกลุ่มดาวบนฟ้า หรือการเกิดจันทรุปราคา อย่างไรก็ตามวิธีที่เขาใช้ในการพิสูจน์เรื่องโลกกลมที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คงจะไม่พ้นเรื่องดวงอาทิตย์ที่อียิปต์ กล่าวคือเอราทอสเทนีส ได้ทราบข่าวมาว่าที่เมืองซะฮิอีนิ (Syene) ของประเทศอียิปต์ ดวงอาทิตย์จะตรงกับบนหัวของคนพอดีในเวลาเที่ยงทำให้คนแทบจะไม่มีเงา ดังนั้นเขาจึงเอาไม้ปักลงบนดินที่อเล็กซานเดรียเพื่อทดลองว่าในอเล็กซานเดรียนั้น ตอนเที่ยงพระอาทิตย์จะตรงกับบนหัวเช่นกันไหม     ผลที่ออกมาคือไม่ เพราะในเวลาเที่ยงเอราทอสเทนีสก็พบว่าเงาของไม้นั้นเอียงไปเป็นมุมราวๆ 7.2 องศา ซึ่งหากดูจากระยะห่างของเมืองซะฮิอีนิ และอเล็กซานเดรียแล้ว หากโลกแบนจริงๆ ตอนเที่ยงที่เมืองอเล็กซานเดรียพระอาทิตย์ก็น่าจะตรงกับหัวพอดีเช่นเดียวกับเมืองซะฮิอีนิ ด้วยเหตุนี้เอราทอสเทนีสจึงได้มั่นใจว่าจริงๆ แล้วโลกของเรามีผิวที่โค้งไม่ได้แบน ดังนั้นเมื่อเขาทราบว่าโลกโค้งเป็นมุม 7.2 องศาจากเมืองซะฮิอีนิ ไปเมืองอเล็กซานเดรีย และทั้งสองห่างกันราวๆ 800 กิโลเมตร เอราทอสเทนีสก็เริ่มทำการวัดขนาดเส้นรอบวงของโลกออกมาทันที  …

  • นักวิทย์ไขปริศนาฟอสซิล Stylophorans แท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์ประเภทปลาดาว

    นักวิทย์ไขปริศนาฟอสซิล Stylophorans แท้จริงแล้วมันเป็นสัตว์ประเภทปลาดาว

    ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1850 มนุษย์ได้พบกับ ฟอสซิลของสัตว์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน และกลายเป็นที่ถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีตลอดช่วงเวลา 150 ปีที่ผ่านมา     มันเป็นฟอสซิลที่ถูกเรียกว่า Stylophorans สิ่งมีชีวิตรูปร่างแบน ที่มีอวัยวะคล้ายมือยาวๆ ซึ่งมีการค้นพบในหลากหลายพื้นที่ทั่วทั้งโลก และที่ผ่านมาเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มันเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ในตระกูลไหนกันแน่ แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติในฝรั่งเศส กลับพบว่าหนึ่งในฟอสซิลของ Stylophorans จำนวนมากที่โลกเคยพบนั้น ชิ้นที่มีการค้นพบในเขตทะเลทรายซาฮาร่าของโมร็อกโก มันยังมีเนื้อเยื่อบางส่วนติดอยู่ด้วย     โดยนี่เป็นหนึ่งในฟอสซิล Stylophorans จำนวน 450 ชิ้นที่มีการค้นพบในการขุดค้นในครั้งนั้น และมีอายุเก่าแก่ถึง 478 ล้านปีก่อน ซึ่งเมื่อนำไปตรวจสอบเนื้อเยื่อแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเจ้าสิ่งที่เราสงสัยกันมานานนี้ แท้จริงแล้วเป็นสัตว์จำพวก เม่นทะเล ปลาดาว และปลิงทะเล     ตั้งแต่ในอดีตเราคาดกันว่า Stylophorans น่าจะมีรูปร่างแบ่งเป็นสองส่วนคือลำตัวและรยางค์ ถึงอย่างนั้นจากการที่เรามีหลักฐานเพียงแค่กระดูกของพวกมัน รูปร่างของเจ้าสัตว์ตัวนี้ จึงมีลักษณะโดยรวมที่ต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย แต่จากการที่ในปัจจุบันมีการพบเนื้อเยื่อของ Stylophorans แล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงกล้าที่จะออกมาบอกว่า Stylophorans น่าจะมีรูปร่างแบนๆ แต่มีหาง และใช้ระยางในกวาดอาหารเข้ามากิน และเคลื่อนที่ในลักษณะคล้ายปลาดาว ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักบรรพชีวินวิทยา Georges Ubaghs เคยกล่าวไว้ในปี 1960 นั่นเอง…

  • การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ เหตุสังหารชาวโปแลนด์ที่โซเวียตโทษว่าเป็นความผิดของนาซี

    การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ เหตุสังหารชาวโปแลนด์ที่โซเวียตโทษว่าเป็นความผิดของนาซี

    เคยได้ยินเรื่องการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญ (Katyn Massacre) กันไหม นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวโปแลนด์ครั้งใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ผิดกับการสังหารหมู่อื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน การสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั้นเป็นฝีมือของกองทัพโซเวียตไม่ใช่นาซี     เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 1940 หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองยังเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน ในเวลานั้นโซเวียตกับนาซีได้ร่วมมือกันบุกโปแลนด์ และแบ่งกันปกครองโปแลนด์คนละส่วนภายใต้สัญญาที่ทำมาตั้งแต่ช่วงก่อนสงคราม โดยหลังจากที่การบุกยึดโปแลนด์สำเร็จลงได้ด้วยดี ทางโซเวียตก็เริ่มมีการขนประชาชนส่วนหนึ่งของโปแลนด์ไปยังแถบชนบทเพื่อนำไปใช้แรงงานต่อไป     อย่างไรก็ตามการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั้นเกิดขึ้นกันประชาชนอีกส่วนของโปแลนด์ต่างหาก โดยประชาชนส่วนนี้ คือเหล่าคนที่เป็นนายทหาร ตำรวจ เจ้าของที่ดิน เจ้าของโรงงาน ทนายความ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และอาจเป็นอันตรายต่อไปในอนาคต การสังหารหมู่ในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากคำสั่งที่มีการลงนามโดยโจเซฟ สตาลินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 1940 และส่งผลให้ชาวโปแลนด์ราวๆ 21,850 คนต้องถูกสังหารด้วยการยิงเป้า โดยในบรรดาตัวเลขเหล่านี้ราวๆ 11,000 คน เป็นพลเรือนที่ไม่ใช่ทหาร     จากหลักฐานที่มีการบันทึกไว้ คนเหล่านี้จะถูกนำตัวไปยังสถานที่สามแห่งที่มีการเตรียมการไว้ในสภาพถูกมัดมือไขว้หลัง ก่อนที่จะถูกยิงเข้าที่หลังศีรษะ และถูกลากศพไปทิ้งต่อไป แทบไม่มีใครทราบว่าโซเวียตได้ทำอะไรกับชาวโปแลนด์ไปบ้าง จนกระทั่ง เมื่อทางนาซีพบว่ามีศพฝังอยู่ที่ป่ากาตึญถึง 22,000 ร่างในปี 1943 (และเป็นที่มาของชื่อการสังหารหมู่ที่ป่ากาตึญนั่นเอง)   การตรวจสอบป่ากาตึญในปี 1943   แน่นอนว่าเมื่อเรื่องนี้โด่งดังออกไป ทางรัฐบาลของโปแลนด์ก็รู้สึกไม่พอใจทางโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากในเวลานั้นทางโซเวียตกำลังเป็นกองกำลังสำคัญในการรบกับนาซีเยอรมัน ทางฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจ (ทำเป็น)…

  • ทฤษฎีใหม่อ้าง “จักรพรรดิเนโร” อาจไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่เราคิด และแค่โดนใส่ร้าย

    ทฤษฎีใหม่อ้าง “จักรพรรดิเนโร” อาจไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่เราคิด และแค่โดนใส่ร้าย

    เมื่อพูดถึง “จักรพรรดิเนโร” แห่งอาณาจักรโรมันโบราณ เชื่อกันว่าหลายๆ คนคงจะต้องเคยได้ยินวีรกรรมสุดโหดอย่างการเผากรุงโรมของเขากันมาบ้าง แถมว่ากันตรงๆ ชายคนนี้ยังมีบันทึกว่าฆ่าแม่ตัวเอง ฆ่าน้องชาย แถมยังโหดร้ายจนทหารต้องลุกฮือขึ้นต่อต้านอีก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเรื่องราวเลวร้ายของจักรพรรดิเนโรมันดูจะมีแต่ด้านแย่ๆ มากเกินไปนิดไหม ทำไมคนที่มีตำแหน่งสูงเป็นถึงจักรพรรดิกลับมีแต่เรื่องราวที่ไม่ดีบันทึกไว้เต็มไปหมดกัน     เพราะจากการลองมองต่างมุมและตรวจสอบเรื่องราวของจักรพรรดิคนนี้อีกครั้ง นักโบราณคดีก็พบกับความเป็นไปได้ที่ว่าจริงๆ แล้วจักรพรรดิเนโรอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด และเพียงแค่โดนใส่ร้ายก็เท่านั้น จากข้อมูลที่สื่อต่างประเทศนำมาเปิดเผย จักรพรรดิเนโรนั้นขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมันด้วยวัยเพียง 17 ปี แถมเจ้าตัวยังสนใจในศิลปะมากกว่าการปกครอง ทำให้แปลกมากที่เขาจะมีวีรกรรมที่ดูโหดร้ายบ้าอำนาจอย่างที่บันทึกไว้ทุกอย่าง (แม้ว่าเรื่องใช้เงินเป็นบ้าเป็นหลังน่าจะเป็นเรื่องจริง)     อย่างบันทึกที่มีการบอกว่าเนโรใช้ยาพิษที่ “ไร้สีไร้กลิ่น” ที่รุนแรงมากๆ กับน้องชายจนเขาตายไปในทันที” ก็เป็นเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ เมื่อตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เพราะยาพิษในสมัยนั้นมักจะทำจากพืช และไม่รุนแรงพอที่จะสังหารคนในทันทีได้ หากผสมกับน้ำในระดับที่ไร้สีไร้กลิ่น เท่านั้นยังไม่พอเพราะเรื่องการเผากรุงโรมของเนโรเองก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าเขาเป็นคนทำจริงๆ แถมเดิมทีแล้วความคิดที่จะสร้างราชวังใหม่ของเนโร ก็ถูกชนชั้นสูงของโรมันมองว่าน่าอายและไร้สาระอยู่แล้วด้วย จึงเป็นไปได้ว่าการเผากรุงที่ว่านี้เป็นการใส่ร้ายล้วนๆ     ส่วนเรื่องที่เขาโหดร้ายจนทหารต้องลุกฮือขึ้นต่อต้านนั้นเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วจะมาจากการที่ในสมัยของเนโร ตัวจักรพรรดิแทบจะไม่ทำสงครามกับใครเลย ทำให้อำนาจของทหารลดลงจากที่เคย และทำให้ทางทหารไม่พอใจกันนั่นเอง น่าเสียดายที่แนวคิดด้านต้นนั้นไม่มีหลักฐานที่มายืนยันเท่าที่ควร ดังนั้นเรื่องที่ว่าเนโรถูกใส่ร้ายจึงยังเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเรากลับมีหลักฐานที่ว่าเนโรนั้นอาจจะเป็นที่รักของประชาชนกว่าที่เราคิดแทน นั่นเพราะที่เมืองปอมเปอีนักโบราณคดีได้มีการค้นพบจารึกที่วาดด้วยมือของคนในสมัยนั้นที่มีการสรรเสริญจักรพรรดิเนโรจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นบอกว่า “ไชโยกับการตัดสินใจของจักรพรรดิและจักรพรรดินี เมื่อทั้งสองท่านปลอดภัย พวกเราจะมีสุขไปตลอดกาล”  …

  • ชมแบบร่างตารางธาตุของ Dmitri Mendeleev ที่เปลี่ยนวงการวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

    ชมแบบร่างตารางธาตุของ Dmitri Mendeleev ที่เปลี่ยนวงการวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

    เพื่อนๆ ยังจำตารางธาตุที่เราท่องจำกันในวัยเด็กได้ไหม สำหรับหลายๆ คนแล้วตารางธาตุอาจจะเป็นสิ่งที่ได้ใช้งานอยู่เสมอๆ ในขณะที่หลายๆ คนอาจจะหวังให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายในวัยเด็ก แต่ก็ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตารางธาตุเป็นสิ่งที่พัฒนาตามการเวลามาอย่างยาวนานจริงๆ นั่นเพราะหากเพื่อนๆ ลองมองย้อนกลับไปดูตารางธาตุเมื่อปี 1869 แล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะบอกเลยว่าดีแล้วที่ตารางธาตุเปลี่ยนมาเป็นแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบัน     นี่คือกระดาษที่มีการบันทึกตารางธาตุ ซึ่งเขียนโดยศาสตราจารย์วิชาเคมีชาวเยอรมัน อย่าง Dmitri Mendeleev เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1869  ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวหนังสือล้วนๆ และดูได้ค่อนข้างยาก แต่ก็มีเค้าโครงของตารางธาตุที่เรารู้จักปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน Dmitri เรียกเจ้าสิ่งที่เห็นว่า “Periodic System” และอธิบายว่านี่เป็นการจัดเรียงธาตุทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักให้ออกมาในสภาพที่เข้าใจง่ายที่สุด     ระบบการจัดเรียงธาตุที่เห็นนี้ เกิดขึ้นจากการที่เขาเขียนคุณลักษณะต่างๆ ของธาตุ บนการ์ดแบบหนึ่งธาตุต่อหนึ่งใบ ก่อนที่จะพยายามเรียงการ์ดเหล่านั้นในรูปแบบที่เข้าท่าเข้าทางที่สุด คล้ายเกมเรียงไพ่อย่าง “Solitaire” ในที่สุดเขาก็พบว่าตารางของเขาจะเข้าท่าที่สุดหากเรียงจากบนลงล่างด้วยมวลของธาตุ และนำธาตุที่มี คุณลักษณะคล้ายกันเอาไว้ด้วยกันในแนวนอน จนกลายเป็นตารางธาตุอันแรกของโลกไป     แน่นอนว่าในเวลานั้นธาตุที่มนุษย์รู้จักยังมีเพียงแค่ 63 ธาตุเท่านั้น (จาก 118 ธาตุในปัจจุบัน) แต่ Dmitri ก็รู้สึกมั่นใจในการจัดเรียงธาตุของเขามาก จนเว้นช่องว่างให้ธาตุที่ยังไม่มีการค้นพบ และคาดเดาธาตุในอนาคตบางส่วนอย่าง แกลเลียม แคนแกน…

  • พบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906

    พบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาบนหมู่เกาะกาลาปาโกส หลังเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906

    หากเราพูดถึงสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตามปกติเราจะคิดว่าสัตว์ที่กล่าวถึงนั้นจะไม่สามารถหาได้บนโลกอีกต่อไปแล้ว และไม่ว่าจะทำเช่นไรสัตว์เหล่านี้ก็คงไม่อาจย้อนคืนมาได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามที่ผ่านๆ มามนุษย์เรากลับพบว่าในหลายๆ ครั้งการที่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งถูกระบุว่าสูญพันธุ์ไปนั้น บางครั้งอาจจะเกิดขึ้นเพียงเพราะมนุษย์หามันไม่เจอเฉยๆ ก็เป็นได้     อย่างเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเอง จู่ๆ เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาใน หมู่เกาะกาลาปาโกสแห่งประเทศเอกวาดอร์ ก็ได้ออกมาประกาศว่าเต่ายักษ์เฟอร์นาดินา (Chelonoidis phantasticus) ที่เราเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 1906 นั้น จริงๆ แล้วยังมีชีวิตอยู่บนเกาะเฟอร์นาดินาเสียอย่างนั้น โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของกาลาปาโกสได้พบกับเต่าตัวเมียตัวหนึ่งซึ่งเดินทางกลับมายังเกาะเพื่อผสมพันธุ์ตามสัญชาตญาณ     เท่านั้นยังไม่พอในบริเวณเกาะเอง เหล่านักวิจัยยังพบร่องรอยของเต่าตัวอื่นๆ ที่คาดกันว่ามาจากสายพันธุ์เดียวกันอีกด้วย ทำให้การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับเหล่านักอนุรักษ์เลยก็ว่าได้ ในอดีตเต่ายักษ์เฟอร์นาดินา ถูกสันนิษฐานกันว่าสูญพันธุ์ไปจากการระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะ ที่เกิดขึ้นบนเกาะอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ได้ทำลายความคิดที่ว่าเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อนได้เป็นอย่างดี     แถมการที่มันกลับมาผสมพันธุ์ยังทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเต่ายักษ์เฟอร์นาดินากลับมาอยู่ในธรรมชาติเป็นจำนวนมากอีกครั้งด้วย ในปัจจุบันทางทีมงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการย้ายเต่าตัวเมียที่ถูกพบไปไว้ยังเกาะซานตาครูซเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อที่หากว่าเจ้าหน้าที่สามารถพบเต่ายักษ์เฟอร์นาดินาตัวผู้ พวกมันจะได้มีการสืบพันธุ์อย่างปลอดภัยต่อไป     และหากความพยายามในการสืบพันธุ์ครั้งนี้จบลงด้วยดี ทางทีมงานก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เต่าเหล่านี้หลุดพ้นจากสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์เป็นอย่างมากต่อไป   ที่มา allthatsinteresting

  • พบโครงกระดูกชาวยิวซึ่งถูกนาซีสังหารร่วม 1,000 ร่าง ในระหว่างการพัฒนาเมืองที่โปแลนด์

    พบโครงกระดูกชาวยิวซึ่งถูกนาซีสังหารร่วม 1,000 ร่าง ในระหว่างการพัฒนาเมืองที่โปแลนด์

    เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานการค้นพบโครงกระดูกจำนวนมากถูกฝังเอาไว้ในเมืองเบรสต์ เมืองทางขอบชายแดนของประเทศโปแลนด์     โครงกระดูกเหล่านี้ถูกค้นพบในระหว่างการดำเนินงานแผนการพัฒนาเมืองของทางรัฐบาล และคาดว่าเป็นของชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถูกสังหารโดยฝั่งนาซีในช่วงปี 1941-1942 ที่เยอรมนีปกครองโปแลนด์ จากคำบอกเล่าของทางเจ้าหน้าที่ พวกเขาพบสถานที่ซึ่งคาดว่าเป็นหลุมฝังศพในเมืองถึงสองแห่งในเวลาใกล้เคียงกัน โดยในปัจจุบันมีโครงกระดูกราวๆ 600 ร่างถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพเพียงหลุมเดียว ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ในพื้นที่แห่งนี้จะมีโครงกระดูกอยู่กว่า 1,000 ร่าง     ในบรรดากระดูกที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วนั้น มีทั้งกระดูกของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ซึ่งเสียชีวิตจากบาดแผลถูกยิง  แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของการสังหารหมู่ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เมืองเบรสต์ในสมัยก่อนนั้นเคยเป็นพื้นที่สลัมของชาวยิว (Ghetto) และมีชาวยิวอาศัยอยู่รวมแล้วถึง 28,000 คนในช่วงปี 1941-1942 ก่อนที่ชาวยิวกว่า 17,000 คนจะถูกยิงทิ้งไปในเดือนตุลาคมปี 1942     บันทึกทางสถิติบอกว่ามีคนเพียง 19 คนจากทั้งหมด 28,000 คนเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตไปจากสลัมแห่งนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเมืองแห่งนี้จะมีโครงกระดูกของชาวยิวอยู่ฝังเอาไว้เป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ การค้นพบในครั้งนี้ทำให้มีประชาชนในเมืองจำนวนหนึ่ง (492 คนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์)…

  • นักวิทย์ยืนยัน โครงกระดูกนักรบไวกิ้งที่สวีเดน เป็นผู้หญิงจริงๆ หลังตรวจ DNA อีกครั้ง

    นักวิทย์ยืนยัน โครงกระดูกนักรบไวกิ้งที่สวีเดน เป็นผู้หญิงจริงๆ หลังตรวจ DNA อีกครั้ง

    ในปี 1878 ทีมนักโบราณในสมัยก่อนได้ทำการค้นพบสุสานแห่งหนึ่งบนเกาะ Björkö ในประเทศสวีเดน ข้างในนั้นมีโครงกระดูกของนักรบไวกิ้งรายหนึ่งหลับใหลอยู่อย่างสงบพร้อมๆ กับกล่องอาวุธ เสื้อผ้าสุดหรู และม้าอีก 2 ตัว ในเวลานั้นคนส่วนใหญ่เชื่อว่าร่างของไวกิ้งที่พบน่าจะเป็นของบุรุษยอดนักรบตามลักษณะภาพลักษณ์ของสังคมสมัยก่อนที่บุรุษมักจะเป็นใหญ่ ดังนั้นเมื่อมีงานวิจัยที่บอกว่าโครงกระดูกที่พบนี้แท้จริงแล้วเป็นของผู้หญิงออกมาในปี 2017 เหล่านักวิจัยจึงถูกตั้งทำถามเป็นอย่างมากจากคนทั่วไป     อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ก็ได้มีงานวิจัยใหม่ที่ออกมายืนยันว่าโครงกระดูกร่างนี้เป็นของผู้หญิงจริงๆ ออกมาตีพิมพ์ในนิตยสาร Antiquity จนได้ โดยในงานวิจัยนี้หลักๆ แล้วเป็นการยืนยันผลการตรวจ DNA จากเมื่อปี 2017 และตอบคำถามส่วนใหญ่ที่มีการถามกันมาตั้งแต่ในตอนนั้น     แน่นอนว่าไม่ว่าจะมีการตรวจสอบ DNA อีกกี่ครั้งผลที่ออกมานั้นก็ออกมาว่าร่างของนักรบไวกิ้งร่างนี้มีโครโมโซม XX ซึ่งเป็นลักษณะของผู้หญิงจริงๆ และเป็นศพเพียงร่างเดียวที่มีการพบในสุสานแห่งนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการตรวจสอบกระดูกผิดอย่างที่หลายๆ คนกังวล เธอนั้นมีอายุราวๆ 30-40 ปีในตอนที่เสียชีวิต และมีบันทึกไว้ว่าเก่งมากจนไม่เคยแพ้ใครเลยจนกระทั่งถึงตอนที่เสียชีวิต ซึ่งมีหลักฐานทางกายภาพอยู่ที่กระดูกของเธอไม่มีร่องรอยบาดแผลรุนแรงเลย แถมดาบที่ฝังไว้กับเธอก็มีร่องรอยการต่อสู้มามากมายด้วย     อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั่วๆ ไป เรื่องราวของโครงกระดูกร่างนี้บางส่วนก็ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างเรื่องที่ว่าดาบที่ถูกฝังไว้กับเธอเป็นของเธอจริงๆ ไหม…

  • กะลาสีจากภาพการจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี

    กะลาสีจากภาพการจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี

    เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนคงจะเคยเห็นภาพ การจูบในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่นหรือ “V-J Day kiss” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นภาพที่โด่งดังและมีการพูดถึงเป็นอย่างมากภาพหนึ่งของช่วงสงครามโลกเลยก็ว่าได้ (สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็นภาพนี้ สามารถเข้าไปอ่านเรื่องราวของภาพดังกล่าวได้ที่นี่ ย้อนเบื้องหลังภาพ “การจูบ” ในวันฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่น อาจจะไม่โรแมนติกอย่างที่คิด… )     ตั้งแต่ที่ภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกมาในสังคม ก็มีคนจำนวนมากที่ออกมาอ้างตัวเป็นคู่ชายหญิงในภาพ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน พวกเราเชื่อกันว่าคนในภาพนั้นคือกะลาสี George Mendonsa และนางพยาบาล Greta Friedman   จริงอยู่ว่า Greta Friedman นั้นเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยวัย 92 ปีตั้งแต่เมื่อปี 2016 แล้ว… แต่สำหรับ George Mendonsa เขานั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีแถมยังแข็งแรงพอที่จะบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้โลกได้รับรู้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นั่นเพราะ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ได้มีการออกมารายงานข่าวว่านาย George Mendonsa ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 95 ปี  …

  • พบนกคาร์ดินัลสองสีที่สหรัฐ มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นตัวเมีย และอีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวผู้

    พบนกคาร์ดินัลสองสีที่สหรัฐ มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นตัวเมีย และอีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวผู้

    นกคาร์ดินัลแดง เป็นนกที่พบเห็นได้ทั่วไปทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา มีจุดเด่นที่สีแดงสด และขนบนหัวตั้ง ตามปกติจะแยกเพศได้ง่ายจากการที่ตัวผู้มีสีแดงสด ในขณะที่ตัวเมียจะมีสีออกน้ำตาล อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่เมืองอิรี รัฐเพนซิลเวเนีย หญิงสาวคนหนึ่งกลับพบกันนกคาร์ดินัลสุดแปลก ที่มีสีตัวซีกขวาแดง และตัวซีกซ้ายสีน้ำตาลเสียอย่างนั้น     หญิงสาวคนดังกล่าวนี้มีชื่อว่า Shirley Caldwell ผู้ซึ่งบังเอิญถ่ายภาพนกตัวนี้ได้ในช่วงเช้าของฤดูหนาว เพียงแต่ในเวลานั้นเธอไม่ได้ทราบเลยว่านกตัวนี้มีความพิเศษมากกว่าแค่ที่สีของมัน นั่นเพราะจากคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญด้านนกวิทยาเจ้านกตัวนี้ไม่แค่มีขนสองสีแบ่งครึ่งตัวอย่างน่าประหลาดเท่านั้น แต่มันยังเป็นนกในกลุ่มที่เรียกว่า “Bilateral Gynandromorphs” หรือนกที่มีเพศครึ่งหนึ่งเป็นตัวเมีย ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นตัวผู้นั่นเอง     ที่เป็นเช่นนี้เพราะโครโมโซมของนกนั้นแตกต่างไปจากมนุษย์ เพราะแทนที่จะเป็นโครโมโซม X กับ Y นกนั้นจะใช้โครโมโซม W กับ Z หากนกมีโครโมโซม ZZ นกจะเป็นตัวผู้ และหากโครโมโซม ZW นกจะเป็นตัวเมีย นั่นหมายความว่าสำหรับนกแล้ว ไข่จากฝั่งเพศเมียที่มีโครโมโซม ZW จะเป็นตัวกำหนดเพศของลูกนก ซึ่งต่างไปจากมนุษย์ที่ใช้สเปิร์มกำหนดเพศนั่นเอง     และกลุ่มอาการ Bilateral Gynandromorphs ก็จะเกิดขึ้นจากการที่ไข่ของนกบังเอิญมีโครโมโซม W กับ Z อยู่ทั้งคู่ และทางสเปิร์มเองก็มีโครโมโซม…

  • ชม 21 ภาพสุดงามจาก สมุดร่างภาพที่นักบวชจากศตวรรษที่ 15 ใช้ฝึกฝนก่อนลงมือจริง

    ชม 21 ภาพสุดงามจาก สมุดร่างภาพที่นักบวชจากศตวรรษที่ 15 ใช้ฝึกฝนก่อนลงมือจริง

    สำหรับคนที่ได้มีโอกาสศึกษาหนังสือเก่าๆ ของต่างประเทศคงจะเคยเห็นกันมาบ้างว่าหนังสือในยุคกลางนั้นบ่อยครั้งจะไม่ได้มีอยู่เพียงตัวหนังสือ แต่มักจะมีภาพสีที่งดงามถูกวาดเอาไว้ด้วย แน่นอนว่าภาพเหล่านี้นั้นในอดีตต้องมีการวาดลงไปในหนังสือทีละภาพทีละภาพ กว่าที่จะสำเร็จออกมาเป็นหนังสือแต่ละเล่ม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ก่อนจะมีการวาดภาพเหล่านั้นลงบนหนังสือจริงๆ ผู้วาดก็ต้องมีการฝึกฝนวาดภาพมาก่อนมากมายหลายครั้งในสมุดร่างมาก่อน     แน่นอนว่าสมุดภาพเหล่านั้นก็ย่อมต้องมีบางส่วนที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน และหนึ่งในนั้นเองก็คือสมุดภาพจากยุคกลางที่ทางนิตยสารออนไลน์ The Public Domain Review ได้นำมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าไปชมกัน โดยนี่เป็นสมุดร่างรูปภาพที่ถูกวาดเอาไว้ในปี 1494 โดย Stephan Schriber นักบวชจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมนี เพื่อเก็บรวบรวมผลงานการวาดของเขาเอาไว้ ว่าแต่ภาพเหล่านั้นจะงดงามแค่ไหนกันนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพนกหลากหลายรูปแบบ   ภาพนกที่บางส่วนก็ไม่ถูกลงสี   เหล่านกที่งดงามกับสัตว์ประหลาดที่น่าเกรงขาม .   การออกแบบตัวหนังสือที่มักใช้ขึ้นต้นตำนาน   การออกแบบตัวอักษรแรกของบทความในอีกรูปแบบ .   อักษรศิลป์แบบต่างๆ   ภาพประกอบที่เพิ่งเริ่มลงสีได้ไม่นาน   ภาพที่ยังไม่ได้ลงสีจุดสำคัญ .   กรอบรูปที่ลงสีไปเพียงสีทองเท่านั้น   คำขึ้นต้นที่เห็นกันบ่อยๆ ในหน้าขั้นบทหนังสือ   ภาพดอกไม้และดาวหกแฉก   พรรณไม้ในลักษณะต่างๆ  …

  • การศึกษาใหม่อ้าง “พระเจ้าเฮนรีที่ 6” เรียกมหาดเล็กมาสอนการมีเซ็กซ์กับราชินีถึงในห้องนอน

    การศึกษาใหม่อ้าง “พระเจ้าเฮนรีที่ 6” เรียกมหาดเล็กมาสอนการมีเซ็กซ์กับราชินีถึงในห้องนอน

    ตามปกติแล้วเวลาที่เราเล่นกีฬาอะไรไม่เก่ง เราก็มักจะหาครูฝึกมาช่วยสอนให้เราเล่นกีฬาเหล่านั้นได้ดีขึ้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีผลการศึกษาใหม่ล่าสุดออกมาบอกว่าในสมัยก่อน พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ เคยมีการเรียกครูฝึก มาช่วยให้ตัวเองเล่นกีฬาในร่มก้มแล้วแทงได้ดีขึ้นด้วย ต้นตอของการหาครูฝึกสุดแปลกในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ พระเจ้าเฮนรีที่ 6 และราชินีมาร์กาเรตแห่งอ็องฌู มีปัญหาเกี่ยวกับการผลิตทายาทมาเป็นเวลายาวนานกว่า 8 ปี   พระเจ้าเฮนรีที่ 6 และราชินีมาร์กาเรตแห่งอ็องฌู   ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ซึ่งเป็นหนุ่มพรหมจรรย์มาจนอายุ 23 ไม่สบายใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าก็เป็นได้ ดังนั้นเขาและราชินีมาร์กาเรตจึงได้ตัดสินใจที่จะเรียกคนสนิทเข้าไปช่วยฝึกสอนการผลิตลูกแบบถึงลูกถึงคนในระหว่างปฏิบัติภารกิจเลย อ้างอิงจากในหนังสือ “The Ryalle Boke” (แปลตรงๆ ว่าหนังสือหลวง) ที่มีการบันทึกพิธีการในราชวังเอาไว้ มีการระบุไว้ว่าเมื่อกษัตริย์ขึ้นเตียงมหาดเล็กและตุลาการ ควรจะติดตามไปด้วย และเมื่อราชินีจะขึ้นเตียง สุภาพสตรีสองนางและคนเฝ้าประตูก็ควรจะตามมาเช่นกัน   ภาพของพระเจ้าเฮนรีที่ 6   ในหนังสือมีการอ้างถึงพยานในเหตุการณ์ที่บอกว่า ในระหว่างที่กษัตริย์และราชินีอยู่บนเตียงด้วยกัน มหาดเล็กทั้งสองก็จะคอยอยู่ในห้องนั้นด้วย และไม่ได้มีการระบุได้ว่าทั้งสองจะออกจากห้องไปเมื่อไหร่ Lauren Johnson หนึ่งในทีมนักโบราณคดีที่ร่วมการวิจัยในครั้งนี้บอกว่า เอาเข้าจริงๆ ในอดีตประเทศแถบยุโรปจะมีประเพณีที่ให้แขกพาตัวคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานเข้าไปส่งถึงเตียง แต่ส่วนมากแล้วพวกเขาจะไม่ได้อยู่เฝ้าในระหว่างปฏิบัติภารกิจสักเท่าไหร่ และการแอบดูห้องนอนของเหล่าราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตก็มักจะมีโทษด้วย     ถึงอย่างนั้นการที่มีคนเข้าไปส่งกษัตริย์และราชินีหลังจากแต่งงานแล้วหลายปีก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกมาก ดังนั้นนักโบราณคดีจึงคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะเข้าไปในห้องนอนเพื่อเป็นครูฝึกการมีเพศสัมพันธ์ให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 นั่นเอง การขาดความสามารถในการมีบุตรนั้นนับเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาเป็นอย่างมากในราชวงศ์ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน…

  • ย้อนรอย “บาบา ยากา” หญิงชราขี่ครกบิน ที่เป็นฝันร้ายของเด็กๆ ของชาวสลาวิก

    ย้อนรอย “บาบา ยากา” หญิงชราขี่ครกบิน ที่เป็นฝันร้ายของเด็กๆ ของชาวสลาวิก

    เมื่อพูดถึงเรื่องราวของ “บาบา ยากา” เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่เป็นคอหนังโรงคงจะนึกถึงฉายาของ “จอห์น วิค” ที่มีการพูดถึงโดยตัวร้ายในหนังภาคแรกขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรกๆ ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า เรื่องราวของบาบา ยากานั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บาบา ยากา เป็นเรื่องเล่าของแม่มดในกลุ่มประเทศแถบสลาวิก อย่างรัสเซีย หรือบัลแกเรีย มีลักษณะเด่นที่รู้จักกันในฐานะหญิงชรารูปร่างผอม มีฟันเหล็ก จมูกยาวมาก และเดินทางด้วยการขี่ครกบินได้     เชื่อกันว่าชื่อของบาบา ยากานั้นมาจากคำว่า “บาบา” ที่แปลว่าหญิงชรา หรือคุณย่าคุณยาย ผสมกับคำว่า “ยากา” ที่แปลได้ทั้งชั่วร้าย และงู ดังนั้นหากจะแปลตรงๆ บาบา ยากาก็จะหมายถึงคุณยายงู หรือคุณยายผู้ชั่วร้ายนั่นเอง โดยมากแล้วเรื่องเล่าของบาบา ยากาจะบอกว่า เธอคือหญิงชราที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือกระท่อมกลางป่ากับพี่น้อง 2-3 คน (ทุกคนคือบาบา ยากา) บ้างก็ว่าเพื่อปกป้องน้ำพุแห่งชีวิต บ้างก็ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน     พวกเธอมีทั้งมีเรื่องเล่าที่บอกว่าพวกเธอเป็นคนดี และเรื่องเล่าที่บอกว่าเธอเป็นตัวละครที่ชั่วร้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็พวกเธอไม่ค่อยทำร้ายใครก่อนโดยที่ไม่มีเหตุผล เว้นก็เพียงแต่คนที่เป็นเหยื่อของเธอก็เท่านั้น ในเรื่องราวที่เธอเป็นคนดีบาบา ยากามักรับหน้าที่เป็นตัวละครที่มอบภารกิจให้ตัวเอกทำอะไรบางอย่าง และจะให้รางวัลพวกเขาหากภารกิจเหล่านั้นจบลงด้วยดี (ในนิทานบางเรื่องบอกว่าถ้าทำพลาดจะถูกจับกิน)  …

  • รูป “ลูกอัณฑะ” แมลงวันผลไม้กลายเป็นที่กล่าวถึง เนื่องจากเหมือนกลุ่มดาวในอวกาศ

    รูป “ลูกอัณฑะ” แมลงวันผลไม้กลายเป็นที่กล่าวถึง เนื่องจากเหมือนกลุ่มดาวในอวกาศ

    เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในทวิตเตอร์ของ Ben Walsh นักชีววิทยา นักศึกษาปริญญาเอก แห่งภาควิชาวิวัฒนาการ นิเวศวิทยา และพฤติกรรมสิ่งมีชีวิต ของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษได้ทำการโพสต์รูปภาพรูปหนึ่งและกลายเป็นที่กล่าวถึงกันในหมู่ผู้พบเห็นบนโลกอินเตอร์เน็ตไป     โดยนี่เป็นภาพที่หากดูเผินๆ จะคิดว่าเป็นภาพสีน้ำสวยๆ หรือว่ากลุ่มดาวในอวกาศได้ไม่ยาก แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพ “ลูกอัณฑะ” ของแมลงวันผลไม้หรือ “Drosophila melanogaster” ต่างหาก สิ่งที่เรากำลังดูอยู่นี้เกิดจากการที่คุณ Ben Walsh ใช้สีเรืองแสงกับแมลงวันผลไม้ที่ถูกชำแหละ เพื่อตรวจสอบอวัยวะภายใน และถูกถ่ายภาพเก็บไว้ด้วยการใช้มือถือส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกที     เขาอธิบายว่าส่วนสีเหลืองที่เราเป็นส่วนผนังเนื้อเยื่อของลูกอัณฑะ ส่วนเมฆสีฟ้าที่เราเห็นมาจากน้ำอสุจิ ซึ่งหากสังเกตดีๆ เราจะสามารถเห็นส่วนหัวของตัวอสุจิจำนวนมากจากภายในภาพได้เลย เมื่อนำลูกอัณฑะแต่ละลูกมายืดออก มันจะมีขนาดถึง 2 มิลลิเมตร ซึ่งแม้ว่าจะดูเล็ก แต่ถ้าเทียบกับขนาดของแมลงวันผลไม้เองแล้ว ลูกอัณฑะเหล่านี้ก็มีขนาดเท่าๆ กันความยาวของร่างกายมันเองเลย เท่านั้นยังไม่พอเพราะอสุจิ ของแมลงวันผลไม้นั้น ยังนับว่ามีความยาวมากที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์รู้จักเลยด้วย แม้ว่าในปัจจุบันเราจะยังไม่ทราบว่าทำไมมันถึงต้องมีอสุจิตัวยาวขนาดนั้นก็ตาม     “ไม่แน่นะว่าจริงๆ แล้วจักรวาลของพวกเราอาจจะอยู่ในลูกอัณฑะของแมลงวันต่างมิติก็ได้นะ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์ Alex Grimaudo…

  • ย้อนรอยวัฒนธรรมการทำลายสิ่งของก่อนฝัง เพื่อให้ของสิ่งนั้น “ตายไป” กับผู้เป็นเจ้าของ

    ย้อนรอยวัฒนธรรมการทำลายสิ่งของก่อนฝัง เพื่อให้ของสิ่งนั้น “ตายไป” กับผู้เป็นเจ้าของ

    ตั้งแต่ในอดีตมาเมื่อมีการจัดงานศพขึ้น คนเราก็มักจะใส่สิ่งของที่อยากให้คนที่เรารักนำไปใช้ในโลกหลังความตายไปด้วย และในบางวัฒนธรรมเองของเหล่านั้นก็มักจะถูกทำให้อยู่ในสภาพที่ “ตาย” คล้ายกับเจ้าของด้วย เรื่องราวแบบนี้โดยมากแล้วจะออกมาให้เห็นบ่อยๆ ในรูปแบบของแจกันหรือไหที่ถูกทุบทำลาย แต่ในบางครั้งเราก็อาจจะได้เห็นของอย่างดาบของนักรบถูกทำลายเพื่อนำไปฝังกับเจ้าของด้วยเช่นกัน     ว่ากันว่าการทำลายสิ่งของก่อนทำไปฝังน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยยุคสัมฤทธิ์ แต่หากจะพูดถึงวัฒนธรรมที่ทำลายดาบทิ้งก่อนนำไปฝังที่มีหลักฐานการค้นพบมากที่สุด เราก็คงต้องพูดถึงวัฒนธรรมแถบทะเลอีเจียนและเซลติกยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นเพราะในพื้นที่แถบนี้มักจะมีการศพหลุมศพเก่าแก่จากยุคเหล็กเมื่อ 1100-700 ปีก่อนคริสตกาล ที่มีดาบซึ่งถูกทำให้หักเป็นสองท่อน หรือบิดงอจนโค้งเป็นขด (แล้วแต่คุณภาพดาบ) ฝังเอาไว้พร้อมๆ กับมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของอยู่บ่อยๆ     เอาเข้าจริงๆ ไม่มีการบันทึกเอาไว้สักเท่าไหร่ว่าทำไมอาวุธหรือสิ่งของเหล่านี้จึงถูกทำลายก่อนที่จะนำไปฝัง ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ของเหล่านี้จะถูกทำลายเพียงเพื่อป้องกันคนมาขุดของในสุสานออกไปใช้ หรือไม่ก็ทำไปเพียงเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ยัดลงหลุมศพได้ง่ายขึ้น แนวคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายเพื่อป้องกันการขโมยสุสานนับว่าเป็นทฤษฎีที่มีเหตุมีผลค่อนข้างมาก เพราะดาบในสมัยก่อนนับว่าเป็นของที่มีค่ามาก ซึ่งมักถูกใช้งานโดยผู้มีฐานะเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนจะลงทุนขุดมันขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อนำไปขายต่อไป แถมหากมองย้อนไปในช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ แถวๆ ประเทศไอร์แลนด์เองก็มักจะมีการทำลายเครื่องประดับจนคุณค่าของมันลดลงก่อนที่จะนำไปฝังเช่นกัน     ถึงอย่างนั้นก็ตามจากการที่คนสมัยก่อนมักจะมองว่าสิ่งของมีจิตวิญญาณ แถมยังตั้งชื่อให้ในบางครั้งก็ทำให้ทฤษฎีที่ว่าของเหล่านี้ถูก “ฆ่า” ตามเจ้าของไปได้รับความเชื่อถือมากกว่าทฤษฎีอื่นค่อนข้างมาก และน่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ที่คนเราจะทำลายของก่อนนำไปฝังกับผู้เสียชีวิต แต่ไม่ว่าแท้จริงแล้วคนสมัยก่อนจะมีเหตุผลอย่างไรในการทำลายข้าวของก่อนฝัง ประเพณีเหล่านี้ก็ช่วยแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี     ที่มา ancient-origins และ balkancelts

  • นักโบราณคดีพบโครงกระดูกที่ถูกแทงหลัง และฝังคว่ำหน้าในซิซิลี เชื่อเป็นของอาชญากร

    นักโบราณคดีพบโครงกระดูกที่ถูกแทงหลัง และฝังคว่ำหน้าในซิซิลี เชื่อเป็นของอาชญากร

    ย้อนกลับไปในช่วงยุคกลางของซิซิลี แคว้นปกครองตนเองแคว้นหนึ่งของอิตาลีในปัจจุบัน มีชายคนหนึ่งถูกสังหารด้วยการแทงเข้าที่ข้างหลังหลายครั้ง และฝังเอาไว้แบบคว่ำหน้าก่อนที่จะถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์ แต่แล้วหลายร้อยปีต่อมาหลังจากวันนั้น เหล่านักโบราณคดีก็ได้ขุดค้นโครงกระดูกของชายคนนี้กลับขึ้นมาให้โลกได้เห็นกันอีกครั้ง และมีการตีพิมพ์ลงในนิตยสาร International Journal of Osteoarchaeology เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา     จากหลักฐานที่มีการค้นพบนักโบราณคดีก็คาดว่าชายคนนี้น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11 และเสียชีวิตไปในขณะที่อายุได้ 30-40 ปี จากบาดแผลถูกแทงอย่างต่ำ 6 ครั้งที่ด้านขวาของกระดูกสันอกด้วยมีดสั้น และไม่มีบาดแผลอื่นๆ นอกจากนี้ Roberto Miccichè หนึ่งในทีมนักโบราณคดีบอกว่า หลักฐานเหล่านี้ทำให้พวกเขาเชื่อว่าชายคนดังกล่าวน่าจะถูกสังหารโดยไม่อาจตอบโต้ และผู้ลงมือเองก็ลงมืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ   แคว้นปกครองตนเองซิซิลี สถานที่ที่มีการพบโครงกระดูกในครั้งนี้   เมื่อเหล่านักโบราณคดีได้ทำการจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยระบบสามมิติ พวกเขาก็พบว่าผู้ตายน่าจะถูกสังหารในระหว่างถูกจับมัด และกำลังคุกเข่าอยู่ ทำให้การถูกสังหารของเขาน่าจะอยู่ในลักษณะการสำเร็จโทษ ส่วนท่าทางการฝังแบบคว่ำหน้าลงนั้น นักโบราณคดีให้ความเป็นไปได้ใหญ่ๆ อยู่สองแบบ คือนี่อาจจะเป็นการฝังศพตามความเชื่อเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ในทางโรมันโบราณ หรือไม่ก็เป็นการฝังศพเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ถูกฝังเป็นอาชญากร และหากมองว่าชายคนดังกล่าวถูกสังหารด้วยการประหารชีวิตแล้ว เหล่านักโบราณคดีก็ให้น้ำหนักไปทางที่ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นอาชญากรมาก่อน มากกว่าที่จะเป็นการฝังเพื่อป้องกันศพลุกกลับขึ้นมา   หากเป็นการฝังเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลุกกลับขึ้นมามีชีวิต บางครั้งศพจะถูกตัดขาทิ้งไปด้วย อย่างในภาพเป็นโครงกระดูกที่ถูกฝังไว้ที่นอร์แทมป์ตันเชอร์ ประเทศอังกฤษ   ในปัจจุบัน Miccichè และทีมงานได้กำลังทำการสืบค้นบันทึกโบราณเพื่อที่จะตามหาอาวุธที่น่าจะถูกใช้ในการสำเร็จโทษเจ้าของโครงกระดูกที่พบอยู่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาวุธที่ใช้ในการสังหารจะเป็นกุญแจไปสู่การไขปริศนาความตายอายุเกือบพันปีในครั้งนี้ต่อไป…

  • 20 รูปขำๆ แบบน่ารักๆ จากโปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยว ในช่วงศตวรรษที่ 20

    20 รูปขำๆ แบบน่ารักๆ จากโปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยว ในช่วงศตวรรษที่ 20

    เป็นเรื่องที่รู้กันว่าชีวิตคนเรานั้นไม่ควรขาดเสียงหัวเราะ ดังนั้นตั้งแต่ในอดีตมา หากมนุษย์เราได้มีโอกาสไปเที่ยว พวกเรามักจะเก็บภาพขำๆ เอาไว้มากมาย จนเผลอๆ มีเยอะกว่าภาพสำคัญทางประวัติศาสตร์เสียอีก ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำรูปขำๆ แบบน่ารักๆ ที่คนสมัยก่อนถ่าย ไม่ว่าจะเป็น โปสต์การ์ดที่ระลึกในระหว่างไปเที่ยวเล่น หรือถ่ายเอาฮาในโอกาสพิเศษ มาให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน แต่จะน่าสนใจแค่ไหนนั้นคงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากภาพ “บนเรือบิน Noll” ภาพถ่ายโปสต์การ์ดที่ระลึกของครอบครัว ที่ออกแนวการ์ตูนนิดๆ   “เรือกู้ชีพของแอตแลนติกซิตี” แน่นอนว่าเป็นภาพที่ระลึกจากการไปเยือนแอตแลนติกซิตี   ภาพครอบครัวที่ติดอยู่ในกระแสน้ำที่น้ำตกไนแองการา แน่นอนว่าเป็นการจัดฉาก   คุณพ่อบนเลือดำน้ำ F-6   พ่อหนุ่มที่พาสาวๆ ไปนั่งรถเล่น   คู่รักบนเครื่องบินเหนือแม่น้ำ นี่มันตัดต่อชัดๆ   บ้านนี้มีจระเข้เป็นสัตว์เลี้ยง   ครอบครัวบินได้ คนยุคนี้เข้าชอบถ่ายภาพหน้าตายกันเหรอ   สามหนุ่มผู้บินไปเหนือโคโลราโด   คล้ายๆ อันบนแต่เป็นที่พิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย   มาเป็นชาวดัตช์บนทางเดินริมทะเลที่แอตแลนติกซิตี้กันเถอะ   กินเหล้ากินเบียร์ขับเรือ ผิดกฎหมาย!!  …

  • ย้อนรอยบันทึกของ “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ในวันที่เขาต้องเสียภรรยาและมารดาไปพร้อมๆ กัน

    ย้อนรอยบันทึกของ “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ในวันที่เขาต้องเสียภรรยาและมารดาไปพร้อมๆ กัน

    สำหรับคนบางคนแล้วความรักมันก็เหมือนกับดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง มันช่างอบอุ่น สว่างสดใส และนำทางให้ชีวิตของคนที่เคยหลงทางอยู่ในเงามืด แต่ก็เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ต้องลับขอบฟ้าไปในยามเย็น ความรักของคนเรานั้นมันไม่ได้มั่นคงอยู่ได้เสมอไป และเราก็ไม่อาจจะรู้เลยว่าวันที่ต้องลาจากกันนั้น จะมาถึงเมื่อไหร่กันแน่ แต่สำหรับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐของอเมริกาอย่าง “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” แล้ว วันที่แสงสว่างในชีวิตของเขาหายไปนั้น คงจะไม่ใช่วันอื่นนอกจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1884 เพราะในวันนั้น คนที่เขารักที่สุดในชีวิตสองคนอย่าง ภรรยาและมารดาของเขา กลับต้องมาเสียชีวิตไปในเวลาที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวัน     เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นสะเทือนใจรูสเวลต์มากจนแม้แต่ในบันทึกประจำวันที่เขาเขียนทุกวัน ในวันนั้นกลับไม่มีสิ่งใดเขียนเอาไว้เลย นอกจากกากบาทและถ้อยคำสั้นๆ ว่า “แสงสว่างได้หายไปจากชีวิตผมแล้ว” ในวันนั้นรูสเวลต์ที่ยังคงเป็นเพียงสมาชิกสภาล่างของแมนฮัตตัน ได้รีบกลับมายังเมืองนิวยอร์ก หลังจากที่เขาได้รับโทรเลขเกี่ยวกับสุขภาพของมารดา แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านเขากลับต้องพบว่าไม่เพียงแค่มารดาของเขาเท่านั้นที่กำลังสุขภาพย่ำแย่จากไข้ไทฟอยด์ แต่ภรรยาของเขาเองก็กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไต (ที่ในสมัยนั้นไม่สามารถวินิจฉัยได้)   อลิซ ลี รูสเวลต์ (ซ้าย) ภรรยาของธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ มาทาร์ บัลลอค รูสเวลต์ (ขวา) ผู้เป็นมารดา   ในท้ายที่สุด มารดาของรูสเวลต์ก็เสียชีวิตไปในเวลา 03.00 นาฬิกา ของวันนั้น ด้วยอายุไม่ทันจะ 50 ปี ส่วนภรรยาผู้ซึ่งเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสาวเมื่อสองวันก่อนเอง…

  • 13 งานชิ้นแรกสุดแปลก ที่เหล่าผู้นำสหรัฐฯ เคยทำ ก่อนที่จะได้เป็นประธานาธิบดี

    13 งานชิ้นแรกสุดแปลก ที่เหล่าผู้นำสหรัฐฯ เคยทำ ก่อนที่จะได้เป็นประธานาธิบดี

    ว่ากันว่าคนเรานั้นจะจดจำงานที่ทำเป็นชิ้นแรกได้อย่างแม่นยำเสมอ แม้ว่าจะเป็นงานที่ชอบหรือไม่ก็ตาม และในหลายๆ ครั้งงานที่ทำเป็นครั้งแรกก็มักจะไม่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันเลย จริงอยู่ว่าเรื่องข้างต้นนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงสำหรับคนหลายคนกว่าที่เราคิด เพราะแม้แต่เหล่าประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เอง ก็ใช้ว่าจะเกิดมาเป็นประธานาธิบดีเลยเช่นกัน และสำหรับหลายๆ คนแล้ว เชื่อว่าตอนทำงานชิ้นแรก ก็คงไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะได้กลายเป็นผู้นำประเทศ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำเอาข้อมูลงานของเหล่าผู้นำทั้ง 13 คน ที่เคยมีงานสุดแปลกก่อนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ว่าแต่จะมีใครบาง และพวกเขาเคยทำมาก่อนนั้น คงต้องให้ไปติดตามกันได้เลยข้างล่างนี้   เริ่มกันจาก George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ในตอนที่อายุ 16 ปี เขาเคยเป็นผู้สำรวจรังวัดที่หุบเขาเชเนินโดอามาก่อน และทำงานเก็บเงินจนได้เป็นเจ้าของที่ดินในอีก 5 ปีต่อมา   John Adams ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ ในอดีตเขาเคยเป็นครูมาก่อน แต่ก็ไม่ชอบอาชีพนี้มากๆ จนมักให้เด็กเก่งๆ ในห้องสอนแทนตัวเองอยู่เสมอ   John F. Kennedy ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ เคยทำงานเป็นผู้ช่วยในฟาร์มปศุสัตว์ ในรัฐแอริโซนาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 19 ปี   Abraham Lincoln ประธานาธิบดีคนที่ 16…

  • ย้อนรอย Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาเก็บไว้ในบ้าน

    ย้อนรอย Anatoly Moskvin ชายผู้แอบขุดศพเด็ก 29 คนมาทำเป็นตุ๊กตาเก็บไว้ในบ้าน

    เคยได้ยินเรื่องราวของ Anatoly Moskvin กันมาก่อนไหม เขาคือนักข่าว นักโบราณคดี และนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย เจ้าของความสามารถในการพูดภาษาต่างประเทศได้มากมายถึง 13 ภาษา     แต่แม้ว่าจะมีดีกรีความสามารถมากมายเพียงไหน สิ่งที่ทำให้ Anatoly Moskvin โด่งดังขึ้นมากลับไม่ใช่ความสามารถของเขา แต่เป็นเหตุการณ์ที่เขาโดนจับในปี 2011 จากการที่เขานำร่างของหญิงสาว 29 คนมาทำเป็นมัมมี่เก็บไว้ในอะพาร์ตเมนต์ของตัวเองต่างหาก โดยจากการรายงานของตำรวจมัมมี่ของเด็กผู้หญิงที่พบในบ้านของ Moskvin นั้นมีอายุตั้งแต่ 3-25 ปี และอยู่ในสภาพที่ถูกตกแต่งดูแลอย่างดี จนแม้กระทั่งครอบครัวและคนใกล้ชิดของเขาหลายๆ คน คิดว่ามัมมี่เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเลยด้วยซ้ำ     จากคำบอกเล่าของ Moskvin เอง งานอดิเรกสุดแปลกของเขามีจุดเริ่มต้นขึ้นจากเหตุการณ์ในปี 1979 ซึ่งเขากำลังอายุได้เพียง 13 ปี โดยในเวลานั้นเขาได้ไปพบกับกลุ่มคนที่กำลังจัดพิธีศพของเด็กหญิงวัย 11 ปี และก็เป็นในตอนนั้นเองเขาก็ถูกบังคับให้จูบกับร่างไร้วิญญาณของเด็กในพิธี แต่แทนที่เหตุการณ์ในวันนั้นจะทำให้เขาหวาดกลัวศพ มันกลับทำให้ Moskvin หลงรักในร่างไร้วิญญาณของเด็กสาวแทน เขามักจะเดินทางไปเที่ยวเล่นตามสุสานตั้งแต่วันนั้นมา และเมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็เริ่มให้ประโยชน์จากการเป็นนักโบราณคดีในการแอบขุดศพมาเก็บไว้     ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา Moskvin ก็เริ่มสะสมศพจนเป็นคอลเลคชั่น จนทำให้คนในเมืองเริ่มสงสัยกันว่าศพที่ฝังไว้หายไปไหนในปี…

  • พบบันทึกโบราณระบุเรื่องแม่ชีที่แกล้งตาย เพื่อหนีไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์”

    พบบันทึกโบราณระบุเรื่องแม่ชีที่แกล้งตาย เพื่อหนีไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์”

    ในขณะที่เหล่านักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยยอร์ก กำลังทำการตรวจสอบ และแปลภาษาเอกสารโบราณที่เก็บเอาไว้ในมหาวิทยาลัย พวกเขาก็พบกับบันทึกของหัวหน้าบาทหลวงแห่งยอร์กจำนวน 16 เล่ม ที่มีการบันทึกเรื่องราวภายในศาสนจักรตั้งแต่ช่วงปี 1304-1405 เอาไว้     แน่นอนว่าบันทึกเหล่านี้นับเป็นหลักฐานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหล่านักโบราณคดีให้ความสนใจที่สุดในบันทึกที่พบนั้นกลับเป็นเรื่องราวของแม่ชีชื่อว่า Joan of Leeds นั่นแม่ชี Joan of Leeds ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14 คนนี้ เคยลงทุนแกล้งทำเป็นว่าตัวเองตาย เพื่อที่จะหนีออกจากศาสนจักร เพื่อไปไล่ตาม “ตัณหาทางกามารมณ์” ของเธอเอง     อ้างอิงจากที่ระบุไว้ในบันทึก แม่ชีคนนี้ได้นำ “ตัวแทน” ที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวเธอเอง ไปทิ้งไว้ใน “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ท่ามกลางศพจริงๆ ของคนในคณะนักบวช ก่อนที่จะแอบหนีออกไปจากที่พักโดยมีคนจำนวนหนึ่งค่อยให้ความช่วยเหลือ เพื่อแสวงหาความสุขทางเพศ ทีมนักโบราณคดีอธิบายว่า จากลักษณะการเลือกใช้คำในบันทึก ดูเหมือนว่าหัวหน้าบาทหลวงจะไม่พอใจในการกระทำของเธอและผองเพื่อนเป็นอย่างมาก โดยมีการบอกว่าตัวแม่ชีนั้นถูกล่อลวงโดย ความคิดที่เปี่ยมไปด้วยความอนาจาร และเพื่อนๆ ของเธอนั้นเป็นผู้ชั่วช้าที่กระทำการด้วยความมุ่งร้าย     พวกเขายังบอกอีกว่าในช่วงศตวรรษที่ 14 เด็กผู้หญิงบางส่วนมักจะถูกคาดหวังให้ไปเป็นแม่ชีในตอนที่อายุได้ราวๆ 14 ปี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีการบังคับอย่างเป็นทางการ แต่ในหลายๆ ครั้งหากผู้ปกครองเป็นคนเคร่งศาสนา เด็กๆ…

  • การทดลองใหม่เผย เราอาจค้นพบสสารประมาณ 33% ที่หายไปจากจักรวาล อยู่ในใยเอกภพ 

    การทดลองใหม่เผย เราอาจค้นพบสสารประมาณ 33% ที่หายไปจากจักรวาล อยู่ในใยเอกภพ 

    ในตอนที่นักวิทยาศาสตร์คำนวณสสารทั้งหมดที่มีอยู่ในอวกาศ พวกเขาพบว่าปริมาณที่ได้ออกมานั้นมันมากกว่าที่เราเคยคาดเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่าในจักรวาลยังมีสสารอีกมากที่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มนุษย์คาดไม่ถึง โดยหากให้คำนวณเป็นตัวเลขแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่ายังมีสสารอีกประมาณ 33% ของจักรวาล ที่มนุษย์ไม่รู้ว่าหายไปไหน หรือว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือไม่     แต่แล้วจากเทคโนโลยีระบบสแกนใหม่ล่าสุด ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าเราน่าจะพบกับสสาร 33% ที่หายไปจากจักรวาลแล้ว ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนว่าสสารที่หายไปนี้ ไม่ใช่ “สสารมืด” หรือ Dark matter อันเป็นสสารที่ลึกลับที่มองไม่เห็นแต่มีตัวตนอยู่ กลับกันสสารที่หายไปนี้เป็นเพียงสสารธรรมดาๆ เพียงแค่มนุษย์หามันไม่พบก็เท่านั้น นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ดาวเทียมสำรวจ Chandra X-ray Observatory ของนาซาได้ทำการสแกน กลุ่มก้อนแก๊สในใยเอกภพ (Filament) บริเวณใกล้ เควซาร์ H1821+643 และพบว่าในกลุ่มแก๊สที่พบนั้นมีออกซิเจนปริมาณมากซ่อนอยู่ ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราไม่เคยนำมาคำนวณในการหาสสารของจักรวารเลย     นี่เป็นการทดลองที่เกิดขึ้นจากทฤษฎีที่ว่าในใยเอกภพ โครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในจักรวาล ซึ่งที่ผ่านๆ มายากที่จะตรวจสอบนั้น น่าจะมีสสารซ่อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และได้มีการตีพิมพ์ออกมาในนิตยสาร The Astrophysical เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ อ้างอิงจากในรายงาน หากลองคาดการกลุ่มก้อนแก๊สในรูปแบบนี้ทั้งหมดในจักรวาลแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามีความเป็นไปได้ที่แก๊สเหล่านี้จะมีปริมาณมากพอที่จะทดแทนสสาร 33% ที่หายไปเลย     แต่แม้ว่าการค้นพบครั้งนี้จะดูเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากๆ ก็ตาม ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงต้องการการตรวจสอบความถูกต้องของทฤษฎีที่ว่านี้อีกมาก…

  • นาซาเผย การติดต่อครั้งสุดท้ายกับยาน “Opportunity” ที่กินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก

    นาซาเผย การติดต่อครั้งสุดท้ายกับยาน “Opportunity” ที่กินใจจนโด่งดังไปทั่วโลก

    เคยได้ยินเรื่องราวของยาน Opportunity กันไหม? นี่คือยานสำรวจดาวอังคารของนาซาที่เริ่มปฏิบัติการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 และมีกำหนดการทำงานอยู่ที่ราวๆ 90 วัน อย่างไรก็ตามตั้งแต่ส่งขึ้นไปบนดาวอังคาร ยานสำรวจลำนี้กลับสามารถทำงานอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 15 ปีตั้งแต่ที่ร่อนลงบนดาวอังคาร และเพิ่งจะหยุดทำงานลงไปในวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2018 เท่านั้น     การทำงานที่ยาวนานของมันนี่เอง ทำให้ยาน Opportunity กลายเป็นเสมือนยานสำรวจลูกรักลำหนึ่งของเจ้าหน้าที่ของนาซาไป ดังนั้นในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องออกมาปลดประจำการยานลำนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทางนาซาจึงนำข้อความชุดสุดท้ายที่พวกเขาติดต่อกับยาน Opportunity ออกมาเปิดเผยให้โลกได้เห็น และสร้างความสะเทือนใจให้กลับชาวอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างมาก จุดเริ่มต้นของการลาจากนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ได้เกิดเหตุการณ์พายุดาวอังคารขึ้นในพื้นที่ปฏิบัติการของยาน Opportunity ซึ่งส่งผลโดยตรงกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของตัวยานมาก     ในวันนั้นยาน Opportunity ได้ส่งข้อความทางเทคนิคที่ว่า การสร้างพลังงานของยานลดลงถึง 97% หลังจากที่เกิดพายุขึ้น และไม่เพียงพอต่อการทำงานของระบบ จริงอยู่ว่าข้อความเหล่านี้จะดูเป็นทางการมาก แต่สำหรับทีมงานของนาซาที่อยู่กับยานลำนี้มานาน พวกเขารู้สึกว่าข้อความของยาน Opportunity นั้นไม่ต่างกับการบอกว่า “แบตเตอรี่ของผมใกล้จะหมด ทุกอย่างมันเริ่มมืดไปหมดแล้ว”     เมื่อได้รับข้อความที่น่าใจหายนี้มา ทีมงานนาซาก็รีบส่งข้อความตอบกลับยานลูกรักของตัวเองทันที โดยในตอนแรกๆ…

  • งานวิจัยเผย โบราณสถานแบบ “สโตนเฮนจ์” อาจมีที่มาจากฝรั่งเศส และสร้างโดยนักเดินเรือ

    งานวิจัยเผย โบราณสถานแบบ “สโตนเฮนจ์” อาจมีที่มาจากฝรั่งเศส และสร้างโดยนักเดินเรือ

    สโตนเฮนจ์ คือโบราณสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,400-2,200 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยปริศนามากมายไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการสร้างขึ้นมา หรือใครกันที่เป็นผู้สร้างโบราณสถานแห่งนี้ขึ้น     แน่นอนว่าที่ผ่านๆ มาย่อมมีทฤษฎีมากมายที่พยายามออกมาอธิบายตัวตนของผู้ที่สร้างโบราณสถานแห่งนี้ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทฤษฎีไหนเลยที่มีความน่าจะเป็นมากพอที่จะทำให้นักโบราณคดีจำนวนมากปักใจเชื่อ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในนิตยสาร “Proceedings of the National Academy of Sciences” ก็ได้มีการออกมานำเสนอทฤษฎีใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังสโตนเฮนจ์อีกครั้ง และได้รับความเชื่อถือจากนักโบราณคดีเป็นจำนวนมาก     นั่นเพราะจากการตรวจสอบแห่งโบราณสถานที่เป็นหินขนาดใหญ่หรือ “Megalith” กว่า 2,400 แห่งทั่วยุโรปของทีมนักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัย Gothenburg ในสวีเดน พวกเขาก็พบว่าโบราณสถานในรูปแบบนี้นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อ 7,000 ปีก่อนเลยทีเดียว โดยในระหว่างการตรวจสอบคาร์บอนกัมมันตรังสีในโบราณสถานทั่วยุโรป เหล่านักโบราณคดีก็พบว่าหลังจากโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศสถูกสร้างราวๆ 400 ปี จู่ๆ โบราณสถานในรูปแบบนี้ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาตามแทบชายฝั่งตะวันตกของฝรั่งเศส ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คาบสมุทรไอบีเรีย และสถานที่อื่นๆ ในยุโรป     เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว Bettina Schulz Paulsson หนึ่งในทีมนักโบราณคดีเจ้าของทฤษฎี…

  • นักวิทย์ประกาศหยุดการค้นหาเรือ Endurance หลังยานสำรวจใต้น้ำหายไปเพราะอากาศไม่ดี

    นักวิทย์ประกาศหยุดการค้นหาเรือ Endurance หลังยานสำรวจใต้น้ำหายไปเพราะอากาศไม่ดี

    หากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เมื่อราวๆ ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เหล่านักวิทยาศาสตร์บนเรือ Agulhas II ที่ไปสำรวจก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ขั้วโลกใต้ได้เตรียมทำการตามหาเรือ The Endurance ของนักเดินเรือชื่อดัง Ernest Shackleton ที่จมหายไปในทะเลเวดเดลล์ เมื่อปี 1915 (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์เตรียมสำรวจเรือของ Ernest Shackleton หลังจมอยู่ที่ทะเลเวดเดลล์มากกว่า 100 ปี)     ในเวลานั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งความหวังว่าการค้นหาครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็จริงอยู่ แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีใครคิดหรอกว่าในเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากที่การค้นหาเริ่มขึ้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องออกมาล้มเลิกโปรเจกต์ค้นหาในครั้งนี้เสียแล้ว นั่นเพราะหลังจากที่เริ่มสำรวจไปได้เพียงไม่นาน ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าสภาพอากาศในทะเลน้ำแข็งนั้นจู่ๆ ก็ย่ำแย่ลงกว่าที่ควรเป็น จนนำไปสู่การสูญหายของ AUV7 ยานพาหนะใต้น้ำแบบไร้คนขับที่พวกเขาใช้ในการสำรวจ   หนึ่งใน AUV ที่มีการใช้งานในการสำรวจครั้งนี้   AUV7 ถูกรับบุไว้ว่าขาดการติดต่อไปหลังจากทำการค้นหาเรือ The Endurance ในพื้นที่มหาสมุทรใต้น้ำแข็งไปได้ราวๆ 30 ชั่วโมง โดยคาดกันว่าน่าจะโดนกระแสน้ำที่รุนแรงขึ้นเพราะสภาพอากาศพัดจนหายไป หรือไปติดกับน้ำแข็งแล้ว จากการเปิดเผยของทีมนักวิทยาศาสตร์ ทะเลเวดเดลล์ซึ่งเรือ The Endurance หายไปนั้นเดิมทีก็เป็นสถานที่ที่มีสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่แล้ว ดังนั้นตอนที่พวกเขาประกาศการค้นหา คนทั่วโลกจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการสภาพอากาศที่ว่านี้เองก็ทำให้ความหวังที่จะเกิดกู้ AUV7 กลับมานั้นริบหรี่จนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะไม่ทราบว่ากระแสน้ำพัด AUV7 ไปที่ไหนแล้ว การฝืนค้นหายังอาจทำให้เรือ Agulhas II ที่พวกเขาโดยสารมาเสียหายไปด้วย…

  • พิพิธภัณฑ์ลอนดอน เตรียมจัดแสดงส้วมไม้จากศตวรรษที่ 12 ที่ใช้ทำธุระได้พร้อมกันสามคน

    พิพิธภัณฑ์ลอนดอน เตรียมจัดแสดงส้วมไม้จากศตวรรษที่ 12 ที่ใช้ทำธุระได้พร้อมกันสามคน

    เชื่อว่าในยุคที่ความสะอาดและความเป็นส่วนตัวนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากแบบทุกวันนี้ เพื่อนๆ หลายคนคงมีความรู้สึกที่ไม่มีเท่าไหร่กับห้องน้ำสาธารณะ จนถึงขั้นที่ว่าหากเลี่ยงได้ก็คงจะอยากเลี่ยง ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าห้องน้ำที่เราใช้กันในปัจจุบัน ต่อให้เป็นห้องน้ำสาธารณะก็ตาม นับว่าเป็นห้องนี้ที่สะอาดและเป็นส่วนตัวมากๆ แล้ว หากเทียบกับห้องน้ำจากเมื่อศตวรรษที่ 12 ต่อไปนี้     เพราะนี่คือหน้าตาของแผ่นรองนั่งเพื่อทำธุระส่วนตัวที่ทำจากไม้อายุ 900 ปี ซึ่งถูกนำออกมาเปิดเผยให้โลกเห็น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยพิพิธภัณฑ์ท่าเรือเก่า ลอนดอน ดอคแลนด์ และกำลังจะถูกนำไปออกแสดงในฐานะส่วนหนึ่งของวัตถุโบราณในงานนิทรรศการ “Secret Rivers” ภายในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ จริงอยู่ว่าหลายๆ คนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่าห้องน้ำในสมัยก่อนนั้นมีสุขอนามัยที่ค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน และแน่นอนว่าแผ่นไม้ที่เห็นนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ที่นั่งทำธุระชิ้นนี้ดูไม่น่าใช้ในปัจจุบัน     นั่นเพราะอย่างที่เพื่อนๆ เห็นกันว่าแผ่นไม้อันนี้มีรูอยู่สามรู (รูสุดท้ายเสียหายไปตามกาลเวลา) มันออกแบบมาให้คนในสมัยนั้นเข้ามาปลดทุกข์อย่างการถ่ายหนักได้พร้อมๆ กันสามคนเลยนั่นเอง จากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีเจ้าแผ่นไม้อันนี้ ถูกค้นพบในระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดีใกล้ๆ แม่น้ำ Fleet ในลอนดอน และคาดกันว่าสิ่งปฏิกูลจากเหล่าผู้ใช้งานแผ่นไม้นี้ จะถูกทิ้งลงในแม่น้ำไปเลย     และนอกจากตัวแผ่นไม้ที่พบแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังได้จัด แผ่นไม้รองนั่งแบบจำลอง ซึ่งทำมาเพื่อให้คนที่สนใจได้ถ่ายเซลฟี่กับส้วมได้ตามที่ต้องการเลยนั่นเอง     ที่มา foxnews และ livescience

  • พบภาพวาดฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มผู้หลงรักตัวเอง ในบ้านโบราณที่เมืองปอมเปอี

    พบภาพวาดฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มผู้หลงรักตัวเอง ในบ้านโบราณที่เมืองปอมเปอี

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในขณะที่คล้ายๆ คนกำลังฉลองวันวาเลนไทน์กันอยู่ ไกลออกไปในเมืองปอมเปอี ทีมนักโบราณคดีก็ได้ทำการค้นพบโบราณวัตถุชิ้นใหม่จากที่ถูกฝังไว้ใต้เถ้าภูเขาไฟแห่งนี้อีกครั้ง นั่นเพราะภายในบ้านที่เคยมีการค้นพบไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้มีการค้นพบภาพฝาผนังของ “นาร์ซิสซัส” ชายหนุ่มรูปงามผู้หลงรักตัวเองจากเทพปกรณัมกรีก วาดเอาไว้บนกำแพงส่วนหนึ่งของบ้านที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการเข้าขุดค้นโดยนักโบราณคดี     ภาพที่พบนี้นับว่าเป็นรูปภาพฝาผนังรูปที่สองแล้วที่มีการพบในบ้านหลังนี้ เพราะก่อนหน้านี้เองในบ้านหลังนี้ก็เคยมีการค้นพบภาพ “เลดากับหงส์” มาก่อน (อ่านข่าวเก่าของบ้านหลังนี้ได้ที่ พบภาพวาดสีปูนเปียกของ “เลดาและหงส์” ในซากห้องนอนเก่าแก่ที่เมืองปอมเปอี)     อ้างอิงจากรายงานของนักโบราณคดี คนที่ยืนอยู่ข้างหลังของ “นาร์ซิสซัส” นั้น น่าจะเป็น “พริอาพัส” ที่เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และมักปรากฏออกมาในศิลปะที่อิโรติกหน่อยๆ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีไม่ได้มั่นใจในจุดนี้มากนัก ภาพฝาผนังของนาร์ซิสซัสที่พบในครั้งนี้ เป็นภาพวาดสีปูนเปียกเช่นเดียวกับภาพอื่นๆ ที่เคยมีการพบมา และอยู่ในสภาพค่อนข้างดีไม่มีหินอัคนีเกาะ จริงอยู่ว่าภาพที่พบจะไม่ได้สีสดใสเท่าภาพของเลดา แถมยังมีรอยแตก และส่วนใบหน้าที่ไม่ชัดเจน แต่ภาพที่พบนั้นก็ยังคงอยู่ในสภาพที่นับว่าค่อนข้างสมบูรณ์มากเมื่อเทียบกับความจริงที่ว่าเมืองปอมเปอีนั้นเคยถูกฝังอยู่ใต้เถ้าถ่านมาก่อน     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีค่อนข้างมั่นใจขึ้นมากว่า เจ้าของบ้านหลังนี้น่าจะเป็นคนมีฐานะและรักในงานศิลปะมาก เพราะนอกที่พบทั้งสองภาพแล้ว นักโบราณคดียังพบว่าภายในบ้านยังมีร่องรอยของบันไดที่นำไปสู่ห้องเก็บวัตถุโบราณที่ทำจากแก้ว แจกันประดับ และวัตถุโบราณอื่นๆ อีกมากมายเลย นั่นทำให้นักโบราณคดีเชื่อการขุดค้นบ้านหลังนี้น่าจะยังคงไม่จบลงเพียงเท่านี้ และเป็นไปได้ว่าในอนาคต เราจะยังสามารถได้เห็นข่าวการค้นพบงานศิลปะอีกเป็นจำนวนมากเลย…

  • พบ “สัญลักษณ์ของแม่มด” ในถ้ำโบราณจากยุคน้ำแข็ง เชื่อสลักเอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”

    พบ “สัญลักษณ์ของแม่มด” ในถ้ำโบราณจากยุคน้ำแข็ง เชื่อสลักเอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”

    ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการถือเคล็ดถือลาง สำหรับหลายๆ คนอาจจะเป็นเรื่องที่ดูแล้วงมงาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อทีมนักโบราณคดีพบกับเครื่องหมายประหลาดภายในถ้ำที่ Creswell Crags ในมณฑล Nottinghamshire ประเทศอังกฤษ เครื่องหมายดังกล่าวจะถูกมองว่าเป็น “สัญลักษณ์ของแม่มด” ที่เอาไว้ “ขับไล่สิ่งชั่วร้าย”     เอาเข้าจริงๆ ที่ Creswell Crags นั้นเป็นถ้ำที่มีประวัติการค้นพบภาพเขียนโบราณตั้งแต่สมัยยุคน้ำแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ตลอด 17 ปีตั้งแต่ที่มีการค้นพบถ้ำ กลับไม่เคยมีใครสังเกตเลยว่าที่อักขระที่สลักไว้หน้าถ้ำนั้นไม่ได้มาจากยุคน้ำแข็ง แต่เป็นร่องรอยจากอีกยุคสมัยหนึ่งต่างหาก จากคำบอกเล่าของทีมนักโบราณคดี สัญลักษณ์ของแม่มดที่พบนี้ เป็นเครื่องหมายที่รวมกันเป็นคำว่า “กลับไป” ในภาษาโรมันโบราณ ซึ่งมักถูกพบตามโบสถ์หรือบ้านตั้งแต่ช่วงยุคกลางไปจนถึงศตวรรษที่ 19 และนับว่าค่อนข้างแปลกมากที่มีการมาพบในถ้ำจากยุคน้ำแข็งเช่นนี้     โดยในบรรดาสัญลักษณ์มากมายที่พบ “VV” จะเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นได้บ่อยที่สุด และเชื่อกันว่าน่าจะสื่อถึงพระแม่มารี ผู้ที่ได้ชื่อว่าหญิงพรหมจรรย์ในหมู่หญิงพรหมจรรย์ (Virgin of Virgins) เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เขียนสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา น่าจะต้องการป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายออกมาจากถ้ำ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่เพราะตามความเชื่อในสมัยก่อนแล้ว ถ้ำหลายๆ ที่มักจะถูกมองว่าเป็นทางไปสู่นรก     แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามในปัจจุบันนักโบราณคดีก็ยังไม่ได้มีการฟันธงอยู่ดีว่าสัญลักษณ์ที่พบนั้นสร้างขึ้นโดยใครจากยุคไหน และแน่นอนว่าสัญลักษณ์ที่มีการค้นพบในครั้งนี้ก็ยังคงต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปเช่นกัน   ที่มา livescience, mirror และ bbc

  • ชม 16 ภาพการทำงานของอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 จากภาพโฆษณาภาพตัดขวางในอดีต

    ชม 16 ภาพการทำงานของอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 จากภาพโฆษณาภาพตัดขวางในอดีต

    ตลอดช่วงปี 1930-1960 ศิลปินนักวาดภาพประกอบเชิงพาณิชย์อย่าง Frank Soltesz ได้คลุกคลีอยู่กับวงการโฆษณาของอุตสาหกรรมในสมัยนั้นมามากมายหลายแบบ และแน่นอนว่าในเวลาเดียวกันเขาก็ได้สร้างผลงานโฆษณาที่เป็นที่จดจำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา คือผลงานที่จัดทำให้กับบริษัท Armstrong Cork ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพของอุตสาหกรรมต่างๆ ในสมัยนั้น ที่ถูกนำมาตัดกำแพงบางส่วนออกเพื่อแสดงให้เห็นการทำงานภายใน และผลงานชุดนี้นี่เองที่จะเป็นผลงานที่เราจะมาชมกันในวันนี้กับ 16 ภาพตัดขวางของอุตสาหกรรมในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปตัดสินกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากการทำงานของอุตสาหกรรมห้างสรรพสินค้า   การทำงานของร้านอาหารแช่แข็ง (ส่วนมากจะเป็นเนื้อ) อย่าง Locker Plant   การทำงานของสะพานเทียบเรือหาปลา   เบื้องหลังของฟู้ดมาร์เก็ต   ภายในของเรือพลังไอน้ำ   การทำงานของออฟฟิศขนาดใหญ่ที่มีชั้นใต้ดิน   การทำงานของโรงละครขนาดใหญ่ ซึ่งรวมทั้งระบบแอร์ด้วย   การทำงานของโรงผลิตยางด้วยอุณหภูมิต่ำ (เรียกกันว่า Cold rubber หรือ Cold polymerized rubber)   การทำงานของโรงผลิตเบียร์รุ่นใหม่ในสมัยนั้น   การทำงานของโรงผลิตน้ำส้มเข้มข้นแบบแช่แข็ง (Frozen concentrated orange juice)…

  • ย้อนรอย “Blackface” การแต่งหน้าเป็นคนดำ สัญลักษณ์เหยียดผิวรุนแรง ที่กิดขึ้นมาในอดีต

    ย้อนรอย “Blackface” การแต่งหน้าเป็นคนดำ สัญลักษณ์เหยียดผิวรุนแรง ที่กิดขึ้นมาในอดีต

    หากยังจำกันได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา #เหมียวตะปู ได้นำเสนอข่าว แบรนด์แฟชั่นจากประเทศอิตาลีอย่าง Gucci ได้ออกมาขอโทษเรื่องที่เสื้อกันหนาวมีลักษณะเหมือนกับ “Blackface” ซึ่งถือเป็นการเหยียดผิวอย่างมาในสมัยก่อน (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ Gucci ออกมาขอโทษ เหตุ “เสื้อกันหนาว” มีลักษณะเหมือนเป็นการ “เหยียดผิว”)     ในเวลานั้นหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าเจ้า Blackface ที่ว่านั้นมันคืออะไรเกิดขึ้นมาจากไหน และเหยียดผิวอย่างไร กันบ้างเป็นแน่ ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวประวัติของ Blackface กัน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะทราบกันว่า Blackface นั้น เป็นการแต่งหน้าหรือใส่หน้ากากสีดำและทาปากให้ดูใหญ่ของนักแสดงผิวขาวในสมัยก่อน เพื่อแสดงเป็นคนผิวสี การแต่งหน้าในรูปแบบนี้แม้ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน แต่ก็กลายเป็นที่นิยมมากไม่นานหลังจากช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา  ทำให้คาดกันว่านี่เป็นการกระทำซึ่งเกิดจากความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับการที่ต้องปลดปล่อยคนดำที่เป็นทาส จนบานปลายไปเป็นการเหยียดผิว     David Leonard ศาสตราจารย์ด้านชาติพันธุ์ศึกษา และประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งมหาวิทยาลัย Washington State กล่าวว่า Blackface นับเป็นการยืนยันถึงพลังและความสามารถในการควบคุมของคนขาว ที่ทำให้สังคมสามารถมองคนแอฟริกัน-อเมริกันว่าไม่ใช่คนได้ง่ายขึ้น แนวคิดเหล่านี้แสดงออกมากับบทบาทในของตัวละคร ที่มักเป็นการเหมารวมด้านแย่ๆ ตามความเชื่อของคนยุโรปต่อชาวแอฟริกัน-อเมริกันในสมัยนั้นเอาไว้ เช่นความขี้เกียจ โง่เขลา งมงาย หื่นกระหาย ขี้ขลาด และชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด…

  • ซากเรือ USS Hornet ถูกค้นพบแล้ว โดยทีมค้นหาของผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์

    ซากเรือ USS Hornet ถูกค้นพบแล้ว โดยทีมค้นหาของผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์

    26 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1942 ระหว่างการรบที่เกาะซานตาครูซ เรือบรรทุกเครื่องบินสัญชาติสหรัฐฯ อย่าง USS Hornet ได้ถูกรุมโจมตีจากเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด และเรือพิฆาต ของประเทศญี่ปุ่น จนสุดท้ายก็ต้องจมลงไปนอนอยู่ที่ได้ท้องทะเล     แต่แล้วหลังจากเวลาผ่านไปมากว่า 70 ปี ที่มีการตามหาสถานที่ที่ USS Hornet จม ในที่สุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เรือสำรวจทางทะเลของ Paul Allen ผู้ร่วมสร้างบริษัทไมโครซอฟต์กับ Bill Gates ก็ได้ค้นพบซากเรือลำนี้เข้าจนได้ พวกเขาตามหาเรือ USS Hornet จากรายงานของเรืออื่นๆ ที่เข้าร่วมรบในสงครามเดียวกันจำนวน 9 ลำ และหลังจากกำหนดขอบเขตการค้นหาเสร็จทางทีมค้นหาก็ได้ใช้ทีมค้นหาร่วม 10 คน สำรวจพื้นที่ไปพร้อมๆ กับโดรนโซนาร์ต่อไป     จากรายงานของทีมค้นหา เรือ USS Hornet จมอยู่ใกล้ๆ กับหมู่เกาะโซโลมอน ห่างออกไปจากเกาะซานตาครูซเล็กน้อย และอยู่ลึกลงไปใต้น้ำถึงราวๆ 5,330 เมตร ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายจากสัญลักษณ์ CV-8 ที่ตัวเรือ จากคำบอกเราของลูกเรือที่มีชีวิตรอดมาจากสงคราม ในตอนที่เรือลำนี้จมลงไป ลูกเรือราวๆ…

  • ปริศนาความตายของตุตันคาเมน เรื่องลึกลับที่ยังไขไม่ได้ แม้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

    ปริศนาความตายของตุตันคาเมน เรื่องลึกลับที่ยังไขไม่ได้ แม้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าฟาโรห์ตุตันคาเมน (หรือ ตุตันคามุน) เป็นฟาโรห์ที่โด่งดังเรื่องตำนานของคำสาปร้ายของตัวสุสาน ที่จะทำให้ใครก็ตามที่ย่างกรายเข้าไปรบกวนการหลับใหลของท่านจะต้องพบกับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง (อ่านข่าวเก่าได้ที่ ตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ ผู้เปิดตำนาน “คําสาปร้ายแห่งฟาโรห์”)     อย่างไรก็ตามคำสาปแห่งฟาโรห์นั้นไม่ใช่ความลึกลับเพียงเรื่องเดียวของฟาโรห์ผู้เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ 3,000 กว่าปีก่อนองค์นี้ เพราะรู้หรือไม่ว่าจนถึงปัจจุบัน เราก็ยังไม่อาจทราบได้เลยว่าอะไรกันที่ทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมน เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 18-19 ปี ตั้งแต่ที่มีการค้นพบในปี 1923 นักวิทยาศาสตร์ก็ตั้งสมมติฐานมากมายเพื่อออกมาบรรยายความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมน ตั้งแต่อุบัติเหตุ การเป็นโรคร้าย หรือแม้แต่การถูกลอบสังหาร และเมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นสมมติฐานเหล่านั้นก็ถูกบีบให้แคบลงเรื่อยๆ ในปัจจุบันหลักฐานที่เราได้รับจากการตรวจสอบมัมมี่ของฟาโรห์องค์นี้ ฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นในอดีตเคยเป็นโรคมาลาเรีย มีแผลขนาดใหญ่ที่ขา และพิการแต่กำเนิด จากการที่สายเลือดชิด ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ ในราชวงศ์ซึ่งมีการแต่งงานในหมู่พี่น้องอย่างของอียิปต์     นั่นทำให้ความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมักถูกเชื่อกันว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับโรคร้าย หรืออุบัติเหตุมากกว่า ในปี 2014 ทางสำนักข่าวต่างประเทศ ก็ได้นำเสนอทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับความตายของฟาโรห์ขึ้นมาอีกหนึ่งแบบ พวกเขาบอกว่าฟาโรห์ตุตันคาเมนอาจจะเสียชีวิตจากการอุบัติเหตุกับรถม้าก็เป็นได้ โดยจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ขาและกระดูกเชิงกรานของฟาโรห์หัก และทำไปสู่อาการติดเชื้ออื่นๆ (รวมทั้งมาลาเรีย) ในภายหลัง     ดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้จะได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาดของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมักเป็นภาพการออกรบบนรถม้า และความจริงที่ว่าตัวฟาโรห์มีขาที่ผิดปกติ (จากสายเลือดชิด) ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ว่าฟาโรห์ตุตันคาเมนจะเคยตกจากรถม้านั่นเอง น่าเสียดายที่เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกระดูกของฟาโรห์นั้น…

  • อียิปต์เผย พบกระดูกเด็กสาวอายุราว 13 ปีในสุสานลึกลับ ข้างพีระมิดเก่าแก่ อายุกว่า 4,600 ปี

    อียิปต์เผย พบกระดูกเด็กสาวอายุราว 13 ปีในสุสานลึกลับ ข้างพีระมิดเก่าแก่ อายุกว่า 4,600 ปี

    เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลของประเทศอียิปต์ได้มีรายงานการค้นพบกระดูกของเด็กสาวอายุราวๆ 13 ปี ภายในสุสานลึกลับซึ่งมีการค้นพบข้างพีระมิดไมดุม พีระมิดเก่าแก่อายุมากกว่า 4,600 ปี ร่างของเธอถูกพบในสภาพนั่งยองอยู่ในสุสานขนาดเล็กลึกลงไปในดิน ซึ่งแม้ว่าจะเรียกว่าสุสานก็ตาม แต่กลับมีร่างของเด็กสาวอยู่เพียงร่างเดียวเท่านั้น รวมถึงในสุสานเองก็ไม่ได้มีโบราณวัตถุอื่นๆ ที่มักจะมีการฝังไปกับผู้ตายตามความเชื่อของชาวอียิปต์เลย     ดูเหมือนว่าอายุของและเพศของกระดูกที่พบจะได้มาจากตรวจสอบของทีมนักวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สุสานที่พบไม่มีวัตถุโบราณที่อยู่ ก็ทำให้ในปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลว่ากระดูกที่พบนั้นแท้จริงแล้วถูกนำมาฝังเมื่อไหร่กันแน่ อย่างไรก็ตามห่างออกมาจากสถานที่ที่เด็กสาวถูกฝังอยู่เล็กน้อย นักโบราณคดีก็พบกับกะโหลกของสัตว์ที่คาดว่าเป็นกระทิงสองชิ้น และเศษเครื่องปั้นดินเผาอีกสามอันถูกฝังเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับตัวเด็กสาวหรือไม่ก็ตาม     อนึ่งพีระมิดไมดุมซึ่งอยู่ใกล้ๆ พื้นที่ที่มีการค้นพบร่างเด็กสาวเองก็เป็นพีระมิดที่น่าสนใจพอสมควรเลย เพราะนอกจากนี่จะเป็นพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของประเทศอียิปต์แล้ว พีระมิดไมดุมยังมีฟาโรห์ที่เป็นผู้สร้างถึงสององค์ โดยเริ่มจากสมัยของฟาโรห์ฮูนิ (ครองราชย์ 2575-2551 ปีก่อนคริสตกาล) และมีการสร้างต่อในสมัยของฟาโรห์สนอฟรู (2599-2575 ปีก่อนคริสตกาล) โดยในสมัยของฟาโรห์ฮูนิพีระมิดนี้เป็นแบบขั้นบันได ก่อนที่จะกลายเป็นพีระมิดแบบในปัจจุบันในสมัยของฟาโรห์สนอฟรูต่อไป     ที่มา  livescience และ foxnews

  • พระสันตะปาปาออกมายอมรับ ในคริสตจักรมีการข่มเหงทางเพศ และใช้แม่ชีเป็นทาสเซ็กซ์

    พระสันตะปาปาออกมายอมรับ ในคริสตจักรมีการข่มเหงทางเพศ และใช้แม่ชีเป็นทาสเซ็กซ์

    เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หนึ่งในผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอริก ได้มีการออกมายอมรับว่า ที่ผ่านมามีบาทหลวงคาทอลิกจำนวนหนึ่งใช้อำนาจข่มเหงทางเพศกับแม่ชี และถึงขั้นใช้แม่ชีในฐานะทาสเซ็กซ์     การออกมายอมรับในครั้งนี้เกิดขึ้นในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของนิตยสาร “Women’s Church World” ซึ่งได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการใช้อำนาจข่มเหงทางเพศกับผู้หญิงภายในคริสตจักร โดยภายในการให้สัมภาษณ์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้บอกกับนักข่าวว่า มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าในคริสตจักรมี บาทหลวงหรือแม้กระทั่งบิชอปบางคนที่ใช้กำลังข่มเหงแม่ชีจริง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนคาทอริกใหม่ๆ และในบางภูมิภาค     จากรายงานของสื่อต่างประเทศ ในปัจจุบันมีแม่ชีและอดีตแม่ชีจำนวนมากออกมาเล่าเรื่องการถูกข่มเหงโดยมือของบาทหลวงและบิชอป จนต้องท้องและถูกบังคับให้เลี้ยงลูกที่ไม่มีคนรับเป็นพ่อหรือต้องทำแท้ง ภายใต้ #MeToo จนกลายเป็นที่กังวลของหลายๆ ฝ่ายเป็นอย่างมาก สมเด็จพระสันตะปาปาเปิดเผยว่าที่ปัญหาการข่มเหงผู้หญิงในคริสตจักรเกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะมาจากปัญหาด้านวัฒนธรรมที่มักกดขี่ผู้หญิงมาตั้งแต่ในอดีต และเป็นเรื่องที่ทางคริสตจักรพยายามแก้ไขกันมาเป็นเวลานาน ท่านยังบอกอีกว่าที่ผ่านมาเองสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็เคยสั่งยุบคณะนักบวชคาทอลิกหญิง (Religious Order of Women) ในอดีต เนื่องจากผู้ก่อตั้งใช้คณะนักบวชนี้ในการหาทาสเซ็กซ์มาแล้ว     สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะหยุดได้เพียงเพราะศาสนจักรรู้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ เท่านั้น ดังนั้นทางคริสตจักรจึงได้พยายามเป็นอย่างมากในการสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างครอบคลุมและเป็นธรรมที่สุด ซึ่งที่ผ่านๆ มา ทางศาสนจักรก็ได้ทำการระงับตำแหน่งของนักบวชบางคนเพราะเรื่องนี้มาแล้ว และจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องสืบไปในอนาคต   ที่มา reuters, allthatsinteresting และ bbc

  • “เอล ลีกอยเด” จากห้างสรรพสินค้าหรู สู่คุกขนาดใหญ่สุดเลวร้ายแห่งเวเนซุเอลา

    “เอล ลีกอยเด” จากห้างสรรพสินค้าหรู สู่คุกขนาดใหญ่สุดเลวร้ายแห่งเวเนซุเอลา

    ในช่วงยุค 1950 เวเนซุเอลาเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยเป็นอย่างมากจากการค้าน้ำมัน ดังนั้นผู้นำของประเทศในเวลานั้นอย่าง Marcos Perez Jimenez จึงอยากจะสร้างอะไรบางอย่างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เขาได้ประกาศสร้างห้างสรรพสินค้าแบบขับรถผ่าน ที่มีร้านค้าถึง 300 ร้าน และมีขนาดใหญ่โตจนสามารถเห็นได้ชัดจากทุกพื้นที่ในกรุงการากัส แต่ตั้งชื่อให้มันว่า “เอล ลีกอยเด”     ตัวอาคารของเอล ลีกอยเดกินพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ใช้เงินในการสร้างถึง 2,800 ล้านบาท (เมื่อเทียบเป็นเงินในปัจจุบัน) และคาดกันว่าจะได้เป็นสรรพสินค้าแบบขับรถผ่านแห่งแรกที่มีการสร้างขึ้นมาบนโลก ปัญหาคือแทนที่สถานที่แห่งนี้จะได้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ในปี 1958 ตัว Marcos กลับถูกโค่นอำนาจไปก่อน ทำให้ที่แห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไปเป็นเวลานาน และในเวลานั้นหลายๆ คนก็มองว่าเงินที่ลงทุนไปได้กลายเป็นสิ่งที่สูญเปล่าไปเสียแล้ว     แต่แล้วในยุค 1980 รัฐบาลใหม่ของประเทศเวเนซุเอลา ก็ตัดสินใจย้ายหน่วยงานจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งหน่วยข่าวกรองอย่าง SEBIN มาอยู่ที่เอล ลีกอยเด และทำให้ภาพลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นอีกครั้ง ภายใต้บ้านเมืองที่ล้มเหลวลงทุกวัน เอล ลีกอยเดได้กลายเป็นคุกขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางกรุงการากัส และกักขังนักโทษผู้ต่อต้านรัฐบาลเอาไว้แบบนับไม่ถ้วน พื้นที่ที่ถูกจัดไว้สำหรับเป็นร้านค้าถูกเปลี่ยนเป็นห้องขัง และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือนจำที่เลวร้ายที่สุดของประเทศ     ประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ “ยาลดความอ้วน” สามารถทำให้ยุงไม่อยากอาหารและกัดคนน้อยลงได้

    นักวิทยาศาสตร์พบ “ยาลดความอ้วน” สามารถทำให้ยุงไม่อยากอาหารและกัดคนน้อยลงได้

    ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ในชีวิตนี้ก็คงจะต้องเคยพบกับปัญหายุงกัดกวนใจบ้างสักครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่านักวิทยาศาสตร์จะหาวิธีที่จะไล่ยุงหรือทำให้ยุงไม่กัดคนกันมาเป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยร็อกกีเฟลเลอร์ในสหรัฐฯ ก็สามารถคิดวิธีไล่ยุงด้วยวิธีแปลกๆ อย่างการใช้ “ยาลดความอ้วน” กับยุงเพื่อให้ยุงไม่อยากอาหารและไม่มากัดคนได้สำเร็จเสียอย่างนั้น     โดยการทดลองไล่ยุงในครั้งนี้ ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cell และเกิดขึ้นจากการที่ทีมนักวิจัยให้น้ำเกลือผสมยาลดความอยากอาหาร ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนจากสารเคมีชนิดหนึ่ง ให้แก่ยุงสายพันธุ์ Aedes aegypti ซึ่งเป็นยุงที่เป็นพาหะโรคไข้เลือดออกในอเมริกาใต้และแอฟริกา Leslie Vosshall หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ทีมวิจัยเชื่อว่ายาลดความอยากอาหารอาจจะทำให้ยุงตาย หรือไม่มีผลเลย จึงเริ่มการทดลองแบบขำๆ แต่กลายเป็นว่ายุงที่ได้รับยาชนิดนี้เข้าไป กลับเกิดการเบื่ออาหารขึ้นมาจริงๆ และแทบไม่ย่อมดูดเลือดมนุษย์เลย ทำให้การทดลองขำๆ กลายเป็นผลงานที่มีการตีพิมพ์ไป     และแม้ว่าว่าการใช้ยาชนิดนี้ในการไล่ยุงในพื้นที่กว้างโดยตรงจะเป็นไปไม่ได้จริง เนื่องจากอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของยาลดความอ้วนในสิ่งแวดล้อม แต่ทีมนักวิจัยก็มีแนวคิดจะที่หาทางออกเอาไว้แล้วเหมือนกัน นั่นเพราะจากการวิเคราะห์ยุงที่ใช้ในการทดลอง ทีมงานก็พบว่าในยุงนั้นจะมียีนที่ชื่อ NPYLR7 ซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อมีการตัดต่อเอายีนตัวนี้ออกจากยุง ยาลดความอ้วนก็จะไม่มีผลกับยุงตัวดังกล่าวอีกต่อไป     นั่นหมายความว่าหากเราสามารถหาทางที่จะกระตุ้นยีน NPYLR7 ในยุงและไม่มีผลกับคนได้ เราก็จะสามารถทำให้ยุงไม่รู้สึกอยากอาหารและกัดคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง   ที่มา theatlantic, thenakedscientists, bbc และ nature

  • สื่อนอกบอกวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว หลังสหรัฐฯ และรัสเซียถอนสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์

    สื่อนอกบอกวันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว หลังสหรัฐฯ และรัสเซียถอนสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์

    ในวันที่ 24 มกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงของ จดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Bulletin of the Atomic Scientists) หรือ BAS ได้ทำการปรับ “Doomsday Clock” นาฬิกาวันสิ้นโลกเชิงสัญลักษณ์ ที่เปรียบกับการนับถอยหลังมหันตภัยทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “ใกล้เที่ยงคืน” นี่นับเป็นการปรับนาฬิกาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่เคยมีมาในช่วงสงครามเย็น และเตือนให้โลกเห็นว่าเราเข้าใกล้เข้าสู่การล่มสลายจากนิวเคลียร์มากถึงเพียงใด ดังนั้นหลายๆ คนคงจะคิดกันว่าในเวลานี้ผู้คน (โดยเฉพาะเหล่าผู้นำประเทศ) น่าจะเข้าใจถึงอันตรายของสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันกันเป็นอย่างดีแล้ว     แต่แล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั่วโลกก็ต้องรู้สึกกังวลอย่างหนักอีกครั้งเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศฉีกสัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์กับรัสเซีย ทั้งที่มีการออกมาปรับนาฬิกาวันสิ้นโลกได้เพียงไม่นาน สัญญาข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ถูกประกาศว่าจะฉีกในครั้งนี้ เดิมทีแล้วเกิดขึ้นจากความพยายามในการยุติความกดดันเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ในสมัยสงครามเย็นของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีมีฮาอิล เซียร์เกเยวิช กอร์บาชอฟของรัสเซีย (ที่ในเวลานั้นยังเป็นโซเวียต)     โดยนี่เป็นสัญญาที่ระบุไว้ว่าทั้งสหรัฐฯ และโซเวียตจะต้องมีการหยุดผลิตหรือใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธที่มีระยะตั้งแต่ 500-5,500 กิโลเมตรทั้งหมด ซึ่งมีการลงนามกันมาตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 1987 แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้รับการตอบรับโดยการฉีกสัญญากลับจากฝั่งรัสเซีย และกลายเป็นเหตุการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักออกมาบอกว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของโลก (โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป)…

  • พบวัตถุโบราณจำนวนมากจากสงครามพิวนิก เชื่อชาวคาร์เธจรบกับชาวโรมันด้วยเรือโรมันเอง

    พบวัตถุโบราณจำนวนมากจากสงครามพิวนิก เชื่อชาวคาร์เธจรบกับชาวโรมันด้วยเรือโรมันเอง

    อ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์โบราณเมื่อวันที่ 10 มีนาคม เมื่อ 241 ปีก่อนคริสตกาล ในพื้นที่ใกล้ๆ กับเกาะ Aegates ในพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กองทัพโรมันโบราณได้บุกเข้าโจมตีเรือเสบียงของชาวคาร์เธจ เมืองโบราณที่ทำสงครามกับกรีกและโรมันอยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นกองทัพโรมันได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาก จนทำให้ชาวคาร์เธจต้องยอมรับข้อตกลงสงบศึกที่เสียเปรียบแบบสุดๆ เพื่อให้ประชาชนของตัวเองอยู่รอดต่อไป   สงครามในครั้งนี้เรียกกันว่าสงครามพิวนิก   หลังจากวันนั้นมานานกว่า 2,200 ปี นักโบราณคดีก็ได้เข้ามาสำรวจสนามรบแห่งนี้อยู่เป็นพักๆ โดยในแต่ละครั้ง พวกเขาก็ได้พบวัตถุโบราณที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก โดยในการสำรวจครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2018 นักโบราณคดีก็ได้พบกับ อาวุธส่วนหน้าของเรือ (เรียกกันว่า “Ram” หรือ “Naval ram”) ซึ่งใช้ในการพุ่งชนเรือศัตรูจำนวน 6 ชิ้น หมวกเกราะ และภาชนะดินเผาอีกเป็นจำนวนมาก   หนึ่งในหมวกเกราะที่มีการค้นพบ   ที่น่าสนใจคือในการค้นพบที่ผ่านๆ มา อาวุธส่วนหน้าของเรือที่มีการค้นพบ กว่าครึ่งมีรูปแบบของฝั่งโรมัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะตามปกติแล้วโบราณวัตถุที่พบในสงครามโดยมากจะเป็นของฝั่งที่แพ้ ไม่ใช่ฝั่งที่ชนะเช่นนี้ สิ่งที่พบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่าเรือที่ฝั่งคาร์เธจใช้รบในสมัยก่อน จำนวนหนึ่งน่าจะเป็นเป็นเรือที่ยึดมาจากฝั่งโรมันเอง ดังนั้นโบราณวัตถุที่พบจึงเป็นของทางโรมันมากกว่าคาร์เธจ ซึ่งมีความน่าจะเป็นสูงเพราะในประวัติศาสตร์เองก็เคยมีการบันทึกไว้ว่าก่อนสงครามครั้งนี้ฝั่งคาร์เธจเคยยึดเรือโรมันได้ถึง 93 ลำ    …

  • นักวิทย์ใช้เทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ไขปริศนาที่มาของเครื่องปั้นดินเผาอายุ 800 ปี

    นักวิทย์ใช้เทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ไขปริศนาที่มาของเครื่องปั้นดินเผาอายุ 800 ปี

    ในช่วงยุค 1990 ในพื้นที่ทะเลชวา ห่างออกไปจากเกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย นักโบราณคดีได้ทำการเก็บกู้ซากเรือสินค้าโบราณอายุ 800 ปี ของชาวจีน พร้อมวัตถุโบราณมากกว่า 7,500 ชิ้น และนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในชิคาโก     ในเวลานั้นทุกคนสงสัยในที่มาของวัตถุโบราณที่พบบนเรือเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าของเหล่านี้จะมีลักษณะที่บ่งบอกว่ามาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนก็ตาม แต่เราไม่อาจทราบได้เลยว่าของเหล่านี้มาจากส่วนไหนของทางตะวันออกเฉียงใต้ที่กว้างใหญ่กันแน่ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปได้เกือบ 30 ปีในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถหาวิธีมาตามรอยวัตถุโบราณเหล่านี้ได้สำเร็จ ด้วยการอาศัยเทคโนโลยี “ปืนเอกซเรย์” ในการเก็บข้อมูลจากเครื่องปั้นดินเผา 60 ชิ้นจากในบรรดาวัตถุโบราณที่พบ     โดยปืนเอกซเรย์ที่มีการนำมาใช้จะสามารถช่วยบอกได้ว่าเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้มีส่วนประกอบมาจากอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียวที่ใช้ หรือสสารที่มีการผสมลงไปในระหว่างการผลิต Wenpeng Xu หัวหน้าทีมวิจัยบอกว่าส่วนประกอบของเครื่องปั้นดินเผามันก็เหมือนกับลายนิ้วมือของมนุษย์ เพราะเครื่องปั้นดินเผาแต่ละชิ้นจะมีลักษณะดินเหนียวที่ไม่ซ้ำกัน     และหากนำข้อมูลที่ได้ไปเทียบกับข้อมูลวัตถุดิบในแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผามีชื่อทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เราก็จะบอกได้ว่าเครื่องปั้นดินเผาที่พบมาจากที่ไหนกันแน่นั่นเอง จากผลการวิเคราะห์นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้มาจากสถานที่ที่หลากหลายมาก ซึ่งประกอบไปด้วยเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น เต๋อหัว ฉีมูหลิง หัวเจียชาน และหมินฉิงเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กับท่าเรือฝูโจว     และจากการที่เครื่องปั้นดินเผาส่วนมากมาจากเมืองหมินฉิงนักโบราณคดีก็คาดกันว่าเรือลำนี้น่าจะออกเดินทางมาจากท่าเรือฝูโจว และไปรับสินค้าอื่นๆ เพิ่มจากที่เมืองเฉวียนโจวอีกที การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นักโบราณคดีทราบว่าพ่อค้าในสมัยก่อนมักจะมีการรับสินค้าจากโรงผลิตหลายที่เพื่อที่จะให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของตลาดค้าขายในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดีนั่นเอง   ที่มา livescience, sciencedaily, dailymail

  • นาซาเผย “Ultima Thule” แท้จริงแล้วไม่ได้กลมอย่างที่คิด แต่แบนเหมือนแพนเค้กต่างหาก

    นาซาเผย “Ultima Thule” แท้จริงแล้วไม่ได้กลมอย่างที่คิด แต่แบนเหมือนแพนเค้กต่างหาก

    หากยังจำกันได้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยาน “New Horizons” ของนาซาก็ได้บินผ่าน “Ultima Thule” วัตถุที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมาในระบบสุริยะ (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ ชม “Ultima Thule” วัตถุรูปร่างคล้ายสโนว์แมนที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยสำรวจมาในระบบสุริยะ)     ในเวลานั้นภาพที่ออกมาทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนคิดว่าเจ้า Ultima Thule จะต้องมีรูปร่างกลมๆ เหมือนน้ำเต้า หรือไม่ก็สโนว์แมนเป็นแน่ แต่กลายเป็นว่าเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าแท้จริงแล้ว Ultima Thule อาจไม่ได้มีรูปร่างอย่างที่เราคิด นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มาจากยาน New Horizons พวกเขาก็พบว่าภาพของ Ultima Thule ที่มาจากยานนั้น มีแสงสะท้อนบริเวณมุมที่คมผิดกับแสงเงาที่จะโผล่ขึ้นมาบนวัตถุทรงกลม     ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงคาดกันว่า รูปร่างจริงๆ ของ Ultima Thule น่าจะมีสภาพแบนคล้ายกับแพนเค้กไม่ใช่ทรงกลมสองอันต่อกันอย่างที่เคยมีการประกาศออกมาก่อนหน้า การที่รูปร่างของ Ultima Thule เปลี่ยนไปจากที่คิดเช่นนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบกับคำถามใหม่ที่ว่าวัตถุรูปร่างแบบนี้เกิดขึ้นในอวกาศได้อย่างไร เพราะที่ผ่านๆ มา วัตถุที่มีรูปร่างค่อนข้างซับซ้อนเช่นนี้ไม่เคยมีการพบมาก่อนในการสำรวจระบบสุริยะเลย     และก็อย่างที่เคยมีการรายงานไว้ว่าข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดที่มีการส่งมาจากยาน New Horizons ดังนั้นภายใน 20 เดือนข้างหน้าเราก็อาจจะได้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับ Ultima…

  • ผู้เชี่ยวชาญบอก ที่เด็กร้องไห้บนเครื่องบิน เพราะมีปัญหาการปรับความดันในหูมากกว่าผู้ใหญ่

    ผู้เชี่ยวชาญบอก ที่เด็กร้องไห้บนเครื่องบิน เพราะมีปัญหาการปรับความดันในหูมากกว่าผู้ใหญ่

    เชื่อว่าคนที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่บ่อยๆ อาจจะเคยพบกับปัญหาเด็กเล็กร้องไห้บนเครื่องบินกันมาบ้าง จริงอยู่ว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะร้องไห้บนเครื่องบิน แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากที่หากเราพบเด็กเล็กบนเครื่อง เด็กเหล่านั้นจะต้องร้องไห้บนเครื่องบินแน่ๆ     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเด็กเล็กถึงร้องไห้บนเครื่องบิน สำหรับเรื่องนี้หลายๆ คนอาจจะมีเหตุผลในหัวของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเพราะเด็กกลัวเสียงของเครื่องบิน เด็กหูอื้อ หรือไม่ก็ ความรู้สึกตอนเครื่องขึ้นทำให้เด็กไม่สบายตัว ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าจากคำบอกเล่าของ Dr. Simon Baer ที่ปรึกษาศัลยแพทย์หูคอจมูกของอังกฤษแล้ว ที่เด็กเล็กร้องไห้บนเครื่องบินอาจมีเหตุผลเบื้องหลังที่น่าสนใจกว่าที่เราคิดก็ได้ นั่นเพราะในขณะที่เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยและผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกหูอื้อเวลาที่เครื่องบินขึ้น เด็กเล็กกลับมีปัญหากับการปรับความดันในหูมากกว่าผู้ใหญ่มากเนื่องจากท่อยูสเตเชียนของเด็กเล็กยังไม่มีการพัฒนาที่เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่     Dr. Simon บอกว่า แม้เราจะไม่ทราบว่าเด็กเล็กรู้สึกแบบไหนเวลาความกดอากาศเปลี่ยน แต่เด็กเล็กก็น่าจะมีปัญหากับความดันในหูมากกว่าแค่การหูอื้อของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นที่เด็กๆ รู้สึกเจ็บ และอาจแก้ไม่ได้ด้วยการกลืนน้ำลายก็ได้ เขายังบอกอีกว่าตามปกติอาการหูอื้อของคนจะเกิดขึ้นกับตอนที่เครื่องบินขึ้นมากกว่าลง ซึ่งเป็นเหตุผลให้เด็กบางคนร้องไห้เฉพาะเวลาเครื่องขึ้น     นับว่าโชคดีมากที่อาการปรับความดันในหูไม่ทันของเด็กเล็กสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งโดยอาศัยหลักการที่ว่าท่อยูสเตเชียนจะสามารถเปิดออกได้โดยการเคี้ยว หาว หรือกลืนน้ำ หากเครื่องบินกำลังจะขึ้น ผู้ปกครองสามารถให้เด็กดูดนมจากขวดนม หรือหน้าอกโดยตรง (จุกหลอกก็ใช้ได้นะ) เพื่อให้ท่อยูสเตเชียนเปิดในระหว่างความกดอากาศเปลี่ยน และป้องกันความดันในหูไม่ปกติในเด็กได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจะไม่สำเร็จเสมอไป และแม้ว่าจะจัดการปัญหาความกดอากาศเปลี่ยนได้ เหตุผลที่เด็กคนหนึ่งจะร้องไห้ก็อาจจะไม่ได้มาจากความดันในหูเท่านั้น ดังนั้นสุดท้ายแล้วความสามารถในการปลอบโยนเด็กของผู้ปกครองจึงยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ดี     แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ครั้งหน้าที่เพื่อนๆ เห็นเด็กร้องไห้บนเครื่อง ก็ขอให้คิดว่าเด็กๆ เหล่านั้นอาจจะมีปัญหาของเครื่องบินมากกว่าผู้ใหญ่แบบเราๆ…

  • เมื่อมีงานวิจัยบอกว่า “การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน” ในศตวรรษที่ 16 ทำให้โลกเย็นลง

    เมื่อมีงานวิจัยบอกว่า “การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองอเมริกัน” ในศตวรรษที่ 16 ทำให้โลกเย็นลง

    แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ก็ตาม แต่เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในระหว่างการล่าอาณานิคมช่วงศตวรรษที่ 16 ชาวยุโรปได้สังหารชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาไปเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์     แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาวะของโลกในสมัยนั้น ทั้งในการปกครองพื้นที่ สังคม วัฒนธรรม แถมจากงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ดูเหมือนว่าชาวยุโรปจะสังหารชนพื้นเมืองอเมริกันไปเยอะมาก จนอุณหภูมิของโลกเย็นลงเลย อ้างอิงจาก Alexander Koch ผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ การสังหารหมู่ชนพื้นเมืองนั้นรุนแรงมากพอที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลงเป็นอย่างมาก จนส่งผลให้อุณหภูมิของโลกโดยรวมตกลง จากการคาดการ การสังหารหมู่ในครั้งนั้นได้ทำให้ชาวพื้นเมืองอเมริกันเหลือเพียง 5-6 ล้านคนจากตอนแรกมีถึง 60 ล้านคน ภายในเวลา 100 ปี     ดังนั้นหากคำนวนตามพื้นที่ที่มนุษย์ใช้อาศัย พื้นที่ที่เคยมีคนอยู่ราวๆ 560,000 ตารางกิโลเมตรจะถูกทิ้งร้างจนกลับไปเป็นผืนป่าอีกครั้ง และต้นไม้ในป่าเหล่านี้เองที่ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศจนทำให้บริมาณคาร์บอนไดออกไซด์บนโลกลดลงไปราวๆ 7-10 ppm เลย (เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ในปัจจุบันถ่านหินที่เราเผาเพื่อเป็นพลังงานจากทั่วโลกจะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นราวๆ ปีล่ะ 3 ppm)     นั่นหมายความว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทำให้โลกที่ในช่วงศตวรรษที่ 15-18 ค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว (จากภาวะยุคน้ำแข็งน้อย) มีสภาพที่เย็นมากยิ่งขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่มนุษย์สามารถทำกับโลกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่ออกมานี้ยังคงถูกมองจากนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ฝ่าย ว่ามีการกล่าวอ้างที่เกินจริงอยู่บ้าง และยังคงต้องมีการหาหลักฐานมายืนยันทฤษฎีเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวิจัยดังกล่าว  …

  • ชม “เดอรินกูยู” นครเก่าแก่ใต้ดินแห่งประเทศตุรกี ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยโบราณ

    ชม “เดอรินกูยู” นครเก่าแก่ใต้ดินแห่งประเทศตุรกี ที่ไม่น่าเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยโบราณ

    ย้อนกลับไปในปี ค.ศ 1963 ในเมือง Nevşehir ประเทศตุรกี หลังจากที่ชายคนหนึ่งพังกำแพงบ้านของตัวเองปรับปรุงบ้านใหม่ เขาก็พบกับห้องประหลาดอยู่ที่หลังกำแพงนั้น เมื่อเขาลองตรวจสอบห้องดังกล่าวดู ชายคนนั้นก็พบว่า บ้านของเขาเชื่อมกับทางลับใต้ดินขนาดใหญ่ ของเมืองใต้ดินที่ซ่อนในภูมิภาคแคปพาโดเชีย และรู้จักกันในภายหลังว่า “เดอรินกูยู” (Derinkuyu)   .   นครโบราณเดอรินกูยู เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีความลึกประมาณ 60 เมตร ที่มีช่องสำหรับถ่ายเทอากาศกว่า 15,000 ช่อง และมีห้องต่างๆ กระจายอยู่ตามชั้นที่อยู่อาศัย 11 ชั้น ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้ถึง 20,000 ชีวิต   .   ไม่มีใครทราบว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่มันถูกสร้างขึ้น นักโบราณคดีก็ชื่อว่าที่แห่งนี้น่าจะเคยมีการใช้งานจากคนหลายกลุ่ม และได้รับการขยายพื้นที่ในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ (ช่วงปี ค.ศ. 330-1461)   .   เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้นชาวคริสเตียนยุคแรกๆ อาจจะใช้ที่แห่งนี้เป็นดั่งหลุมหลบภัยจากชาวมุสลิม อ้างอิงจากการที่ในอุโมงค์มีทางเชื่อมไปยังเมืองใต้ดินอีกแห่งในบริเวณใกล้เคียง   .   นครโบราณเดอรินกูยูเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมากเนื่องจากทางลงแต่ละชั้นจะมีประตูหินขนาดใหญ่ที่ปิดได้ด้วยคนคนเดียวขว้างอยู่ แถมบนประตูยังมีรูที่ทำหน้าที่คล้ายตาแมว เพื่อให้สามารถมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ที่อีกฝั่งของประตูด้วย   .…

  • ชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    ชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าตั้งแต่การโจมตีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ประเทศญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาก็กลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่โดนส่งไปเข้าค่ายกักกันบนเกาะฮาวาย     ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าสมัยนั้น ยังมีกองทหารอยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นชาวญี่ปุ่นแทบจะล้วนๆ แต่กลับรบให้กับสหรัฐฯ ภายใต้ชื่อกองกำลัง 442nd Regimental Combat Team และ 100th Infantry Battalion อยู่ด้วย (อ่านเรื่องราวของพวกเขาได้ที่ กองกำลังที่ถูกลืม หน่วยรบสำคัญผู้เป็นเบื้องหลังกองทัพสหรัฐฯ ที่เป็นชาวเอเชียอเมริกัน…) ดังนั้นในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 23 ภาพของทหารชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ที่มาช่วยสหรัฐฯ รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าทหารเหล่านั้นมีชีวิตอย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่อยู่ในกองทัพ   เริ่มกันจากเหล่าทหารหน่วย 442 เคารพธงในรัฐมิสซิสซิปปี มิ.ย. 1943 .   เหล่าทหารที่กำลังแจกจ่ายลูกอมและบุหรี่ที่บริจาคโดยบริษัทสัปปะรดของฮาวายในปี 1943   การฝึกสอนการใช้งานปืนใหญ่ ในปี 1943   หน่วย 442 ในระหว่างการฝึกซ้อมเดินทัพผ่านสะพานทหาร   เหล่าทหารที่กำลังเล่นอูคูเลเล่ระหว่างรอคำสั่ง ในปี 1943   นายทหาร…

  • บริษัทประมูลเยอรมัน จัดประมูลภาพวาดของฮิตเลอร์ มีดาวเด่นเป็นภาพเปลือยหลานฮิตเลอร์

    บริษัทประมูลเยอรมัน จัดประมูลภาพวาดของฮิตเลอร์ มีดาวเด่นเป็นภาพเปลือยหลานฮิตเลอร์

    เมื่อช่วงวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาบริษัทประมูล Weidler ได้มีการนำภาพวาดที่มีลายเซ็นของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ออกเปิดประมูลที่เมืองนูเร็มเบิร์ก รัฐไบเอิร์น ประเทศเยอรมนี     ภาพเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นภาพสีน้ำที่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4,700 บาทไปจนถึง 1,600,000 บาท แล้วแต่ขนาดและความหายากของภาพ โดยในบรรดาภาพที่ถูกนำออกมาประมูลนั้น มีผลงานที่ค่อนข้างน่าสะดุดตาเป็นภาพ “Nackte Frau” (แปลว่าหญิงเปลือย) ภาพวาดเปลือยของผู้หญิงที่คาดกันว่าคือ เกลี เราบัล หลานสาวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์     ภาพที่ออกมานี้ดึงดูดความสนใจของคนที่เขามาเห็นมาก เพราะฮิตเลอร์ นั้นเคยออกมาประกาศว่าเกลี เราบัลเป็นรักแรกของเขาและอยู่ด้วยกันมาในระยะเวลาหนึ่ง (ก่อนที่เธอจะฆ่าตัวตายในปี 1931) ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในช่วงที่การประมูลถูกประกาศออกมา จะถูกวิพากษ์วิจาณ์จากหลายฝ่าย เพราะภาพที่วาดโดยผู้นำนาซีที่มีการนำมาประมูลนั้น ถูกมองว่าอาจไปปลุกกระแสกลุ่มคนรักนาซีก็เป็นได้     ถึงอย่างนั้นก็ตามทางบริษัทประมูลก็ออกมาปฏิเสธว่า ภาพเหล่านี้เพียงถูกนำออกมาประมูล ในฐานะผลงานที่แสดงให้เห็นถึงอีกด้านของผู้นำเผด็จการและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นการปลุกกระแสแต่อย่างใด น่าเสียดายที่การประมูลในครั้งนี้ไม่ได้จบลงด้วยผลที่น่าพอใจอย่างที่คิด เพราะมีภาพหลายภาพที่ไม่มีผู้สนใจประมูล แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยว่ามีเหตุผลมาจากการที่ภาพถูกราคาตั้งต้นสูงเกินไป การประมูลมีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือชื่อเสียงที่ไม่ดีของคนวาดกันแน่     อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทประมูลได้ออกมายืนยันว่าภาพ Nackte Frau ยังคงเป็นดาวเด่นของงานที่มีนักสะสมแย่งกันเสนอราคาถึง…

  • สหรัฐฯ รายงานพบ “โรคกวางซอมบี้” ในพื้นที่ 26 รัฐทั่วประเทศ กังวลอาจติดต่อสู่คนได้

    สหรัฐฯ รายงานพบ “โรคกวางซอมบี้” ในพื้นที่ 26 รัฐทั่วประเทศ กังวลอาจติดต่อสู่คนได้

    ในช่วงเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา  ได้มีรายงานการพบกวางติดโรคประหลาดที่ทำให้กวางมีนิสัยก้าวร้าวผิดปกติในพื้น 26 รัฐของสหรัฐอเมริกา และถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “โรคกวางซอมบี้”     โรคประหลาดที่ว่านี้ถูกเรียกกันในทางวิทยาศาสตร์ว่า “Chronic Wasting Disease” หรือ “CWD” ซึ่งโรคติดต่อทางระบบประสาทที่จะเล่นงานสมอง ไขสันหลัง และเนื้อเยื่ออื่นๆ ในสัตว์จำพวกกวาง CWD ได้ชื่อเล่นมาจากการที่เมื่อกวางติดเชื้อนี้จะมีอาการคล้ายซอมบี้ที่เห็นกันบ่อยๆ ในภาพยนตร์ โดยมันจะมีอาการมึนงง น้ำลายไหลไม่หยุด น้ำหนักลด เดินโซเซ นิสัยก้าวร้าวมากขึ้น หวาดกลัวพวกพ้อง กระหายน้ำรุนแรง สุขภาพย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะตายไปในที่สุด     ในปัจจุบันทางผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าโรคกวางซอมบี้ที่ระบาดในครั้งนี้เกิดขึ้นจากอะไร อย่างไรก็ตามพวกเขาเชื่อกันว่าโรคนี้อาจเกิดขึ้นจาก “พรีออน” โปรตีนขนาดเล็กที่มีชื่อเสียงจากการก่อโรควัวบ้าในวัว โรคครอยตส์เฟลดต์-จาค็อบในมนุษย์ และโรคทางสมองอื่นๆ ที่ติดต่อได้อื่นๆ หรืออาจมาจากแบคทีเรียชื่อ Spiroplasma ที่มักนำมาซึ่งโรคในพืช (ที่เป็นอาหารของกวางอีกที)     จริงอยู่ว่าโรค CWD จะเคยมีการค้นพบมาตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อนแล้ว แต่ที่ผ่านๆ มา โรคที่พบนี้ก็ไม่เคยที่จะมีการระบาดรุนแรงขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นการรระบาดที่เกิดขึ้นจึงทำให้ทางศูนย์การควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (US Centers for…

  • 25 ภาพสุดงดงามของ “ประเทศไอร์แลนด์” ในยุคอดีต จากโปสต์การ์ดสีเมื่อปี 1890

    25 ภาพสุดงดงามของ “ประเทศไอร์แลนด์” ในยุคอดีต จากโปสต์การ์ดสีเมื่อปี 1890

    เคยได้ยินเรื่องประเทศไอร์แลนด์กันมาก่อนไหม (อย่าสับสนกับไอซ์แลนด์นะ) ที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งในสหภาพยุโรป มีประชากรอยู่ราวๆ 4 ล้านกว่าคน มีชื่อเสียงว่ามีเมืองที่สงบและสวยมากๆ แถมยังดูแสงเหนือได้อีกด้วย แถมเจ้าความงดงามของประเทศไอร์แลนด์ที่ว่านี้ ยังถือว่ามีมาเป็นเวลานานกว่าที่เราคิดมากอีกด้วย   เริ่มกันจาก Royal Avenue ในเขต Antrim   ถึงขั้นที่ว่าในช่วงปี 1890 ทางไอร์แลนด์ถึงกับออกโปสต์การ์ดภาพของเมืองแบบมีสีเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อไว้ในครอบครองด้วยกระบวนการลงสีภาพที่ชื่อ “Photochrom” เลย ซึ่งทำให้ภาพขาวดำนั้นดูมีสีเสมือนจริงขึ้นมา เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมล่ะว่าภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าใช่ก็ขอเชิญเพื่อนๆ ไปชมภาพสุดงดงามของประเทศไอร์แลนด์ช่วงปี 1890 กันได้เลยที่ข้างล่างนี้   หมู่บ้าน Glenoe ในเขต Antrim   หน้าผาที่ Moher ในเขต Claire   เมือง Lisdoonvarna ในเขต Claire   ปราสาท Blackrock ในเขต Cork   โรงแรม Eccles ในเขต Cork   ท่าเรือ Glengarriff ในเขต Cork   Newcastle ในเขต Down   ทางเดินริมทะเลในเมือง Warrenpoint เขต Down…

  • ย้อนรอยอารยธรรมซิคละดีส เจ้าของรูปสลักไร้หน้าสุดแปลก ที่มีเสน่ห์ร่วมสมัยแม้ในปัจจุบัน

    ย้อนรอยอารยธรรมซิคละดีส เจ้าของรูปสลักไร้หน้าสุดแปลก ที่มีเสน่ห์ร่วมสมัยแม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องอารยธรรมซิคละดีสกันไหม ที่คืออารยธรรมในช่วงต้นยุคสำริดที่เกิดขึ้นในหมู่เกาะซิคละดีสในทะเลอีเจียน (อยู่ระหว่างประเทศกรีซกับตุรกี) ในช่วง 3200-1100 ปีก่อนคริสตกาล เรื่องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอารยธรรมนี้ ว่ากันตามตรงแล้วไม่ค่อยจะมีการบันทึกเอาไว้มากนัก แถมส่วนมากยังหายไปกับกาลเวลาอีก ถึงอย่างนั้นก็ตามอารยธรรมซิคละดีสก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่น่าสนใจเลย     นั่นเพราะอารยธรรมนี้มีการแกะสลักหินอ่อนที่งดงามและล้ำสมัยมาก แถมยังทำมาก่อนอารยธรรมที่ขึ้นชื่อเรื่องงานศิลป์อย่างอารยธรรมไมนอสที่ได้ชื่อว่าเป็น “สิ่งแรกที่เชื่อมวัฒนธรรมยุโรป” มานานกว่า 1,000 ปีเลย รูปแกะสลักหินอ่อนของอารยธรรมซิคละดีสโดยมากแล้วจะออกมาในรูปแบบศิลปะนามธรรม และมักจะออกมาในรูปแบบของมนุษย์ที่มีรูปทรงประหลาด ไร้ซึ่งใบหน้าและดูลึกลับราวกับงานศิลปะสมัยใหม่ ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากสำหรับวัฒนธรรมที่มีอายุถึง 5,000 กว่าปี     ที่สำคัญคือรูปแกะสลักที่ออกมาส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นรูปสลักของผู้หญิงทำให้มีนักโบราณคดีหลายคนที่คาดการว่าอารยธรรมนี้ในสมัยก่อนอาจจะมีผู้หญิงเป็นผู้มีอำนาจก็เป็นได้ (ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาก็ตาม) จากหลักฐานที่มีการพบในอดีต ผู้คนในอารยธรรมซิคละดีสน่าจะครอบครองเกาะแถวๆ ทะเลอีเจียนมาตั้งแต่ช่วงยุคหินใหม่ โดยมีอาหารหลักเป็นข้าวสาลีและปลา อย่างไรก็ตามด้วยความที่พวกเขาอาศัยอยู่บนเกาะเล็กๆ ก็ทำให้ประชาชนในแต่ล่ะเกาะไม่ได้เอยะมากนัก ดังนั้นเมื่อราวๆ 2,000-1,500 ปีก่อนคริสตกาล ที่อยู่อาศัยของพวกเขาจึงถูกชาวไมนอสเข้าครอบครอง ก่อนที่อารยธรรมไมนอสที่มีอิทธิพลในพื้นที่ จะถูกรวมเข้ากับอารยธรรมไมซีนีในเวลาต่อมา     การส่งผ่านอารยธรรมอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เรื่องราวส่วนใหญ่ของอารยธรรมซิคละดีสเลือนรางและติดตามได้ยากมากจากในปัจจุบัน แถมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 วัตถุโบราณส่วนใหญ่ของอารยธรรมนี้ ยังถูกนำไปขายในตลาดมืด จนมีโบราณวัตถุเพียงราวๆ 40% ของที่พบในปัจจุบันเท่านั้น ที่สามารถยืนยันได้ว่ามาจากอารยธรรมนี้จริงๆ ไป แต่ถึงแม้ว่าข้อมูลของวัฒนธรรมนี้จะเลือนรางแค่ในก็ตาม เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่ารูปแกะสลักที่เหลือมาจนถึงปัจจุบันนั้น มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่ร่วมสมัยอย่างไม่น่าเชื่อเลยอยู่ดี     ที่มา ancient-origins, ancientpages

  • พบโลงศพสมัยโรมันสองชิ้นที่มีตกแต่งแบบเซลติก ในมณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ

    พบโลงศพสมัยโรมันสองชิ้นที่มีตกแต่งแบบเซลติก ในมณฑลเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ

    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาวารสารออนไลน์ “Current Archaeology” ฉบับที่ 348 ได้มีการตีพิมพ์ข่าวการค้นพบโลงศพตะกั่วจากสมัยโรมันโบราณจำนวนสองชิ้น ที่มณฑลเซอร์รีย์ ทางตอนใต้ของสหราชอาณาจักร     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นโดยนักโบราณคดีจากบริษัท Wessex Archeology หลังจากที่ได้รับการติดต่อจากบริษัทจัดหาวัตถุดิบในพื้นที่ ให้มาตรวจสอบเหมืองหินที่พวกเขาพบก่อนที่จะมีการขุดหินไปใช้ จากที่ระบุไว้ในวารสาร หลังจากที่เข้าไปในพื้นที่ นักโบราณคดีก็พบสถานที่ที่มีสภาพคล้ายกับหลุมฝังศพ 7 แห่ง อย่างไรก็ตามในบรรดาหลุมฝังศพเหล่านั้น มีโลงศพตะกั่วเพียงแค่สองโลงที่เหลือรอดมา     โลงศพทั้งสองทำจากแผ่นตะกั่วหลายแผ่นพับเข้าหากันและเชื่อม และแม้ว่าหลุมศพจะมีการประดับไปด้วยลายนูนรูปเปลือกหอยสแกลลอป ซึ่งเป็นที่นิยมมากๆ ในหลุมฝังศพแบบโรมัน แต่ลวดลายอื่นๆ บนโลงศพกลับออกมาในรูปแบบเซลติกทั้งสิ้น การที่โลงศพเป็นเช่นนี้ ถูกคาดเดาโดยทีมนักโบราณคดีว่า น่าจะมาจากการที่คนในพื้นที่ได้รับอิทธิพลจากทางเซลติกในช่วงเวลาที่หลุมศพนี้ถูกฝังพอดี ดังนั้นตัวโลงศพที่ออกมาจึงอยู่ในรูปแบบที่ผสมผสานกันของวัฒนธรรมที่แตกต่าง น่าเสียดายที่ตัวโลงศพนั้นผุพังไปตามกาลเวลาจนมีสภาพเล็กกว่าที่น่าจะเป็น และมีทรายทะลักเข้าไปในโลงศพเป็นจำนวนมาก ดังนั้นโครงกระดูกภายในจึงไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เท่ากันที่หวัง   แผนที่อิทธิพลของโรมันในอังกฤษ อ้างอิงจากการค้นพบทางโบราณคดี   ถึงอย่างนั้นก็ตาม นักโบราณคดีก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าโครงกระดูกในโลงศพที่พบ โลงหนึ่งน่าจะเป็นโครงกระดูกของผู้ใหญ่หนึ่งคน และเด็กอายุไม่เกินหกเดือนอีกหนึ่งคน ในขณะที่อีกหนึ่งโลงเป็นโครงกระดูกของผู้ใหญ่ธรรมดา และถึงแม้ความไม่สมบูรณ์ของโลงศพที่พบจะเป็นปัญหาต่อการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่บ้าง นักโบราณคดีก็ชื่อว่าหากมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เราก็อาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนในสมัยนั้นไม่มากก็น้อยในอนาคต   ที่มา ancient-origins, archaeology

  • แผนที่สามมิติใหม่เผย กาแล็กซีทางช้างเผือกไม่ได้แบน แต่มีสภาพโค้งงอคล้ายตัว S ต่างหาก

    แผนที่สามมิติใหม่เผย กาแล็กซีทางช้างเผือกไม่ได้แบน แต่มีสภาพโค้งงอคล้ายตัว S ต่างหาก

    เมื่อพูดถึงรูปร่างของกาแล็กซีทางช้างเผือก เชื่อว่าในความคิดของหลายๆ คนอาจจะนึกถึงภาพของกาแล็กซีรูปก้นหอยที่มีสภาพแบนราบคล้ายแผ่น CD จากภาพที่เห็นกันบ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักดาราศาสตร์ก็ได้ออกมาบอกว่าจริงๆ แล้วกาแล็กซีทางช้างเผือกไม่ได้แบนราบคล้ายแผ่น CD อย่างที่เราคิด แต่มีสภาพโค้งงอคล้ายตัว S ในภาษาอังกฤษต่างหาก     นี่เป็นข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาพร้อมๆ กับแผนที่สามมิติชิ้นใหม่ล่าสุดของกาแล็กซีทางช้างเผือก ที่สร้างขึ้นภายใต้ความร่วมมือของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กควอรีในออสเตรเลีย และหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์แห่งชาติในประเทศจีน โดยเจ้าแผนที่สามมิติชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยการวัดระยะทางจากโลกไปยังดาวแสงเซฟีด (Cepheid variable) ดาวที่มีความสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ จำนวน 1,339 ดวงทั่วกาแล็กซี เพื่อใช้ระยะทางที่ได้ในการคำนวณขนาดและรูปร่างที่แท้จริงของกาแล็กซีทางช้างเผือก     การทำเช่นนี้ทำให้แผนที่ตัวใหม่ล่าสุดที่ออกมาได้รับการชื่นชมจากนักดาราศาสตร์หลายรายว่าเป็นแผนที่กาแล็กซีทางช้างเผือก ที่มีความแม่นยำมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย ทางนักวิทยาศาสตร์ได้บอกว่า การที่ขอบนอกของกาแล็กซีทางช้างเผือกมีสภาพโค้งงอเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากเมื่อเทียบกับกาแล็กซีอื่น และแสดงให้เห็นถึงตัวแปรบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยคาดถึง ซึ่งอาจจะเป็นการกระจายตัวของ “Dark Matter” สสารในจักรวาลที่เรามองไม่เห็นแต่รู้ว่ามีอยู่ หรือแรงเหวี่ยงมหาศาลจากใจกลางกาแล็กซีก็เป็นได้ ที่มา astronomy, bbc, earthsky และ theguardian

  • พบโรคมะเร็งกระดูกในฟอสซิลเต่าที่ไร้เปลือกอายุ 240 ล้านปี ซึ่งคล้ายกับในมนุษย์ปัจจุบันมาก

    พบโรคมะเร็งกระดูกในฟอสซิลเต่าที่ไร้เปลือกอายุ 240 ล้านปี ซึ่งคล้ายกับในมนุษย์ปัจจุบันมาก

    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในนิตยาสารออนไลน์ JAMA Oncology นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยผลการค้นพบชิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นกับ ฟอสซิลของสัตว์เมื่อ 240 ล้านปีก่อน และเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นจากการศึกษาฟอสซิลของเต่าที่ไร้เปลือก สายพันธุ์ Pappochelys rosinae จากยุคไทรแอสซิก ด้วยระบบกล้องจุลทรรศน์ และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภายใต้ความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติของรัฐเพนซิลเวเนีย และสถาบันการวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการและความหลากหลายทางชีวภาพในกรุงเบอร์ลิน   Pappochelys rosinae เป็นบรรพบุรุษของเต่าที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน   โดยจากการตรวจสอบ พวกเขาพบว่าในเยื่อหุ้มกระดูกของเต่าที่พบนั้นมีร่องรอยที่บ่งบอกถึงการลุกลามของเนื้องอกมะเร็งในระบบกระดูก (Osteosarcoma) ซึ่งถือว่ามีความร้ายแรงมาก แฝงเอาไว้อยู่ Dr. Bruce Rothschild หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า การค้นพบมะเร็งในฟอสซิลโบราณนั้นนับว่าเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะตามปกติสภาพของฟอสซิลมักจะทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกได้ว่าความเสียหายบนกระดูกนั้นมาจากกาลเวลาหรือว่าโรคภัยกันแน่     นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้อาจกลายเป็นการค้นพบโรคมะเร็งที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะที่ผ่านๆ มามะเร็งในลักษณะนี้เคยมีการค้นพบในหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ตัวมะเร็งที่มีการค้นพบในฟอสซิลยังมีความน่าสนใจมากๆ อีกด้วย เพราะทั้งลักษณะโดยรวม และอาการที่ของมันแทบจะไม่มีความแตกต่างจากมะเร็งที่พบในมนุษย์ปัจจุบันเลย     นั่นหมายความว่าโรคมะเร็งบางชนิดที่มนุษย์เป็นกันในปัจจุบันนั้น อาจจะเป็นของที่อยู่คู่กับสิ่งมีชีวิตมาตั้งแต่ 240 ล้านปีก่อนแล้วนั่นเอง…

  • พบแม่เหล็กชนิดใหม่ในยูเรเนียม สลับสถานะเร็วกว่าปกติ เชื่อใช้กับวงการคอมได้ในอนาคต

    พบแม่เหล็กชนิดใหม่ในยูเรเนียม สลับสถานะเร็วกว่าปกติ เชื่อใช้กับวงการคอมได้ในอนาคต

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าอิเล็กตรอนเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของสสารทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งตามปกติแล้วอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้จะสร้างสนามแม่เหล็กที่มีขั้วบวกขั้วลบขึ้นมาภายในสสารที่มีมันเป็นองค์ประกอบ ในวัตถุทั่วไปสนามแม่เหล็กเหล่านี้จะชี้ไปแบบมั่วๆ ทำให้ความเป็นแม่เหล็กลบล้างกันเอง (เป็นเหตุผลที่ร่างกายมนุษย์ไม่กลายเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ไป) และหากสนามแม่เหล็กชี้ไปในทางเดียวกัน วัตถุชิ้นนั้นๆ ก็จะมีสภาพเป็นแม่เหล็กไป     เรื่องที่กล่าวมานี้คือการทำงานตามปกติของอิเล็กตรอนในวัตถุต่างๆ ที่นักวิทยาศาสตร์รู้จักกัน แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์กลับพบกับการเรียงตัวของอิเล็กตรอนที่ไม่น่าจะเป็นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดแม่เหล็กรูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้าเสียแล้ว โดยนี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นกับสารประกอบยูเรเนียมที่มีชื่อว่า “USb2” สารประกอบที่มีการเรียงตัวของอิเล็กตรอนในรูปแบบที่แม้จะไม่ได้เรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน แต่กลับมีความสามารถที่จะเป็นแม่เหล็กได้   ภาพเปรียบเทียบการเรียงตัวของอิเล็กตรอนในวัตถุทั่วไป กับของ USb2   นั่นเพราะ USb2 มี อิเล็กตรอนที่เรียงตัวในรูปแบบที่เรียกกันว่า “Spin Excitons” ซึ่งมีสภาพเป็นกึ่งอนุภาค (Quasiparticle) และหากสภาวะภายนอกเหมาะสม มันก็จะสามารถมีสถานะคล้ายแม่เหล็กได้อย่างรวดเร็ว หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือสารประกอบ USb2 จะสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นแม่เหล็กได้ในเสี้ยวพริบตา และจะกลับเป็นสารปกติในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งนับว่าเร็วกว่าการใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนเหล็กเป็นแม่เหล็กธรรมดามากนั่นเอง     ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อการเรียงตัวของแม่เหล็กแบบนี้ว่า “Singlet-Based” และอธิบายว่าความเร็วในการสลับสถานะแม่เหล็กของสารประกอบแบบนี้อาจทำให้ในอนาคตเราสามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์ (ที่เก็บข้อมูลโดยการเปิดปิดแม่เหล็ก) ให้สามารถทำงานได้เร็วยิ่งขึ้นยิ่งกว่าในปัจจุบันก็เป็นได้   ที่มา livescience, newscientist

  • ย้อนรอย คดีการเสียชีวิตปริศนาที่เขาดยัตลอฟ เรื่องลึกลับของโลกที่ยังไขไม่ได้แม้ในปัจจุบัน

    ย้อนรอย คดีการเสียชีวิตปริศนาที่เขาดยัตลอฟ เรื่องลึกลับของโลกที่ยังไขไม่ได้แม้ในปัจจุบัน

    เคยได้ยินเรื่องคดีการตายปริศนาที่เขาดยัตลอฟกันไหม? นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตสุดแปลกของนักสกีมีฝีมือ 9 คนของรัสเซีย ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ไปจนถึง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1959     ไม่มีใครรู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นเขาดยัตลอฟบ้างในตอนที่กลุ่มนักเดินทางหายไป แต่หลังจากที่เหล่านักสกีทางไม่กลับมาในเวลาที่ควร ทีมค้นหาก็ตัดสินใจขึ้นไปบนเขาเพื่อตามหากลุ่มนักเดินทางกลุ่มนั้น     เมื่อเขาพบกับบริเวณที่ตั้งแคมป์ของเหล่านักสกีทีมค้นหาก็พบว่าตัวเต็นท์อยู่ในสภาพที่ถูกกรีดเปิดจากภายในแต่กลับไม่มีของหายไป ห่างออกไปในป่า จากแคมป์ราวๆ 2 กิโลเมตรพวกเขาก็พบกับร่างของนักสกีห้าคน เสียชีวิตอยู่ในสภาพใส่แต่ชุดบางๆ ทั้งที่อุณหภูมิแถวๆ นั้นต่ำสุดได้ถึง -30 องศาเซลเซียส ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลกแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเกิดจากการรีบหนีออกมาจากเต็นท์     อย่างไรก็ตามปริศนาของคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการพบศพที่เหลืออยู่อีกสี่ศพต่างหาก เพราะร่างของสามในสี่ของนักสกีที่พบฝังไว้ใต้หิมะ แถมยังเละเทะมากแตกต่างไปจากห้าคนแรกที่เสียชีวิตเพราะหนาวตาย คนหนึ่งได้รับอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศรีษะและอวัยวะภายในรุนแรงทั้งๆ ที่ไม่มีบาดแผลภายนอก หนึ่งคนมีแผลขนาดใหญ่ที่หน้าอกที่มีความรุนแรงเทียบได้กับการเผชิญเหตุการณ์อย่างอุบัติทางรถยนต์เลย และอีกหนึ่งคนส่วนหนึ่งของปาก ลิ้น ดวงตา และส่วนหนึ่งของสมองหายไป     สภาพการเสียชีวิตของพวกเขาเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในเวลาที่ห่างกันพอสมควร เนื่องจากมีร่องรอยว่าพวกเขาเอาเสื้อผ้าของผู้ตายมาใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นในระหว่างที่เกิดเหตุด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีคนมากมายออกมาสันนิษฐานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่เหล่านักสกีหายไป ทั้งแนวคิดที่ว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยชนเผ่าในพื้นที่ ถูกสัตว์ป่าโจมตี โดยหิมะถล่มใส่ หรือแม้กระทั่งทฤษฎีที่ว่าพวกเขาโดนโจมตีด้วยอาวุธกัมมันตรังสี (เนื่องจากบนร่างกายของพวกเขามีสารกัมมันตรังสีตกค้างอยู่)     ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีไหนก็ไม่มีใครอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี แถมเรื่องราวยังซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ…

  • ลายพราง “Dazzle” ลายพรางเรือสุดแปลกที่ไม่ได้ใช้พรางตัว แต่ทำให้เรือศัตรูสับสน

    ลายพราง “Dazzle” ลายพรางเรือสุดแปลกที่ไม่ได้ใช้พรางตัว แต่ทำให้เรือศัตรูสับสน

    สำหรับคนที่ติดตามเรื่องราวของวงการทหารกันมาคงจะทราบกันดีว่าการพรางตัวสำคัญต่อสงครามขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลายพรางจะถูกใช้งานกับทั้งทหารราบและยานพาหนะมากมายตลอดช่วงสงครามที่ผ่านมา ว่าแต่เคยเห็นลายพราง “Dazzle” ที่ใช้กันบ่อยๆ ในกับเรือรบอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกันไหม เพราะหากดูเผินๆ แล้วเจ้าลายพรางอันนี้ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ในการพรางตัวเลย     ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมลายพรางที่ไม่มีประโยชน์ในการพรางตัวเช่นนี้จึงเป็นที่นิยมขึ้นมากัน? คำตอบคือเพราะลายพรางอันนี้ช่วยทำให้เรือดำน้ำของฝั่งเยอรมนีสับสนได้นั่นเอง นั่นเพราะเมื่อมองเรือที่มีลายพรางแบบ Dazzle ผ่านกล้องของเรือดำน้ำ ลวดลายของเรือจะช่วยทำให้การคาดการขนาด ความเร็ว ระยะห่าง และทิศทางที่เรือจะแล่นผ่านเป็นไปได้ยากขึ้น เนื่องจากคนที่มองกล้องอยู่อาจสับสนว่าลายของเรือเป็นมุมของเรือจริงๆ     ลายพรางแบบ Dazzle ถูกคิดค้นใช้งานเป็นครั้งแรกโดยนายร้อยชื่อ Norman Wilkinson ผู้เคยเป็นศิลปินมาก่อน หลังจากที่เขาไปตกปลาในวันหยุดฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี 1917 และหลังจากที่ใช้งานไปได้ไม่ถึงปีลายพรางของ Norman ก็ทำผลงานมากพอที่จะให้เรือของอังกฤษกว่า 2,300 ลำ ใช้ลายพรางนี้ในช่วงจบสงครามเลย แม้ว่าจะไม่มีรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของลายพรางต่อเรือดำน้ำถูกบันทึกไว้เป็นสถิติก็ตาม   Norman Wilkinson เจ้าของผลงานลายพรางแบบ Dazzle   จากคำบอกเล่าของ Roy R. Behrens ศาสตราจารย์ด้านศิลปะและนักวิชาการดีเด่นแห่งมหาวิทยาลัย Northern Iowa ลายพรางแบบ Dazzle มีการใช้งานแม้แต่ในบรรดาสัตว์ป่าตามธรรมชาติ เพราะสัตว์อย่างม้าลายเองก็ใช้งานสีขาวสลับดำของตัวเองเพื่อหลอกสัตว์นักล่า (และแมลง) ให้สับสน มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะบอกว่าลายพรางแบบนี้น่าจะใช้งานได้จริงกับเรือดำน้ำในสมัยก่อน…

  • ตำรวจอินเดียจับกุมวัยรุ่น 4 คน หลังทำลายโบราณสถานมรดกโลก และถ่ายคลิปลงโซเชียล

    ตำรวจอินเดียจับกุมวัยรุ่น 4 คน หลังทำลายโบราณสถานมรดกโลก และถ่ายคลิปลงโซเชียล

    เมื่อราวๆ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ที่ประเทศอินเดียได้มีคลิปวิดีโอเหตุการณ์การทำลายโบราณสถานคลิปหนึ่ง เผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลและกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกอินเตอร์เน็ต     โดยในวิดีโอที่เผยแพร่ออกมา เป็นภาพของกลุ่มคน 4 คน กำลังทำลายเสาโบราณภายในวิหารของพระวิษณุ หนึ่งในโบราณสถานจากศตวรรษที่ 14 ที่ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO ของรัฐกรณาฏกะ ประเทศอินเดีย คลิปที่ว่านี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่และเหล่าผู้คนบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่พวกเขาทราบว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี 2018 แล้ว แต่กลับแทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย   คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก The Times of India    ดังนั้นประชาชนของอินเดียจึงได้รวมตัวกันยื่นคำร้องต่อกรมการสำรวจทางโบราณคดีของอินเดีย เพื่อเรียกร้องให้ ทางตำรวจการออกติดตามจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด และแล้วเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราวๆ หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เกิดเหตุนั่นเองในที่สุดคดีในครั้งนี้ก็มีความคืบหน้าจนได้ เมื่อทางตำรวจของอินเดีย ได้ทำการเข้าควบคุมตัวกลุ่มนักท่องเที่ยว 4 คนในฐานะผู้ต้องสงสัย     จากการเปิดเผยของทางตำรวจรัฐกรณาฏกะ นักท่องเที่ยวกลุ่มที่ว่านี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวด้วยกันทั้งหมดห้าคน อย่างไรก็ตามหนึ่งในห้าคนมีหลักฐานว่าแยกไปเดินเรื่อยเปื่อยในวิหารเพียงลำพัง โดยที่ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ ทำอะไรลงไปจึงไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปด้วย ส่วนนักท่องเที่ยว 4 คนที่เหลือได้ให้เหตุผลในการก่อเหตุว่ามาจากความคึกคะนอง และไม่ทราบถึงความสำคัญของโบราณสถานที่ตัวเองทำลายลงไป ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงขึ้นไปผลักเสาโบราณให้ล้มลงมาในขณะที่อีกหนึ่งคนถ่ายคลิปเก็บเอาไว้…

  • วิศวกรพบดาบโบราณจากยุคกลางโดยบังเอิญ ในระหว่างขุดลอกท่อน้ำทิ้งที่ประเทศเดนมาร์ก

    วิศวกรพบดาบโบราณจากยุคกลางโดยบังเอิญ ในระหว่างขุดลอกท่อน้ำทิ้งที่ประเทศเดนมาร์ก

    ตามปกติเมื่อพูดถึงสถานที่ที่มีการค้นพบอาวุธโบราณ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะนึกถึงปราสาทหรือไม่ก็ฝังอยู่ในแผ่นดินเก่าแก่ก่อนเป็นอย่างแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ววัตถุโบราณนั้นอาจจะถูกค้นพบที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมวิศวกรแห่งประเทศเดนมาร์ก ก็บังเอิญค้นพบดาบโบราณเก่าแก่ในสถานที่แปลกๆ อย่างท่อน้ำทิ้งเสียอย่างนั้น     โดยนี่เป็นดาบสองคมที่มีความยาว 112 เซนติเมตร หนักราวๆ 1 กิโลกรัม ซึ่งมีการค้นพบในระหว่างการขุดลอกท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ และคาดว่าน่าจะเคยเป็นของนักรบผู้ดีจากช่วงปี 1330 จากคำบอกเล่าของนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งนอร์ทเทิร์นจุ๊ตแลนด์ “ในช่วงยุคกลางการครอบครองดาบดีๆ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุนทรัพย์ค่อนข้างมาก ดังนั้นคนที่จะสามารถซื้อดาบเล่มนี้ได้จึงน่าจะเป็นนักรบมีฝีมือที่ถูกจัดเป็นผู้ดีเท่านั้น” แม้ว่านักโบราณคดีจะไม่พบหลักฐานว่าทำไมดาบเล่มนี้จึงไปอยู่ในท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ได้ แต่นักโบราณคดีก็คาดว่าจริงๆ แล้วดาบเล่มนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1,100 หรือราวๆ 200 ปีก่อนที่มันจะมาอยู่ในสถานที่ที่มีการค้นพบ     เท่านั้นยังไม่พอ เพราะจากร่องรอยการต่อสู้ที่นักโบราณคดีพบ พวกเขายังบอกอีกว่าเคยถูกใช้ในการต่อสู้มาอย่างต่ำๆ 4 ครั้ง ทำให้ดาบเล่มนี้ถือว่าเป็นดาบที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากๆ เล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ เป็นไปได้ว่าเจ้าของดาบเล่มนี้น่าจะทำดาบหายในระหว่างสงครามหรือการเดินทาง เนื่องจากตามปกติดาบของนักรบมักจะถูกพบฝังไปกับตัวเจ้าของไม่ใช่โดดเดี่ยวอยู่ในท่อน้ำทิ้งเช่นนี้ อย่างไรก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ก็ทำให้ทีมนักโบราณคดีวางแผนที่จะเข้าร่วมการขุดลอกท่อน้ำทิ้งของเมืองออลบอร์ โดยตั้งความหวังไว้ว่าในอนาคตพวกเขาอาจจะพบกับวัตถุโบราณอื่นๆ จากการปฏิบัติการครั้งนี้ต่อไป   ที่มา livescience, thelocal และ foxnews

  • รัฐบาลตุรกีพบคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่ อายุร่วม 1,200 ปี หลังบุกจับผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ

    รัฐบาลตุรกีพบคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่ อายุร่วม 1,200 ปี หลังบุกจับผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ

    เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายของประเทศตุรกี ได้เข้าทำการจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณใน Diyarbakir เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ในปฏิบัติการครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้สามารถจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณได้ทั้งหมด 6 ราย และได้ทำการยึดคัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่อายุเล่มหนึ่งเอาไว้เป็นของกลาง     ในเบื้องต้นทางรัฐบาลตุรกีได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า คัมภีร์ไบเบิลที่ถูกยึดไว้เป็นคัมภีร์หนัง ที่มีลวดลายทางศาสนาทั้งบนปกและภายในที่ทำจากทอง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่ มีความหนา 34 หน้า และคาดว่ามีอายุตั้งแต่ 1,100-1,200 ปี เป็นไปได้ว่าวัตถุโบราณชิ้นนี้จะจะถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศซีเรียที่กำลังอยู่ในระหว่างสงครามกลางเมือง เนื่องจากกลุ่มรัฐอิสลามอย่าง ISIS มีชื่อเสียงเรื่องการลักลอบจำหน่ายวัตถุโบราณเพื่อหาทุนมาเป็นเวลานานแล้ว     น่าเสียดายที่ทางรัฐบาลตุรกีไม่มีข้อมูลว่าใครเจ้าของจริงๆ ของวัตถุโบราณชิ้นนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาให้ความเป็นไปได้ว่าคัมภีร์ไบเบิลที่พบน่าจะเคยถูกเก็บไว้ในโบสถ์มาก่อน เนื่องจากโบสถ์ในซีเรียมักจะมีความเก่าแก่มากๆ โดยเฉพาะในเมือง Antioch และ Damascus สื่อต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลตุรกีกังวลเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณเป็นอย่างมาก ทำให้ในทุกๆ ปีมีปฏิบัติการต่อต้านการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายเกิดขึ้นในประเทศมากกว่า 1,000 ครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ตามดูเหมือนว่าการลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณก็ยังคงไม่หมดไปจากประเทศอยู่ดี     ในปัจจุบันคัมภีร์ไบเบิลที่ถูกพบคาดกันว่าจะถูกนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการนำไปเข้ากระบวนการทางกฎหมายต่อไป   ที่มา ancient-origins, hurriyetdailynews และ euronews

  • ย้อนรอย หอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งสตอกโฮล์ม ที่รวมสายโทรศัพท์ไว้กว่า 5,000 เส้น

    ย้อนรอย หอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งสตอกโฮล์ม ที่รวมสายโทรศัพท์ไว้กว่า 5,000 เส้น

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มนุษย์เราได้คิดค้นเทคโนโลยีโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามโทรศัพท์ในสมัยนั้นยังคงต้องมีสาย และต้องมีการต่อสายโดยตรงด้วยมือโดยพนักงานที่เป็นมนุษย์ เท่านั้นยังไม่พอเพราะในช่วงแรกๆ ที่มีการคิดค้นโทรศัพท์ขึ้นมา โทรศัพท์แต่ละเครื่องต้องมีสายแยกเป็นของตนเองไม่สามารถใช้สายร่วมกันกับเครื่องอื่นๆ ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บ้านเมืองในสมัยนั้นจะเต็มไปด้วยสายโทรศัพท์ระโยงระยาง     และแน่นอนว่าหากพูดถึงเมืองที่มีหอรับสายโทรศัพท์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เราก็คงจะต้องพูดถึงหอโทรศัพท์ที่สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เป็นที่แรก เพราะที่แห่งนี้เป็นหอส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่ใหญ่โตสุดๆ ไปเลย หอส่งสัญญาณนี้มีชื่อว่า Telefontorne สัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกส่งขึ้นในช่วงปี 1890 และมีหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางที่จะรับมือกับสายโทรศัพท์จากทั่วทั้งเมือง     หอส่งสัญญาณแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างรูปสี่เหลี่ยมที่สร้างขึ้นจากโลหะสูง 80 เมตร และแบกรับสายโทรศัพท์เอาไว้มากกว่า 5,500 สาย อย่างไรก็ตามด้วยโครงสร้างที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยสักเท่าไหร่ในสมัยนั้นก็ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ยากต่อการทำงานมาก คนงานของหอส่งสัญญาณโทรศัพท์แห่งนี้จะต้องปีนขึ้นไปทำงานในที่สูงโดยที่ไม่มีราวกั้น และด้วยความที่หอส่งสัญญาณไม่มีผนัง ในฤดูหนาวหรือช่วงที่ฝนตกหอส่งสัญญาณแห่งนี้ก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงอยู่เสมอๆ     นับว่าโชคดีมากที่หลังจากการสร้างหอส่งสัญญาณ Telefontorne ขึ้นระบบโทรศัพท์ก็พัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หอส่งสัญญาณนี้จึงไม่จำเป็นจะต้องมีการใช้งานมากมายเหมือนกับในอดีต นั่นทำให้ตลอดช่วงเวลา 40 ปีหลังจากปี 1913 หอส่งสัญญาณ Telefontorne ก็รับหน้าที่เป็นแลนด์มาร์ค และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองสตอกโฮล์มต่อไป     จนกระทั่งในปี 1953 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในสตอกโฮล์ม และลามไปติดหอส่งสัญญาณแห่งนี้เข้าพอดีทำให้สุดท้ายหอส่งสัญญาณ Telefontorne ก็ต้องถูกรื้อถอนออกไปในปีเดียวกัน สิ่งที่หอส่งสัญญาณแห่งนี้ทิ้งไว้ สุดท้ายแล้วก็มีเพียงรูปภาพแห่งความทรงจำที่ว่าครั้งหนึ่งเมืองสตอกโฮล์ม เคยมีหอส่งสัญญาณขนาดใหญ่ที่แบกรับสายโทรศัพท์จำนวนมากเอาไว้ก็เท่านั้น    …

  • 31 ภาพประเทศกรีซในศตวรรษที่ 19 ชมความงดงามในช่วงเวลาที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    31 ภาพประเทศกรีซในศตวรรษที่ 19 ชมความงดงามในช่วงเวลาที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    เมื่อพูดถึงประเทศกรีซ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึงนครท่องเที่ยวที่มีโบราณสถานเก่าแก่งดงามมากมาย และมีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องเกี่ยวกับกรีกโบราณเป็นหลัก ภาพที่เราจดจำจากประเทศกรีซส่วนใหญ่จึงจะเป็นภาพสมัยใหม่ หรือไม่ก็ภาพลักษณ์เก่าแก่ 2,000 กว่าปีก่อนไปเลย ถึงอย่างนั้นประเทศกรีซก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมามีเสน่ห์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปัจจุบันหรอกนะ เพราะคนในสมัยก่อนเองก็นิยมที่จะไปเที่ยวชมและถ่ายรูปประเทศอันน่าหลงใหลนี้เช่นกัน ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับประเทศกรีซในช่วงที่หลายๆ คนคงจะไม่เคยเห็นกัน กับ 31 ภาพสุดงดงามของประเทศกรีซในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่จะน่าสนใจขนาดไหน คงต้องไปชมกันเลยที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากเหล่านักท่องเที่ยวที่วิหารพาร์เธนอน กรุงเอเธนส์ เมื่อราวๆ ปี 1860   กรุงเอเธนส์มองจากอะโครโพลิส เมื่อราวๆ ปี 1860 สามมุมจากช่างภาพสามคน . .   วิหารเฮฟีสเทียน ในอะโครโพลิส ราวๆ ปี 1860   วิหารจูปิเตอร์ เอเธนส์ ประมาณปี 1860   ไพรีอัสท่าเรือสำคัญของประเทศกรีซ 1860   อนุสาวรีย์ผู้นําการร้องประสานเสียงสมัยโบราณของกรีก (The Choragic Monument of Lysicrates) 1860   เมืองเทสซาโลนิกิ 1860…

  • อย. สหรัฐฯ เผย ผู้หญิงที่เป็น “มะเร็ง” จากการศัลยกรรมหน้าอก เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวในปี 2018

    อย. สหรัฐฯ เผย ผู้หญิงที่เป็น “มะเร็ง” จากการศัลยกรรมหน้าอก เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวในปี 2018

    เป็นเรื่องที่ทราบกันว่าในปัจจุบันสาวๆ นิยมทำศัลยกรรมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสริมดั้ง ทำตาสองชั้น ดูดไขมัน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการเสริมทรวงอก ดังนั้นนี่อาจจะเป็นข่าวร้ายไม่น้อยเลยสำหรับเหล่าสาวๆ ที่รักในการแต่งเติมเสริมร่างกายหลายๆ คน เพราะเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยว่าในช่วง 2018 ปีที่ผ่านมามีรายงานผู้หญิงที่ไปทำศัลยกรรมเป็นโรคมะเร็งสายพันธุ์หายากเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนๆ อย่างน่ากลัว     จากผลการสำรวจผู้หญิงที่เป็นโรคมะเร็งแบบ Anaplastic Large Cell Lymphoma (มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์ใหญ่และโตเร็ว) หรือ ALCL ในกรณีที่มีสาเหตุมาจากการศัลยกรรมทรวงอก ทางสหรัฐฯ ก็พบว่าตลอดช่วงปี 2018 ในประเทศมีรายงานผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง ALCL มากถึง 246 ราย นี่อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูน้อยแต่หากเทียบกับรายงานในช่วงปี 2010-2017 เราจะพบว่าเดิมทีแล้วตลอดเจ็ดปีมีรายงานผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง ALCL จากการศัลยกรรมเพียงแค่ 414 คน และเพิ่งจะมาเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายในปี 2018 เท่านั้น   เซลล์ ALCL   แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขในรายงานจะมีความคลาดเคลื่อนไปจากตัวเลขจริงๆ อยู่บ้าง แต่อย่างน้อยๆ คณะกรรมการอาหารและยาก็ยืนยันผู้ป่วยมะเร็ง ALCL ได้อย่างแน่ชัดถึง 457 ราย (รวมที่เสียชีวิตไว้ 9 ราย) อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการอาหารและยา ALCL…

  • งานวิจัยใหม่เผย สามารถวิเคราะห์ “ลักษณะการทำงาน” ในสมองที่บอกว่ามนุษย์ “ยังมีสติ” ได้แล้ว

    งานวิจัยใหม่เผย สามารถวิเคราะห์ “ลักษณะการทำงาน” ในสมองที่บอกว่ามนุษย์ “ยังมีสติ” ได้แล้ว

    เคยสงสัยไหมว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งยังคงมีสติอยู่? หลายคนอาจจะมองว่าคำถามนี้ไร้สาระ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งของวงการแพทย์ ตามปกติแล้วคนเราจะมองคนที่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของเราได้ว่ายังมีสติ แต่หากมองให้ลึกลงไปเราก็จะรู้ว่าการตอบสนองไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินได้ทุกอย่าง เพราะบางครั้งแม้แต่คนไข้ที่นอนเป็นผักหรือเจ้าหญิง/เจ้าชายนิทราก็อาจจะยังมีสติได้เช่นกัน…     น่าเสียดายที่ต้องบอกว่าที่ผ่านๆ มาเราไม่มีวิธีการที่ตรวจสอบความมีสติที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมเลย จนกระทั่งในเมื่อไม่นานมานี้ นั่นเพราะเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ในวารสารออนไลน์ “Science Advances” ได้มีการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นใหม่ ที่อาจจะให้คำตอบของปริศนาที่ว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่ามนุษย์ยังมีสติอยู่     โดยนี่เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ และอาศัยการสังเกตคลื่นสมอง เพื่อเรียนรู้ว่าสมองของมนุษย์มีการทำงานเช่นไร ในขณะที่คนเรามีสติ การทดลองในครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุและอยู่ในสภาพที่นอนไม่ได้สติ ภายใต้การสันนิษฐานว่าในช่วงเวลาที่พวกเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วพวกเขาจะมีสติขึ้นมาอยู่เป็นพักๆ     ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Functional Magnetic Resonance Imaging” หรือฟังก์ชันการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก fMRI ในการวัดการ “ติดต่อกัน” ของพื้นที่ต่างๆ ในสมอง เช่นเมื่อสมองส่วนนี้ทำงานเลือดจะสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น หรือมีการใช้งานออกซิเจนมาขึ้นเป็นต้น   โดยเมื่อนำข้อมูลที่ได้จากคนไข้ 53 รายไปเปรียบเทียบกับคนปกติ 47 คน…

  • นักวิทย์พบเตียงเก่าแก่ที่อยู่ในโรงแรมมากว่า 15 ปี จริงๆ แล้วอาจเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ด

    นักวิทย์พบเตียงเก่าแก่ที่อยู่ในโรงแรมมากว่า 15 ปี จริงๆ แล้วอาจเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ด

    ในปี 2010 โรงแรม Redland ในนครเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้ทำการเลหลังขายเตียงเก่าแก่ที่ถูกตั้งไว้ในห้องฮันนีมูนสวีทของโรงแรมมาเป็นเวลายาวนานกว่า 15 ปี     ด้วยความที่ว่าเตียงตัวนั้นเป็นเตียงเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นงานฝีมือของช่างไม้ในอดีต ทำให้คนขายของโบราณอย่าง Ian Coulson สนใจในเตียงตัวนี้ และตัดสินใจซื้อมันมาเก็บไว้ในราคาราวๆ 90,000 บาท ในเวลานั้น Ian คิดว่าเตียงตัวนี้เป็นเตียงจากสมัยวิกตอเรีย (ช่วงปี ค.ศ. 1837-1901) เท่านั้น แต่หลังจากที่ได้เตียงดังกล่าวมาจริงๆ เขาก็เริ่มสงสัยว่าเตียงที่ตนซื้อมา แท้จริงแล้วอาจจะเป็นของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดในช่วงศตวรรษที่ 15 ต่างหาก   เตียงที่พบนี้อาจจะเป็นเตียงแต่งงานของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดในช่วงที่แต่งงานกับเอลิซาเบธแห่งยอร์กใหม่ๆ ก็เป็นได้   นั่นเพราะในตอนที่ตรวจสอบเตียงที่ได้มา Ian ก็พบว่าไม้โอ๊คแข็งที่ใช้ทำเตียงมีร่องรอยความเสียหายมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่มาจากยุควิกตอเรีย แถมที่เสาเตียงยังมีร่องรอยของปฏิกิริยาออกซิเดชันในปริมาณที่ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษในการสะสม เท่านั้นยังไม่พอ การประดับตกแต่งอื่นๆ ของเตียงอย่างโล่ที่ติดอยู่ด้านบนหรือใบหน้าของอาดัมและเอวาที่มีการแกะสลักไว้ก็ล้วนแต่เป็นศิลปะในรูปแบบของช่วงศตวรรษที่ 15 ทั้งนั้น     ดังนั้นเมื่อลองเทียบข้อมูลที่มีกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ Ian และเหล่านักโบราณคดีที่เขารู้จักจึงเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าเตียงที่พบนี้อาจจะเป็นเตียงของกษัตริย์เฮนรี่ที่เจ็ดก็เป็นได้ แน่นอนว่าตัวตนของเตียงที่พบนี้ย่อมกลายเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่วันที่มีการค้นพบ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองเตียงที่ Ian ซื้อมาก็ถูกส่งเข้าตรวจสอบอย่างจริงจังโดยนักวิทยาศาสตร์     และผลการตรวจสอบในตอนนั้นก็ออกมาว่าเตียงที่พบนี้มีการใช้ไม้โอ๊ค “Haplotype-7” ที่พบในประเทศฝรั่งเศสไปจนถึงเบลารุสซึ่งเป็นไม้ที่ใช้งานกันหมู่ชนชั้นสูงของช่วงศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้บนตัวเตียงเองยังมีร่องรอยของภาพวาดที่มีการผสมสีฟ้าจาก “ลาพิส ลาซูลี่”…

  • พบโบราณสถานอายุนับ 1,000 ปี กว่าร้อยแห่งทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า

    พบโบราณสถานอายุนับ 1,000 ปี กว่าร้อยแห่งทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า

    ในช่วงปี ค.ศ. 2002-2009 นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจ พื้นที่ทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งถูกปกครองโดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยอาหรับซาห์ราวี และประเทศโมร็อกโก ที่นั่นพวกเขาพบกับโบราณสถานที่ทำจากหินจำนวนร่วมร้อยแห่ง ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี แถมยังมีความหลากหลายทั้งในด้านขนาด รูปร่าง และการใช้งานที่น่าจะเป็นในอดีต     โบราณสถานที่พบมีทั้งแบบที่สร้างเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว วงกลม เส้นตรง สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนเวที หรือแม้กระทั่งโบราณสถานที่มีการรวมรูปทรงทั้งหมดเข้าด้วยกันจนมีความยาวถึง 630 เมตร สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้มีโบราณสถานที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการที่ทะเลทรายซาฮาร่าทางตะวันตกแทบจะไม่เคยมีนักโบราณคดีเข้าไปสำรวจ เนื่องจากในสมัยก่อนสองประเทศที่เป็นเจ้าของพื้นที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามต่อกันและกัน     Joanne Clarke อาจารย์อาวุโสที่มหาวิทยาลัย East Anglia บอกว่า “เนื่องจากความขัดแย้ง การวิจัยทางโบราณคดีและสภาพแวดล้อมในทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่าจึงมีอยู่อย่างจำกัด” อย่างไรก็ตามหลังจากที่สงครามจบลงในปี 1991 ในที่สุดพื้นที่แห่งนี้ก็ได้รับการเข้าสำรวจอย่างจริงจัง และนำมาซึ่งการค้นพบมากมายดั่งที่รายงานไว้ข้างต้น     จริงอยู่ว่านักโบราณคดีจะยังไม่ได้ทำการขุดค้นโบราณสถานหลายๆ แห่ง จนไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าโบราณสถานที่พบใช้งานอย่างไร แต่พวกเขาก็สันนิษฐานว่าโบราณสถานหลายแห่งน่าจะทำหน้าที่เป็นสุสาน จากการที่โบราณสถานสองแห่งที่ถูกขุด มีโครงกระดูกของมนุษย์บรรจุอยู่ภายใน โดยเมื่ออ้างอิงจากการตรวจสอบหาอายุด้วยคาร์บอนแล้ว นักโบราณคดีก็พบว่ากระดูกของมนุษย์เหล่านี้ มีอายุอยู่ที่ราว 1,500 ปี     การที่ทะเลทรายมีจำนวนโบราณสถานมากมายแบบนี้ทำให้นักโบราณคดีตั้งทฤษฎีที่ว่าทะเลทรายซาฮาร่าทางตะวันตกน่าจะเคยเป็นพื้นที่ที่มีแห่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน และแหล่งน้ำเหล่านั้นน่าจะเพิ่งจะแห้งไปในช่วงพันปีก่อนเท่านั้น…

  • นักศึกษาแพทย์พบฟอสซิลแอมโมไนต์อายุกว่า 185 ล้านปี ใน “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”

    นักศึกษาแพทย์พบฟอสซิลแอมโมไนต์อายุกว่า 185 ล้านปี ใน “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”

    เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้มีการรายงานข่าวฟอสซิลโบราณอายุกว่า 185 ล้านปี ถูกค้นพบอยู่ภายในหินทรงกลมคล้ายลูกปืนใหญ่ ที่ริมชายหาดในยอร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่คุณ Aaron Smith นักศึกษาแพทย์วัย 22 ปีกำลังเดินสำรวจชายหาด เพื่อตามหาฟอสซิลแอมโมไนต์ บรรพบุรุษของสัตว์น้ำตะกูลหอย เพื่อมาเก็บไว้ในคอลเลกชันซึ่งเป็นงานอดิเรกของเขาอีกที ในระหว่างที่สำรวจพื้นที่อยู่นั้น ชายหนุ่มได้บังเอิญพบกับหินปูนทรงกลมลูกหนึ่งซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยแร่ไพไรต์ โลหะที่หากมีการขัดจะมีสีคล้ายทองคำ (เป็นที่มาของชื่อเล่น “ทองคำของคนโง่”) และตั้งชื่อให้มันว่า “กระสุนปืนใหญ่ทองคำ”     จริงอยู่ว่าหินในรูปแบบนี้อาจจะดูแปลกตาอยู่บ้าง แต่จากคำบอกเล่าของ Aaron แล้ว หินรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่หาพบได้ยากบนแถบหาดในยอร์กเชอร์เลย สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ ของกระสุนปืนใหญ่ทองคำลูกนี้เป็นสิ่งที่อยู่ภายในต่างหาก เพราะหลังจากที่ Aaron ลองแยกหินที่พบออกเป็นสองส่วนเขาก็สังเกตเห็นว่าภายในของหินก้อนนี้มีฟอสซิลแอมโมไนต์ขนาดค่อนข้างใหญ่ซ่อนอยู่   Aaron Smith ผู้ค้นพบฟอสซิลในครั้งนี้   Aaron บอกว่าฟอสซิลที่พบ น่าจะมาจากแอมโมไนต์สายพันธุ์ Hildoceritidae ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงยุคจูราสสิกและสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 185 ล้านปีก่อน จริงอยู่ว่านี่จะไม่ใช่การค้นพบครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ในทางวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับนักสะสมแบบ Aaron การค้นในครั้งนี้ถือว่ามีคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างมาก  …

  • ย้อนรอยภาพหายากของ “เฮนรี ฟอร์ด” ที่กำลังรับเหรียญเกียรติยศจากนาซีในปี 1938

    ย้อนรอยภาพหายากของ “เฮนรี ฟอร์ด” ที่กำลังรับเหรียญเกียรติยศจากนาซีในปี 1938

    เมื่อพูดถึงนักธุรกิจของฝั่งสหรัฐอเมริกา ตามภาพลักษณ์แล้วคงจะไม่มีใครคิดว่าจะไปมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝั่งนาซีเยอรมันได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย ในปี 1938 เฮนรี ฟอร์ดผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์มีชื่อจะเคยได้รับเหรียญแกรนด์ ครอสแห่งอินทรีเยอรมัน (Grand Cross of the German Eagle) จากทางนาซีด้วย     ภาพที่เห็นนี้ถูกถ่ายเอาไว้ที่ในงานวันเกิดครบรอบ 75 ปีของเฮนรี ฟอร์ดในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ในขณะที่เขาได้รับเหรียญจาก Karl Kapp และ Fritz Heller สองกงสุลชาวเยอรมันในสหรัฐฯ เหรียญที่ถูกมอบในที่นี้ เป็นเหรียญเกียรติยศสูงสุด ที่ฮิตเลอร์ตั้งขึ้นในปี 1937 เพื่อมอบให้ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ และถูกบรรยายไว้ว่ามอบให้กับเฮนรี ฟอร์ด เพราะฮิตเลอร์รู้สึกชื่นชมและเป็นหนี้ต่อตัวฟอร์ดมาก     ความรู้สึกเป็นหนี้ในที่นี้เป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่บริษัทฟอร์ดเคยมีข่าวลือว่าช่วยเหลือเยอรมนี และพรรคนาซีเกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมมาก่อนในอดีต ส่วนความนับถือนั้นคาดว่าจะมาจากการที่เฮนรี ฟอร์ดในสมัยนั้นเป็นคนที่ต่อต้านชาวยิวเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่หนังสือ “ชาวยิวต่างชาติซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของโลก” (The International Jew, the World’s Foremost Problem) เคยนำบทความของฟอร์ดมาใช้เลย     อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์บางส่วนได้ออกมาบอกว่าแม้เฮนรี ฟอร์ดจะเกลียดชาวยิวมากก็ตาม…