Author:

  • วิจัยบอก “ประสบการณ์เฉียดตาย” อาจเกี่ยวข้องกับการที่สมองสับสนระหว่างการหลับและตื่น

    วิจัยบอก “ประสบการณ์เฉียดตาย” อาจเกี่ยวข้องกับการที่สมองสับสนระหว่างการหลับและตื่น

      เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ประสบการณ์เฉียดตาย” (Near Death Experiences) กันมาบางสักครั้งในชีวิต โดยนี่เป็นอาการที่ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างในช่วงเวลาที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และที่ผ่านๆ มาเราไม่อาจทราบได้เลยว่าอาการนี้แท้จริงแล้วเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดถูกเปิดเผยในสภาสถาบันประสาทวิทยาแห่งยุโรป ซึ่งออกมาบอกว่าแท้จริงแล้วประสบการณ์เฉียดตายที่หลายๆ คนพบนั้น อาจจะมาจากการที่สมองสับสนระหว่างการหลับและตื่นก็เป็นได้ ภายในงานวิจัยชิ้นนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้มีการตรวจสอบพบความเกี่ยวพันระหว่างประสบการณ์เฉียดตาย กับความผิดปกติด้านการนอนซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการนอนแบบ “Rapid Eye Movement” (REM) ช่วงเวลาที่คนเรามีโอกาสที่จะฝันได้มากที่สุดในยามราตรี อ้างอิงจากทีมวิจัย พวกเขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลของอาสาสมัครจำนวน 1,034 คนใน 35 ประเทศโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อ Prolific Academic และพบว่า ราวๆ 10% ของอาสาสมัครทั้งหมดนั้นเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเคยมีประสบการณ์เฉียดตายจริงๆ ที่น่าสนใจคือ ในบรรดาคนอ้างตัวว่าเคยพบกับประสบการณ์เฉียดตายมาก่อนนั้น ทีมนักวิจัยได้พบว่ามีคนมากถึง 47% ที่รายงานว่าตัวเองนั้นมีอาการความผิดปกติด้านการนอนอย่างอาการอัมพาต ผีอำ หรือเห็นภาพหลอนมาก่อน นี่นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับตัวเลขผู้มีอาการความผิดปกติด้านการนอนในกลุ่มคนที่ไม่มีประสบการณ์เฉียดตายมาก่อนซึ่งอยู่ที่ 14% เท่านั้น เป็นไปได้ว่าในตอนที่ร่างกายของคนเราตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต สมองของเราจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแยกได้ว่าตัวเองนั้นตกอยู่ในภาพที่มีสติหรือไม่ ดังนั้นเราจึงเห็นความฝันในเวลาที่ตื่น และนำไปสู่ แนวคิดเรื่องประสบการณ์เฉียดตายไป นับว่าน่าเสียดายมากที่งานวิจัยในครั้งนี้ เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงตัวเลขทางสถิติที่เกี่ยวพันกันของประสบการณ์เฉียดตายและความผิดปกติด้านการนอนเท่านั้น ไม่ได้มีการฟันธงว่าอะไรเป็นสาเหตุที่คนบางกลุ่มมีประสบการณ์เฉียดตายแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งเดียวที่ทีมแพทย์หลายฝ่ายค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับประสบการณ์เฉียดตายเหล่านี้…

  • นักวิจัยพบเชื้อราสามารถรอดชีวิตจากรังสีอวกาศได้ แม้ความเข้มข้นสูงกว่าที่จะสังหารมนุษย์ได้ 100 เท่า

    นักวิจัยพบเชื้อราสามารถรอดชีวิตจากรังสีอวกาศได้ แม้ความเข้มข้นสูงกว่าที่จะสังหารมนุษย์ได้ 100 เท่า

      ในการทำงานบนอวกาศของมนุษย์ หนึ่งในสิ่งที่มีความอันตรายและเป็นปัญหามากที่สุดบนนั้นก็คงจะไม่พ้นรังสีในอวกาศหรือที่เรารู้จักกันในนาม “รังสีคอสมิก” เป็นแน่ เพราะรังสีเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะป้องกันได้ยากเท่านั้น แต่มันยังอาจส่งผลกระทบรุนแรงกับ DNA และเซลล์ของมนุษย์ได้ ว่าแต่เพื่อนๆ เชื่อกันหรือไม่ว่า บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่กลุ่มหนึ่งที่อาจสามารถทนทานต่อรังสีในอวกาศได้ แม้ว่ารังสีดังกล่าวจะมีความเข้มข้นสูงกว่าระดับที่จะสังหารคนได้ 100 เท่าก็ตาม และเจ้าสิ่งมีที่ว่านั้นก็คือ “รา” นั่นเอง การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ทีมนักวิจัยจากศูนย์การบินและอวกาศเยอรมัน ได้ค้นพบว่ารานั้นไม่เพียงแต่จะขึ้นไปเติบโตในสถานีอวกาศเท่านั้น แต่มันยังสามารถเกาะอยู่นอกสถานีอวกาศซึ่งมีปริมาณรังสีในอวกาศสูงมากๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วคุณ Marta Cortesão หนึ่งในทีมนักวิจัยจึงได้ตัดสินใจทดลองความทนทานต่อรังสีต่างๆ ของราด้วยการฉายรังสีเอกซเรย์ ไอออนหนัก และรังสียูวี ใส่ราสายพันธุ์ Aspergillus niger ซึ่งพบได้บ่อยๆ ในสถานีอวกาศ พวกเขาพบว่าราเหล่านี้ สามารถทนรังสีเอกซเรย์ได้ถึง 1,000 เกรย์ (หน่วยวัดการแผ่รังสี) และทนไอออนหนักได้ถึง 500 เกรย์ ทั้งๆ ที่ตามปกติไอออนหนักเพียง 5 เกรย์นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์เสียชีวิต ตัวเลขที่ออกมานี้แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่ารานั้นจะสามารถรอดชีวิตในอวกาศได้แม้แต่การเดินทางไปดาวอังคารเลย ซึ่งมันเป็นได้ทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน หากมองว่าเป็นข่าวร้าย การทดลองครั้งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่าราในอวกาศนั้นกำจัดได้ยากกว่าที่คิด และอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพนักบินได้หากไม่ระวังให้ดี…

  • พบซากบ้านโบราณในอังกฤษ อาจเป็นของ “ราชินี 9 วัน” ผู้ปกครองอังกฤษในศตวรรษที่ 16

    พบซากบ้านโบราณในอังกฤษ อาจเป็นของ “ราชินี 9 วัน” ผู้ปกครองอังกฤษในศตวรรษที่ 16

    สำหรับนักโบราณคดีอย่าง Richard Thomas แล้ว โบราณสถานอย่าง “Bradgate Park” ตั้งอยู่ในมณฑลเลสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษ นับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งขุมทรัพย์สำคัญ ของประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคกลางเลยก็ว่าได้     ด้วยเหตุนี้เอง คุณ Thomas และทีมงานจึงตัดสินใจที่จะลงหลักปักฐานสำรวจแหล่งโบราณคดีแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2015 เพื่อที่ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีของ Bradgate House หนึ่งในสิ่งก่อสร้างโบราณในพื้นที่ และแล้วหลังจากการการขุดค้นในพื้นที่ถูกดำเนินการมาหลายปี ทีมนักโบราณคดีของคุณ Thomas ก็ได้ออกมาประกาศการค้นพบโครงสร้างส่วนฐานของสิ่งปลูกสร้างโบราณอีกแห่งหนึ่ง ภายในพื้นที่เดียวกัน     โดยสิ่งปลูกสร้างที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ คาดกันว่าเป็นบ้านในวัยเด็กของ “เลดีเจน เกรย์” เครือญาติของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ผู้มีชื่อเสียงในฐานะ “ราชินีเก้าวัน” จากระยะเวลาการครองราชย์อันแสนสั้นระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 กับ พระนางแมรีที่ 1 ในปี ค.ศ. 1553 ข้อสันนิษฐานในเรื่องนี้ นับว่ามีน้ำหนักค่อนข้างมากในหมู่นักโบราณคดี เพราะไม่เพียงแต่เลสเตอร์เชียร์ จะเป็นบ้านเกิดของเลดีเจน เกรย์ตามที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ Bradgate Park เองก็มีชื่อเสียงในฐานะพื้นที่ของตระกูลเกรย์ ซึ่งมีสมาชิกตระกูลอาศัยอยู่มาอย่างยาวนานกว่า…

  • ชม 21 รูปภาพเปื้อนดิน ที่สะท้อนชีวิตในสหรัฐฯ ในช่วงที่ประเทศต้องเผชิญกับ “พายุฝุ่น”

    ชม 21 รูปภาพเปื้อนดิน ที่สะท้อนชีวิตในสหรัฐฯ ในช่วงที่ประเทศต้องเผชิญกับ “พายุฝุ่น”

    ในช่วงปี 1930-1940 ในขณะหลายๆ ประเทศทั่วโลกต้องตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เรารู้จักกันในชื่อ “Great Depression” คนในสหรัฐอเมริกาก็ต้องพบกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อการเกษตรเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่ในเวลานั้น นำมาซึ่งปัญหาดินเปลือยและพายุฝุ่นขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในนามของ “Dust Bowl”   พายุฝุ่น “Black Sunday” หนึ่งในพายุที่เลวร้ายที่สุดในเวลานั้น   พายุฝุ่นที่ออกมาในช่วงนี้ ทำให้ผู้คนที่ไม่มีเงินจากภาวะเศรษฐกิจอยู่แล้ว ต้องพบกับโรคร้ายจากฝุ่นในอากาศ แถมยังต้องทำการอพยพเพราะที่ดินที่ตัวเองเคยมีไม่สามารถปลูกอะไรขึ้นได้อีก ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยที่ในช่วงเวลา เราจะสามารถเห็นภาพของประชาชนที่ดูจะเหนื่อยอ่อนกับการใช้ชีวิตกันอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ที่มองไปยังที่ไหนสักแห่งราวกับตามหาความหวัง หรือผู้ใหญ่ที่ดูราวกับว่าหลงลืมความสุขไปกับพายุทรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนี่คือส่วนหนึ่งของภาพถ่ายที่ได้ชื่อว่าทรงพลังที่สุดในช่วงเวลานั้น ภาพที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอัดแน่นไว้มากมาย ที่หลอกหลอนจิตใจของผู้คนได้แม้เวลาผ่านไปหลายทศวรรษแล้วก็ตาม   เริ่มกันจากดวงตาของเด็กชายสองคน ผู้เป็นลูกของคนงานไร่ผลไม้ที่ต้องอพยพมาในรัฐมิชิแกนเมื่อปี 1940   ภาพของเครื่องจักรกลการเกษตรที่ถูกพายุฝุ่นพัดจนเกือบจมหายไป ในเมือง ดัลลัส รัฐเซาท์ดาโคตา 1936   ภาพคุณแม่ผู้อพยพ หนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดในปี 1936 และสะท้อนความลำบากของผู้อพยพ ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้เป็นอย่างดี   อดีตฟาร์ที่ในปัจจุบันมีแต่ฝุ่น ในเท็กซัส มิถุนายน 1938   เด็กน้อยที่เล่นอยู่คนเดียวในค่ายอพยพที่แคลิฟอร์เนีย 1936  …

  • พบแขนไม้โบราณอายุกว่า 2,000 ปีในบ่อน้ำที่อังกฤษ คาดเป็นเครื่องบูชาพระเจ้า

    พบแขนไม้โบราณอายุกว่า 2,000 ปีในบ่อน้ำที่อังกฤษ คาดเป็นเครื่องบูชาพระเจ้า

    เมื่อพูดถึงสิ่งของที่จะเอาไปถวายพระเจ้า นับตั้งแต่ในอดีตมามนุษย์ก็แทบที่จะใช้ทุกอย่างในการถวายแก่พระเจ้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นดินเผา เงินทอง หรือแม้แต่ชีวิตของมนุษย์ด้วยกัน แต่สุดท้ายของที่ถูกนำถวายพระเจ้าในสมัยก่อนก็ยังสามารถเป็นอะไรแปลกๆ ที่ไม่น่าเชื่อเลยได้อยู่ดี เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ทีมนักโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ ก็ได้มีโอกาสพบกับวัตถุโบราณแปลกๆ ที่น่าจะถูกใช้เป็นเครื่องบูชาอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้พวกเขาพบกับ “แขนไม้” ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี     อ้างอิงจากข้อมูลการค้นพบ แขนไม้ที่เห็นนี้ ถูกค้นพบที่ก้นบ่อน้ำโรมัน ในเมืองรอนด์ส มณฑลนอร์แทมป์ตันเชอร์ ประเทศอังกฤษ โดยเป็นแขนไม้ที่ทำขึ้นมาด้วยการแกะสลักกิ่งไม้ทั้งกิ่งให้มีรูปร่างคล้ายแขนคน และเป็นผลงานที่มีความประณีตสูงจนถึงขั้นที่ตัววัตถุโบราณไม่มีร่องรอยของเครื่องมือเหลือให้เห็นเลย คุณ Michael Bamforth ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีไม้บอกว่า แขนที่ถูกค้นพบในครั้งนี้นั้น น่าจะเป็นวัตถุที่ถูกทำขึ้นแยกเดี่ยวๆ มากกว่าที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรูปปั้นขนาดใหญ่ และมีฝ่ามือค่อนข้างเล็กจนไม่น่าจะถูกใช้งานเป็นแขนเทียม ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความเป็นไปได้ว่าแขนที่พบน่าจะมีความสำคัญในทางความเชื่ออย่างการเป็นเครื่องบูชามากกว่า     และนอกจากความประณีตของตัวแขนแล้ว ความสมบูรณ์มันเองก็ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทีมนักโบราณคดีให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่การตรวจสอบทางคาร์บอนกัมมันตรังสีจะบอกเราว่าแขนนี้ อยู่ในบ่อน้ำแห่งนี้มาตั้งแต่ช่วง 86 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงปี ค.ศ. 240 เท่านั้น แต่มันยังถูกเก็บไว้ในที่ที่มีน้ำ ซึ่งตามปกติแล้วมันน่าจะทำให้แขนไม้ถูกย่อยสลายจนเสียหายไปแล้ว เป็นไปได้ว่าที่แขนไม้เหล่านี้ยังมีความสมบูรณ์เช่นนี้อาจจะเป็นเพราะในอดีตบ่อน้ำแห่งนี้ถูกปิดตายด้วยอะไรบางอย่างจนไม่มีออกซิเจนเข้าไปก็เป็นได้ ซึ่งด้วยเหตุนี้เอง ตัวแขนจึงไม่เสียหายไปเท่าที่ควร     ทั้งนี้เอง…

  • 10 ความจริงสุดน่าสนใจเกี่ยวกับแมลง ที่จะทำให้พวกมันดูน่าขนลุกกว่าที่เป็นหลายเท่า

    10 ความจริงสุดน่าสนใจเกี่ยวกับแมลง ที่จะทำให้พวกมันดูน่าขนลุกกว่าที่เป็นหลายเท่า

    การที่มนุษย์เราจะกลัวแมลงนั้น จะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เหมือนจะเขียนไว้ใน DNA เลยก็คงไม่ผิดนัก ด้วยความที่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทนี้นั้นมักจะมีลักษณะที่ดูแล้วน่ากลัวราวกับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวในสายตาของหลายๆ คน แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าหน้าตาของแมลงนั้น มันไม่ใช่ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียวของแมลงหรอกนะ เพราะเจ้าสัตว์เหล่านี้ยังกุมความจริงสุดน่าขนลุกที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนไว้อีกเพียบ เหมือนว่าความจริงที่ฟังแล้วอาจจะไม่สบายใจเท่าไหร่ทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้   1. หากคุณเป็นคอกาแฟ โดยเฉลี่ยในหนึ่งปี คุณอาจจะกินชนิดส่วนแมลงอย่างแมลงสาบ มากกว่า 130,000 ชิ้น ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากองค์กรอาหารและยาของหลายประเทศจะอนุญาตให้มีการปนเศษแมลงได้ในปริมาณที่กำหนด (ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง) ดังนั้นแม้จะน้อยแต่ในเครื่องดื่มของคุณจะมีเศษแมลงเจือปนอยู่ด้วยแน่นอน   2. แม้แต่บนใบหน้าของคุณ มันก็มีโอกาสสูงมากที่เราจะพบสัตว์จำพวกแมลงได้ สัตว์ตัวดังกล่าวคือเดโมเด็กซ์ สิ่งมีชีวิตแปดขาตัวน้อย ที่ไม่เพียงแต่จะหากินอยู่บนใบหน้าของคุณ แต่มันยังแอบผสมพันธุ์ในยามราตรี และวางไข่ไว้บนหน้าของเราอีกด้วย   3. หากออกซิเจนบนโลกเพิ่มขึ้น 15% แมลงบางชนิดอาจจะตัวใหญ่เท่าๆ กับคนได้เลย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (ช่วง 354-295 ล้านปีก่อน) ซึ่งในสมัยนั้นชั้นบรรยากาศโลกประกอบไปด้วยออกซิเจน 35% และแมลงที่เราคุ้นเคยกันอย่าง แมลงสาบมีขนาดตัวยาวได้ถึง 1 เมตร   4. มดฉลาดพอที่จะต่อสู้ในความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ มดในแต่ละรังอาจจัดกองทัพขึ้นเพื่อ “ทำสงครามกัน” และในบรรดามดกว่า…

  • ไขปริศนาคาใจ ทำไมต้นไม้ที่เชอร์โนบิล ถึงไม่ตายไปเพราะกัมมันตรังสี

    ไขปริศนาคาใจ ทำไมต้นไม้ที่เชอร์โนบิล ถึงไม่ตายไปเพราะกัมมันตรังสี

    เมื่อพูดถึงภัยพิบัติเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่นึกภาพของดินแดนแห่งความตายที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจที่จะเข้าไปอาศัยอยู่ได้ขึ้นมาเป็นสิ่งแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่ของเชอร์โนบิลจริงๆ แล้วมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มากกว่าที่เราคิด เพราะนอกจากเหล่าสัตว์ป่าที่เริ่มกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้ว เหล่าพันธุ์ไม้ที่อยู่ในพื้นที่เอง โดยมากก็ไม่ได้ตายไปด้วยกัมมันตรังสีมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย สังเกตได้จากภาพถ่ายหลายๆ ภาพตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน     เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่เริ่มสงสัยกันขึ้นมาแล้วว่าเพราะอะไรกัน ต้นไม้ในพื้นที่เชอร์โนบิลถึงสามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยระดับกัมมันตรังสีที่สูงจนคนคงตายไปสักสิบรอบได้ เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าอันตรายของกัมมันตรังสีต่อสิ่งมีชีวิตนั้นโดยมากแล้วจะมาจากการที่มันส่งผลกระทบต่อเซลล์และ DNA ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะโดยการทำให้เซลล์ตายไปอย่างรวดเร็ว (ในกรณีที่โดนกัมมันตรังสีมากๆ) หรือทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลงไปจากที่ควร (อย่างเนื้องอก หรือมะเร็ง)     แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าและมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เพราะเซลล์และอวัยวะในร่างกายของเรานั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานไปด้วยกัน ดังเช่นที่มนุษย์จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากขาดสมอง หัวใจ หรือปอด กลับกันสำหรับพืชแล้ว พวกมันมีระบบภายในที่ยืดหยุ่นกว่ามนุษย์และสัตว์มาก เนื่องจากพวกมันไม่สามารถขยับตัวเพื่อหนีจากพื้นที่อันตรายได้ ดังนั้นแทนที่จะมีโครงสร้างที่ถูกกำหนดตายตัวแบบสัตว์ พืชจะ “สร้าง” โครงสร้างขึ้นในระหว่างที่มันเติบโต     และหนึ่งในความสามารถที่สำคัญที่สุดในการสร้างโครงสร้างขึ้นมาใหญ่ของพืช ก็คือความสามารถในการสร้างเซลล์ทุกชนิดที่ต้นไม้ส่วนนั้นต้องการขึ้นมาใหม่นั่นเอง (เช่นการที่เราสามารถงอกรากพืชจากกิ่งที่ตัดมาได้เป็นต้น) ความสามารถทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ช่วยให้พืชทดแทนเซลล์ที่เสียไปจากกัมมันตรังสีได้ดีต่อสัตว์มาก อีกทั้งต่อให้ DNA ของพวกมันได้รับความเสียหายจนสร้างเนื้องอกขึ้นมา เนื้องอกเหล่านั้นก็มักจะไม่กระจายไปตามส่วนต่างๆ เหมือนมะเร็งในสัตว์ ด้วยระบบผนังรอบเซลล์พืช ทำให้ต่อให้มีเนื้องอกพืชก็จะสามารถจัดการกับมันได้ง่ายๆ    …

  • ล่าสุดการสำรวจ “พีระมิดเก่าแก่ที่สุดในอียิปต์” เผยให้เห็น มัมมี่ 2,000 ปี นับร้อยร่าง

    ล่าสุดการสำรวจ “พีระมิดเก่าแก่ที่สุดในอียิปต์” เผยให้เห็น มัมมี่ 2,000 ปี นับร้อยร่าง

    เพื่อนๆ เคยได้ยินชื่อของ “พีระมิดโจเซอร์” กันมาก่อนไหม? นี่คือพีระมิดแบบขั้นบันได 6 ชั้น ที่ตั้งอยู่ที่เมืองซักคารา ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช้พีระมิดที่โด่งดังเมื่อเทียบกับมหาพีระมิดแห่งกีซา แต่ที่แห่งนี้ก็มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมากในฐานะของพีระมิดที่เก่าแก่ที่สุดในอียิปต์เช่นกัน     และเมื่อล่าสุดนี้เอง ในระหว่างที่นักโบราณคดีชาวโปแลนด์ได้เข้าไปทำการขุดค้นพื้นที่รอบๆ พีระมิดเก่าแก่แห่งนี้ พวกเขาก็ได้มีโอกาสพบกับสุสานโบราณขนาดใหญ่ที่เก็บมัมมี่เก่าแก่อายุกว่า 2,000 ปีไว้ร่วมร้อยร่าง คุณ Kamil Kuraszkiewicz ศาสตราจารย์ภาควิชาอียิปต์วิทยาของมหาวิทยาลัยวอร์ซอว์ ผู้นำการขุดค้นในครั้งนี้ ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อต่างประเทศว่า พวกเขาพบกับสุสานแห่งนี้ในพื้นที่รอบพีระมิดโจเซอร์ไปจนถึงคูน้ำลึก (ที่แห้งไปแล้ว) ซึ่งมักถูกสร้างล้อมรอบพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวพีระมิดอีกที     แตกต่างไปจากโลงศพมัมมี่ที่ได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดีของฟาโรห์ มัมมี่ที่ทีมสำรวจพบในครั้งนี้นั้น โดยมากแล้วจะถูกตกแต่งในระดับปานกลาง โดยใช้ยารักษาศพในระดับพื้นฐาน ก่อนที่จะห่อศพและฝังลงไปในทรายแบบตรงๆ เลย การรักษาศพที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ บวกกับที่ฝังซึ่งไม่อำนวย ทำให้มัมมี่ที่ถูกพบส่วนมากอยู่ในสภาพที่เลวร้ายมาก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่มัมมี่ที่มีโลงศพยังต้องพบกับการเสื่อมสลายตามกาลเวลาอย่างหนัก   สภาพของหนึ่งในโลงศพไม้ที่พบ   แต่ถึงแม้ว่าโลงศพที่พบจะเสื่อมสลายไปมากก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้ทีมค้นหาท้อ เพราะบนโลงศพที่พวกเขาพบนั้นมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเอามากๆ นั่นเพราะบนโลงศพนี้มีตัวอักษรที่เขียน “เลียนแบบ” อักษรเฮียโรกลีฟิคเขียนเอาไว้ด้วย ซึ่งคุณ Kamil คาดว่าที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะใครก็ตามที่เขียนตัวหนังสือนี้ขึ้นน่าจะเป็นคนที่อ่านหนังสือไม่ออก และแค่เขียนอักษรไปมั่วๆ ตามสิ่งที่เขาเคยเห็นก็เท่านั้น    …

  • ชม 17 ภาพประวัติศาสตร์จากสงครามแปซิฟิก ที่ถูกนำมาแต่งเติมสีคืนชีวิตอีกครั้ง

    ชม 17 ภาพประวัติศาสตร์จากสงครามแปซิฟิก ที่ถูกนำมาแต่งเติมสีคืนชีวิตอีกครั้ง

    สงครามแปซิฟิก หรือที่บางคนคุ้นเคยกันในชื่อ “สงครามมหาเอเชียบูรพา” นับว่าเป็นอีกหนึ่งในเขตสงครามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ตลอดช่วงเวลาของสงครามในครั้งนี้ พวกเราจะสามารถเห็นภาพถ่ายที่เก็บเรื่องราวในยามนั้นเอาไว้อยู่มากมายเต็มไปหมด และในบรรดาภาพถ่ายมากมายเหล่านั้นเองก็มีภาพอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้รับการนำมาลงสีคืนชีวิตให้อีกครั้งโดย “Royston Leonard” นักลงสีภาพเจ้าของผลงานคืนชีวิตให้ภาพขาวดำมาแล้วกว่า 750 รูป ซึ่งภาพถ่ายที่ถูกนำมาคืนชีวิตเหล่านี้เองก็เป็นสิ่งที่ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปรับชมกันในวันนี้ ว่าแต่ภาพที่ออกมานั้นจะเป็นภาพจากช่วงเวลาแบบไหน และน่าติดตามเพียงใดนั้น เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   เริ่มกันจากภาพของทหารอเมริกันที่กำลังได้รับการรักษาบนหาดทรายที่อิโวจิมา เมื่อปี 1945   ร้อยโท Walter Chewning ขณะปีนขึ้นไปบนเครื่องบินที่ลุกเป็นเพลิงเพื่อช่วยเหลือนักบินที่ติดอยู่ข้างในออกมา เมื่อเดือน พ.ย. 1943   ทหารอเมริกันถ่ายรูปคู่กับเด็กญี่ปุ่นซึ่งถูกช่วยไว้ในไซปันเมื่อเดือนกรกฎาคม 1944   การตรวจหาระเบิดข้างๆ รถถังที่เสียหายอย่างหนัก ไม่ทราบวันที่   ทหารอเมริกันขณะควบคุมตัวทหารญี่ปุ่นร่วม 20 นายออกจากถ้ำใน อิโวจิมา 5 เมษายน 1945   กองทหารในระหว่างการทางไปบุก Cape Sansapor เมื่อปี 1944   ทหารสหรัฐฯ…

  • ชม 22 ภาพ “ฐานทัพขีปนาวุธนิวเคลียร์” แห่งโซเวียต ที่ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์

    ชม 22 ภาพ “ฐานทัพขีปนาวุธนิวเคลียร์” แห่งโซเวียต ที่ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าตลอดช่วงสงครามเย็นนั้น โซเวียตและสหรัฐอเมริกามีการแข่งขันกันในด้านการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เมื่อโซเวียตล่มสลาย หนึ่งในที่เก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์จะถูกยกเลิกการใช้งานและประยุกต์ไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นแทน ซึ่งสำหรับฐานทัพขีปนาวุธนิวเคลียร์ Plokštinė ของประเทศลิทัวเนียแล้ว ที่แห่งนี้ได้ถูกรัฐบาลประยุกต์ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามเย็นของประเทศแทน แถมยังได้รับผลตอบรับที่ดีมากจนมีผู้เข้าไปเยี่ยมชมกันมากพอสมควรเลย โดยหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวนี้เองก็คือคุณ Mantas Ališauskas ช่างภาพมากฝีมือ แห่งเว็บไซต์ ctdots ผู้ซึ่งได้เก็บภาพการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ของเขา มาให้พวกเราได้มีโอกาสชมกัน ที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพถ่ายคล้ายดวงตาของส่วนหนึ่งของอดีตฐานทัพขีปนาวุธนิวเคลียร์เมื่อมองลงมาจากมุมสูง   โรงเก็บขีปนาวุธที่มีธรรมชาติเป็นฉากหลัง   อาวุธปืนที่น่าจะเคยเป็นของกองพล 58th Karmelava หน่วยทหารที่รับหน้าที่ดูแลโรงเก็บขีปนาวุธ แห่งนี้   หนึ่งในระบบป้องกันฐานทัพ ซึ่งเคยประกอบไปด้วยรั้วไฟฟ้า และกับระเบิด   โครงสร้างของฐานทัพขีปนาวุธนิวเคลียร์ของลิทัวเนียซึ่งได้ชื่อว่าซับซ้อนที่สุดของโซเวียตในสมัยนั้น   หุ่นขี้ผึ้งของเหล่าเจ้าหน้าที่ในฐานทัพ   ภาพอีกมุมหนึ่งของ มิสไซล์ไซโล   ภาพการเข้าชมมิสไซล์ไซโลซึ่งประกอบไปด้วย 4 ชั้นใหญ่ๆ และนี่คือชั้นบนสุด   หนึ่งในบรรยากาศของมิสไซล์ไซโล   จุดปล่อยจรวด R-12 หนึ่งในจุดปล่อยจรวดนิวเคลียร์ของฐานทัพ   แผนผังการขนย้ายและ “บรรจุ” มิสไซล์ไซโล…

  • สถานีวิจัยร้างที่แอนตาร์กติกา กลับมาทำงานหลังถูกทิ้ง พร้อมส่งข้อมูลให้นักวิจัย

    สถานีวิจัยร้างที่แอนตาร์กติกา กลับมาทำงานหลังถูกทิ้ง พร้อมส่งข้อมูลให้นักวิจัย

    ย้อนกลับไปในปี 1956 องค์กรศึกษาขั้วโลกอย่าง “British Antarctic Survey” (BAS) ได้ทำการก่อสร้างสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชื่อ The Halley เอาไว้ที่ชั้นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา เพื่อทำการศึกษาสภาพแวดล้อมในพื้นที่     ตั้งแต่ในปีนั้นมาสถานีวิจัยแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมากใหม่ในที่ที่เดิมหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งในปี 2017 ในที่สุดทีมนักวิทยาศาสตร์ก็จำเป็นที่จะต้องทิ้งสถานีวิจัยแห่งนี้ไป เพื่อตั้งสถานีวิจัยใหม่ในพื้นที่ห่างออกไปกว่า 20 กิโลเมตร จากปัญหาความอันตรายที่เกิดขึ้นจากการพังทลายที่เพิ่มขึ้นในชั้นน้ำแข็ง แต่แทนที่สถานีวิจัยที่ถูกทิ้งร้างไปแล้วแห่งนี้จะหยุดทำงานไปโดยสิ้นเชิงเหมือนกับสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทิ้งร้างทั่วๆ ไป ตลอดช่วงเวลากว่า 4 เดือนที่ผ่านมาสถานีวิจัย The Halley กลับยังคงทำงานต่อไปอย่างเดียวดายเรื่อยมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และส่งข้อมูลมาให้นักวิทยาศาสตร์ในสถานีวิจัยใหม่อยู่เป็นพักๆ     นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูคล้ายเรื่องสยองขนหัวลุกสำหรับหลายๆ คน แต่เอาเอาจริงๆ แล้วการที่สถานีวิจัย The Halley ทำงานต่อไปแม้จะไม่มีคนอยู่ข้างในแล้วนั้นเกิดขึ้นจากความตั้งใจของทีมนักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ หลังจากที่หลับไปตั้งแต่ช่วงปี 2017-2018 สถานีวิจัยแห่งนี้ก็ถูกปรับแต่งให้สามารถปฏิบัติการผ่านการควบคุมจากระยะไกลได้ ด้วยการติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่จะทำให้สถานีวิจัยสามารถปฏิบัติการต่อไปได้เป็นเวลาต่อเนื่องถึง 9 เดือน แม้แต่ในสภาวะอากาศที่อุณหภูมิติดลบ 40 องศา หรือสภาพท้องฟ้ามืดสนิทก็ตาม อ้างอิงจากทีมนักวิจัย ในปัจจุบันหน้าที่ของสถานีวิจัย The Halley จะเกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลของ…

  • พบแรงระเบิดพร้อมหลุมขนาดใหญ่ในหมู่บ้านที่เยอรมนี คาดเกิดจากระเบิดช่วงสงครามโลก

    พบแรงระเบิดพร้อมหลุมขนาดใหญ่ในหมู่บ้านที่เยอรมนี คาดเกิดจากระเบิดช่วงสงครามโลก

    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลา 4 นาฬิกาของวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ตามเวลาในท้องถิ่นของประเทศเยอรมนี ชาวบ้านในเมืองลิมเบิร์ก ได้พบกับเหตุการณ์แรงสั่นสะเทือน ที่มาพร้อมเสียงดังรุนแรง ก่อนที่พวกเขาจะค้นพบหลุมขนาดใหญ่ที่กว้าง 10 เมตร และลึก 4 เมตร ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา     ในช่วงแรกๆ ที่การเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คนในพื้นที่เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นคงไม่พ้นแผ่นดินไหว หรือไม่ก็อุกกาบาตตก แต่หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้มีโอกาสตรวจสอบหลุมที่ชาวบ้านพบอย่างละเอียด พวกเขาก็พบว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหลุมขนาดใหญ่นี้จนได้ อ้างอิงจากคุณ Rüdiger Jehn จากองค์การอวกาศยุโรป ในช่วงแรกๆ ที่คนในพื้นที่และผู้เกี่ยวข้องพบหลุมขนาดใหญ่หลุมนี้ด้วยระบบโดรน พวกเขาก็ตั้งข้อสงสัยกันว่ามันเป็นอุกกาบาตในทันที อย่างไรก็ตามตามปกติในเหตุการณ์ที่อุกกาบาตตกลงมาจริงๆ พื้นที่รอบๆ จุดปะทะจะต้องมีร่องรอยของการละลายซึ่งเกิดจากอุกกาบาต อย่างไรก็ตามหลุมที่พบกลับไม่ได้มีลักษณะเช่นนั้นเลย     ดังนั้นแล้วทีมผู้เชี่ยวชาญจึงได้เปลี่ยนแนวคิดที่น่าจะเป็นเกี่ยวกับหลุมที่พบไปเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในลำดับต่อมาทันที ซึ่งสิ่งที่ว่านั้นก็คือระเบิดจากช่วงสงครามโลกนั่นเอง จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีที่หลุมที่เห็นนี้เกิดขึ้นจากระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจริงๆ ระเบิดดังกล่าวจะต้องมีน้ำหนักอย่างน้อยๆ 250 กิโลกรัมขึ้นไป ดังนั้นนี่จึงน่าจะเป็นระเบิดที่เคยถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบิน ก่อนที่จะหลับใหลอยู่ใต้ดินมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเชื่อว่าระเบิดลูกดังกล่าวนั้น น่าจะถูกจุดชนวนขึ้นจากการที่องค์ประกอบภายในเริ่มเสื่อมโทรมลงไปตามกาลเวลา และระเบิดขึ้นโดยที่ไม่ได้มีปัจจัยภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นจึงนับว่าเป็นเป็นโชคดีมากที่ระเบิดลูกนี้ฝังอยู่ในสวนข้าวโพด และระเบิดขึ้นในเวลาที่ไม่มีคนสัญจรผ่าน    …

  • ภัยแล้งทำน้ำในเขื่อนอิรักลดลง แต่กลับนำไปสู่การค้นพบ “ราชวังโบราณ” อายุ 3,400 ปี

    ภัยแล้งทำน้ำในเขื่อนอิรักลดลง แต่กลับนำไปสู่การค้นพบ “ราชวังโบราณ” อายุ 3,400 ปี

    การที่ฝนไม่ตก อากาศแห้งแล้ง สำหรับหลายๆ คนแล้วนี่คงเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เป็นแน่ ถึงอย่างนั้นก็ตามสำหรับทีมนักโบราณคดีในพื้นที่เคอร์ดิสถานของประเทศอิรักแล้ว การมาของภัยแล้งในพื้นที่ อาจจะไม่ได้นำมาแต่เรื่องแย่ๆ ก็เป็นได้     นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ทีมนักโบราณคดีร่วมจากประเทศเยอรมนีและอิรักได้ทำการค้นพบวังโบราณอายุร่วม 3,400 ปี ตั้งอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำที่เขื่อนซูล หลังจากที่น้ำในเขื่อนลดลงไปจากภัยแล้งในพื้นที่ อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา ทีมนักโบราณคดีพบความเป็นไปได้ของโบราณสถานในอ่างเก็บน้ำแห่งนี้มาตั้งแต่เมื่อปี 2010 แต่ด้วยความที่ว่าในช่วงนั้นน้ำในอ่างเก็บน้ำมีปริมาณค่อนข้างมาก บวกกับพื้นที่ใกล้เคียงถูกรุกรานโดยกลุ่มก่อการร้ายอย่าง ISIS ทีมนักโบราณคดีจึงไม่สามารถทำการสำรวจโบราณสถานได้อย่างที่หวังนัก ดังนั้นทันทีที่น้ำในเขื่อนลดลงทีมนักโบราณคดีจึงตัดสินใจที่จะกลับมาสำรวจพื้นที่ดังกล่าวอีกครั้ง และสามารถเริ่มการขุดค้นที่ถูกเลื่อนมาเป็นเวลานานได้ในที่สุด     ราชวังที่อยู่ค้นพบถูกสร้างขึ้นจากอิฐโคลน มีกำแพงกว้างราวๆ 2 เมตร ล้อมอาณาเขตราชวังเป็นพื้นที่อย่างต่ำๆ 1,850 ตารางเมตร ซึ่งเป็นไปได้ว่าในอดีตจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ยกระดับเพื่อที่จะสามารถมองเห็นหุบเขาไทกริสที่อยู่ห่างออกไปได้ง่าย ก่อนที่จะถูกละทิ้งไปตามกาลเวลาด้วยเหตุผลบางอย่างในภายหลัง คุณ Ivana Puljiz นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัย Tübingen หนึ่งในทีมสำรวจ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า โบราณสถานที่พวกเขาพบนั้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “พระราชวังโคมูเน” สิ่งก่อสร้างที่คาดกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมิทานมิ ซึ่งในอดีตเคยปกครองพื้นที่บางส่วนของซีเรียและเมโสโปเตเมียทางตอนเหนือ     อ้างอิงจากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณราชาของอาณาจักรมิทานมินั้นในอดีตเคยมีอำนาจมากพอๆ กับฟาโรห์แห่งอียิปต์หรือราชาแห่งอาณาจักรฮัตตี และอาณาจักรบาบิโลนมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ตามในปัจจุบันเรากลับแทบจะไม่มีข้อมูลของราชาแห่งอาณาจักรนี้เหลืออยู่เลย เมื่อเทียบกับราชาคนอื่นๆ…

  • 10 ตำนานและเรื่องเล่าจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจริงๆ แล้ว “มั่ว” มโนขึ้นมาล้วนๆ

    10 ตำนานและเรื่องเล่าจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจริงๆ แล้ว “มั่ว” มโนขึ้นมาล้วนๆ

    ในบรรดาความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นมาบนโลก จะบอกว่าสงครามโลกครั้งที่สองนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญ และก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดนัก เพราะนี่คือสงครามที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสงครามที่แม้แต่เผลอๆ แม้แต่เด็กก็ยังรู้จักด้วยซ้ำ ด้วยความที่สงครามโลกครั้งที่สองนั้นเป็นสงครามที่มีชื่อเสียงเอามากๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สงครามครั้งนี้ จะมีตำนานและเรื่องเล่าผิดๆ ที่คนเราเชื่อว่าเป็นความจริงอยู่มากตามไปด้วย ซึ่งความคิดผิดๆ เหล่านี้เอง ก็เป็นสิ่งที่พวกเราจะมาร่วมปรับแก้ให้มันถูกต้องในวันนี้ แต่จะมีอะไรบ้าง หรือเพื่อนๆ เคยได้ยินกันมาก่อนหรือไม่นั้น เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่าที่ข้างล่างนี้   ความคิดผิดๆ ข้อที่ 1 : ฝรั่งเศสประกาศยอมแพ้ต่อนาซีโดยไม่มีการต่อสู้ จริงอยู่ว่านาซีจะใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการทำให้ฝรั่งเศสยอมแพ้ในสงครามโลก แต่การรบครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นการรบที่ง่ายดาย เพราะตลอด 6 สัปดาห์นั้น เยอรมนีต้องเสียทหารไปกว่า 150,000 คน และรถถังอีกกว่า 800 คันเลยทีเดียว   ความคิดผิดๆ ข้อที่ 2 : ฮิตเลอร์ปล่อยให้ทหารอังกฤษหนีได้ในยุทธการที่ดันเคิร์ก ยุทธการที่ดันเคิร์กนับว่าเป็นการถอยหนีที่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์แห่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆ คนจะคิดว่าที่ทหารเหล่านี้หนีออกมาจากเมืองได้จริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะฮิตเลอร์ปล่อยให้หนี (เพราะเป็นคนขาวเหมือนกัน) อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว ทางเยอรมนีไม่ได้มีเหตุผลที่จะปล่อยให้ทหารบนฝั่งหนีโดยไม่ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย ส่วนที่การล่าถอยครั้งนี้สำเร็จ โดยมากแล้วจะมาจากการที่ฮิตเลอร์ตายใจในชัยชนะมากกว่า โดยเขาอนุญาตให้หน่วยยานหุ้มเกราะพักเติมอาวุธ และเชื่อว่าแค่การโจมตีทางอากาศจะสามารถทำลายทหารที่กำลังหนีได้นั่นเอง  …

  • นักวิทย์เผย “Plasticrust” มลภาวะรูปแบบใหม่ ที่พลาสติกจะฝังตัวอยู่ในหินแถบชายหาด

    นักวิทย์เผย “Plasticrust” มลภาวะรูปแบบใหม่ ที่พลาสติกจะฝังตัวอยู่ในหินแถบชายหาด

    ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นมาจากพลาสติกนั้น ในปัจจุบันจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่ายของโลกเป็นกังวลเลยก็คงไม่ผิด เพราะเราสามารถพบกับขยะพลาสติกได้ในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นร่องลึกก้นมหาสมุทร หรือแม้แต่ในตัวนกที่บินบนฟ้า แต่แล้ว เมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบมลภาวะอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากขยะพลาสติกเข้าจนได้ โดยในเวลานี้พลาสติกของมนุษย์ถูกพบฝังอยู่ในหินตามพื้นที่ชายฝั่ง และแน่นอนว่าอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับระบบนิเวศชายหาดได้     มลภาวะรูปแบบใหม่นี้ ถูกเปิดเผยออกมาในงานวิจัยซึ่งมีกำหนดการที่จะตีพิมพ์ในวารสาร Science of the Total Environment ฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019 และถูกเรียกกันโดยทีมนักวิจัยอย่างไม่เป็นทางการว่า “Plasticrust” อ้างอิงจากคุณ Ignacio Gestoso หนึ่งในทีมวิจัย Plasticrust ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกที่ชายหาดในมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เมื่อปี 2016 ในอัตราส่วนประมาณ 10% ของหินทั้งหมดในหาด และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาด้วย เมื่อนำ Plasticrust ที่พบไปทำการตรวจสอบทางเคมีนักวิจัยก็พบว่าหินเหล่านี้มีองค์ประกอบหลักเป็นโพลีเอทิลีน พลาสติกพบได้บ่อยๆ ในบรรจุภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่า Plasticrust มีความเกี่ยวข้องกับขยะพลาสติกของมนุษย์     เป็นไปได้ว่า Plasticrust นั้นจะเกิดขึ้นมาจากการที่คลื่นซัดขยะพลาสติกเข้าใส่หินเป็นเวลานานๆ ทำให้พลาสติกบางส่วนฝังลงในหินคล้ายกับตะไคร่น้ำและสาหร่ายทะเล นี่นับว่าเป็นอะไรที่อันตรายกับระบบนิเวศในพื้นที่ใกล้เคียงมาก เพราะเช่นเดียวกับตะไคร่น้ำและสาหร่ายทะเล Plasticrust นั้น…

  • นักดาราศาสตร์พบอุกกาบาตก่อนชนโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา

    นักดาราศาสตร์พบอุกกาบาตก่อนชนโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าในปัจจุบันนักดาราศาสตร์มีรายชื่อของอุกกาบาตหลายลูกที่มีโอกาสจะชนโลกในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเราก็สามารถเห็นข่าวอุกกาบาตตกลงมาบนโลกโดยที่เราไม่ทราบกันมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นแล้วความน่าเชื่อถือของระบบตรวจจับอุกกาบาตจึงยังเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยโต้เถียงกันอย่างหนาหู และเมื่อล่าสุดนี้เองเราก็มีข่าวที่หากมองเผินๆ แล้วจะบอกไม่ถูกว่าเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายอีกครั้ง เพราะในวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมาทีมนักดาราศาสตร์ในฮาวายได้ทำการค้นพบอุกกาบาตขนาดพอๆ กับรถหนึ่งคันชื่อ “2019 MO” ก่อนที่มันจะพุ่งชนโลกภายในเวลา 12 ชั่วโมงเท่านั้น     ในวันนั้นอุกกาบาต 2019 MO ได้พุ่งใส่ชั้นบรรยากาศของโลกในพื้นที่ห่างออกไปทางใต้จากเครือรัฐปวยร์โตรีโกของสหรัฐอเมริการาวๆ 380 กิโลเมตร ก่อนที่จะระเบิดกลางอากาศด้วยความรุนแรงเทียบเท่ากับระเบิด TNT ราวๆ 3-5 กิโลตัน อุกกาบาต 2019 MO  ถูกค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่สองตัวชื่อ “ATLAS”  และ “Pan-STARRS” ในเวลาราวๆ 30 นาทีหลังจากที่มันเข้าสู่ระยะ 500,000 กิโลเมตรห่างจากโลก (ราวๆ 1.3 เท่าของระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์)   กล้องโทรทรรศน์ ATLAS 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่เมานาโลอา ในฮาวาย   นี่นับเป็นครั้งที่ 4 ของการตรวจพบอุกกาบาตในระยะเผาขน ตั้งแต่ที่เคยมีมาในช่วง 11…

  • พบ “Massopora” เชื้อราหลอนประสาท ที่ทำให้จักจั่นคึกคัก จนถึงขั้นบั้นท้ายขาด

    พบ “Massopora” เชื้อราหลอนประสาท ที่ทำให้จักจั่นคึกคัก จนถึงขั้นบั้นท้ายขาด

    เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันมาเป็นเวลานานแล้วว่า เชื้อราบางชนิดอาจส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อสัตว์จำพวกแมลงได้ ถึงอย่างนั้นก็ตามในตอนที่พวกเขาพบกับเชื้อราประหลาดที่ทำให้จักจั่นมั่วเซ็กซ์จนถึงขั้นบั้นท้ายขาด เชื่อว่าคงมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่น้อยที่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาการประหลาดๆ ของจักจั่นเหล่านี้ ถูกยืนยันว่ามาจากราชื่อ “Massopora” ในรายงานของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยมันเป็นเชื้อราที่ติดต่อในหมู่จักจั่นผ่านการผสมพันธุ์ และอันตรายมากพอที่จะสังหารจักจั่นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ   เหล่าจักจั้นที่ติดเชื้อรา Massopora   เมื่อเข้าไปในร่างของเหยื่อเชื้อราตัวนี้จะเปลี่ยนนิสัยของจักจั่นให้ดูร่าเริง กระฉับกระเฉง และพร้อมที่จะผสมพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จนในบางครั้งจักจั่นตัวผู้ที่ติดเชื้อสองตัวก็ถึงขั้นที่จะร่วมเพศกันเอง หรือทำตัวเลียนแบบตัวเมียเพื่อให้จักจั่นตัวอื่นๆ เขามาผสมพันธุ์ด้วยเพื่อแพร่เชื้อราต่อไป เท่านั้นยังไม่พอเมื่อเจ้าจักจั่นติดเชื้อราตัวนี้ ในบางครั้งพวกมันก็จะออกบินเพื่อปล่อย “ชิ้นส่วนของร่างกาย” ลงมาจากท้องฟ้า เพื่อที่จะให้เชื้อราสามารถแพร่กระจายไปยังเหยื่อตัวอื่นๆ ในสภาพไม่ต่างอะไรกับซอมบี้อีกด้วย   เมื่อจักจั่นผสมพันธุ์กัน ในบางครั้งบั้นท้ายของจักจั่นที่ติดเชื้อจะหลุดออกไปติดกับจักจั่นที่ผสมพันธุ์ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังดึงดันจะผสมพันธุ์ต่อไป แม้ตัวจะขาดก็ตาม   เอาเข้าจริงๆ ทีมนักวิทยาศาสตร์นั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเชื้อรา Massopora  มาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามภายในรายงานชิ้นล่าสุดนี้พวกเขาก็ได้มีการระบุข้อมูลชุดใหม่ไว้ว่า สารเคมีที่อยู่เบื้องหลังความน่ากลัวของเชื้อรา Massopora นั้น น่าจะเป็นสาร Amphetamines และ Hallucinogens ที่พบในยาหลอนประสาทและยาเสพติด นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่ง เพราะที่ผ่านๆ มาไม่มีใครเคยทำการทดลองเลยว่าเพราะเหตุใดเชื้อรา…

  • “เราจะทำให้นาซีแห้งตาย” ชาวเมืองเยอรมนีเหมาเบียร์ทั้งเมือง ต่อต้านคอนเสิร์ตนีโอนาซี

    “เราจะทำให้นาซีแห้งตาย” ชาวเมืองเยอรมนีเหมาเบียร์ทั้งเมือง ต่อต้านคอนเสิร์ตนีโอนาซี

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าปัญหาของกลุ่ม “นีโอนาซี” นั้นเป็นเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้แก่ชาวยุโรปกันมากขนาดไหน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มีกลุ่มคนเหล่านี้จัดกิจกรรมอะไรขึ้น เราก็จะสามารถเห็นคนหลายๆ กลุ่มออกมาต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ กันออกไป แต่เชื่อว่าในบรรดาวิธีการต่อต้านนีโอนาซีที่เราเคยมีโอกาสได้เห็นในช่วงเวลาที่ผ่านๆ มานั้นคงไม่มีอันไหนที่สร้างสรรค์ได้เท่าความพยายามในการต่อต้านนีโอนาซีของเหล่าตำรวจและคนในพื้นที่ของเมืองออสทริทซ์ เมืองทางชายแดนด้านตะวันออกของประเทศเยอรมนีอีกแล้ว   เหล่าผู้คนที่สวมชุด “Division Guesten” มาร่วมเทศกาลดนตรีของนีโอนาซีเมื่อปี 2018   ทันทีที่พวกเขาทราบข่าวว่าทางนีโอนาซีจะจัดเทศกาลดนตรีร็อก ในวันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ประชาชนและตำรวจกว่า 2,000 คนในเมือง ก็ออกมาร่วมมือร่วมใจกัน “แบน” แอลกอฮอล์ทั้งหมดในเมืองไม่ให้มีโอกาสได้ตกไปอยู่ในมือของทางนีโอนาซีได้เสียเลย โดยในการแบนแอลกอฮอล์ครั้งนี้ ทางตำรวจในเมืองได้ทำการยึดเครื่องดื่มกว่า 4,400 ลิตรจากตัวงานตลอดช่วงเวลาที่มีการจัดคอนเสิร์ต ตามคำสั่งของศาล ในขณะที่ชาวเมืองเองก็ออกตระเวนซื้อเบียร์จากร้านต่างๆ อีกกว่า 200 ลัง เพื่อป้องกันไม่ให้นีโอนาซีมีโอกาสได้ซื้อเครื่องดื่มโดยสมบูรณ์   การออกยึดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเจ้าหน้าที่ Auch heute setzen wir das Alkoholverbot in #Ostritz weiter durch. Bei Vorkontrollen konnten…

  • 21 ภาพหายากแต่ทรงพลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง อีกมุมของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    21 ภาพหายากแต่ทรงพลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง อีกมุมของสงครามที่คุณอาจไม่เคยเห็น

    ช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1939-1945 เป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คนรู้จักกันดีในฐานะช่วงที่โลกตกอยู่ใน “สงครามโลกครั้งที่สอง” สงครามที่นำมาซึ่งตำนานเรื่องเล่า และประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย แน่นอนว่าช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และสำคัญเอามากๆ เช่นนี้ มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราจะสามารถเห็นภาพถ่ายที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ ในเวลานั้นเอาไว้มากมายเต็มไปหมด ดังนั้นแล้วคงต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในบรรดาภาพที่ถูกถ่ายออกมานั้นจะมีภาพบางภาพที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แต่ก็ทรงพลังไม่แพ้กันปะปนอยู่บ้าง ซึ่งเจ้าภาพถ่ายเหล่านี้เอง ก็เป็นสิ่งที่พวกเราจะไปชมกันในวันนี้ กับ 21 ภาพหาชมยากแต่ก็ทรงพลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกมุมหนึ่งของสงครามที่คุณอาจจะไม่เคยมีโอกาสได้ชมมาก่อน   เริ่มกันจากภาพของผู้คุมค่ายกักกันของหน่วย SS ในระหว่างที่ถูกบังคับให้ขนร่างของเหยื่อที่เสียชีวิตในค่ายกักกัน ขึ้นไปบนรถบรรทุกเพื่อเอาไปฝัง   ภาพของชาวยิวที่เป็นอิสระ ในระหว่างที่เขาเอาปืนจ่อทหารนาซีเพื่อการควบคุมตัว   ภาพของเด็กชายที่ถูกทอดทิ้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านในลอนดอนของเขา   ภาพถ่ายภาพแรกของทหารอเมริกันที่ตายในสงคราม ซึ่งถูกตีพิมพ์ในประเทศ   นักโทษสงคราม ในขณะที่เขาจ้องหน้ามือขวาของฮิตเลอร์อย่างกล้าหาญ   เด็กสาวผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันระหว่างการวาดภาพ “บ้าน”   ทหารเยอรมันวัย 15 ปี ที่กำลังร้องไห้   เหยื่อจากการทิ้งระเบิดที่เมืองเดรสเดินของเยอรมนี ระหว่างรอการฝัง   ทหารเยอรมันผู้กลับบ้านมาพบว่าครอบครัวของเขาหายไป   ทหารเยอรมันมอบอาหารให้แม่ลูกชาวรัสเซีย   ทหารเยอรมันแบ่งขนมปังให้เด็กรัสเซีย   ทหารญี่ปุ่นใช้นักโทษสงครามชาวซิกข์เป็นเป้าซ้อมยิงปืน…

  • พบ “เอนเทโลดอนต์” หมูนรก 37 ล้านปี ที่ตัวใหญ่เท่าม้า ฟันหนาเท่าแขนคน

    พบ “เอนเทโลดอนต์” หมูนรก 37 ล้านปี ที่ตัวใหญ่เท่าม้า ฟันหนาเท่าแขนคน

    น้ำหนักมากกว่า 900 กิโลกรัม ขนาดตัวใหญ่โตเยี่ยงม้า และเขี้ยวแหลมคมขนาดเท่าแขนมนุษย์ นี่คือลักษณะโดยรวมของ “เอนเทโลดอนต์” (Entelodont) กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ได้รับชื่อเล่นสุดโหดจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ว่า “หมูนรก” (Hell pig)     เอนเทโลดอนต์ เป็นสัตว์โบราณที่อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ในช่วงกลางของยุคพาลีโอจีน หรือเมื่อราวๆ 37-16 ล้านปีก่อน ในหลากหลายพื้นที่ของโลกตั้งแต่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป หรือแม้กระทั่งเอเชีย และมีสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชื่อ Daeodon ซึ่งถูกค้นพบที่รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เอนเทโลดอนต์นับว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง (หากไม่นับไดโนเสาร์) ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือเลยก็ว่าได้ เพราะแม้แต่เอนเทโลดอนต์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่เราเคยพบ มันก็ยังมีขนาดเท่ากับกวางโตเต็มวัย ส่วนเอนเทโลดอนต์ขนาดใหญ่นั้นสามารถมีขนาดได้เท่าๆ กับม้าคลายเดสเดล (ม้าที่อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ม้างาน)     จากฟอสซิลที่เคยมีการค้นพบมาของเอนเทโลดอนต์นั้น ทำให้เราทราบว่าหมูนรกเหล่านี้มีขนาดส่วนหัวที่ใหญ่โตเอามากๆ ถึงขั้นที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วส่วนหัวของพวกมันจะมีมวลมากถึง 35-45% ของมวลร่างกายทั้งหมด และถูกสันนิษฐานโดยผู้เชี่ยวชาญว่าเวลาพวกมันสู้กันมันจะสามารถยัดหัวของอีกฝ่ายไว้ในปากตัวเองได้เลย แถมเอนเทโลดอนต์เองยังไม่ได้มีดีแค่ขนาดของหัวเสียด้วย เพราะทันทีที่มันอ้าปาก เราจะสามารถเห็นเขี้ยวขนาดใหญ่เท่าๆ กับแขนของมนุษย์เรียงอยู่ในสภาพพร้อมฉีกร่างเหยื่อผู้โชคร้ายให้เป็นชิ้นๆ ซึ่งเจ้าลักษณะราวกับหลุดออกมาจากฝันร้ายเหล่านี้เองที่ทำให้พวกมันถูกเรียกกันว่า หมูนรก หรือ หมูเทอร์มิเนเตอร์ในบางครั้ง   .   แต่แม้ว่าเจ้าหมูนรกเหล่านี้จะมีฟันหน้าที่น่ากลัวก็ตาม…

  • ชมภาพถ่ายเปรียบเทียบอุปกรณ์ที่ทหารใช้ในการรบ ตลอดช่วงเวลาเกือบ 1,000 ปีที่ผ่านมา

    ชมภาพถ่ายเปรียบเทียบอุปกรณ์ที่ทหารใช้ในการรบ ตลอดช่วงเวลาเกือบ 1,000 ปีที่ผ่านมา

    ในยามที่ชีวิตต้องตกอยู่ในช่วงไฟสงคราม เชื่อว่าไม่ว่าทหารในสมัยไหนก็คงเตรียมอุปกรณ์คู่ใจทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของตัวเองแม้สักนิดก็ยังดี ดังนั้นแล้วมันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่เหล่าทหารในแต่ละยุคจะพกพาอุปกรณ์ที่น่าสนใจติดตัวไว้มากมายเต็มไปหมดตั้งแต่ในสมัยก่อน ซึ่งเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยที่หลงใหลในของเขานั้น และหนึ่งในบรรดาคนที่หลงใหลในอุปกรณ์ของนักรบที่ว่านี้ ก็คือคุณ Thom Atkinson ช่างภาพมากฝีมือจากลอนดอน เจ้าของภาพถ่ายสุดงดงามมากมายในอดีต ผู้ซึ่งได้ไปรวบรวมเอาข้อมูลอุปกรณ์ของเหล่าทหารตลอดช่วงปี 1066-2014 มาแสดงเป็นภาพถ่ายสุดน่าหลงใหล แต่ผลงานของชายคนนี้จะออกมาละเอียดและงดงามขนาดไหนนั้น หรือตกลงทหารแต่ละยุคมีอุปกรณ์แตกต่างกันแบบไหนบ้าง คงต้องขอเชิญทุกคนไปชมพร้อมๆ กันได้ที่ข้างล่างนี้เลย   เริ่มกันจากชุดทหารของชาวอังกฤษในสงครามที่เฮสติงส์เมื่อปี 1066   อุปกรณ์ของทหารม้าจากการล้อมกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปี 1244   อุปกรณ์ของทหารฝั่งอังกฤษ ในสมรภูมิที่อาแซงกูร์ 1415 ศึกนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้พลธนูยาวของฝั่งอังกฤษ   อุปกรณ์สงครามของทหารฝ่ายราชวงศ์ยอร์คในยุทธการที่บอสเวิร์ธฟิลด์ ส่วนหนึ่งของ สงครามดอกกุหลาบ เมื่อปี 1485 นี่เป็นช่วงเวลาที่เกราะแบบป้องกันทั้งตัวหรือฟูลเพลทอาร์เมอร์เริ่มแพร่หลาย   อุปกรณ์ทหารจากของทหารม้าที่ ทิลเบอรี่ เมื่อปี 1588 นี่เป็นยุคที่ปืนเริ่มมีบทบาทในสงคราม ดังนั้นการใส่เกราะทั้งตัวจึงเริมเสื่อมความนิยมไป   อุปกรณ์พลปืนรุ่นใหม่ในยุทธการที่เนสบี 1645   อุปกรณ์รบของทหารในการรบที่ Malplaquet ส่วนหนึ่งของสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน เมื่อปี 1709 อาวุธจะคล้ายๆ ภาพบน แต่เปลี่ยนจากปืนคาบชุด…

  • ชม 20 ภาพอบอุ่นหัวใจในอดีต ที่จะทำให้คุณทราบว่าประวัติศาสตร์โลกมีเรื่องดีๆ กว่าที่คิด

    ชม 20 ภาพอบอุ่นหัวใจในอดีต ที่จะทำให้คุณทราบว่าประวัติศาสตร์โลกมีเรื่องดีๆ กว่าที่คิด

    ในยามที่เรามองภาพที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่รู้สึกลึกว่าทำไมภาพส่วนใหญ่ที่ออกมา ถึงได้มีแต่ภาพเกี่ยวกับสงคราม หรือไม่ก็เรื่องเศร้าๆ และความสูญเสีย แต่ว่ากันจริงๆ แล้วในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ พวกเราเองก็มีการถ่ายรูปที่ทั้งงดงามและอบอุ่นหัวใจเอาไว้มากมายเช่นกัน เพียงแค่ว่าภาพเหล่านั้นมักจะถูกผู้คนหลงลืมไป เช่นเดียวกับที่คนเรามักจะจำเรื่องแย่ๆ ได้มากกว่าเรื่องดีๆ และเพื่อที่จะไม่ให้เราลืมไปว่าโลกในอดีตก็มีเรื่องดีๆ อยู่มากมายเช่นกัน ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำรูปภาพเก่าๆ แต่ก็อบอุ่นหัวใจมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ดั่งเช่นภาพทั้ง 20 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก่อนความสุข จากปี 1955   คู่รักในยุควิคตอเรียที่กลั้นขำไม่ไหวในระหว่างการถ่ายภาพเมื่อปี 1890   สิบเอก Frank Praytor ในระหว่างให้อาหารลูกแมวที่เสียแม่ไปจากไฟสงครามเกาหลี เมื่อปี 1953   เด็กๆ ที่ให้สุนัขเหยียบหลังขึ้นไปดื่มน้ำ   เด็กชายชาวออสเตรียได้รับรองเท้าใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง   เด็กหญิงที่เล่นบทเพลงกับสุนัขของเธอ   น้องแมวสองตัวที่ต่อแถวมาดื่มนมสดๆ จากเต้า   วินาทีที่ Harold Whittles เด็กผู้เกิดมาหูหนวกได้ยินเสียงเป็นครั้งแรกของชีวิต   เด็กหญิงที่ป่วยเป็นโปลิโอกับการรักษาเสริมที่ใช้สัตว์เป็นสื่อกลาง   เด็กหญิงชาวฝรั่งเศสที่มีความสุขกับแมวของเธอ เมื่อปี…

  • ทฤษฎี “แวนโก๊ะถูกฆ่า” ถูกนำมาถกเถียงอีกครั้ง หลังปืนที่เขาใช้ยิงตัวตายถูกนำออกประมูล

    ทฤษฎี “แวนโก๊ะถูกฆ่า” ถูกนำมาถกเถียงอีกครั้ง หลังปืนที่เขาใช้ยิงตัวตายถูกนำออกประมูล

    ในวันพุธที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่จะถึงนี้ ในประเทศฝรั่งเศสจะมีจัดการประมูลปืนโบราณกระบอกหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นของที่จิตรกรชื่อดังของโลกอย่าง “วินเซนต์ แวนโก๊ะ” ใช้งานในการปลิดชีพตัวเองเมื่อปี 1890     โดยเจ้าปืนกระบอกที่เห็นนี้ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1960 ราวๆ 70 ปีหลังจากวันที่เกิดเหตุ ในพื้นที่ของหมู่บ้านฟาร์ม “Auvers-sur-Oise” ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ซึ่งแวนโก๊ะจากโลกนี้ไป ปืนที่พบนั้นเป็นปืนลูกโม่ที่ใช้กระสุนขนาด 7 มิลลิเมตร ที่ผลิตโดย Lefaucheux และนับว่าเป็นปืนพกขนาดเล็กที่ค่อนข้างนิยมในสมัยนั้น แม้ว่าขนาดกระสุนปืนจะค่อนข้างเล็กอยู่ก็ตาม     น่าเสียดายที่ความนิยมของปืนกระบอกนี้นั้นทำให้นักโบราณคดีไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าปืนดังกล่าวเป็นของที่แวนโก๊ะเคยใช้มาก่อน โดยในปัจจุบันนักโบราณคดีมีเพียงสถานที่พบปืน ขนาดของปืนที่ตรงกับกระสุนจากศพของแวนโก๊ะ และการที่ปืนถูกพบในสภาพพร้อมยิงเท่านั้น ที่พอจะชี้ว่าปืนกระบอกดังกล่าวอาจเป็นของที่แวนโก๊ะเคยใช้จริงๆ ดังนั้นการออกประมูลของปืนกระบอกนี้ จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนาหูในหมู่นักสะสมของเก่าไป     แต่เรื่องราวความน่าเชื่อถือของปืนกระบอกนี้เอง ก็ไม่ใช่เรื่องราวเพียงเรื่องเดียวซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในการประมูลที่กำลังจะเกิดขึ้นเสียด้วย นั่นเพราะการที่วัตถุโบราณชิ้นนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ทำให้มีคนไม่น้อยเลยที่นำทฤษฎีเกี่ยวกับความตายของแวนโก๊ะกลับมาพูดคุยถกเถียงกันอีกครั้ง และในบรรดาทฤษฎีที่มีการกล่าวถึงกันมากที่สุด ก็คงไม่พ้นทฤษฎีที่ว่าแท้จริงแล้วแวนโก๊ะไม่ได้ยิงตัวตาย แต่ถูกยิงโดยใครบางคน     โดยทฤษฎีที่กล่าวมานี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากนักเขียนชีวประวัติ Gregory White…

  • นักโบราณคดีพบ ชาวสกอตแลนด์โบราณมีการทำ “เกาะเทียม” มาตั้งแต่เมื่อ 5,600 ปีแล้ว

    นักโบราณคดีพบ ชาวสกอตแลนด์โบราณมีการทำ “เกาะเทียม” มาตั้งแต่เมื่อ 5,600 ปีแล้ว

    เชื่อว่าที่ผ่านๆ มา หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของเกาะเทียมที่เกิดจากการถมทะเลของมนุษย์มาบ้าง แต่เคยสงสัยกันไหมว่ามนุษย์เรานั้นถมน้ำสร้างเกาะกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นั่นเพราะในงานวิจัยชิ้นใหม่ที่มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักโบราณคดีในประเทศสกอตแลนด์ได้ทำการพบว่าในประเทศของพวกเขานั้นมีเกาะเล็กๆ ร่วมร้อยเกาะเลยที่ทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์โบราณ     อันที่จริงแล้วเรื่องราวของเกาะที่เกิดขึ้นจากการถมทะเล หรือทะเลสาบด้วยดินและไม้ ที่สกอตแลนด์ เป็นเรื่องที่นักโบราณคดีทราบกันมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามในอดีตพวกเขาคาดกันว่าเกาะเหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นเมื่อราวๆ 2,800 ปีก่อนเมื่อช่วงยุคเหล็กเท่านั้น อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าจะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงมากอยู่ เพราะเมื่อนักโบราณคดีได้ทำการตลอดสอบเกาะเหล่านี้อย่างละเอียดด้วยระบบการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี พวกเขาก็พบว่าเกาะเหล่านี้แท้จริงแล้ว สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในยุคหิน และอาจมีอายุมากถึง 5,600 ปีแล้ว     การตรวจสอบในครั้งนี้นับว่าสอดคล้องกับแนวคิดของคุณ Chris Murray อดีตนักดำน้ำของกองทัพเรืออังกฤษที่เคยมาสำรวจพื้นที่แห่งนี้ในปี 2012 และพบเศษหม้อจากยุคหินใหม่ใต้น้ำใกล้ๆ กับเกาะได้เป็นอย่างดี เป็นไปได้ว่าเกาะที่ถูกถมขึ้นมาเหล่านี้ ในอดีตอาจจะเคยเป็นที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อของคนหลายกลุ่มมาก่อน (อ้างอิงจากที่เกาะแบบนี้ถูกพบในหลายพื้นที่) ส่วนหม้อที่พบจะเคยเป็นของที่ใช้ในพิธีมาก่อน แต่ก็ตกลงไปใต้น้ำด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง     แต่แม้ว่าเราจะมีการพบเกาะในรูปแบบนี้เป็นจำนวนมากก็ตาม ทีมนักโบราณคดีกลับไม่สามารถค้นพบโบราณวัตถุจากยุคหินใหม่บนเกาะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งทำให้วัตถุโบราณทั้งหมดที่เราเคยพบมาในพื้นที่นี้ ล้วนแต่มาจากใต้น้ำทั้งนั้น ทั้งนี้เองเกาะส่วนมากที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนโบราณเหล่านี้ จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ราวๆ 10 เมตร และในปัจจุบันนักโบราณคดีเองก็ยังไม่มีหลักฐานที่พอจะบอกเราได้เลยว่าเกาะเหล่านี้ถูกถมขึ้นมาด้วยวิธีแบบไหน  …

  • ชม 30 ภาพดังจากในอดีต ที่ทั้งน่าจดจำและมีชื่อเสียงที่สุดชุดหนึ่งของประวัติศาสตร์

    ชม 30 ภาพดังจากในอดีต ที่ทั้งน่าจดจำและมีชื่อเสียงที่สุดชุดหนึ่งของประวัติศาสตร์

    ตั้งแต่ที่มีการคิดค้นกล้องถ่ายรูปขึ้นมา เครื่องมือชิ้นนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ได้ชื่อว่าสำคัญที่สุดในการบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ในอดีตมากล้องถ่ายรูปนั้นได้บันทึกภาพสำคัญๆ ของประวัติศาสตร์มาแล้วมากมายหลายรูปจริงๆ แต่ในบรรดาภาพถ่ายของประวัติศาสตร์นับล้านใบบนโลกเอง มันก็มีภาพถ่ายบางภาพเหมือนกันที่เป็นที่จดจำของผู้คนได้เป็นอย่างดีกว่าภาพถ่ายอื่นๆ และภาพถ่ายอันเป็นที่จดจำเหล่านี้เองก็เป็นสิ่งที่ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมกันในวันนี้กับ ภาพถ่ายในตำนาน ที่ว่ากันว่าเป็นที่จดจำ และมีชื่อเสียงที่สุดในอดีตทั้ง 30 ภาพต่อไปนี้   คำเตือนภาพบางภาพต่อไปนี้ อาจมีเนื้อหาที่รุนแรง น่ากลัว หรือเสียดแทงหัวใจ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   เริ่มกันจากภาพถ่ายรางวัลยอดเยี่ยมจากปี 1993 “เด็กหญิงกับอีแร้ง”   ภาพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในระหว่างฝึกกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 1925   ภาพสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของ “วลาดิเมียร์ โคมารอฟ” ชายผู้สละชีวิต ขึ้นบินในกระสวยอวกาศทั้งๆ ที่รู้ว่าภารกิจต้องจงลงด้วยความผิดพลาดแน่ๆ เพื่อช่วยชีวิต ยูริ กาการิน ในปี 1967   มือเด็กชายชาวยูกันดาที่กุมมือของนักเผยแผ่ศาสนา จากปี 1980   ภาพการแลบลิ้นของไอน์สไตน์ในปี 1951   ภาพของเด็กผู้เป็นเหยื่อเหตุภูเขาไฟระเบิดที่โคลัมเบียในปี 1985   ภาพถ่ายชิ้นแรกที่เผยแพร่ความตายของทหารสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  …

  • “ฟรังกา วิโอลา” หญิงแกร่งผู้ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ข่มขืนเธอ แม้ต้องถูกมองว่าไร้ยางอาย

    “ฟรังกา วิโอลา” หญิงแกร่งผู้ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ข่มขืนเธอ แม้ต้องถูกมองว่าไร้ยางอาย

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของสตรีผู้กล้าหาญ ชื่อว่า “ฟรังกา วิโอลา” (Franca Viola) กันไหม เธอชื่อหญิงสาวผู้มีชื่อเสียงในฐานะคนที่ต่อต้านประเพณีของประเทศอิตาลี ด้วยการปฏิเสธที่จะแต่งงานกับคนที่ข่มขืนเธอ แม้ว่ามันจะทำให้เธอถูกมองว่าเป็น “ผู้หญิงไร้ยางอาย” ก็ตาม     ฟรังกา วิโอลา เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวชาวนาที่เกิดมาในช่วงเวลาที่ประเทศอิตาลี มีกฎหมายและประเพณีที่ค่อนข้างประหลาด โดยในเวลานั้น คดีข่มขืนจะถูกมองว่าเป็น “ความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน” ไม่ใช่ “ความผิดต่อบุคคล” ดังนั้นโทษของคดีข่มขืนจึงเป็นเรื่องที่สามารถถูกละเว้นได้หากอาชญากรผู้ลงมือข่มขืน ทำสิ่งที่เรียกว่า “Matrimonio riparatore” หรือการรับผิดชอบเหยื่อด้วยการแต่งงาน ปัญหาหลักๆ ของกฎหมายแบบนี้คือในเวลานั้น ประเทศอิตาลีมีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงที่เสียพรหมจรรย์ไปก่อนจะแต่งงานนั้นเป็นเรียกที่น่าอายมาก และใครก็ตามที่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงานจะถูกมองว่าเป็น “Donna svergognata” หรือผู้หญิงไร้ยางอายไป แนวคิดนี้เองทำให้ในสมัยนั้นมีอาชญากรคดีข่มขืนจำนวนมากที่รอดพ้นจากโทษมาได้ด้วยการแต่งงานกับเหยื่อที่กลัวจะโดนตราหน้าว่าไร้ยางอาย และมีผู้ไม่หวังดีอีกหลายคนที่พยายามจะใช้กฎหมายนี้ในการบังคับให้ผู้หญิงแต่งงานด้วย และก็แน่นอนว่าวิโอลาเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของกฎหมายที่ว่านี้     เรื่องราวการต่อสู้ของเธอเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 1965 เมื่อที่วิโอลาถูกกลุ่มคนติดอาวุธ 13 คนซึ่งนำทีมโดย “ฟีลิปโป เมโลเดีย” อดีตคู่หมั้นของเธอบุกเข้ามาฉุดตัวไปข่มขืนในขณะที่เธอยังอายุได้เพียง 17 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะให้หญิงสาวต้องแต่งงานกับเขาอีกครั้ง หลังถูกถอนหมั้นเพราะตัวเองถูกจับจากคดีลักขโมย วิโอลาถูกขังเอาไว้เป็นเวลา 8…

  • ชม 17 ภาพ คนมีชื่อเสียงจากในอดีต ที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเอง หล่อ/สวย เป็นดาราได้เลย

    ชม 17 ภาพ คนมีชื่อเสียงจากในอดีต ที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเอง หล่อ/สวย เป็นดาราได้เลย

    เมื่อพูดถึงภาพของบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อน เชื่อว่าเรื่องของความสวยความหล่อ คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลายๆ คนคิดถึง ถึงอย่างนั้นก็ตาม คนในสมัยก่อนบางคนเองก็มีหน้าตาร่วมสมัยกว่าที่เราคิด และเรียกว่าเป็นคนหล่อคนสวยได้แม้แต่ในสายตาคนในปัจจุบันเลย เพียงแต่เราไม่เคยทราบมาก่อน (อาจเพราะติดภาพลักษณ์ของพวกเขาในตอนที่แก่แล้ว) ก็เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพหนุ่มหล่อสาวสวยทั้ง 17 ภาพต่อไปนี้ดูสิ   เริ่มกันจากภาพของ Hermann Rorschach ผู้คิดค้นแบบทดสอบบุคลิกภาพจากการหยดน้ำหมึก 1884-1922   Hunter S. Thompson นักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกัน เจ้าของผลงาน Hell’s Angels 1937-2005   Joseph Stalin ผู้นำของสหภาพโซเวียตที่มีชื่อเสียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไปจนถึงช่วงต้นสงครามเย็น 1878-1953   Lewis Powell หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดในคดีการลอบสังหารประธานาธิบดี Abraham Lincoln 1844-1865   Barbara Bush สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา ภรรยาของประธานาธิบดี George H. W. Bush 1925-2018   Charlie Chaplin นักแสดงชาวอังกฤษ…

  • ชม 8 มัมมี่สุดน่าสนใจจากทั่วโลก ที่จะทำให้คุณทึ่งกับความลึกลับหลังความตายได้อย่างดี

    ชม 8 มัมมี่สุดน่าสนใจจากทั่วโลก ที่จะทำให้คุณทึ่งกับความลึกลับหลังความตายได้อย่างดี

    เมื่อเราพูดถึงมัมมี่ขึ้นมา เชื่อว่าภาพแรกที่หลายๆ คนนึกถึงก็คงไม่พ้นภาพศพแห้งๆ ห่อผ้าจากอียิปต์ในสมัยก่อนเป็นแน่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ก็ใช่ว่ามัมมี่ทั้งหมดในโลกจะมาจากที่อียิปต์เช่นกัน นั่นเพราะในโลกของเรานั้น มีมัมมี่แปลกๆ ถูกเก็บเอาไว้อยู่มากมายหลายที่กว่าที่เราคิด ทั้งที่มาจากฝีมือของมนุษย์ และเหล่าร่างคนตายที่กลายเป็นมัมมี่กันไปเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน การรักษาศพในรูปแบบนี้ก็เป็นอะไรที่ลึกลับน่าค้นหา และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นอยู่เสมอๆ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปรวบรวมเอาตัวอย่างมัมมี่แปลกๆ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะมีมัมมี่ของใครบ้าง และเรื่องราวของพวกเขาน่าสนใจขนาดไหนนั้น เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   1. มัมมี่ของ “ตุตันคาเมน” เจ้าของตำนานคําสาปร้ายแห่งฟาโรห์ เริ่มกันจากมัมมี่ที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันก่อนกับ มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน แห่งราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ โดยมัมมี่ร่างนี้เป็นมัมมี่ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ร่างซึ่งถูกทาเป็นสีดำ และคำสาปของสุสานที่ว่ากันว่าสังหารคนทุกคนที่มีส่วนร่วมในการขุดค้นมัมมี่ร่างนี้ในอดีต อย่างไรก็ตามเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยทราบกันมาก่อนของมัมมี่ร่างนี้คือมัมมี่ของตุตันคาเมนนั้นเป็นมัมมี่ที่ไม่มี “หัวใจ” อวัยวะชิ้นเดียวที่ตามปกติจะถูกใส่ไว้ในร่างขณะมีการทำมัมมี่ของอียิปต์ แถมยังถูกฝังพร้อมกับอวัยวะเพศที่ตั้งชูชันเพื่อทำให้ท่านเป็นตัวแทนของเทพโอซิริสอีกด้วย   2. มัมมี่ของ “3 เหยื่อบูชายัญ” แห่งเผ่าอินคา นี่เป็นมัมมี่ที่ถูกพบในปี 1999 ใกล้ๆ ยอดภูเขาไฟ Llullaillaco ในประเทศอาร์เจนตินา และเป็นของเด็กสามคนที่ได้รับการตั้งชื่อว่า La doncella…

  • ย้อนรอยภาพดังของศัลยแพทย์ Zbigniew Religa หลังการผ่าตัดนาน 23 ชั่วโมง เมื่อปี 1987

    ย้อนรอยภาพดังของศัลยแพทย์ Zbigniew Religa หลังการผ่าตัดนาน 23 ชั่วโมง เมื่อปี 1987

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบกันว่าเหล่าผู้คนที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์นั้น ต้องใช้ชีวิตกันด้วยความยากลำบากขนาดไหน เพราะต่อให้เป็นตอนตีหนึ่งตีสอง หากมีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาพวกเขาก็ต้องไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากจะให้พูดถึง “ภาพถ่าย” ที่แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากและความเสียสละของแพทย์ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดแล้ว เชื่อว่าเราคงไม่พูดถึงภาพถ่ายหลังการผ่าตัดหัวใจเมื่อปี 1987 ไม่ได้เลย     นี่เป็นภาพของ Dr. Zbigniew Religa ศัลยแพทย์ชาวโปแลนด์ ในระหว่างที่เขานั่งเฝ้ามองมอนิเตอร์ หลังการผ่าตัดหัวใจด้วยสีหน้ากังวล โดยที่ในมุมขวาของภาพ เราจะเห็นเพื่อนร่วมงานของเขานอนหลับอยู่ด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากที่การผ่าตัดยาวนานถึง 23 ชั่วโมงจบลง การผ่าตัดในเวลานั้น นับว่าเป็นการผ่าตัดหัวใจครั้งแรกของโปแลนด์เลยก็ว่าได้ และด้วยความที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ในเวลานั้นยังไม่พร้อมนักการผ่าตัดในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการผ่าตัดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วย แต่ถึงอย่างนั้นทีมแพทย์ของคุณ Zbigniew กลับสามารถทำมันได้สำเร็จในท้ายที่สุด   Dr. Zbigniew Religa ไม่นานก่อนการผ่าตัด   ความพยายามของพวกเขาไม่เพียงแต่ทำให้คุณ Tadeusz Żytkiewicz ผู้เป็นคนไข้รอดชีวิตจากความตายเท่านั้น แต่เขายังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกถึง 30 ปีหลังจากการผ่าตัด ก่อนที่จะเสียชีวิตไปเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งนี้ภาพที่ออกมา ถูกจับภาพไว้ได้โดยช่างภาพชื่อ James Stanfield และถูกทาง National Geographic เลือกให้เป็นภาพถ่ายแห่งปีประจำปี…

  • พบฟอสซิล 14,000 ปีของ แมมมอธ อูฐ และหมาป่า ถูกฝังอยู่ด้วยกันที่เม็กซิโก

    พบฟอสซิล 14,000 ปีของ แมมมอธ อูฐ และหมาป่า ถูกฝังอยู่ด้วยกันที่เม็กซิโก

    เมื่อเราพูดถึงการที่สัตว์ในยุคน้ำแข็งหลายๆ ชนิดอาศัยอยู่ด้วยกัน สิ่งแรกที่หลายๆ คนนึกถึงก็คงจะไม่พ้นภาพของเหล่าสัตว์ในภาพยนตร์เรื่อง Ice Age ขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ แต่ในโลกแห่งความจริงแล้ว การที่สัตว์เหล่านี้จะถูกพบอยู่ใกล้ๆ เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในสัตว์เหล่านั้นเป็นสัตว์กินเนื้อแล้วด้วย แต่แน่นอนว่า “เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย” มันก็ไม่ได้หมายความว่า “เป็นไปไม่ได้” เช่นกัน เพราะเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาสื่อท้องถิ่นของประเทศเม็กซิโกได้ออกมารายงานการค้นพบฟอสซิลโบราณของสัตว์หลายชิ้นพร้อมๆ กันในพื้นที่รัฐปวยบลา ทางตะวันตกของเม็กซิโกซิตี     โดยฟอสซิลที่ถูกค้นพบในครั้งนี้นั้น ประกอบไปด้วยงาของช้างแมมมอธจำนวนมาก กะโหลกของอูฐ และเขี้ยวของหมาป่ายักษ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นมีอายุอยู่ที่ราวๆ 14,000 ปี อ้างอิงจากคุณ Héctor Aguilar Rosas จากสมาคม Tepalcayotl กลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อรักษามรดกของรัฐปวยบลา คนในพื้นที่แห่งนี้มีการพบวัตถุโบราณจากยุคน้ำแข็งอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่มีการรายงานให้ผู้เกี่ยวข้อง     “ผู้พักอาศัยบางส่วนถึงกับมีวัตถุโบราณไว้ในบ้านเลย” คุณ Héctor กล่าว เขาเล่าว่าคนในพื้นที่ได้พบวัตถุโบราณมาตั้งแต่เมื่อ 18 เดือนก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับเพิ่งมีการรายงานไปที่สมาคมเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเท่านั้น ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าวัตถุโบราณหลายชิ้นคงจะเสียหายและสูญหายไปเพราะคนในพื้นที่แล้ว    …

  • รูปสลักบนหินอายุ 8,000 ปี ถูกพบในหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดทำมาเพื่อขอฝน

    รูปสลักบนหินอายุ 8,000 ปี ถูกพบในหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดทำมาเพื่อขอฝน

    เพื่อนๆ เคยได้ยินชื่อของหลุมอุกกาบาต “วเรเดฟอร์ท” (Vredefort Crater) กันมาก่อนไหม นี่คือหลุมอุกกาบาต ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ราวๆ 300 กิโลเมตร และตั้งอยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้     ตั้งแต่ที่ถูกค้นพบไปในปี ค.ศ. 1937 สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อประวัติศาสตร์โลกไป จนถึงขนาดที่มันได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโกเลยทีเดียว ล่าสุดนี้ทีมนักวิจัยของแอฟริกาใต้ ได้ค้นพบว่าในหลุมอุกกาบาตวเรเดฟอร์ทนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่หลักฐานของอุกกาบาตในอดีตเท่านั้น แต่ยังมีรูปสลักโบราณถูกวาดเอาไว้ด้วย   .   รูปสลักที่ถูกพบในครั้งนี้นั้น ถูกค้นพบในขณะที่นักวิจัยได้เข้าไปตรวจสอบลักษณะทางธรณีวิทยาของหลุมอุกกาบาตที่มีอายุร่วม 2,000 ล้านปี และพบว่าในพื้นที่แนวหินยาวซึ่งเกิดจากการกระแทกของอุกกาบาตที่เรียกกันว่า “Rain Snake” ยังมีหินจำนวนมากที่ถูกสลักภาพของสัตว์ป่าเอาไว้ด้วย เมื่อทำการตรวจสอบอายุสิ่งที่พบในเบื้องต้นทีมนักวิจัยก็พบว่ารูปสลักบนหินเหล่านี้ มีอายุอย่างต่ำๆ ถึง 8,000 ปี และน่าจะถูกเขียนขึ้นโดย “ชาวคอนชาน” บรรพบุรุษของชาวแอฟริกาในอดีต ผู้ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในทะเลทรายแถบประเทศบอสวานาและประเทศนามีเบีย อ้างอิงจากหลักฐานอื่นๆ ที่เคยมีการพบในพื้นที่ใกล้ๆ     โดยรูปของสัตว์ที่นักวิจัยคนพบนั้น มีตั้งแต่ภาพของม้า ละมั่ง ฮิปโปโปเตมัส และสัตว์อื่นๆ ที่อธิบายได้ยากว่าเป็นตัวอะไร ซึ่งเป็นไปได้มาว่าจะเป็นสัตว์ที่คนในสมัยนั้นพบเจอในระหว่างที่พวกเขาออกล่า และเก็บของป่าในพื้นที่…

  • นักวิจัยพบคนเราอาจเล่นโทรศัพท์กันมากเกินไป จนมีกระดูกงอกเพิ่มบริเวณท้ายทอย

    นักวิจัยพบคนเราอาจเล่นโทรศัพท์กันมากเกินไป จนมีกระดูกงอกเพิ่มบริเวณท้ายทอย

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบันสมาร์ตโฟนได้กลายเป็นเหมือนอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเห็นคนหยิบโทรศัพท์เหล่านี้ขึ้นมาเล่นกัน ว่าแต่เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ว่าพฤติกรรมการเล่นมือถือของมนุษย์เรานั้น มันอาจจะเริ่มส่งผลกระทบโดยตรงกับสรีระร่างกายของมนุษย์ไปแล้ว     นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ได้เริ่มทำการตรวจพบว่าผู้คนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะเด็กๆ) เริ่มที่จะมีการพัฒนากระดูกแบบประหลาดๆ ที่บริเวณท้ายทอยเสียแล้ว กระดูกส่วนที่ว่านี้รู้จักกันในนาม “ปุ่มนอกของท้ายทอย” (External occipital protuberance) ซึ่งแม้ว่าจะมีอยู่ในมนุษย์แทบทุกคน แต่ตามปกติแล้วจะมีขนาดเล็กมาก (ราวๆ 5 มิลลิเมตร) ต่างไปจากในปัจจุบันที่ในบางครั้งกระดูกที่ว่าใหญ่มากพอที่จะรู้สึกได้เมื่อเราเอานิ้วโป้งกดที่ท้ายทอยเลย     การพัฒนาของกระดูกส่วนนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน พวกเขาเชื่อว่ามันน่าจะมาจากการที่มนุษย์มักจะก้มหัวในมุมที่ไม่เหมาะสมและเป็นภาระต่อคอ ซึ่งมักเกิดจากการก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือนั่นเอง คุณ David Shahar นักวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยซันชายน์โคสต์บอกว่า ด้วยความที่ศีรษะของคนเรามีน้ำหนักค่อนข้างมาก การที่คนเราก้มหน้านานๆ จึงมักสร้างภาระให้กล้ามเนื้อที่เชื่อมอยู่ระหว่างคอและกะโหลกเป็นอย่างมาก   ขนาดของปุ่มนอกของท้ายทอยตามปกติ   ดังนั้นเพื่อที่จะลดภาระของกล้ามเนื้อลงร่างกายของมนุษย์เพิ่มขนาดของกระดูกที่ท้ายทอยซึ่งจะช่วยกระจายน้ำหนักของศีรษะให้ใหญ่มากขึ้น และลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนคอลง อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2016 ของคุณ Shahar และทีมงาน ในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 18-30 ปีจำนวน 218 คน พวกเขาพบว่ามีคนมากถึง…

  • ย้อนรอย “Bloody Sunday” เมื่อทหารอังกฤษยิงผู้ชุมนุมประท้วงไอร์แลนด์เหนือเมื่อปี 1972

    ย้อนรอย “Bloody Sunday” เมื่อทหารอังกฤษยิงผู้ชุมนุมประท้วงไอร์แลนด์เหนือเมื่อปี 1972

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์ที่ชื่อว่า “Bloody Sunday” หรือ “วันอาทิตย์ทมิฬ” แห่งปี 1972 กันมาก่อนไหม นี่เป็นเรื่องราวการยิงสังหารผู้ชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์เหนือเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1972 ในวันนั้นทหารรัฐบาลจากสหราชอาณาจักร ได้มีการใช้กำลังทหารเกินกว่าเหตุในการปะทะกับผู้ชุมนุมชาวไอริชที่มาชุมนุมกันแบบสันติและปราศจากอาวุธ ที่เมืองลอนดอนเดอร์รี่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 14 ราย และบาดเจ็บอีก 13 คน   .   ทั้งนี้เองจุดเริ่มต้นของปัญหาระหว่างไอร์แลนด์เหนือและสหราชอาณาจักรนั้น สามารถมองย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งประเทศอังกฤษบุกยึดประเทศไอร์แลนด์ และต้องพบกับการปฏิวัติครั้งแล้วครั้งเหล่าตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมีรากฐานของปัญหามาจากแนวคิดทางศาสนาและการปกครองที่ไม่ลงรอยกัน แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ความขัดแย้งอันยาวนานนั้น ยอมทำให้กลุ่มชาตินิยมหลายกลุ่มไม่พอใจเกี่ยวกับการที่ไอร์แลนด์เหนือถูกปกครองโดยสหราชอาณาจักร จนบางครั้งก็กลายเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ต้องการจะปลดปล่อยประเทศของตัวเอง   คาร์บอมบ์ที่สำนักงานใหญ่ของกองทัพอังกฤษ หนึ่งในเหตุการณ์อันเป็นผลงานของกลุ่มหัวรุนแรงในไอร์แลนด์เหนือ   และการปฏิบัติการของกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้เอง ที่ทำให้สหราชอาณาจักรตัดสินใจเริ่มออกจับกุมประชาชนแบบไม่จำเป็นต้องแจ้งสาเหตุ เพื่อหวังที่จะทำลายกลุ่มหัวรุนแรงในไอร์แลนด์เหนือให้ได้ ปัญหาคือคนที่เสียหายเพราะการตัดสินใจครั้งนี้นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มหัวรุนแรงเท่านั้น เพราะการทำงานของเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรนั้นในหลายๆ ครั้งก็ส่งผลกระทบกับประชาชนธรรมดาด้วย ดังนั้นชาวไอริชนับหมื่นคนที่นำโดยสมาพันธ์สิทธิพลเมืองชาวไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland Civil Rights Association) จึงได้ออกมาชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่รัฐ โดยที่มีทหารคอยควบคุมตลอดการชุมนุม  …

  • นักบรรพชีวินพบ ฟอสซิลสัตว์โบราณคล้าย “เนสซี” ที่แอนตาร์กติกา คาดมีอายุกว่า 66 ล้านปี

    นักบรรพชีวินพบ ฟอสซิลสัตว์โบราณคล้าย “เนสซี” ที่แอนตาร์กติกา คาดมีอายุกว่า 66 ล้านปี

    เมื่อพูดถึงตำนานของสัตว์ประหลาดล็อกเนสส์หรือ “เนสซี” ในปัจจุบัน เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่บอกว่าเรื่องราวของเจ้าสัตว์ในตำนานตัวนี้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงๆ เพราะแม้แต่ภาพที่เป็นตำนานของเนสซีเองในปัจจุบัน ก็มีการพิสูจน์ไปแล้วว่าไม่ใช่ภาพของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อย่างที่เราคิดแน่ๆ     แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าในโลกนี้จะไม่เคยมีสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่าง “คล้าย” เนสซีเลยแต่อย่างไร เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ทีมนักบรรพชีวินวิทยาที่นำโดยคุณ José O’Gorman จากพิพิธภัณฑ์ลาปลาตา และมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาปลาตาในอาร์เจนตินา ได้ทำการค้นพบฟอสซิลสัตว์โบราณ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับประหลาดล็อกเนสส์ในตำนาน ในพื้นที่หนาวเย็นแห่งแอนตาร์กติกาเข้าแล้ว     ฟอสซิลที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นของสัตว์โบราณที่เรารู้จักกันในชื่อ “เพลสิโอซอร์” สัตว์เลื้อยคลาน ขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลในยุคไดโนเสาร์ (แต่ตัวมันเองไม่นับเป็นไดโนเสาร์) โดยเจ้าเพลสิโอซอร์ที่ถูกพบ มีขนาดความยาวตั้งแต่หัวจรดหางถึง 11 เมตร และหนักมากถึง 13.4 ตันซึ่งทำให้มันกลายเป็นสัตว์ในตระกูลอีลาสโมซอริด (เพลสิโอซอร์แบบคอยาว) ที่ไม่เพียงแค่ตัวยาวที่สุด แต่ยังมีน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีการพบมา   ขนาดของเพลสิโอซอร์ที่พบเมื่อเทียบกันคน   อันที่จริงแล้วร่องรอยของเพลสิโอซอร์ในแอนตาร์กติกานั้น เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทราบกันมาตั้งแต่ในปี 1989 แล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันมีขนาดใหญ่โตมาก แถมยังฝังอยู่ในหินแข็ง กว่าที่ทีมนักบรรพชีวินจะสามารถขุดฟอสซิลชิ้นนี้ขึ้นมาได้ พวกเขาก็ต้องไปกลับแอนตาร์กติกาถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี…

  • นักโบราณคดี พบหลักฐานการเสพกัญชาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน อายุถึง 2,500 ปี

    นักโบราณคดี พบหลักฐานการเสพกัญชาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน อายุถึง 2,500 ปี

    เป็นเรื่องที่หลายคนทราบกันว่าในปัจจุบันกัญชา ได้กลายเป็นสิ่งที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในฐานะของสารเสพติด และในทางยารักษาโรค ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เราอาจจะใช้งานกัญชากันมานานกว่าที่เราคิด นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เองในการสำรวจสุสานเก่าแก่ชื่อ “จีร์ซานคาล” (Jirzankal) บนพื้นที่ราบสูงปามีร์ ทางตะวันตกของประเทศจีน เหล่านักโบราณคดี ได้ทำการค้นพบวัตถุโบราณอายุร่วม 2,500 ปี ชิ้นหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าเคยถูกใช้ในการเผากัญชาเพื่อสูดดมควันมาก่อน     โดยวัตถุโบราณชิ้นนี้คือกระถางเผาเครื่องหอมที่ทำจากไม้จำนวน 10 ใบ ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบทางเคมีแล้วจะพบว่ามันมีร่องรอยของสาร THC (ที่พบได้ในกัญชา) หลงเหลืออยู่ในปริมาณสูงมาก ปริมาณของสาร THC ที่พบนี้แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่ามีการใช้งานกัญชาในพิธีกรรมในสมัยก่อนจริงๆ และยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะมีการคัดเลือกสายพันธุ์กัญชาที่จะนำมาใช้เป็นอย่างดีด้วย เนื่องจากตามปกติกัญชาตามธรรมชาติโดยทั่วไปจะมีปริมาณ THC ที่ต่ำ   หลุม “M12” หนึ่งในหลุมศพที่มีการกระถางเผาเครื่องหอม   เป็นไปได้ว่าในอดีตคนในพื้นที่น่าจะมีการ เผากัญชาในพิธีศพที่มีดนตรีประกอบ เพื่อให้ผู้เขาร่วมพิธีมีความคิดว่าตัวเองสื่อสารกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาตินั่นเอง ทั้งนี้เองด้วยความที่สุสานจีร์ซานคาลตั้งอยู่ใกล้ “ทางสายไหม” เส้นทางการค้าซึ่งเชื่อมต่อระหว่างประเทศจีนกับตะวันออกกลาง ทีมนักโบราณคดีจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ที่การใช้กัญชาเริ่มที่จะแพร่หลายไปทั่วโลกนั้น อาจจะมีเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการค้าขายบนเส้นทางแห่งนี้ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าทีมนักวิทยาศาสตร์จะทราบกันอยู่แล้วว่าชาวจีนนั้นมีการปลูกกัญชามาตั้งแต่เมื่อ 3,500-4,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ในเวลานั้นการปลูกกัญชาจะทำขึ้นเพื่อเก็บน้ำมันจากเมล็ด หรือไม่ก็เก็บเส้นใยไปทอผ้าเป็นหลัก   โครงกระดูกและวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบในการขุดค้นครั้งนี้   ซึ่งนั่นทำให้การค้นพบหม้อเผากัญชาในครั้งนี้…

  • ชม 21 ภาพเก่าน่ารักๆ ของเหล่าทหารที่ถ่ายภาพคู่กับฉากหลัง ที่สร้างรอยยิ้มได้อย่างดี

    ชม 21 ภาพเก่าน่ารักๆ ของเหล่าทหารที่ถ่ายภาพคู่กับฉากหลัง ที่สร้างรอยยิ้มได้อย่างดี

    ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเล็กน้อยไปจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในตอนที่การฝึกในค่ายของเหล่าทหารจบลงในหลายๆ ครั้งพวกเขาก็จะมีโอกาสได้ถ่ายภาพ แบบขำๆ กับฉากที่ทางกองทัพจัดให้ โดยภาพถ่ายเหล่านั้นเป็นเหมือน “ของที่ระลึก” ที่จะส่งกลับไปให้ทางครอบครัวของพวกเขาได้มีโอกาสชม มันเป็นภาพในอีกมุมหนึ่งของเหล่าทหารที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในการต่อสู้เพื่อบ้านเกิด ซึ่งให้บรรยากาศสบายๆ แก่คนที่รอคอยพวกเขาอยู่ได้เป็นอย่างดี เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่เห็นภาพเหล่านี้แล้วอมยิ้มด้วยความคิดที่ว่า ทหารเหล่านี้จะต้องกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยแน่นอน   เริ่มกันจากภาพ “การบินจากทะเลทราย Neuhammer” ของเหล่าทหารจากค่ายฝึก Nuehammer ในเยอรมนี เมื่อช่วงปี 1910-1912 ทะเลทรายในที่นี้เป็นการล้อเลียนว่าค่ายฝึกโหดเหมือนทะเลทรายไม่ใช่ทะเลทรายจริงๆ   การบินจาก Elsenborn ไปปารีสของเหล่าทหารจากค่าย Elsenborn เยอรมนี เมื่อปี 1915   เหล่าทหารจากค่าย Elsenborn อีกกลุ่มหนึ่ง   “ฮูเร เราเหลือเวลาอีกแค่ 22 วัน” ไม่ทราบที่ถ่ายภาพ เมื่อราวๆ ปี 1912-1915   “เที่ยวบินสำรองจาก Bitsch สู่บ้าน” ของทหารในค่ายที่ Bitsch ออสเตรีย 1912   เหล่าทหารจากค่ายฝึก Neuhammer…

  • หลังขุดค้นกันมากว่า 30 ปี “ประตูเมืองโบราณ” จากสมัยกษัตริย์ดาวิด ก็เผยโฉมให้เห็นแล้ว

    หลังขุดค้นกันมากว่า 30 ปี “ประตูเมืองโบราณ” จากสมัยกษัตริย์ดาวิด ก็เผยโฉมให้เห็นแล้ว

    ณ แหล่งโบราณคดี Bethsaida สถานที่ในพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ณ ที่ราบสูงโกลานซึ่งเป็นเขตปกครองร่วมระหว่างอิสราเอลและซีเรีย ยังมีนักโบราณคดีอยู่กลุ่มหนึ่งทำการขุดค้นหาวัตถุโบราณมาตลอดช่วงเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา   แหล่งโบราณคดี Bethsaida   และแล้ว หลังจากที่พวกเขาค่อยๆ ปัดเศษดินอย่างประณีตบรรจงมากว่า 3 ทศวรรษ ในที่สุดเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้ออกมาประกาศการค้นพบร่องรอยของโบราณสถานสำคัญในพื้นที่แห่งนี้ โดยร่องรอยของโบราณสถานที่ถูกพบในครั้งนี้ เป็นประตูเมืองโบราณเก่าแก่อันหนึ่ง ซึ่งมีความเก่าแก่ย้อนกลับไปได้ถึงสมัยของกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่งเคยปกครองอาณาจักรยูดาห์และอาณาจักรอิสราเอล เมื่อช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล     อ้างอิงจากสำนักข่าวท้องถิ่นของอิสราเอล ประตูที่ถูกพบนี้ตั้งอยู่บนเนินหินที่สามารถมองเห็นทะเลกาลิลีได้ ซึ่งประตูมีสภาพเสียหายอย่างหนัก ถึงอย่างนั้นก็ตาม ทีมนักวิจัยก็มั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นเป็นหนึ่งในทางเข้าของเมืองจริงๆ แต่แม้ว่าประตูเหมืองที่ถูกพบจะมีอายุอยู่ในช่วงเดียวกับกษัตริย์ดาวิดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะไม่ใช่เมืองของทางฮีบรูแต่อย่างไร เพราะในพื้นที่ใกล้เคียงกันนักโบราณคดีเคยมีการพบหลักฐานที่ว่าเมืองแห่งนี้เคยบูชาเทพดวงจันทร์ของทางอราเมอิกมาก่อน   หนึ่งในสิ่งก่อสร้างของเมือง Bethsaida สถานที่ที่ประตูเมืองถูกพบ   ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนที่นี่จะเป็นรัฐอิสระที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับกษัตริย์ดาวิด แต่ก็มีฐานะเป็นพันธมิตรกันมากกว่า ทำให้นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่าในสมัยก่อน อาณาจักรของกษัตริย์ดาวิดอาจจะไม่ได้ใช้ระบบการปกครองด้วยกษัตริย์องค์เดียว แต่เป็นการแบ่งอำนาจแก่ชนเผ่าใหญ่ๆ ในพื้นที่ก็เป็นได้ ทั้งนี้ในบริเวณที่พบร่องรอยของประตูเมือง นักโบราณคดียังมีการค้นพบเครื่องประดับ และเหรียญเงินที่คาดกันว่าเคยการใช้งานเมื่อ 35 ปีก่อนคริสตกาลอีกด้วย โดยเฉพาะตัวเหรียญนั้น…

  • พบแผ่นหินโบราณอายุร่วม 12,000 ปี ถูกสลักด้วยรูปปริศนา “ม้าไร้หัว” ในฝรั่งเศส

    พบแผ่นหินโบราณอายุร่วม 12,000 ปี ถูกสลักด้วยรูปปริศนา “ม้าไร้หัว” ในฝรั่งเศส

    ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นของประเทศฝรั่งเศสได้มีการนำเสนอข่าวการค้นพบ แผ่นหินโบราณเก่าแก่ อายุร่วม 12,000 ปี ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยรูปม้าและสัตว์อื่นๆ ในแหล่งโบราณคดีทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอ็องกูแลม ประเทศฝรั่งเศส     อ้างอิงจากข้อมูลของสถาบันวิจัยโบราณคดีแห่งชาติฝรั่งเศส (Inrap) เจ้าแผ่นหินโบราณที่ถูกพบนี้ ทำจากหินทรายที่มีความยาวอยู่ที่ 25 เซนติเมตร กว้าง 18 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร ซึ่งน่าจะเคยถูกใช้งานกันในสมัยยุคหินเพลิโอะลีธอิคมาก่อน หินที่ว่านี้ ถูกสลักภาพของสัตว์หลากหลายชนิดเอาไว้แบบทับกัน โดยที่ภาพของม้าเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดที่สุด ในขณะที่สัตว์ขนาดเล็กอีกสองตัวที่น่าจะเป็นกวางและวัวป่าออรอช สามารถเห็นได้ลางๆ อีกที     ภาพที่ถูกสลักไว้บนหินเหล่านี้นับว่ามีรายละเอียดค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับภาพสลักบนหินอื่นๆ ที่เราเคยเห็น อย่างไรก็ตามสัตว์ที่เห็นในภาพส่วนมากจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์โดยขาดส่วนหัวไป จากการที่หินอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ โดยในพื้นที่ใกล้ๆ กับแผ่นหินชิ้นนี้ ทีมนักโบราณคดียังเคยค้นพบเตาผิงอย่างง่ายจากสมัยก่อน ก้อนกรวดที่มีร่องรอยการโดนความร้อนมาเป็นเวลานาน และหัวธนูหินอีกจำนวนหนึ่งด้วย ทำให้นักโบราณคดีตั้งข้อสันนิษฐานกันว่า ที่แห่งนี้ในอดีตน่าจะเคยเป็นแหล่งล่าสัตว์ และประกอบอาหารมาก่อน     ทั้งนี้ วัตถุโบราณทั้งหมดที่นักโบราณคดีคนพบนั้น จะถูกนำไปจัดแสดงไว้ในงานนิทรรศการท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 14-16…

  • พบซากศีรษะหมาป่ายักษ์ในเพอร์มาฟรอสต์ที่รัสเซีย นักวิจัยคาดมีอายุมากถึง 40,000 ปี

    พบซากศีรษะหมาป่ายักษ์ในเพอร์มาฟรอสต์ที่รัสเซีย นักวิจัยคาดมีอายุมากถึง 40,000 ปี

    ย้อนกลับไปช่วงฤดูร้อนเมื่อปี ค.ศ. 2018 ชายชาวรัสเซียคนหนึ่งได้ไปเดินเล่นบนชายฝั่งทะเลใกล้ๆ แม่น้ำ Tirekhtyakh ในสาธารณรัฐซาฮา เขตการปกครองที่ตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศรัสเซีย ที่นั่นเขาได้พบกับซากศีรษะของสุนัขหมาป่าโบราณตัวหนึ่งถูกฝังเอาไว้ในเพอร์มาฟรอสต์(พื้นดินในภาวะอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศา) ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่หัวของเจ้าหมาป่ายังคงมีขนและเขี้ยวอยู่อย่างครบถ้วน     เขาแจ้งการค้นพบของตัวเองให้แก่ทีมนักวิทยาศาสตร์หลังจากนั้น และเมื่อเหล่านักวิจัยเข้ามาทำการตรวจสอบสิ่งที่ชายหนุ่มพบ พวกเขาก็ได้ทราบว่า หัวของสุนัขหมาป่าชิ้นนี้มีอายุมากถึง 40,000 ปี อ้างอิงจากรายงานการวิจัย หัวของสุนัขหมาป่าชิ้นนี้เป็นของหมาป่าที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายของยุคสมัยไพลสโตซีน ช่วงเวลาที่โลกเกิดยุคน้ำแข็งขึ้นซ้ำๆ กันในอดีต และมีอายุได้ราวๆ 2-4 ปีในตอนที่ตาย     โดยส่วนศีรษะของหมาป่าที่มีการค้นพบ มีความยาวอยู่ที่ราวๆ 40 เซนติเมตร ซึ่งนับว่าค่อนข้างน่าสนใจ เพราะนี่เป็นความยาวถึงครึ่งหนึ่งของขนาดตัวหมาป่าในปัจจุบัน (ซึ่งอยู่ที่ 66-86 เซนติเมตร) เลย แสดงให้เห็นว่าหมาป่าในสมัยนั้นน่าจะมีขนาดที่ใหญ่โตเอามากๆ น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนักวิจัยยังไม่ได้มีการออกมาเปิดเผยแต่อย่างไรว่าทำไมสุนัขตัวนี้ถูกเหลืออยู่เพียงแค่ศีรษะอย่างที่เห็นได้ หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าสุนัขหมาป่าตัวดังกล่าวตายไปเพราะหัวขาดจริงๆ หรือไม่     สิ่งเดียวที่เราทราบในเวลานี้คือ สุนัขหมาป่าที่พบนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบซากสุนัขหมาป่าโบราณที่มีความสมบูรณ์มากๆ ชิ้นแรกๆ จากยุคไพลสโตซีนเลยก็ว่าได้ (อีกชิ้นหนึ่งคือลูกสุนัขหมาป่าอายุ 50,000 ปีที่ถูกพบในแคนาดา) ดังนั้นการตรวจสอบสุนัขที่พบนี้…

  • นักประสาทวิทยาชี้ รอยยิ้มในภาพ “โมนาลิซา” อาจไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุขอย่างที่เราคิด

    นักประสาทวิทยาชี้ รอยยิ้มในภาพ “โมนาลิซา” อาจไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุขอย่างที่เราคิด

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าภาพ “โมนาลิซา” ของเลโอนาร์โด ดา วินชีเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับต้นๆ ของโลก เพราะรอยยิ้มของเธอนั้น จะบอกว่ามีเสน่ห์สุดลึกลับที่หาภาพอื่นมาเปรียบไม่ได้อีกแล้วก็คงไม่ผิดนัก แต่เพื่อนๆ เคยคิดกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากรอยยิ้มที่เราเห็นกันบนใบหน้าของโมนาลิซานั้น แท้จริงแล้ว อาจจะไม่ใช่รอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความสุขอย่างที่เราคิดกันก็เป็นได้     นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ได้มีทีมนักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยซินซินแนติ แห่งสหรัฐอเมริกากลุ่มหนึ่งที่ออกมาอ้างว่ารอยยิ้มของโมนาลิซานั้น แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่รอยยิ้มจากใจก็เป็นได้ โดยพวกเขาได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัคร 42 คน ชมภาพรอยยิ้มของโมนาลิซาสองภาพ ซึ่งมีการดัดแปลงรอยยิ้ม โดยในภาพแรกรอยยิ้มบนภาพจะมาจากริมฝีปากด้านซ้าย ในขณะที่รอยยิ้มในภาพที่สองจะมาจากริมฝีปากด้านขวา ก่อนที่จะให้พวกเขาอธิบายความรู้สึกของเจ้าของรอยยิ้มในแต่ละภาพ     ผลของการทดลองพบว่ามีอาสาสมัครจำนวน 39 คนหรือราวๆ 92.8% ที่คิดว่ารอยยิ้มซีกซ้ายของโมนาลิซานั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขจริงๆ แต่กลับกันรอยยิ้มด้านขวาของเธอกลับไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมีคนถึง 83% ที่บอกว่ารอยยิ้มซีกขวาของเธอเป็นการแสดงสีหน้าที่ไม่ได้ยินดียินร้าย ในขณะที่ 12% บอกว่ามันน่ารังเกียจ อีก 5% บอกว่ามันแสดงออกถึงความเศร้า และที่สำคัญคือไม่มีใครเลยที่บอกว่านี่เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุข     ความขัดแย้งกันของรอยยิ้มสองข้างนี้ ถูกสนับสนุนด้วยลักษณะของกล้ามเนื้อใบหน้าของโมนาลิซาที่แก้มไม่ได้ยกตัวขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นเวลาคนเรายิ้มอย่างมีความสุข ดังนั้นทีมนักวิจัยจึงบอกว่ามีความเป็นไปได้มากที่จริงๆ แล้วโมนาลิซานั้นคงจะไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขมากนัก โดยนักวิจัยได้ระบุไว้ว่า มันเป็นไปได้ยากที่คนเราจะนั่งเฉยๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้ช่างภาพวาดรูปและสามารถยิ้มจากใจจริงได้อยู่ ดังนั้นแม้ว่าเลโอนาร์โดจะพยายามทำให้เธอยิ้มแค่ไหน…

  • ชายวัย 30 พบเหรียญโรมันในฟาร์มที่อังกฤษ อึ้ง!! ออกประมูลได้ถึง 22 ล้านบาท

    ชายวัย 30 พบเหรียญโรมันในฟาร์มที่อังกฤษ อึ้ง!! ออกประมูลได้ถึง 22 ล้านบาท

    ในตอนที่นักตรวจหาโลหะ (Metal detectorist) มือใหม่วัย 30 ปี (ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม) เดินตรวจหาโลหะอยู่ในฟาร์มที่เมืองดีล มณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ เขาได้ทำการพบกับเหรียญทองของโรมันโบราณเหรียญหนึ่ง ด้วยความที่เหรียญทองที่พบมีความเก่าแก่มาก เชื่อว่าในตอนที่พบเหรียญตัวนักตรวจหาโลหะเองก็คงจะคาดไว้แล้วบ้างว่าเหรียญที่เขาพบจะต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่คิดหรอกว่าเหรียญที่พบนั้นจะได้รับการประมูลไปเป็นราคาถึงราว 22 ล้านบาท!!     อ้างอิงจาก Dix Noonan Webb ตัวแทนผู้ตรวจสอบและนำเหรียญทองประมูล เหรียญดังกล่าวนี้เป็นเหรียญทองที่ผลิตโดยจักรพรรดิโรมันบริเตน Allectus ผู้ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 293-296 จากการที่เขาสังหารจักรพรรดิคนก่อน ด้วยความที่ตัวจักรพรรดิครองราชย์ในระยะเวลาที่สั้นมาก เหรียญทองรุ่นนี้จึงเป็นอะไรที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัดดังนั้นตั้งแต่ที่นำออกประมูล ทาง Dix Noonan Webb ก็คาดการไว้แล้วว่าเหรียญทองอันนี้ อาจจะทำเงินได้ตั้งแต่ 2.8-4 ล้านบาท     ถึงอย่างนั้นก็ตามมูลค่าการประมูลที่ออกมานั้นกลับมากกว่าที่พวกเขาประเมินเอาไว้หลายเท่า จนถึงขั้นที่ว่าเหรียญที่พบนี้กลายเป็นเหรียญโรมันที่ผลิตในอังกฤษซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูลมาเลยทีเดียว เป็นไปได้ว่าที่เหรียญทองรุ่นนี้กลายเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักสะสม จะมาจากการที่เหรียญดังกล่าวนั้นเป็นหนึ่งในเหรียญเพียง 24 เหรียญของ Allectus ที่เคยมีการพบมาในโลกก็เป็นได้     ทั้งนี้ในท้ายที่สุดแล้วเหรียญทองอันนี้ก็ถูกประมูลไปโดยนักสะสมส่วนตัวทางโทรศัพท์ ส่วนนักตรวจหาโลหะผู้ค้นพบเหรียญเองก็ออกมาประกาศว่าเขาจะมีการแบ่งเงินที่ได้จากการประมูลให้แก่เจ้าของฟาร์มที่เมืองดีลสถานที่ซึ่งพวกเขาทำการพบเหรียญสุดเลอค่านี้ต่อไป   ที่มา…

  • 18 ภาพค่ายกักกันแบร์เกิน-เบ็ลเซิน หนึ่งในค่ายกักกันนาซี ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายที่สุด

    18 ภาพค่ายกักกันแบร์เกิน-เบ็ลเซิน หนึ่งในค่ายกักกันนาซี ที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายที่สุด

    เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ “ฮอโลคอสต์” และค่ายกักกันนาซีในช่วงสงครามโลก เชื่อว่าหลายๆ คน ก็คงจะนึกถึงค่ายกักกันเอาชวิทซ์ขึ้นมาเป็นที่แรก ถึงอย่างนั้นก็ตามเอาชวิทซ์ก็ไม่ใช่ค่ายกักกันเพียงที่เดียวที่ขึ้นชื่อเรื่องการพาชาวยิวจำนวนมากไปสู่ความตาย เพราะในทางตอนเหนือของเยอรมนีเอง เราก็ยังมีค่ายกักกันสุดโหดอยู่อีกที่หนึ่ง ค่ายกักกันที่ว่านี้ มีชื่อว่าค่ายกักกันแบร์เกิน-เบ็ลเซิน ค่ายที่สร้างขึ้นในปี 1943 และมีผลงานในการสังหารชาวยิวอย่างโหดร้ายถึง 50,000 ศพ ตลอดช่วง 5 ปีที่มันมีการใช้งาน และเพื่อที่จะย้ำเตือนถึงเหตุการณ์วันเลวร้ายในอดีต ในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้นำภาพส่วนหนึ่งของค่ายกักกันแบร์เกิน-เบ็ลเซินมาให้เพื่อนๆ ได้มีโอกาสชมกัน ว่าในจุดจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์นั้นมนุษย์เราเคยปฏิบัติตัวกับเพื่อนมนุษย์ด้วยความเกลียดชังขนาดไหนกัน   (คำเตือนภาพที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ชมอาจมีเนื้อหาที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)   เริ่มจากร่างของประชาชนชาวยิว ชาวยิปซี และนักโทษอื่นๆ ที่ถูกสังหารและทิ้งเอาไว้ก่อนนาซีจะหนีออกจากค่ายไปเมื่อปี 1945   หลุมทิ้งศพของค่าย ที่ไม่ได้มีแค่นักโทษทั่วไป แต่ยังเต็มไปด้วยผู้หญิงและเด็ก   Margit Schwartz (คนข้างหน้า) วัย 31 ปี หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากค่าย   หนึ่งในนักโทษที่หิวโหยกว่า 60,000 คนในแบร์เกิน-เบ็ลเซินเมื่อปี 1945   แถวของนักโทษที่ถูกประหารในป่าของแบร์เกิน-เบ็ลเซิน  …

  • ย้อนรอยภาพ “การจูบ” ระหว่างสองผู้นำคอมมิวนิสต์ ที่โด่งดังจนไปโผล่บนกำแพงเบอร์ลิน

    ย้อนรอยภาพ “การจูบ” ระหว่างสองผู้นำคอมมิวนิสต์ ที่โด่งดังจนไปโผล่บนกำแพงเบอร์ลิน

    ในตอนที่ “เลโอนิด เบรจเนฟ” หนึ่งในผู้นำสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ได้เดินทางไปรวมการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันตะวันออกในเยอรมนี เมื่อปี 1979 เขาได้เข้าไปทักทายเอริค โฮเน็กเกอผู้นำแห่งเยอรมนีตะวันออก ก่อนที่จะทักทายกันด้วยการจูบที่ริมฝีปาก ภาพในวันนั้นถูกจับภาพไว้ได้โดยช่างภาพชื่อ Regis Bossu ภายใต้ชื่อว่า “การจูบ” หรือ “The Kiss” และกลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะของภาพอันเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งคอมมิวนิสต์ที่มีต่อเยอรมันตะวันออก ภายในสงครามเย็น     การจูบที่เห็นในภาพนี้ ไม่ใช่การจูบกันระหว่างคู่รักร่วมเพศที่นานๆ จะมีโอกาสได้เจอกัน แต่เป็นการจูบตามธรรมเนียมที่เรียกว่า “Socialist fraternal kiss” ของทางยุโรปตะวันออก ซึ่งมีประวัติมาอย่างยาวนานจากความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ซึ่งเป็นนิกายหลักของรัสเซียอีกที แต่แม้ว่าจูบตามธรรมเนียม Socialist fraternal kiss นั้น จะเป็นเรื่องที่เห็นได้แม้แต่ในชีวิตประจำวันในบางประเทศก็ตาม ตามโดยปกติแล้วการจูบตามธรรมเนียมแบบนี้ มักจะนิยมทำเพียงแค่โอบกอดและจูบกันบนแก้มเท่านั้น ดังนั้นการจูบปากต่อปากจึงไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันบ่อยนัก โดยเฉพาะในการเมืองระหว่างประเทศ     ถึงอย่างนั้นก็ตามเอริคกลับยอมรับการจูบบนริมฝีปากของเลโอนิดเป็นอย่างดี แถมยังทำหน้าพอใจเป็นอย่างยิ่งด้วย (อ้างอิงจากภาพที่ออกมา) ซึ่งสำหรับหลายๆ คนแล้วภาพที่ออกมานี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างดีว่าเยอรมันตะวันออก (อย่างน้อยก็ผู้นำของพวกเขา) ยอมรับการปกครองโดยโซเวียตอย่างไม่มีเงื่อนไข ความโด่งดังของภาพนี้เรียกได้ว่าสูงมากจนนิตยสารของฝรั่งเศสถึงกับลงภาพนี้ในหน้าคู่ของหนังสือตัวเองเลย และเจ้าภาพที่เห็นนี้เองก็ยังถูกนำไปวาดไว้บนกำแพงเบอร์ลินราวๆ หนึ่งปีหลังจากที่จะมีการเปิดเขตแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตกอีกด้วย…

  • เปิดแล้ว!! โลงศพหิน 1,000 ปี ในโบสถ์เยอรมัน นักวิจัยคาดเก็บร่างอาร์คบิชอปเอาไว้

    เปิดแล้ว!! โลงศพหิน 1,000 ปี ในโบสถ์เยอรมัน นักวิจัยคาดเก็บร่างอาร์คบิชอปเอาไว้

    ย้อนกลับไปในปี 2017 ทีมนักโบราณคดีของเยอรมนี ได้เข้าทำการขุดค้นโบสถ์เซนต์โจฮันนิส (Johanniskirche ในภาษาเยอรมัน) หลังจากที่พวกเขาพบว่ามีที่เก็บของ ถูกซ่อนเอาไว้ที่ใต้พื้นของโบสถ์ ที่นั่นพวกเขาพบกับโลงศพหินขนาดใหญ่ที่มีอายุราว 1,000 ปีถูกฝังเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นในการเตรียมการที่ซับซ้อน เพื่อที่จะเก็บกู้โลงศพหินชิ้นนี้ และตรวจสอบว่าใครกันที่เป็นผู้หลับใหลอยู่ใต้พื้นของโบสถ์เซนต์โจฮันนิสกัน     และแล้วหลังจากที่เตรียมการกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดนักโบราณคดีก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะเปิดโลงศพหินที่พบออกมาเสียที ดังนั้นด้วยความช่วยเหลือของ “ชายหนุ่มผู้แข็งแรง” 14 คน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีก็ทำการเปิดฝาโลงศพที่มีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัมออกมาจนได้     อ้างอิงจากสำนักข่าวต่างประเทศ สิ่งที่นักโบราณคดีพบอยู่ในโลงศพนั้นคือเศษซากที่ถูกย่อยสลายจนแทบดูไม่ออกของเศษผ้า เนื้อเยื่อ และกระดูกมนุษย์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบด้วยระบบคาร์บอนกัมมันตรังสีแล้ว พวกเขาก็พบว่าใครก็ตามที่อยู่ในโลงนี้น่าจะเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11 มาก่อน นับว่าโชคดีมากที่การพบเนื้อเยื่ออยู่ในโลงศพจะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถนำเนื้อเยื่อเหล่านี้ไปทำการตรวจสอบทาง DNA ได้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนการตรวจสอบดังกล่าวคาดว่าจะกินเวลาพอสมควรอยู่ ดังนั้นในปัจจุบันนักโบราณคดีจึงทำได้เพียงแค่คาดการณ์ว่าใครกันที่เป็นผู้ถูกฝังอยู่ที่นี่     โดยในเบื้องต้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสันนิษฐานกันว่า ร่างที่มีการค้นพบนี้ น่าจะเป็นของชายที่มีชื่อว่า “Erkanbald” ผู้ซึ่งในช่วงปี ค.ศ.…

  • ชม 20 ภาพความงามของเมือง “ตรีเยสเต” เมืองท่าของอิตาลีที่มีเสน่ห์มาตั้งแต่ยุค 80

    ชม 20 ภาพความงามของเมือง “ตรีเยสเต” เมืองท่าของอิตาลีที่มีเสน่ห์มาตั้งแต่ยุค 80

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมือง “ตรีเยสเต” กันมาก่อนไหม? นี่เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี และมีชื่อเสียงเรื่องความเป็นเมืองเก่าที่งดงามน่าเที่ยวมากๆ แห่งหนึ่งของประเทศ ด้วยความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์นี้เองทำให้มีคนมากมายได้มีโอกาสเอาไปเยี่ยมชมและจับภาพของเมืองนี้กันมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งหนึ่งในคนเหล่านี้ก็คือคุณ Duccio Pugliese ผู้ซึ่งมีโอกาสได้เข้าไปถ่ายภาพเมืองแห่งนี้ในยุค 80 และนำภาพที่ได้กลับมาให้พวกเราได้มีโอกาสชมกันที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพเหล่าผู้คนที่ใช้ชีวิตสบายๆ ในวันอาทิตย์ที่ตรีเยสเต   ภาพของ Madonnaro บนพื้นในเมือง   ภาพสะท้อน ของบรรยากาศแสงไฟยามราตรีที่ Caffè degli Specchi   ร้านขายดอกไม้ใกล้ๆ Ponterosso   บรรยากาศริมทะเลที่ Molo Audace   ชายชราอ่านหนังสือพิมพ์ในร้านที่ตรีเยสเต   เงาสะท้อนของ Piazza della Borsa หอการค้าในตรีเยสเตบนกระจกของร้านเครื่องประดับ   บ้านเรือนใน Piazza Volontari Giuliani   ป้ายที่น่าจะเป็นของนางแบบไม่ทราบนาม ที่มีรถบัสสาย 30 เป็นฉากหลัง   Citta Vecchia…

  • 22 ภาพสีของแนวรบฝั่งตะวันออกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย

    22 ภาพสีของแนวรบฝั่งตะวันออกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย

    เมื่อเราพูดถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยอิทธิพลของสื่อต่างๆ ภาพในหัวของหลายคนก็คงจะนึกถึงสงครามที่แนวรบตะวันตกออกมาเป็นสิ่งแรกๆ  ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของสงครามในครั้งนี้นั้น แท้จริงแล้วอยู่ที่แนวรบอีกฝั่งหนึ่งต่างหาก เพราะในแนวรบฝั่งตะวันออกของเยอรมันนั้น เป็นการปะทะกันที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรงระหว่างโซเวียตและเยอรมนี ที่ส่งคนมากกว่า 15 ล้านชีวิตไปสู่โลกแห่งความตาย ซึ่งนับว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในการรบในยุโรปเลย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปย้อนดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงการรบที่แนวรบฝั่งตะวันออกกัน กับ 22 ภาพของอีกฝั่งหนึ่งของสงคราม ที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสันด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน   เริ่มกันจากภาพของทหารเยอรมันเดินไปยังร่างของทหารโซเวียตที่ถูกสังหาร ในปฏิบัติการบาร์บารอสซาเมื่อปี 1941   เจ้า Belle ฮิปโปซึ่งเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้คนในเลนินกราด ในช่วงเวลาที่เมืองโดนปิดล้อมในปี 1943   เจ้าม้าที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวในเศษซากของสตาลินกราด เมื่อปี 1942   หน่วยผลซุ่มยิงหญิงของกองทัพแดงก่อนออกปฏิบัติการในปี 1943   ทหารเยอรมันระหว่างประดับธงนาซีในซากเมืองสตาลินกราด ในปี 1942   ทหารโซเวียตที่ยืนเฝ้าทหารนาซีที่ถูกจับได้ในปี 1943   ทหารนาซีผู้แบกปืนกลไว้บนไหล่ ซึ่งมีตึกที่ลุดเป็นเพลิงเป็นฉากหลังในปี 1944   เครื่องบิน Junkers Ju 87 ระหว่างการโจมตี สตาลินกราดในปี 1942  …

  • นักโบราณคดีพบ “ซีเรียล” อายุ 3,000 ปีในออสเตรีย คาดมีความสำคัญทางความเชื่อในอดีต

    นักโบราณคดีพบ “ซีเรียล” อายุ 3,000 ปีในออสเตรีย คาดมีความสำคัญทางความเชื่อในอดีต

    ด้วยความที่มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ซับซ้อน ดังนั้นจริงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในการทำงานของนักโบราณคดี พวกเขาจะสามารถทำการค้นพบอะไรแปลกๆ จากสมัยก่อนได้อยู่เสมอๆ ถึงอย่างนั้นก็ตามเชื่อว่าในตอนที่นักโบราณคดีเข้าขุดค้นแหล่งโบราณคดีจากยุคสัมฤทธิ์ที่ Stillfried an der March ในประเทศออสเตรีย พวกเขาคงไม่คิดหรอกว่าสิ่งที่พวกเขาพบนั้นจะเป็น “ซีเรียล” อายุ 3,000 ปีไปได้     โดยเจ้าซีเรียลที่ว่านี้ เป็นผลผลิตขนาดตั้งแต่ 2.6 ถึง 3.6 เซนติเมตรที่ทำจากธัญพืช มีลักษณะเด่นอยู่ที่รูปร่างซึ่งเป็นวงแหวนคล้ายซีเรียลยี่ห้อ “Cheerios” วงแหวนธัญพืชเหล่านี้ ถูกค้นพบด้วยกันทั้งหมดสามชิ้นในสภาพไหม้เป็นถ่าน พร้อมๆ กับ วัตถุโบราณที่ทำจากดินเหนียวซึ่งมีรูปร่างคล้ายๆ กันอีกหลายชิ้น     แต่แม้ว่าวงแหวนเหล่านี้จะทำจากธัญพืชก็ตาม นักโบราณคดีหลายๆ คนก็เชื่อกันว่า เจ้าแหวนเหล่านี้คงจะไม่ได้ถูกทำขึ้นมาเพื่อกินเป็นซีเรียลเหมือนกับในปัจจุบัน แต่เป็นอะไรที่สำคัญทางความเชื่อมากๆ อย่างสิ่งของที่ใช้บูชาเทพเจ้ามากกว่า แนวคิดที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการที่นักโบราณคดีไม่เคยมีการพบหลักฐานอาหารอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงเลยที่ทำขึ้นมาจากส่วนผสมในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับวงแหวนเหล่านี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่าวงแหวนเหล่านี้ อาจจะเป็นอาหารที่ทานกันแต่ในพิธีกรรมเท่านั้น   แหล่งโบราณสถานที่ Stillfried der March พื้นที่ที่มีการพบซีเรียลในครั้งนี้   แต่แม้ว่าในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีจะยังไม่อาจฟันธงได้ว่าตกลงเจ้าซีเรียลเหล่านี้มีบทบาทอย่างไรบ้างในอดีตก็ตาม เหล่านักวิจัยก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าการทำอาหารอบของคนในสมัยก่อน (อย่างน้อยก็ในพื้นที่นี้) น่าจะทำอะไรได้มากกว่าแค่การผลิตขนมปังอย่างที่เราเคยคิดมาก  …

  • นักสำรวจค้นพบ “ปลาประหลาดน้ำลึก” กลั้นหายใจได้ 4 นาที แบบที่ปลาตัวอื่นไม่ทำกัน

    นักสำรวจค้นพบ “ปลาประหลาดน้ำลึก” กลั้นหายใจได้ 4 นาที แบบที่ปลาตัวอื่นไม่ทำกัน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าตามปกติปลาจะหายใจด้วยการกลืนน้ำเข้าไปทางปาก กรองออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ก่อนที่จะ “หายใจออก” เอาน้ำที่เหลือออกไปทางเหงือก ซึ่งลักษณะการหายใจแบบนี้เองทำให้ตามปกติแล้วเราจะไม่มีโอกาสได้เห็นปลาทำการ “กลั้นหายใจ” แบบเดียวกับมนุษย์     แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ทีมนักวิจัยทางทะเลจากองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ก็ได้ค้นพบหลักฐานพฤติกรรมการกลั้นหายใจในปลาจริงๆ เป็นครั้งแรกของโลก แถมเจ้าปลาตัวที่พบยังสามารถกลั้นหายใจได้นานถึง 4 นาทีเลยด้วย เจ้าปลาที่แสดงการกลั้นหายใจให้นักวิจัยชมนั้น คือปลาโลงศพ (Chaunax endeavouri) ปลาตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกของมหาสมุทรแปซิฟิก จำนวน 8 ตัว และถูกจับภาพไว้ได้โดยยานสำรวจใต้น้ำแบบควบคุมจากระยะไกล   วิดีโอการกลั้นหายใจของปลาโลงศพโดยช่อง Science Magazine    โดยพวกมันจะกลั้นหายใจด้วยการอมน้ำเอาไว้ในเหงือกขนาดใหญ่เป็นเวลาตั้งแต่ 26 วินาที ไปจนถึง 4 นาที แทนที่จะเป็นการปล่อยน้ำออกมาในทันทีเหมือนกับปลาอื่นๆ ในปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดว่าด้วยเหตุผลอะไรปลาน้ำลึกเหล่านี้จึงจำเป็นต้องกลั้นหายใจเช่นนี้ แต่จากการที่กลั้นหายใจทำให้ขนาดตัวของเจ้าปลาขยายใหญ่ขึ้นได้ตั้งแต่ 20-30% เหล่านักวิจัยก็คาดการว่าการกระทำเหล่านี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการข่มขู่ศัตรูนั่นเอง     ที่มา livescience

  • งานวิจัยชี้ มนุษย์จะเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ขนาดตัวของสัตว์โลกเล็กลง 25% ในศตวรรษนี้

    งานวิจัยชี้ มนุษย์จะเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ขนาดตัวของสัตว์โลกเล็กลง 25% ในศตวรรษนี้

    ในช่วงเวลาปัจจุบัน โลกของเหล่าเข้าสู่ยุคที่อะไรๆ ก็มีแนวโน้มที่จะมีขนาดเล็กลง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้อย่างโทรศัพท์มือถือ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างนาโนเทคโนโลยี แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าสิ่งของนั้น ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่มีแนวโน้มที่จะเล็กลงไปเรื่อยๆ เพราะจากรายงานล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร “Nature Communications” เหล่าสัตว์โลกเองก็อาจจะมีขนาดโดยเฉลี่ยเล็กลงถึง 25% ภายในศตวรรษนี้ก็เป็นได้     ตัวเลขที่ออกมานี้หากดูเผินๆ แล้วอาจจะเป็นข่าวดีสำหรับหลายคน เพราะสัตว์ตัวเล็กนั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในสังคมปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวเลขนี้ไม่ใช่อะไรที่น่าดีใจเลย เพราะการที่ขนาดโดยเฉลี่ยของสัตว์โลกเล็กลงในกรณีนี้ มันมาจากการที่สัตว์ขนาดใหญ่เริ่มเอาชีวิตรอดบนโลกได้ยากขึ้นต่างหาก นี่เป็นผลการวิจัยที่เกิดขึ้นจากการศึกษานกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 15,484 ชนิดบนโลกของมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน ซึ่งพบว่าในปัจจุบันสัตว์ขนาดเล็กที่กินแมลงเป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่อยู่ในสภาพอากาศที่หลากหลาย ในปัจจุบันจะมีโอกาสเอาชีวิตรอดได้มากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่กว่ามาก แม้ว่าพวกมันจะมีอายุขัยสั้นกว่าก็ตาม     ทางผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะในปัจจุบันโลกที่ร้อนขึ้น และการรบกวนของมนุษย์ต่อสถานที่อยู่อาศัยของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์ และการขยายตัวของเมือง ภาวะของโลกเหล่านี้ ส่งผลให้สัตว์ขนาดใหญ่ ที่มักจะต้องมีถิ่นที่อยู่อาศัยแบบเฉพาะมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ผิดกับสัตว์ขนาดเล็กที่มักปรับตัวเข้ากับสังคมของมนุษย์     โดยสัตว์ใหญ่ที่นักวิจัยระบุว่ามีความสุ่มเสี่ยงจากสถานการณ์โลกในปัจจุบันนั้น ก็มีตัวอย่างเช่น แรด ฮิปโป กอริลลา ยีราฟ และนกขนาดใหญ่อย่าง นกอินทรี กับแร้ง เป็นต้น จริงอยู่ว่านี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขนาดตัวของสัตว์โลกมีขนาดเล็กลงจากในอดีต แต่อัตราส่วนที่…

  • 21 ภาพความงามของ “กรุงปราก” ในยุค 80 ช่วงที่เชโกสโลวาเกียยังไม่แยกเป็นสองประเทศ

    21 ภาพความงามของ “กรุงปราก” ในยุค 80 ช่วงที่เชโกสโลวาเกียยังไม่แยกเป็นสองประเทศ

    กรุงปราก เป็นเมืองหลวงและหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของสาธารณรัฐเช็กเลยก็ว่าได้ เพราะที่แห่งนี้นั้นถูกนับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าไปเที่ยวที่สุดในประเทศยุโรธอยู่เสมอๆ และมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมกันอยู่เสมอตลอดทั้งปี ด้วยความที่ว่าเมืองแห่งนี้นั้นมีจุดขายอยู่ที่ความเก่าแก่ อันเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมืองแห่งนี้จะถูกมองว่าเป็นที่ท่องเที่ยวอันงดงามกันมาตั้งแต่สมัยที่ประเทศเช็กเกียยังคงเป็น ประเทศเชโกสโลวาเกีย ดังนั้น ในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้นำภาพสีบางส่วนของกรุงปรากในช่วงปี 80 มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้วที่นี่ แต่จะงดงามคลาสสิคน่าค้นหาขนาดไหน เราไปชมด้วยกันเลยดีกว่า   รถรางที่เดินทางผ่านเขตเมือง Nové Město   ถนนใน Josefov ย่านชาวยิวของปราก   บรรยากาศถนนใน Nové Město .   เหล่าเด็กๆ ที่เขามาเยี่ยมชมลานกว้างสาธารณะของปราสาท Hradcány ณ ใจกลางเมืองปราก   แผงขายดอกไม้ใน Staré Město   รถรางสายกลางคืนแล่นเข้าสู่ Václavské Námesti   ร้านอาหารใน Nové Město   มุมเล็กๆ ของเมืองเก่าแห่งนี้   บรรยากาศผู้คนในพื้นที่ Spálená ที่มีรถรางเป็นฉากหลัง…

  • งานวิจัยเผย สุนัขจะมีระดับความเครียดสัมพันธ์กับเจ้าของ แม้ว่ามันจะมีนิสัยแบบไหนก็ตาม

    งานวิจัยเผย สุนัขจะมีระดับความเครียดสัมพันธ์กับเจ้าของ แม้ว่ามันจะมีนิสัยแบบไหนก็ตาม

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าสุนัขนั้นเป็นคู่หูที่ดีต่อมนุษย์ขนาดไหน เพราะพวกมันไม่เพียงแต่จะรักและเข้าใจมนุษย์ผู้เป็นเจ้านายมากกว่าใคร แต่พวกมันยังเป็นสัตว์ที่ร่วมทุกร่วมสุขกับมนุษย์มานานที่สุดชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าอ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุด ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขเหล่านี้นั้น อาจจะมีความใกล้ชิดกับมนุษย์มาก ถึงขนาดที่ว่าหากเจ้าของมีความเครียดสูง พวกมันก็จะรู้สึกเหมือนกันไปด้วยเลย     การทดลองในครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Linkoping ในประเทศสวีเดน และเกี่ยวข้องกับการศึกษาสุนัข 58 ตัวจากสายพันธุ์บอร์เดอร์ คอลลี่ และเชทแลนด์ ชีพด็อก ซึ่งถูกเลี้ยงโดยเจ้านายที่เป็นผู้หญิง โดยในการเก็บข้อมูลนั้น นักวิทยาศาสตร์จะทำการเก็บตัวอย่างเส้นผมของเจ้าของสุนัข และเส้นขนของสุนัขมาเพื่อตรวจสอบหาปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะหลั่งออกมาในกรณีที่คนและสัตว์มีความเครียด     พวกเขาพบว่าในระยะยาวแล้ว ปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอลในสุนัขและเจ้าของนั้น มักจะถูกหลั่งออกมาในปริมาณที่ใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจ้าของที่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลมาก ก็มักจะมีสุนัขที่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลมากตามไปด้วย ผลการทดลองที่ออกมานี้ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ปริมาณของฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพื่อขึ้นในสุนัขนั้น แทบจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยของตัวสุนัขเองเลย แถมต่อให้สุนัขมีสนามเด็กเล่นของตัวเอง สนามเหล่านั้นก็แทบจะไม่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในกรณีนี้เลยด้วย     ว่าง่ายๆ ว่าไม่ว่าสุนัขจะขี้เล่นอารมณ์ดี หรือมีของเล่นมากแค่ไหน หากเจ้าของเครียดพวกมันก็จะเครียดตามไปด้วยอยู่ดีนั่นเอง   ที่มา metro,…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ คนเรามีขีดจำกัดของร่างกายในระยะยาว อยู่ที่ราวๆ 4,000 แคลอรีโดยเฉลี่ย

    งานวิจัยใหม่ชี้ คนเรามีขีดจำกัดของร่างกายในระยะยาว อยู่ที่ราวๆ 4,000 แคลอรีโดยเฉลี่ย

    เมื่อเราพูดขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าขีดจำกัดทางร่างกายของคนเรานั้นเป็นอะไรที่ไม่มีอยู่จริง เพราะมนุษย์นั้นก็สามารถพัฒนาร่างกายขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีการฝึกที่ดีพอ เหมือนอย่างที่นักกีฬาหลายๆ คนทำกัน แต่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเปิดเผยงานวิจัยใหม่ที่บอกว่ามนุษย์เรานั้นมีขีดจำกัดของร่างกายอยู่จริงๆ   อ้างอิงจากในรายงาน ขีดจำกัดของความอดทนที่มนุษย์แต่ละคนจะทำได้นั้น ในระยะยาวจะอยู่ที่ 2.5 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนต่อวันของคนแต่ละคน หรือก็คือราวๆ 4,000 แคลอรีต่อวันโดยเฉลี่ยนั่นเอง ที่ต้องบอกว่าในระยะยาวนั้น เป็นเพราะว่าคนเรานั้นสามารถดึงพลังของร่างกายออกมาใช้ในระยะสั้นๆ ได้สูงมาก อย่างนักวิ่งมาราธอนหนึ่งรายการอาจจะสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากถึง 15.6 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนเลยทีเดียว     แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อระยะเวลาที่คนเราใช้ในการออกแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ปริมาณการเผาผลาญแคลอรีก็จะเริ่มลดลงมากเท่านั้น เพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยเหล่านักปั่นจักรยานทางไกลอย่าง Tour de France ที่กินเวลา 23 วัน พวกเขาก็พบว่าคนเหล่านี้ใช้พลังงานกันในอัตราเพียงแค่ 4.9 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อนเท่านั้น ลดลงจากนักวิ่งมาราธอนอย่างเห็นได้ชัด     นอกจากนี้นักวิจัยเองยังได้ทำการวิจัยกับเหล่าคนที่เดินทางข้ามแอนตาร์กติกาอีกด้วย โดยเหล่านักเดินทางพวกนี้ตามปกติแล้วจะใช้เวลาราวๆ 95 วัน และใช้พลังงานเพียง 3.5 เท่าของปริมาณอัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อน การลดลงของตัวเลขที่ออกมานี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในระยะยาวแล้ว…

  • นักบรรพชีวินพบ ฟอสซิล “ฝูงไดโนเสาร์” ในโอปอลที่ออสเตรเลีย พร้อม “ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่”

    นักบรรพชีวินพบ ฟอสซิล “ฝูงไดโนเสาร์” ในโอปอลที่ออสเตรเลีย พร้อม “ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่”

    ย้อนกลับไปเล็กน้อยในช่วงยุค 80 คนงานเหมืองชื่อว่า “Robert Foster” ได้ทำการค้นพบฟอสซิลในโอปอลจำนวนมาก ที่เหมืองใกล้ๆ เมืองไลท์นิง ริดจ์ ประเทศออสเตรเลีย   เหมืองใกล้ๆ เมืองไลท์นิง ริดจ์ สถานที่ที่มีการค้นพบฟอสซิลในครั้งนี้   ในเวลานั้นฟอสซิลเหล่านี้ไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างเป็นทางการแต่อย่างไร จนกระทั่งเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิจัยก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในโอปอลเหล่านี้นั้น แท้จริงแล้วเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์ แถมยังไม่ใช่แค่ตัวเดียวอีกด้วย นั่นเพราะหลังจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสทำการตรวจสอบโอปอลที่ได้มา และพบว่าภายในโอปอลเหล่านี้ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนของไดโนเสาร์และสัตว์ต่างชนิดกันอย่างน้อยๆ 3 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ถูกตั้งชื่อว่า “Fostoria dhimbangunmal” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้พบ   .   ฟอสซิลไดโนเสาร์ Fostoria ถูกพบพร้อมๆ กันเป็นจำนวน 4 ตัว โดยที่มี 3 ตัวที่น่าจะเป็นลูกไดโนเสาร์ในขณะที่อีกหนึ่งตัวอาจมีขนาดความยาวได้ถึง 5 เมตร และน่าจะเป็นไดโนเสาร์ที่โตเต็มวัยแล้ว อ้างอิงจากคุณ Phil Bell นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ไดโนเสาร์สายพันธุ์ที่พบมีลักษณะเป็นไดโนเสาร์กินพืชเดินสองขาที่ไม่มีทั้งเล็บหรือเขาไว้ป้องกันตัวจากยุคครีเทเชียส (ราวๆ 100 ล้านปีก่อน) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับไดโนเสาร์สายพันธุ์ Muttaburrasaurus เป็นอย่างมาก   ภาพจำลองรูปร่างของ Fostoria…

  • NASA จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบน “สถานีอวกาศนานาชาติ” ปี 2020 ที่พักคืนละ 1 ล้าน

    NASA จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบน “สถานีอวกาศนานาชาติ” ปี 2020 ที่พักคืนละ 1 ล้าน

    ในยุคสมัยที่การสำรวจทางอวกาศพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่คิดอยากจะขึ้นไปเที่ยวเล่นบนสถานีอวกาศดูสักครั้งหากเป็นไปได้ และที่ผ่านๆ มาสถานีอวกาศนานาชาติกลับสามารถเข้าถึงได้โดยนักบินอวกาศซึ่งเป็นตัวแทนของหน่วยงานระดับรัฐเท่านั้น     แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง ดูเหมือนว่าความหวังของนักท่องเที่ยวหลายๆ คนที่อยากจะขึ้นไปเยี่ยมชมสถานีอวกาศก็อาจจะกลายเป็นจริงแล้วก็ได้ เพราะเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทางนาซาได้ออกมาประกาศแล้วว่าพวกเขาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติได้แล้ว การเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสถานีอวกาศที่ว่านี้ ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถทำได้เร็วที่สุดภายในปี 2020 และเป็นการเดินทางโดยให้กระสวยอวกาศของทางสำหรับอเมริกาไม่ว่าจะเป็นของ SpaceX หรือ Boeing     จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยมาจากคุณ Jeff DeWit หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงินของนาซา ราคาที่นั่งของกระสวยอวกาศแบบพาณิชย์ คาดกันว่าจะตกอยู่ที่ราวๆ 58 ล้านเหรียญต่อที่นั่ง (ราวๆ 1,800 ล้านบาท) และนี่เป็นราคาที่ยังไม่นับรวมค่าที่พักบนสถานีอวกาศ โดยนักท่องเที่ยวแต่ละคน จะได้รับสิทธิ์ที่จะพักอยู่บนสถานีอวกาศได้นานสุดถึง 30 วันในราคาที่พักเฉลี่ยราวๆ 35,000 เหรียญต่อคืน (ราวๆ 1 ล้านบาท) เรียกได้ว่าเป็นราคาที่ฟังแล้วเหนื่อยกันเลยทีเดียว     ทั้งนี้การเปิดให้ประชาชนเดินทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาตินั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังนับว่าเป็นกิจการทางพาณิชย์อีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าประชาชนที่ขึ้นมาบนสถานีอวกาศจะสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์สินค้า ทำการทดลองส่วนตัว หรือแม้กระทั่งถ่ายทำภาพยนตร์บนสถานีอวกาศได้ด้วย…

  • นักท่องเที่ยวพากันไปเยือน “เชอร์โนบิล” มากขึ้น หลังเหตุการณ์นั้น ถูกนำไปทำซีรีส์ดัง

    นักท่องเที่ยวพากันไปเยือน “เชอร์โนบิล” มากขึ้น หลังเหตุการณ์นั้น ถูกนำไปทำซีรีส์ดัง

    ตั้งแต่ที่ช่อง HBO ได้มีการออกฉายซีรีส์สั้นจากเหตุภัยพิบัติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของยูเครนอย่าง “Chernobyl” ทางบริษัทการท่องเที่ยวของประเทศยูเครน ก็ได้พบว่าพวกเขานั้นมีปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่เชอร์โนบิลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อ้างอิงจากบริษัทการท่องเที่ยว SoloEast ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พื้นที่เชอร์โนบิลนั้น มีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว แถมยอดการจองทัวร์ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคมเอง ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 40% โดยเฉลี่ยอีกด้วย     ทั้งนี้พื้นที่เชอร์โนบิลนั้น มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เป็น “บางส่วน”  โดยทางรัฐบาลยูเครนตั้งแต่ช่วงปี 2010 และมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมในอัตราที่มากขึ้นอย่างน่าพอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การที่ช่อง HBO ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นข่าวดีมากๆ กุญแจสำคัญที่ทำให้พื้นที่เชอร์โนบิลกลายเป็นที่สนใจขึ้นมานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกัมมันตรังสีเป็นหลัก อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเชอร์โนบิลที่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้เข้าชมนั้นจัดว่าเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณกัมมันตรังสีที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับใจกลางของโรงไฟฟ้าที่แผ่กัมมันตรังสีรุนแรงมากถึง 10,000 เรินต์เกน(หน่วยวัดความแรงของสนามรังสี) ต่อชั่วโมง   พื้นที่หลายๆ แห่งของเชอร์โนบิลเริ่มจะมีสัตว์ป่ากลับเข้ามาอยู่แล้ว   แต่แม้ว่าทางพื้นที่ที่มีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมจะมีความปลอดภัยค่อนข้างต่ำก็ตาม ทางบริษัททั่วเองก็มีการออกมายอมรับว่าพื้นที่เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีความอันตรายเลยอยู่ดี เพราะแม้แต่ในพื้นที่บางส่วนที่ “ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว” เองก็ยังคงมีรายงานการสะสมของกัมมันตรังสีในระดับสูงกว่าปกติอยู่ดี แถมในบางพื้นที่จะมีการสะสมในระดับที่อาจเป็นอันตรายได้อีกด้วย     ด้วยเหตุนี้เองทางบริษัทการท่องเที่ยวจึงได้มีการออกมาเตือนนักท่องเที่ยวในเว็บไซต์ว่า จริงอยู่ที่ว่าในปัจจุบันทางรัฐมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่เชอร์โนบิลอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็.. “ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน อย่างแน่นอน”  …

  • ชม 23 ภาพผลงานจาก ชาวญี่ปุ่นหัวใส ผู้นำภาพโบราณมา “ตัดต่อ” เป็นงานศิลป์สุดเซอร์เรียล

    ชม 23 ภาพผลงานจาก ชาวญี่ปุ่นหัวใส ผู้นำภาพโบราณมา “ตัดต่อ” เป็นงานศิลป์สุดเซอร์เรียล

    เมื่อพูดถึงการตัดต่อภาพ ในปัจจุบันเราก็น่าจะนึกถึงการใช้งานโปรแกรมต่างๆ อย่างโฟโต้ชอปขึ้นมาเป็นอย่างแรกๆ แต่สำหรับศิลปินอย่าง Kensuke Koike ผู้อาศัยอยู่ในเวนิซแล้ว แนวคิดเรื่อง “การตัดต่อภาพ” ของเขาอาจจะมีความหมายต่างไปจากคนทั่วไปมาก เพราะผลงานการตัดต่อภาพ “No More, No Less” ของเขานั้น ไม่เพียงแต่เป็นการตัดต่อภาพเก่าๆ ให้ออกมาให้ดูเซอร์เรียลเท่านั้น แต่เขายังใช้การตัดต่อภาพด้วยมือล้วนๆ ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยเลยแม้แต่น้อย เริ่มสนใจกันแล้วใช่ไหมว่าผลงานของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้นำผลงานบางส่วนของชายคนนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้วที่นี่   เริ่มกันจากแม่ลูกสลับตาสลับปากกัน   กลายเป็นตัวอะไรไปแล้วเนี่ย   แค่หมุนภาพในวงกลมนิดหน่อย อารมณ์ภาพก็เปลี่ยนไปเป็นคนละแนวได้เลย   เห็นแล้วรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก   เจอแบบนี้หลังตอนกลางคืนอาจจะมีวิ่ง   วิธีถ่ายรูปให้ดูผอมแบบไม่ต้องพึ่งโฟโต้ชอป   กลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปเลย .   อันนี้ต้องเรียกว่า มนุษย์หัวกรวย (ห้ามอ่านผิด)   อือหือ แขน   เอาไปอยู่ในไซเรนฮิลล์ภาคหน้าได้เลยนะเนี่ย   เลื่อนผ่านๆ เกือบจะบอกว่า “ก็ปกตินิ”  …

  • รายงานใหม่ชี้ หากสภาพอากาศโลกยังเป็นแบบนี้ มนุษย์อาจจะถึงจุดล่มสลายในปี 2050

    รายงานใหม่ชี้ หากสภาพอากาศโลกยังเป็นแบบนี้ มนุษย์อาจจะถึงจุดล่มสลายในปี 2050

    เมื่อเห็นสภาพอากาศของโลกในปัจจุบัน มังคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ หลายคนๆ จะคิดขึ้นมาว่ามนุษย์เราคงอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามคงจะมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถระบุได้ว่า “อีกไม่นาน” ที่กล่าวมานี้ ตกลงแล้วมันเมื่อไหร่กัน แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียที่ชื่อ “Breakthrough National Centre for Climate Restoration” ก็ได้มีการออกมาเปิดเผยรายงานชิ้นใหม่ที่บอกว่าหากมนุษย์ยังมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบนี้อยู่ สังคมมนุษย์อาจจะถึงจุดล่มสลาย ภายในปี “2050” ก็เป็นได้     อ้างอิงจากภายในรายงาน หากมนุษย์ยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราเดียวกับในปัจจุบัน ภายในเวลาเพียงแค่ 30 ปี โลกของเราอาจจะร้อนมากขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะส่งผลให้ธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำลายป่าอเมซอน หนึ่งในผืนป่าขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ของโลก และนำไปสู่ภัยความร้อนที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา     ความร้อนนี้จะทำให้สภาพแวดล้อมกว่า 35% ของพื้นที่โลกทั้งหมดกลายเป็นที่ที่ต้องพบกับภาวะความร้อนที่รุนแรงกว่าที่มนุษย์จะเอาชีวิตรอดได้ ถึงปีละ 20 วัน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับมนุษย์ถึงราวๆ 55% ของโลก เท่านั้นยังไม่พอ เพราะพื้นที่บนโลกที่เหรออยู่เองในหลายๆ ที่ก็จะพบกับภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่ารุนแรง ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้มนุษย์กว่า 1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่ม…

  • พบโครงกระดูก “มนุษย์นก” ที่รัสเซีย เชื่อเคยเป็นหมอผีคนสำคัญของชุมชนยุคสำริดมาก่อน

    พบโครงกระดูก “มนุษย์นก” ที่รัสเซีย เชื่อเคยเป็นหมอผีคนสำคัญของชุมชนยุคสำริดมาก่อน

    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นของประเทศรัสเซีย ได้มีรายงานการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคสำริดอายุเก่าแก่ 5,000 ปี ในแหล่งโบราณคดี Ust-Tartas ที่เมืองโนโวซีบีสค์ (Novosibirsk)     นี่เป็นโครงกระดูกที่ถูกเรียกกันโดยเหล่านักโบราณคดีว่า “โครงกระดูกมนุษย์นก” จากจุดเด่นของโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้พร้อมกับชุดที่ทำจากกระดูกจะงอยปากและกะโหลกของนก อ้างอิงจากคุณ Lidia Kobeleva นักวิจัยจากสถาบันโบราณคดีและชาติพันธุ์วิทยาในไซบีเรีย ชุดกระดูกนกชิ้นนี้ เชื่อกันว่าออกแบบมาให้ใส่ที่คอคล้ายปลอกคอ เพื่อคลุมร่างกายส่วนบนของหมอผีในพิธีกรรมสมัยก่อน     แม้ว่าในปัจจุบันนักโบราณคดีจะยังไม่อาจฟันธงได้ว่ากระดูกนกที่ใช้ในการทำชุดนี้เป็นของนกชนิดใดก็ตาม แต่จากขนาดของกระดูกแล้วคุณ Lidia ก็เชื่อว่ากระดูกนกเหล่านี้ น่าจะเป็นของนกชายฝั่งขนาดใหญ่อย่างนกกระสาหรือนกกระเรียนเป็นหลัก จากการที่ตัวกระดูกไม่มีร่องรอยของการเจาะรู นักโบราณคดีจึงคาดว่ากระดูกเหล่านี้น่าจะถูกเย็บติดกันเป็นชุดด้วยวิธีการบางอย่าง แต่ก็น่าเสียดายที่ด้วยสภาพของชุดที่ค่อนข้างเสียหาย นักโบราณคดีจึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีการทำชุดดังกล่าวนั้นเป็นอย่างไรกัน     นอกจากนี้นอกจากนี้พื้นที่ข้างๆ โครงกระดูกมนุษย์นกเอง นักโบราณคดีก็ยังพบกระดูกของเด็กอายุราวๆ 5-10 ปีอยู่อีกสองร่าง โครงกระดูกผู้ใหญ่อีกหนึ่งร่าง และวัตถุโบราณอีกเป็นจำนวนมากถูกฝังเอาไว้ด้วย ซึ่งโดยเบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเกี่ยวข้องกันของโครงกระดูกเหล่านี้     ถึงอย่างนั้นก็ตาม จากปริมาณของสิ่งที่พบนี้ นักโบราณคดีหลายๆ คนก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆ ผู้ที่เสียชีวิตไปก็น่าจะเคยเป็นบุคคลสำคัญในชุมชนมาก่อน อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง   ที่มา…

  • องค์การสหรัฐฯ ออกเตือน หลังพบวาฬสีเทาตายกว่า 70 ตัว ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

    องค์การสหรัฐฯ ออกเตือน หลังพบวาฬสีเทาตายกว่า 70 ตัว ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

    การที่วาฬตายเกยตื้นริมหากนั้น สำหรับหลายๆ คนแล้ว คงเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจเป็นอย่างมาก และเรื่องราวเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากที่จะให้เป็นขึ้นเป็นแน่ แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ต่อให้เรานับแค่ที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐและที่แคนาดา พบวาฬสีเทา (Eschrichtius robustus) เกยตื้นริมฝั่งมาแล้วมากกว่า 70 ตัว เรียกได้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วเรามีวาฬเกยตื้นกันทุกๆ 2-3 วันเลย     ข้อมูลที่น่าตกใจสุดๆ นี้ ถูกเปิดเผยออกมาเป็นครั้งแรกโดยทางองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) และระบุว่านี่เป็นเหตุการณ์การเสียชีวิตที่ผิดปกติ (UME) ซึ่งตามกฎหมายของประเทศ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องมีการสนับสนุนเงินในการตามหาสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมาวาฬสีเทาที่มีการค้นพบนั้น โดยมากจะมาเกยตื้นในลักษณะที่ผอม และขาดสารอาหาร อันเป็นหลักฐานอย่างดีว่าพวกมันไม่สามารถหากินได้ดีเท่าที่เคยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่นักวิจัยยังตามหากันอยู่     นอกจากนี้ลักษณะการตายของวาฬเอง ยังสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนมากด้วย เพราะหากวาฬที่ผอมมากๆ ตาย พวกมันจะจมลงไปใต้ทะเลไม่ใช่ลอยมาเกยตื้น ดังนั้นนี่จึงหมายความว่าต้องมีวาฬอีกมากพอสมควรเลย ที่ตายอยู่ในที่ที่ผู้เชี่ยวชาญไม่อาจเข้าไปถึง ทั้งนี้วาฬสีเทา เคยจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในช่วงปี 1946 ที่พวกมันเหลืออยู่เพียงแค่ราวๆ 2,000 ตัวเท่านั้น     จริงอยู่ที่ว่าพวกมันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีหลังจากนั้นจนมีการนำพวกมันออกจากรายชื่อสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในปี 1994 แต่จากภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการว่าวาฬเหล่านี้อาจจะเหลืออยู่เพียงแค่…

  • ตัวหมากรุกลูอิส ถูกประมูลในราคา 40 ล้าน หลังจากหายไปในช่วงศตวรรษที่ 19

    ตัวหมากรุกลูอิส ถูกประมูลในราคา 40 ล้าน หลังจากหายไปในช่วงศตวรรษที่ 19

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าวัตถุโบราณนั้น ยิ่งหายากแค่ไหนก็จะยิ่งมีราคา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ของเหล่านี้จะถูกนำไปประมูลขายกันอยู่บ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เชื่อว่าในตอนที่ผู้ค้าโบราณวัตถุชาวสกอตแลนด์ ซื้อตัวหมากรุกที่ทำจากงาช้างในปี 1964 เขาคงไม่คิดหรอกว่า สิ่งที่เขาซื้อมาในราคาเพียง 5 ปอนด์ (ราวๆ 200 บาท) นั้นจะสามารถประมูลขายออกไปได้ในราคาถึง 1 ล้านปอนด์ (เกือบๆ 40 ล้านบาท)     แต่เรื่องราวสุดน่าแปลกใจนี้ มันก็เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ราวๆ 55 ปี หลังจากที่หมากรุกตัวนี้ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักเฉยๆ โดยผู้ค้าโบราณวัตถุ แน่นอนว่าด้วยราคาประมูลที่สูงขนาดนี้ ย่อมหมายความว่า ตัวหมากรุกชิ้นนี้ย่อมไม่ใช่ตัวหมากรุกธรรมดาแน่นอน แต่มันคือหนึ่งในตัวหมากของ “หมากรุกลูอิส” หนึ่งในวัตถุโบราณชื่อดัง แห่งเกาะ “ไอส์ ออฟ ลูอิส” ประเทศสกอตแลนด์ต่างหาก     หมากรุกลูอิส เชื่อกันว่าถูกค้นพบเมื่อราวๆ สองศตวรรษก่อน ในปี 1831 และเป็นหมากรุกที่เล่นกันในพื้นที่เมื่อช่วงศตวรรษที่…

  • งานวิจัยใหม่ชี้ การตัดต่อพันธุกรรมทารกให้ทนต่อเชื้อ HIV อาจทำให้เด็กตายเร็วกว่าที่ควร

    งานวิจัยใหม่ชี้ การตัดต่อพันธุกรรมทารกให้ทนต่อเชื้อ HIV อาจทำให้เด็กตายเร็วกว่าที่ควร

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของ เทคโนโลยีที่ชื่อ CRISPR หรือ CRISPR-edited กันไหม? นี่คือเทคโนโลยีการตัดต่อและแก้ไขดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา จากการที่มันถูกนำไปใช้ในการดัดแปลงพันธุกรรมที่ถูกมองว่า “ผิดจรรยาบรรณ” อย่างการตัดต่อพันธุกรรมในเด็กที่ประเทศจีน (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์เผย เด็กตัดต่อพันธุกรรมรุ่นใหม่ กำลังจะถึงกำหนดคลอดในอีก 6 เดือน)     การตัดต่อพันธุกรรมเหล่านี้ เชื่อกันว่าจะทำให้เด็กทารกมีความสามารถทนต่อเชื้อ HIV, โรคฝีดาษ, และอหิวาตกโรคได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามนักวิทยาศาสตร์หลายๆ ฝ่ายก็กลัวกันว่าการดัดแปลงพันธุกรรมในมนุษย์นั้นอาจจะมีผลข้างเคียงที่เลวร้ายซ่อนอยู่ก็เป็นได้     และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ดูเหมือนว่าความกลัวของนักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้นก็อาจจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมื่อมีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ออกมาชี้ว่าการตัดต่อพันธุกรรมในเด็กด้วยระบบ CRISPR นั้น อาจส่งผลให้เด็กจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรก็เป็นได้ โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ ทีมนักวิจัยได้ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของประชาชนชาวอังกฤษผู้มีอายุตั้งแต่ 41-78 ปี จำนวน 400,000 คนและพบว่าคนที่มียีน CCR5 ที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือกลายพันธุ์ไป (ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติในคนกลุ่มเล็กๆ อย่างชาวยิวอัชเคนาซิ) จะมีโอกาสอายุยืนถึง 76 ปี ต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 20%     นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการปรับแต่งยีนที่เกี่ยวข้องกับเชื้อ…

  • ชม 22 ภาพ “รถถังปลอม” จากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ที่ใช้หลอกลวงศัตรูมาอย่างยาวนาน

    ชม 22 ภาพ “รถถังปลอม” จากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ที่ใช้หลอกลวงศัตรูมาอย่างยาวนาน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าสงครามนั้นไม่สามารถชนะได้ด้วยการเอาพลังเข้าชนกันอย่างเดียวเสมอไป เพราะในหลายๆ ครั้งแผนการและการหลอกลวงศัตรูเอง ก็นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่พลิกผลของการต่อสู้จากหน้ามือเป็นหลังมือได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองในหลายๆ ครั้งที่จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น คนในสมัยนั้นจึงได้เลือกที่จะใช้งาน “รถถังปลอม” อยู่บ่อยๆ เพราะแม้ว่ารถถังปลอมๆ เหล่านี้จะไม่สามารถช่วยพวกเขาในเรื่องการทำลายล้างได้ แต่มันก็มีบทบาทอย่างมากในการทำลายขวัญกำลังใจของศัตรู และชักจูงศัตรูให้ตัดสินใจอะไรผิดๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะสามารถเห็นภาพของรถถังปลอมได้ทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง เหมือนดังเช่นภาพทั้ง 22 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากภาพการเตรียมรถถังปลอม ที่ใส่ใจในรายละเอียดถึงขั้นที่มีการทำรอยตีนตะขาบปลอม ที่ริมแม่น้ำไรน์   รถถังเป่าลมรูป M-4 Sherman เมื่อเทียบกับของจริง   เหล่าทหารที่กำลังยกรถถังปลอมในอังกฤษเมื่อปี 1939   รถถังปลอมที่ทำจากต้นกกของเยอรมันเมื่อปี 1918   ทหารเยอรมันกับการขนย้ายรถถังปลอมเมื่อปี 1925   การเคลื่อนย้ายรถถังปลอมที่ทำจากกระดาษแข็งของเยอรมันในปี 1928   เหล่าทหารเยอรมันที่ถ่ายรูปคู่กับรถถังปลอมในปี 1926   ทหารเยอรมันเข็นรถถังปลอมในปี 1931   ทหารเยอรมันกำลังแบกชิ้นส่วนของรถถังปลอมมาติดรถยนต์ที่เตรียมไว้เมื่อปี 1931   สภาพรถถังปลอมหลังประกอบเสร็จ เมื่อปี 1931   ทหารเยอรมันทำการฝึกทหารด้วยรถถังปลอมในปี…

  • ชม 37 ภาพเครื่องแบบลูกเสือในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จากชุดโปสต์การ์ดเมื่อยุค 60

    ชม 37 ภาพเครื่องแบบลูกเสือในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จากชุดโปสต์การ์ดเมื่อยุค 60

    เชื่อว่าเมื่อพูดถึง “ลูกเสือ” คงมีเพื่อนๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่คิดถึงชีวิตในอดีตขึ้นมา เพราะเจ้าชุดสีกากีที่เราเคยใส่ในตอนเด็กนั้น พอเราโตขึ้นมาก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีโอกาสจะได้กลับไปใส่มันอีกต่อไปแล้ว (เว้นแต่เพื่อนๆ จะเป็นครูฝึกลูกเสือ) ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าเครื่องแบบของลูกเสือเนี่ย ในแต่ล่ะประเทศมันมีความแปลกต่างกันบ้างหรือไม่ เพราะในช่วงปี 60 ที่ต่างประเทศเขาได้มีการออกโปสต์การ์ดชุดหนึ่งที่ชื่อ “Scout of the World” ซึ่งรวมเอาภาพของลูกเสือทั่วโลกเอาไว้ด้วยนะ และในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา ก็ได้ไปนำภาพส่วนหนึ่งของโปสต์การ์ดเหล่านี้มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันแล้วที่นี่ สนใจกันแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าแล้วก็ไปชมภาพลูกเสือนานาชาติกันเลยดีกว่า   เริ่มกันจากลูกเสือของประเทศอังกฤษ   ลูกเสือของประเทศโปรตุเกส   ลูกเสือของประเทศคองโก   ลูกเสือของประเทศสิงคโปร์   ลูกเสือของประเทศอิสราเอล   ลูกเสือของประเทศเม็กซิโก   ลูกเสือของประเทศเนเธอร์แลนด์   ลูกเสือของประเทศกัวเตมาลา   ลูกเสือของประเทศเคนยา   ลูกเสือของประเทศโมร็อกโก   ลูกเสือของประเทศเยอรมนี   ลูกเสือของประเทศกานา   ลูกเสือของประเทศฝรั่งเศส   ลูกเสือของประเทศฟินแลนด์   ลูกเสือของประเทศอียิปต์…

  • เปิดเรื่องราว 10 ความจริงสุดน่าทึ่งเกี่ยวกับ “สงครามเย็น” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    เปิดเรื่องราว 10 ความจริงสุดน่าทึ่งเกี่ยวกับ “สงครามเย็น” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

    สงครามเย็นนั้นเป็นสงครามที่แปลก เพราะมันเป็นสงครามที่ไม่มีเวลาเริ่มที่ชัดเจน แถมการต่อสู้และการแข่งขันกันระหว่างสองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และโซเวียตเอง ในหลายๆ ครั้งก็มักจะเป็นการต่อสู้กันทางข้อมูลและสปาย ทำให้คนธรรมดาแทบจะไม่ทราบเลยว่าในสงครามครั้งนี้ ในเบื้องหลังแล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สงครามเย็นจะมีเรื่องราวที่ที่เราอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเป็นจำนวนมาก เหมือนดังเช่นความจริงแปลกๆ เกี่ยวกับสงครามเย็นทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้   1. ในหลายๆ ครั้งทาง KGB จะสามารถบอกได้ว่าพาสปอร์ตโซเวียตอันไหนเป็นของปลอมได้ โดยดูเพียงแค่ลวดเย็บกระดาษเท่านั้น พาสปอร์ตของโซเวียตจะใช้โลหะคุณภาพต่ำมาก ทำให้มันสึกกร่อนและขึ้นสนิมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ของปลอมที่ให้โดยสปายมักจะทำจากโลหะคุณภาพสูง   2. ในจุดจุดหนึ่งของสงคราม สหรัฐฯ เคยมีแผนจะทิ้งถุงยางไซส์ใหญ่พิเศษที่เขียนบนห่อไว้ว่า “ขนาดกลาง” ในโซเวียต นี่เป็นแผนการที่ออกแบบมาเพื่อตัดกำลังใจศัตรูโดยหลอกให้พวกเขาคิดว่า ชาวอเมริกันนั้น “ใหญ่มาก”   3. ในปี 1975 ทาง CIA เคยพยายามโกนหนวดฟิเดล กัสโตร เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของเขา   4. โซเวียต และสหรัฐฯ เกือบจะได้ร่วมมือกันพัฒนาระบบอวกาศแล้ว เรื่องของเรื่องคือในปี 1963 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีเคยส่งคำเชิญให้โซเวียตและสหรัฐฯ ร่วมมือกันพัฒนาระบบอวกาศมาก่อน และนีกีตา ครุชชอฟผู้นำโซเวียตก็สนใจที่จะตอบรับคำเชิญนี้ด้วย…

  • ชม 21 ภาพลอสแอนเจลิสในยุค 1920s-30s ช่วงเวลาที่ในเมืองมีแท่นขุดน้ำมันอยู่เต็มไปหมด

    ชม 21 ภาพลอสแอนเจลิสในยุค 1920s-30s ช่วงเวลาที่ในเมืองมีแท่นขุดน้ำมันอยู่เต็มไปหมด

    ย้อนกลับไปในช่วงปี 1890 ประชาชนในพื้นที่ของเมืองลอสแอนเจลิส (ที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ) ได้ทำการขุดพบบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ในพื้นที่ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพื้นที่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบปี ในช่วงยุค 1920-30 เมืองลอสแอนเจลิส และรัฐแคลิฟอร์เนียก็กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ไป และเมืองที่เคยมีคนอยู่แค่ 50,000 คน เมืองนี้ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีคนอยู่เป็นล้านคนไป ในช่วงเวลานั้น หากคุณเดินทางไปที่เมืองแห่งนี้ มันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คุณจะเห็นแท่นขุดเจาะน้ำมันได้มากมายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ซึ่งไม่เพียงแค่ขยับเคลื่อนเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของลอสแอนเจลิสช่วงนั้นไป เหมือนเช่นที่เห็นได้ในภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากเสาขุดน้ำมันที่แนวชายฝั่งเวนิส แคลิฟอร์เนีย 1920   เหล่าครอบครัวที่มาปิกนิกใน Signal Hill พร้อมเสาขุดน้ำมันในฉากหลัง เมื่อช่วงปี 1920   บ้านพักริมหาดที่มีเสาขุดน้ำมันอยู่ข้างๆ เมื่อราวๆ ปี 1929   บ่อน้ำมันในเวนิส เมื่อปี 1930   บ่อน้ำมันใน Signal Hill ช่วงปี 1930   เสาขุดน้ำมันที่สร้างอยู่ข้างถนนราวกับเป็นเรื่องธรรมดาในช่วงปี 1930   การแข่งพายเรือ ในโอลิมปิกเมื่อปี 1932…

  • ชม 7 การค้นพบทางโบราณคดีในอดีต ที่ไม่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัยสักเท่าไหร่

    ชม 7 การค้นพบทางโบราณคดีในอดีต ที่ไม่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัยสักเท่าไหร่

    เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องเพศนั้น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งแต่ในอดีต ในบรรดาโบราณวัตถุมากมายที่เหล่านักโบราณคดี มีการค้นพบ มันจะมีอะไรที่ ไม่ค่อยเหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัยอยู่บ้าง วัตถุโบราณเหล่านี้นั้น อาจเป็นอะไรได้ตั้งแต่ของเล็กๆ น้อยอย่างภาพคนร่วมรักกัน แต่ในบางครั้งมันก็อาจจะกลายเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร วัตถุโบราณเหล่านี้ ก็เป็นอะไรที่ “น่าสนใจ” อยู่ดี ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 7 การค้นพบทางโบราณคดีในอดีต ที่ไม่ว่าดูยังไง มันก็ NSFW ไม่ปลอดภัยสำหรับดูระหว่างการทำงานชัดๆ   1. โต๊ะและเก้าอี้ของแคทเธอรีนมหาราช นี่เป็นเครื่องใช้ของ “ราชินีแคทเธอรีน” หญิงผู้ได้ชื่อว่าเรืองอำนาจที่สุดในรัสเซีย ซึ่งหากดูเผินๆ ก็อาจจะเหมือนเครื่องใช้ที่มีรูปร่างแปลกๆ ธรรมดาๆ แต่หากดูให้ดีๆ จะเห็นว่าโต๊ะมันทำมาเป็นรูปอวัยวะเพศชัดๆ (พ่นน้ำด้วย) ส่วนเก้าอีกเองก็เป็นคนกำลังร่วมเพศอีกต่างหาก   2. รูปปั้นของเทพแพน นี่เป็นรูปปั้นที่ถูกพบในปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียม สองเมืองโรมันโบราณที่ถูกทำลายจากภูเขาไฟ โดยมันเป็นรูปปั้นที่ทำขึ้นตามเรื่องราวของเทพแพนผู้ซึ่งมีชื่อเรื่องการร่วมเพศกับแพะนั่นเอง   3. เครื่องดินเผาของชาวโมเช นี่คือเครื่องดินเผาของ “โมเช” อารยธรรมที่เกิดขึ้นในเปรูเมื่อช่วงปี ค.ศ. 100 และเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุจำนวนมาก…

  • นักวิทย์พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในยุคหินที่ “ดอกเกอร์แลนด์” ดินแดนที่จมอยู่ใต้ทะเลเหนือ

    นักวิทย์พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในยุคหินที่ “ดอกเกอร์แลนด์” ดินแดนที่จมอยู่ใต้ทะเลเหนือ

    เคยได้ยินเรื่องราวของพื้นที่ที่ชื่อ “ดอกเกอร์แลนด์” กันไหม นี่คือพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เคยตั้งอยู่ระหว่างอังกฤษกับเดนมาร์ก ซึ่งมีชื่อเรื่องการจมลงไปใต้ทะเลหลังถูกซัดโดยคลื่นสึนามิสูงกว่า 7 เมตร เมื่อราวๆ 8,000 ปีก่อน ทำให้ที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับเมืองในตำนานอย่างแอตแลนติสเป็นอย่างมาก     ดินแดนแห่งนี้นั้น เคยถูกเข้ามาขุดค้นโดยบริษัทน้ำมันอยู่บ่อยครั้ง เพราะในอดีตมันเคยมีสัตว์อยู่มาก แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง การขุดค้นที่แห่งนี้จะเน้นไปที่การตามหาร่องรอยของมนุษย์เป็นหลัก นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เดินทางผ่านพื้นที่แห่งนี้ไปได้พบกับฟอสซิลของป่าดึกดำบรรพ์แห่งหนึ่ง ที่เก็บเอาร่องรอยความเป็นไปได้ของตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนพื้นที่ดอกเกอร์แลนด์เอาไว้     คงต้องอธิบายกันสักนิดว่าตั้งแต่ในอดีตแล้ว นักโบราณคดีทราบกันเป็นอย่างดีว่าบนดอกเกอร์แลนด์นั้นเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ จากการที่นักดำน้ำมีการค้นพบกะโหลกของบุรุษมนุษย์ที่นี่มาก่อน ทั้งนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์คาดกันว่าคนที่เคยอาศัยอยู่บนดอกเกอร์แลนด์นั้น น่าจะเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงกลางยุคหิน โดยพวกเขานั้นเป็นนักล่าที่ไล่ตามสัตว์ซึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาลมาจนถึงพื้นที่แห่งนี้   RV Belgica เรือที่ใช้กันการสำรวจครั้งนี้   พวกเขาพบว่าที่แห่งนี้เหมาะสมกับการล่าสัตว์มากจึงได้ตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่บนเกาะ แต่ก็ต้องถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่เพราะระดับน้ำที่สูงขึ้นในอดีต ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์จากการโดนคลื่นซัดไปพร้อมๆ กับเกาะในที่สุด และที่ผ่านๆ มาเรายังไม่สามารถพบได้เลยว่าในอดีต พวกเขาอาศัยอยู่ในส่วนใดของเกาะกันแน่ อย่างไรก็ตามหลักฐานที่พบในครั้งนี้ก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุที่ที่มนุษย์เหล่าน่าจะมาตั้งถิ่นฐานบนดอกเกอร์แลนด์เมื่อราวๆ 10,000-12,000 ปีก่อนได้อย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่มีมา นั่นเพราะในป่าแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ร่องรอยกระดูกมนุษย์โบราณเท่านั้น แต่ยังมีร่องรอยสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นอีกจำนวนหนึ่งด้วย     และแน่นอนว่าหากพวกเขาสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ตามหาหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ได้จริงๆ นี่คือจะถือว่าเป็นการค้นพบที่มีค่าที่สุดครั้งหนึ่งของทะเลเหนือเลย “เราใกล้จะพบพื้นที่การตั้งถิ่นฐานแล้ว” Vincent Gaffney นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ดในสหราชอาณาจักร หนึ่งในผู้นำโครงการกล่าว…

  • “The Man from Taured” เหตุประหลาดที่มีชายลึกลับเดินทางมาจากประเทศที่ไม่มีอยู่จริง

    “The Man from Taured” เหตุประหลาดที่มีชายลึกลับเดินทางมาจากประเทศที่ไม่มีอยู่จริง

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์ “The Man from Taured” กันไหม? นี่เป็นหนึ่งในเรื่องราวลึกลับของโลก ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคนข้ามมิติ ที่มีคนออกมาพยายามอธิบายมากมายหลายคนมาตั้งแต่ในอดีต     เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1954 ที่สนามบินฮาเนดะประเทศญี่ปุ่น โดยในวันนั้น มีชายชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศ และเข้าตรวจเอกสารเข้าประเทศกับทางเจ้าหน้าที่ เขาเป็นชายผิวขาวที่ไว้หนวดเครา แต่งตัวดูภูมิฐานคล้ายนักธุรกิจ ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก และมีความสามารถในการพูดภาษาอื่นๆ อย่างภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นได้ในระดับหนึ่ง เรื่องราวของเขาจนถึงจุดนี้ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ฟังดูธรรมดาเรื่องสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับชายที่เดินทางมายังญี่ปุ่นคนนี้     เรื่องราวหลังจากนี้ไปมีการบอกเล่าที่ต่างกันไปในแต่ละที่ แต่โดยมากแล้วเรื่องราวจะเกิดขึ้นทันทีที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรับหนังสือเดินทางจากเขามาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย นั่นเพราะพาสปอร์ตที่ชายหนุ่มคนนี้ส่งให้เจ้าหน้าที่นั้น มีการระบุว่าชายคนนี้มาจากประเทศที่ชื่อว่า “Taured” ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก ดังนั้นเจ้าหน้าที่เชิญตัวเขาไปสืบสวนความเป็นมาต่อไป     อ้างอิงจากตัวชายหนุ่มประเทศ Taured ที่เขาจากมานั้นเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างสเปนและฝรั่งเศส โดยมันเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็มีตัวตนอยู่มามากกว่า 1,000 ปี เมื่อถูกเจ้าหน้าที่บอกให้ระบุตำแหน่งประเทศของเขา ชายหนุ่มก็ชี้ไปที่ประเทศอันดอร์รา ก่อนที่เจ้าตัวจะเห็นเชื่อประเทศในแผนที่และแปลกใจมากว่าทำไมสถานที่ที่ควรจะเป็นประเทศของตัวเอง จึงมีชื่อของประเทศที่เขาไม่รู้จักอย่างอันดอร์ราตั้งอยู่ได้     หลังจากที่มีการโต้เถียงกันอยู่สักพัก ในที่สุดชายคนนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเอาไว้เป็นการชั่วคราว…

  • รู้หรือไม่ การตกจากที่สูงของ “แมว” เคยช่วยให้ “นาซา” รับมือกับภาวะไร้แรงดึงดูดได้ดีขึ้น

    รู้หรือไม่ การตกจากที่สูงของ “แมว” เคยช่วยให้ “นาซา” รับมือกับภาวะไร้แรงดึงดูดได้ดีขึ้น

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าเมื่อที่แมวตกลงมาจากที่สูงไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ตามปกติแล้วพวกมันจะมีความสามารถที่จะพลิกตัวกลางอากาศและเอาเท้าลงพื้นก่อนได้อยู่เสมอๆ นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดูธรรมดาสำหรับหลายๆ คนในปัจจุบัน แต่สำหรับคนในสมัยก่อนแล้ว ความสามารถในการพลิกตัวกลางอากาศเหล่านี้ มันว่าเป็นเรื่องที่นักฟิสิกส์หลายๆ คนให้ความสนใจมาก เพราะในเวลานั้นไม่มีใครทราบได้เลยว่าแมวเหล่านี้มีการพลิกตัวอย่างไรโดยไม่ละเมิดกฎพการอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม   ภาพการทดลองปล่อยแมวจากที่สูงในปี 1894   เรื่องราวของการพลิกตัวกลางอากาศที่แมวทำนั้น เป็นปริศนาที่ไขไม่ออก (เอาจริงๆ ต้องบอกว่าไม่มีใครสนใจทำวิจัยเฉยๆ ) เรื่อยมา จนกระทั่งในปี 1969 ที่มีงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนโดยนาซา ชื่อ “A Dynamical Explanation of the Falling Cat Phenomenon.” ได้ออกมาพยายามไขปริศนานี้ด้วยอุปกรณ์ทรงกระบอกที่ติดกันสองอัน ซึ่งใช้เป็นตัวแทนของแมว และกระดูกสันหลังซึ่งมีลักษณะพิเศษของพวกมัน     งานวิจัยชิ้นนี้นั้น เป็นผลงานของนักวิจัยสองคนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดคือ T.R. Kane กับ M.P. Scher และมีจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของงานวิจัยอยู่ที่ภาพของแมวที่ถูกวาดภาพทรงกระบอกทับลงไป เพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวกลางอากาศของพวกมัน จริงอยู่ว่าในเวลานั้นงานวิจัยของคุณ T.R. Kane และ M.P. Scher จะไม่ได้อธิบายระบบฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังการพลิกตัวของแมวไว้ทั้งหมด แต่ผลงานของพวกเขา (โดยเฉพาะรูปแมวในงานวิจัย) ก็ช่วยเหลือการทำงานของทางนาซาไว้ได้เป็นอย่างดี…

  • 5 เหมียวสุดเจ๋งจากประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีเรื่องราวให้เล่ามากกว่าแค่นอนเฉยๆ ให้บูชา

    5 เหมียวสุดเจ๋งจากประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีเรื่องราวให้เล่ามากกว่าแค่นอนเฉยๆ ให้บูชา

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าแมวนั้น เป็นสัตว์ที่มากความสามารถขนาดไหน พวกมันทั้งมี 9 ชีวิต สามารถรอดชีวิตจากการตกจากที่สูงได้ แถมยังมีความสามารถที่จะนอนอยู่เฉยๆ แล้วมีทาสมาบูชาอีก แต่ก็เช่นเดียวกับที่มนุษย์เรามีคนที่สร้างผลงานได้ดีกว่าคนอื่น ในบรรดาแมวเองเราก็มีเจ้าเหมียวที่โด่งดัง หรือเก่งกาจสร้างผลงานไว้เหนือกว่าแมวธรรมดาเช่นกัน เหมือนกับเจ้าเหมียวสุดเจ๋งทั้ง 5 ตัวต่อไปนี้   เริ่มกันจากเจ้า Trim แห่ง เรือ HMS Reliance เจ้า Trim เป็นแมวที่เกิดมาบนเรือ HMS Reliance ในปี 1799 และใช้ชีวิตอยู่บนเรือในฐานะแมวล่าหนูไม่ต่างจากแมวที่เลี้ยงบนเรือส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเจ้าชีวิตของเจ้า Trim นั้นมีเรื่องให้เล่ามากกว่าแมวธรรมดาเยอะ นั่นเพราะเจ้า Trim นั้นมีประวัติเคยตกลงไปในทะเลจากอุบัติเหตุ แต่กลับสามารถว่ายกลับขึ้นมาบนเรือได้ด้วยตัวเอง โดยการไต่เชือกข้างๆ เรือโดยที่ไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากลูกเรือเลย เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 1803 เจ้าแมวตัวนี้ยังสามารถเอาตัวรอดจากเหตุเรือล่มอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเป็นแมวที่มีความสามารถในการเอาตัวรอดแบบสุดๆ ก็ไม่ผิด     Emily ผู้ข้ามแอตแลนติก Emily เดิมทีแล้วเป็นแมวที่ชอบไปซ่อนในที่ที่ไม่ควรเท่าไหร่ ดังนั้นวันหนึ่งมันจึงไปซ่อนในกล่องที่เตรียมไว้ให้เรือขนส่ง และถูกส่งข้ามประเทศจากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกาไปยังฝรั่งเศสในปี 2005 โดยที่ต้องอาศัยอยู่บนเรือถึง…

  • ย้อนรอย “The Face of AIDS” ภาพที่เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ของคนทั่วโลก

    ย้อนรอย “The Face of AIDS” ภาพที่เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ของคนทั่วโลก

    สำหรับในปัจจุบันแล้ว เชื่อว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักโรคร้ายที่ชื่อว่าโรคเอดส์ เพราะนี่เป็นโรคที่ไม่เพียงแค่จะมีการให้ความรู้และการป้องกันอยู่เรื่อยๆ เท่านั้น แต่มันยังกลายเป็นโรคร้ายที่ทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ทั่วโลกพยายามที่จะหาวิธีรักษาให้หายขาดอีกด้วย ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าเรื่องราวของโรคเอดส์นั้น ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมมาตลอดอย่างที่เราคิดหรอกนะ และที่ทุกวันนี้เอดส์กลายเป็นที่รู้จักได้นั้น คงต้องบอกว่าเป็นเพราะภาพภาพหนึ่งในปี 1989 เลย     นี่คือภาพถ่ายของ ครอบครัว Kirby ที่กำลังเข้าเยี่ยมลูกชายผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และกำลังนอนรอความตาย ซึ่งถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร LIFE ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1990 (ราวๆ 1 ปีหลังจากมีการถ่ายภาพ) และกลายเป็นหนึ่งในภาพที่ทรงพลังที่สุดเมื่อมีการพูดถึงโรคเอดส์ในอดีต โดยชายที่กำลังป่วยในภาพนั้น มีชื่อว่า David Kirby อดีตนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชายรักร่วมเพศในยุค 80 และถูกถ่ายภาพไว้โดยคุณ Therese Frare ซึ่งในเวลานั้นเป็นนักศึกษาวารสารศาสตร์ คุณ David Kirby ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ HIV ครั้งแรกในช่วงปลายยุค 80 ในขณะที่เขาอาศัยอยู่ที่แคลิฟอร์เนียและห่างเหินจากครอบครัวของเขามาเป็นเวลานาน     ในตอนที่ครอบครัว Kirby ทราบว่า David เป็นเอดส์นั้น อาการของเข้าเริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…

  • เปิดตำนาน “ชาวพิคท์” เหล่านักรบสีน้ำเงินแห่งสกอตแลนด์ ที่แม้แต่ทหารโรมันก็โค่นไม่ลง

    เปิดตำนาน “ชาวพิคท์” เหล่านักรบสีน้ำเงินแห่งสกอตแลนด์ ที่แม้แต่ทหารโรมันก็โค่นไม่ลง

    เคยได้ยินเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีชื่อว่า “ชาวพิคท์” (Picts) กันไหม? นี่คือกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางเหนือของสกอตแลนด์ เมื่อราวๆ 2,000 ปีก่อน และเป็นที่หวาดกลัวของทหารโรมันในสมัยนั่นเป็นอย่างมาก     เรื่องราวของชาวพิคท์ในประวัติศาสตร์นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลึกลับ และมีข้อมูลถูกบันทึกไว้อย่างจำกัดมาก โดยที่เราไม่ทราบทั้งวัฒนธรรม ความเชื่อ หรือการถอดรหัสภาษาของพวกเขาแม้แต่น้อย เพราะเอาเข้าจริงๆ แม้แต่ชื่อที่ใช้เรียกชาวพิคท์เอง ยังเป็นเพียงชื่อที่ถูกตั้งให้โดยชาวโรมัน และไม่ใช่ชื่อจริงๆ ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ โดยคำว่าชาวพิคท์ที่ชาวโรมันใช้เรียกคนเหล่านี้ คาดกันว่ามีรากศัพท์มาจากคำว่า “(ผู้ถูก) ทาสี” หรือ “(ผู้ถูก) สัก” เนื่องจากชาวพิคท์ที่ชาวโรมันพบ โดยมากแล้วจะมีการสักเต็มตัวด้วยหมึกสี     เรื่องราวของชาวพิคท์ เป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากโดยชาวโรมันจากการออกรบโดยที่ไม่สวมอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับสามารถต่อกรกับกองทัพโรมันได้เป็นอย่างดี จนเรียกได้ว่าคนเหล่านี้กลายเป็นชนเผ่าเพียงกลุ่มเดียวที่โรมันไม่อาจพิชิตได้เลย อ้างอิงจากบันทึกของจูเลียส ซีซาร์ เขาได้มีการบรรยายว่าในการสงคราม ชาวพิคท์ที่ปกติก็สักทั่วตัวอยู่แล้ว จะทาตัวเองด้วยสีย้อมสีน้ำเงินจากต้น Woad ซ้ำเข้าไปอีก ทำให้ตัวของพวกเขามีในสนามรบมีสีน้ำเงินน่ากลัวเป็นอย่างมาก     ในการรบของชาวพิคท์ ทางโรมันได้บันทึกไว้ว่าพวกเขามีการใช้อาวุธหลักๆ เป็นหอกหรือไม่ก็ธนู อย่างไรก็ตามในบรรดาชาวพิคท์เองจะมีบางคนที่ออกรบพร้อมโซ่เหล็กที่เอวหรือคอ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของคนมีฐานะ และคนเหล่านี้ก็อาจจะใช้โซ่เหล่านี้ในการพกพาดาบ หรือโล่เช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องราวของชาวพิคท์แทบจะทั้งหมดนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้จากมุมมองของชาวโรมัน…

  • งานวิจัยชี้ ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา “ก็อดซิลล่า” มีวิวัฒนาการเร็วกว่าสัตว์ทั่วไปถึง 30 เท่า

    งานวิจัยชี้ ตลอด 65 ปีที่ผ่านมา “ก็อดซิลล่า” มีวิวัฒนาการเร็วกว่าสัตว์ทั่วไปถึง 30 เท่า

    เชื่อว่าในปัจจุบันคงจะมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยแล้วที่มีโอกาสได้ไปชมภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์อย่าง “ก็อดซิลล่า” กัน ดังนั้นคงมีแฟนๆ ตัวยงของเจ้าราชันแห่งมอนสเตอร์หลายคนไม่น้อยเลยที่สังเกตว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น เจ้าก็อดซิลล่ามีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีการทำภาพยนตร์ภาคใหม่ออกมาเลย ว่าแต่ เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า หากเอาก็อดซิลล่าไปเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันมีการวิวัฒนาการที่เร็วขนาดไหนกัน     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการจากวิทยาลัยดาร์ตมัธ ในสหรัฐฯ ได้มีการออกมาเปิดเผยงานวิจัยสุดแปลกในวารสาร Science ด้วยการบอกว่า ก็อดซิลล่านั้น มีการวิวัฒนาการที่รวดเร็วกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกถึง 30 เท่าเลย อ้างอิงจากในงานวิจัย ตอนที่ก็อดซิลล่าออกฉายครั้งแรกในปี 1954 สัตว์ประหลาดตัวนี้ถูกระบุส่วนสูงไว้ที่ 50 เมตร ซึ่งแม้ว่าจะนับว่าค่อนข้างสูงมากอยู่แล้ว แต่หลังจากที่มีการสร้างก็อดซิลล่าภาคใหม่ๆ ออกมาส่วนสูงของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนในปี 2019 มันก็มีส่วนสูงมากถึง 120 เมตร เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในเวลาเพียง 65 ปี     ทีมนักวิจัยบอกว่า นี่นับว่าเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดเป็นอย่างมากเมื่อเราเอาอัตราการเติบโตนี้ไปเทียบกับไดโนเสาร์จำพวกเซราโทซอรัส และสัตว์ชนิดอื่นอีกกว่า 2,500 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน…

  • งานวิจัยใหม่บอก เราอาจพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารได้ ด้วยการมองหาหินรูป “เส้นหมี่ขาว”

    งานวิจัยใหม่บอก เราอาจพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารได้ ด้วยการมองหาหินรูป “เส้นหมี่ขาว”

    เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลก เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่นึกถึงซีโนมอร์ฟตัวดำน่ากลัว หรือไม่ก็พรีเดเตอร์ออกมาเป็นสิ่งแรกๆ ด้วยอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ในปัจจุบัน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าสำหรับเหล่าผู้เชี่ยวชาญแล้ว เมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลกพวกเขาจะนึกถึงอะไรกัน นั่นเพราะอ้างอิงจากการวิจัยใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางนาซา ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเราควรจะมองหากันมากที่สุดเมื่อตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกอย่างเช่นบนดาวอังคาร แท้จริงแล้วจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายซีโนมอร์ฟ หรือ E.T. ด้วยซ้ำ แต่เป็นเส้นสีขาวๆ คล้าย “พาสต้า” หรือ “หมี่ขาว” ต่างหาก   เส้นสีขาวคล้ายพาสต้าที่อาจช่วยพวกเราในการตามหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก   โดยนี่เป็นข้อสันนิษฐานที่เกิดขึ้นโดยทีมนักวิจัยที่นำทีมโดยคุณ Bruce Fouke นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ผู้ซึ่งได้พาลูกทีมไปศึกษาลักษณะของแบคทีเรียในชั้นหินที่บ่อน้ำพุร้อนแมมมอธ ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ที่นั่น พวกเขาได้พบว่าในชั้นหินเก่าแก่ของบ่อน้ำพุร้อนที่มีความเป็นกรด แถมยังมีอุณหภูมิสูงเฉลี่ยถึง 56-72 องศานั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ได้ แถมยังมีปริมาณมากถึง 98% ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กทั้งหมดในน้ำเลยด้วย สิ่งมีชีวิตที่ว่านั้นคือ “Sulfurihydrogenibium yellowstonense” หรือ “Sulfuri” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เชื่อกันว่ามีการวัฒนาการมาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ล้านปีก่อน ยุคที่โลกของเรายังแทบไม่มีออกซิเจน และมีลักษณะคล้ายดาวอังคารในอดีตเป็นอย่างมาก   Sulfurihydrogenibium yellowstonense ไม่เพียงแต่เอาชีวิตรอดในสภาวะที่เลวร้ายได้เท่านั้น แต่มันยังวิวัฒนาการมาจากสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับดาวอังคารในอดีตอีกด้วย   เรื่องที่น่าสนใจของ…

  • ชม 19 ภาพวันแรกในโรงเรียนจากในอดีต ที่จะทำให้คุณคิดถึงวันวานที่หอมหวานได้ไม่ยาก

    ชม 19 ภาพวันแรกในโรงเรียนจากในอดีต ที่จะทำให้คุณคิดถึงวันวานที่หอมหวานได้ไม่ยาก

    เชื่อว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วประสบการณ์วันแรกในโรงเรียนคงเป็นอะไรที่เราจดจำกันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเรื่องราวของความตื่นเต้นหรือเรื่องราวเคล้าน้ำตา วันแรกในโรงเรียนก็เป็นอะไรที่มีเสน่ห์ตรึงใจมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้ “วันแรกในโรงเรียน” มันเป็นอย่างไรบ้าง มีความแตกต่างจากปัจจุบันมากไหม เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเราจะไปชมกันในวันนี้กับ 19 ภาพวันแรกในโรงเรียนจากในอดีต ที่จะทำให้คุณคิดถึงวันวานที่หอมหวานได้ไม่ยากเลย   เริ่มกันจากเด็กหญิงเด็กชายกับรอยยิ้มรับวันเปิดเทอมจากยุค 1920   เด็กหญิงกับวันแรกในโรงเรียนที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนียราวๆ ปี 1921   เด็กญี่ปุ่นในวันเปิดเทอมของโรงเรียนที่แคลิฟอร์เนีย 1927   เด็กหญิงวัย 5 ขวบกับหนังสือของเธอหลังจากวันแรกของการเรียนอนุบาล 1929   แม่ลูกที่พร้อมเดินทางไปเรียนเป็นวันแรก ในช่วงรอยต่อของยุค 20-30   หนุ่มน้อยที่ดุจะมาสายตั้งแต่วันแรก จากช่วงปี 1930   เด็กๆ กับการแบกกระเป๋ากลับบ้าน หลังการเรียนวันแรกในเยอรมนีเมื่อราวๆ ปี 1930   เหล่าพ่อแม่ที่มารับลูกๆ ในวันแรกของการเรียนที่โตเกียวช่วงต้นศตวรรษที่ 20   นักเรียนในฝรั่งเศสกับวันเปิดเทอมใหม่เมื่อปี 1932   เหล่าเด็กๆ ฝรั่งเศสกับวันเปิดเรียนวันแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2   เด็กน้อยชาวฝรั่งเศสกับการบอกลาคุณแม่ก่อนเข้าเรียนในเดือนกันยายน…

  • นักโบราณคดีพบพยาธิแส้ม้าในอุจจาระอายุ 9,000 ปีที่ซาตาลฮูยุค เชื่อเคยระบาดหนักในอดีต

    นักโบราณคดีพบพยาธิแส้ม้าในอุจจาระอายุ 9,000 ปีที่ซาตาลฮูยุค เชื่อเคยระบาดหนักในอดีต

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าสิ่งที่หลายๆ คนคิดว่าสกปรกนั้น ในบางครั้งก็อาจจะซ่อนอะไรที่มีค่าไว้มากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้ เพราะสำหรับเหล่านักโบราณคดีแล้วของอย่างขยะหรือสิ่งปฏิกูลในสมัยก่อน มันเปรียบเหมือนกล่องสมบัติที่เก็บเอาข้อมูลชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยก่อนเอาไว้ไม่มีผิด และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง นักโบราณคดีก็ได้พบกับกล่องสมบัติที่น่าสนใจชิ้นใหม่อีกครั้ง เมื่อพวกเขานั้นได้ทำการค้นพบตัวอย่างอุจจาระของมนุษย์โบราณ ที่แหล่งโบราณคดีในหมู่บ้านซาตาลฮูยุค ของประเทศตุรกี   ตัวอย่างอุจจาระเก่าแก่ที่พบ   อุจจาระที่มีการพบในครั้งนี้ คาดกันว่ามีอายุได้มากถึง 8,000-9,000 ปีมีจุดเด่นอยู่ที่มันเต็มไปด้วยหนอนพยาธิแส้ม้า ซึ่งทำให้การค้นพบในครั้งนี้กลายเป็นการค้นพบพยาธิแส้ม้าในมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษย์เลย อ้างอิงจากนักโบราณคดีการค้นพบในครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ว่าการที่มนุษย์เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการล่าสัตว์และเก็บของป่าไปเป็นการทำการเกษตร (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 10,000 ปีก่อน) จะส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของคนมากกว่าที่เราคิดไว้มาก   ไข่พยาธิแส้ม้า   นั่นเพราะการที่คนเราทำการเกษตรมันจะส่งผลให้คนเราเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วรวมทั้งอยู่รวมกันเป็นกระจุกมากขึ้น ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเป็นโรคของมนุษย์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสำหรับกรณีของพยาธิแส้ม้าที่ถูกพบในครั้งนี้ นักโบราณคดีก็คาดกันว่ามันน่าจะมีการระบาดหนักกว่าแค่คนกลุ่มหนึ่งแน่ๆ เนื่องจากตัวอย่างของอุจจาระที่พวกเขาได้มาจากสถานที่ที่ต่างกันนั้น ล้วนแต่มีร่องรอยของพยาธิชนิดเดียวกันปนเปื้อนอยู่ทั้งสิ้น   ตัวอย่างอุจจาระในอีกสถานที่   เป็นไปได้ว่าคนในสมัยก่อนจะติดพยาธิเหล่านี้ในระหว่างที่กำลังขับถ่ายในสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็น “ห้องน้ำ” โดยผ่านการสัมผัสกับพื้นดินหรืออุจจาระที่ปนเปื้อนพยาธิคนอื่นๆ ในชุมชนอีกที แน่นอนว่าสำหรับคนในสมัยก่อนแล้วปัญหาอย่างพยาธิแส้ม้านั้นคงจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ได้โดยง่ายเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องพบกับผลข้างเคียงของพยาธิแส้ม้าอย่างอาการปวดท้อง ท้องร่วง และอ่อนเพลีย รวมทั้งความเสื่อมถอยทางสติปัญญาในเด็กไปอย่างช่วยไม่ได้   การตรวจสอบที่อยู่อาศัยโบราณในพื้นที่   และกว่าที่มนุษย์เรานั้นจะมีห้องน้ำที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดของเสียนั้น มันก็ในเมโสโปเตเมียราวๆ 400 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะสันนิษฐานว่าปัญหาพยาธิที่เกิดขึ้นกับคนในสมัยก่อนนั้น น่าจะเป็นปัญหาเรื้อรังกว่าที่เราคิดมาก อนึ่ง…

  • ย้อนรอย “เครื่องอินิกมา” อุปกรณ์เข้ารหัสแห่งนาซีเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    ย้อนรอย “เครื่องอินิกมา” อุปกรณ์เข้ารหัสแห่งนาซีเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยเลยที่เคยได้ยินเรื่องราวของ “เครื่องอินิกมา” กันมาบ้าง เพราะนี่เป็นเครื่องมือเข้ารหัสข้อความที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง     เจ้าเครื่องมือชิ้นนี้ ถูกคิดค้นขึ้นโดยวิศวกรชาวเยอรมันชื่อ “อาร์ทูร์ แชร์บีอุส” ในช่วงหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเล็กน้อย และมีจุดเด่นอยู่ที่ความยากลำบากในการถอดรหัส อ้างอิงจากข้อมูลของเครื่องอินิกมาที่ยังพอเหลืออยู่ ทุกครั้งที่มีการพิมพ์ตัวอักษรด้วยเครื่องมือชิ้นนี้ ตัวอักษรที่พิมพ์จะถูกนำไปสลับเป็นตัวอักษรอีกตัวหนึ่ง ตามรูปแบบที่สามารถกำหนดได้อย่างละเอียดซับซ้อน   ตัวอักษรหนึ่งตัวจะสลับไปเป็นตัวอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับชุดตัวเลข (หรือบางครั้งก็เป็นตัวอักษร) 3 ชุดนี้   หลังจากสลับตัวอักษรด้วยระบบข้างต้นแล้ว หากผู้ใช้งานต้องการพวกเขาก็สามารถ สลับตัวอักษรซ้ำอีกครั้งได้ด้วยสายข้างล่างนี้   นั่นทำให้ตัวอักษรหนึ่งตัวที่พิมพ์ด้วยเครื่องนี้นั้น อาจถูกเข้ารหัสได้ถึง 17,576 แบบ และกลายเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้แก่ทีมถอดรหัสของฝั่งสัมพันธมิตรเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นความโชคดีของฝั่งสัมพันธมิตรมากที่ ทีมถอดรหัสซึ่งนำโดยคุณแอลัน ทัวริงของพวกเขาสามารถ ถอดรหัสของเครื่องอินิกมาได้ในท้ายที่สุด โดยอาศัยความผิดพลาดของทางนาซีที่มักสื่อสารกันด้วยคำว่า “Heil Hitler” และเครื่องอินิกมาที่ยึดได้จากฝั่งเยอรมัน     แต่แม้จะถอดรหัสได้แล้วก็ตาม การมีอยู่ของเครื่องอินิกมาเองก็นับเป็นความเสี่ยงของทั้งฝั่งนาซีและฝั่งสัมพันธมิตรอยู่ดี ดังนั้นตั้งแต่ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งฝั่งนาซีและฝั่งสัมพันธมิตรจึงเริ่มทำการทำลายอุปกรณ์ชิ้นนี้ทิ้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปัจจุบันเรามีเครื่องอินิกมาจากสมัยสงครามโลกเหลืออยู่เพียงแค่ราวๆ 250 ชิ้นเท่านั้น     ความหายากนี้เองทำให้เครื่องเครื่องอินิกมาที่หลงเหลืออยู่นั้นมีคุณค่ามากอย่างไม่น่าเชื่อในสายตานักสะสม จนถึงขั้นที่ว่าในปี 2017…

  • กรมอนามัยฮาวายประกาศเตือนประชาชน หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อปรสิตในพื้นที่ถึง 3 ราย

    กรมอนามัยฮาวายประกาศเตือนประชาชน หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อปรสิตในพื้นที่ถึง 3 ราย

    เกี่ยวกับเชื้อปรสิตนั้น เชื่อว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วคงเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวที่จะเห็นได้เพียงตามในภาพยนตร์ การ์ตูน เกม หรือฝันร้ายก็เท่านั้น ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าอาการปรสิตนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้วอาจจะอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด และเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคาดก็เป็นได้     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เองกรมอนามัยของฮาวาย ได้มีการออกมาประกาศว่าในช่วงเวลาเมื่อไม่ถึงกี่เดือนที่มานี้ พวกเขาได้รับการรายงานคนไข้ที่มีอาการติดเชื้อปรสิตแบบนี้มาแล้วมากถึง 3 คดี จากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา คนไข้ทั้งสามคนนั้นมีอาการที่เกี่ยวข้องกับตัวอ่อนของพยาธิหอยโข่ง (Angiostrongylus cantonensis) พยาธิที่พบได้บ่อยๆ ในหนู หอยทาก หรือหอยน้ำจืด และเกิดขึ้นจากการทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัยทั้งสิ้น     โดยคนไข้คนแรกได้มีการรายงานว่าเขามีการทานหอยทากเข้าไปในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้วหลังจากที่ถูกเพื่อนๆ ท้า และมีอาการป่วย แต่ก็ไม่ได้เข้าโรงพยาบาล ส่วนคนไข้อีกสองคนที่เหลือนั้น ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าติดปรสิตมาจากไหน อย่างไรก็ตามทั้งคู่มีการรายงานว่าได้ทานผักหรือผลไม้ที่ไม่ได้ล้างก่อนที่จะมีอาการ ซึ่งอาจจะมีหอยทากตัวเล็กๆ ติดอยู่ก็เป็นได้     อ้างอิงจากทางกรมอนามัย คนไข้ทั้งสามคนนี้ทำให้ยอดผู้ป่วยเกี่ยวกับปรสิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 รายในปี 2018 และ 5 รายในปี 2019 แถมตัวเลขที่ว่านี้ยังเป็นการนับเพียงแค่กรณีที่คนไข้มีการรายงานอาการที่ตนเองเป็นต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ทั้งนี้หากผู้ป่วยโชคร้ายปรสิตเดินทางขึ้นไปยังสมอง…

  • นาซาเผยภาพจักรวาลเมื่อมองด้วยระบบเอกซเรย์ มุมมองใหม่จากกล้องจับภาพดาวนิวตรอน

    นาซาเผยภาพจักรวาลเมื่อมองด้วยระบบเอกซเรย์ มุมมองใหม่จากกล้องจับภาพดาวนิวตรอน

    ตั้งแต่ที่เทคโนโลยีทางอวกาศของมนุษย์เริ่มมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มนุษย์เราก็มีโอกาสที่จะได้เห็นภาพของท้องฟ้าในมุมมองที่ทั้งกว้างใหญ่ และแปลกใหม่ขึ้นเรื่อยๆ แถมการพัฒนาเหล่านั้นก็ดุเหมือนจะไม่หยุดลงในเร็วๆ นี้เลยด้วย และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางองค์กรชื่อดังอย่างนาซา ก็ได้ออกมาเปิดเผยมุมมองใหม่ๆ ของท้องฟ้าให้พวกเรามีโอกาสได้เห็นกันอีกครั้ง โดยในครั้งนี้พวกเราจะได้มองท้องฟ้ากันด้วยมุมมองแบบเดียวกับซูเปอร์แมนเลยนั่นเอง     เพราะนี่คือภาพถ่าย ท้องฟ้าชิ้นใหม่ล่าสุดที่ถูกเปิดเผยออกมาโดยองค์กรนาซา ซึ่งถูกถ่ายเอาไว้โดยกล้องส่องดูดาวตัวพิเศษที่มีชื่อว่า Neutron Star Interior Composition Explorer หรือ NICER กล้องที่จะจับภาพของดวงดาวนิวตรอนออกมาด้วยระบบจับแสง “เอกซเรย์” ความไวสูง โดยเจ้าภาพที่เหมือนกับดอกไม้ไฟยามราตรีจำนวนมากนี้ แท้จริงแล้วเป็นภาพรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูงที่ถูกปล่อยออกมาจากสถานที่สำคัญในจักรวาลหลายๆ จุดไม่ว่าจะเป็น พัลซาร์ (ดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง) หลุมดำ หรือร่องรอยของซูเปอร์โนวา     ภาพเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นภาพสำคัญที่นักดาราศาสตร์จะใช้ในการศึกษาเรื่องราวของอวกาศต่อไปในอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เรายังมีเรื่องราวที่ยังไม่ทราบอีกมากมายจริงๆ ทั้งนี้ทางนาซ่ายังได้มีการออกมาเปิดเผยอีกว่าภาพของกล้อง NICER จะมีความชัดเจนขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาการทำงานของมัน และภาพที่มีการเปิดเผยออกมานี้ก็เป็นเพียงแค่ผลการทำงาน 22 เดือนแรกของกล้อง NICER ก็เท่านั้นด้วย   กล้อง Neutron Star Interior Composition Explorer ที่ใช้จับภาพในครั้งนี้  …

  • 20 ภาพโรงแรมและรีสอร์ทของนิวยอร์กยุค 50-60 ไปดูกันว่าที่พักสมัยก่อน มันน่าไปขนาดไหน

    20 ภาพโรงแรมและรีสอร์ทของนิวยอร์กยุค 50-60 ไปดูกันว่าที่พักสมัยก่อน มันน่าไปขนาดไหน

    เมื่อคนเราจะไปเที่ยวที่ไกลๆ อย่างต่างประเทศกัน เชื่อว่าสิ่งแรกๆ ที่เราต้องคิดถึงก็คงไม่พ้น “โรงแรม” หรือไม่ก็ “รีสอร์ท” เป็นแน่ เพราะการที่จะได้ไปพักในโรงแรมดีๆ นั้นสำหรับหลายๆ คนแล้วคงเป็นหนึ่งความสุขสำคัญของการไปเที่ยวเลย และก็แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องการพักโรงแรมดีๆ เองก็ไม่ได้เพิ่งจะมามีเอาในปัจจุบันด้วย ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นภาพของโรงแรม และรีสอร์ทดีๆ ได้ตั้งแต่ในอดีต และแน่นอนว่าที่เหล่านั้นก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเองไม่แพ้ในปัจจุบันเลยด้วย และด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำภาพโรงแรมของนิวยอร์กในช่วงยุค 50-60 มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน มาดูกันดีกว่าว่าโรงแรมในสมัยก่อน มันจะน่าไปพักขนาดไหนกัน   เริ่มกันจากบรรยากาศการร้องเล่นเต้นในโรงแรม Utopia Lodge นิวยอร์ก   Valeria Resort Oscawana รีสอร์ทในเขตเวสต์เชสเตอร์ นิวยอร์ก   สระว่ายน้ำใน Valley View House ใกล้ๆ ทะเลสาบไบคัล นิวยอร์ก   เลานจ์ของรีสอร์ท Villa Leone   ห้องนอนของห้องพักริมทาง Beachleys Motel   สระว่ายน้ำของ…

  • นักโบราณคดี พบสุสานโบราณอายุ 5,600 ปี ที่ฝรั่งเศส หลังเด็กอนุบาลขุดดินเล่นที่โรงเรียน

    นักโบราณคดี พบสุสานโบราณอายุ 5,600 ปี ที่ฝรั่งเศส หลังเด็กอนุบาลขุดดินเล่นที่โรงเรียน

    ในอดีตเคยมีคำกล่าวที่ว่าการค้นพบที่ยิ่งใหญ่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้อยู่ ไม่แน่ว่าคำคำนี้เอง อาจจะเป็นคำที่ดีที่สุดที่จะทำมาใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เลยก็เป็นได้ นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ในวารสาร Journal of Archaeological Science: Reports ฉบับเดือนเมษายน 2019 เหล่านักโบราณคดีได้ออกมารายงานการข่าวค้นพบสุสานโบราณอายุร่วม 5,600 ปี ที่เกิดขึ้นจากเด็กๆ ในโรงเรียนอนุบาล ในประเทศฝรั่งเศส     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2006 เมื่อเหล่าเด็กประถมจากเมือง Saint-Laurent-Médoc เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ได้ทำการเล่นขุดดินในพื้นที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียนและพบกับกระดูกเก่าแก่ร่างหนึ่ง การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทางโรงเรียนติดต่อไปยังนักโบราณคดีทันที และทราบในภายหลังว่ากระดูกดังกล่าวที่แท้จริงแล้วมีอายุหลายพันปี แถมที่ตั้งของโรงเรียนของพวกเขาเองยังอยู่บนสุสานโบราณอีกด้วย อ้างอิงจากทีมนักโบราณคดีที่เข้าไปขุดค้นพื้นที่ในภายหลัง สุสานแห่งนี้แม้ว่าจะถูกฝังไว้ลึกเพียง 50 เซนติเมตรเท่านั้น แต่ก็มีศพถูกฝังอยู่อย่างต่ำๆ ถึง 30 ร่าง (20 ร่างของผู้ใหญ่ และอีก 10 ร่างเป็นของเด็ก) ซึ่งนับว่าเยอะมากถ้าเทียบกับความลึกของสุสานเอง     เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการตรวจสอบอายุทางคาร์บอนกัมมันต์ สุสานแห่งนี้ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยมีการเริ่มใช้งานเมื่อราวๆ ยุคหินใหม่ (ราวๆ 3,600 ปีก่อนคริสตกาล) ไปจนถึงยุคเหล็ก…

  • สหรัฐฯ ประกาศพบงูอนาคอนดาออกลูกโดยไม่มีตัวผู้ ชี้ลูกที่ออกมาเป็นโคลนของตัวแม่

    สหรัฐฯ ประกาศพบงูอนาคอนดาออกลูกโดยไม่มีตัวผู้ ชี้ลูกที่ออกมาเป็นโคลนของตัวแม่

    กลายเป็นเรื่องราวสุดแปลกที่เป็นที่จับตามองของชาวสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีข่าวงูอนาคอนดาของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนิวอิงแลนด์ได้ทำการตกลูกออกมาสามตัว ทั้งๆ ที่มันถูกเลี้ยงไว้ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีเพียงงูตัวเมีย และไม่เคยมีการผสมพันธุ์กับงูตัวผู้มาก่อนเลย   หนึ่งในลูกงูที่ตกลูกออกมา   อ้างอิงจากทางพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกเขาทราบว่างูอนาคอนดาเขียว (Eunectes murinus) วัย 8 ขวบชื่อ “อันนา” มีการตกลูกครั้งแรกตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และสร้างความประหลาดใจใช้กับเจ้าหน้าที่หลายๆ คนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามกว่าพวกเขาตัดสินใจที่จะรอดูให้แน่ใจก่อนว่าลูกงูทั้งสามแข็งแรงพอก่อนที่จะทำการประกาศการกำเนิดสุดแปลกนี้แก่สาธารณชน และก็เป็นในช่วงนี้เองที่พวกเขาต้องเสียลูกงูไปหนึ่งตัว   ลูกงู 2 ตัวที่รอดชีวิต   แต่แม้ว่าพวกเขาจะเสียลูกงูไปตัวหนึ่งก็ตาม พวกเขาก็ตัดสินใจใช้เวลาที่มีในการตรวจสอบ DNA ของลูกงูที่เหลือทั้งสองอย่างละเอียด ซึ่งยืนยันความจริง 2 ข้อคือ 1. ลูกงูเหล่านี้เป็นลูกของอันนาจริงๆ 2. อันนานั้นให้กำเนิดลูกงูโดยที่ไม่ได้ผสมพันธุ์เลย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์มหัศจรรย์เหนือธรรมชาติอย่างที่หลายๆ คนคิด แต่นี่เป็นการใช้กำเนิดทายาทด้วยกลไกทางธรรมชาติที่เรียกว่า “พาร์ธีโนเจนเนซิส” (ภาษากรีกแปลว่า การให้กำเนิดโดยยังบริสุทธิ์) ซึ่งเดิมที่แล้วเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ที่มักเกิดกับแมลงซึ่งทำให้ตัวเมียสามารถวางไข่โดยไม่มีตัวผู้     การสืบพันธุ์ในลักษณะนี้อาจจะนำมาซึ่งรุ่นลูกที่มีลักษณะเฉพาะที่หลากหลาย เช่นตัวลูกมีเพศเดียวกันทั้งหมดอย่างที่พบได้ในแมลง ซึ่งสำหรับในกรณีของอันนานั้นลูกงูทั้งสองของเธอ มีลักษณะยีนแบบเดียวกับแม่ทุกประการ หรือก็คืองูตัวนี้ให้กำเนิดร่างโคลนของตัวเองออกมานั่นเอง แต่แม้ว่าลูกงูทั้งสองตัวนี้จะมี DNA แบบเดียวกันแป๊ะเลยก็ตาม…

  • ฟอสซิลปลาอายุ 50 ล้านปีที่ญี่ปุ่นชี้ ปลามีการว่ายน้ำเป็นฝูงมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว

    ฟอสซิลปลาอายุ 50 ล้านปีที่ญี่ปุ่นชี้ ปลามีการว่ายน้ำเป็นฝูงมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว

    ที่ภายในของพิพิธภัณฑ์มิซุตะในประเทศญี่ปุ่น พวกเขายังมีฟอสซิลโบราณอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 48-53 ล้านปี และเป็นของปลาตัวน้อยๆ 259 ตัวที่กำลังว่ายน้ำกันอยู่เป็นฝูง ไม่ต่างอะไรกับปลาหลายๆ ชนิดในปัจจุบัน     ฟอสซิลที่ว่านี้ เดิมทีแล้วแม้จะมีความเก่าแก่สูงแต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงสำคัญอะไรมากนัก จนกระทั่งทีมนักวิทยาศาสตร์จากรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกาได้ไปเห็นเข้า และพบว่าฟอสซิลชิ้นนี้ จริงๆ แล้วมีความสำคัญต่อนักบรรพชีวินเป็นอย่างมากเลย นั่นเพราะฟอสซิลชิ้นนี้ แท้จริงแล้วเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยพบซึ่งแสดงให้เห็นการว่ายน้ำเป็นกลุ่มของปลาตัวเล็กๆ ในอดีตเลยนั่นเอง อ้างอิงจากการตรวจสอบปลาบนฟอสซิลภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ และทางพิพิธภัณฑ์ พวกเขาก็พบว่าฟอสซิลชิ้นนี้ แท้จริงแล้วน่าจะมีต้นกำเนิดจากที่ “Green River Formation” ชั้นธรณีในโคโลราโด และเป็นของปลาสายพันธุ์ Erismatopterus levatus     ปลาเหล่านี้นั้น เชื่อกันว่ากลายเป็นฟอสซิลหลังจากที่ทรายใต้น้ำพัดกลบพวกมันในอดีต ซึ่งอ้างอิงจากเหล่านักวิจัยแล้ว มีร่องรอยที่ชัดเจนมากว่าปลาเหล่านี้ว่ายน้ำเป็นกลุ่มมาตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะยืนยันว่าปลาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งจะมารวมกลุ่มกันโดยบังเอิญหลังจากกลายเป็นฟอสซิล เหล่านักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจใช้คอมพิวเตอร์จำลองความเป็นไปได้ อันหลากหลายที่อาจทำให้ปลาเหล่านี้ เข้ามาติดในฟอสซิลได้ตามตำแหน่งที่พวกเขาพบ โดยในการจำลองดังกล่าวนี้เอง นักวิจัยก็ได้พบว่าปลาเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ว่ายน้ำเป็นกลุ่มแบบที่พวกเขาคิดจริงๆ เท่านั้น แต่มันยังมีรูปแบบการว่ายน้ำที่มีแบบแผน และเป็นแบบเดียวกับที่พบได้ในปลาหลายๆ ชนิดในปัจจุบัน เพื่อข่มขู่นักล่าอื่นๆ ด้วย     การค้นพบในครั้งนี้อาจจะเป็นอะไรที่ฟังดูเล็กน้อย แต่มันก็ชี้ให้เห็นเรื่องที่สำคัญๆ อยู่หลายอย่าง เช่นการที่ปลาโบราณมีการว่ายน้ำแบบนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่าปลาเหล่านี้มีการวิวัฒนาการการเอาตัวรอดเป็นกลุ่มมาเป็นเวลานานแล้ว…

  • “Saybie” ทารกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หลังสู้ชีวิตมากว่า 5 เดือน

    “Saybie” ทารกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หลังสู้ชีวิตมากว่า 5 เดือน

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของหนูน้อยที่ชื่อ “Saybie” กันไหม เธอคือเด็กที่ได้ชื่อว่าตัวเล็กที่สดในโลก ที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการทำคลอด และออกจากโรงพยาบาลมาได้ ทั้งๆ ที่เธอนั้นมีน้ำหนักตัวแรกเกิดเพียงแค่ 245 กรัมเท่านั้น ซึ่งนับว่าตัวเบากว่าแอปเปิลลูกใหญ่ๆ เสียอีก     โดย Saybie เป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดมาในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 ในภาวะคลอดก่อนกำหนด ด้วยอายุครรภ์เพียง 5 เดือน หรือหากจะให้ชี้ชัดๆ ก็ 23 สัปดาห์กับอีก 3 วันเท่านั้น ด้วยความที่คลอดก่อนกำหนดนานมากนี้เอง Saybie จึงมีน้ำหนักตัวแรกเกิดที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ และแน่นอนว่าโอกาสรอดของเธอเองก็น้อยมากๆ จนแพทย์ถึงกับเคยบอกให้พ่อแม้ของเด็กทำใจ เพราะลูกของพวกเขาอาจมีชีวิตอยู่ได้แค่ 1 ชั่วโมง     แต่แทนที่จะยอมแพ้กับชะตากรรมของตัวเอง Saybie กลับต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้จากเวลาหนึ่งชั่วโมง มันยืดยาวเป็น 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เรื่อยไปจนเป็นวัน เป็นสัปดาห์ อ้างอิงจากทางโรงพยาบาล…

  • ทีมแพทย์จีนเผย พบไวรัสชนิดใหม่ทางเหนือของประเทศ เชื่ออาจมีเห็บเป็นพาหะ

    ทีมแพทย์จีนเผย พบไวรัสชนิดใหม่ทางเหนือของประเทศ เชื่ออาจมีเห็บเป็นพาหะ

    เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine ได้ออกมานำเสนอการค้นพบไวรัสตัวใหม่ที่กำลังระบาดในประชาชนชาวจีนในปัจจุบัน และมีพาหะเป็นเห็บ เจ้าไวรัสตัวใหม่นี้ ในปัจจุบันถูกเรียกกันด้วยชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่าไวรัส “Alongshan” และมีรายงานว่าผู้ติดไวรัสจะมีอาการตั้งแต่ ไข้สูง ปวดหัว เหนื่อยล้า คลื่นไส้ ผื่นขึ้นตัว และในบางกรณีก็อาจรุนแรงถึงขั้นโคม่าได้เลย     อ้างอิงจากรายงาน ไวรัสตัวนี้ถูกค้นพบในเดือน เมษายน ค.ศ. 2017 และมีคนไข้คนแรกเป็นชาวนาวัย 42 ปี ผู้อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยในเวลานั้นชายคนดังกล่าวเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลจากอาการปวดหัว และเป็นผื่น ไม่นานหลังจากที่เขาโดนเห็บกัด ลักษณะอาการเช่นนี้ทำให้ทีมแพทย์เชื่อว่าชายคนดังกล่าวเป็นโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บ (Tick-borne encephalitis) อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาตรวจคนไข้ดูจริงๆ แพทย์กลับไม่พบร่องรอยของโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บเลย แถมกลับกันทีมแพทย์ยังพบกับไวรัสตัวใหม่ที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนด้วย   ไวรัส Alongshan   เท่านั้นยังไม่พอเพราะหลังจากที่ทีมแพทย์พบไวรัสตัวใหม่นี้ พวกเขาก็พบอีกว่าจากคนไข้ 374 รายที่มารักษาตัวในโรงพยาบาลจากอาการใกล้เคียงกันในช่วงเวลา 5 เดือนต่อมา มีคนไข้ถึง…

  • ชม 20 การทำเส้นพาสต้าในช่วงศตวรรษที่ 20 เพราะพาสต้ามันไม่ได้งอกบนต้นไม้

    ชม 20 การทำเส้นพาสต้าในช่วงศตวรรษที่ 20 เพราะพาสต้ามันไม่ได้งอกบนต้นไม้

    เพื่อนๆ ชอบทาน “พาสต้า” กันไหม? นี่เป็นชื่อของอาหารประเภทหนึ่งของอิตาลี ซึ่งเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากช่วงศตวรรษที่ 12 และเป็นหนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมว่าเส้นเจ้าพาสต้าอร่อยเหล่านี้ ในอดีตเขามีวิธีทำแบบไหนกันแน่ เพราะเชื่อหรือไม่ว่าในบรรดาคนสมัยก่อนเองก็มีคนหลายคนเหมือนกันที่ไม่ทราบว่าพาสต้าทำจากอะไร จนคิดไปเองว่า อาหารชนิดนี้นั่นงอกบนต้นไม้ได้เองเลย ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะไปชมภาพการทำเส้นพาสต้าในช่วงศตวรรษที่ 20 กัน จะได้มั่นใจว่าเจ้าเส้นเหล่านี้ มันไม่ได้งอกบนต้นไม้จริงๆ นะ   เริ่มกันจากเส้นพาสต้าที่ถูกแขวนในตลาด   เหล่าเด็กๆ กับการแบกเส้นพาสต้าไปตาก เมื่อปี 1900   เหล่าเด็กๆ กับการแบกเส้นพาสต้า อันนี้ปี 1929   การตรวจสอบเส้นพาสต้าของโรงผลิตในอิตาลี 1925   การตากเส้นพาสต้าในช่วงปี 1925   การตากมักกะโรนีก่อนนำไปตัดในปี 1928   สปาเกตตีที่ห้อยลงมาราวกับเป็นของประดับเพดานในโรงงานเมื่อปี 1932 .   อุปกรณ์บีบแป้งเป็นเส้นจากปี 1932   คนงานดัดเส้นสปาเกตตีด้วยไม้   การทำมักกะโรนีในรัสเซีย 1932   ไม้ไผ่ที่ใช้ในการผลิตสปาเกตตี…

  • “Martha Gellhorn” หญิงอเมริกันคนเดียวบนหาดโอมาฮา ในเหตุการณ์ “D-Day”

    “Martha Gellhorn” หญิงอเมริกันคนเดียวบนหาดโอมาฮา ในเหตุการณ์ “D-Day”

    ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ไม่นานหลังจากที่เหล่าทหารหนุ่มกว่า 150,000 ชีวิตเสี่ยงชีวิตวิ่งขึ้นหาดโอมาฮาในระหว่างปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดีร์ หรือที่เรารู้จักกันในฐานะเหตุการณ์ “D-Day” ที่มุมมุมหนึ่งของหาดอันใหญ่โตนี้ ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งออกถ่ายภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่คนหนึ่ง     นี่นับเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเหล่าทหารในเวลานั้น เพราะก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ไม่นาน ทางรัฐบาลได้มีการสั่งห้ามผู้หญิงสหรัฐฯ ทุกคน จากการเดินทางมายังแนวหน้าอย่างเด็ดขาดแท้ๆ หญิงสาวคนที่ว่านั้นมีนามว่า “Martha Ellis Gellhorn” นักข่าวสาวชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงในฐานะนักข่าวผู้กล้าหาญ ซึ่งออกจับภาพความโหดร้ายของสงครามเพื่อนำกลับมาให้ประชาชนได้ทราบนั่นเอง     อ้างอิงจากชีวประวัติของเธอ Gellhorn เริ่มทำงานเป็นนักข่าวครั้งแรกในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในฐานะผู้ตรวจสอบภาคสนามเพื่อการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินของรัฐบาลกลางซึ่งในเวลานั้นถูกตั้งขึ้นโดยประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ อย่างไรก็ตามผลงานที่ทำให้เธอเริ่มจะเป็นที่รู้จักนั้น มาจากตอนที่เธอดินทางไปยังสเปน เพื่อถ่ายภาพสงครามกลางเมืองในปี 1937 ต่างหาก โดยการทำงานอยู่ที่นั่นไม่เพียงแต่ทำให้หญิงสาวเห็นความสามารถในการเอาตัวรอดในสงครามของตัวเองเท่านั้น แต่มันยังทำให้เธอมีแนวคิดอันแรงกล้าที่จะนำภาพความโหดร้ายของสงคราม ไปเตือนใจคนที่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นมันด้วยตัวเอง   Gellhorn กับสามีที่พบกันในสเปนของเธอ   ด้วยเหตุผลนี้เอง ในตอนที่หญิงสาวรู้ข่าวการสั่งห้ามผู้หญิงจากการเข้าไปในพื้นที่สงครามแนวหน้า เธอจึงไม่พอใจอย่างมาก และตัดสินใจวางแผนอยู่การที่จะทำให้เธอกลายเป็นที่จดจำทันที กล่าวคือในคืนก่อนที่เรือจะออกเดินทางไปนอร์มังดี Gellhorn ก็ได้แอบขึ้นเรือพยาบาลไปด้วย…

  • ย้อนรอย “Liquidators” กลุ่มผู้คนที่เข้าไปเก็บกวาดเชอร์โนบิล หลังหายนะในปี 1986

    ย้อนรอย “Liquidators” กลุ่มผู้คนที่เข้าไปเก็บกวาดเชอร์โนบิล หลังหายนะในปี 1986

    เคยได้ยินเรื่องราวของกลุ่มคนที่เรียกกันว่า “Liquidators” ไหม พวกเขาคือกลุ่มคนราวๆ 600,000 ชีวิตที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในพื้นที่เชอร์โนบิล หลังจากที่เกิดเหตุภัยพิบัติในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986     อ้างอิงจากเอกสารในอดีต ในช่วงแรกที่เหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นทางการโซเวียตได้พยายามใช้หุ่นยนต์กู้ภัยเข้าไปทำงานในพื้นที่ แต่ก็ต้องพบกับปัญหากัมมันตรังสีทำให้หุ่นยนต์พังจนไม่สามารถทำงานได้ ดังนั้นทางโซเวียตจึงจำเป็นที่จะต้องส่งมนุษย์เข้าไปทำงานที่แสนอันตรายนี้ พวกเขานั้น ถูกเรียกกันด้วยภาษารัสเซียว่า “Likvidator” ซึ่งแปลว่า “(ที่จะ)กำจัด” ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าหมายถึงสารพิษในพื้นที่ หรือคนที่เข้าไป อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ในเวลาต่อมาก็ถูกรู้จักกันในชื่อว่า Liquidators อย่างในปัจจุบัน     โดย Liquidators นั้น เป็นตำแหน่งที่มีการทำงานค่อนข้างยาวนาน และประกอบไปด้วยผู้คนจากอาชีพที่หลากหลายทั้ง หน่วยกู้ภัย ทหาร หรือนักดับเพลิง และมีหน้าที่หลักๆ อยู่ที่การดับเพลิง และกำจัดสารพิษในพื้นที่ ด้วยลักษณะงานพื้นที่อันตรายแบบนี้เองทำให้ Liquidators ต้องพบกับสารกัมมันตรังสีที่รั่วออกมาจากโรงงานอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่รับหน้าที่ดังกล่าวเป็นกลุ่มแรกๆ หรือที่รู้จักกันในนาม “Chernobyl First Responders”     โดยเฉลี่ยแล้วเหล่า Liquidators ที่เข้าไปในเชอร์โนบิลตั้งแต่ปี 1987-1990 จะได้รับ…

  • เปิดตำนาน “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่าผู้ติดตามแห่งโอดิน ยอดนักรบของชาวนอร์ส

    เปิดตำนาน “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่าผู้ติดตามแห่งโอดิน ยอดนักรบของชาวนอร์ส

    เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินคำว่า “เบอร์เซิร์ก” กันมาบ้าง คำคำนี้มักจะใช้กับคนที่บ้าคลั่งจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ เพราะนักรบที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่าเบอร์เซิร์กเองก็เป็นยอดนักรบที่ได้ชื่อว่าต่อสู้ได้อย่างน่ากลัวราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่งจริงๆ     พวกเขาคือ “ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์” เหล่านักรบผู้วิ่งเข้าสู่สงครามด้วย ความบ้าคลั่งที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งถูกเล่าสืบทอดกันมาว่ามีความสามารถราวปีศาจ คำรามเหมือนสัตว์ร้าย และโจมตีใครก็ตามที่ขว้างทางด้วยพลังกายเหนือมนุษย์ ไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ มักจะถูกบรรยายในตำนานของกลุ่มชนเจอร์แมนิกและนอร์สยุคกลาง ว่าเป็นกลุ่มนักรบที่เคารพโอดิน ซึ่งทำหน้าที่คล้ายองครักษ์ และหน่วยรบเคลื่อนที่เร็ว (Shock Troops) ให้กับชนชั้นสูง หรือกษัตริย์เป็นหลัก   ภาพสลักของเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ติดตามโอดิน   คำว่าเบอร์เซิร์กในชื่อของพวกเขานั้นเชื่อกันว่ามาจากคำว่า “Bjorn” (หมี) และ “Serkr” (เสื้อคลุม) จากการที่นักรบเหล่านี้มักออกรบพร้อมเครื่องแต่งกายหรือชุดเกราะ ที่ประดับด้วยหนังหมีหรือหนังหมาป่าเพื่อข่มขวัญศัตรู ตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของเหล่าไวกิ้งเบอร์เซิร์กเกอร์ สามารถพบได้ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 9 ในบทกวีที่ชื่อ Hrafnsmál ซึ่งก็เป็นตั้งแต่ในบทกลอนชิ้นนี้แล้ว ที่นักรบเหล่านี้ถูกบรรยายว่าเป็นนักรบ “ผู้ลิ้มลองโลหิต” (Tasters of Blood) ที่ร่างอาบไปด้วยโลหิตของศัตรู     ด้วยความที่ตำนานของไวกิ้งเกิดขึ้นในยุคที่ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติยังคงแพร่หลาย ตำนานของพวกเขาจึงมักเกี่ยวข้องกับพลังเหนือมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายว่าไฟทำอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ ดาบฟันแทงไม่เข้า ไปจนถึงพวกเขาสามารถอาละวาดไปทั่วสนามรบได้แม้บาดเจ็บหนักก็ตาม…

  • นักวิจัยจำลองการเคลื่อนไหวใบหน้า “โมนาลิซา” ด้วย AI ผลออกมา “สมจริง” แบบสุดๆ

    นักวิจัยจำลองการเคลื่อนไหวใบหน้า “โมนาลิซา” ด้วย AI ผลออกมา “สมจริง” แบบสุดๆ

    เมื่อพูดถึงภาพวาดชื่อดังอย่าง “โมนาลิซา” ของจิตรกรชื่อดังอย่างเลโอนาร์โด ดา วินชีแล้ว ชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงภาพของหญิงสาวผู้มากับรอยยิ้มสุดลุกลับขึ้นมาก่อนเป็นสิ่งแรก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้หญิงคนนี้ลองแสดงสีหน้าอื่นๆ นอกจากหน้ายิ้มขึ้นมา นั่นเพราะเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เองกลุ่มนักวิจัยที่นำทีมโดยคุณ Egor Zakharov ก็ได้ทำการโพสต์วิดีโอตัวหนึ่งลงบนเว็บไซต์ยูทูบ โดยมีส่วนหนึ่งของวิดีโอเป็นภาพของโมนาลิซา ที่กำลังเคลื่อนไหวใบหน้าด้วยท่าทางและอารมณ์ต่างๆ กัน ซึ่งเราคงไม่มีวันได้เห็นจากภาพวาดต้นฉบับแน่ๆ     อ้างอิงจากข้อมูลของทีมวิจัย การเคลื่อนไหวที่เพื่อนๆ เห็นนี้เกิดขึ้นจากการประมวลผลข้อมูลของระบบโครงข่ายประสาทเทียมหรือ “Neural Network” ระบบ AI ซึ่งมีการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ในงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยได้ทำการ “ฝึกฝน” ระบบอัลกอริทึมของโครงข่ายประสาทเทียมให้เข้าใจการทำงานของการแสดงอารมณ์ต่างๆ บนใบหน้ามนุษย์ ก่อนที่ปรับใช้ความรู้เหล่านั้นกับรูปภาพ จนเกิดเป็นเหตุการณ์ที่ภาพต่างๆ เคลื่อนไหวและแสดงอารมณ์อย่างที่เห็น     โดยสำหรับภาพของโมนาลิซา ระบบได้ทำการเรียนรู้การเคลื่อนไหวของใบหน้ามนุษย์ 3 แบบที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก และนำมาสร้างการเคลื่อนไหวใบหน้าของโมนาลิซา ซึ่งผลที่ออกมานั้นเรียกได้ว่าดีอย่างไม่น่าเชื่อ และสีหน้าที่ออกมาทุกแบบนั้นก็ล้วนแต่ยังสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นโมนาลิซาจริงๆ ที่น่าสนใจคือนอกจากโมนาลิซาแล้ว ทีมวิจัยยังได้นำระบบดังกล่าวไปทดลองกับภาพอื่นๆ อีกหลายภาพ อย่างภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาริลิน มอนโร และซัลบาโด ดาลีอีกด้วย และแน่นอนว่าผลงานที่ออกมาก็ดูดีไม่ได้ด้อยไปกว่าโมนาลิซาเลย…

  • ชายชราวัย 84 ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หลังดื่ม “ชาชะเอมเทศ” ติดต่อกันสองอาทิตย์

    ชายชราวัย 84 ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หลังดื่ม “ชาชะเอมเทศ” ติดต่อกันสองอาทิตย์

    เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสารการแพทย์และยา Canadian Medical Association Journal ได้ทำการนำเสนอรายงานของชายชราวัย 84 ปีไม่ระบุนามคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินหลังจากดื่มชาชะเอมเทศในปริมาณที่มากเกินไป     โดยในห้องฉุกเฉิน ทีมแพทย์ได้ทำการพบว่าชายชราคนนี้มีค่าสูงสุดของแรงดันโลหิตพุ่งขึ้นไปสูงถึง 200 มิลลิปรอท (ความดันโลหิตปกติคือ 120/80 มิลลิปรอท) ซึ่งนับว่าสูงอย่างน่ากลัวมากและจัดเป็นภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤตที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ในทันที นับว่าโชคดีมากที่ชายคนนี้ถูกส่งตัวไปถึงแพทย์ได้ทันท่วงที ดังนั้นทีมแพทย์จึงสามารถช่วยเหลือเขาได้โดยการให้ยาต่างๆ ค่าความดันโลหิตของเขาค่อยๆ ลดลง ภายในเวลา 24 ชั่วโมงต่อมา     หลังจากที่อาการดีขึ้น คนไข้ก็ได้เล่าให้หมอฟังว่าเขานั้น ชอบดื่มชาชะเอมเทศเป็นอย่างมาก โดยก่อนที่จะมีอาการนั้น เขาดื่มชาชนิดนี้สองครั้งต่อวัน มาเป็นเวลาติดต่อกันราว 2 สัปดาห์แล้ว และก็เป็นในเวลานี้เองที่ทีมแพทย์ทราบที่มาของอาการความดันโลหิตสูงของเขา จริงอยู่ว่าชะเอมเทศสามารถใช้งานในฐานะของยาได้ อย่างไรก็ตามหากสมุนไพรชนิดนี้ถูกบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป (ดังเช่นในกรณีนี้) ของที่ควรจะเป็นยาก็อาจจะย้อนกลับมาทำลายสุขภาพได้เช่นกัน     นั่นเพราะในชะเอมเทศนั้นมีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycyrrhizin ซึ่งแม้จะให้รสหวาน แต่ก็สามารถทำให้ปริมาณโพแทสเซียมในร่างกายตกลง และทำมาซึ่งอาการข้างเคียงอย่าง ความดันโลหิตสูง…

  • ชม 13 ภาพการใช้ชีวิตของชาวรัสเซีย ในช่วงที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในโซเวียต

    ชม 13 ภาพการใช้ชีวิตของชาวรัสเซีย ในช่วงที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในโซเวียต

    ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่สหภาพโซเวียตจะล่มสลาย มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตในเวลานั้น ได้ให้อิสระกับประชาชนเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการอนุญาตให้อิทธิพลจากโลกตะวันตกแผ่ขยายเข้ามาได้อย่างอิสระ เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์รัสเซียเลยก็ไม่ผิดนัก ว่าแต่บรรยากาศการใช้ชีวิตของชาวรัสเซียในช่วงเวลานั้นมันจะเป็นเช่นไรกัน ในวันนี้เราจะไปชมพร้อมๆ กันที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพบรรยากาศหน้าร้านแมคโดนัลแห่งแรกของโซเวียตภายในวันที่เปิดทำการวันแรก เมื่อปี 1990   หนุ่มสาวกับการกับการใช้ชีวิตแบบหรูหราและพิสดาร อันเป็นภาพลักษณ์ที่ชาวตะวันตกถูกเหมารวมบ่อยๆ   ภาพโฆษณาของพิซซ่า และประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ผู้ซึ่งเวลานั้นลงเลือกตั้งสมัยที่สองในปี 1996   ชาวรัสเซียกับการทาน Astro Pizza หนึ่งในยี่ห้อพิซซ่าสหรัฐฯ รายแรกๆ ที่เข้ามาขายในรัสเซีย 1988   ภาพนายทหารรัสเซียที่เกษียณแล้ว ซึ่งมีป้ายโฆษณาเครื่องสำอางสหรัฐฯ เป็นฉากหลัง 1996   เหล่าชาวรัสเซียกับการดื่มเครื่องดื่มในบาร์สุดหรูซึ่งเป็นทั้งไนท์คลับและคาสิโนในตัว   หญิงสูงอายุกินแฮมเบอร์เกอร์ในวันเปิดทำการของแมคโดนัลแห่งแรกของมอสโก 1990   ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินใส่หมวกคาวบอย 1991   คุณมีฮาอิล กอร์บาชอฟผู้นำคนสุดท้ายของสหภาพโซเวียตกับการถ่ายภาพคู่กับป้ายแมคโดนัล 1991   ร้านขนมอเมริกันในมอสโก 1993   ชาวรัสเซียที่ซื้อขนมแท่งของอเมริกันในมอสโก 1991  …

  • ชม 5 ผลงานสุดแปลกที่ได้แรงบันดาลใจจาก “สโตนเฮนจ์” ที่ดูแล้วสงสัยว่า แบบนี้ก็ได้เหรอ?

    ชม 5 ผลงานสุดแปลกที่ได้แรงบันดาลใจจาก “สโตนเฮนจ์” ที่ดูแล้วสงสัยว่า แบบนี้ก็ได้เหรอ?

    เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า สโตนเฮนจ์ คือโบราณสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศอังกฤษ และเป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน จะมีคนพยายามสร้างผลงานเลียนแบบ หรือผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสโตนเฮนจ์อยู่มากมายเต็มไปหมด แต่ในบรรดาผลงานที่เลียนแบบสโตนเฮนจ์เอง เราก็ยังสามารถพบผลงานบางชิ้นที่โดดเด่นกว่าชิ้นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ด้วยความแปลกและเด่นเป็นเอกลักษณ์ของมัน เหมือนอย่างผลงานสโตนเฮนจ์แปลกๆ ทั้งห้าชิ้นต่อไปนี้   1. โฟมเฮนจ์ เริ่มกันจากอะไรที่ไม่แปลกมากอย่าง “โฟมเฮนจ์” ผลงานเลียนแบบสโตนเฮนจ์ที่ตั้งอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และมีจุดเด่นอยู่ที่การสร้างจากโฟมสมชื่อ โดยผลงานชิ้นนี้ถูกสร้างโดยคุณ Mark Cline ด้วยการปักเสาแต่ละอันลงในหลุมเรียงตามหลักดาราศาสตร์ของสโตนเฮนจ์ของจริง ก่อนที่จะเสริมความแกร่งด้วยเหล็ก และลงสีให้คล้ายกับหินมากที่สุด .   2. โบ๊ทเฮนจ์ นี่คือผลงานศิลปะซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยเรือเล็ก 6 ลำตั้งเด่นเป็นสง่า ซึ่งแม้ว่าดูยังไงก็เป็นแค่ผลงานเอาฮาก็ตาม แต่มันก็เป็นผลงานที่แปลกมากพอที่จะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเข้าไปชมจริงๆ ได้เลย .   3. คาร์เฮนจ์ นี่คือผลงานที่ตั้งอยู่ในรัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา และทำขึ้นจากรถวินเทจ 39 คัน ซึ่งถูกนำมาวางในรูปแบบคล้ายสโตนเฮนจ์ของจริง และพ่นสีเทาเลียนแบบหิน โดยที่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยคุณ Jim Reinders ในปี…

  • ชม 23 ภาพร้านค้าทางตะวันตกจากช่วงยุค 60 ไปดูกันว่าร้านในสมัยนั้น ต่างไปจากปัจจุบันหรือไม่

    ชม 23 ภาพร้านค้าทางตะวันตกจากช่วงยุค 60 ไปดูกันว่าร้านในสมัยนั้น ต่างไปจากปัจจุบันหรือไม่

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าร้านค้า เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลานาน และพวกเราก็สามารถเห็นร้านขายของต่างๆ ในแทบทุกยุคที่มีการใช้เงินตรา แน่นอนว่าในแต่ละยุคสมัยนั้นร้านค้าย่อมมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากที่ร้านขายของชำเคยโด่งดังในปัจจุบันเราก็อาจจะเห็นห้างสรรพสินค้าแทน แต่ไม่ว่าจะในยุคไหนสุดท้ายแล้วหน้าที่ของพวกเขาก็ยังคงเป็นการขายสินค้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และในวันนี้เอง เราก็จะไปชมภาพของเหล่าร้านค้าในช่วงยุค 60 ของทางตะวันตกกัน ไปดูกันดีกว่าว่าเมื่อราวๆ 50-60 ปีก่อนนั้นร้านค้าเขาต่างไปจากปัจจุบันมากขนาดไหนกัน   เริ่มกันจากพี่น้อง (หรือแม่ลูกก็ไม่รู้) ในระหว่างการเดินห้าง   บรรยากาศร้านขายของชำที่ดูคุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ .   มุมผลิตภัณฑ์กระป๋องที่ถ้าไม่บอกจะไม่รู้เลยว่าเป็นภาพเมื่อหลายสิบปีก่อน   อันนี้การเข็นรถเข็นที่ถ้าภาพไม่เป็นสีขาวดำก็คงไม่รู้เช่นกันว่าเป็นภาพเก่า   ดูเครื่องคิดเงินนั่นสิ   หนุ่มแว่นกับมุมขนม ที่มีมุมบุหรี่เป็นฉากหลัง   เหล่าผู้คนกับมุมผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป   การเดินช้อปปิ้งที่มีจักรยานแขวนไว้เหนือศีรษะ   บรรยากาศห้างสรรพสินค้าพร้อมบันไดเลื่อน   อันนี้มุมเครื่องสำอาง   อันนี้อาหารแปรรูปแบบแช่เย็น   มุมเสื้อผ้าแบบค่อนข้างมีราคา   เคาน์เตอร์คิดเงินแบบเก่าๆ (ทำไมป้าทำหน้าดุจัง)   เคาน์เตอร์คิดเงินอีกแบบ   อันนี้แบบที่หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคย   ร้านขายเพลงในสมัยที่ยังอินเทอร์เน็ตยังเป็นอะไรที่ห่างไกลจากชีวิตคน   ดูกล้องที่ตั้งโชว์เสียก่อน ยังใช้ฟิล์มทั้งนั้น…

  • ย้อนรอย “Voder” อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ “พูดได้” ชิ้นแรกของโลกจากสหรัฐฯ เมื่อปี 1939

    ย้อนรอย “Voder” อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ “พูดได้” ชิ้นแรกของโลกจากสหรัฐฯ เมื่อปี 1939

    การที่เครื่องใช้ไฟฟ้าสังเคราะห์เสียงของมนุษย์ออกมาได้นั้นในปัจจุบันอาจจะเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะในฐานะสิริของแอปเปิ้ล หรือโวคาลอยด์ของยามาฮ่า อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อปี 80 ปีก่อนแล้ว การที่มนุษย์สร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สังเคราะห์เสียงมนุษย์นับเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นตอนที่อุปกรณ์อย่าง “Voder” หรือ “Voice Operation Demonstrator” ถูกประกาศเปิดตัว เครื่องมือนี้จึงเป็นที่จับตาของผู้คนเป็นอย่างมาก     เจ้าเครื่องมือชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นมาจากการพัฒนาของนักวิทยาศาสตร์นาม Homer Dudley ในปี 1938 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการใน New York World’s Fair เมื่อปี 1939 เจ้า Voder มีการใช้งานคล้ายกับเปียโน โดยที่มือจะมีปุ่ม 10 ปุ่มที่ควบคุมเสียงที่ต่างกันในขณะที่แป้นที่เท้าจะควบคุมระดับของเสียง และบาร์ที่ข้อมือจะควบคุมลักษณะของเสียงอีกทีหนึ่ง     อ้างอิงจากหนึ่งในผู้ใช้งาน Voder คุณ Helen Harper เครื่องมือชิ้นนี้จะสร้างเสียงที่ต่างกันได้ราวๆ 20 แบบซึ่งแม้จะไม่ได้มากและชัดเจนเท่ากับเสียงสังเคราะห์ในปัจจุบันก็ตาม แต่เครื่องมือชิ้นนี้ก็สมบูรณ์พอที่จะออกเสียงเป็นประโยคที่ฟังรู้เรื่องได้ เช่นเดียวกับที่เราตั้งชื่อให้เสียงสังเคราะห์ต่างๆ ในปัจจุบัน เสียงของเครื่อง Voder ก็ถูกเรียกกันโดยคนสมัยนั้นว่า “Pedro” ซึ่งต่างไปจากเสียงสังเคราะห์ในปัจจุบันที่มักจะถูกแบ่งเป็นเวอร์ชันผู้หญิงหรือผู้ชายอย่างชัดเจน Pedro จะสามารถทำเสียงได้ทั้งแบบที่คล้ายกับผู้หญิงและคล้ายกับผู้ชาย…

  • ชม “Bone Records” แผ่นเสียงจากฟิล์มเอกซเรย์ ในโซเวียตยุคที่เพลงตะวันตกถูกแบน

    ชม “Bone Records” แผ่นเสียงจากฟิล์มเอกซเรย์ ในโซเวียตยุคที่เพลงตะวันตกถูกแบน

    สหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นนั้นเป็นสถานที่ที่อิสระของผู้คนถูกจำกัดในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะสื่อที่ถูกเซ็นเซอร์ คลื่นวิทยุและสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศที่ถูกรบกวนจนไม่สามารถดูได้ และแน่นอนว่าบทเพลงจากทางตะวันตกเองก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาฟังได้อย่างถูกกฎหมายเช่นกัน แต่ก็อย่างที่เราทราบกันว่าในทุกๆ ที่ที่มีการห้ามอะไร มันก็จะต้องมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งอยู่เสมอ ที่พยายามจะแหกกฎเกณฑ์ที่เข้มจนเกินไปเหล่านั้น     นั่นทำให้ในสมัยนั้น เราจะสามารถเห็นอะไรแปลกๆ อย่างแผ่นเสียงเพลงนอกกฎหมาย ที่ถูกทำขึ้นจากแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ ภายในสหภาพโซเวียตได้ไม่ยากเลย ที่เป็นเช่นนี้นั้น ไม่ใช่เพราะคนสมัยก่อนต้องการที่จะซ่อนแผ่นเพลงให้มีรูปร่างเหมือนกับแผ่นฟิล์มเอกซเรย์อย่างไรหลายคนคิด แต่เป็นเพราะดนตรีในสมัยก่อนนั้นจะถูกอัดลงบน “แผ่นเสียง” ซึ่งในสหภาพโซเวียตถือว่าเป็นอะไรที่หาได้ค่อนข้างยาก และไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาดโดยเฉพาะตลาดเพลงเถื่อน ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าวัยรุ่นในสหภาพจึงจำเป็นต้องหาอะไรบางอย่างมาทดแทนแผ่นเสียง และแน่นอนว่าวัตถุดิบที่พอจะใช้แทนกันได้ ก็ไม่พ้นแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ที่ถูกทิ้งจากโรงพยาบาลในพื้นที่นั่นเอง     วัตถุดิบเหล่านี้ทำให้เหล่าวัยรุ่นในสหภาพโซเวียตมีโอกาสได้ฟังเพลงที่ถูกแบนจากรัฐบาลอย่างเพลงแจ๊ส ร็อกแอนด์โรล และป๊อป และแผ่นเพลงอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้เองก็กลายเป็นที่รู้จักกันไปในฐานะ Bone Records (บันทึกบนกระดูก) Rib recordings (การบันทึกด้วยซี่โครง) Jazz on bones (แจ๊สบนกระดูก) หรือชื่ออื่นๆ แล้วแต่สถานที่ แผ่นเพลงทำเองเหล่านี้นั้น มักจะบันทึกเสียงไว้ได้เพียงแค่ด้านเดียว มีคุณภาพค่อนข้างต่ำจนในบางครั้งก็ฟังไม่รู้เรื่องไปเลย แถมยังฟังได้ไม่กี่ครั้งก็พัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีราคาที่ถูกมาก และที่สำคัญคือมันบรรจุบทเพลงต้องห้ามที่หลายๆ คนอยากมีโอกาสได้ฟังสักครั้งเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เองแผ่นเพลงบนกระดูกจึงกลายเป็นที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในสมัยนั้น และมีแผ่นเพลงที่หลงเหลือมาจนถึงในปัจจุบันอยู่มากมาย แม้ว่ามันจะขึ้นชื่อเรื่องพังง่ายก็ตาม  …

  • ชม “Punt Gun” ปืนยักษ์ติดเรือแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ล่านกได้ดีเกินไปจนถูกแบน

    ชม “Punt Gun” ปืนยักษ์ติดเรือแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ล่านกได้ดีเกินไปจนถูกแบน

    เชื่อว่าที่ผ่านๆ มา หลายคนอาจจะเคยมีโอกาสได้เห็นภาพของปืนแปลกๆ ที่ถูกแบกโดยคนสองคนกันมาบ้าง โดยเจ้าภาพที่ว่านั้นมักถูกเรียกกันว่าเป็นหนึ่งในอาวุธที่แปลกที่สุดในโลก และรู้จักกันในชื่อ “Punt Gun”     นี่คืออาวุธที่ถูกผลิตและใช้งานในทวีปอเมริกาเหนือในช่วงศตวรรษที่ 19-20 โดยออกแบบมาให้ใช้งานจากบนเรือพายขนาดเล็กที่เรียกกันว่า “Punt ” และเป็นที่มาของชื่อปืนอีกทีหนึ่ง Punt Gun ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่ประเทศมีความต้องการสินค้าจากนกเป็ดน้ำเพิ่มขึ้น ดังนั้นมันจึงถูกออกแบบมาให้สามารถสังหารสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มได้ด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว     ด้วยเหตุนี้เองปืนรูปแบบนี้จึงถูกสร้างขึ้นเองให้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ความยาวโดยเฉลี่ยมากกว่า 2 เมตรและกระบอกปืนกว้างไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว เพื่อที่จะทำให้มันสามารถยิงกระสุนออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหากอ้างอิงจาก “Irish Tom” ซึ่งเป็น Punt Gun ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว ปืนกระบอกนี้สามารถยิ่งกระสุนหนักเกือบครึ่งกิโล และสังหารนกเป็ดน้ำได้กว่า 50 ตัวในการยิงแต่ละครั้ง     จริงอยู่ว่า Punt Gun นั้นมีจุดเด่นอยู่ที่ขนาดก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันความใหญ่โตของตัวปืนก็นับเป็นจุดอ่อนสำคัญของการใช้งานปืนนี้เช่นกัน เพราะด้วยความที่ปืนใหญ่เกินไปก็ทำให้มันยิงได้ลำบากมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่ทำให้การเล็งปืนแทบจะเป็นไปไม่ได้ (เอาจริงแค่ชี้ไปให้ถูกทาง ยังไงก็ยิงโดน) หรือการที่ปืนมีแรงดีดมหาศาล และระยะยิงที่สั้นมากๆ ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อที่จะยิงปืนนี้ให้มีประสิทธิภาพ…

  • นักวิจัยพบ “น้ำทะเล 20,000 ปี” ที่มัลดีฟส์ คาดมาจากยุคน้ำแข็งและเค็มกว่าน้ำทะเลปัจจุบัน

    นักวิจัยพบ “น้ำทะเล 20,000 ปี” ที่มัลดีฟส์ คาดมาจากยุคน้ำแข็งและเค็มกว่าน้ำทะเลปัจจุบัน

    กลายเป็นเรื่องที่เหล่านักวิจัยหลายๆ คนให้ความสนใจเป็นอย่างมากไปแล้ว เมื่อวารสาร Geochimica et Cosmochimica Acta ฉบับเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ได้มีการตีพิมพ์การค้นพบ “น้ำทะเลอายุ 20,000 ปี” จากยุคน้ำแข็งในหมู่เกาะมัลดีฟส์ ในบริเวณเอเชียใต้ แน่นอนว่าเมื่อจู่ๆ มีคนมาบอกว่าตนเองค้นพบน้ำอายุ 20,000 ปี เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่เกาหัวสงสัยว่า รู้ได้อย่างไรว่าน้ำที่พบอายุเท่าไหร่ และน้ำที่พบนั้นแตกต่างจากน้ำธรรมดาที่เราเห็นกันทุกวันอย่างไร     สำหรับคำถามข้อแรกนั้นสามารถอธิบายได้ง่ายกว่าที่คิด นั่นคือน้ำดังกล่าวถูกพบอยู่ในสถานที่ปิด (ในหินปูนใต้ทะเล) ดังนั้นน้ำที่พบจึงไม่ได้ถูกผสมกับน้ำทะเลรอบๆ และสภาพไม่ได้เปลี่ยนไปจากในอดีตเลย โดยในการหาตัวอย่างน้ำเหล่านี้ ทีมนักวิจัยได้เจาะเอาตัวอย่างหินปูนออกมาด้วยสว่านแบบพิเศษ ก่อนจะทำการหั่นหินปูนที่พบออกเป็นส่วนๆ และนำหินปูนดังกล่าวไปเข้าเครื่องกดแบบไฮดรอลิคเพื่อ “คั้น” น้ำที่อยู่ภายในหินออกมา     ส่วนคำถามที่ว่าน้ำที่พบนั้นแตกต่างจากน้ำธรรมดาอย่างไร คงต้องบอกว่าแม้จะไม่น่าเชื่อก็ตาม แต่องค์ประกอบของน้ำทะเลที่พบนั้นมีความแตกต่างจากน้ำทะเลในปัจจุบันมากเลยทีเดียว กล่าวคือน้ำทะเลที่พบนี้มีความเค็มที่สูงมาก สูงยิ่งกว่าน้ำทะเลในปัจจุบันเสียอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทะเลในสมัยก่อนนั้นมีปริมาณเกลืออยู่มากกว่าในปัจจุบัน อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลาเมื่อ 20,000 ปีก่อน   หมู่เกาะมัลดีฟส์ พื้นที่ซึ่งนักวิจัยเข้าไปตรวจสอบและพบน้ำทะเลโบราณในครั้งนี้   อ้างอิงจากนักวิจัยที่น้ำทะเลโบราณที่พวกเขาพบ ชี้ให้เห็นว่าพวกมันมาจากช่วงเวลาที่ทะเลไม่เพียงแต่เค็มกว่าในปัจจุบัน…

  • ย้อนรอยเหตุ “เช็กพอยท์ชาร์ลี” เมื่อรถถังสหรัฐฯ และโซเวียต ประจันหน้ากันยาวนาน 16 ชม.

    ย้อนรอยเหตุ “เช็กพอยท์ชาร์ลี” เมื่อรถถังสหรัฐฯ และโซเวียต ประจันหน้ากันยาวนาน 16 ชม.

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันดีว่าในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตเรียกได้ว่าไม่ได้มีการรบกัน “โดยตรง” ซึ่งก็คงต้องบอกว่าดีแล้ว เพราะหากสองมหาอำนาจนี้รบกันตรงๆ ขึ้นมาจริงๆ โลกเราก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกอยู่ในสงครามนิวเคลียร์แบบเต็มรูปแบบ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในช่วงสงครามเย็นนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายครั้งเหลือเกินที่เป็นจุดเสี่ยงการเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม และหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญๆ ในเวลานั้นก็คงไม่พ้นการประจันหน้ากันที่เช็กพอยท์ชาร์ลีนั่นเอง     นี่เป็นเหตุการณ์ตึงเครียดที่กินเวลาราวๆ 16 ชั่วโมง ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1961 ราวๆ สองเดือนหลังจากที่มีการสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันตกและเยอรมนีตะวันออกที่โอบอยู่โดยรอบ โดยสาเหตุของการประจันหน้าในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่วันหนึ่งนักการเมืองอเมริกันต้องการข้ามไปยังฝั่งเบอร์ลินตะวันออกที่ถูกควบคุมโซเวียต ซึ่งสามารถทำได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่กลับโดนขอตรวจเอกสารและปฏิเสธการข้ามชายแดน ทำให้มีการโต้เถียงรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อแสดงพลังอำนาจสหรัฐอเมริกาในเวลานั้นจึงนำรถถัง 10 คันมาจอดที่ชายแดน ห่างจากเช็กพอยท์ชาร์ลีราวๆ 50 เมตร ก่อนที่เรื่องจะรู้ไปถึงหูของผู้นำโซเวียต “นีกีตา ครุชชอฟ” ผู้ซึ่งในเวลานั้นมีการสั่งให้ทางทหารนำรถถังจำนวนเท่ากันมาจอดประจันหน้าห่างจากเช็กพอยท์ 50 เมตร เป็นการตอบโต้     นี่นับว่าเป็นความขัดแย้งโดยตรงครั้งแรก (และเผลอๆ จะเป็นครั้งเดียวด้วย) ระหว่างโซเวียตและสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็นเลยก็ว่าได้ และภาพของรถถัง 20 คันประจันหน้ากันก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะหากมีการยิงกันเกิดขึ้นจริงๆ ความขัดแย้งครั้งนี้จะต้องไม่จบลงแค่ที่รถถังอย่างแน่นอน นับว่าโชคดีมากที่ “จอห์น…

  • ย้อนรอยภาพ “Tank Man” ชายที่ออกมายืนขวางขบวนรถถัง เพื่อต่อต้านความรุนแรงในจีน

    ย้อนรอยภาพ “Tank Man” ชายที่ออกมายืนขวางขบวนรถถัง เพื่อต่อต้านความรุนแรงในจีน

    เพื่อนๆ เคยเห็นภาพของชายคนหนึ่งยืนขวางทางขบวนรถถังกันไหม นั่นเป็นภาพที่มีชื่อว่า “Tank Man” ซึ่งถูกถ่ายไว้โดยคุณ Jeff Widener ช่างภาพสัญชาติอเมริกันภายในกรุงปักกิ่งประเทศจีน     ภาพของคุณ Jeff Widener ถูกถ่ายไว้ในวันที่ 5 มิถุนายน 1989 ซึ่งเป็นเวลาราวๆ หนึ่งวันหลังจากเหตุชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน อันเป็นเหตุการณ์นองเลือดของเหล่านักศึกษาชาวจีนที่มาร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งว่ากันว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นพันๆ คน โดยภาพที่เห็นนี้ เป็นภาพของชายนิรนามคนหนึ่ง ที่ออกมาเรียกร้องให้หยุดความรุนแรงที่รัฐบาลใช้ในการปราบปรามผู้ประท้วง ด้วยการไปยืนขวางรถถังอย่างโดดเดี่ยวและกล้าหาญเพื่อไม่ให้รถถังเดินทางไปสถานที่ประท้วงได้   วิดีโอเหตุการณ์ในวันนั้นจาก CNN    คุณ Jeff Widener ผู้ถ่ายภาพบรรยายสิ่งที่เขาเห็นว่า ในตอนแรกรถถังพยายามเลี้ยวอ้อมชายคนดังกล่าวไป แต่ชายคนนี้ก็ยังคงกลับมาขวางรถถังอีกครั้งอยู่ดี จนคุณ Jeff กลัวว่าพลรถถังจะตัดสินใจสังหารชายคนนี้เสีย แต่ผิดไปจากที่เขาคิด รถถังกลับจอดเฉยๆ รอให้ชายคนดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่นำตัวออกไป โดยที่ไม่ทำอะไรเขาเลย ภาพที่ออกมานี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของคนที่ออกมาต่อต้านความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ชายในภาพจะกลายเป็นวีรบุรุษของโลกไป ในฐานะสัญลักษณ์ของการต่อต้านระบอบการปกครองที่ไม่เป็นธรรม   ภาพการประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมิน 4 พฤษภาคม 1989   อ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ แท้จริงแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้…

  • “บาร์โธโลมิว โรเบิร์ต” โจรสลัดชาวเวลส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ผู้ออกปล้นเรือกว่า 400 ลำ

    “บาร์โธโลมิว โรเบิร์ต” โจรสลัดชาวเวลส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด ผู้ออกปล้นเรือกว่า 400 ลำ

    เมื่อพูดถึงโจรสลัดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะมีชื่อที่อยู่ในหัวต่างๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นแจ็ก สแปร์โรว์ มังกี้ ดี ลูฟี่ หรือใกล้เคียงหน่อยก็อาจจะเป็น เอ็ดเวิร์ด ทีชหรือ “แบล็คเบียร์ด” ว่าแต่เพื่อนๆ เคยได้ยินชื่อของโจรสลัดชาวเวลส์อย่าง “บาร์โธโลมิว โรเบิร์ต” หรือ “แบล็ค บาร์ต” กันไหม เพราะหากจะพูดกันในทางประวัติศาสตร์แล้ว ชายคนนี้ต่างหากที่ได้ชื่อว่าเป็นโจรสลัดที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุดในช่วงยุคทองของโจรสลัด (ศตวรรษที่ 17-18)     บาร์โธโลมิว โรเบิร์ต เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ปี 1682 ในประเทศเวลส์ โดยในเวลานั้นเขามีชื่อจริงๆ ว่า “จอห์น โรเบิร์ต” ชายคนนี้แรกเริ่มเดิมทีแล้วทำงานอยู่บนเรือทาสของอังกฤษ เพื่อหาเลี้ยงชีพในฐานะของผู้ช่วยต้นหน อย่างไรก็ตามไม่นานนักเรือของเขาก็ถูกปล้นโดยโจรสลัด ทำให้ชายหนุ่มจำเป็นต้องทำงานเป็นหนึ่งในลูกเรือโจรสลัดไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ น่าแปลกที่ความสามารถในการเป็นโจรสลัดของโรเบิร์ตนั้นนับว่าฉายแววมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์หลังจากที่มาเป็นโจรสลัด เขาก็ทำผลงานมากพอที่จะขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มโจรสลัดไปในปี 1719 หลังจากที่ผู้นำคนเก่าเสียชีวิต   ภาพความตายของกัปตันเดวิสผู้นำคนเก่าของกลุ่มโจรสลัดที่โรเบิร์ตอยู่   ตั้งแต่ในวันนั้นมาตำนานของบาร์โธโลมิว โรเบิร์ตก็เริ่มต้นขึ้น…

  • ชม “นิวแกรนจ์” สุสานโบราณขนาดยักษ์แห่งไอร์แลนด์ ที่เก่าแก่ยิ่งกว่าพีระมิดเสียอีก

    ชม “นิวแกรนจ์” สุสานโบราณขนาดยักษ์แห่งไอร์แลนด์ ที่เก่าแก่ยิ่งกว่าพีระมิดเสียอีก

    เมื่อพูดถึงโบราณสถานเกี่ยวกับที่ฝังศพที่มีความเก่าแก่มากๆ เชื่อว่าเหล่าคนคงจะนึกถึงสถานที่อย่างพีระมิดขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรก แต่ก็อย่างที่เราทราบกันว่ามนุษย์เรานั้นมีอารยธรรมที่เก่าแก่อยู่มากกว่าแค่ที่อียิปต์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บนโลกจะมีโบราณสถานเกี่ยวกับที่ฝังศพที่มีความเก่าแก่กว่าพีระมิดอยู่เช่นกัน     โดยหนึ่งในโบราณสถานเหล่านั้น สถานที่ที่มีความสำคัญและน่าสนใจมากๆ ก็คงจะไม่พ้น โบราณสถานแห่งไอร์แลนด์อย่างสุสาน “นิวแกรนจ์” (Newgrange) แห่งเมืองดับลินแน่ๆ นั่นเพราะที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เก่าแก่กว่าพีระมิดแห่งกีซาเท่านั้น แต่มันยังมีความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาจากที่อื่นไม่ได้เลยด้วย นิวแกรนจ์ เป็นโบราณสถานที่ถูกค้นพบในปี 1699 และเชื่อกันว่าสร้างขึ้นเมื่อ 3,200 ปีก่อนคริสตกาล โดยมันเป็นสถานที่ฝังศพขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายแพนเค้กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 80 เมตร และมีจุดเด่นอยู่ที่แสงจากภายนอกจะสามารถส่องเข้ามาถึงภายในได้แม้ตัวสุสานจะดูทึบก็ตาม     เช่นเดียวกับโบราณสถานที่มีความเก่าแก่สูงหลายแห่งในอดีต เรื่องราวส่วนใหญ่ของนิวแกรนจ์ไม่ว่าจะเป็นคนที่สร้าง หรือทำไม่พวกเขาต้องสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมานั้นล้วนแต่ยังคงเป็นเรื่องที่นักโบราณคดียังไม่สามารถไขได้อย่างแน่ชัด อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้สูงที่สถานที่แห่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ (อย่างอิงจากรูปแกะสลักภายใน) และนอกจากใช้เป็นสุสานแล้วที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่มีคนเดินทางมาใช้งานมากมายในอดีต     และนอกจากโครงสร้างสุสานที่แสงจากภายนอกส่องเข้ามาได้แล้ว โบราณสถานนิวแกรนจ์ยังมีจุดเด่นอยู่ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกใช้ในการตกแต่งสุสานอีกด้วย เพราะก้อนหินเหล่านี้มีการสลักลวดลายงดงามไว้ ซึ่งนักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อกันว่าลวดลายเหล่านี้ อาจจะมีอิทธิพลต่อศิลปะแบบเซลติกต่อไปเลยด้วย     สำหรับในปัจจุบัน นิวแกรนจ์ ไม่เพียงแต่จะเป็นโบราณสถานที่มีความเก่าแก่และสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของไอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชมความงดงามของที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าตั้งแต่ในปี 1993 เป็นต้นมา นิวแกรนจ์ก็ถูกประกาศให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก จากความสำคัญทางวัฒนธรรมอันโดดเด่นของที่สุสานแห่งนี้อีกด้วย     ที่มา allthatsinteresting,…

  • นักวิจัยพบ “เชื้อราดูดซึมทอง” ที่ออสเตรเลีย เชื่ออาจนำไปใช้หาทองคำใต้ดินได้ในอนาคต

    นักวิจัยพบ “เชื้อราดูดซึมทอง” ที่ออสเตรเลีย เชื่ออาจนำไปใช้หาทองคำใต้ดินได้ในอนาคต

    การที่เชื้อราดึงแร่ธาตุในดินมาใช้นั้น สำหรับหลายๆ คน มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างอะไรกับการที่มนุษย์ทานอาหาร ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากแร่ธาตุที่เจ้าดึงออกมาจากดิน มันเป็นแร่ธาตุที่มีมูลค่ามหาศาลอย่าง “ทองคำ”     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยของประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการค้นพบเชื้อราสุดแปลกที่จะทำการดูดซึมแร่ทองจากพื้นที่รอบๆ และทำให้รูปร่างของมันมีลายสีทองอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าเชื้อราดูดทองที่ว่านี้เป็นเชื้อราในวงศ์ตระกูล “Fusarium oxysporum” ซึ่งพบเห็นได้ค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านๆ มาเรากลับไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเชื้อราเหล่านี้มีการดูดซึมแร่ทองมาใช้งานด้วย ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมเชื้อราเหล่านี้จึงต้องมีการดูดซึมแร่ทอง อย่างไรก็ตามจากการที่เชื้อราที่ดูดซึมแร่ทองมาเก็บไว้จะมีการเจริญเติบโต และการแพร่พันธุ์ที่เร็วกว่าเชื้อราที่ไม่ได้ดูดซับแร่ทอง เหล่านักวิจัยก็คาดกันว่าทองอาจจะมีส่วนช่วยในการเติบโตของราเองก็เป็นได้   ภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ของ Fusarium oxysporum ที่มีการดูดซึมแร่ทอง   อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ เชื้อราดังกล่าวจะรวบรวมทองคำในดิน ผ่านการทำปฏิกิริยาทางเคมีกับแร่ธาตุใต้ดิน โดยมันจะละลายสะเก็ดทองโดยใช้ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ก่อนที่จะผลิตสารเคมีอื่นๆ เพื่อทำให้ทองคำที่ละลายอยู่ แข็งตัวขึ้นอีกครั้งรอบๆ ใยของเชื้อรา ความสามารถนี้นับเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะตามปกติแล้วทองคำจะมีปฏิกิริยากับสายเคมีน้อยชนิดมากๆ ดังนั้นความสามารถในการ “ขนย้ายทอง” ของเชื้อราเหล่านี้ จึงนับเป็นอะไรที่แปลกจนคุณ Tsing Bohu หัวหน้าทีมวิจัยถึงกับออกมาบอกเองเลยว่า หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน  …

  • ชม 21 ภาพ “Lodz Ghetto” หนึ่งในสลัมสำหรับชาวยิวที่ใหญ่ที่สุด แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    ชม 21 ภาพ “Lodz Ghetto” หนึ่งในสลัมสำหรับชาวยิวที่ใหญ่ที่สุด แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง มีชาวยิวในโปแลนด์จำนวนมากที่ถูกส่งไปยังพื้นที่ “Ghetto” หรือ “สลัมสำหรับชาวยิว” ซึ่งมีอยู่สองแห่งสำคัญๆ ได้แก่ที่วอร์ซอและที่วูช ด้วยความที่สลัมในวอร์ซอนับเป็นสลัมที่ใหญ่กว่า ตามปกติแล้วภาพของชาวยิวในสลัมที่เราเห็นกันจึงมักจะมาจากที่นี่เป็นหลัก (ชมภาพของชาวยิวในสลัมที่วอร์ซอได้ที่ 25 ภาพชีวิตประจำวันใน “Ghetto” สลัมชาวยิวแห่งโปแลนด์ช่วงที่ถูกปกครองโดยนาซี) ด้วยเหตุนี้เอง ภายในวันนี้  #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม ภาพชีวิตประจำวันของคนในสลัมแห่งวูชกันดูบ้าง จะได้ทราบกันว่าชาวยิวในสลัมที่วูชเองก็มีชีวิตที่ลำบากไม่ต่างอะไรกับที่วอร์ซอเลย   เริ่มกันจาก “Scheisskommando” เหล่าคนงานทำความสะอาดสิ่งปฏิกูลในพื้นที่   กลุ่มเยาวชนในสลัม ซึ่งหนึ่งในนั้นมีตราของชาวยิวอยู่บนหลัง (คนซ้ายสุด)   ผู้คนกำลังรอคิวซื้ออาหารในสลัม   การข้ามพื้นที่สองส่วนของสลัมเมื่อปี 1941   เด็กๆ ที่กำลังเล่นกันบนถนนในสลัมเมื่อปี 1941   การแสดงละครเวทีของเด็กๆ ในสลัม   การรวมตัวกันบนถนนในสลัม   ชาวยิว “ชนชั้นพิเศษ” ในรถม้า   การจัดส่งส่งนมไปยังคลังสินค้าในสลัม   หนุ่มสาวชาวยิวในสลัมขณะเข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่าง   การประชุมของกลุ่มเยาวชนชาวยิว “Zionist…

  • ย้อนรอยภาพดัง จุดจบของอนุสาวรีย์ “โจเซฟ สตาลิน” ในฮังการี ที่ถูกทำลายจากการปฏิวัติ

    ย้อนรอยภาพดัง จุดจบของอนุสาวรีย์ “โจเซฟ สตาลิน” ในฮังการี ที่ถูกทำลายจากการปฏิวัติ

    เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยเห็นภาพจุดจบของอนุสาวรีย์ “โจเซฟ สตาลิน” ในประเทศฮังการีกันมาบ้าง มันเป็นภาพส่วนศีรษะของรูปปั้นสตาลินที่ถูกตัดออกมาจากจากรูปปั้นและทิ้งไว้กลางถนนซึ่งถูกถ่ายไว้เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1956 ในการปฏิวัติฮังการี     อนุสาวรีย์ดังกล่าวนี้เดิมทีแล้วถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับ โจเซฟ สตาลิน ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบมอบ 70 ปี และเสร็จสมบูรณ์พร้อมในเดือนธันวาคมปี 1951 ตั้งอยู่ที่ Városliget สวนสาธารณะของเมืองบูดาเปสต์ นี่เป็นอนุสาวรีย์ที่มีส่วนสูงถึง 25 เมตร (8 เมตรหากนับแต่รูปปั้น) ที่ทำจากบรอนซ์ และหินปูน ซึ่งถูกใช้ไม่เพียงในฐานะของสัญลักษณ์การยอมรับผู้นำของชาวฮังการี แต่ยังเป็นตัวแทนของอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีด้วย     ด้วยเหตุนี้เอง ในวันที่ 23 ตุลาคม 1956 อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ทางนักปฏิวัติฮังการีกว่าแสนคน เพื่อต่อต้านไม่เพียงแต่รัฐบาล แต่ยังรวมไปถึงนโยบายที่กำหนดโดยสหภาพโซเวียตด้วย ในวันนั้น อนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกเหล่านักปฏิวัติโค่นลงมาก่อนที่จะมีการใช้เครื่องมือเจาะทำลายชิ้นส่วนรูปปั้น จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ส่วนหัวของรูปปั้นเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้บนถนน ในสภาพที่ถูกขีดเขียนเละเทะ     ในปัจจุบัน อดีตที่ตั้งของอนุสาวรีย์สตาลิน ถูกสร้างทับไปด้วยอนุสาวรีย์การปฏิวัติปี 1956 ซึ่งสร้างเสร็จสิ้นในปี 2006 ในฐานะวันครบรอบ…

  • นักโบราณคดีพบ “โล่เปลือกไม้” เป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เชื่อมีอายุกว่า 2,300 ปี

    นักโบราณคดีพบ “โล่เปลือกไม้” เป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เชื่อมีอายุกว่า 2,300 ปี

    ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ทีมนักโบราณคดีของประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศการค้นพบโล่โบราณที่มีอายุกว่า 2,300 ปี  ในพื้นที่ Enderby ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเลสเตอร์ สหราชอาณาจักร     โล่ที่มีการพบในครั้งนี้เป็นโล่ที่ทำจาก “เปลือกไม้” และเป็นหลักฐานชิ้นแรกของอังกฤษที่บอกว่าคนในยุคเหล็กมีการใช้งานวัสดุที่ดูอ่อนแอในการทำเป็นโล่ อ้างอิงจากข้อมูลของนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ทีมนักโบราณคดีกล่าวว่าโล่ชิ้นนี้ถูกพบเป็นครั้งแรกในปี 2015 ในหลุมน้ำที่เชื่อกันว่าถูกใช้โดยคนจากยุคเหล็กและชุมชนโรมัน ซึ่งแม้ว่านักโบราณคดีจะไม่ทราบว่าทำไมโล่ชิ้นนี้จึงตกลงมาอยู่ในหลุมได้ แต่พวกเขาก็คาดกันว่าโล่ดังกล่าวน่าจะถูกโยนทิ้งหลังจากถูกใช้งานในพิธีกรรม หรือไม่ก็ในการต่อสู้มาก่อน     และเมื่อมีการนำโล่ชิ้นนี้ไปตรวจสอบหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี นักโบราณคดีก็พบว่าโล่ดังกล่าวน่าจะถูกทำขึ้นในช่วงเวลาตั้งแต่เมื่อ 395-255 ปีก่อนคริสตกาล และทำจากเปลือกไม้แอลเดอร์ วิลโลว์ พอปลาร์ ฮาเซล หรือไม่ก็ไม้สปินเดิล แต่แม้ว่าโล่ดังกล่าวจะทำจากเปลือกไม้ก็ตาม โล่เหล่านี้ตามปกติก็มีความสามารถมากพอที่จะป้องกันการแทงของดาบและลูกธนูได้เป็นอย่างดี อ้างอิงจากการทดลองเมื่อปีที่แล้ว ทำให้แม้ว่าโล่เหล่านี้อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าโล่ที่ทำจากเหล็ก หรือเนื้อไม้ก็ตาม แต่มันก็ได้เปรียบในด้านน้ำหนักของโล่ และสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน     อ้างอิงจากนักโบราณคดี โล่ที่พบนี้มีร่องรอยความเสียหายอยู่ค่อนข้างมาก และมีน่าจะเคยถูกใช้งานเป็นเวลาไม่น้อยว่า 10 ปีก่อนที่มันจะถูกนำมาทิ้งไว้ในหลุม ดังนั้นเหล่านักวิจัยจึงตั้งเป้าว่าจะหาที่มาของความเสียหายบนโล่ต่อไป และแน่นอนว่าโล่ที่มีจุดเด่นเรื่องการทำจากเปลือกไม้ที่หาได้ง่ายเช่นนี้ ย่อมน่าจะมีการใช้งานเป็นจำนวนมากในสมัยก่อน ดังนั้นแม้ว่าโล่แบบนี้จะผุพังตามกาลเวลาได้ง่าย แต่เราก็อาจจะยังสามารถเห็นโล่ในรูปแบบนี้ถูกค้นพบอีกครั้งในในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้  …

  • นักโบราณคดีเชื่อ พบซากเรือนำเข้าทาสลำสุดท้ายของสหรัฐฯ แล้ว หลังค้นหามาเกือบ 150 ปี

    นักโบราณคดีเชื่อ พบซากเรือนำเข้าทาสลำสุดท้ายของสหรัฐฯ แล้ว หลังค้นหามาเกือบ 150 ปี

    ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1860 ราวๆ 52 ปีหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้มีกฎหมายสั่งห้ามการนำคนมาขายในประเทศในฐานะทาส ยังมีเรือลำหนึ่งลักลอบนำคนกว่า 110 คน เข้ามาขายในประเทศอย่างผิดกฎหมาย และได้ชื่อว่าเป็นเรือลำสุดท้ายที่นำทาสแอฟริกามาขายในประเทศไป   ภาพจิตรกรรมฝาผนังของเรือทาสลำสุดท้าย   เรือลำดังกล่าวนี้มีชื่อว่า “Clotilda” มันหายไปจากประวัติศาสตร์เป็นเวลาราวๆ 150 ปี ก่อน ในที่สุด เหล่านักโบราณคดีทางทะเลแห่งสหรัฐอเมริกา จะทำการค้นพบซากเรือถูกเผาลำหนึ่งในรัฐอลาบามา และคาดกันว่าซากเรือที่พบนี้เป็นของเรือที่หายไปเป็นเวลานาน อ้างอิงจากคณะกรรมาธิการประวัติศาสตร์อลาบามา (AHC) ที่พวกเขากันว่าเรือที่พบเป็นของเรือ Clotilda นั้นมีเหตุผลมาจากสภาพของตัวเรือที่ไม่เพียงแต่มีขนาดใกล้เคียงกับเรือทาสที่หายไปเท่านั้น แต่มันยังทำจากไม้ที่มีที่มาคล้ายกับที่บันทึกไว้ในประวัติการสร้างเรือ Clotilda อีกด้วย   การตรวจสอบไม้จากซากเรือ เพื่อความเป็นไปได้ที่จะพบเลือดของกัปตันเรือ   เป็นไปได้ว่าการที่ซากเรือลำนี้มีร่องรอยการถูกเผานั้น น่าจะมาจากการที่เหล่าพ่อค้าทาสพยายามจะทำลายหลักฐานการนำเข้าทาสของตัวเองในอดีต แถมยังดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำสำเร็จในระดับหนึ่งด้วย เพราะทาสที่มากับเรือลำนี้มีรายงานว่าถูกพบตั้งถิ่นฐานอยู่ที่รัฐอลาบามาในภายหลัง น่าเสียดายที่เรือลำดังกล่าวนี้อยู่ในสภาพที่เสียหายจนไม่เหลือหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่จะมายืนยันว่ามันเคยมีชื่อว่า Clotilda จริงๆ อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันมีก็เป็นความเป็นไปได้ที่สูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่ดี   หลักฐานอื่นๆ จากซากเรือที่พบ   ทั้งนี้ในปี 2018 ทางรัฐอลาบามาก็เคยมีข่าวการค้นพบซากเรือที่คล้ายๆ เรือ Clotilda มาก่อนอีกลำหนึ่งเคยกัน…

  • นักวิทย์ทดลองทำ “เบียร์เก่าแก่” ด้วยยีสต์จากโบราณสถานอายุร่วม 5,000 ปี

    นักวิทย์ทดลองทำ “เบียร์เก่าแก่” ด้วยยีสต์จากโบราณสถานอายุร่วม 5,000 ปี

    สำหรับมนุษย์เราแล้ว จะบอกว่า “เบียร์” เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับเรามาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของอารยธรรมเลยก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ไม่ว่าจะเป็นในยุคไหน เราก็จะมีคนจำนวนหนึ่งที่พยายามตามหารสชาติของเบียร์โบราณที่คนสมัยก่อนเขาดื่มกัน โดยหนึ่งในกลุ่มคนที่กล่าวมานี้ ก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์ซึ่งนำทีมโดยคุณ Ronen Hazan จากมหาวิทยาลัยฮิบรู ซึ่งออกเดินทางไปตามโบราณสถานของชาวอียิปต์โบราณ ชาวฟิลิสเตีย และชาวจูเดียน เก่าแก่ที่สุดถึง 5,000 ปี เพื่อเก็บรวบรวมตัวอย่างเหยือกเซรามิก     เป้าหมายของพวกเขาคือการรวบรวมร่องรอยของ “ยีสต์” ที่เหลืออยู่ตามวัตถุโบราณเหล่านี้ เพื่อนำมาเพาะพันธุ์และ “คืนชีพ” ให้กับเบียร์โบราณอีกครั้งด้วยการหมักบ่มมันขึ้นมาจากยีสต์ตัวเดียวกับที่คนสมัยก่อนเคยใช้ และแล้วเมื่อวันพุธที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่าวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ก็ได้ออกมาประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขาจนได้ เมื่อการเพาะพันธุ์ยีสต์โบราณของพวกเขาเสร็จสิ้นลงได้ด้วยดี แถมพวกเขายังสามารถนำยีสต์เหล่านี้ไปทำเป็นเบียร์ซึ่งสามารถดื่มได้จริงๆ แล้วอีกด้วย     อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของเหล่าผู้ผลิตเบียร์จากเยรูซาเล็ม และเป็นเบียร์ที่มีการผสมส่วนผสมที่ทันสมัยอย่างฮ๊อปซึ่งไม่ได้มีการใช้งานในสมัยตะวันออกกลางโบราณไปด้วย แต่ถึงแม้จะมีการผสมส่วนผสมสมัยใหม่ไปด้วยก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงยืนยันว่ารสชาติส่วนมากของเบียร์ที่พวกเขาทำขึ้น ยังคงมาจากยีสต์เก่าแก่อย่างแน่นอน แถมที่สำคัญคือรสชาติที่ออกมานั้น ยังคงมีเอกลักษณ์แบบในอดีตอย่างไม่น่าเชื่อ     โดยคุณ Shmuel Naky หนึ่งในผู้ผลิตเบียร์จากศูนย์เบียร์เยรูซาเลม ที่ช่วยเหลือการทำเบียร์ในครั้งนี้บอกว่า เบียร์ที่ออกมานั้น “มีความเผ็ด และสัมผัสของผลไม้เล็กน้อย…

  • “The Sarco” เครื่องการุณยฆาตด้วยตัวเอง เปิดตัวที่อิตาลีแล้ว หลังมีข่าวมาตั้งแต่ปี 2017 

    “The Sarco” เครื่องการุณยฆาตด้วยตัวเอง เปิดตัวที่อิตาลีแล้ว หลังมีข่าวมาตั้งแต่ปี 2017 

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการ “การุณยฆาต” นั้นในปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันเรื่องความเหมาะสมอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามในปัจจุบันก็เริ่มที่จะมีบางประเทศแล้ว ที่เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้เลือกที่จะจบชีวิตตนเอง แทนที่จะทนอยู่กับโลกอันเลวร้าย และความสามารถในการทำการุณยฆาตนี้เองก็นำมาซึ่งเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับการส่งคนไปสู่ความตายโดยที่ไม่เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน โดยหนึ่งในเทคโนโลยีรูปแบบนี้ที่มีการพูดถึงมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นเครื่อง “The Sarco” ของคุณหมอชาวออสเตรเลีย Philip Nitschke     เมื่อล่าสุดนี้เอง เจ้าแคปซูลฆ่าตัวตายสุดล้ำสมัยอันนี้ ได้มีโอกาสถูกนำออกมาเปิดตัวอีกครั้งในสภาพเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานภายในงาน Venice Biennale ประจำปี ค.ศ. 2019 ที่อิตาลีแล้ว หลังจากที่มีข่าวการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2017 โดยเจ้าเครื่อง The Sarco นั้นเป็นแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อให้คนสามารถเข้าไป “นอนหลับตาย” อยู่ภายใน ด้วยการปล่อยไนโตรเจนเข้าไปในแคปซูลอย่างช้าๆ และทำการตัดออกซิเจน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานจบชีวิตลงอย่างสงบภายใน 5 นาที     อ้างอิงจากคุณหมอ Philip เจ้าเครื่องมือนี้นับว่ามีความปลอดภัยสูงและไม่สามารถนำไปใช้ฆาตกรรมได้อย่างที่หลายๆ คนกังวล เพราะคนที่อยู่ภายในจะต้องมีการทำแบบทดสอบเกี่ยวกับสุขภาพจิตก่อนที่เครื่องจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน อีกทั้งผู้ใช้งานเครื่องจะสามารถหยุดเครื่องเมื่อไหร่ก็ได้จากภายใน ตราบใดที่ยังไม่หมดสติ นอกจากนี้ตัวคุณหมอเอง ยังบอกอีกว่าเครื่องมือชิ้นนี้นั้นออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติในการทำซ้ำเป็นอย่างดี และจะมีการเปิดให้มีการดาวน์โหลดพิมพ์เขียวของเครื่องแบบฟรีๆ เพื่อให้เครื่องมือดังกว่าสามารถใช้งานได้ในทุกที่ที่มีคนต้องการ  …

  • ชาวสวีเดนไม่พอใจ หลังทราบข่าวรัฐเล็งแบนอักษรนอร์ส เนื่องจากถูกกลุ่มนีโอ-นาซีนำไปใช้

    ชาวสวีเดนไม่พอใจ หลังทราบข่าวรัฐเล็งแบนอักษรนอร์ส เนื่องจากถูกกลุ่มนีโอ-นาซีนำไปใช้

    กลายเป็นข่าวที่สร้างความงุนงงเป็นอย่างมากให้แก่ชาวสวีเดนไปเสียแล้ว เมื่อล่าสุดนี้เอง ทางรัฐบาลของประเทศสวีเดนได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขานั้นได้มีการเสนอแผนการที่จะแบนสัญลักษณ์โบราณของชาวนอร์สทั้งหมด เนื่องจากสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกนำไปใช้โดยกลุ่มนีโอ-นาซี   สัญลักษณ์ของนีโอ-นาซีที่คาดกันว่านำมาซึ่งปัญหาในครั้งนี้   อ้างอิงจากการรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ ในปัจจุบันคุณ Morgan Johansson รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ได้กำลังทำการตรวจสอบอยู่ว่าการห้ามสัญลักษณ์นอร์สเหล่านี้ จะสามารถใช้ในการยับยั้งกลุ่มนีโอ-นาซีได้จริงๆ หรือไม่ และคาดกันว่าจะได้ผลลัพธ์ภายในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งนี้หากคุณ Johansson ตัดสินใจว่าการสั่งห้ามสัญลักษณ์นอร์สจะมีผลที่ดีต่อการยับยั้งกลุ่มนีโอ-นาซีจริงๆ การสั่งแบนสัญลักษณ์ในครั้งนี้ อาจส่งผลรวมไปถึงสัญลักษณ์นอร์สทั้งในรูปแบบของภาพการเขียน และเครื่องประดับแบบนอร์สทั้งหมดได้เลย     แน่นอนว่าข้อเสนอที่ออกมานี้ สร้างความไม่พอใจให้กับชาวสวีเดนหลายกลุ่มมาก โดยเฉพาะเหล่านักโบราณคดี เนื่องจากสำหรับพวกเขาแล้วอักษรนอร์สโบราณนั้นมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก และไม่ควรถูกแบนเพียงเพราะคนกลุ่มเดียวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบัน ในระบบโซเชียลมีเดียของชาวสวีเดนจึงได้มีการพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันอย่างกว้างขวาง โดยที่ส่วนใหญ่จะออกไปทางการแสดงความไม่พอใจ และไม่อยากเชื่อว่ารัฐบาลจะคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คนตั้งคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาสักร่างกายด้วยอักษรนอร์ส ทางรัฐบาลจะมีการออกเงินชดใช้ในการลบรอยสักของพวกเขาหรือไม่     นอกจากนี้เองทางกลุ่มความเชื่อทางศาสนาอย่าง Nordic Asa-Community ก็ยังได้มีการออกมาล่ารายชื่อผู้ที่ไม่สนับสนุนการแบนสัญลักษณ์โบราณของรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกด้วย ซึ่งภายในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้เอง พวกเขาก็ได้รับรายชื่อผู้สนับสนุนไปแล้วกว่า 14,500 รายชื่อ ทั้งนี้แม้ว่าอักษรนอร์สโบราณจะถูกนำไปใช้โดยกลุ่มนีโอ-นาซี จริงๆ ก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่มีการใช้อักษรนอร์สโบราณแต่อย่างไร เพราะแม้แต่โลโก้ของ “บลูทูธ” ที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น…

  • ชม “ชีสมนุษย์” ซึ่งทำขึ้นจากแบคทีเรียบนร่างกายคนดัง ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้ หู จมูก หรือสะดือ

    ชม “ชีสมนุษย์” ซึ่งทำขึ้นจากแบคทีเรียบนร่างกายคนดัง ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้ หู จมูก หรือสะดือ

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าการทำชีสนั้นมีความเกี่ยวข้องกับแบคทีเรียมาอย่างยาวนานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามโดยมากเราจะไม่ค่อยสนใจ (และไม่อยากสนใจ) กันเท่าไหร่ว่าแบคทีเรียที่ใช้บ่มชีสนั้นมันมาจากไหน แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางพิพิธภัณฑ์ Victoria & Albert ของลอนดอน ได้ทำการทดลองทำ “ชีสมนุษย์” ขึ้นมาโดยใช้แบคทีเรียจากร่างกายของคนดังชาวอังกฤษ 5 คน คุณจะยังกล้าทานชีสเหล่านี้อยู่อีกไหม     โดยการทำชีสมนุษย์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ “Food: Bigger Than the Plate” และได้รับความร่วมมือจากเหล่าผู้มีชื่อเสียงซึ่งประกอบไปด้วย คุณ Alex James นักดนตรีและนักทำชีส คุณ Heston Blumenthal เชฟชื่อดัง คุณ Professor Green แร็ปเปอร์มากฝีมือ คุณ Ruby Tandoh นักเขียนเกี่ยวกับอาหาร และคุณ Suggs จากวง Madness     ซึ่งพวกเขาทั้งหมดจะถูกพาไปเก็บตัวอย่างแบคทีเรียจากซอกต่างๆ ของร่างกาย เช่น รักแร้ หู จมูก และสะดือ…

  • ผลตรวจ DNA พบ “คนโจมง” เมื่อ 3,800 ปีก่อน อาจแตกต่างจากคนญี่ปุ่นมากกว่าที่เราคิด

    ผลตรวจ DNA พบ “คนโจมง” เมื่อ 3,800 ปีก่อน อาจแตกต่างจากคนญี่ปุ่นมากกว่าที่เราคิด

    ย้อนกลับไปในปี 1998 ที่เกาะทางตอนเหนือของฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่นได้ทำการค้นพบกะโหลกของมนุษย์โบราณเพศหญิงร่างหนึ่งซึ่งได้รับชื่อว่า “หญิงโจมง” ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 3,800 ปีก่อน ตั้งแต่ที่มีการพบกะโหลกของเธอ เหล่านักวิจัยก็ทำการตรวจสอบเรื่องราวของเธออยู่หลายครั้ง จนทำให้เราทราบทั้งรูปร่างใบหน้าเบื้องต้นในสมัยที่เธอยังมีชีวิต ซึ่งนับว่าเธอเป็นหญิงผิวแทน ที่มีอายุพอสมควร มีกระ และเส้นผมหยิกเป็นฝอย     อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดที่เราทราบเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง จากการตรวจสอบ DNA เพิ่มเติมหญิงโจมง เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทราบเรื่องราวที่น่าสนใจของหญิงคนนี้เพิ่มขึ้นอีกมากมายหลายอย่างเลย โดยหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับหญิงคนนี้คือเธอมีลักษณะยีนที่คล้ายคลึงกับคนในแถบอาร์กติกมาก ซึ่งเจ้ายีนตัวนี้มีความสามารถช่วยให้คนย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้ดีขึ้น และพบในชาวอาร์กติกราวๆ 70% ในปัจจุบัน     คุณ Hideaki Kanzawa ผู้ดูแลฝ่ายมานุษยวิทยาในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาและวิทยาศาสตร์แห่งชาติที่โตเกียวบอกว่านี่เป็นหลักฐานที่ว่าชาวโจมงไม่ได้แค่ล่าสัตว์บกเป็นอาหารเท่านั้น แต่พวกเขายังมีการล่าและกินสัตว์ทะเลที่มีไขมันมากๆ อย่าง แมวน้ำบางชนิด สิงโตทะเล ปลาแซลมอน และปลาเทราท์ด้วย นอกจากนี้การศึกษายีนของเธอยังทำให้นักวิทยาศาสตร์พบอีกว่า หญิงคนนี้มีอัตราความเสี่ยงในการเป็นกระแดดมากกว่าคนธรรมดา มีรักแร้ที่มีกลิ่นแรง และที่สำคัญคือเธอความทนทานต่อแอลกอฮอล์สูงมาก ผิดไปจากค่าเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน     ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้เหล่านักวิจัยเชื่อว่าชาวโจมงน่าจะแยกตัวจากประชากรชาวเอเชียที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ เมื่อราวๆ 38,000 ถึง 18,000 ปีก่อนแล้ว โดยพวกเขานั้นมีลักษณะทางพันธุ์กรรมโดยรวมคล้ายกับกลุ่มคนพื้นเมืองที่เรียกกันว่าอุลชีของรัสเซียตะวันออก ชาวเกาหลี…

  • พบ “เดโมเด็กซ์” สิ่งมีชีวิตแปดขาตัวน้อย ที่หากินและผสมพันธุ์อยู่บนใบหน้าของคุณ

    พบ “เดโมเด็กซ์” สิ่งมีชีวิตแปดขาตัวน้อย ที่หากินและผสมพันธุ์อยู่บนใบหน้าของคุณ

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีว่าในเวลาที่คนเราหลับ ในบางครั้งก็จะมีเรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นแมลงบินเข้าปาก หรือแมลงสาบไต่ขึ้นมาเพื่อหาน้ำบนใบหน้า แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง ช่องยูทูบที่มีชื่อเสียงในทางวิทยาศาสตร์อย่าง “Deep Look” ก็ได้ออกมานำเสนอวิดีโออันใหม่ ซึ่งกลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในโลกอินเทอร์เน็ต และเพิ่มฝันร้ายในยามราตรีให้กับผู้ชมหลายๆ คน ไปในเวลาเดียวกัน     นั่นเพราะในวิดีโอที่ออกมานั้น เป็นการสำรวจสิ่งมีชีวิตแปดขาขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะอาศัยอยู่บนร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังแอบผสมพันธุ์ในยามราตรี และวางไข่ไว้บนหน้าของเราอีกด้วย เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวที่ว่านี้มีชื่อว่า “เดโมเด็กซ์” (Demodex) หรือที่เรียกกันว่า “เห็บมนุษย์” และ “ไรบนหน้า” (Face Mites) สิ่งมีชีวิตขนาดราวๆ 0.3 มิลลิเมตรในตระกูล “แมง” (Arachnid) ซึ่งมักพบได้บ่อยๆ ที่รอบดวงตาของมนุษย์     เดโมเด็กซ์สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย มีอาหารหลักเป็นไขมันบนร่างกายของมนุษย์ และคาดกันว่าติดต่อจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง เนื่องจากตอนที่มนุษย์เกิดมา เราจะไม่มีเจ้าเดโมเด็กซ์อยู่บนผิวหนัง เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ถูกพบครั้งแรกในขี้หูเมื่อปี 1842 โดยคุณ Frederick Henle และมีวงจรชีวิตที่สั้นมากๆ แค่ราวๆ 2-3 อาทิตย์ และจะวางไข่ครั้งละราวๆ…

  • นักชีววิทยาแปลกใจ หลังพบซากนกหากินบนบกในท้องฉลาม คาดอาจตกทะเลในช่วงอพยพ

    นักชีววิทยาแปลกใจ หลังพบซากนกหากินบนบกในท้องฉลาม คาดอาจตกทะเลในช่วงอพยพ

    สำหรับสัตว์กินเนื้อผู้ได้ชื่อว่านักล่าแห่งท้องทะเลอย่างฉลามแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ในท้องของพวกมันจะมีซากสัตว์ที่ถูกทานเป็นอาหารอยู่มากมายหลายชนิด แต่ถึงอย่างนั้นในบางครั้ง สิ่งที่อยู่ในท้องของฉลามก็ทำให้เหล่านักชีววิทยาต้องแปลกใจได้เช่นกัน     นั่นเพราะเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ทีมนักชีววิทยาทำการสำรวจประชากรฉลามเสือ (Galeocerdo cuvier) ในทะเลแถบรัฐมิสซิสซิปปีและอลาบามา พวกเขาก็ต้องพบกับซากนกแปลกๆ อยู่ในท้องของฉลาม เอาเข้าจริงๆ แล้วการที่ฉลามจะมีโอกาสกระโดดขึ้นมากินนกทะเลนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่ปัญหาคือนกที่ถูกพบในท้องฉลามครั้งนี้ กลับมีขนที่ไม่เหมือนนกทะเลแม้แต่น้อย     เมื่อเห็นดังนั้นเหล่านักชีววิทยาจึงได้ทำการส่งนกที่พบไปตรวจสอบ DNA อย่างละเอียดที่ห้องทดลอง และที่นั่นเองพวกเขาก็พบว่านกที่ถูกฉลามกินไปนั้น ไม่ใช่นกทะเลจริงๆ แต่เป็นนก “Brown Thrasher” (Toxostoma rufum) ซึ่งตามปกติจะหากินบนบกเป็นหลัก นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะเดิมทีแล้วแม้แต่นกทะเลอย่างนกนางนวลและนกกระทุงเอง เรายังพบมันในท้องฉลามไม่ค่อยบ่อยนัก แต่ในการสำรวจประชากรฉลามเสือครั้งนี้ นักชีววิทยากลับพบนกที่อาศัยอยู่บนบกในท้องฉลามถึง 41 ตัว จากทั้งหมด 105 ตัว     สำหรับคำถามที่ว่าทำไม ฉลามถึงสามารถกินนกซึ่งอาศัยอยู่บนบกได้มากขนาดนี้ ทีมนักชีววิทยาคาดการณ์ว่าน่าจะมาจากการที่นกเหล่านี้ถูกพายุพัดไปในระหว่างฤดูอพยพ ดังนั้นพวกมันบางส่วนจึงตกลงไปในทะเลและถูกกินโดยฉลามต่อไปนั่นเอง อนึ่ง การค้นพบในครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Ecology เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019…

  • นักวิจัย ทดลองสร้าง “เสียงใต้น้ำที่ดังที่สุด” พบเสียงดังกล่าวดังจนทำน้ำระเหยได้

    นักวิจัย ทดลองสร้าง “เสียงใต้น้ำที่ดังที่สุด” พบเสียงดังกล่าวดังจนทำน้ำระเหยได้

    สำหรับเพื่อนๆ แล้ว เสียงที่ดังที่สุดเท่าที่เราเคยได้ยินมาคือเสียงของอะไร? เสียงของเครื่องบินอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเสียงของปืนและระเบิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงของอะไร เชื่อว่ามันก็คงจะไม่ดังไปกว่าเสียงที่เหล่านักวิจัยจากห้องทดลองการเร่งอนุภาคแห่งชาติ SLAC สร้างขึ้นมาแน่ๆ เพราะนี่นับว่าเป็นเสียงใต้น้ำที่ดังที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น ซึ่งรุนแรงมากถึงขนาดที่สามารถทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอในทันทีได้เลย     นี่เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากการที่นักวิจัยยิงแสงเลเซอร์เอกซเรย์ ใส่น้ำซึ่งยิงออกมาจากเครื่องพ่นน้ำขนาดจิ๋วอีกทีหนึ่ง ในขณะที่จับภาพการทดลองไว้ด้วยกล้องความเร็วสูง การกระทำนี้จะทำให้น้ำที่ถูกยิงออกมาระเหยกลายเป็นไอในทันทีที่สัมผัสกับเลเซอร์ เนื่องจากเกิดคลื่นสั่นสะเทือนอันทรงพลังของเสียงขึ้น ซึ่งหากวัดกันด้วยหน่วยวัดระดับเสียงแล้ว เสียงที่เกิดขึ้นมีความดังถึง 270 เดซิเบล ดังกว่าเสียงของระเบิดนิวเคลียร์ในระยะ 5 เมตร (ซึ่งอยู่ที่ราวๆ 250 เดซิเบล) เสียอีก     นับว่าโชคดีมากที่เสียงซึ่งเกิดขึ้นในการทดลองนี้ เกิดขึ้นในห้องทดลองสุญญากาศ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินเสียงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เราสามารถ “มองเห็น” เสียงที่เกิดขึ้นได้ผ่านคลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในระดับนาโนวินาที ทีมนักวิจัยอธิบายว่า นี่นับเป็นตัวอย่างของเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้อย่างแท้จริง เพราะเสียงที่ดังกว่านี้จะทำให้น้ำไม่อยู่ในสภาพที่สามารถให้เป็นสื่อกลางได้อีกต่อไป     ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเราต้องมาศึกษาเรื่องเสียงดังๆ เหล่านี้ ทีมนักวิจัยก็ได้ให้เหตุผลไว้ว่า การเรียนรู้ข้อจำกัดของเสียงใต้น้ำนั้นเป็นอะไรที่สำคัญต่อการออกแบบการทดลองหลายอย่างในอนาคต อย่างเช่นในการทดลองโปรตีนคริสตัลบางอย่าง ซึ่งนักวิจัยจำเป็นต้องใช้แสงเลเซอร์ และเครื่องพ่นน้ำคล้ายกับในการวิจัยในครั้งนี้ ดังนั้นหากเราทราบความเข้มข้นสูงสุดของเลเซอร์ที่จะไม่ทำลายน้ำไปเสียก่อนได้ การทดลองเหล่านี้ก็จะสามารถดำเนินการได้ง่ายและถูกต้องแม่นยำขึ้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่นเอง   ที่มา…

  • ชม 17 ภาพสี ของชีวิตประจำวันชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    ชม 17 ภาพสี ของชีวิตประจำวันชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความที่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในช่วงเวลาที่มีการเหยียดสีผิวอย่างแพร่หลายทำให้ในกองทหารมีการรับคนผิวสีไปรบด้วยในปริมาณที่ต่ำเอามากๆ (0.8% สำหรับทหารบก และ 1.4% สำหรับทหารเรือ) ดังนั้นเราพูดถึงคนผิวสีในช่วงนี้ เรื่องราวของพวกเขาส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้นนอกไฟสงครามเป็นหลัก ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชีวิตของคนผิวสีในช่วงนั้นเอง ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าสบายอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้วจะมีสงครามหรือไม่ คนผิวสีก็ต้องอยู่อย่างแร้งแค้นเหมือนเดิม และนี่คือภาพถ่ายสีอันน่าทึ่ง ที่จะช่วยให้เราได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของ ชาวแอฟริกัน-อเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งแม้จะเป็นภาพเพียงเสี้ยวหนึ่งของเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นอะไรได้หลายอย่างอยู่ดี   เริ่มกันจากชาวแอฟริกัน-อเมริกันระหว่างตกปลาในไร่ฝ้ายที่พวกเขาถูกใช้แรงงาน รัฐมิสซิสซิปปี 1939   ครอบครัวผิวสีในเมือง Natchitoches รัฐลุยเซียนา 1940   ร้านขายปลาของคนผิวสีในรัฐลุยเซียนา 1940   บ้านเช่าที่มีปล่องไฟทำจากโคลนของ “มูแลตโต” กลุ่มคนที่มีเลือดผิวขาวกับนิโกร ในรัฐลุยเซียนา 1940   การพาคนงานผิวสีไปฟาร์มที่ รัฐมิสซิสซิปปี 1940   ผู้หญิงผิวสีรักชาติ ยืนข้างๆ อาคารที่ประดับธงรัฐจอร์เจียและสหรัฐอเมริกา รัฐจอร์เจีย ราวๆ ปี 1941   คนงานอพยพผิวสี ในกระท่อมที่ Belle Glade รัฐฟลอริดา…

  • ชม “แผ่นจารึกสาปแช่ง” แห่งโรมันโบราณ ที่มักใช้ล้างแค้นการลักเล็กขโมยน้อยในอดีต

    ชม “แผ่นจารึกสาปแช่ง” แห่งโรมันโบราณ ที่มักใช้ล้างแค้นการลักเล็กขโมยน้อยในอดีต

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะรู้กันว่าชาวโรมันนั้นเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่มีการใช้งานระบบนักดับเพลิง อย่างไรก็ตาม ระบบตำรวจของอาณาจักรแห่งนี้กลับไม่สามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์มากนักเมื่อเทียบกับระบบดับเพลิงในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีบ่อยครั้งที่ประชาชนในโรมันจะต้องหาทางจัดการกับปัญหาอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างการลักขโมยกันด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าด้วยความเชื่อในสมัยนั้น คงไม่มีทางไหนที่ดีไปกว่าการขอให้พระเจ้าลงโทษคนผิดด้วย “แผ่นจารึกสาปแช่ง” (Curse tablet) อีกต่อไปแล้ว     นี่คือแผ่นจารึกจากสมัยกรีก-โรมัน ถูกพบได้ในพื้นที่หลายแห่งในอาณาจักรโรมัน ไม่ว่าจะแบบที่ทำจากหิน ไม้ หนังสัตว์ กระดานตะกั่ว หรือแม้แต่กระดาษปาปิรุส โดยมีจุดร่วมอยู่ที่ผู้เขียนแผ่นจารึกนี้ขึ้น จะทำการสาปแช่งอาชญากรที่ทำผิดเอาไว้ โดยมักจะเป็นการสาปให้เทพทำให้อีกฝ่ายต้องพบโรคร้าย หรือความตายแล้วแต่ผู้เขียน ด้วยความที่แผ่นจารึกนี้มักจะเกี่ยวข้องกับความแค้นและเรื่องที่ไม่ดี โดยมากแล้วมันจึงนิยมทำขึ้นจากกระดานตะกั่วที่มีสีดำดูหนักอึ้งเป็นหลัก และมักถูกแขวนไว้ตามโรงอาบน้ำ สถานที่ซึ่งในสมัยนั้นมักมีขโมยชุกชุม เนื่องจากการจะใช้โรงอาบน้ำผู้มาเยือนจะต้องถอดชุดทิ้งไว้นอกห้องน้ำ   แผ่นจารึกสาปแช่ง ที่ถูกพบในลอนดอน   ด้วยความที่ในสมัยก่อนโรงอาบน้ำไม่ได้มีการรักษาความปลอดภัยดั่งในปัจจุบัน ของมีค่าที่ถูกเก็บไว้จึงมักถูกขโมยกันอยู่เป็นประจำ เพราะแม้ว่าบางคนจะมีการจ้างทาสให้เฝ้าของก็ตาม บ่อยครั้งทาสก็จะทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ (หลับ โดนขโมยบังคับ หรือแม้แต่รับสินบนจากขโมย) จนทำให้ของหายอยู่ดี อ้างอิงจากข้อความที่พบบ่อยๆ ในจารึกเทพที่มักจะถูกขอร้องให้ลงทัณฑ์คนผิดจะเป็นเทพ “ซูริส มิเนอร์วา” ที่เกิดจากการร่วมกันของเทพสององค์ และขึ้นชื่อว่าเป็นเทพแห่ง ภูมิปัญญา การรักษา การให้ชีวิต การตัดสินโทษ…

  • เด็กวัยรุ่นพบฟอสซิล “มาสโตดอน” โดยบังเอิญ ในขณะเดินในฟาร์มของเพื่อนที่ไอโอวา

    เด็กวัยรุ่นพบฟอสซิล “มาสโตดอน” โดยบังเอิญ ในขณะเดินในฟาร์มของเพื่อนที่ไอโอวา

    ในขณะที่วัยรุ่นไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งเดินหาตัวลูกศรโบราณในฟาร์มของเพื่อนที่รัฐไอโอวา เชื่อว่าเขาคงจะไม่คิดหรอกว่าแทนที่จะพบหัวลูกศรโบราณที่หาได้ทั่วๆ ไปในสหรัฐฯ เขาจะพบกับกระดูกของสัตว์โบราณแทน   กระดูกขากรรไกร ที่ถูกพบ   แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เสียแล้ว เพราะไม่นานหลังจากที่เด็กหนุ่มสำรวจพื้นที่ฟาร์มไปถึงห้วยเล็กๆ เขาก็ได้พบกับกระดูกขากรรไกรที่มีความยาวถึง 76 เซนติเมตรเข้า ดังนั้นเขาจึงแบกมันกลับบ้านในฟาร์ม และติดต่อผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบทันที อ้างอิงจากข้อมูลของนักบรรพชีวินวิทยาของมหาวิทยาลัยไอโอวา กระดูกที่เด็กหนุ่มพบนั้น มีอายุมากกว่า 34,000 ปี และเป็นของ “มาสโตดอน” บรรพบุรุษของช้างในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่ฟันและขากรรไกรอันน่าเกรงขาม   ลักษณะฟันของมาสโตดอนจากมหาวิทยาลัยไอโอวา (ไม่ใช่อันที่ค้นพบในครั้งนี้)   มาสโตดอนนั้นตั้งแต่ในอดีตแล้วมักจะถูกจำสับสนกับช้างแมมมอธ อย่างไรก็ตามมาสโตดอนจะมีขนาดเล็กกว่าแมมมอธเล็กน้อย ปรากฏตัวขึ้นในทวีปอเมริกาเมื่อราวๆ 27-30 ล้านปีก่อน และสูญพันธุ์ไปเมื่อราวๆ 10,000 ปีก่อน เมื่อลองคำนวณขนาดตัวของมาสโตดอนที่เด็กหนุ่มพบจากขนาดขากรรไกรแล้ว นักบรรพชีวินก็คาดว่าช้างโบราณตัวนี้ ในยามที่ยังมีชีวิตน่าจะสูงราวๆ 2.1 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสูงที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นมาสโตดอนที่ถูกพบจึงน่าจะยังอยู่ในช่วงที่ยังไม่โตเต็มวัยมากนัก   รูปร่างของมาสโตดอน ที่ถูกจำลองขึ้นจากข้อมูลที่เรามี   จริงอยู่ที่ว่ากระดูกของช้างชนิดนี้ไม่ได้ถือว่าหายากมากนัก แต่ทีมนักบรรพชีวินก็บอกว่ากระดูกที่พบนั้นอยู่ในสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยธรรมชาติ และแทบไม่โดนแสงแดดเลยตลอดหลายหลายพันปีที่ผ่านมา ทำให้กระดูกชิ้นนี้ถือว่าค่อนข้างพิเศษอยู่ โดยในปัจจุบันกระดูกของมาสโตดอนชิ้นนี้ ได้ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่คลังของมหาวิทยาลัยไอโอวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

  • พบขยะกว่า 414 ล้านชิ้น บนเกาะห่างไกลของออสเตรเลีย นักวิจัยเชื่อยังมีอีกมากอยู่ใต้ดิน

    พบขยะกว่า 414 ล้านชิ้น บนเกาะห่างไกลของออสเตรเลีย นักวิจัยเชื่อยังมีอีกมากอยู่ใต้ดิน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าปัญหาขยะพลาสติกบนโลกนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในปัญหาแก้ยากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เพราะนอกจากขยะเหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว มันยังสามารถพบได้ในทุกๆ ที่ไม่เว้นแม้แต่ใต้ทะเลด้วย ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าแม้ความน่ากลัวของขยะพลาสติกจะเป็นเรื่องที่เรารู้กันทั่วโลกแล้วก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่าพวกเรา ยังประมาณปัญหาเหล่านี้ต่ำไปอยู่ดี     นั่นเพราะเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ในงานวิจัยซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเปิดเผยว่า ที่หมู่เกาะ “โคโคส” ของประเทศออสเตรเลีย ในปัจจุบันมีขยะพลาสติกลอยไปติดอยู่ถึง 414 ล้านชิ้นทั้งๆ ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 500 คน ขยะพลาสติกที่อยู่บนเกาะโคโคสนั้น มีน้ำหนักรวมกันมากถึง 238 ตัน และมีขยะที่พบเห็นได้บ่อยๆ เป็นฝาขวดน้ำ หลอด รองเท้าแตะ และแปรงสีฟัน ซึ่งนักวิจัยบอกว่าแค่สองอย่างหลังก็มีจำนวนรวมกันกว่าล้านชิ้นแล้ว     แต่สิ่งที่สำคัญของการค้นพบในครั้งนี้ คือสถานที่ที่มีการพบขยะเหล่านี้ต่างหาก เพราะจากรายงานของเหล่านักวิจัย ขยะที่มีการพบนั้น 93% ถูกฝังอยู่ใต้ทรายบนเกาะ และตัวเลขที่เราเห็นนั้น ก็มาจากการขุดลงไปบนทรายแค่ 10 เซนติเมตรเท่านั้น แถมยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งที่ทีมค้นหาไม่สามารถเข้าไปได้อีก อ้างอิงจากในงานวิจัย ปริมาณขยะที่อยู่ใต้พื้นเพียงแค่…

  • พบป้อมปราการเก่าแก่สองแห่งสร้างทับกันในประเทศอียิปต์ คาดอาจมีอายุถึง 2,600 ปี

    พบป้อมปราการเก่าแก่สองแห่งสร้างทับกันในประเทศอียิปต์ คาดอาจมีอายุถึง 2,600 ปี

    ย้อนกลับไปในปี 2008 ทีมนักโบราณคดีของอียิปต์ได้ทำการค้นพบร่องรอยของป้อมปราการทางทหารที่แหล่งโบราณคดี Tell El-Kedwa ทางตอนเหนือของจังหวัดไซนาย ประเทศอียิปต์ อย่างไรก็ตามด้วยความที่ป้อมปราการแห่งนี้มีขนาดที่ใหญ่โตมาก การขุดค้นตัวป้อมจึงกินเวลายาวนานกว่าทศวรรษ และเพิ่งจะมีการออกมาประกาศผลการขุดค้นทั้งหมด เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา     ป้อมปราการที่พบถูกสร้างขึ้นโดยอิฐโคลนในสมัยราชวงศ์ที่ 26 ของอียิปต์ ซึ่งปกครองประเทศเมื่อราวๆ 2,600 ปีก่อน และเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่เป็นชนพื้นเมืองของอียิปต์จริงๆ ก่อนที่ชาวเปอร์เซียจะเข้ามายึดครองประเทศเมื่อช่วง 525 ปีก่อนคริสตกาล อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงโบราณวัตถุอียิปต์ ป้อมปราการทางทหารที่ถูกพบในปี 2008 นั้นเป็นค่ายทหารที่ถูกสร้างขึ้นมาทับตัวป้อมปราการโบราณในภายหลังอีกที ดังนั้นในตอนที่มีการค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ใหม่ๆ พวกเขาจึงไม่คิดว่าป้อมปราการที่พบจะมีอายุเก่าแก่ขนาดนี้     คุณ Moustafa Waziri เลขาธิการของสภาโบราณวัตถุแห่งอียิปต์บอกว่า หากนับแค่ป้อมปราการแห่งเดิม โบราณสถานแห่งนี้ก็นับว่าเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการพบมาในประเทศเลย ตัวป้อมปราการโบราณนั้น มีกำแพงกว้างถึง 7 เมตร และมีหอคอยอีก 4 แห่ง ในขณะที่ปราการใหม่ซึ่งคาดกันว่าสร้างขึ้นในช่วงเวลาราวๆ 1 ศตวรรษให้หลัง มีกำแพงกว้างถึง 11 เมตร และมีหอคอยมากถึง 16…

  • นักวิจัยชี้ “กัญชา” อาจมีที่มาจากที่ราบสูงทิเบตเมื่อ 28 ล้านปีก่อน อ้างอิงจากฟอสซิลเกสร

    นักวิจัยชี้ “กัญชา” อาจมีที่มาจากที่ราบสูงทิเบตเมื่อ 28 ล้านปีก่อน อ้างอิงจากฟอสซิลเกสร

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าในปัจจุบันพืชอย่างกัญชานั้น เริ่มที่จะกลายเป็นที่ยอมรับของหลายๆ ประเทศมากขึ้นเมื่อเทียบกับในสมัยก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปัจจุบันเราจะสามารถเห็นงานวิจัยใหม่ๆ ของกัญชาปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกัญชาอีกครั้ง ด้วยการบอกว่ากัญชาแบบในปัจจุบันนั้น อาจมีจุดกำเนิดมาจากที่ราบสูงทิเบตเมื่อราวๆ 28 ล้านปีที่แล้วก็เป็นได้     คงต้องอธิบายก่อนว่า ตั้งแต่ในอดีตนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนก็เคยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้อยู่แล้วว่ากัญชานั้น น่าจะมีต้นกำเนิดมาจากทางเอเชียกลาง อ้างอิงจากการตรวจสอบฟอสซิลเกสร อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆ มาเรายังไม่เคยมีหลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้เลยว่า ส่วนใดของเอเชียกลางกันแน่ที่กัญชากำเนิดขึ้นจริงๆ แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ก็ได้ออกมาบอกว่า การตรวจสอบฟอสซิลเกสรที่ผ่านๆ มานั้นนักวิทยาศาสตร์มักจะนำฟอสซิลเกสรกัญชา (Cannabis) ไปรวมกับฟอสซิลเกสรของฮอบส์ (Humulus) เนื่องจากทั้งสองเป็นพืชวงศ์กัญชาเหมือนกัน   ฮอบส์ (Humulus lupulus) หนึ่งในพืชวงศ์กัญชา (Cannabaceae)   การกระทำนี้มักจะทำให้การชี้ชัดที่มาของกัญชาทำได้ยากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเหล่านักวิจัยจึงได้ลองตรวจสอบข้อมูลงานวิจัย 155 ชิ้นใหม่อีกครั้ง โดยทำการแยกฟอสซิลเกสรกัญชาออกจากฟอสซิลเกสรของฮอบส์อย่างชัดเจนดู ในตอนนั้นเองที่พวกเขาพบว่าสายพันธุ์ของกัญชา ไม่เพียงแต่จะแยกออกมาจากฮอบส์เมื่อราวๆ 28 ล้านปีก่อนเท่านั้น แต่มันยังมีความคล้ายคลึงกับพืชอีกสกุลที่ชื่อว่า “Artemisia” มากถึงขั้นที่ว่าพืชสองชนิดนี้มักจะเติบโตในที่เดียวกันเสมอ  …

  • 21 ภาพชวนเหงาของปารีสยุค 1930 ช่วงเวลาเงียบๆ ของฝรั่งเศส ก่อนพายุสงครามจะมาถึง

    21 ภาพชวนเหงาของปารีสยุค 1930 ช่วงเวลาเงียบๆ ของฝรั่งเศส ก่อนพายุสงครามจะมาถึง

    ฝรั่งเศสในช่วงปี 1930 เป็นเวลาที่ค่อนข้างประหลาดสำหรับหลายๆ คน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของฝรั่งเศสไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับตอนจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใหม่ๆ อีกต่อไป และในประเทศเองก็เริ่มโดนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) เล่นงานเข้าอย่างจัง นี่เป็นช่วงเวลาที่ถูกเรียกโดยคนในพื้นที่ว่า “Les années folles” หรือ “ปีบ้าคลั่ง” ช่วงเวลาที่ปารีสดูเงียบเหงาลงจากที่เคยเป็นอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือความสามารถของช่างภาพกันแน่ แต่ช่วงเวลานี้ ก็มักจะถูกถ่ายทอดออกมาในภาพถ่ายได้อย่างมีเสน่ห์น่าค้นหาแบบสุดๆ ดังเช่นภาพทั้ง 21 ภาพ ที่เราจะไปชมกันในวันนี้   เริ่มกันจากภาพร้านกาแฟในปี 1930 ถ่ายไว้โดย Alexander Artway   ภาพบันไดไปสู่บาร์เล็กๆ ที่ย่าน Montmartre 1930 ภาพโดย André Kertész   นักดำน้ำคู่หนึ่งจากปี 1930 ภาพโดย George Hoyningen-Huene   ชายหนุ่มกับตุ๊กตาใน Les Halles 1930 ภาพโดย Alfred Eisenstaedt   วิหาร Notre Dame…

  • ย้อนรอย “ฮัชชาชียะห์” นักลอบสังหารจากศตวรรษที่ 11 ที่อาจเป็นต้นแบบคำว่า “แอสซาซิน”

    ย้อนรอย “ฮัชชาชียะห์” นักลอบสังหารจากศตวรรษที่ 11 ที่อาจเป็นต้นแบบคำว่า “แอสซาซิน”

    เชื่อว่าในช่วงนี้ คงมีหลายคนไม่น้อยที่ได้ยินชื่อของ “ฮัชชาชียะห์” หรือ “ฮัสชาชิน” (Hashshashins) มาจากสื่อต่างๆ อย่างภาพยนตร์หรือเกม ในฐานะของนักลอบสังหารรุ่นแรกๆ และหนึ่งในความเป็นไปได้ของที่มาของคำว่า “Assassin” ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าคนเหล่านี้ เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ฮัชชาชียะห์ คือเหล่านักฆ่าที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในแถบเปอร์เซียและซีเรียในศตวรรษที่ 11 ว่ากันกว่าถูกก่อตั้งขึ้นมาเป็นครั้งแรกในฐานะผู้ติดตามส่วนตัวของ “ฮัสซัน อิ ซับบาห์” ผู้นำของ “นิซาริส” นักรบของเหล่า “อิสมาอีลียะฮ์” กลุ่มความเชื่อกลุ่มหนึ่งจากนิกายชีอะฮ์อีกที     นี่เป็นกลุ่มนักรบที่ได้รับการฝึกฝนที่หลากหลายมากๆ และทำหน้าที่คล้ายหน่วยรบพิเศษให้กับอิสมาอีลียะฮ์ อย่างไรก็ตามแทนที่จะเข้ารบกับศัตรูแบบซึ่งๆ หน้าเพียงอย่างเดียวนักรบเหล่านี้กลับมีความชำนาญเป็นพิเศษในการลอบสังหาร สร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าศัตรูของ ฮัสซัน อิ ซับบาห์มาอย่างยาวนาน ว่ากันว่าฮัชชาชียะห์สามารถเดินทางไปได้ในแทบทุกที่โดยที่ไม่มีใครรู้ และสังหารได้แม้แต่ราชา ซึ่งผลงานที่ทำให้พวกเขาโด่งดังในประวัติศาสตร์ก็อย่างเช่นการสังหารขุนนาง “คอนราดแห่งมงแฟรา” ผู้หนึ่งในผู้นำทัพแห่งสงครามครูเสดครั้งที่สาม ด้วยการปลอมตัวเป็นพระคริสเตียน   ภาพการสังหาร Nizam al-Mulk นักวิชาการและราชมนตรีของเซลจุคตุรกี หนึ่งในผลงานสำคัญของฮัชชาชียะห์   นอกจากนี้เหล่าฮัชชาชียะห์ยังมีชื่อเสียงในด้านสงครามทางจิตวิทยาเป็นอย่างมากอีกด้วย อย่างซาลาดินสุลต่านยอดนักรบเอง ก็เคยตื่นมาพบว่ามีมีดอาบยาพิษพร้อมข้อความจากฮัชชาชียะห์ที่ว่าหากจะฆ่าเขาหากเขาไม่ถอนทัพด้วย ซึ่งสร้างความหวาดกลัวแก่ซาลาดินมากจนเขายอมสงบศึกกับฮัชชาชียะห์เลย น่าเสียดายที่เรื่องราวของฮัชชาชียะห์นั้น โดยมากแล้วจะเป็นการบอกเล่าจากมุมของเหยื่อหรือศัตรูของฮัสซัน อิ…

  • ชม 5 อาชญากรรมสุดแปลกซึ่งเกิดขึ้นจริงๆ แล้วบนโลก ที่จะทำให้คนสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร

    ชม 5 อาชญากรรมสุดแปลกซึ่งเกิดขึ้นจริงๆ แล้วบนโลก ที่จะทำให้คนสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าโลกของเรานั้นประกอบไปด้วยคนที่หลากหลาย เราไม่สามารถเหมารวมได้ว่าคนทุกคนบนโลกเป็นคนดี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในโลกใบนี้จะมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นในแทบจะทุกที่ แต่ก็อย่างที่บอกไปข้างบนว่าคนเรานั้นมีอยู่หลากหลาย ดังนั้นในบรรดาอาชญากรเอง บางครั้งก็มีคนที่ทำอะไรแปลกไปกว่าเพื่อนเช่นกัน แถมในบางครั้งยังแปลกมากๆ จนสงสัยเลยว่าทำไปทำไมด้วย เหมือนอย่างอาชญากรรมสุดแปลกต่อไปนี้   เริ่มกันจากการขโมย “ทราย” นี่คืออาชญากรรมที่ฟังยังไงก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้วหลายที่ในโลก แถมคนร้ายก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหล่านักท่องเที่ยวเองด้วย นั่นเพราะทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่หาดโดยเฉพาะหาดสวยๆ อย่างที่ซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลีคนเรามักจะพยายามนำทรายกลับบ้านไปด้วย ซึ่งเจ้าทรายเล็กๆ ที่นักท้องเทียวเอากลับไปนี้เองมันก็ทับถมกันไปเรื่อยๆ จนทางซาร์ดิเนียต้องออกกฎหมายปรับนักท่องเที่ยวที่แอบเอาทรายกลับบ้านเลย   ตลาดมืดของ “ชีส” สำหรับหลายๆ คนแล้วชีสคงเป็นหนึ่งในอาหารที่ขาดไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นใครจะไปคิดเล่าว่า เจ้าชีสเหล่านี้นั้นเป็นที่นิยมกันจนมีตลาดมืดเป็นของตัวเอง นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนที่ประเทศรัสเซียออกกฎหมายห้ามการนำเข้าอาหารจากประเทศทางตะวันตกในปี 2014 ซึ่งทำให้สินค้าในประเทศโดยเฉพาะชีสกลายเป็นของที่ขาดแคลนเป็นอย่างมากไป ด้วยเหตุนี้เองเหล่าคนในช่วงเวลานั้นจึงแอบนำเข้าชีสจากประเทศทางตะวันตกอย่างผิดกฎหมาย และเอามาขายกันในราคาที่สูงลิบนั่นเอง   อาชญากรโกนขนแมวต่อเนื่อง นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อทางตำรวจได้รับการแจ้งความว่ามีใครบางคนออกโกนขนแมวโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างต่อเนื่องในเมืองเล็กๆ ที่อังกฤษ และทำให้แมวในพื้นที่เสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก? จากการที่แมวไม่ได้มีร่องรอยการโดนทำร้ายเป็นพิเศษทางตำรวจจึงคิดว่า เป้าหมายของคนร้ายน่าจะอยู่ที่ขนของแมวเป็นหลัก อย่างไรก็ตามด้วยความที่คดีนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้ สุดท้ายเราเลยไม่อาจทราบได้ว่าตกลงคนเราจะออกโกนขนแมวในเมืองไปเพื่ออะไรกันแน่   การก่อการร้ายด้วยไวน์ นี่เป็นการกระทำของกลุ่มที่ชื่อ “CRAV” กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการนำเข้าไวน์กลุ่มหนึ่งของฝรั่งเศส โดยพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องการเอาไวน์ไปเททิ้งตามถนนจนน้ำ (ไวน์) ท่วม…

  • งานวิจัยบอก คนเราจะรักสุนัขหรือไม่ อาจมีตัวแปรสำคัญมาจาก DNA!!

    งานวิจัยบอก คนเราจะรักสุนัขหรือไม่ อาจมีตัวแปรสำคัญมาจาก DNA!!

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันว่าโลกของเรานั้นมีคนอยู่สองประเภท หนึ่งคือรักสุนัข และสองคือทาสแมว ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราเคยเชื่อกันมาตลอดว่าเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเท่านั้น ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิจัยของประเทศอังกฤษและสวีเดนได้ทำการค้นพบใหม่ที่บอกว่า คนเรานั้นจะรักสุนัขหรือไม่ มันมีตัวแปรสำคัญจาก DNA ด้วย!!     นี่เป็นงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่บอกว่า เด็กในบ้านที่พ่อแม่เลี้ยงสุนัข มักจะมีแนวโน้มที่จะรับเลี้ยงสุนัขเมื่อโตตามไปด้วย โดยการทดลองครั้งนี้ มุ่งเป้าไปที่การหาว่าลักษณะ DNA ของคนมีความเกี่ยวข้องกับการที่คนตัดสินใจรับเลี้ยงสุนัขหรือไม่นั่นเอง ในการทำการวิจัยครั้งนี้ ทางนักวิจัยได้ทำการสำรวจคู่แฝด 35,035 คู่ ในประเทศสวีเดน ทั้งแบบที่เป็นแฝดแท้ซึ่งมีลักษณะ DNA ใกล้เคียงกัน และแฝดเทียมซึ่งมีลักษณะ DNA ค่อนข้างต่างกัน โดยลักษณะของ DNA เหล่านี้เองคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้ตัดสินว่า พันธุกรรมจะมีผลกับพฤติกรรมและความชอบของมนุษย์หรือไม่นั่นเอง เพราะหากคู่แฝดแท้มีปริมาณการรับเลี้ยงสุนัขที่มากกว่าหรือน้อยกว่า แฝดเทียมอย่างเห็นได้ชัด มันก็หมายความว่าลักษณะ DNA มีความเกี่ยวข้องกับความชอบ (หรือเกลียด) ตามไปด้วย     และเมื่อผลการวิจัยออกมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่า คู่แฝดที่เป็นแฝดแท้จะมีโอกาสรับเลี้ยงสุนัขมากกว่า คู่แฝดที่เป็นแฝดเทียมถึง 50% ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่า พันธุกรรมอาจมีบทบาทสำคัญในความชอบของคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ในการตัดสินใจเลี้ยงสุนัขจริงๆ น่าเสียดายที่ตัวเลขที่ออกมานี้สามารถบอกเราได้เพียงแค่ว่า…

  • รู้หรือไม่ จากข้อมูลทางสถิติ คนในปัจจุบันทำงานหนักยิ่งกว่าบรรพบุรุษในช่วงยุคกลางอีก

    รู้หรือไม่ จากข้อมูลทางสถิติ คนในปัจจุบันทำงานหนักยิ่งกว่าบรรพบุรุษในช่วงยุคกลางอีก

    เมื่อพูดถึงการทำงานของคนในสมัยโบราณอย่างช่วงยุคกลาง เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีภาพลักษณ์ติดตาว่าการทำงานของคนเหล่านี้ คงจะหนักหนาสาหัสมาก เพราะในยุคที่มนุษย์ยังมีเทคโนโลยีไม่ก้าวไกลเช่นนี้ การทำงานแทบทุกในสมัยนั้นคงจะต้องลงแรงด้วยมือมนุษย์ทั้งนั้น     ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าอ้างอิงจากสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาแล้ว คนในยุคกลางนั้นทำงานกันน้อยกว่าที่เราคิดไว้มาก โดยพวกเขาทำงานกันเฉลี่ยปีละ 1,620 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่คนไทยในกรุงเทพฯ ทำงานกันโดยเฉลี่ยถึงปีละ 2,191.3 ชั่วโมง (อ้างอิงจากสถิติในปี 2018) ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากในช่วงยุคกลาง งานของคนส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวข้องกับการเกษตร ซึ่งอาศัยฤดูกาลในการทำงาน ดังนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงมักมีเวลาราวๆ 8 สัปดาห์ที่จะไม่ต้องทำงานเลย แถมงานในแต่ละวันของพวกเขาเองก็ไม่สามารถทำหลังจากพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดเวลาทำงานไปในตัว     เท่านั้นยังไม่พอเพราะแม้ว่าในปัจจุบันเราจะคิดว่าพวกเรามีวันหยุดพิเศษเยอะก็ตาม แต่ความจริงแล้วในสมัยก่อนเอง ทางโบสถ์ก็มักจะกำหนดวันหยุดหรือเทศกาลแปลกๆ ออกมาเต็มไปหมดเช่นกัน ทำให้คนสมัยนั้นมีวันหยุดพิเศษอีกเฉลี่ยปีละ 25 วันเลย นอกจากนี้ จริงอยู่ที่ว่าการทำงานตั้งแต่ตะวันขึ้นยันตะวันตกอาจจะเป็นอะไรที่ฟังดูนาน แต่คนในสมัยก่อนไม่มีการกำหนดระยะเวลาพักของตัวเองเหมือนคนในปัจจุบัน ดังนั้นหากพวกเขาต้องการ เอาเข้าจริงๆ แล้วจะพักสักกี่ครั้งก็ได้ด้วยซ้ำ     อ้างอิงจากเอกสารของบิชอปในศตวรรษที่ 16 คนในสมัยก่อนจะมีเวลาพักในช่วงเช้า มีเวลาอาหารเช้าแยกต่างหาก มีเวลานอนกลางวัน มีเวลาทานอาหารกลางวัน และทันทีที่ตะวันตกพวกเขาก็จะหยุดทำงานไป ทำให้เวลาทำงานจริงๆ ของพวกเขาไม่ได้มากเท่าที่เราคิดแต่อย่างใด ส่วนเหตุผลที่เวลาทำงานของคนเราเพิ่มขึ้นแบบสุดๆ อย่างเห็นได้ชัดนั้น…

  • นักโบราณคดีพบ “ทุ่งไหหิน” กลุ่มใหม่ในลาว พร้อมวัตถุโบราณจำนวนมาก จากยุคเหล็ก

    นักโบราณคดีพบ “ทุ่งไหหิน” กลุ่มใหม่ในลาว พร้อมวัตถุโบราณจำนวนมาก จากยุคเหล็ก

    เชื่อว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ  “Plain of Jars” หรือ “ทุ่งไหหิน” กันมาบ้าง  มันเป็นแหล่งโบราณคดีสุดลึกลับแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่เชียงขวาง แขวงทางเหนือของประเทศลาวเพื่อนบ้านของเรา (อ่านเรื่องราวของแหล่งโบราณคดีนี้ ได้ที่ ชม “ทุ่งไหหิน” แหล่งโบราณคดีไหหินทรายของลาว ที่ยังไม่ทราบว่าสร้างขึ้นเพื่ออะไร)   ทุ่งไหหินหมายเลข 1 แหล่งโบราณสถานที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของทุ่งไหหิน   ทุ่งไหหินเดิมทีแล้วถูกบันทึกไว้ว่ามีการค้นพบในปี ค.ศ. 1930 มีลักษณะเด่นอยู่ที่หินรูปร่างคล้ายไหหลายร้อยอันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน 3 แห่ง และที่ผ่านๆ มายังไม่มีใครพบหลักฐานยืนยันเลยว่าที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร หรือสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ในขณะที่เรื่องราวของทุ่งไหหินยังคงเป็นปริศนาอยู่นั้น เมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียก็ได้ทำการค้นพบแหล่งโบราณคดีแห่งใหม่ร่วม 15 แห่ง ซึ่งทำให้ทุ่งไหหินมี หินรูปร่างคล้ายไหเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอีกถึง 137 ชิ้น     อ้างอิงจากข้อมูลของทีมวิจัย หินรูปไหที่ถูกพบในครั้งนี้มีอายุราวๆ 1,000-1,500 ปี และเป็นหลักฐานอย่างดีที่ว่า ในสมัยก่อนคนในพื้นที่น่าจะมีการใช้งานไหหินเล่านี้อย่างกว้างขวางกว่าที่เราเคยคาดการไว้ โดยนอกจากตัวไหหินแล้ว ทีมนักโบราณคดียังมีการค้นพบโบราณวัตถุจากยุคเหล็กอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องเซรามิกสำหรับตกแต่ง งานดินเหนียวที่มีรูปร่างคล้ายไหในทุ่ง ลูกปัดแก้ว เครื่องมือเหล็ก จานสำหรับใส่หู…

  • ชม 21 ภาพ ผู้คนกับเทคโนโลยีจากยุค 80 ช่วงเวลาสุดคลาสสิคที่ทรงเสน่ห์เหนือกาลเวลา

    ชม 21 ภาพ ผู้คนกับเทคโนโลยีจากยุค 80 ช่วงเวลาสุดคลาสสิคที่ทรงเสน่ห์เหนือกาลเวลา

    ยุค 80 สำหรับหลายๆ คนแล้วคงเป็นช่วงเวลาที่ทั้งแปลกและทั้งชวนคิดถึง เพราะนี่เป็นทศวรรษที่โลกเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีไปอย่างก้าวกระโดด และด้วยเหตุนี้เอง ยุคนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถพบเทรนด์แปลกๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ทั่วไปตามท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ เครื่องเกม หรือโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ และภาพของเทคโนโลยีสุดคลาสสิคและทรงเสน่ห์ของยุค 80 เหล่านี้เอง ก็เป็นสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ ว่าแต่ภาพที่ออกมาจะน่าสนใจหรือน่าคิดถึงขนาดไหน เราไปชมกันเลยดีกว่า   เริ่มกันจากหญิงสาวที่กำลังอ่านหนังสือพลางฟังเพลงจากวอล์คแมนของเธออยู่   เหล่าหนุ่มๆ กับวิทยุเทปคู่แก๊ง   เด็กหนุ่มที่กำลังเล่นเกมจากเครื่อง Magnavox Odyssey² .   หนุ่มสาวและวิทยุเทปคู่ใจระหว่างนั่งบนรถ   อันนี้เด็กหนุ่มกับวอล์คแมนคู่ใจ   คู่รัก ณ ตู้เกมอาเขต   สาวผมทองกับโทรศัพท์สาย   สาววัยรุ่นกับทีวีกล่อง   สาวๆ กับการห้อยวิทยุไปฟังริมทะเล .   การคุยโทรศัพท์หน้าทีวีในสมัยนั้น   สาววัยรุ่นกับการเล่นแพ็ก-แมน   เด็กๆ กับการดูทีวีแบบยุค 80   พี่น้องกับการเล่นเกม  …

  • ชาวเน็ตปวดหัว หลังมีโพลบอกว่า 56% ของคนสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้มีการสอนเลขอารบิก

    ชาวเน็ตปวดหัว หลังมีโพลบอกว่า 56% ของคนสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้มีการสอนเลขอารบิก

    กลายเป็นกระแสโด่งดังในโลกอินเตอร์เน็ตของสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา คุณ John Dick ผู้บริหารของบริษัทวิจัยในพิตส์เบิร์ก “Civic Science” ได้ออกมาเปิดเผยผลโพลแบบสอบถามชิ้นหนึ่งที่บอกว่ามีคนสหรัฐฯ มากถึง 56% ที่ไม่ต้องการใช้มีการสอนเลขอารบิกในประเทศ   ข่าวที่ว่านี้มาพร้อมกับความเห็นของ John Dick ที่ว่า นี่คือตัวอย่างที่ทั้งน่าขำและน่าเศร้าที่สุดของความดันทุรังของชาวอเมริกันเลย Ladies and Gentlemen: The saddest and funniest testament to American bigotry we've ever seen in our data. pic.twitter.com/Bh3FBsl8sR — John Dick (@jdcivicscience) May 11, 2019   อย่างที่เพื่อนๆ สามารถเห็นกันได้ในผลโพล นี่เป็นการสำรวจความเห็นของชาวอเมริกันว่า “โรงเรียนในอเมริกาควรจะมีการสอนเลขอารบิกเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรหรือไม่” ซึ่งมีผู้เข้าไปรวมตอบมากถึง 3,624 คน และมีกว่า 2,020…

  • พบฟอสซิล “แอมโมไนต์ในอำพัน” เป็นครั้งแรกของโลกที่พม่า เชื่อมีอายุร่วม 99 ล้านปี

    พบฟอสซิล “แอมโมไนต์ในอำพัน” เป็นครั้งแรกของโลกที่พม่า เชื่อมีอายุร่วม 99 ล้านปี

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะพอทราบกันอยู่แล้วว่า “แอมโมไนต์” เป็นหนึ่งในฟอสซิลโบราณที่ถูกพบเป็นจำนวนมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก โดยพวกมันนั้นพบได้ในหลายพื้นที่มาก ซึ่งก็รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่แม้ว่าแอมโมไนต์จะเป็นฟอสซิลโบราณที่ถูกพบได้ค่อนข้างบ่อยก็ตาม ที่ผ่านๆ มาเรากลับยังไม่เคยพบฟอสซิลเหล่านี้ในอำพันมาก่อนเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้     เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านนี้เอง สื่อต่างประเทศได้ออกมาทำการเปิดเผยว่า ทีมนักบรรพชีวินในพม่า ได้ทำการค้นพบฟอสซิลแอมโมไนต์อายุเก่าแก่ 99 ล้านปีในอำพันเป็นครั้งแรกในโลก โดยแอมโมไนต์ที่ถูกพบในครั้งนี้ มีความยาวราวๆ 33 มิลลิเมตร กว้าง 9.5 มิลลิเมตร และสูง 29 มิลลิเมตร ถูกเก็บรักษาไว้ในอำพันตามธรรมชาติพร้อมกับสัตว์อื่นๆ อีกราวๆ 40 ชนิด ตั้งแต่แมงมุม ตะขาบ แมลงสาบ กว่าง แมลงวัน และแตน     อ้างอิงจากที่แอมโมไนต์ตัวนี้มีแต่เปลือกและมีร่องรอยของทรายอยู่ นักวิจัยก็คาดกันว่ามันน่าจะตายไปเป็นเวลานานมากแล้วก่อนที่จะกลายเป็นอำพันไป เป็นไปได้ว่าเปลือกของแอมโมไนต์จะถูกน้ำซัดมาติดใกล้ๆ ต้นไม้ที่ผลิตยางในสมัยก่อน ก่อนที่จะถูกยางไม้หยดใส่พร้อมๆ กับแมลงอื่นๆ ในภายหลัง     แต่แม้แอมโมไนต์ตัวนี้จะมีแต่เปลือกก็ตาม…

  • นักวิทย์สวีเดนพบ DNA อายุ 10,000 ปีใน “หมากฝรั่งโบราณ” เชื่อเก่าแก่ที่สุดในสแกนดิเนเวีย

    นักวิทย์สวีเดนพบ DNA อายุ 10,000 ปีใน “หมากฝรั่งโบราณ” เชื่อเก่าแก่ที่สุดในสแกนดิเนเวีย

    สำหรับประเทศทางแถบสแกนดิเนเวียแล้ว ตั้งแต่ในอดีตหลักฐานของมนุษย์ในยุคหินเป็นสิ่งที่หาได้ยากลำบากเอามากๆ แถมต่อให้หาเจอโครงกระดูกที่พบก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถตรวจสอบ DNA ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ของสวีเดนพบ DNA ของมนุษย์ที่มีอายุมากกว่า 10,000 ปีในประเทศจึงกลายเป็นข่าวที่น่าสนใจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อที่ DNA เหล่านี้ถูกพบใน “หมากฝรั่งโบราณ” แล้วด้วย     เจ้าหมากฝรั่งโบราณที่ว่านี้ ถูกค้นพบในช่วงปี 1990 ในแหล่งโบราณคดี Huseby Klev ทางชายฝั่งตะวันตกของสวีเดน โดยเป็นเปลือกไม้ที่มีร่องรอยถูกเคี้ยวจนกลายเป็นก้อนจำนวน 8 อัน ซึ่งเชื่อกันว่าคนสมัยก่อนน่าจะมีการใช้งานคล้ายหมากฝรั่ง และกาวสำหรับทำเครื่องมือเครื่องใช้ในเวลาเดียวกัน จากการตรวจสอบเปลือกไม้ที่พบ ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าพวกเขาสามารถเก็บ DNA จากเปลือกไม้ที่พบได้ถึง 3 อันจากทั้งหมด และทำให้หมากฝรั่งเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานทาง DNA ที่เก่าแก่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวียไป   การขุดค้นที่ Huseby Klev สถานที่ที่มีการพบหมากฝรั่งเปลือกไม้   อ้างอิงจากข้อมูลในรายงานผู้ที่เคี้ยวเปลือกไม้สามอันที่พบในสมัยก่อน เป็นมนุษย์เพศหญิงสองคน และมนุษย์เพศชายอีกหนึ่งคน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับประชากรยุคหินจากทางยุโรปในยุคน้ำแข็ง ทั้งนี้หมากฝรั่งทั้งสามมีจีโนมซึ่งเป็นเอกลักษณ์มาก ดังนั้นคนทั้งสามจึงไม่น่าจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด และหมากฝรั่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกแบ่งกันเคี้ยวด้วย     คุณ Per…

  • พบโครงกระดูกอายุร่วม 2,500 ปีที่ประเทศรัสเซีย คาดเป็นของชนเผ่าเร่ร่อนที่มีอำนาจในอดีต

    พบโครงกระดูกอายุร่วม 2,500 ปีที่ประเทศรัสเซีย คาดเป็นของชนเผ่าเร่ร่อนที่มีอำนาจในอดีต

    ในตอนที่ชาวนาชาวรัสเซียค้นพบหม้อสัมฤทธิ์โบราณที่เนินเก่าแก่ในหมู่บ้าน Nikolskoye ที่เมืองอัสตราฮันประเทศรัสเซีย เขาได้แจ้งภาครัฐให้มาตรวจสอบวัตถุโบราณที่พบไปตามปกติ แต่สิ่งที่ชายหนุ่มไม่ได้ทราบเลยในเวลานั้นคือใต้พื้นที่ที่เขาพบหม้อสัมฤทธิ์โบราณชิ้นนี้เอง จะยังมีสุสานโบราณอายุกว่า 2,500 ปี นอนหลับใหลรอการค้นพบอยู่ด้วย     นั่นเพราะไม่นานหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้มีโอกาสเข้ามาสำรวจพื้นที่ที่มีการพบหม้อสัมฤทธิ์ ทีมนักโบราณคดีก็พบว่าในพื้นที่เดียวกันนี้เองยังมีโครงกระดูกโบราณของมนุษย์ 3 ร่าง กะโหลกศีรษะของม้าอีกหนึ่งตัว และวัตถุโบราณอีกจำนวนหนึ่งด้วย จากการตรวจสอบเบื้องต้นของนักโบราณคดี โครงกระดูกเหล่านี้เชื่อกันว่าเป็นสมาชิกชนเผ่าซาร์มาเชียน กลุ่มคนเร่ร่อนที่มีอำนาจค่อนข้างมากในอดีต ซึ่งในเวลานั้นตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในทางใต้ของรัสเซีย     โดยอ้างอิงจากวัตถุโบราณที่พบ ซึ่งประกอบไปด้วยอาวุธ ของใช้ในบ้าน และเครื่องประดับที่ทำจากทอง เหล่านักโบราณคดีก็คาดกันว่าผู้ที่ถูกฝังในที่แห่งนี้น่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจในระดับหนึ่ง เพราะแม้แต่กะโหลกศีรษะของม้าที่ถูกผังไว้ด้วยกันก็ยังถูกฝังไปพร้อมๆ กับบังเหียนประดับอย่างดี     แถมโครงกระดูกที่พบเองก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจเพียงอย่างเดียวของการค้นพบในครั้งนี้อีกด้วย เพราะเหล่านักโบราณคดีได้มีการออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าพื้นที่ที่มีการฝังศพทั้งสามไว้นั้นอาจจะมีหลายชั้นอีกด้วย ซึ่งหากพื้นที่แห่งนี้มีหลายชั้นจริงๆ มันก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่นักโบราณคดีจะสามารถพบวัตถุโบราณอื่นๆ หรือแม้กระทั่งโครงกระดูกเพิ่มเต็มในที่แห่งนี้ได้อีก หากมีการขุดค้นพื้นที่ต่อไป     และด้วยความที่การค้นพบยังไม่ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์นี้เอง ในปัจจุบันนักโบราณคดีจึงยังไม่ได้ทำการตรวจสอบโครงกระดูกที่พบอย่างละเอียดเพื่อหาเพศหรืออายุของผู้ที่เสียชีวิต อย่างไรก็ตามหากแนวคิดที่ว่าพื้นที่แห่งนี้มีหลายชั้นถูกต้องจริงๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้ฟังข่าวดีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นพบในที่แห่งนี้อีกครั้งก็เป็นได้   ที่มา livescience, mirror

  • ไขปริศนา “แก้วสีเหลือง” เครื่องประดับฟาโรห์ตุตันคาเมน แท้จริงแล้วมันเกิดจากอุกกาบาตตก

    ไขปริศนา “แก้วสีเหลือง” เครื่องประดับฟาโรห์ตุตันคาเมน แท้จริงแล้วมันเกิดจากอุกกาบาตตก

    เคยได้ยินเรื่องของแก้วสีเหลืองปริศนาแห่งอียิปต์กันมาก่อนไหม มันเป็นแก้วที่ถูกพบได้ในทะเลทรายซาฮารา หรือตามเครื่องประดับของชาวอียิปต์โบราณ อย่างเครื่องประดับหน้าอกของฟาโรห์ตุตันคาเมน     ที่ผ่านๆ มานักวิจัยได้ตั้งขอสันนิษฐานของแก้วสีเหลืองเหล่านี้ไว้หลายอย่าง แต่เมื่อล่าสุดนี่เอง ในที่สุดเหล่านักวิจัยก็สามารถออกมายืนยันที่มาจริงๆ ของแก้วสุดประหลาดนี้จนได้ นั่นเพราะเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยร่วมระหว่างประเทศออสเตรเลียและออสเตรีย ได้ออกมาเปิดเผยรายงานชิ้นใหม่ในวารสาร Geology ซึ่งมีเนื้อหาเป็นการยืนยันว่า แก้วสีเหลืองที่เราสงสัยว่ามาจากไหนมาตลอดนั้น แท้จริงแล้วมีที่มามาจากอุกกาบาตเมื่อ 29 ล้านปีก่อน     อ้างอิงจากรายงาน หลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าแก้วเหล่านี้ คือตัวแก้วสีเหลืองที่มีการค้นพบนั้นมีส่วนผสมของแร่ “เรไดต์” อยู่ภายใน ซึ่งเจ้าแร่ตัวนี้เดิมทีแล้วจะพบได้ตามจุดตกของอุกกาบาตเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเมื่อราวๆ 29 ล้านปีก่อน ได้มีอุกกาบาตตกลงมาที่ไหนสักแห่งในทะเลทรายซาฮารา ก่อนที่ความร้อนซึ่งเกิดจากแรงกระแทกจะละลายทรายบนชายหาดเกิดเป็นแก้วสีเหลืองอย่างที่เห็น     อันที่จริงแล้ว แนวคิดที่ว่าแก้วเหล่านี้เป็นของที่เกิดจากอุกกาบาตนั้น เป็นเรื่องที่นักวิจัยหลายๆ คนเคยมีการสันนิษฐานเอาไว้แล้วตั้งแต่ในอดีต อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆ มาพวกเขายังไม่อาจมั่นใจได้ว่า แก้วที่เกิดขึ้นมานี้ เกิดจากการที่อุกกาบาตตกลงมาบนโลกโดยตรงหรือว่าแค่ระเบิดกลางอากาศ (Airbursts) เท่านั้น แต่จากการที่ในแก้วมีร่องรอยของแร่เรไดต์ ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถฟันธงได้แล้วว่าอุกกาบาตที่ทำให้เกิดแก้วเหล่านี้น่าจะเป็นอุกกาบาตที่ตกลงมาบนโลกโดยตรงมากกว่า     เพราะการจะทำให้เกิดแร่เรไดต์ได้นั้น…

  • ชม 21 ภาพการรักษาความงามจากอดีต ที่ไม่รู้ใช้ได้จริงไหม แต่ก็เห็นแล้วชวนให้ยิ้มได้เสมอ

    ชม 21 ภาพการรักษาความงามจากอดีต ที่ไม่รู้ใช้ได้จริงไหม แต่ก็เห็นแล้วชวนให้ยิ้มได้เสมอ

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันว่ามนุษย์ (โดยเฉพาะผู้หญิง) กับความงามนั้นเป็นของที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่โบราณ และไม่ว่าจะเป็นในยุคไหนสมัยไหนคนเราก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความงามที่เหนือล้ำกว่าใคร ดังนั้นจึงนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ตั้งแต่ในอดีตมาเราจะสามารถเห็นภาพของอุปกรณ์และบริการความงามแปลกๆ ที่ไม่ว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่ แต่ก็ชวนใช้คนที่เห็นอมยิ้มได้อยู่เสมอ ดั่งเช่นที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ไปชมกันต่อไปนี้   เริ่มกันจากการใช้เครื่องสั่นลดเอวในฝรั่งเศสจากปี 1965   ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าของฮอลลีวูด ในระหว่างการใช้เครื่องมือสุดแปลกในการช่วงแต่งหน้านักแสดง เมื่อปี 1933   เครื่อง “ลดน้ำหนัก” แบบสายสั่นสะเทือนจากปี 1935   แปรงและน้ำยาทำความสะอาดผิว จากปี 1939   เครื่องจักรดูแลผิวหน้าจากปี 1950   การจัดคิ้วบางโค้งด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีชื่อเสียงในปี 1934   อุปกรณ์ที่ช่วยเหลือในการจัดขนตาจากปี 1926   อุปกรณ์คล้ายเครื่องอบซาวน่า หรืออบน้ำโอโซนเคลื่อนที่จากปี 1951   รถเสริมสวยเคลื่อนที่จากอังกฤษ 1930   สเปรย์ฉีดผมตรา The Beatle จากปี 1964   การเขียน “เส้นร่าง” ก่อนลงมือแต่งหน้า…

  • งานวิจัยใหม่พบ “ตัวเรือด” ที่คอยดูดเลือดเรา อาจมีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์แล้ว

    งานวิจัยใหม่พบ “ตัวเรือด” ที่คอยดูดเลือดเรา อาจมีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์แล้ว

    เชื่อว่าตั้งแต่เด็กจนโต เพื่อนๆ คงจะเคยมีประสบการณ์ถูก “ตัวเรือด” หรือ “Bedbugs” ดูดเลือดกันมาบ้างสักครั้ง และคงจะเคยคิดกันขึ้นมาบ้างว่าเจ้าแมลงพวกนี้มันมาจากไหนกัน ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าเจ้าตัวเรือดสุดน่ารำคาญนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้วอยู่บนโลกมานานกว่ามนุษย์เสียอีก     ในงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยได้ใช้เวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมาในการเก็บตัวอย่าง ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับตัวเรือดจากทั่วโลก และพบว่าสัตว์เหล่านี้ มีสาย DNA ที่เก่าแก่และยาวนานมาตั้งแต่สมัยไดโนเสาร์ หรือเมื่อ 115 ล้านปีก่อนเลย นี่เป็นงานวิจัยที่ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมาเราเคยคิดว่าเหยื่อรายแรกๆ ของตัวเรือดนั้น น่าจะเป็นค้างคาวที่มีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 50 ล้านปีก่อนเท่านั้น     อ้างอิงจากทีมวิจัย พวกเขายังไม่อาจฟันธงได้ว่าเหยื่อของตัวเรือดในสมัยก่อนเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามคุณ Steffen Roth หนึ่งในทีมวิจัยก็เชื่อว่าเหยื่อของพวกมันคงจะไม่ใช่ไดโนเสาร์อย่างที่หลายๆ คนหวัง นั่นเพราะตามปกติแล้วตัวเรือด มักจะเลือกเหยื่อที่อาศัยอยู่ในรังเป็นที่เป็นทางอย่างนก ค้างคาว หรือมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งไดโนเสาร์ส่วนมากจะอพยพจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่งเสียมากกว่า     ในปัจจุบันทีมนักวิจัยได้วางแผนที่จะศึกษาต่อยอดงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อหาว่าทำไมเจ้าตัวเรือดเหล่านี้จึงวิวัฒนาการคุณสมบัติที่จำเป็นในการดูดเลือดมาอย่างยาวนานขนาดนี้กัน ซึ่งหากโชคดี…

  • ชมการจับเหยื่อของ H. cavatus แมงมุมที่ใช้หลักการ “หนังสติ๊ก” ในการล่าเหยื่อ

    ชมการจับเหยื่อของ H. cavatus แมงมุมที่ใช้หลักการ “หนังสติ๊ก” ในการล่าเหยื่อ

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวของแมงมุมใยสามเหลี่ยมหรือ “Hyptiotes cavatus” กันไหม นี่คือแมงมุมไม่มีพิษที่พบได้บ่อยๆ ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ซึ่งอาศัยใยของตัวเองเป็นอาวุธหลักในการล่าเหยื่อ     แต่แทนที่จะแค่ชักใยทิ้งไว้และรอให้เหยื่อมาติดเหมือนกับแมงมุมทั่วๆ ไป H. cavatus กลับมีวิธีล่าเหยื่อที่แปลกกว่านั้นมาก เพราะมันนั้นมีการใช้งานใยตัวเองในรูปแบบคล้ายหนังสติ๊กที่มนุษย์เราใช้งานกัน อ้างอิงจากในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแอเคริน ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสังเกตการณ์แมงมุมสายพันธุ์นี้ในห้องทดลอง เหล่านักวิจัยได้พบว่าแมงมุม H. cavatus จะมีการชักใยเป็นรูปสามเหลี่ยม ก่อนจะใช้ขาหลังของตัวเองเกี่ยวปลายใยด้านหนึ่งไว้ในลักษณะคล้ายการง้างธนู และรอให้เหยื่อเข้ามาติดใยอย่างใจเย็น     ทันทีที่เหยื่อมาติดกับเจ้าแมงมุมตัวน้อยจะปล่อยใยที่เกี่ยวไว้ที่ขาหลังออก ส่งผลให้ทั้งตัวของมันและใยพุ่งเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้มันจับเหยื่อได้อย่างมั่นคงมากกว่าการใช้ใยเพียงแค่เส้นสองเส้นอย่างแมงมุมตัวอื่นๆ     คุณ Daniel Maksuta หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า การใช้งานใยแบบนี้ ทำให้ H. cavatus สามารถจับเหยื่อได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่เหยื่อจะรู้ตัวตัวเสียอีก นับเป็นวิธีการล่าที่ใช้ประโยชน์จากใยของตัวเองได้เป็นอย่างดี   วิดีโอภาพล่าของ H. cavatus แบบเต็มๆ จาก AFP news agency    ความสามารถของมันนี่เองก็ทำให้แมงมุม H.…

  • นักวิจัยเตือน เราควรมีกฎหมายคุ้มครองแร่อวกาศ เพราะมนุษย์อาจทำให้ระบบสุริยะพังได้

    นักวิจัยเตือน เราควรมีกฎหมายคุ้มครองแร่อวกาศ เพราะมนุษย์อาจทำให้ระบบสุริยะพังได้

    ในโลกที่มีทรัพยากรของอย่างจำกัด แต่กลับมีความต้องการที่ไร้ขีดจำกัดเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคิดว่าจะดีแค่ไหนหากเราสามารถเดินทางขึ้นไปหาวัตถุดิบจากดาวดวงอื่นได้     เพียงแต่ในระหว่างที่หลายๆ คนมีความคิดแบบนั้นเอง กลุ่มคนอีกหลายๆ คน ที่เริ่มกังวลว่าการขึ้นไป “ขุดแร่” บนอวกาศเช่นนี้ อาจจะนำมาซึ่งผลเสียต่อดวงดาวอื่นๆ โดยเฉพาะในระบบสุริยะของเราก็เป็นได้ นั่นทำให้เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีเหล่านักวิจัยกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Acta Astronautica ว่า พวกเราควรจะมีการออกกฎหมายปกป้องคุ้มครองดวงดาวราวๆ 85% ของสุริยะไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อไม่ให้ดวงดาวถูกนำไป “ใช้งาน” โดยมนุษย์ในระดับที่มากเกินไป     นี่เป็นแนวคิดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากระบบอุทยานแห่งชาติของโลก บวกกับความกลัวที่ว่าทันทีที่สามารถทำได้ มนุษย์เราจะแห่กันไปเก็บทรัพยากรจากดาวต่างๆ ไม่ต่างจากยุคตื่นทอง หรือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อ้างอิงจากในงานวิจัย มนุษย์เรานั้นมีความต้องการวัตถุดิบแบบเหล็กสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 20 ปี แถมตัวเลขนี้ยังไม่มีทีท่าที่จะหยุดลงด้วย ดังนั้นหากไม่ระวังให้ดี มันก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ซึ่งมนุษย์สามารถทำให้ดวงดาวทั้งหมดในระบบสุริยะกลายเป็นแดนรกร้างได้ในเวลาเพียง 460 ปี     ดังนั้นแล้ว เหล่านักวิจัยจึงออกมาเตือนว่าเพื่อที่จะป้องกันการใช้งานทรัพยากรที่มากเกินไปของมนุษย์ในอนาคต เราควรจะรีบออกกฎหมายคุ้มครองทรัพยากรอวกาศเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้นั่นเอง   ที่มา dailymail, techtimes และ livescience

  • นักวิทย์อังกฤษสร้างสิ่งมีชีวิตจาก DNA สังเคราะห์ได้สำเร็จ โดยใช้แบคทีเรียเป็นต้นแบบ

    นักวิทย์อังกฤษสร้างสิ่งมีชีวิตจาก DNA สังเคราะห์ได้สำเร็จ โดยใช้แบคทีเรียเป็นต้นแบบ

    การสร้างสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ขึ้นมา สำหรับมนุษย์แล้วเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และนำมาซึ่งความเห็นที่แตกต่างกันมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันก็เป็นความฝันที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนพยายามที่จะทำให้มันกลายเป็นจริงอยู่ดี และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ดูเหมือนว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ จะเข้าใกล้การสร้างสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ขึ้นไปอีกก้าวแล้วก็เป็นได้ เพราะพวกเขาได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตระดับแบคทีเรียจาก DNA สังเคราะห์ได้สำเร็จแล้วนั่นเอง     สิ่งมีชีวิตตัวใหม่นี้ถูกเรียกด้วยชื่อว่า “Syn61” แบคทีเรียสังเคราะห์ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ E. coli (Escherichia coli) แบคทีเรียที่พบได้บ่อยๆ ในสัตว์และอาหารเป็นต้นแบบ เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์เลือกใช้ E. coli เป็นต้นแบบของ Syn61 นั้นถูกอธิบายโดยนักวิทยาศาสตร์ไว้ว่ามีเหตุผลมาจากการที่แบคทีเรียตัวนี้มีความสามารถในการเอาชีวิตรอดได้สูง แม้ว่าจะมีรหัสพันธุกรรมที่ต่ำ   ภาพของแบคทีเรีย E. coli   แต่แม้จะบอกว่ามีรหัสพันธุกรรมของต้นแบบที่ต่ำ อ้างอิงจากเหล่านักวิจัย Syn61 นั้นถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยรหัสพันธุกรรมถึงกว่า 4 ล้านตัว ทำให้ Syn61 นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจีโนมสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา โดยเจ้าแบคทีเรียเทียมตัวนี้จะมีความแข็งแรงต่ำกว่า E. coli ซึ่งเป็นต้นแบบ เติบโตช้ากว่าราวๆ 60% และเมื่อเทียบกันแล้วมีขนาดตัวที่ยาวกว่าต้นแบบเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นผลพวงมาจากการปรับปรุงพันธุกรรมกว่า 18,000 ครั้ง  …

  • นักวิจัยพบ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอาจทำให้สัตว์ทะเลตาบอดได้ เพราะออกซิเจนในน้ำลดลง

    นักวิจัยพบ ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอาจทำให้สัตว์ทะเลตาบอดได้ เพราะออกซิเจนในน้ำลดลง

    ผลกระทบจากภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกนั้น ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ผู้คนหลายๆ ฝ่ายเป็นกังวลกันเป็นอย่างมาก เพราะตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราก็มีงานวิจัยมากมายที่ออกมาบอกว่าภาวะอากาศโลกเปลี่ยนแปลงมีอันตรายกับสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดมากมายขนาดไหน และแล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดที่มีการตีพิมพ์แบบออนไลน์ในวารสาร Journal of Experimental Biology ไปเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2019 ก็ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบที่ว่า ในปัจจุบันมีสัตว์ทะเลบางชนิดที่อาจจะตาบอดได้ หากสภาพแวดล้อมยังคงมีการเปลี่ยนแปลงแบบในปัจจุบัน     นั่นเพราะภายในงานวิจัยชิ้นนี้ ทีมนักวิจัยได้ทำการค้นพบว่าปริมาณ “ออกซิเจน” ในน้ำมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของจอประสาทตาของสัตว์น้ำ (อย่างน้อยๆ ก็สี่ชนิดที่ใช้ในการทดลอง) มากกว่าที่เราคิด อ้างอิงจากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการทดลองนำตัวอ่อนสัตว์น้ำ 4 ชนิด ซึ่งประกอบไปด้วย หมึกกระดอง Doryteuthis opalescens หมึกสาย Octopus bimaculatus ปู Pleuroncodes planipes และปู Metacarcinus gracilis ไปทดลองการตอบสนองต่อภาวะออกซิเจนต่ำเป็นเวลา 30 นาที     พวกเขาพบว่าตัวอ่อนของสัตว์ทั้ง 4 ชนิดนี้ แม้ว่าจะมีระดับความแตกต่างของระดับผลกระทบอยู่บ้าง…

  • นักวิจัยพบนกที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 136,000 ปีก่อน สามารถคืนชีพให้สายพันธุ์ ด้วยการวิวัฒนาการ

    นักวิจัยพบนกที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 136,000 ปีก่อน สามารถคืนชีพให้สายพันธุ์ ด้วยการวิวัฒนาการ

    เคยได้ยินเรื่องราวของนก Aldabra Rail กันมาก่อนไหม? นี่คือนกบินไม่ได้ซึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะปะการังรูปวงแหวน (Atoll) ชื่อ Aldabra กลางมหาสมุทรอินเดีย     นกเหล่านี้เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปครั้งแรก เมื่อราวๆ 136,000 ปีก่อน จากการที่เกาะทั้งเกาะจมลงใต้มหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้นก Aldabra Rail ที่บินไม่ได้ตายไปกับกระแสน้ำ แต่น่าแปลกที่ราวๆ 20,000 หลังจากนั้น นก Aldabra Rail ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว กลับมีร่องรอยว่าปรากฏขึ้นมาบนเกาะอีกครั้ง แถมยังเป็นในจำนวนมากพอที่จะเหลือมาจนในปัจจุบันเลยด้วย   เกาะ Aldabra ที่อยู่อาศัยของนก Aldabra Rail   เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สร้างความสนใจให้กับเหล่านักวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะวิธีการที่นก Aldabra Rail ใช้ในการคืนชีพสายพันธุ์ของตัวเองนั้น นับว่าเป็นอะไรที่แปลกสุดๆ ไปเลย เรื่องของเรื่องคือเดิมทีแล้วนก Aldabra Rail จริงๆ แล้วเป็นนกสายพันธุ์ย่อยที่วิวัฒนาการมาจากนก White-throated rail ซึ่งเป็นนกบินได้อีกที   นก White-throated…

  • พบสุสานโบราณอายุ 1,400 ปี ในอังกฤษ เชื่อเป็นของญาติราชาแองโกล-แซกซอน

    พบสุสานโบราณอายุ 1,400 ปี ในอังกฤษ เชื่อเป็นของญาติราชาแองโกล-แซกซอน

    ย้อนกลับไปในปี 2003 ทีมนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งลอนดอนได้ค้นพบสุสานเก่าแก่ใน Prittlewell มณฑลเอสเซ็กซ์ ทางตะวันออกของอังกฤษ ในเวลานั้นพวกเขาได้รับทุนช่วยเหลือจากองค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษ ดังนั้นทางนักโบราณคดีจึงได้ค่อยๆ ใช้เวลาในการขุดค้นสุสานดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย และตลอดเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ที่แห่งนี้ก็ค่อยๆ เผยเรื่องราวของตัวเองให้โลกได้ทราบทีละเล็กทีละน้อย     โดยนี่เป็นสุสานที่มีอายุมากถึง 1,400 ปี ของชาวแองโกล-แซกซอน ซึ่งเหล่านักโบราณคดีเชื่อกันว่าเป็นญาติของราชา Saebert หนึ่งในราชาของแซกซอนตะวันออกกลุ่มแรกๆ ที่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ และมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 7 อ้างอิงจากข้อมูลของนักโบราณคดี โลงศพที่พบในสุสานนี้เป็นโลงศพไม้ที่ประกอบขึ้นโดยใช้เหล็กช่วยยึด ร่างของผู้ตายที่ย่อยสลายไปจนแทบจะเหลือแค่เคลือบฟัน ซึ่งให้ข้อมูลเพียงแค่ว่าผู้ตายมีอายุมากกว่า 6 ขวบก็เท่านั้น     อย่างไรก็ตามหากมองจากขนาดของโลงศพแล้ว นักโบราณคดีก็คาดว่าผู้ตายน่าจะสูงราวๆ 173 เซนติเมตร อีกทั้งของอื่นๆ ที่พบอย่างดาบ สายเข็มขัด และเสื้อผ้า ก็ยังมีลักษณะที่ช่วยบ่งบอกได้อย่างดีว่าผู้เสียชีวิตน่าจะมีอายุพอสมควรอยู่ โดยนอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ในสุสานนับโบราณคดียังพบกับไม้กางเขนที่ทำจากแผ่นทองบางๆ คล้ายทองคำเปลว หัวเข็มขัดทองคำ เขาสัตว์สำหรับใส่เครื่องดื่ม ขวด ถัง ถ้วยที่ทำจากแก้ว เหยือก ช้อนเงิน และเหรียญทองอีกสองเหรียญใกล้ๆ ศพอีกด้วย…

  • ย้อนรอยภาพดังของ “การดวลดาบ” อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายในฝรั่งเศส เมื่อปี 1967

    ย้อนรอยภาพดังของ “การดวลดาบ” อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายในฝรั่งเศส เมื่อปี 1967

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันว่าในยามที่คนสมัยก่อนมีปัญหากันมากๆ พวกเขาก็มักจะตัดสินปัญหาเหล่านั้นด้วย “การดวล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดวลดาบซึ่งมีมายาวนานเป็นร้อยเป็นพันปี แน่นอนว่าการดวลดาบนั้นถูกสั่งห้ามโดยกฎหมายไปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 ตามกฎหมายแล้วก็จริงอยู่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในศตวรรษที่ 20 เองเราก็ยังสามารถเห็นการดวลดาบของชนชั้นสูงของฝรั่งเศสได้อยู่ โดยการดวลครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นในปี 1967 นั่นเอง     นี่คือภาพการดวลดาบระหว่างคุณ Gaston Defferre และคุณ Rene Ribiere สองนักการเมืองชาวฝรั่งเศส ในพื้นที่ส่วนตัวของ Neuilly-sur-Seine ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส ภายใต้ควบคุมดูแลอย่างเป็นทางการโดย Jean de Lipkowskiin ผู้ที่ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ความขัดแย้งที่นำมาซึ่งการดวลครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณ Defferre ตะคอกใส่คุณ Ribiere ว่า “หุบปากไปซะไอ้โง่” (Taisez-vous, abruti) ในระหว่างการโต้วาทีในงานสมัชชาแห่งชาติและไม่ยอมขอโทษ ดังนั้นคุณ Ribiere จึงฉุนขาดและท้าสู้กับ Defferre     การต่อสู้ของทั้งสองนั้นเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนที่ Ribiere จะเข้าร่วมงานแต่งงาน ดังนั้นคุณ Defferre จึงประกาศว่าเขาจะทำให้ Ribiere มีแผลจนต้องยกเลิกงานแต่งไปเลย ภายในการดวลคุณ…

  • ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซีอุย” ฆาตกรกินตับเด็ก หรือแค่แพะที่โดนใส่ความเกินจริง

    ย้อนรอยเรื่องราวของ “ซีอุย” ฆาตกรกินตับเด็ก หรือแค่แพะที่โดนใส่ความเกินจริง

    เชื่อกันว่าในตอนที่ยังเป็นเด็กคงมีเพื่อนๆ หลายคนไม่น้อยที่โดนญาติผู้ใหญ่ขู่ว่าถ้าไม่หยุดร้องไห้จะโดน “ซีอุย” มากินตับ และก็คงเป็นในช่วงเวลานั้นเองที่หลายๆ คนได้ฟังด้วยเรื่องราวของฆาตกรสังหารเด็กที่ว่ากันว่าน่ากลัวที่สุดในประเทศไทย ผู้ที่ถูกเก็บร่างไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิริราชคนนี้     ดังนั้นสำหรับบางคนแล้ว นี่อาจจะเป็นเรื่องน่าแปลกมาก ที่ล่าสุดนี้เอง ได้มีคนจำนวนมากที่ออกมาลงชื่อกันขอให้นำร่างซีอุยออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วยเหตุผลว่าแท้จริงแล้วชายคนนี้อาจจะไม่ได้กินเด็กจริงๆ อย่างที่เราคิดก็ได้ (อ่านข่าวการลงชื่อได้ที่ ชาวเน็ตร่วมลงชื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ ‘ซีอุย’ นำร่างออกพิพิธภัณฑ์ ล้างฉายามนุษย์กินคน) ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ตกลงเรื่องราวของชายคนนี้เป็นแบบไหน เขาได้กินตับเด็กหรือไม่ เดี๋ยวในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ย้อนรอยไปชมเรื่องราวของชายคนนี้กัน     ซีอุย เป็นชายชาวจีนที่มีชื่อจริงๆ ว่า “หลีอุย แซ่อึ้ง” เกิดในปี พ.ศ. 2470  ที่เมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน สถานที่ซึ่งเขาใช้ชีวิตวัยเด็กเรื่อยมาจนกระทั่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ในตอนที่อายุได้ 18 ปี อ้างอิงจากข้อมูลบางแหล่งในช่วงที่เป็นทหาร ซีอุยต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นมาก ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งของการเป็นทหารนี้เอง เขาก็เลยมีโอกาสได้กินเนื้อมนุษย์     เมื่อสงครามสงบซีอุยและผ่องเพื่อนก็ตัดสินใจที่จะลักลอบเขามาทำงานในประเทศไทย และใช้ชีวิตอยู่แบบไม่มีเรื่องราวน่าสนใจมากนักถึง 8 ปี เรื่องราวของ ซีอุย…

  • นักวิทย์นานาชาติร่วมพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ที่จะทำลายสถิติเร็วที่สุดในโลก

    นักวิทย์นานาชาติร่วมพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ที่จะทำลายสถิติเร็วที่สุดในโลก

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก จนอะไรที่เคยเป็นที่สุดเมื่อปีสองปีก่อน ในปัจจุบันก็อาจจะกลายเป็นของที่เห็นได้เกลื่อนตลาดไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นคงต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์เอง เราก็กำลังจะได้พบกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่เร็วยิ่งกว่ารุ่นเก่าเช่นกัน     นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ประสบความสำเร็จในการออกแบบทางวิศวกรรมของซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะมีความสามารถมากกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “Summit” ของทาง IBM ซึ่งในปัจจุบันถูกจัดว่าเป็น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกเสียอีก เจ้าคอมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ ประกอบไปด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์หลักสองเครื่อง ที่จะทำงานร่วมกันในชื่อ “Science Data Processor” (SDP) และออกแบบมาเพื่อเก็บและประมวลผลข้อมูลของ “Square Kilometre Array” (SKA) โครงการความร่วมมือของนานาชาติในการสร้างเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลก   ภาพจำลองระบบ SKA ในออสเตรเลีย   SDP เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของนักวิจัยกว่า 11 ประเทศ และใช้เวลาถึง 5 ปีในการผลิต ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และอัลกอริธึมสำหรับหนึ่งในสองซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในระบบ เหล่านักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่าหาก SDP ถูกสร้างสำเร็จ มันจะถูกนำไปติดตั้งไว้ที่เมืองเพิร์ทประเทศออสเตรเลีย และเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ เพื่อเตรียมการรับข้อมูลกว่า 600 เพตะไบต์ต่อปี (หนึ่งเพตะไบต์ = ราวๆ…

  • นักโบราณคดีพบห้องลับในโบราณสถานพระราชวังของเนโร หลังถูกซ่อนมานานถึง 2,000 ปี

    นักโบราณคดีพบห้องลับในโบราณสถานพระราชวังของเนโร หลังถูกซ่อนมานานถึง 2,000 ปี

    กลายเป็นข่าวการค้นพบที่เป็นที่น่าจับตามองของประเทศอิตาลีไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทางอุทยานโบราณคดีแห่งโคลีเซียมในกรุงโรม ได้ออกมาประกาศการค้นพบห้องลับในซากโบราณสถาน “Domus Aurea” พระราชวังของจักรพรรดิเนโร หลังจากที่มันถูกซ่อนจากสายตาคนบนโลกมานานถึง 2,000 ปี     ห้องลับที่มีการค้นพบในครั้งนี้ เป็นห้องเพดานโค้งที่เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศักราชที่ 65-68 และมีลักษณะเด่นอยู่ที่รูปภาพฝาผนังของสัตว์ในเทพนิยายอย่างสฟิงซ์ ซึ่งวาดขึ้นโดยสีแดง เขียว เหลือง ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อแม้เวลาจะผ่านไปเป็นพันๆ ปีแล้วก็ตาม โดยนอกจากรูปภาพของสฟิงซ์ที่กล่าวมาแล้ว ภายในห้องแห่งนี้ยังมีภาพของ เซนทอร์ เทพซึ่งมีช่วงล่างเป็นแพะอย่างแพน (ฟอนัสในเทพปกรณัมโรมัน) เครื่องประดับรูปพืช และภาพของชายถือดาบสู้กับเสืออีกด้วย   ภาพของเซนทอร์ที่พบในห้อง   อ้างอิงจากข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมา ห้องที่ถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “ห้องสฟิงซ์” แห่งนี้ ถูกพบโดยบังเอิญในขณะที่นักวิจัยทำการบูรณะกำแพงพระราชวังอยู่ และในตอนที่ถูกพบแรกๆ ห้องแห่งนี้แทบจะเต็มไปด้วยเศษดิน นี่นับว่าเป็นหนึ่งในห้องกว่า 300 ห้องที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับพระราชวังตามคำสั่งของจักรพรรดิเนโรในอดีต และตั้งแต่ที่แหล่งโบราณสถานแห่งนี้ถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 15 นักโบราณคดีก็ยังสามารถพบห้องใหม่ๆ ในที่แห่งนี้อยู่เป็นพักๆ   ภาพของชายถือดาบสู้กับเสือ   และดูเหมือนว่าห้องที่พบในครั้งนี้เองก็อาจจะไม่ใช่ห้องลับห้องสุดท้ายในโบราณสถานแห่งนี้ด้วย…

  • ชม 24 ภาพการก่อสร้าง “Habitat 67” อาคารสุดแปลกที่มีชื่อเสียงของแคนาดาในช่วงยุค 60

    ชม 24 ภาพการก่อสร้าง “Habitat 67” อาคารสุดแปลกที่มีชื่อเสียงของแคนาดาในช่วงยุค 60

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องอะพาร์ตเมนต์ “Habitat 67” ของแคนาดากันไหม นี่คืออาคารที่ออกแบบมาเพื่อให้เป็นอาคารอเนกประสงค์ มีจุดเด่นอยู่ที่หน้าตาสุดประหลาดซับซ้อน และนับว่าเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของช่วงยุค 60     แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างที่รูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดเช่นนี้ ย่อมต้องมีการก่อสร้างที่ละเอียดและซับซ้อนกว่าที่ปกติ และด้วยเหตุผลนี้เอง ในวันนี้ เราจึงจะไปชมกันว่ากว่าที่ Habitat 67 จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างนั้น อาคารแห่งนี้ต้องผ่านการก่อสร้างแบบไหนบ้าง   เริ่มกันจากภาพของ สถาปนิก Moshe Safdie กับโมเดลของ Habitat 67 .   Moshe Safdie กับ Edouard Fiset หัวหน้าสถาปนิก   Moshe Safdie กับการตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างในปี 1966   การวางโครงสร้างของอาคาร . .   ชิ้นส่วนของอาคารที่ถูกสร้างขึ้นแยกกัน ก่อนยกขึ้นไปประกอบด้วยรถยก .   Habitat 67 หลังก่อสร้างไปได้ส่วนหนึ่ง .  …

  • ชม 20 ภาพ “การปลดปล่อยกรุงปารีส” ยามที่ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากการปกครองโดยนาซีใหม่ๆ

    ชม 20 ภาพ “การปลดปล่อยกรุงปารีส” ยามที่ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากการปกครองโดยนาซีใหม่ๆ

    สำหรับชาวฝรั่งเศสแล้วเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ช่วงหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะในเดือนนี้คือช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสจะได้กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง หลังจากที่ถูกปกครองโดยนาซีเยอรมันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 4 ปี ในช่วงเวลานั้น แน่นอนว่าจะต้องมีช่างภาพจำนวนมากออกมาถ่ายภาพวันสำคัญเช่นนี้เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์กันเป็นธรรมดา และแน่นอนว่าภาพเหล่านี้เองก็ถูกเก็บรักษาไว้มาจนถึงในปัจจุบันเลยด้วย ดังนั้น ในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้นำภาพส่วนหนึ่งที่ถูกถ่ายไว้ระหว่างที่กองทัพสัมพันธมิตรปลดปล่อยฝรั่งเศสมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าวันที่ประเทศได้อิสระอีกครั้งนั้น ที่ฝรั่งเศสเขามีบรรยากาศแบบไหนกัน   เริ่มกันจากภาพของประชาชนที่ต้อนรับทหารสัมพันธมิตรด้วยรอยยิ้ม   เหล่าหนุ่มๆ ที่กำลังเข็นรถใส่ธงประเทศอังกฤษและอเมริกา   การเดินขบวนในงานเฉลิมฉลองที่ Champs-Élysées น่าเสียดายที่ในการเดินขบวนครั้งนี้มีนายพลคนหนึ่งถูกลอบสังหารโดยพลซุ่มยิงของนาซี .   หนึ่งในรถถังที่ใช้ในขบวน   นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Winston Churchill และนายพล Charles De Gaulle ชาวฝรั่งเศสในการฉลองวันสงบศึก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1944   ภาพของเครื่องบินที่บินผ่านขบวนฉลองไปเมื่อเดือนสิงหาคม 1944   กลุ่มผู้คนที่เดินทางมาดูขบวนฉลอง   พลเรือนชาวฝรั่งเศสในขบวนพาเหรดฉลองการปลดปล่อยปารีส ซึ่งมีการจัดขึ้นสองครั้งคือในวันที่ 26 สิงหาคม และ 29 สิงหาคม .…

  • งานวิจัยใหม่เผย ที่มนุษย์สมัยก่อนกินกันเอง อาจเป็นเพราะการล่ามนุษย์ทำได้ง่ายกว่าสัตว์

    งานวิจัยใหม่เผย ที่มนุษย์สมัยก่อนกินกันเอง อาจเป็นเพราะการล่ามนุษย์ทำได้ง่ายกว่าสัตว์

    เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะทราบกันว่า การที่มนุษย์กินกันเอง (Human cannibalism) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะหลักฐานการกินคนของมนุษย์ไม่ได้เพิ่งมามีเอาในสมัย Homo sapiens เท่านั้น แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการกินคนนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยของ มนุษย์โบราณสายพันธุ์ Homo antecessor เมื่อ 900,000 ปีก่อน สาเหตุที่มนุษย์เหล่านี้กินกันเองนั้น เราเคยเชื่อกันว่าเกิดจากการขาดแคลนอาหารอื่นๆ ในพื้นที่ อย่างไรก็ตามในงานวิจัยใหม่ล่าสุดนี้เอง ทางนักวิจัยได้ออกมาบอกว่าที่คนเรากินกันเองนั้นอาจจะมีเหตุผลมากกว่าแค่การขาดแคลนอาหารก็เป็นได้     นี่เป็นงานวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยทีมนักวิจัยจากศูนย์วิจัย Centro Nacional de Investigación sobre la Evolución Humana (CENIEH) ซึ่งได้สำรวจแหล่งโบราณคดีในสเปนพบว่า มีกระดูกของมนุษย์ H. antecessor จำนวนอย่างน้อยๆ 22 ร่างที่มีร่องรอยของการถูกกินโดยมนุษย์ด้วยกัน   หนึ่งในกระดูกของ H. antecessor ที่เคยมีการค้นพบในสเปน   การค้นพบในครั้งนี้นับว่าน่าสนใจมาก เพราะพื้นที่ที่มีการค้นพบหลักฐานเหล่านี้ในสมัยก่อนน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ให้ล่าอยู่มากมาย มนุษย์จึงไม่น่าจะขาดแคลนอาหารจนถึงขั้นที่ต้องกินกันเองได้ พวกเขาสันนิษฐานว่า แม้สัตว์อื่นๆ ที่เป็นอาหารหลักของคนในสมัยนั้นอย่างแรด กวาง และม้าจะให้ปริมาณแคลอรี่ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตสูงกว่าเนื้อมนุษย์มาก แต่พวกมันก็ต้องใช้เวลาในการล่าค่อนข้างนาน…

  • ชม 7 การลงทัณฑ์แปลกๆ แต่มีเอกลักษณ์จากสมัยก่อน ที่จะทำให้คุณอึ้งได้แบบไม่รู้ตัว

    ชม 7 การลงทัณฑ์แปลกๆ แต่มีเอกลักษณ์จากสมัยก่อน ที่จะทำให้คุณอึ้งได้แบบไม่รู้ตัว

    ตั้งแต่ในอดีต ทุกๆ สังคมจะต้องมีวิธีในการรับมือกับอาชญากรรมและเหล่าคนที่กระทำความผิด บางครั้งก็ผ่านการทรมาน การลงโทษ หรือการประหารชีวิต ซึ่งก็มีรูปแบบและความโหดที่ต่างกันไป ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 7 การลงทัณฑ์แปลกๆ แต่มีเอกลักษณ์จากสมัยก่อน จะมีอะไรบ้างนั้น คงต้องเชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้ที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจาก Rhinocolura เมืองแห่งอาชญากรของอียิปต์ นี่คือเมืองแปลกๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 3,000 ปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อการขังนักโทษโดยเฉพาะ โดยมันเป็นเมืองที่แทบจะไม่มีอะไรอยู่เลย แถมแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวในเมืองยังเป็นบ่อน้ำที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกด้วย คนที่จะอยู่ในเมื่องนี้นั้นจะต้องถูกตัดจมูกออกไปเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของอาชญากร ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้หนีออกไป คนเหล่านี้ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้อยู่อย่างคนปกติเลย   การประหารด้วยโคสัมฤทธิ์แห่งกรีกโบราณ นี่เป็นเครื่องประหารที่ออกแบบมาให้นำตัวนักโทษใส่เข้าไปในรูปปั้นวัวที่ทำจากสัมฤทธิ์ ก่อนที่จะเอาวัวทั้งตัวไปจุดไฟเผา จนผู้ที่อยู่ข้างในตายอย่างสยดสยอง ว่ากันว่าในระหว่างโดนอบ นักโทษจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จนคล้ายกับเสียงของวัวจริงๆ นั่นเอง   การประหารด้วยช้าง แห่งเอเชีย การประหารชีวิตด้วยช้างเป็นการประหารชีวิตที่พบได้ในแถบเอเชียโดยเฉพาะที่อินเดีย โดยจะเป็นการใช้ช้างเหยียบนักโทษเพื่อให้ทรมานหรือตายสมชื่อ แถมในบางครั้งเรายังอาจจะเห็นช้างถูกฝึกให้แทงนักโทษด้วยงาที่ติดมีดอีกด้วย   หน้ากาก “Scold’s Bridle” แห่งยุโรป นี่คืออุปกรณ์ลงโทษคนปากไม่ดีแห่งยุโรปศตวรรษที่ 16 ถูกออกแบบมาให้มีส่วนปากเป็นหนามแหลมคม หรือเหล็กที่กดลงบนปากและลิ้น…

  • ย้อนรอย Lynette Squeaky Fromme สมาชิกครอบครัวแมนสัน ผู้พยายามสังหารประธานาธิบดี

    ย้อนรอย Lynette Squeaky Fromme สมาชิกครอบครัวแมนสัน ผู้พยายามสังหารประธานาธิบดี

    เคยได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงชื่อ Lynette “Squeaky” Fromme กันมาก่อนไหม เธอคือหนึ่งในสมาชิกของ “ครอบครัวแมนสัน” กลุ่มอาชญากรเลื่องชื่อแห่งอเมริกา เจ้าของผลงานพยายามลอบสังหาร Gerald Ford ประธานาธิบดีคนที่ 28 ของสหรัฐฯ     Fromme เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1948 ในบ้านชนชั้นกลางที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และใช้ชีวิต 13 ปีแรกไม่ต่างจากเด็กธรรมดาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อเธออายุได้ 14 ปี ชีวิตของเด็กหญิงคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปแบบหน้ามือหลังมือ เพราะแทบจะทันทีที่ครอบครัวของเธอย้ายบ้าน เธอก็เริ่มคบหากับเพื่อนที่ “ไม่ดีเท่าไหร่” อีกทั้งยังติดเหล้าติดยา จนการเรียนเละเทะ และเด็กสาวเองก็ต้องตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า   Fromme ในสมัยมัธยมปลาย   เธอถูกไล่ออกจากบ้านในปี 1967 โดยบิดาของเธอเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าเด็กสาวทำตัว “สำส่อน” และ “ดื้อรั้น” มากเกินไป ก่อนที่ Fromme จะถูกรับไปดูแลโดยครอบครัวแมนสันในเวลาต่อมา แน่นอนว่าการอยู่กับครอบครัวแมนสันที่มีชื่อเสียงในแง่ลบเป็นอย่างมากนั้นย่อมทำให้ Fromme ต้องมีชีวิตวนเวียนอยู่กับศาล และแม้ว่า…

  • ย้อนรอย “Butch Cassidy” จอมโจรเจ้าเสน่ห์แห่งอเมริกา ผู้ได้ชื่อว่าโรบินฮูดแห่งยุคคาวบอย

    ย้อนรอย “Butch Cassidy” จอมโจรเจ้าเสน่ห์แห่งอเมริกา ผู้ได้ชื่อว่าโรบินฮูดแห่งยุคคาวบอย

    เมื่อพูดถึงชื่อของคาวบอยอย่าง Butch Cassidy เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของเขามาจากภาพยนตร์เมื่อปี 1969 กันอยู่บ้าง โดยชายคนนี้นั้น คือคนที่ได้ชื่อว่าโรบินฮูด แห่งยุคคาวบอยผู้ออกขโมยวัวจากฟาร์มใหญ่ๆ ที่ทำให้ฟาร์มเล็กๆ ล้มละลาย     Butch Cassidy มีชื่อจริงๆ ว่า Robert Leroy Parker เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1866 ในเมือง Beaver เมืองเล็กๆ ในพื้นที่ยูทาห์ (ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เป็นรัฐ) และใช้ชีวิต 14 ปี แรกแบบคนธรรมดาๆ จนกระทั่งเขารู้จักกับโจรขโมยวัวชื่อ Mike Cassidy และได้รับนามแฝงว่า Butch Cassidy มา การลักขโมยของ Butch Cassidy เริ่มต้นขึ้นจริงๆ ในตอนที่เขาอายุได้ราวๆ 15 ปี เมื่อเขาเดินทางไปซื้อเสื้อในเมืองข้างๆ แต่ก็พบว่าร้านที่เป็นเป้าหมายปิดไปแล้ว ด้วยความที่ไม่อยากกลับบ้านมือเปล่าเด็กหนุ่มจึงแอบเข้าไปในร้านเพื่อโขมยกางเกงยีน และถูกจับ   Butch Cassidy ในวัยเด็ก…

  • เรื่องราวของ Anatoli Bugorski ชายผู้รอดชีวิตจากการโดนเครื่องเร่งอนุภาคยิงโปรตอนใส่ศีรษะ

    เรื่องราวของ Anatoli Bugorski ชายผู้รอดชีวิตจากการโดนเครื่องเร่งอนุภาคยิงโปรตอนใส่ศีรษะ

    เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “เครื่องเร่งอนุภาค” กันไหม มันคือเครื่องมือชนิดหนึ่งที่อาศัยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการเร่งให้อนุภาคที่มีประจุเคลื่อนที่เร็วขึ้น ซึ่งตั้งแต่ที่คิดค้นมา เจ้าเครื่องมือนี้ก็มีส่วนช่วยในการค้นพบทางฟิสิกส์มาแล้วหลายอย่าง     ว่าแต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากว่าวันหนึ่งมีใครสักคนบังเอิญเอาหัวเข้าไปติดในเครื่องมือแบบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ กับคุณ Anatoli Petrovich Bugorski เรื่องราวสุดแปลกนี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1978 ในระหว่างที่คุณ Anatoli กำลังตรวจสอบการทำงานเครื่องเร่งอนุภาคโปรตอน Synchrotron U-70 ของโซเวียตอยู่     เขาพบว่าเครื่องเร่งอนุภาคเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นในระบบการทำงาน ดังนั้นด้วยความสงสัยและลืมตัว คุณ Anatoli จึงตัดสินใจยื่นหัวเข้าไปภายในเครื่องเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ต้องพบกับแสงสว่างที่ “จ้ากว่าดวงอาทิตย์เป็นพันๆ ดวง” ในเวลานั้น คุณ Anatoli ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขากำลังถูกยิงโดยรังสีเข้มข้นในรูปแบบของลำแสงโปรตอน เขาที่ศีรษะอย่างจังเข้าแล้ว แต่ลำแสงนั้นพุ่งผ่านศีรษะของเขาไปเร็วมาก จนเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย คุณ Anatoli ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมากนักในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานนักศีรษะข้างซ้ายของเขาก็เริ่มบวมขึ้นคล้ายลูกโป่ง เนื้อหนังใกล้จุดที่โดนยิงก็เริ่มที่จะหลุดลอกออกไป แถมจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ สมองของเขานั้นถึงกับมีรอยไหม้เป็นเส้นตรงตัดผ่านเลยด้วย     อ้างอิงจากแพทย์หลายๆ คน…

  • ย้อนรอยเหมือง “เซย์ร่า เปร์ลาด้า” นรกบนดินที่มีคนนับแสน แย่งกันขุดทองในที่ที่เดียว

    ย้อนรอยเหมือง “เซย์ร่า เปร์ลาด้า” นรกบนดินที่มีคนนับแสน แย่งกันขุดทองในที่ที่เดียว

    เคยได้ยินเรื่องราวของเหมือง “เซย์ร่า เปร์ลาด้า” (Serra Pelada) กันมาก่อนไหม นี่คือเหมืองทองคำขนาดใหญ่ที่ถูกพบในประเทศบราซิล และนำมาซึ่งการตื่นทองครั้งใหญ่ในประเทศ เมื่อช่วงปี 1980     เหมืองแห่งนี้เป็นเหมืองที่ถูกคนพบครั้งแรกในช่วงปี 1979 พร้อมๆ กับทองก้อนใหญ่ที่หนักกว่า 6.8 กิโลกรัม และนำมาซึ่งผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาเสี่ยงดวงขุดทองในที่แห่งนี้ ในช่วงหลายปีต่อจากนั้น คนที่เข้ามาขุดทองในเหมืองนี้มีเยอะมากจนถึงขึ้นที่ว่า ในช่วงเวลาที่เหมืองโด่งดังสุดขีด เซย์ร่า เปร์ลาด้าได้ทำการจ้างคนงานมาทำงานมากถึง 100,000 เลย คนเรียกได้ว่าหากคุณมาเยี่ยมชมเหมืองในเวลานี้ คุณจะสามารถเห็นมนุษย์ไต่เหมืองกันยั้วเยี้ยเป็นมด   .   อย่างที่เห็นกันในภาพว่าเหมืองแห่งนี้ ทั้งยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ แถมยังไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวก การใช้ชีวิตในที่แห่งนี้จึงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่านรกบนดิน เพราะด้วยความที่มีคนมากเกินไป ที่แห่งนี้จึงแทบจะไร้ซึ่งกฎหมายโดยสิ้นเชิง   .   ที่แห่งนี้มีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกวัน มีหญิงขายบริการเดินกันให้ว่อน แถมที่แห่งนี้ยังมีคดีฆาตกรรมที่หาตัวคนร้ายไม่ได้ มากถึง 60-80 คดีในแต่ละเดือน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะบอกว่าทองกว่า 90% ที่ขุดจากที่นี่เอง มันก็มักจะถูกลักลอบขนออกไปอย่างผิดกฎหมายเช่นกัน   .   ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี…

  • ย้อนรอย “กลุ่มอาการ เค” โรคร้ายปลอมๆ ที่ช่วยชีวิตชาวยิวนับร้อยจากน้ำมือของนาซี

    ย้อนรอย “กลุ่มอาการ เค” โรคร้ายปลอมๆ ที่ช่วยชีวิตชาวยิวนับร้อยจากน้ำมือของนาซี

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “กลุ่มอาการ เค” (Syndrome K) กันมาก่อนไหม นี่เป็นโรคร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในประเทศอิตาลีและโรมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1943 ซึ่งแม้ว่าอาการของโรคจะค่อนข้างหลากหลาย แต่โดยมากแล้วคนไข้จะมีอาการไอ ตัวชา และเสียชีวิตไปในที่สุด กลุ่มอาการ เค นั้นเชื่อกันว่าติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วมาก ถึงอย่างนั้นก็ตามคนไข้เหล่านี้กลับมักจะมีจุดรวมเดียวกัน คือพวกเขานั้นล้วนแต่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล Fatebenefratelli ทั้งนั้น   โรงพยาบาล Fatebenefratelli จากมุมสูง   ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ กันไหม? ถ้าใช่ก็แสดงว่าเพื่อนๆ มาถูกทางกันแล้ว นั่นเพราะ “กลุ่มอาการ เค” ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่โรคที่มีอยู่จริงๆ แต่เป็นเพียงโรคปลอมๆ ที่เหล่าผู้เกี่ยวข้องกับ โรงพยาบาล Fatebenefratelli สร้างขึ้นเพื่อซ่อนตัวชาวยิวกว่าหนึ่งร้อยชีวิต จากน้ำมือของนาซีก็เท่านั้น กลุ่มอาการ เค เกิดขึ้นจากความคิดของหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาลคุณ Giovanni Borromeo และกลุ่มหมอคนอื่นๆ หลังจากที่โรงพยาบาล Fatebenefratelli ตัดสินใจช่วยเหลือและให้ที่พักพิงแก่ชาวยิวในปี 1938     อนึ่ง ตัว K…

  • นักวิทย์พบดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา หลังมีชายมาขอตรวจตามคำขอก่อนตายของพี่

    นักวิทย์พบดีเอ็นเอที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา หลังมีชายมาขอตรวจตามคำขอก่อนตายของพี่

    ในตอนที่พี่ชายของคุณ Darrell “Dusty” Crawford กำลังจะเสียชีวิต เขาได้ขอร้องให้คุณ Darrell ลองไปตรวจ DNA ดูสักครั้ง เพื่อที่จะเปรียบเทียบผลที่ออกมากับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย คุณ Darrell ทำตามคำขอนั้น และตัดสินใจตรวจสอบ DNA ของตัวเองด้วยบริการของบริษัท CRI Genetics ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการให้บริการที่แม่นยำและการช่วยลูกค้าตามหาแผนผังครอบครัวที่ซับซ้อนด้วยระบบ DNA   คุณ Darrell “Dusty” Crawford เจ้าของ DNA   อย่างไรก็ตามผลการตรวจของคุณ Darrell กลับออกมาไม่ธรรมดาอย่างที่เขาคิด เพราะไม่เพียงแต่เขาจะพบว่าตระกูล Crawford ของพวกเขานั้นมีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 55 รุ่นเท่านั้น แต่ทางบริษัท CRI Genetics ยังพบอีกว่า DNA ของเขายังนับว่ามีความเก่าแก่ที่สุดเท่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยพบมาในสหรัฐอเมริกาเลย อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมาบรรพบุรุษของตระกูล Crawford นั้นเป็นชนพื้นเมืองของอเมริกาที่อพยพเข้ามายังทวีปนี้จากทางหมู่เกาะแปซิฟิกและขึ้นฝั่งที่อเมริกาใต้ก่อนที่จะเดินทางขึ้นเหนืออีกที     การค้นพบนี้นับว่าค่อนข้างน่าสนใจสำหรับคุณ Darrell เลย เพราะเดิมทีแล้วตระกูล Crawford เชื่อว่าบรรพบุรุษของตัวเอง เดินทางมาจากทางเอเชียในช่วงยุคน้ำแข็ง…

  • นักวิจัยพบสัตว์น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีใต้ทะเลลึก เชื่อมาจากนิวเคลียร์ช่วงสงครามเย็น

    นักวิจัยพบสัตว์น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีใต้ทะเลลึก เชื่อมาจากนิวเคลียร์ช่วงสงครามเย็น

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีกว่าอิทธิพลการจากการใช้ชีวิตของมนุษย์นั้นส่งผลต่อธรรมชาติมากมายกว่าที่เราคิด เพราะในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเราแทบจะสามารถพบของเสียจากการใช้ชีวิตของมนุษย์อยู่ได้ในทุกๆ ที่ไม่เว้นแม้แต่ใต้ทะเลลึกเลย     และเมื่อล่าสุดนี้เอง เราก็ได้พบกับข่าวที่ไม่ดีเท่าไหร่เกี่ยวกับอิทธิพลการจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ต่อธรรมชาติอีกครั้ง เมื่อในงานวิจัยใหม่ล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters เหล่านักวิจัยได้ออกมาบอกว่าพวกเขาพบร่องรอยของอนุภาคนิวเคลียร์ ลึกลงไปใต้น้ำทะเล 11 กิโลเมตร โดยอนุภาคนิวเคลียร์ที่ถูกพบในครั้งนี้ ปนเปื้อนอยู่ในเนื้อของสัตว์เปลือกแข็งอย่าง “แอมฟิพอด” ซึ่งอาศัยอยู่ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาอันเป็นร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเชื่อกันว่าเป็นอนุภาคนิวเคลียร์ ที่เกิดขึ้นจากการทดสอบระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามเย็น   ภาพของแอมฟิพอดสายพันธุ์ Lanceola clausi ซึ่งมีนักวิจัยพบว่าปนเปื้อนอนุภาคนิวเคลียร์   ทีมนักวิจัยบอกว่าสัตว์อย่างแอมฟิพอดนั้นมีความเหมาะสมสำหรับวัดค่าสารต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมด้วยเหตุผลหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือพวกมันมีการวิวัฒนาการระบบการดูดซึมที่ช้า และลดการหมุนเวียนของเซลล์ลงเพื่อให้ร่างกายเก็บพลังงานไว้ใช้ได้เป็นเวลานาน ลักษณะร่างกายแบบนี้ทำให้พวกมันมักจะเก็บสารแปลกปลอมไว้ในร่างกายเป็นเวลานานกว่าสัตว์อื่นๆ มาก และหนึ่งในสารแปลกปลอมที่นักวิจัยพบว่ามีอยู่เป็นจำนวนมากในร่างกายของมันก็คือ สารกัมมันตรังสีอย่าง Carbon-14 นั่นเอง   ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา สถานที่ซึ่งแอมฟิพอดถูกจับมาวิจัย   เป็นไปได้ว่าในอดีตแอมฟิพอดเหล่านี้จะกินเหยื่อที่ปนเปื้อน Carbon-14 และจมลงมาจากพื้นผิวของมหาสมุทรอีกที ซึ่งทำให้พวกมันมีปริมาณของ Carbon-14 อยู่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับภาวะแวดล้อมโดยรอบ อ้างอิงจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ยังแต่ช่วงปี 1945-1963 ได้มีระเบิดนิวเคลียร์รวมๆ แล้วประมาณ…

  • ทำความรู้จักกับอาการ “ผีอำ” ความผิดปกติทางการนอน ที่หลอกหลอนผู้คนมาตั้งแต่ในอดีต

    ทำความรู้จักกับอาการ “ผีอำ” ความผิดปกติทางการนอน ที่หลอกหลอนผู้คนมาตั้งแต่ในอดีต

    เคยเป็นกันไหม ที่รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันในยามค่ำคืนและพบว่าตัวเองไม่สามารถขยับหรือส่งเสียงได้ ราวกับว่ามีคนมานั่งทับและบีบคอ แถมในบางครั้งเราก็สามารถมองเห็นเงาคนแปลกๆ ในที่ที่ไม่ควรจะมีอยู่ด้วย อาการเหล่านี้คืออาการที่มีชื่อว่า “Sleep Paralysis” หรือที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักกันดีในฐานะอาการ “ผีอำ” ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นอาการที่น่ากลัว แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคิด     ผีอำกับประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันว่าผีอำเป็นอาการที่อยู่คู่กับมนุษย์มาค่อนข้างยาวนาน และไม่ได้มีการพูดถึงเฉพาะในไทยเท่านั้น เพราะอาการนี้มีการกล่าวถึงในตำนานและเรื่องเล่าพื้นบ้านในแทบทุกมุมโลก โดยการเรียกที่ต่างๆ กันไปอย่าง “Old hag” และ “Mare” ของทางตะวันตก หรือ “ดาโช” ของประเทศลาว หลักฐานทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดของอาการผีอำนั้น ถูกบันทึกไว้โดยแพทย์ชาวดัตช์ในปี 1664 โดยเป็นการอธิบายว่าคนไข้คนหนึ่งว่ามีอาการคล้ายโดนอินคิวบัส หรือ Mare โจมตีในยามหลับ     ตัวจริงของผีอำ แน่นอนว่าสำหรับในปัจจุบัน Sleep Paralysis หรือผีอำนั้นไม่ใช่เหตุการณ์ทางไสยศาสตร์อีกต่อไป กลับกันมันเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอน ซึ่งเกิดขึ้นในขณะช่วงการหลับที่เราเรียกกันว่า “REM Sleep” (Rapid eye movement)     นั่นเพราะตามปกติในช่วงการนอนหลับนี้ สมองของเราจะมีการยับยั้งการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วยเหตุผลบางอย่าง…

  • ชม 20 ภาพบ้านของ “Ed Gein” ฆาตกรต่อเนื่องผู้เป็นแรงบันดาลใจ สร้าง “เลเธอร์เฟซ”

    ชม 20 ภาพบ้านของ “Ed Gein” ฆาตกรต่อเนื่องผู้เป็นแรงบันดาลใจ สร้าง “เลเธอร์เฟซ”

    เคยได้ยินเรื่องราวของฆาตกรสุดโหดอย่าง Ed Gein กันมาก่อนไหม เขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงเรื่องการออกสังหารผู้คน (โดยเฉพาะผู้หญิง) เพื่อเอาชิ้นส่วนร่างของพวกเธอไปทำเป็นเครื่องใช้ในบ้าน ชายคนนี้ถูกจับได้ในปี 1957 และรับสารภาพว่าฆ่าผู้หญิงไปสองคน ถึงอย่างนั้นก็ตามเมื่อตำรวจเข้าตรวจสอบบ้านของเขาพวกเขากลับพบกับเครื่องใช้ที่ทำจากชิ้นส่วนมนุษย์ และศพของเหยื่อรายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ว่าดูยังไงก็ไม่ใช่ของคนแค่สองคนแน่ๆ (แม้เจ้าตัวจะบอกว่าแค่ขุดศพมาจากสุสานก็ตาม) และภาพของบ้านของเขานี่เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ แต่บ้านของฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น คงต้องให้เพื่อนๆ ไปรับชมกันได้ที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพตัวบานในระยะไกล ซึ่งหากดูเผินๆ แล้วไร้พิษภัยอย่างไม่น่าเชื่อ .   เหล่าชาวบ้านในพื้นที่ที่พยายามมองเข้าไปในบ้านหลัง Ed Gein ถูกจับ .   พวงดอกไม้ (เรียกกันว่า “หรีด”) ที่ประดับไว้ในบ้าน   นายตำรวจ Dave Sharkey ในระหว่างการตรวจสอบเครื่องดนตรีในบ้าน   หนึ่งในห้องเพียงไม่กี่ห้องในบ้านที่ไม่ได้เต็มไปด้วยสิ่งของ โดยนี่เป็นห้องของมารดาของ Gein ผู้ซึ่งเขาหมกมุ่นด้วยเป็นอย่างมากจนออก “รวบรวม” ศพที่เหมือนกับแม่ตัวเอง   สภาพห้องครัวที่เละเทะของ Gein สถานที่ซึ่งร่างของเหยื่อหลายร่างถูกพบแช่อยู่ในตู้เย็น .   สภาพห้องนั่งเล่นของฆาตกรโหด…

  • นักวิจัยพบ ราชวงศ์ชางแห่งประเทศจีนอาจเคยใช้ “ลูกสุนัข” ในการบูชายัญแทนที่มนุษย์

    นักวิจัยพบ ราชวงศ์ชางแห่งประเทศจีนอาจเคยใช้ “ลูกสุนัข” ในการบูชายัญแทนที่มนุษย์

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันดีว่า ในอดีตมนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกก็แทบจะต้องเคยไปเกี่ยวข้องกับการบูชายัญ ไม่ว่าจะเป็นการบูชายัญมนุษย์หรือการบูชายัญสัตว์ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกเท่าไหร่ที่เหล่านักวิจัยของจีนจะออกมาประกาศว่าราชวงศ์ชางซึ่งปกครองประเทศจีนในช่วง 1766-1046 ปีก่อนคริสตกาลนั้น มีการใช้คนและสัตว์จำนวนมากในพิธีการบูชายัญมาตั้งแต่โบราณ     อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจของข้อมูลการบูชายัญที่ถูกพบในครั้งนี้ กลับไม่ใช่การบูชายัญของมนุษย์อย่างที่เราคิด แต่เป็นการบูชายัญ “ลูกสุนัข” ต่างหาก นี่เป็นความจริงสุดแปลกที่ถูกพบโดยนักโบราณคดีชื่อ Roderick Campbell และ Zhipeng Li ผู้ซึ่งทำการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบูชายัญของราชวงศ์ชางจากแหล่งโบราณคดีหลากหลายที่ และพบว่าในเวลานั้น สุนัขมักจะถูกฝังอยู่ในสุสานเป็นจำนวนมากอย่างผิดปกติ แถมสุนัขที่พบกว่า 73% ยังถูกฝังตั้งแต่อายุไม่ถึงปีเลยด้วย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคาดว่าสุนัขเหล่านี้ น่าจะเป็นเหยื่อของการบูชายัญ มากกว่าที่จะถูกฝังไปพร้อมๆ กับเจ้านายอย่างที่นักโบราณคดีเคยคิด     เท่านั้นยังไม่พอเพราะลักษณะของลูกสุนัขที่ทั้งสองพบเอง ยังทำให้พวกเขาตั้งข้อสังเกตอีกว่า สุนัขเหล่านี้นั้นน่าจะถูกเลี้ยงขึ้นมาเพื่อเป็นเหยื่อบูชายัญโดยเฉพาะเลยด้วย ซึ่งสร้างคำถามให้นักโบราณคดีได้เป็นอย่างดีว่า “ทำไมคนในสมัยก่อนจึงเลือกที่จะบูชายัญลูกสุนัขตัวน้อยน่ารักกัน” สำหรับคำถามนี้ เหล่านักโบราณคดีเชื่อกันการบูชายัญสุนัขเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวแทนการบูชายัญมนุษย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีทรัพย์สินมากพอที่จะซื้อทาส หรือนักโทษสงครามที่เป็นมนุษย์มาบูชายัญ มีโอกาสได้ทำพิธีกรรมในราคาที่ถูกกว่านั่นเอง     ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คุณ Campbell ก็เชื่อว่าการศึกษาลูกสุนัขผู้โชคร้ายเหล่านี้ อาจจะนำไปสู่วิธีชีวิตของคนโบราณชนชั้นอื่น ที่นอกเหนือจากจักรพรรดิและเหล่าขุนนางชั้นสูงต่อไปเลยก็เป็นได้ โดยคุณ Campbell…

  • พบ “Ambopteryx longibrachium” ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่จากจีน ที่มีปีกเหมือนค้างคาว

    พบ “Ambopteryx longibrachium” ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่จากจีน ที่มีปีกเหมือนค้างคาว

    เมื่อพูดถึงบรรดาสัตว์ที่หน้าตาคล้ายกับไดโนเสาร์ในอดีต เชื่อว่าภาพในหัวของหลายๆ คนอาจจะต่างกันออกไปอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเชื่อว่าคงจะไม่มีใครนึกถึงภาพของค้างคาวออกมาเป็นสิ่งแรกๆ แน่ แต่ไม่แน่เหมือนกันว่าแนวคิดนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้ เพราะเมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักบรรพชีวินวิทยาจากประเทศจีน ก็ได้ออกมาประกาศการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่ ที่มีรูปร่างปีกคล้ายกับค้างคาวเป็นอย่างยิ่ง     ไดโนเสาร์ที่ว่านี้ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกที่เมืองหลิงหยวน มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน เมื่อปี 2017 และได้รับยืนยันแล้วว่าเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยไดโนเสาร์ตัวนี้ได้รับชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ambopteryx longibrachium และเชื่อกันว่าเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงยุคจูราสสิกตอนปลาย หรือราวๆ 163 ล้านปีก่อน     นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านๆ ไดโนเสาร์บินได้ที่เราเคยพบมานั้น แทบจะมีปีกไปในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ทำให้การค้นพบไดโนเสาร์ตัวนี้ นับว่าเป็นการค้นพบที่หาได้ยากมากๆ ครั้งหนึ่งของโลกเลย ในปัจจุบันนักบรรพชีวินวิทยายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า A.longibrachium นั้นมีวิธีการบินในรูปแบบไหนกันแน่ อย่างไรก็ตามหากอ้างอิงจากรูปแบบของปีกแล้ว พวกเขาก็คาดกันว่ามันน่าจะมีวิธีการบินที่คล้ายกับกระรอกบินผสมกับค้างคาวเป็นหลัก     การค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ เชื่อกันว่าอาจจะกลายเป็นกุญแจสำคัญชิ้นหนึ่งที่จะถูกใช้ในการอธิบายการวิวัฒนาการเกี่ยวกับปีกของไดโนเสาร์ต่อไปในอนาคตเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ด้วยความที่ไดโนเสาร์ที่มีปีกแบบนี้ถูกพบน้อยมากๆ แถมยังหายไปหมดก่อนยุคครีเทเชียส เหล่านักบรรพชีวินหลายๆ คนจึงชื่อว่า A.longibrachium นั้นน่าจะทำหน้าที่คล้าย “ตัวทดลอง” ในขั้นตอนการวิวัฒนาการของไดโนเสาร์บินได้ และไม่ประสบความสำเร็จมากพอที่จะสืบทอดสายพันธุ์ของตัวเองต่อไปนั่นเอง…

  • อังกฤษเผย ชิ้นส่วนที่หายไปของ “สโตนเฮนจ์” ถูกส่งคืนประเทศแล้ว หลังหายไปกว่า 60 ปี

    อังกฤษเผย ชิ้นส่วนที่หายไปของ “สโตนเฮนจ์” ถูกส่งคืนประเทศแล้ว หลังหายไปกว่า 60 ปี

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จัก “สโตนเฮนจ์” กันเป็นอย่างดี โดยที่นี่เป็นแหล่งโบราณสถานหินยักษ์เก่าแก่แห่งประเทศอังกฤษ ที่ยังมีเรื่องราวที่หาคำตอบไม่ได้อย่างแน่ชัดอยู่มากมาย ทั้งเรื่องที่ว่าใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าพวกเขาสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไร     แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง ทางองค์การอนุรักษ์แห่งอังกฤษก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขานั้น เพิ่งจะได้ชิ้นส่วนที่หายไปชิ้นหนึ่งของสโตนเฮนจ์กลับมาไว้ครอบครองแล้วหลังจากที่มันสูญหายไปเป็นเวลากว่า 60 ปี โดยชิ้นส่วนที่ว่านี้เป็นชิ้นส่วนหินซึ่งมีลักษณะเป็นแกนทรงกระบอกที่มีความยาว 108 เซนติเมตร ซึ่งถูกเจาะออกไปภายในการบูรณะโบราณสถานในปี 1958 เพื่อให้คนงานสามารถเสริมความแข็งแรงของโบราณสถานด้วยแท่งเหล็กได้     อ้างอิงจากแหล่งข่าวชิ้นส่วนที่หายไปนี้ ถูกเก็บไว้โดยคุณ Robert Phillips หนึ่งในคนงานที่ทำการบูรณะโบราณสถานในฐานะของดูต่างหน้า ก่อนที่เขาจะตัดสินใจคืนมันให้กับองค์การอนุรักษ์หลังจากวันเกิดอายุครบ 90 ปีได้ไม่นาน นี่อาจจะเป็นการส่งคืนที่ดูจะไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก แต่ทางนักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาบอกว่า ชิ้นส่วนที่พวกเข้าได้กลับมานั้นอาจจะกุมความลับสำคัญบางอย่างของสโตนเฮนจ์ไว้ก็เป็นได้   การบูรณะโบราณสถานสโตนเฮนจ์ เมื่อราวๆ 60 ปีก่อน   นั่นเพราะที่ผ่านๆ มา เราทราบกันว่าหินก้อนเล็กของสโตนเฮนจ์นั้นน่าจะมาจากเหมืองในเวลล์ก็จริงอยู่ แต่เรากลับแทบไม่มีข้อมูลเลยว่าหินก้อนใหญ่ของสโตนเฮนจ์ที่เรียกกันว่าหินซาร์เซนนั้นมีที่มาจากไหนกันแน่ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงตั้งความหวังกับเป็นอย่างมากว่า หากเรานำ “แกนกลาง” ของหินที่ได้คืนมาไปตรวจสอบทางเคมี ไม่แน่ว่าพวกเราจะสามารถระบุแหล่งที่มาของหินซาร์เซนได้ต่อไป     นอกจากนี้ ทางองค์การอนุรักษ์ยังได้ออกมาเปิดเผยอีกว่า ในการบูรณะโบราณสถานเมื่อปี 1958…

  • Telling The Bees ประเพณีแปลกของยุโรป ที่คนสมัยก่อนจะแจ้งข่าวความตายในบ้านให้ผึ้งฟัง

    Telling The Bees ประเพณีแปลกของยุโรป ที่คนสมัยก่อนจะแจ้งข่าวความตายในบ้านให้ผึ้งฟัง

    เคยได้ยินเรื่อง “Telling The Bees” หรือ “Tell it to the Bees” ไหม? ในที่นี้เราไม่ได้พูดถึงภาพยนตร์ที่ฉายในปี 2018 แต่เป็นประเพณีสุดแปลก แต่ก็ดูน่ารักของทางยุโรปต่างหาก     เป็นเรื่องที่รู้กันว่าสำหรับชาวยุโรป (และที่อื่นๆ ทั่วโลก) ผึ้งนับว่าเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญกับชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ด้วยความที่พวกมันไม่เพียงแต่ผสมเกสรให้กับพืชสำคัญๆ หลายชนิดเท่านั้น แต่ผลผลิตของพวกมันอย่าง “น้ำผึ้ง” และ “ขี้ผึ้ง” ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีประโยชน์มากมาย ดังนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่คนในสมัยก่อน จะรักผึ้งเอามากๆ จนถึงขั้นที่ว่ามีการไปพูดคุยกับผึ้งราวกับว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักเลย ซึ่งเจ้าการกระทำเหล่านี้เอง ที่ถูกเรียกกันว่า Telling The Bees     Telling The Bees มักจะจะเกิดขึ้นเมื่อที่มีคนในบ้านเสียชีวิต โดยจะต้องมีคนในบ้านเดินไปแจ้งข่าวกับรังผึ้ง ตามความเชื่อที่ว่าหากไม่ทำ เหล่าผึ้งจะบินออกจากรังไป หยุดผลิตน้ำผึ้ง หรือไปก็ตายไปหมดรัง ซึ่งทำให้บ้านที่เพิ่งเสียคนรักไป จะต้องพบกับเรื่องเลวร้ายซ้ำไปอีก อย่างไรก็ตามในธรรมเนียมสมัยก่อนจริงๆ Telling The Bees จะไม่ได้ทำกันเฉพาะเวลามีคนตายในบ้านเท่านั้น แต่จะต้องทำทุกๆ…

  • นักวิจัยพบต้นไม้เก่าแก่อายุกว่า 2,624 ปีที่สหรัฐ หวั่นโลกร้อนอาจทำให้ต้นไม้ตายในอนาคต

    นักวิจัยพบต้นไม้เก่าแก่อายุกว่า 2,624 ปีที่สหรัฐ หวั่นโลกร้อนอาจทำให้ต้นไม้ตายในอนาคต

    ย้อนกลับไปในปี 1985 คุณ David Stahle นักกาลานุกรมต้นไม้ นักธรณีวิทยา ศาสตราจารย์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ ได้เดินทางเข้าไปทำการสำรวจพื้นที่อนุรักษ์ Black River บึงขนาดใหญ่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้พบกับต้นไม้หลายต้น ที่ทั้งใหญ่และดูเก่าแก่เอามากๆ จนเขาคิดว่าต้นไม้เหล่านี้ อาจจะมีชีวิตอยู่บนโลกมาเป็นเวลาร่วมพันปีแล้วก็ได้   คุณ David Stahle (คนที่สวมหมวกสีฟ้าด้านหลัง)   แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง คุณ David ก็ได้ออกมาเปิดเผยในงานวิจัยของเขาว่า หนึ่งในต้นไม้ที่เขาพบในบึงที่นอร์ทแคโรไลนานั้น แท้จริงแล้วมีอายุมากถึง 2,624 ปีเลย อ้างอิงจากข้อมูลในงานวิจัย คุณ David พบความจริงเรื่องนี้ในปี 2017 ในขณะที่เขา ศึกษาวงปีของต้นไม้ในพื้นที่อนุรักษ์ โดยต้นไม้ที่ถูกพบว่ามีอายุ 2,624 ปีนั้น เป็นต้นบัลด์ไซปรัส (Bald cypress) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Taxodium distichum”     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ต้นบัลด์ไซปรัสที่ถูกพบในนอร์ทแคโรไลนาต้นนี้ กลายเป็นต้นไม้ที่มีความเก่าแก่มากที่สุดต้นหนึ่งของโลกไปโดยปริยาย แถมการศึกษาวงปีของต้นไม้ที่เก่าแก่ขนาดนี้ ยังอาจนำไปสู่ความรู้โดยละเอียดของภูมิอากาศในอดีตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะทีมนักวิจัยที่ลงสำรวจพื้นที่นั้นได้ทำจากเก็บตัวอย่างต้นไม้จากต้นบัลด์ไซปรัสมาเพียงแค่…

  • ชม 24 ภาพการประกวดรถรางแฟนซีในเยอรมนีเมื่อปี 1908 ที่สวยจนเกือบลืมไปว่านี่คือรถราง

    ชม 24 ภาพการประกวดรถรางแฟนซีในเยอรมนีเมื่อปี 1908 ที่สวยจนเกือบลืมไปว่านี่คือรถราง

    “Straßenbahn” หรือ “รถราง” ในอดีตนับว่าเป็นหนึ่งในระบบการขนส่งที่อยู่คู่กับเยอรมนีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 1865 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศแห่งนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จะมีรถรางวิ่งกันอยู่มากมายเต็มเมืองไปหมด และในปี 1908 นั้นเอง ใครบางคนในสมัยนั้นก็คิดขึ้นมาว่า น่าจะมีการจัดการประกวดรถรางแฟนซีสักหน่อยนะ น่าเสียดายที่ภาพเหล่านี้ไม่ได้มีการบันทึกไว้ว่าสุดท้ายแล้วรถรางคันไหนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศไปในวันนั้น ว่าแต่เพื่อนๆ พร้อมจะเลือกรถรางในใจของตัวเองกันหรือยัง เพราะถ้าพร้อมกันแล้ว เราไปชมภาพรถรางทั้ง 24 คันของเหล่าผู้เข้าแข่งขันกันเลยดีกว่า   1. เริ่มกันจากรถรางที่มาในธีมบ้านหลังน้อย   2. อันนี้รถรางธีมอุโมงค์และรถไฟ   3. รถรางแบบช้างก็มานะ   4. อันนี้ออกแนวราชวังอาหรับ   5. แบบบ้านอิฐ   6. อันนี้ก็แบบบ้านอีกคัน   7. ธีมฤดูหนาวก็มา   8. จะบอกว่าออกแนวอะไรดีหว่า ละครสัตว์? คอก? คาวบอย?   9. อันนี้ออกหรู   10. ส่วนคันนี้มาเป็นป่าเลย  …

  • รู้จักกับ “Trümmerfrauen” เหล่าสาวขนเศษปูนแห่งเยอรมนี ผู้เก็บกวาดซากเมืองหลังสงครามโลก

    รู้จักกับ “Trümmerfrauen” เหล่าสาวขนเศษปูนแห่งเยอรมนี ผู้เก็บกวาดซากเมืองหลังสงครามโลก

    ในช่วงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลงใหม่ๆ ประเทศเยอรมนีก็ต้องพบกับสภาพบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากสงคราม ซึ่งรอคอยให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่ในทุกๆ มุมเมือง แน่นอนว่างานการเก็บกวาดเมืองที่เละเทะอาจจะไม่ใช่เรื่องที่มีคนพูดถึงกันมากนักในประวัติศาสตร์ แต่นี่ก็เป็นงานสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในการฟื้นฟูเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเยอรมนี ซึ่งกำลังขาดแคลนแรงงานเป็นอย่างมากจากการที่ผู้ชายส่วนใหญ่เสียชีวิตหรือกลายเป็นนักโทษสงคราม     นับว่าเป็นโชคดีของเยอรมนีที่ในเวลานั้น พวกเขาสามารถหาแรงงานจากผู้ที่เหลือรอดจากสงครามมาได้ โดยพวกเธอนั้นคือเหล่าหญิงสาวที่ถูกเรียกกันว่า “Trümmerfrauen” หรือ “สาวเศษปูน” นั่นเอง   .   Trümmerfrauen คือเหล่าสาวชาวเยอรมัน ที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทเอกชนที่รับหน้าที่เก็บกวาดเมืองให้ทำงานเก็บกวาดเศษหินเศษปูนในเมือง โดยพวกเธอจะทำงานใช้แรงเหล่านี้ในสภาพที่แทบจะไม่ต่างจากผู้ชายเลย เพราะไม่ใช่แค่ขนหินและเศษซากจากอาคารและท้องถนนเท่านั้น แต่ในบางครั้งพวกเธอยังต้องแบกค้อนไปพังอาคารที่โดนทิ้งระเบิดอย่างหนักจนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปแล้วด้วย เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่รับหน้าที่เก็บกวาดเท่านั้น แต่ยังรับหน้าที่รื้อถอนในบางกรณีด้วย   .   นี่อาจจะเป็นภาพที่แลดูน่าชื่นใจของเหล่าหญิงสาวที่ออกมาแสดงความรักแก่ประเทศบ้านเกิดก็จริงอยู่ แต่แท้จริงแล้วก็ใช่ว่า Trümmerfrauen ทุกคนจะมาทำงานแบบสมัครใจด้วยความเสียสละแต่อย่างไร เพราะอ้างอิงจากงานวิจัยของนักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันบางกลุ่ม พวกเขาก็พบว่าเหล่า Trümmerfrauen นั้น บางครั้งก็อาจจะเป็นผู้สนับสนุนนาซีที่โดนบังคับให้มาทำงานภายใต้ความดูแลของทหารสัมพันธมิตร นักศึกษาที่มาทำงานแลกความสามารถในการลงทะเบียนเรียน หรือเหล่าคนอดอยากที่มาทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง   .   ถึงอย่างนั้นก็ตาม ภาพลักษณ์ของเหล่า Trümmerfrauen ที่ทำงานเก็บกวาดเมืองด้วยรอยยิ้มนั้น ก็นับว่าสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงที่อยากทำงานของผู้ชายได้เป็นอย่างดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมันฝั่งตะวันออกที่ถูกปกครองโดยสหภาพโซเวียต จริงอยู่ว่าบางพื้นที่ของเยอรมันตะวันตกจะมองว่างานขนหินเป็นการลงโทษมากกว่างานที่น่าชื่นชม แต่ในท้ายที่สุดแล้วภาพลักษณ์ของเหล่า Trümmerfrauen ก็ถูกจดจำในด้านที่ดีผ่านกาลเวลามาอยู่เสมอ…

  • นักวิจัยไขปริศนา คอนกรีตระเบิดเมื่อเจอความร้อนสูง พบเกี่ยวข้องกับความชื้นภายใน

    นักวิจัยไขปริศนา คอนกรีตระเบิดเมื่อเจอความร้อนสูง พบเกี่ยวข้องกับความชื้นภายใน

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักคอนกรีตกันอยู่เป็นอย่างดี เพราะเจ้าวัสดุชิ้นนี้นั้นไม่ติดไฟ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการนำมาสร้างสิ่งก่อสร้างที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์ไป     ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่า แม้คอนกรีตไม่ติดไฟด้วยตัวมันเอง แต่มันก็สามารถระเบิดได้นะ นั่นเพราะในการทดลองของเหล่านักวิจัยจากห้องปฏิบัติการเพื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาได้พบว่าหากทำให้อุณหภูมิของคอนกรีตพุ่งสูงขึ้นถึง 600 องศาเซลเซียส คอนกรีตก็อาจจะระเบิดออกอย่างรุนแรง ราวกับมีใครเอาระเบิดไปใส่ไว้ข้างในได้     นักวิทยาศาสตร์อธิบายไว้ว่า ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากคอนกรีตนั้นเกิดจากการผสมกันระหว่างปูน ทราย และน้ำ ซึ่งแม้คอนกรีตเหล่านี้จะดูเหมือนแห้งแล้วก็ตาม แต่บ่อยครั้งภายในคอนกรีตจะมีความชื้นหลงเหลืออยู่ และเจ้าความชื้นเหล่านี้เองเมื่อโดนความร้อนก็จะเกิดการระเหย หรือเกิดการเคลื่อนย้ายในรูปแบบเฉพาะที่ทำให้โครงสร้างคอนกรีตทนไม่ไหวและระเบิดออกในที่สุด เอาเข้าจริงๆ คอนกรีตนั้นระเบิดได้ง่ายกว่าที่เราคิดมาก เพราะคอนกรีตบางชนิดจะเริ่มพังทลายได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟไหม้ สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจะถล่มลงมา สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์     ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับการระเบิดของคอนกรีต โดยเฉพาะในคอนกรีตผสมพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความทนทาน คือสิ่งที่ควรทำให้ตัวคอนกรีตทนทาน กลับเป็นสิ่งที่ทำให้มันระเบิดได้ง่ายขึ้นเสียเอง กล่าวคือภายในคอนกรีตตามปกติจะมีรูที่เกิดจากอากาศอยู่ ซึ่งรูเหล่านี้ยิ่งมีมากคอนกรีตจะยิ่งอ่อนแอ ดังนั้นมีคอนกรีตผสมพิเศษจึงออกแบบมาให้มีรูอยู่น้อย แต่เมื่อมีรูอยู่น้อย ความชื้นที่อยู่ข้างในก็จะหาทางออกมาจากคอนกรีตไม่ได้ เมื่อเจอความร้อนและแรงดัน คอนกรีตก็จะระเบิดออกมาในที่สุด   การทดลองเกี่ยวกับการระเบิดของคอนกรีต จากช่อง EmpaChannel    ทีมนักวิจัยบอกว่าผลลัพธ์จากการทดลองของพวกเขาจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงการเคลื่อนตัวของความชื้นที่เกิดขึ้นกับคอนกรีตในช่วงภัยพิบัติจากไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี   และไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะสามารถสร้างคอนกรีตแบบใหม่ที่ทนทานต่อความร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้…

  • พบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่นิวเม็กซิโก เป็นญาติกับทีเร็กซ์ แต่มีความสูงแค่ 90 ซ.ม.

    พบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่นิวเม็กซิโก เป็นญาติกับทีเร็กซ์ แต่มีความสูงแค่ 90 ซ.ม.

    หากเพื่อนๆ ยังคงจำกันได้ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ไทแรนโนซอรัส ซึ่งทำให้เราทราบกันได้ว่าไดโนเสาร์สายพันธุ์นี้ อาจจะไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่เราเคยคิดก็เป็นได้ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ พบไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ที่ทำให้เราทราบว่า “ไทแรนโนซอรัส” เดิมทีแล้วตัวเล็กกว่าที่เราคิด และ พิพิธภัณฑ์เผย “ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์” ตอนเพิ่งเกิดอาจตัวเท่าไก่งวง และมีขนเหมือนลูกเจี๊ยบ)     และแล้ว เมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักบรรพชีวินวิทยา ก็ได้ค้นพบไดโนเสาร์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นญาติกับไทแรนโนซอรัสอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาทำการตรวจสอบฟอสซิลกะโหลกไดโนเสาร์ขนาดเล็กที่พบในปี 1998 ที่รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา นี่เป็นโครงกระดูกของไดโนเสาร์ที่ได้รับชื่อว่า Suskityrannus hazelae ไดโนเสาร์ขนาดเล็ก ที่มีน้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 40 กิโลกรัม และมีความสูงอยู่ที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งนับว่าตัวเล็กยิ่งกว่า Moros intrepidus ที่มีการค้นพบมาก่อนหน้านี้อีก   รูปร่างหน้าตาที่คาาดกันว่าเป็นของ Suskityrannus hazelae   เชื่อกันว่าไดโนเสาร์ S.hazelae มีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อช่วง 92 ล้านปีก่อนซึ่งนับว่าอยู่มาก่อนไทแรนโนซอรัสถึง 25 ล้านปี ดังนั้นไดโนเสาร์ตัวนี้จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะไขความลับที่ว่า…

  • ย้อนรอย “โจเซฟ เมอร์ริค” มนุษย์ช้างแห่งศตวรรษที่ 19 ผู้มีชีวิตรันทดยิ่งกว่าละคร

    ย้อนรอย “โจเซฟ เมอร์ริค” มนุษย์ช้างแห่งศตวรรษที่ 19 ผู้มีชีวิตรันทดยิ่งกว่าละคร

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “มนุษย์ช้าง” (The Elephant Man) กันมาก่อนไหม? นี่คือเรื่องราวของคุณโจเซฟ เมอร์ริค ชายผู้มีร่างกายบิดเบี้ยวผิดปกติ จนทำให้หลายๆ คนมองว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด     โจเซฟ เมอร์ริค เกิดในปีค.ศ. 1862 ที่เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในฐานะเด็กธรรมดาๆ ชาหนึ่ง อย่างไรก็ตามพอเขาใช้ชีวิตไปได้ราวๆ 5 ปี ร่างกายของเขาก็เริ่มเกิดความผิดปกติขึ้น ผิวหนังของเขาบวมขึ้น แขนข้างหนึ่งเริ่มใหญ่โต มีตุ่มเนื้อที่หลังคอ แถมยังมีขาทั้งสองที่ใหญ่ผิดปกติ และมีก้อนลึกลับโผล่ออกมาจากหน้าผา เรียกได้ว่าร่างกายส่วนเดียวของเขาที่ยังคงเป็นปกติในเวลานั้นมีเพียงแค่แขนซ้ายก็เท่านั้น     ในเวลานั้นไม่มีใครทราบว่าอาการของเมอร์ริคนั้นเกิดขึ้นจากอะไร อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเขาก็มักจะเล่าให้ลูกฟังว่าเขาเป็นเช่นนี้เนื่องจากวันหนึ่งในตอนที่ผู้เป็นแม่ท้อง พวกเขาเดินทางไปดูขบวนพาเหรดสัตว์ และถูกกลุ่มคนดันล้มลงจนถูกช้างเหยียบไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าอาการของเขาจะเกิดขึ้นเพราะอะไร สุดท้ายเมอร์ริคก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเรื่อยมา เพราะทุกครั้งที่เขาล้มน้ำหนักของตัวก็จะทำให้เขาบาดเจ็บรุนแรงกว่าที่ควร  แถมยังเป็นที่รังเกียจของผู้คนที่ผ่านมาเห็นอีกด้วย     ชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของเมอร์ริคยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อแม่ของเขาเสียชีวิต เพราะนอกจากพ่อที่กำลังเสียใจเรื่องแม่จะไม่สนใจลูกชายเท่าที่ควรแล้ว เมื่อผู้เป็นพ่อแต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงของเมอร์ริคยังจัดว่าเป็น “แม่เลี้ยงใจร้าย” แบบในนิทานเลย เมื่ออายุ 13 ปี เมอร์ริคต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานตามคำสั่งของแม่เลี้ยงทั้งๆ ที่เจ้าตัวมีร่างกายที่ขยับไม่ได้ดังคนทั่วไป แถมยังพูดแทบไม่เป็นภาษาด้วย…

  • พบถุงหนังสัตว์บรรจุอุปกรณ์ทำยาหลอนประสาทที่โบลิเวีย เชื่อเป็นของชาแมนฝีมือดีในอดีต

    พบถุงหนังสัตว์บรรจุอุปกรณ์ทำยาหลอนประสาทที่โบลิเวีย เชื่อเป็นของชาแมนฝีมือดีในอดีต

    เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา วารสาร Proceedings of the National Academies of Science ได้มีการตีพิมพ์การค้นพบวัตถุโบราณ ที่มีอายุราว 1,000 ปี ในประเทศโบลิเวีย   ถ้ำในประเทศโบลิเวีย ที่มีการค้นพบวัตถุโบราณในครั้งนี้   วัตถุโบราณที่มีการค้นพบคือถุงหนังสัตว์ที่บรรจุพืชตากแห้งกับอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมหลายชนิด ที่คาดกันว่าน่าจะถูกใช้งานโดยชาแมนในสมัยก่อน โดยอุปกรณ์ที่น่าสนใจซึ่งมีการพบในถุงก็ประกอบไปด้วย กระดูกลามะสองชิ้น กล้องสูบยาที่ประดับด้วยเส้นผมมนุษย์ ที่คาดผมแบบทอ และกระเป๋าที่ทำจากจมูกของสุนัขจิ้งจอกสามตัดเย็บเข้าด้วยกัน     เมื่อนำสิ่งที่พบไปด้วยสอบอายุด้วยกระบวนการคาร์บอนกัมมันตรังสี นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า ถุงที่พบนี้น่าจะเคยมีการใช้งานในช่วงปี ค.ศ. 905-1170 และจากการเก็บร่องรอยทางเคมี พืชตากแห้งในถุงนี้เป็นองค์ประกอบในการทำยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้หลากหลายชนิด โดยตัวอย่างของยาที่สามารถปรุงขึ้นจากอุปกรณ์ที่อยู่ในถุง ก็ประกอบไปด้วย โคเคน บูโฟทีนิน ฮาร์มีน และยาแผนโบราณที่ชื่อ “Ayahuasca” ซึ่งมีชื่อเสียงมากๆ ในหมู่ชนพื้นเมืองของอเมริกาใต้ในอดีต   ตัวอย่างการทำ Ayahuasca ของเปรู   ร่องรอยเล่านี้แสดงให้เห็นว่าชาแมนผู้เป็นเจ้าของถุงหนังสัตว์อันนี้น่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางพฤกษศาสตร์ และเชี่ยวชาญในการใช้สารออกฤทธิ์ทางจิต…

  • ย้อนรอย “Dagen H” วันที่ชาวสวีเดน เปลี่ยนเลนการจราจรจากเลนซ้ายไปเป็นเลนขวา

    ย้อนรอย “Dagen H” วันที่ชาวสวีเดน เปลี่ยนเลนการจราจรจากเลนซ้ายไปเป็นเลนขวา

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Dagen H” กันมาก่อนไหม นี่อาจจะเป็นชื่อที่เห็นแล้วรู้สึกว่าน่ากลัวแบบแปลกๆ แต่จริงๆ แล้วมันมีความหมายง่ายๆ ว่า “วัน H” และไม่แต่มีเหตุการณ์น่ากลัวอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คิด เพราะวันนี้นั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงวันที่ชาวสวีเดนเปลี่ยนเลนการจราจรของตัวเอง จากการขับรถเลนซ้าย ไปเป็นเลนขวาก็เท่านั้น     Dagen H เป็นคำย่อมาจากคำว่า “Högertrafikomläggningen” ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “การเบี่ยงเบนการจราจรไปทางขวา” ซึ่งมีการเตรียมการกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1955 และเริ่มใช้งานจริงเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1967 เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจเปลี่ยนเลนการจราจรของตัวเองนั้น คาดกันว่าเป็นการทำเพื่อให้รถยนต์สามารถสัญจรไปมาระหว่างสวีเดนและประเทศเพื่อนบ้าน อย่างนอร์เวย์ และฟินแลนด์ ซึ่งขับรถเลนขวาได้ง่ายขึ้น     ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ คือรัฐบาลสวีเดนพยายามลดอุบัติเหตุในประเทศลง เนื่องจากสวีเดนมีบริษัทผลิตรถของตัวเอง (อย่าง Volvo) แต่ไม่รู้ทำไมบริษัทเหล่านี้กลับผลิตแต่รถยนต์พวงมาลัยซ้าย ซึ่งไม่เหมาะสมกับการขับรถเลนซ้ายที่อย่างที่ประเทศเป็น แน่นอนว่าจู่ๆ การที่จะมาเปลี่ยนการขับรถที่ผู้คนทำมาทั้งชีวิตนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่ายนัก ดังนั้นในช่วงแรกๆ ที่มีการนำเสนอแนวคิดนี้ ผลการลงประชามติในประเทศจึงออกมาว่ามีคนไม่เห็นด้วยถึง 83% ถึงอย่างนั้นก็ตามทางรัฐบาลก็ไม่ยอมแพ้และผลักดันแนวคิดนี้เรื่อยมา โดยพวกเขานั้นมีทั้งการออกให้ความรู้ในการขับรถแบบใหม่ เตรียมป้ายจราจรกว่า…

  • ชม “Petrifying Well” สถานที่ประหลาดแห่งอังกฤษ ทำให้สิ่งของกลายเป็นหินได้

    ชม “Petrifying Well” สถานที่ประหลาดแห่งอังกฤษ ทำให้สิ่งของกลายเป็นหินได้

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Petrifying Well” อุโมงค์น้ำตกที่เมือง Knaresborough ในนอร์ท ยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษมาก่อนไหม ที่แห่งนี้คือสถานที่สุดแปลกที่ไม่ว่าจะเอาอะไรไปวางไว้ไม่นานนักมันก็จะกลายเป็นหิน และในอดีตเคยเป็นที่อยู่ของแม้มดทรงพลังมาก่อน     ที่แห่งนี้เชื่อกันว่าถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1538 โดยชายชื่อ John Leyland นักสะสมโบราณวัตถุ ที่ทำงานให้กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 และตั้งอยู่ภายในถ้ำ “Mother Shipton” ซึ่งเจ้าถ้ำที่ว่านี้ ก็ได้ชื่อมาจากผู้หญิงที่อาศัยในถ้ำแห่งนี้อีกที โดยตามเรื่องเล่าในอดีตแล้ว เธอเป็นแม่มดผู้เกิดมาโดยมีแม่เป็นโสเภณีและพ่อเป็นปีศาจ และมีพลังอำนาจมากพอที่จะทำให้สิ่งของกลายเป็นหินได้   ในสมัยก่อนคนเชื่อกันว่าที่ของส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้กลายเป็นหิน เกิดขึ้นจากพลังของแม่มด Mother Shipton   ผู้หญิงคนนี้แก่ตัวไปและกลายเป็นนักทำนายที่มีชื่อเสียง ในขณะที่ Petrifying Well เองก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ในช่วงยุค 1600 มีคนจำนวนมากมาดื่มน้ำที่นี่ ตามความเชื่อที่ว่ามันสามารถรักษาโรคร้ายใดๆ ก็ได้     อย่างไรก็ตาม เรื่องที่คนในสมัยนั้นยังไม่ทราบกัน คือความสามารถในการทำให้ของใกล้ๆ กลายเป็นหินของ Petrifying Well นั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เวทมนตร์แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติต่างหาก นั่นเพราะน้ำที่ไหลลงมาจากอุโมงค์น้ำตกนี้มีปริมาณแร่ธาตุอยู่สูงมาก…

  • เรื่องราวของ “ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์” คำอธิบายของ “บ้านผีสิง” ที่มีเหตุผลกว่าที่เราคิด

    เรื่องราวของ “ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์” คำอธิบายของ “บ้านผีสิง” ที่มีเหตุผลกว่าที่เราคิด

    เมื่อพูดถึงบ้านผีสิง ภาพสถานที่ในหัวของแต่ละคนอาจจะเป็นอะไรที่แตกต่างกันไป ถึงอย่างนั้นก็ตามโดยมากแล้ว บ้านผีสิงในความคิดของหลายๆ คนก็คงสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ด้วยคำว่า “สถานที่ที่มีวิญญาณอาศัยอยู่” และ “ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์”     ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว วิทยาศาสตร์กับบ้านผีสิงอาจจะเป็นอะไรที่อยู่ใกล้กันกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะหากเล่าเอาเรื่องราวของบ้านผีสิงไปถามเหล่านักวิทยาศาสตร์แล้ว โดยมากคำอธิบายที่เราได้กลับมา ก็คงจะไม่พ้น “คาร์บอนมอนอกไซด์” (CO) แนวคิดเรื่องคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นสื่อสำคัญที่ทำให้คนเราเห็นผี เป็นที่แพร่หลายขึ้นมาก ครั้งแรกในปี 1921 เมื่อมีครอบครัวของหญิงสาวชาวอเมริกันครอบครัวหนึ่ง ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเก่าแก่ และเริ่มรู้สึกถึง “อะไรบางอย่าง” ในที่ที่ไม่มีคน เธอและครอบครัวเริ่มรู้สึกว่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เคลื่อนที่ได้เอง รู้สึกว่ามีคนเดินตามทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แถมยังมีอาการผีอำ และสามารถมองเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนหัวเตียงในเวลานอน     เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้กับหญิงสาวมาก เธอจึงนำเรื่องไปปรึกษาพี่เขย ผู้ซึ่งให้ความเห็นว่าบ้านของเธออาจจะมีพิษอะไรบางอย่างก็เป็นได้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าถูกต้องอย่างน่าแปลก เพราะเมื่อหญิงสาวกลับไปลองสำรวจบ้านดู บ้านอันเก่าแก่ของพวกเธอนั้นไม่เพียงแต่ใช้เทียนให้แสงสว่างบนทางเดินแทนที่จะเป็นไฟฟ้าเท่านั้น แต่เตาเผาในบ้านยังทำงานผิดพลาดจนปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ไปทั่วบ้านแทนที่จะปล่อยออกปล่องควันอีกด้วย     ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เอง ทำให้บ้านของเธอมีคาร์บอนมอนอกไซด์สุมอยู่ในปริมาณที่มาก และทำมาซึ่งภาพหลอนที่พวกเธอพบ ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อร่างกายคนเรารับคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปในปริมาณมาก โมเลกุลของมันจะไปอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง และด้วยความที่ว่าคาร์บอนมอนอกไซด์ถูกดูดซึมได้เร็วกว่าออกซิเจน พวกมันจึงไปบังออกซิเจนไม่ให้เข้าไปสู่กระแสโลหิต นำมาซึ่งการขาดออกซิเจนในเลือดที่จะไปเลี้ยงสมอง…

  • ชม “Katskhi Pillar” โบสถ์บนเสาหิน 40 เมตรแห่งจอร์เจีย ที่มีนักบวชอาศัยอยู่เพียงลำพัง

    ชม “Katskhi Pillar” โบสถ์บนเสาหิน 40 เมตรแห่งจอร์เจีย ที่มีนักบวชอาศัยอยู่เพียงลำพัง

    ลึกเข้าไปในใจกลางประเทศจอร์เจีย แถวๆ เขตการปกครองอีเมเรตี ยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Katskhi ตั้งอยู่ พร้อมๆ แท่งหินสูงที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะมองจากระยะห่างที่มองไม่เห็นตัวหมู่บ้านก็ตาม     สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Katskhi Pillar” สถานที่ซึ่งประกอบไปด้วยแท่งหินปูนตามธรรมชาติสูง 40 เมตร ซึ่งมีส่วนยอดเป็นที่ตั้งของโบสถ์เล็กๆ ที่แยกตัวออกจากโลก และมีนักบวชอาศัยอยู่เพียงคนเดียว     ในอดีตไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าโบสถ์ที่อยู่บนนั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในช่วงปี 1999-2009 ทีมนักวิจัยก็พบว่าโบสถ์ดังกล่าวน่าจะก่อสร้างเสร็จสิ้น ในช่วงศตวรรษที่ 9-10 และถูกใช้งานในทางศาสนาเรื่อยมาจนกระทั่งถูกทิ้งร้างไปหลังจากช่วงศตวรรษที่ 13     เรื่องราวของ Katskhi Pillar ถูกพูดถึงขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่มีการกล่าวถึงโดยเจ้าชายแห่งจอร์เจียในช่วง ศตวรรษที่ 18 และถูกปีนขึ้นไปสำรวจสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1944 ถึงอย่างนั้นก็ตามกว่าที่ในโบสถ์จะเริ่มมีการกลับมาทำกิจกรรมทางศาสนาจริงๆ มันก็ในตอนที่นักบวชชื่อ Maxim Qavtaradze เดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่ในปี 1995 เลย     หลังจากวันนั้นมา โบสถ์แห่งนี้ก็เริ่มถูกบูรณะและสร้างใหม่ ด้วยความช่วยเหลือจาก หน่วยงานอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติจอร์เจีย ทำให้ในปัจจุบัน ที่แห่งนี้เริ่มจะมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…

  • เปิดตำนาน “Hand of Glory” วัตถุมนตร์ดำจากศพ ที่เหล่าอาชญากรอยากได้มาครอบครอง

    เปิดตำนาน “Hand of Glory” วัตถุมนตร์ดำจากศพ ที่เหล่าอาชญากรอยากได้มาครอบครอง

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Hand of Glory” หรือ “มือแห่งความรุ่งโรจน์” มาก่อนไหม มันเป็นวัตถุโบราณทางความเชื่อของคนสมัยก่อน ที่เชื่อกันว่ามีอำนาจมนตร์ดำ และเปี่ยมไปด้วยความสามารถอันหลากหลาย ที่ไม่สามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์     มือแห่งความรุ่งโรจน์ ทำขึ้นจากมือของนักโทษที่ถูกประหารด้วยการแขวนคอ โดยจะต้องตัดมือของคนเหล่านั้นออกมาในระหว่างที่ร่างยังคงถูกแขวนอยู่ ก่อนที่จะนำไปทำให้แห้งและดองไว้ด้วยเกลือ วัตถุโบราณชิ้นนี้ว่ากันว่ามีการใช้งานเหมือนกับเทียนและเชิงเทียน โดยในหลายๆ ครั้งคนในสมัยก่อนจะทำไส้เทียนขึ้นมาจากผมของผู้ตาย โดยอาศัยไขมันจากศพเป็นเชื้อไฟอีกที     เมื่อใดก็ตามมือแห่งความรุ่งโรจน์ถูกจุด มันจะแสดงพลังอำนาจเหนือธรรมชาติออกมาให้กับผู้ถือครอง ซึ่งคุณสมบัติของมือแห่งความรุ่งโรจน์ที่ถูกบันทึกไว้ก็มีตั้งแต่ เปลวเพลิงที่มีแต่ผู้จุดเท่านั้นที่จะมองเห็น ความสามารถที่จะทำให้ปลดล็อกประตูได้ หรือแม้กระทั่งทำให้เหยื่อไม่ได้สติ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละพื้นที่ แต่ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ไหน ความสามารถของมือแห่งความรุ่งโรจน์ ก็มักจะเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมเป็นหลัก ดังนั้นตั้งแต่ในอดีตมา มือแห่งความรุ่งโรจน์จึงมักกลายเป็นเครื่องมือที่เหล่าผู้ใช้ชีวิตในโลกอาชญากรรมอยากได้มาไว้ในครอบครองเป็นอย่างมาก     ชื่อของมือแห่งความรุ่งโรจน์ เชื่อกันว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากภาษาฝรั่งเศส “Main de gloire” ซึ่งคาดกันว่าเป็นคำที่เพี้ยนมาจาก “Mandragore” หรือ “ต้นแมนเดรก” พืชที่มักถูกใช้งานในวงการเวทมนตร์และคาถาในหลายๆ ที่ทั่วโลกมาอย่างยาวนานอีกที     หนึ่งในเรื่องเล่าที่น่าสนใจของมือแห่งความรุ่งโรจน์ บอกว่ามือชิ้นนี้จะติดไฟขึ้นในกรณีที่มีคนในบ้านนอนหลับ โดยหากมีคนหลับหนึ่งคนนิ้วมือจะติดไฟขึ้นหนึ่งนิ้ว ดังนั้นโจรจึงอาศัยมือแห่งความรุ่งโรจน์ในการออกโจรกรรมบ้านที่คนนอนหลับพร้อมกันทั้งบ้านแล้ว ปัญหาคือในท้ายที่สุดโจรก็พบกับบ้านที่มีคนอยู่มากกว่า…

  • ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย ที่หญ้ามีกลิ่นเวลาถูกตัด มันเป็นเหมือนการขอความช่วยเหลือของพืช

    ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย ที่หญ้ามีกลิ่นเวลาถูกตัด มันเป็นเหมือนการขอความช่วยเหลือของพืช

    เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงจะเคยมีประสบการณ์ได้กลิ่นหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ กันมาบ้าง มันเป็นกลิ่นที่แม้จะบอกได้ยากว่ามีลักษณะอย่างไรกันแน่ แต่ก็ให้ความรู้สึกของ “สีเขียว” ได้เป็นอย่างดี ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้ากลิ่นหญ้าที่ถูกตัดเหล่านี้จริงๆ แล้วมันมีที่มาอย่างไร ทำไมพืชถึงต้องปล่อยกลิ่นเหล่านี้ออกมากันแน่     หากพูดในทางเคมีแล้ว กลิ่นหญ้าที่ถูกตัดมีชื่อเรียกว่า Green Leaf Volatiles (GLV) โดยมันเป็นสารที่มีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอนซึ่งมักจะถูกปล่อยออกมาโดยพืชที่ได้รับความเสียหายจากแมลง โรคร้าย หรือเหตุอื่นๆ อย่างเครื่องตัดหญ้า อ้างอิงจากข้อมูลของคุณ Ian Baldwin นักนิเวศวิทยาพืช และผู้อำนวยการสถาบันนิเวศวิทยาเคมี Max Planck ในเยอรมนี พืชจะมีการผลิต GLV ในรูปแบบที่ต่างๆ กันไปตามสิ่งที่พวกมันกำลังเผชิญ     อย่างในปี 2010 นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมก็พบว่าต้นยาสูบที่ถูกแมลงเจาะ จะปล่อยสาร GLV ที่มีองค์ประกอบแตกต่างจากตอนที่มันถูกรดน้ำอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นที่ออกมานี้ในหลายๆ ครั้ง จะถูกใช้งานโดยสัตว์นักล่าที่กินแมลงในการตามหาเหยื่อตามใบไม้ ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยหรือพืชไปในทางอ้อมด้วย ราวกับว่าพืชเหล่านี้ปล่อยกลิ่นดังกล่าวออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือไม่มีผิด   มวนตาโต (Geocoris) หนึ่งในนักล่าที่อาศัย GLV ในการตามหาเหยื่อที่เป็นแมลงศัตรูพืช   แถมสัตว์ก็ยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ได้กลิ่น…

  • ชม 20 ภาพถ่ายชวนอมยิ้มจากศตวรรษที่ 20 ที่เก็บเอาความสุขเอาไว้ มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า

    ชม 20 ภาพถ่ายชวนอมยิ้มจากศตวรรษที่ 20 ที่เก็บเอาความสุขเอาไว้ มาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า

    เป็นเรื่องที่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของเรานั้นเต็มไปด้วยเรื่องชวนอมยิ้มมาตั้งแต่ในอดีต และไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่คนเราก็มีความสุขได้อยู่เสมอๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องมีคนสมัยก่อนสักคนคิดอยากจะแบ่งบันรอยยิ้มของตัวเองให้คนอื่นอยู่บ้าง นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจถ่ายภาพขำๆ ของตัวเองและเพื่อนๆ ก่อนที่จะเก็บมันไว้พร้อมรอยยิ้มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่ใครสักคนจะหยิบมันขึ้นมาดู ดังเช่นที่เรากำลังจะไปชมกัน ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพของมันฝรั่งยักษ์ ในยุดที่ยังไม่มีโฟโต้ชอป เขาถ่ายภาพพวกนี้แบบไหนกันนะ   การบูรณะทางเดินเล็กๆ น้อยๆ จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ   จะเรียกรถยังไงให้มีคนสนใจ   นี่มัน โฉมงามกับเจ้าชายอสูร   สามเกลอกับอีกหนึ่งตัว   น้องหมาใส่แว่น รับบทเป็นคุณย่า   เมื่อคุณพ่ออยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง   ถ้าจัดมุมดีๆ อีกนิดนี่นึกว่าหัวขาดได้เลยนะ   คนข้างล่างจะแบนไหมเนี่ย   เกือบเท่ละ ถ้าไม่เห็นขาตั้งข้างหลัง   พายเรือบนบก เรือมีรูด้วย   ดูหน้าเจ๊แกเสียก่อน   พ่อหนูโมฮอก   คนขวาไม่เท่าไหร่แต่ท่ายืนคนซ้ายนี่เหมือนสูงไม่ถึงป้ายเลย   ดูเครื่องบินของน้องหนูเขาเสียก่อน   เรียกว่าเวลาอาบน้ำพอจะไหวไหมเนี่ย   เงามันให้จริงๆ   ถ้าตกใจจนเผลอตกลงมา มันจะไม่ใช่ภาพขำๆ…

  • ย้อนรอย “ฮวารัง” เหล่านักรบดอกไม้แห่งเกาหลี ที่ว่ากันว่าไม่ใช่แค่เก่ง แต่ยังรูปงามด้วย

    ย้อนรอย “ฮวารัง” เหล่านักรบดอกไม้แห่งเกาหลี ที่ว่ากันว่าไม่ใช่แค่เก่ง แต่ยังรูปงามด้วย

    เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่ติดตาม ซีรีส์เกาหลีอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “ฮวารัง” (화랑) กันมาบางไม่มากก็น้อย พวกเขานั้นเป็นเหล่านักรบแห่งอาณาจักรชิลลา หนึ่งในอาณาจักรแห่งยุคสามก๊กเกาหลี ที่เชื่อกันว่ามีบทบาทเป็นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 6 และมีจุดเด่นในฐานะกลุ่มที่ถูกเรียกมาจากชนชั้นสูงและฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งจะบอกว่าเป็นตำแหน่งที่เหมือนกับนำทหารเยาวชนกับอัศวินชั้นสูงของทางยุโรปมาผสมกันก็คงได้     สิ่งที่แตกต่างจากนักรบของที่อื่นๆ คือ ฮวารัง (ซึ่งมาจากคำว่า “ฮวา” ที่แปลว่าดอกไม้ และ “รัง” ที่มักใช้เรียกผู้ชาย หรือสุภาพบุรษ) มักถูกบรรยายไว้ว่าประกอบไปด้วยหนุ่มๆ (ที่มักจะรูปงาม) จากตระกูลมีชื่อ ซึ่งเดินทางมาเรียนรู้วิชาร่วมกันในสถาบันการศึกษาแบบเฉพาะ และยังมีหน้าที่มากกว่าการออกรบ ในบางตำราบอกว่า เหล่าฮวารังจะเรียนรู้วิชาในรูปแบบที่คล้ายกับการฝึกนักเรียนทหาร แต่จะมีการฝึกฝนความรู้ในเชิงอักษรศาสตร์ ศิลปะ และศาสนาไปในตัว ซึ่งเหล่าเด็กหนุ่มที่จบการศึกษาจะสามารถเลือกเส้นทางชีวิตอื่นๆ ได้ หากว่าต้องการ     อ้างอิงจากแหล่งข้อมูล ฮวารัง คาดกันว่าถูกก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าจินฮึงแห่งซิลลาผู้ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี 540-576 โดยมีต้นแบบมาจาก “วอนฮวา” (원화 แปลว่าดอกไม้ดั้งเดิม) กลุ่มหญิงสาวที่เชื่อว่ามีระบบการทำงานคล้ายๆ กันอีกที ตามปกติแล้ว ฮวารังจะรับหน้าที่เป็นกองกำลังสนับสนุน และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของ ฮวารัง จะมาจากงานวรรณกรรมมากกว่าบันทึกทางการ…

  • ย้อนรอย “ทิลลี สมิธ” เด็กสาววัยสิบขวบผู้ช่วยคนกว่าร้อยชีวิต จากเหตุสึนามิเมื่อปี 2004

    ย้อนรอย “ทิลลี สมิธ” เด็กสาววัยสิบขวบผู้ช่วยคนกว่าร้อยชีวิต จากเหตุสึนามิเมื่อปี 2004

    เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนคงจะจำเหตุการณ์คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2004 กันได้เป็นอย่างดีราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพราะนี่นับว่าเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งในไทย อินโดนีเซีย ศรีลังกา และอินเดียไปเป็นแสนชีวิต     แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าในวันอันเลวร้ายนั้นเราก็ยังมีเรื่องราวของฮีโร่ตัวน้อยๆ คนหนึ่งอยู่ด้วย เพราะเธอนั้นเป็นเด็กสาวผู้ที่ ช่วยผู้คนกว่า 100 ชีวิต บนหาดที่จังหวัดภูเก็ตเอาไว้ ชื่อของเด็กสาวคนนี้คือ ทิลลี สมิธ (Tilly Smith) เด็กสาวชาวอังกฤษวัย 10 ขวบที่มาเที่ยววันคริสต์มาสที่ภูเก็ต พร้อมๆ กับครอบครัวในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นพอดี   ทิลลี สมิธ ในขณะที่อายุได้ 10 ขวบ   โดยในเวลานั้นเด็กสาวได้รู้สึกตัวว่าน้ำทะเลในหาดเริ่มที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันเราจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าเป็นสัญญาณของเหตุคลื่นยักษ์ แต่ในเวลานั้นแทบไม่มีใครทราบเลยว่าการที่น้ำลดอย่างรวดเร็วนั้นน่ากลัวขนาดไหน ทิลลี เล่าในการสัมภาษณ์ภายหลังว่า เธอนึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเรื่องความอันตรายของการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำทะเลมาจากวิชาภูมิศาสตร์ก่อนจะเดินทางมาไทย ดังนั้นเธอจึงเตือนพ่อกับแม่และคนบนหาดให้รีบหนี ซึ่งแม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะยังงงๆ อยู่บ้าง แต่ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อลูกสาวตัวเอง   ทิลลี สมิธและครอบครัวในระหว่างการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น   พวกเขาแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวญี่ปุ่นซึ่งอยู่แถวๆ นั้น และนำไปสู่การลี้ภัยขึ้นที่สูงของคนบนในหาดที่เด็กสาวและครอบครัวไปเที่ยว จนทำให้ในตอนที่คลื่นซัดเข้ามาจริงๆ…

  • งานวิจัยชี้ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” อาจวาดโมนาลิซ่าไม่เสร็จ เพราะระบบประสาทแขนเสียหาย

    งานวิจัยชี้ “เลโอนาร์โด ดา วินชี” อาจวาดโมนาลิซ่าไม่เสร็จ เพราะระบบประสาทแขนเสียหาย

    เมื่อพูดถึงภาพของโมนาลิซ่า สำหรับหลายๆ คนแล้วคงมองว่ารูปวาดชิ้นนี้นั้น เป็นผลงานชิ้นเอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี เลยก็ไม่ผิดนัก ว่าแต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วภาพโมนาลิซ่าที่เราเห็นกันบ่อยๆ นี้ สำหรับเลโอนาร์โด ดา วินชีแล้ว มันอาจเป็นภาพที่ “ยังวาดไม่เสร็จ”     แถมอันที่จริงแล้วภาพโมนาลิซ่าเอง ก็ไม่ใช่ภาพเพียงภาพเดียวที่เลโอนาร์โด ดา วินชีวาดไม่เสร็จเสียด้วย เพราะในช่วงห้าปีสุดท้ายของชีวิตศิลปินคนนี้ เขามีภาพที่วาดไม่เสร็จอยู่เป็นจำนวนมากอย่างน่าประหลาดเลย จุดร่วมจุดนี้ทำให้เหล่านักวิจัยกลุ่มหนึ่งสงสัยกันมาอย่างยาวนานว่าช่วงปลายชีวิต ศิลปินคนนี้น่าจะต้องพบกับเหตุการณ์อะไรสักอย่างจนวาดภาพต่อไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านๆ มาเราก็คาดกันว่าชายคนนี้ น่าจะมีอาการชาที่มือขวาอันเป็นผลมาจากโรคหลอดเลือดสมอง     อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ก็ได้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่นำโดยแพทย์ชาวอิตาลีสองคน ที่ออกมาพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเลโอนาร์โด ดา วินชีในช่วงปลายของชีวิตในมุมมองที่ต่างไปจากที่เคย โดยพวกเขาได้ให้เหตุผลที่ศิลปิน เลโอนาร์โด ดา วินชี ในช่วงปลายของชีวิตว่า น่าจะมาจากการที่เขาเป็นลมล้มจนระบบประสาทที่แขนได้รับความเสียหาย มากกว่าอาการชาจากโรคหลอดเลือดสมอง ทฤษฎีของพวกเขานั้น ใช้ข้อมูลอ้างอิงส่วนใหญ่มาจากภาพเหมือนยามชราของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ถูกวาดโดยศิลปินชาวอิตาลี “Giovan Ambrogio…

  • นักวิทย์ตามหาที่มาของ “ลูกบาศก์ยูเรเนียม” หลังมีลูกบาศก์ลึกลับส่งมาหาในปี 2013

    นักวิทย์ตามหาที่มาของ “ลูกบาศก์ยูเรเนียม” หลังมีลูกบาศก์ลึกลับส่งมาหาในปี 2013

    ย้อนกลับไปในปี 2013 คุณ Timothy Koeth นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้รับพัสดุ แปลกๆ ที่มีรูปร่างคล้ายลูกบาศก์ พร้อมข้อความที่ว่า “ของขวัญจาก Ninninger ได้มาจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ฮิตเลอร์พยายามสร้าง ในประเทศเยอรมนี”     แม้ข้อความที่มากับพัสดุจะเป็นอะไรที่อ่านแล้วชวนเกาหัวอยู่บ้าง (อนึ่ง Ninninger ในที่นี้น่าจะหมายถึง Robert Nininger หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของโครงการแมนฮัตตัน) แต่ทันทีที่เห็นตัวลูกบาศก์ที่ส่งมา คุณ Koeth ซึ่งเป็นนักสะสมของที่ระลึกเกี่ยวกับนิวเคลียร์ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า สิ่งที่เขาได้มานั้นคงไม่พ้นลูกบาศก์ยูเรเนียมแน่ๆ และในเวลานั้นอย่างที่คุณ Koeth เข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาแล้ว ที่จะนำลูกบาศก์อันนี้ไปสืบหาว่ามันมาจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในอดีตอย่างที่มีการกล่าวอ้างจริงๆ ไหม อ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองทางนาซี เคยมีความพยายามในการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่หลายครั้ง ซึ่งหนึ่งในการทดลองเหล่านั้นก็มีการทดลองอยู่ชิ้นหนึ่งที่ทางเยอรมนีได้ทำการสร้างลูกบาศก์ยูเรเนียมขนาดราวๆ 5 เซนติเมตรขึ้น     ลูกบาศก์เหล่านี้เดิมทีแล้วเชื่อกันว่าผลิตขึ้นมา 664 ชิ้น และจะถูกเชื่อมติดกันคล้ายโคมไฟระย้า เพื่อใช้ในโครงการเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีชื่อว่า “B-VIII” ซึ่งในเวลาต่อมาถูกรื้อถอนไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตร และลูกบาศก์ยูเรเนียมเหล่านี้ก็ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาหลังจากที่สงครามพบลง นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ว่าลูกบาศก์ ที่คุณ Koeth มีจะเป็นของจริง ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับ คุณ…

  • พบสุสานโบราณอายุ 4,500 ปี พร้อมมัมมี่ “ผู้ชำระล้างของฟาโรห์” ใกล้ๆ มหาพีระมิดแห่งกีซา

    พบสุสานโบราณอายุ 4,500 ปี พร้อมมัมมี่ “ผู้ชำระล้างของฟาโรห์” ใกล้ๆ มหาพีระมิดแห่งกีซา

    เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุของประเทศอียิปต์ได้ออกมาประกาศการค้นพบ สุสานโบราณอายุ 4,500 ปี ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมหาพีระมิดแห่งกีซา     ภายในสุสานแห่งนี้ นักโบราณคดีได้พบกับหลุมฝังศพเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก โดยหนึ่งในหลุมฝังศพที่เก่าแก่ที่สุด เป็นของชาวอียิปต์โบราณสองคนซึ่งมีชื่อว่า “Behnui-Ka” และ “Nwi” ผู้ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่เมื่อช่วงราชวงศ์ที่ห้า หรือเมื่อราวๆ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล     อ้างอิงจากจารึกในสุสาน Behnui-Ka เคยเป็นนักบวช และผู้พิพากษา ที่มีสมญานามมากมายอย่าง “ผู้ชำระล้างของฟาโรห์” และเคยทำงานให้กับฟาโรห์อย่างน้อยๆ ถึง 3 รุ่น ได้แก่ฟาโรห์คาเฟรผู้สร้าง 1 ใน 3 พีระมิดแห่งกีซา ฟาโรห์อูเซรคาฟ และฟาโรห์นิอูเซอร์เร ส่วน Nwi เองก็มีตำแหน่งที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างเช่นกัน โดยเขาเป็นทั้ง “ผู้ชำระล้างของฟาโรห์” “ผู้นำของเมืองใหญ่” “ผู้ดูแลของการตั้งถิ่นฐานใหม่” และตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่มีการถอดความออกมาจากจารึก     โดยนอกจากมัมมี่ทั้งสองร่างนี้แล้ว…

  • ย้อนรอยภาพดัง “วันสุดท้ายในเวียดนาม” การรอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ที่ราวกับหลุดมาจากในหนัง

    ย้อนรอยภาพดัง “วันสุดท้ายในเวียดนาม” การรอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ที่ราวกับหลุดมาจากในหนัง

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1975 ในช่วงเวลาสุดท้ายแห่งสงครามเวียดนาม ราวๆ หนึ่งวันก่อนที่ทางเวียดนามเหนือจะบุกเข้ายึดกรุงไซ่ง่อน นักข่าวชาวดัตช์ ชื่อ Hugh Van Es ได้ถ่ายภาพภาพหนึ่งเอาไว้ และในเวลาต่อมา ภาพดังกล่าวนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในภาพตำนานของสงครามเวียดนาม     นี่คือภาพถ่ายที่เป็นที่รู้จักกันในนาม “Last Days in Vietnam” หรือ “วันสุดท้ายในเวียดนาม” ภาพของกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังรอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐฯ เพื่อเดินทางออกไปจากประเทศ ก่อนที่กองกำลังของศัตรูจะมาถึง ภาพที่เห็นนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักข่าวยูไนเต็ดเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล และถูกเชื่อกันว่าเป็นภาพการลี้ภัยของเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามอ้างอิงจาก Hugh Van Es ผู้ถ่ายภาพเอง คนที่เราเห็นในภาพจริงๆ แล้วน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ CIA มากกว่า อย่างอิงจากการที่ภาพนี้ถูกถ่ายมาจากอาคารใกล้ๆ อะพาร์ตเมนต์พิตต์แมน ซึ่งในช่วงสงครามถูกใช้เป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ CIA ที่ประจำการในเวียดนาม   ภาพ Last Days in Vietnam แบบไม่ผ่านการตัดต่อ   ดูเหมือนว่าความเข้าใจผิดส่วนใหญ่ของรูปนี้ จะมาจากการที่ฝ่ายบรรณาธิการของสำนักข่าว…

  • เจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย พบงูประหลาดที่มีสามตา เชื่อเป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ

    เจ้าหน้าที่ออสเตรเลีย พบงูประหลาดที่มีสามตา เชื่อเป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ

    เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นในประเทศออสเตรเลีย ได้ออกมาประกาศการค้นพบสุดแปลกในประเทศ หลังเมื่อทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งออสเตรเลีย ได้ทำการค้นพบ “งูสามตา” เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา     งูตัวดังกล่าวนี้ ถูกพบในพื้นที่ป่าใกล้ๆ ถนนของเมือง Humpty Doo เมืองทางตะวันตกของเมือง ดาร์วิน โดยมีอายุราวๆ 2 เดือน และมีลักษณะเด่นอยู่ที่ดวงตาที่สาม ซึ่งงอกออกมาจากกลางหัวอย่างน่าประหลาด อ้างอิงจากแหล่งข่าว งูตัวดังกล่าวเป็นลูกงูหลามคาเพด ซึ่งเป็นงูสายพันธุ์ท้องถิ่น ซึ่งตามปกติจะมีความยาวได้มากถึง 3 เมตร อย่างไรก็ตาม งูที่พบกลับมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก ด้วยความยาวเพียงแค่ 40 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีกว่างูตัวดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงเติบโต     อ้างอิงจากข้อมูลที่ออกมา เมื่อทีมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่านำงูตัวดังกล่าวไปทำการเอกซเรย์ พวกเขาก็พบว่า งูตัวดังกล่าวนี้ไม่ได้มีสองหัวรวมกันอย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนคาดการณ์ไว้ เพราะมันมีกะโหลกเพียงชิ้นเดียว แต่กลับมีช่องดวงตาเพิ่มขึ้นมาและสามารถใช้การได้ นี่นับว่าเป็นหลักฐานที่ดีว่าตาที่ 3 ของงูตัวนี้นั้น น่าจะเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ มากกว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากมลพิษ     น่าเสียดายที่ตาที่…

  • นักโบราณคดี พบหลักฐาน “มนุษย์เดนิโซแวน” นอกไซบีเรียเป็นครั้งแรก ในที่ราบสูงที่ทิเบต

    นักโบราณคดี พบหลักฐาน “มนุษย์เดนิโซแวน” นอกไซบีเรียเป็นครั้งแรก ในที่ราบสูงที่ทิเบต

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่า ในยุคอดีตเมื่อราวๆ แสนกว่าปีก่อน มนุษย์เรามีญาติๆ อยู่บนโลกหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล หรือมนุษย์เดนิโซแวน น่าเสียดายที่ผ่านมาทีมนักวิทยาศาสตร์กลับไม่เคยมีการพบหลักฐานของมนุษย์เดนิโซแวน นอกพื้นที่ของไซบีเรียเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้การศึกษามนุษย์สายพันธุ์นี้เป็นไปได้อย่างค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับมนุษย์นีเอนเดอร์ธัล ที่ช่วงหลังๆ มามีงานวิจัยใหม่ๆ ปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ   ในอดีตหลักฐานของมนุษย์เดนิโซแวน มักจะถูกพบเฉพาะที่ถ้ำเดนิโซวาในไซบีเรีย   อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เอง เหล่าผู้คนที่วิจัยเรื่องราวของมนุษย์เดนิโซแวนก็ได้พบกับข่าวดีกันจนได้ เพราะเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา ได้มีการออกมาเปิดเผยจากทีมนักโบราณคดีว่า พวกเขาได้ทำการค้นพบร่องรอยของมนุษย์เดนิโซแวน ในแหล่งโบราณคดีอื่นๆ นอกจากที่ถ้ำเดนิโซวาในไซบีเรียแล้วนั่นเอง     โดยข่าวการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบกระดูกส่วนขากรรไกรของมนุษย์โบราณที่มีการค้นพบในถ้ำบนที่ราบสูงทิเบตตั้งแต่เมื่อปี 1980 และพบว่า โครงกระดูกที่พวกเขาเก็บกู้มา จริงๆ แล้วเป็นของมนุษย์เดนิโซแวนที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงทิเบต และมีอายุอย่างต่ำๆ ถึง 160,000 ปี นี่นับเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก เพราะกระดูกชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานของมนุษย์เดนิโซแวน ชิ้นแรกที่ถูกพบนอกพื้นที่ไซบีเรียเท่านั้น แต่ด้วยอายุของมัน ยังทำให้พวกเราทราบด้วยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มนุษย์เดนิโซแวน จะอาศัยอยู่บนที่ราบสูงทิเบตมาก่อนมนุษย์สายพันธุ์โฮโมในปัจจุบันเสียอีก   ราบสูงทิเบต อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,000 เมตร ซึ่งมากกว่าถ้ำที่ไซบีเรีย ซึ่งมีความสูงเพียง…

  • พบหลักฐานป้อมปราการของ “ทาสที่เป็นอิสระ” ในศตวรรษที่ 19 หลังเหตุเฮอร์ริเคนที่ฟลอริดา

    พบหลักฐานป้อมปราการของ “ทาสที่เป็นอิสระ” ในศตวรรษที่ 19 หลังเหตุเฮอร์ริเคนที่ฟลอริดา

    ในตอนที่เฮอร์ริเคนไมเคิลพัดถล่มรัฐฟลอริดาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2018 มันได้สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนไปจำนวนไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ตามการมาของเฮอร์ริเคนลูกนี้ก็ใช่ว่าจะนำมาเพียงแค่ข่าวร้ายเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่มันพัดผ่านรัฐฟลอริดา เฮอร์ริเคนลูกนี้ก็ได้ทำให้นักโบราณคดีได้พบกับร่องรอยของป้อมปราการในสมัยโบราณด้วย ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีเล็กๆ ที่เกิดมาในภัยพิบัติทางธรรมชาติเลยก็ว่าได้     โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางรัฐมีการเข้าไปสำรวจต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่ถูกพัดจนโค่นแบบถอนรากถอนโคนโดยเฮอร์ริเคน และพบว่าที่ข้างใต้ของต้นไม้นั้นมีกระสุนและวัตถุโบราณจำนวนหนึ่งฝังอยู่ เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเหล่านักโบราณคดี พวกเขาก็วิเคราะห์ออกมาว่ากระสุนและวัตถุโบราณเหล่านี้น่าจะเป็นของป้อมปราการที่ชื่อว่า “Fort Gadsden” ซึ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เคยเป็นที่กบดานของเหล่าทาส ที่ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ     Rhonda Kimbrough ผู้จัดการโครงการมรดกและป่าสงวนแห่งชาติในฟลอริดาบอกว่า “แห่งโบราณคดีแห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในจุดสำคัญจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติอเมริกัน”  นั่นเพราะในอดีตที่แห่งนี้นับว่าเป็น “ศูนย์กลางของเหล่าทาสผู้เป็นอิสระ และเหล่าผู้ต่อต้านการเป็นทาส” เลยก็ไม่ผิดนัก ป้อมปราการแห่งนี้ มีบทบาทค่อนข้างมากในสงครามระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษในปี 1812-1815 และเป็นที่อยู่ของคนราวๆ 3,500-5,000 ชีวิต อย่างไรก็ตามด้วยความที่อดีตทาสเหล่านี้สนับสนุนฝั่งอังกฤษ หลังจากที่สงครามจบลงที่แห่งนี้จึงแทบไม่เหลือใครอยู่เลย     เท่านั้นยังไม่พอเพราะต่อมาในปี 1816 ป้อมปราการแห่งนี้ก็ถูกโจมตีโดยกองทัพเรือสหรัฐ ส่งผลให้กระสุนที่เก็บไว้ระเบิด และสังหารชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาที่ยังคงเหลืออยู่ไปจนเกือบหมด ทำให้ที่แห่งนี้แทบจะถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์ นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้กลายเป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดีหลายคนมาก ทำให้มีการมอบทุนกว่า 480,000 บาทให้กับทางกรมป่าไม้ เพื่อทำการเก็บกู้วัตถุโบราณเหล่านี้จากในพื้นที่เลย  …

  • บริษัทประมูลสหรัฐฯ จัดประมูลเทปเสียงสนทนาที่ไม่เคยถูกเปิดเผยของ “ไอน์สไตน์”

    บริษัทประมูลสหรัฐฯ จัดประมูลเทปเสียงสนทนาที่ไม่เคยถูกเปิดเผยของ “ไอน์สไตน์”

    ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 เว็บไซต์ประมูลวัตถุโบราณชื่อดังอย่าง “Heritage Auctions” ได้ประกาศเปิดการประมูลวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งจากสถาบันการศึกษาขั้นสูงในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งที่ผ่านๆ มาไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน โดยเจ้าวัตถุโบราณที่ว่านี้คือ เทปแม่เหล็กเก่าแก่ ที่มีการเก็บบันทึกเอาเสียงของ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลก ในระหว่างที่เขาพูดคุยกับเพื่อน ในปี 1951 เอาไว้     อ้างอิงจากทางสถาบันที่นำเทปนี้ออกประมูล บทสนทนาที่อยู่ในเทปนี้ เป็นบทสนทนาความยาวราวๆ 33 นาทีที่เกิดขึ้นในภาษาอังกฤษ และเกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยทั่วไป เช่นการเล่ามุกตลก การพูดคุยเกี่ยวกับความชอบในบทเพลง เรื่อยไปจนการเมืองระดับโลก และการกล่าวถึงอาวุธนิวเคลียร์ ทางผู้นำเทปออกประมูลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทปแม่เหล็กนี้ว่า เดิมทีแล้วบทสนทนานี้ คาดกันว่าถูกบันทึกไว้โดยระบบ LP record หรือ แผ่นเสียง อย่างไรก็ตามเมื่อราวๆ 30 ปีก่อน ได้มีการแปลงสื่อบันทึกเสียงมาเป็นแบบเทปแม่เหล็ก Reel-to-Reel อย่างในปัจจุบัน และแผ่นเสียงดังเดิมเองก็ได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว     หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจของเทปนี้ คือไอน์สไตน์ได้กล่าวกับเพื่อนเขาว่าการที่รัสเซียตัดสินใจสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองขึ้นมาอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็เป็นได้ เพราะมันจะเป็นการดีต่อ “ความผาสุกของโลก” มากกว่าหากสหรัฐฯ…

  • นักบรรพชีวิน พบกิ้งกือโบราณสายพันธุ์ใหม่ในอำพันที่พม่า คาดมีอายุถึง 99 ล้านปี

    นักบรรพชีวิน พบกิ้งกือโบราณสายพันธุ์ใหม่ในอำพันที่พม่า คาดมีอายุถึง 99 ล้านปี

    ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 99 ล้านปีก่อน ในยุคครีเทเชียส ยังมีกิ้งกือตัวหนึ่งคลานอยู่ในป่าลึกที่ในเวลาต่อมากลายเป็นพื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” มันสามารถรอดชีวิตจากการถูกเหยียบโดยไดโนเสาร์มาได้อย่างยาวนาน แต่สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงเพราะตกลงไปในยางของต้นไม้ แน่นอนว่ายางไม้เหล่านั้นค่อยๆ กลายสภาพไปเป็นอำพันตามกาลเวลา และเมื่อเวลาผ่านไป กิ้งกือตัวดังกล่าวก็ถูกพบโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์จนได้     การค้นพบในครั้งนี้ขึ้นในประเทศพม่าเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Zookeys ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาก และเชื่อกันว่าเป็นกิ้งกือสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยออกมากิ้งกือที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นกิ้งกือตัวเมียที่มีขนาดราวๆ 8.2 มิลลิเมตร ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในอำพันในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ในสภาพโค้งงอเป็นตัว S และมีลำตัวแบ่งออกเป็นปล้องๆ จำนวน 35 ปล้อง และมีถุงแบบพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเก็บอสุจิจากตัวผู้ไว้ใช้งานในภายหลังอยู่ที่บริเวณใต้ตัว   รูปสามมิติที่สร้างขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ของกิ้งกือที่พบ   นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อให้กิ้งกือที่พวกเขาพบตัวนี้ว่า “Burmanopetalum inexpectatum” และพบว่ากิ้งกือที่พวกเขาพบนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในหลักฐานของกิ้งกือโบราณที่มีความเก่าแก่มากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบมาเลย จุดเด่นที่น่าสนใจและทำให้กิ้งกือตัวนี้มีความแตกต่างไปจากกิ้งกือตัวอื่นๆ ที่เราเคยพบนั้น อยู่ที่ดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน เพราะกิ้งกือตัวนี้นั้นมีตาที่ประกอบไปด้วยหน่วยรับแสงเพียง 5 หน่วย ซึ่งนับว่าน้อยมากๆ ในหมู่กิ้งกือที่ตามปกติจะมีหน่วยรับแสงราวๆ 30 หน่วย    …

  • การวิจัยฟอสซิลวาฬสีน้ำเงินที่ใหญ่ที่สุดพบ พวกมันตัวใหญ่แบบนี้มานานกว่า 1.5 ล้านปีแล้ว

    การวิจัยฟอสซิลวาฬสีน้ำเงินที่ใหญ่ที่สุดพบ พวกมันตัวใหญ่แบบนี้มานานกว่า 1.5 ล้านปีแล้ว

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 ที่ใกล้ๆ เมือง Matera ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ชาวนาคนหนึ่งได้ทำการค้นพบฟอสซิลโบราณที่มีขนาดถึง 26 เมตร และทราบในเวลาต่อมาว่าฟอสซิลที่เขาพบนั้นแท้จริงแล้วคือ ฟอสซิลของวาฬสีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก (แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าวาฬสีน้ำเงินในปัจจุบันก็ตาม)     ในเวลานั้น ฟอสซิลที่พบได้ถูกส่งไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ และมีเหล่านักวิทยาศาสตร์มากมายที่เข้ามาตรวจสอบฟอสซิลชิ้นนี้ โดยที่หนึ่งในนั้นก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย พวกเขาได้ทำการวิจัยฟอสซิลชิ้นนี้มาเป็นเวลานานจนกระทั่งพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอดีตของการวิวัฒนาการของวาฬสีน้ำเงินที่ว่าวาฬเหล่านี้อาจจะมีชีวิตอยู่บนโลกมาตั้งแต่ช่วงยุคไพลสโตซีน เมื่อ 1.2-1.5 ล้านปีก่อนแล้ว   ฟอสซิลส่วนกะโหลก เมื่อมองจากด้านหลัง   การค้นพบในครั้งนี้นับว่าต่างไปจากข้อสันนิษฐานที่ผ่านๆ มาของวาฬสีน้ำเงินมาก เพราะในสมัยก่อนเราเคยคิดกันว่าวาฬสีน้ำเงินนั้น เป็นสัตว์ที่เพิ่งปรากฏตัวบนโลกในยุคหลังๆ และมีขนาดตัวที่พัฒนาขนาดขึ้นจากวาฬธรรมดาอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าหากเทียบฟอสซิลวาฬสีน้ำเงินชิ้นนี้เข้ากับ วาฬสีน้ำเงินที่ในปัจจุบัน และฟอสซิลวาฬอื่นๆ ในอดีตแล้ว เราจะเห็นได้ว่าวาฬสีน้ำเงินนั้น แท้จริงแล้วมีการพัฒนาตัวที่ใหญ่ขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ก้าวกระโดดอย่างที่เราเคยคิด   แผนภูมิขนาดตัวของวาฬสีน้ำเงินที่เคยมีการพบมา โดยวาฬซึ่งพบที่ Matera จะเป็นจุดสีแดงที่อยู่บริเวณด้านขวาของแผนภูมิ   Felix Marx นักบรรพชีวินวิทยาหนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า การค้นพบในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่เลย เพราะการที่สัตว์จะขยายตัวจนมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ได้ หากคิดกันตามปกติก็น่าจะต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ทั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังบอกไว้อีกว่าหากแนวคิดของพวกเขาถูกต้องจริงๆ ไม่แน่ว่าในอนาคต เราจะสามารถเห็น…

  • พบ กระดูกหมีและหมาป่าจากยุคน้ำแข็งที่เม็กซิโก คาดมนุษย์อาจอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านี้ในอดีต

    พบ กระดูกหมีและหมาป่าจากยุคน้ำแข็งที่เม็กซิโก คาดมนุษย์อาจอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านี้ในอดีต

    ลึกลงไปราวๆ 55 เมตร ใต้น้ำของเครือข่ายถ้ำ “Yucatán Peninsula” ในประเทศเม็กซิโก เหล่าทีมนักดำน้ำได้ทำการค้นพบกระดูกของสัตว์สมัยโบราณสองชนิด ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่บนโลกในยุคน้ำแข็งเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน โดยกระดูกของสัตว์ที่ถูกพบในครั้งนี้ เป็นของหมีสายพันธุ์ “Arctotherium wingei” และสุนัขโบราณที่มีลักษณะคล้ายหมาป่าชื่อ “Protocyon troglodytes” ซึ่งสัตว์ทั้งสองสายพันธุ์นี้ เชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว   กระดูกของ Protocyon troglodytes   นี่ถือเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อปี 2007 นักโบราณคดีก็เคยมีการพบร่างของมนุษย์เพศหญิงที่อาศัยอยู่ที่นี่ในช่วงยุคใกล้เคียงกัน ดังนั้นการค้นพบในครั้งนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ว่ามนุษย์อาจจะเคยอาศัยอยู่กับสัตว์ป่าหลากหลายชนิดกว่าที่เราคิด อ้างอิงจากทีมนักสำรวจ ตามปกติพื้นที่ที่มีอาการร้อนชื้นอย่างเม็กซิโกนั้นตามปกติแล้วจะไม่เหมาะสมกับการรักษาสภาพซากสัตว์หรือโครงกระดูก แต่โชคดีที่โครงกระดูกเหล่านี้ถูกเก็บไว้ใต้น้ำทะเลลึก ดังนั้นพวกมันจึงรอดจากการถูกย่อยสลายตามธรรมชาติมาได้อย่างที่เห็น   กระดูกของ Arctotherium wingei   แถมเรื่องที่ว่ามนุษย์อาศัยกับสัตว์เองก็ไม่ใช่ความรู้เพียงอย่างเดียวที่เราได้รับจากการค้นพบในครั้งนี้ด้วย เพราะเดิมทีแล้ว Arctotherium wingei และ Protocyon troglodytes นั้น ถูกเชื่อมาตลอดว่าอาศัยอยู่ในแถบอเมริกาใต้เท่านั้น แต่จากการค้นพบในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วพวกมันจะอาศัยอยู่ทางเหนือมากกว่าเราคิดถึง 2,000 กิโลเมตร เป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วสัตว์ทั้งสองชนิดนี้จะอาศัยอยู่ในทางเหนือในช่วงแรกๆ ก่อนที่จะอพยพไปยังทางใต้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง…

  • ชมเทศกาล “นากิซูโม่” เทศกาลสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่นักซูโม่จะแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้”

    ชมเทศกาล “นากิซูโม่” เทศกาลสุดแปลกของญี่ปุ่น ที่นักซูโม่จะแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้”

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นประเทศที่มีประเพณีและงานเทศกาลแปลกๆ อยู่ค่อนข้างมาก เพราะอย่างเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ที่จังหวัดคานางาวะก็เพิ่งจะมีการจัดเทศกาล “คานามาระ มัตสุริ” หรือเทศกาลแห่ลึงค์กันไปอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้คนเข้าชมเป็นจำนวนมาก (อ่านข่าวเกี่ยวกับเทศกาลนี้ได้ที่ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV)     แต่เทศกาลที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เทศกาลแปลกๆ เพียงอย่างเดียวที่จัดขึ้นในเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเสียด้วย เพราะในช่วงปลายเดือนเดียวกันเอง ที่ญี่ปุ่นก็มีการจัดเทศกาลสุดแปลกขึ้นมาอีกอัน โดยคราวนี้เป็นเทศกาลแข่งกัน “ทำให้เด็กร้องไห้” ของเหล่าซูโม่ ที่มีชื่อว่า “นากิซูโม่” (泣き相撲) นั่นเอง โดยชื่อของเทศกาลนี้ ก็เกิดจากการรวมคำว่า “นากิ” ที่แปลว่าร้องไห้ เข้ากับคำว่า “ซูโม่” แบบตรงๆ เลย และมีจุดเด่นของงานอยู่ที่นักซูโม่จะอุ้มเด็กๆ มาในลานประลองและพยายามเชียร์ให้เด็กร้องไห้แข่งกันนั่นเอง     นี่อาจจะเป็นเทศกาลที่ดูแปลก และเหมือนกับการแกล้งเด็กในสายตาคนหลายๆ คนอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นประเพณี ที่สืบทอดกันมาถึง 400 ปีภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เด็กที่ร้องไห้จะเป็นเด็กที่เติบโต” และการร้องไห้ของเด็กๆ จะช่วยไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปได้ กฎการแข่งขันในครั้งนี้ก็ง่ายๆ ฝ่ายไหนส่งเสียงเชียร์ “นากิ!…

  • ชมภาพจำลอง “ซูเปอร์โนวา” แบบสามมิติจากสถาบันสมิธโซเนียน ที่มีดีกว่าแค่รูป 360 องศา

    ชมภาพจำลอง “ซูเปอร์โนวา” แบบสามมิติจากสถาบันสมิธโซเนียน ที่มีดีกว่าแค่รูป 360 องศา

    ในยามที่ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ในอวกาศสิ้นอายุขัยลง พวกมันมีโอกาสที่จะระเบิดออกพร้อมพลังงานมหาศาล ในเหตุการณ์ที่เรารู้จักกันในนาม “ซูเปอร์โนวา” การระเบิดของก๊าซและฝุ่นละอองที่สามารถขยายสู่อวกาศได้ไกลหลายสิบหลายร้อยปีแสง     ที่ผ่านๆ มาการที่เราจะเห็นร่องรอยของซูเปอร์โนวาได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีกล้องโทรทรรศน์ประสิทธิภาพสูงที่มากๆ เท่านั้น แต่แล้วในปัจจุบัน ด้วยความก้าวไกลที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี ในที่สุดเพื่อนๆ ก็สามารถเข้าไปชมภาพร่องรอยของซูเปอร์โนวาแบบชัดเจน 360 องศาได้แล้ว เมื่อทางสถาบันสมิธโซเนียนได้ทำการ จำลองใจกลางของสิ่งที่เหลืออยู่จากซูเปอร์โนวา มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันด้วยตาของตัวเองในระบบ 3 มิติ   เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชม ร่องรอยของซูเปอร์โนวาด้วยตัวเองได้ ที่นี่ คำเตือน หน้าเว็บอาจใช้เวลาโหลดค่อนข้างนาน และไม่เหมาะกับการดูด้วยมือถือ   แบบจำลองชิ้นนี้เชื่อกันว่าเป็นแบบจำลองของสิ่งที่เหลืออยู่จากซูเปอร์โนวา “Cassiopeia A” ซึ่งมีสภาพเป็นฝุ่นอวกาศหลากสีกว้าง 10 ปีแสง ซึ่งอยู่ห่างการโลกออกไปประมาณ 11,000 ปีแสง และเป็นการจำลองขึ้นจากข้อมูลการสังเกตการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยหอสังเกตการณ์ทั่วสหรัฐอเมริกา     อ้างอิงจากข้อมูลของนักดาราศาสตร์ Cassiopeia A ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในปี 1947 และเชื่อว่ามันน่าจะสังเกตได้จากบนโลกมาตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อนแล้ว โดยกลุ่มฝุ่นอวกาศเหล่านี้มีความเป็นไปได้ว่าจะยังขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ แม้ในปัจจุบัน ด้วยความเร็ว…

  • นักวิทย์พบ พบโคเคนปนเปื้อนในกุ้งจากแม่น้ำ 15 แห่งที่อังกฤษ หวั่นส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม

    นักวิทย์พบ พบโคเคนปนเปื้อนในกุ้งจากแม่น้ำ 15 แห่งที่อังกฤษ หวั่นส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม

    เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอน และมหาวิทยาลัยซัฟฟอล์ก ได้ออกมาประกาศการค้นพบสุดแปลก เมื่อพวกเขาพบว่ากุ้งในแม่น้ำกว่า 15 แห่งในเทศมณฑลซัฟฟอล์กประเทศอังกฤษ มีการปนเปื้อนของสารเสพติดหลายชนิด     อ้างอิงจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขาออกสำรวจสารมลพิษขนาดเล็ก (Micropollutants) ในสัตว์น้ำ เพื่อหาว่าโรงงานอุตสาหกรรมของมนุษย์ส่งผลเช่นไรกับสัตว์น้ำในพื้นที่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาออกตรวจสอบสัตว์น้ำจริงๆ พวกเขากลับพบว่ากุ้งที่จับมาเป็นตัวอย่างนั้น มีร่องรอยของการปนเปื้อนสารเสพติดจำนวนมาก ทั้งโคเคน เคตามีน (ยาเค) แถมยังมีร่องรอยของยาที่ส่งผลทางประสาท อย่างยาไดอะซีแพม ยาอัลปราโซแลม และยาอื่นๆ ที่อาจมีอันตรายต่อมนุษย์อีกหลายชนิด ในบรรดาสารแปลกปลอมที่มีการพบในตัวกุ้งนั้น โคเคนเป็นสารที่มีการพบได้มากที่สุด โดยทีมนักวิทยาศาสตร์สามารถพบสารตัวนี้ได้ในตัวอย่างกุ้ง “ทุกตัว” ที่พวกเขาจับมา ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทีมวิจัยเป็นอย่างมาก   พื้นที่ที่มีการเก็บตัวอย่างกุ้งมาตรวจสอบ   จริงอยู่ว่าปริมาณของยาเหล่านี้จะอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่มนุษย์ใช้ก็ตาม แต่มันก็เป็นปริมาณที่มากพอที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่าได้ ทีมนักวิจัยคาดว่าที่กุ้งแม่น้ำมีการปนเปื้อนเช่นนี้ อาจจะมาจากการที่ผู้คนเทสารเสพติดทิ้งลงท่อน้ำด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าเสียดายมากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถติดตามร่องรอยของการปนเปื้อนไปยังแห่งที่มาของสารผิดกฎหมายเหล่านี้ได้     สิ่งที่พวกเขาทำได้ในปัจจุบัน คือการตั้งความหวังการการค้นพบนี้จะช่วยเตือนให้ผู้คนทราบถึงความเสี่ยงของระบบนิเวศที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ก็เท่านั้น ส่วนการจะชี้ชัดถึงปริมาณการปนเปื้อนจริงๆ ในระบบนิเวศ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป   ที่มา…

  • นักวิทย์เผย มีอุกกาบาตพุ่งชนดวงจันทร์ ในระหว่างเกิดจันทรุปราคาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    นักวิทย์เผย มีอุกกาบาตพุ่งชนดวงจันทร์ ในระหว่างเกิดจันทรุปราคาเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

    หากยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โลกของเราได้มีโอกาสพบกับเหตุการณ์จันทรุปราคาแบบเต็มดวง และกลายเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก     ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในระหว่างที่เกิดจันทรุปราคาในวันนั้น บนดวงจันทร์เองก็ยังมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งด้วย โดยที่แทบไม่มีใครเลยที่รู้สึกตัว นั่นเพราะเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา วารสารดาราศาสตร์มีชื่ออย่าง  Monthly Notice of the Royal Astronomical Society ได้ออกมาเปิดเผยว่าในระหว่างจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 21 มกราคมนั้น ได้มีเหตุอุกกาบาตพุ่งเข้าชนดวงจันทร์เกิดขึ้นด้วย     อ้างอิงจากข้อมูลที่มีการเปิดเผยออกมา อุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ในวันนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 30-60 เซนติเมตร พุ่งเข้าชนดวงจันทร์ด้วยความเร็วราวๆ 61,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เมตรแห่งใหม่ขึ้นบนดวงจันทร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นถูกพบเห็นโดยเหล่านักดาราศาสตร์หลายคนทั่วโลก เนื่องจากในตอนที่การพุ่งชนเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดแสงสว่างวาบที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตามกว่าที่พวกเขาจะระบุได้ว่าอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนดวงจันทร์มีขนาดและรูปร่างอย่างไรนั้น มันก็หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาเป็นเดือน ในการตรวจสอบภาพที่มีการบันทึกไว้ในกล้องโทรทรรศน์แปดตัวทางตอนใต้ของสเปนเลย     พวกเขาบอกว่าแสงที่เกิดขึ้นนี้ มาจากอุณหภูมิของจุดปะทะที่พุ่งขึ้นสูงกว่า 5,400 องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าเป็นความร้อนที่พอๆ กับพื้นผิวของดวงอาทิตย์…

  • ย้อนรอย “ซาราห์ วินเชสเตอร์” ผู้สร้างคฤหาสน์วินเชสเตอร์ ที่ต้องคอยหนีคนตายอยู่ทั้งชีวิต

    ย้อนรอย “ซาราห์ วินเชสเตอร์” ผู้สร้างคฤหาสน์วินเชสเตอร์ ที่ต้องคอยหนีคนตายอยู่ทั้งชีวิต

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “ซาราห์ วินเชสเตอร์” กันไหม เธอคือหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้สร้างคฤหาสน์วินเชสเตอร์ สิ่งปลูกสร้างสุดแปลกที่ราวกับเป็นเขาวงกตในรูปแบบบ้านของสหรัฐอเมริกา     ซาราห์ วินเชสเตอร์ เกิดในเมือง New Haven รัฐคอนเนตทิคัต ในฐานะลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะในช่วงปี 1840 และเธอเองก็เรียกได้ว่าเป็นลูกคุณหนูมากๆ มาตั้งแต่เกิดด้วย ฐานะของเธอนี้เอง ที่ทำให้หญิงสาวได้แต่งงานกับ วิลเลียม วินเชสเตอร์ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลวินเชสเตอร์ ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตปืนไรเฟิลรายใหญ่ของประเทศซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นกุญแจสำคัญในสงครามกับอินเดียนแดง และได้รับทรัพย์สินมหาศาลมาเป็นการตอบแทน   Model 1873 หนึ่งในปืน Winchester ที่ประสบความสำเร็จที่สุด   อย่างไรก็ตามชีวิตหลังแต่งงานของซาราห์กลับไม่มีดีอย่างที่เธอหวังสักเท่าไหร่ เพราะตัวเธอต้องเสียลูกสาวที่คลอดมาได้แค่ 40 วันด้วยโรคมาราสมัส (ภาวะที่ร่างกายเด็กขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่างรุนแรง) แถมต่อมาในปี 1880 วิลเลียมผู้เป็นสามีของเธอก็ต้องมาป่วยตายด้วยวัณโรคอีก นั่นทำให้แม้ซาราห์จะมีเงินมากมายใช้ยังไงก็ไม่หมด แต่เธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว จนเจ้าตัวเริ่มคิดว่าเงินที่ตัวเองมีนั้นเป็นเงินเปื้อนเลือดที่ได้มาจากการขายอาวุธสงครามชัดๆ และอ้างอิงจากคนรู้จักหลายๆ คน ซาราห์รู้สึกว่าตัวเองจะต้องทุกข์ทรมานจากวิญญาณของคนที่ตายไป     ความรู้สึกนี้เองทำให้ซาราห์ตัดสินใจสร้างคฤหาสน์วินเชสเตอร์ขึ้น โดยเป็นการสร้างแบบไม่มีแบบแปลน และทำการต่อเติมบ้านไปเรื่อยๆ แบบไม่เคยหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้วิญญาณร้ายสับสนและหลงทางอยู่ในบ้านจนไม่สามารถตามมาเล่นงานเธอได้…

  • ชม 21 ภาพรัฐอะแลสกาในช่วงปี 1896-1899 ความงามทางเหนือ ที่ไม่ได้มีแต่น้ำแข็ง

    ชม 21 ภาพรัฐอะแลสกาในช่วงปี 1896-1899 ความงามทางเหนือ ที่ไม่ได้มีแต่น้ำแข็ง

    เมื่อพูดถึงรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าภาพลักษณ์ในหัวของหลายๆ คนก็คงไม่พ้นพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งออกมาก่อนเป็นอย่างแรก แต่แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ดูจะหนาวเย็นแค่ไหนก็ตาม รัฐอะแลสกานั้นก็มีเสน่ห์มากกว่าแค่น้ำแข็งอย่างแน่นอน แถมยังไม่ใช่แค่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ที่แห่งนี้ยังสวยมาตั้งแต่ในอดีตแล้วด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปชมภาพของรัฐอะแลสกาในช่วงปี 1896-1899 ต่อไปนี้ดูสิ ไม่แน่ว่าเพื่อนๆ อาจจะชอบอีกมุมหนึ่งที่เราไม่ค่อยจะเห็นกันของที่แห่งนี้เลยก็เป็นได้   เริ่มกันจากชายหนุ่มกับจักรยานคู่ใจกลางแดดอุ่นๆ   บรรยากาศหุบเขา Miles Canyon .   แม่น้ำ Sixtymile ห่างออกไปจากหุบเขา Miles Canyon เล็กน้อย   การเดินทางบนถนนที่ Skagway   ส่วนหนึ่งของทะเลสาบ Bennett   วิวของ Skagway ที่มองจากท่าเรือ   การใช้ชีวิตใน Skagway เมื่อปี 1898 .   เรือพลังไอน้ำบนทะเลสาบ Devils Lake   เรือพลังไอน้ำที่ Seattle   เรือ Str Dora ที่ท่าเรือ…

  • ย้อนรอย เรื่องราวของ Hannelore Schmatz ผู้หญิงคนแรก ที่จบชีวิตลงบนเอเวอเรสต์

    ย้อนรอย เรื่องราวของ Hannelore Schmatz ผู้หญิงคนแรก ที่จบชีวิตลงบนเอเวอเรสต์

    เคยได้ยินเรื่องราวของคุณ Hannelore Schmatz กันไหม เธอคือหนึ่งในนักปีนเขาจำนวนมากที่ขึ้นไปท้าทายยอดเขาเอเวอเรสต์ และได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ต้องจบชีวิตลงในระหว่างการท้าทายยอดเขาสูง ในปี 1979     Hannelore Schmatz และสามีของเธอ Gerhard นั้นเป็นคู่รักที่ชอบปีนเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนจะเดินทางมาปีนเขาเอเวอเรสต์ด้วยกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1979 พวกเขานั้นเป็นนักปีนเขาที่มีประสบการณ์มาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สามีภรรยาคู่นี้จะสามารถพิชิตเขาเอเวอเรสต์ได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก อย่างไรก็ตามการปีนเอเวอเรสต์ของพวกเขาก็นับเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ เพราะในเวลานั้น คุณ Gerhard ได้ชื่อว่าเป็นคนที่อายุเยอะที่สุดที่พิชิตเขาเอเวอเรสต์เลย     อย่างไรก็ตามความดีใจของ Hannelore และ Gerhard ก็ไม่ได้คงอยู่ยาวนานอย่างที่พวกเขาหวัง เพราะในระหว่างที่ทั้งคู่และทีมนักปีนเขาอีกจำนวนหนึ่ง เดินทางกลับลงมาจากยอดเขา พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องน่าเศร้าเข้าจนได้ นั่นเพราะในระหว่างที่เดินทางกลับลงมา Hannelore และเพื่อนนักปีนเขาของเธอ Ray Genet ได้มีอาการเหนื่อยอ่อนมากจนไม่สามารถเดินทางต่อได้ ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจตั้งค่ายพักแรมเล็กๆ ขึ้นเพื่อพักเอาแรง แม้ว่าคนนำทางจะบอกให้พวกเธอฝืนเดินทางต่อไปสักนิดเพื่อให้ถึงที่พักก็ตาม     แน่นอนว่านั่นไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเลย เพราะที่ที่พวกเธออยู่นั้นเป็นหนึ่งในจุดที่เรียกกันว่า “Death Zone” พื้นที่ซึ่งตอนกลางคืนจะมีพายุหิมะรุนแรงจนทั้งสองคนไม่มีโอกาสได้ลงมาพบอากาศอบอุ่นอีกต่อไป จากการสันนิษฐานของผู้เชี่ยวชาญคุณ Genet เสียชีวิตไปก่อนคุณ Hannelore เล็กน้อยด้วยภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ…

  • พบซากงูพิษพร้อมเขี้ยว ในอุจจาระมนุษย์โบราณอายุ 1,500 ปี คาดถูกกินทั้งตัวแบบไม่ปรุง

    พบซากงูพิษพร้อมเขี้ยว ในอุจจาระมนุษย์โบราณอายุ 1,500 ปี คาดถูกกินทั้งตัวแบบไม่ปรุง

    เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการค้นพบสำคัญๆ ของนักโบราณคดี บางครั้งก็จะเกิดขึ้นในที่ที่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการพบดาบโบราณในท่อน้ำทิ้ง หรือการพบสุสานโบราณในระหว่างการสร้างบ้าน และล่าสุดนี้เองเหล่านักโบราณคดีก็ได้พบกับ การค้นพบสำคัญๆ ในที่แปลกๆ อีกครั้ง เมื่อพวกเขาได้ทำการค้นพบซากงูแบบที่ยังมีเขี้ยวอยู่ด้วย ในฟอสซิลอุจจาระมนุษย์ ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี     การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นที่แห่งโบราณคดีทางตะวันตกเฉียงใต้ของเท็กซัส สถานที่ซึ่งในอดีตเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอย่างรองเท้าแตะ และตะกร้าทอจากเส้นใยพืชจำนวนมาก ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางโบราณคดีของเท็กซัสมาอย่างยาวนาน เหตุผลที่นักโบราณคดีตรวจสอบอุจจาระของมนุษย์โบราณนั้นมีเหตุผลหลักๆ อยู่ที่การเรียนรู้สุขภาพและอาหารการกินของคนในอดีต ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการตรวจสอบสารต่างๆ ที่อยู่ในของเสียจากร่างกาย   การตรวจสอบอุจจาระที่ว่ายังทำให้เราทราบด้วยว่าเจ้าของอุจจาระนี้เคยทานดอกไม้จากต้นยัคคาด้วย   อย่างไรก็ตามการที่นักโบราณพบซากงูในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะแม้ว่าพวกเขาจะทราบว่าคนในสมัยนั้นกล้าพอที่จะกินสัตว์ฟันแทะอย่างหนูโดยที่ไม่ได้ปรุงหรือถลกหนังก็ตาม แต่งูนั้นเป็นสัตว์ที่มนุษย์ทราบกันว่าตั้งแต่โบราณว่ามีพิษ และพวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะกินงูมาค่อนข้างนานแล้ว อ้างอิงจากเขี้ยวงูที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่างูที่โดนกินนั้นน่าจะเป็นงูพิษในตระกูลงูหางกระดิ่ง ซึ่งพบได้ง่ายในพื้นที่ แถมดูจากปริมาณและสภาพของเกล็ดที่ยังคงหรืออยู่แล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่างูดังกล่าวถูกกินทั้งตัว โดยที่ไม่ผ่านการปรุง หรือถอดเกล็ด     ลักษณะการกินที่ทั้งแปลกและอันตรายนี้ตามปกติจะไม่เกิดขึ้นแม้คนในพื้นที่จะอดอยาก และแม้จะมีการกินงูเกิดขึ้นจริงๆ โดยมากแล้วคนในสมัยนั้นก็มักจะเลือกงูที่ไม่มีพิษ และปรุงก่อนที่จะกินด้วย ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงมองว่าการกินงูพิษดิบๆ ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของคนสมัยก่อนมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องในจุดนี้เองยังคงเป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานยืนยันของทีมนักโบราณคดีเท่านั้น   ตัวอย่างฟอสซิลอุจจาระที่ถูกใช้ในการทดลอง   และเหตุผลที่คนโบราณจะเสี่ยงชีวิตในการกินงูพิษจริงๆ แล้วจะเป็นอะไรนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เหล่านักโบราณคดี ตั้งเป้าหมายว่าจะค้นหากันต่อไป  …

  • นักโบราณคดีพบ รอยเท้ามนุษย์ที่เก่าที่สุดของอเมริกาในชิลี คาดมีอายุมากถึง 15,600 ปี

    นักโบราณคดีพบ รอยเท้ามนุษย์ที่เก่าที่สุดของอเมริกาในชิลี คาดมีอายุมากถึง 15,600 ปี

    ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2010 ทีมนักโบราณคดีที่นำโดยคุณ Karen Moreno จากมหาวิทยาลัย Austral ได้ทำการขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เมือง Osorno ประเทศชิลี และค้นพบฟอสซิลโบราณของรอยเท้าปริศนาชิ้นหนึ่ง     ในตอนแรกที่มีการค้นพบ พวกเขายังไม่แน่ใจว่ารอยเท้าดังกล่าวเป็นของสัตว์ชนิดใดกันแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาในการตามหาตัวเจ้าของที่แท้จริงของรอยเท้าชิ้นนี้ ด้วยการค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่เป็นไปได้ออกไปทีละนิด จนกระทั่งในที่สุด เหล่านักโบราณคดีก็สามารถตอบคำถามที่ค้างคาได้เสียที เพราะหลังจากที่นั่งตัดตัวเลือกที่เป็นไปได้อยู่มาเกือบ 10 ปี พวกเขาก็พบว่ารอยเท้าที่พวกเขาพบนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นของมนุษย์โบราณนี่เอง แถมยังเป็นรอยเท้าของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาอีกด้วย     โดยรอยเท้าที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบนี้ มีอายุมากถึง 15,600 ปี ซึ่งเก่าแก่กว่าอดีตรอยเท้าที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาถึง 1,000 ปี และเชื่อกันว่าเป็นของมนุษย์ Hominipes modernus เพศชาย ที่มีน้ำหนักราวๆ 70 กิโลกรัม ข้อมูลชิ้นนี้อาจจะเป็นอะไรที่ดูธรรมดา แต่กว่าที่ทีมของคุณ Karen จะได้ข้อมูลเหล่านี้มา พวกเธอก็ต้องทำการทดลองสร้างรอยเท้าเลียนแบบออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยคนที่มีน้ำหนักต่างกัน มุมการเหยียบที่ต่างกัน แถมยังต้องควบคุมความปริมาณน้ำในดินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงที่สุด     อ้างอิงจากผลการทดลอง ชายคนนี้เมื่อ 15,600…

  • นักวิจัยชี้ การมีประสาทรับที่กลิ่นไม่ดียามชรา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตถึง 46%

    นักวิจัยชี้ การมีประสาทรับที่กลิ่นไม่ดียามชรา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตถึง 46%

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนทราบกันดีว่าคนเรานั้นเมื่ออายุมากขึ้นประสาทสัมผัสต่างๆ ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไปจากที่เคยเป็น ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน และสิ่งที่คนไม่ค่อยนึกถึงกันเท่าไหร่อย่างการรับกลิ่น     แต่อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา ไม่แน่เหมือนกันว่า การสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นนั้น อาจจะมีอันตรายก็ที่พวกเราเคยคิดไว้ก็เป็นได้ นั่นเพราะในงานวิจัยชิ้นนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบว่า คนชราที่สูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นไป จะมีโอกาสที่จะเสียชีวิต มากกว่าคนชราที่ยังมีความสามารถในการรับกลิ่นตามปกติอย่างน่าประหลาด     นี่เป็นงานวิจัยที่จัดขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงปี 1997-1998 และนำทีมโดยคุณ Honglei Chen นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกน และมีอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 71-82 ปีเข้าร่วมการทดสอบร่วม 2,300 คน ในการทดสอบนี้เหล่าอาสาสมัครจะได้รับคำสั่งให้ดมกลิ่นที่พบได้บ่อยๆ 12 ชนิด และถูกติดตามจนกระทั่งเสียชีวิต หรือครบ 13 ปี แล้วแต่ว่าอะไรจะมาถึงก่อน   จากข้อมูลในงานวิจัย หนึ่งในกลิ่นที่ถูกใช้ในการทดสอบคือกลิ่นสตรอว์เบอร์รี   โดยผลการทดลองที่ออกมานั้นพบว่าอาสาสมัครที่มีความสามารถในการรับกลิ่นต่ำ จะมีโอกาสเสียชีวิต หลังจากการทดลองเริ่มต้นขึ้น 10…

  • ย้อนรอยภาพ “Falling Man” ชายผู้ตกลงมาจากตึกเวิลด์เทรด ในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน

    ย้อนรอยภาพ “Falling Man” ชายผู้ตกลงมาจากตึกเวิลด์เทรด ในเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน

    วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 สำหรับสหรัฐอเมริกาแล้ววันว่าเป็นหนึ่งในวันที่สำคัญที่สุดและถูกจดจำมาเป็นเวลานานของประเทศเลยก็ไม่ผิดนัก เพราะในวันนี้เป็นวันที่เกิดจากโจมตีพลีชีพในประเทศถึง 4 ครั้ง แถมยังเป็นวันที่พวกเขาต้องเสียประชาชนไปเป็นจำนวนมาก ในเหตุการณ์ที่ตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์อีกด้วย แน่นอนว่าวันสำคัญแบบนี้ ยอมมีรูปสำคัญๆ ถูกถ่ายเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยที่มีหนึ่งในรูปถ่ายเหล่านั้น เป็นรูปของชายคนหนึ่งที่ดิ่งลงมาจากตกโดยเอาศีรษะลง และได้รับชื่อภาพว่า “Falling Man”     ภาพดังกล่าวนี้ถูกจับภาพไว้ได้อย่างพอดิบพอดีโดยช่างภาพจากสำนักข่าว “Associated Press” ชื่อ Richard Drew และน่าสยดสยองมากจนหนังสือพิมพ์ทั่วโลกมีโอกาสได้ลงรูปดังกล่าวเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากเสียงตอบรับที่ค่อนข้าง “รุนแรง” จากประชาชนสหรัฐฯ นี่เป็นภาพที่ดูต่างไปจากภาพอื่นๆ ในวันเดียวกันมาก เพราะมันไม่ได้ดูรุนแรงเต็มไปด้วยระเบิด แต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่ดูสงบนิ่งและน่าขนลุกแทน     เรื่องที่น่าสนใจของภาพนี้คือ Falling Man นั้นน่าจะเป็นคนที่กระโดดออกมาจากตึกด้วยตัวเอง เนื่องจากรู้ตัวว่าตึกจะถล่ม และไม่ต้องการที่จะติดอยู่ในตึกแห่งนั้น โดยที่ในวันนั้น มีรายงานว่ามีคนราวๆ 200 คน ที่เลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองในรูปแบบที่คล้ายๆ กัน แต่แม้ว่าภาพนี้จะเป็นภาพที่โด่งดังเป็นอย่างมากก็ตาม เรากลับไม่อาจทราบว่าคนในภาพนี้นั้นเป็นใครมาจากไหน นั่นเพราะไม่มีใครพบร่างของเขา แถมรูปที่ออกมาเองก็ไม่มีจุดเด่นมากพอที่จะทำให้เราระบุได้ว่าชายคนนี้เป็นใครกันแน่ด้วย   บทสัมภาษณ์คุณ…

  • ชม 21 ภาพเมืองอันเงียบเหงาของประเทศจีน ที่มีคนอยู่น้อยจนถูกเรียกว่าเป็น “เมืองร้าง”

    ชม 21 ภาพเมืองอันเงียบเหงาของประเทศจีน ที่มีคนอยู่น้อยจนถูกเรียกว่าเป็น “เมืองร้าง”

    เมื่อพูดถึงประเทศจีน เชื่อว่าภาพในหัวของเพื่อนๆ หลายคนก็คงไม่พ้นเมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ซึ่งสามารถมองได้ทั้งในมุมมองที่ดีอย่าง “คึกคัก” และในมุมมองที่แย่อย่าง “แออัด” ถึงอย่างนั้นก็ตามคงมีไม่บ่อยนักที่เราจะมีโอกาสได้เห็นประเทศจีนในมุมมองที่ไร้ซึ่งผู้คน แต่เชื่อหรือไม่ว่าประเทศที่เต็มไปด้วยผู้คนอย่างประเทศจีนเองก็มีเมืองที่มีคนน้อยเสียจนถูกเรียกว่าเมืองร้างกับเขาเช่นกัน โดยเมืองเหล่านี้โดยมากแล้วจะถูกทิ้งร้างในระหว่างการก่อสร้างด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง และคาดกันว่ามีอยู่ทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง และในวันนี้เล่าก็จะไปชมส่วนหนึ่งของเมืองร้างที่กล่าวมาข้างบนกัน ไปดูกันดีกว่าว่าเมืองร้างในประเทศที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นจะมีสภาพออกมาแบบไหนกัน   เริ่มกันจากเซ็นทรัลพลาซ่าของเขต Kangbashi เมือง Ordos พื้นที่แถบนี้มีประชาชนอยู่เพียงเคย 10% ของพื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะโล่งๆ อย่างที่เห็น   ร้านค้าในเมืองใหม่ที่มณฑลกว่างโจว ซึ่งไม่รู้ทำไมแต่แทบไม่มีค้นย้ายเข้ามาอยู่เลย   ถนนของเมือง Chenggong ในมณฑลยูนนาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองร้างที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย   พิพิธภัณฑ์ในเมือง Kangbashi พื้นที่ซึ่งขาดผู้อยู่อาศัยจนราคาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ตกลงถึง 70%   การพัฒนาอพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัยใกล้ๆ เมือง Kangbashi แน่นอนว่าแทบไม่มีใครจอง   การก่อสร้างที่ถูกปล่อยทิ้งในเมือง Yulin มณฑลส่านซี   สถานที่ซึ่งควรจะเป็นห้างสรรพสินค้ากลางแจ้งใน Caofeidian ถูกออกแบบตามหมู่บ้านในอิตาลี   ชาวบ้านที่ไปจับปูปลาใน Caofeidian โดยมีสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้ใช้งานเป็นฉากหลัง  …

  • ชม 6 แฟชั่นสุดแปลกจากในอดีต ที่ไม่ใช่แค่ดูเด๋อด๋า แต่บางชิ้นยังเป็นอันตรายต่อผู้ใส่ด้วย

    ชม 6 แฟชั่นสุดแปลกจากในอดีต ที่ไม่ใช่แค่ดูเด๋อด๋า แต่บางชิ้นยังเป็นอันตรายต่อผู้ใส่ด้วย

    ในทางประวัติศาสตร์ หนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยมากที่สุดของมนุษย์ก็คงจะไม่พ้น “แฟชั่น” เพราะแม้เวลาผ่านไปได้แค่ช่วงเวลาเดียว แฟชั่นก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้มากกว่าร้อยๆ แบบ ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยหากในอดีตเราจะพบกับแฟชั่นแปลกๆ ปรากฏออกมาให้เห็นมากมายเต็มไปหมด ในบางครั้ง แฟชั่นเหล่านี้อาจจะเพียงแค่ดูเด๋อด๋า แต่ในแฟชั่นที่ออกมายังอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เหมือนอย่างแฟชั่นสุดแปลก 6 อย่างต่อไปนี้   เริ่มกันจากแฟชั่นอันตรายอย่างชุดสารหนู คงต้องบอกว่านี่เป็นแฟชั่นที่เกิดจากความไม่รู้ของคนสมัยก่อนเป็นหลัก เพราะในยุควิกตอเรีย วัตถุที่เป็นสีเขียวส่วนใหญ่จะถูกผลิตขึ้นจากการย้อมผ้าด้วยสารหนู ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพิษ ถึงอย่างนั้นก็ตามชุดสีเขียวก็เป็นที่ชื่นชอบของคนในสมัยนั้นอยู่ดี ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นสาวๆ มากมายหลายคนที่ทนใส่ชุดนี้แม้พวกเธอจะต้องล้มป่วยจากโรคทางผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสกับสารมีพิษก็ตาม   รองเท้าดอกบัว แน่นอนว่าหากพูดถึงแฟชั่นอันตรายแล้ว คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พูดถึงรองเท้าจิ๋วของทางประเทศจีน เพราะแฟชั่นอันนี้นั้นมาพร้อมกับ “ประเพณีรัดเท้า” อันขึ้นชื่อเรื่องความเจ็บปวดเลย ประเพณีรัดเท้า เป็นความพยายามของผู้หญิงชาวจีนสมัยก่อนที่จะทำให้ตัวเองมีเท้าเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความเชื่อว่าคนเท้าเล็กเป็น สัญลักษณ์ของสตรีที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่จำเป็นต้องทำงาน และถูกมองว่าเป็นสิ่งสวยงามที่ใครๆ ก็อยากได้ในสมัยนั้น แม้ต้องแลกมาด้วยกระดูกเท้าที่ผิดรูปไปตลอดชีวิตก็ตาม   ปลอกสวมอวัยวะเพศ หรือ “Codpieces” นี่เป็นอุปกรณ์ที่มักจะทำจากผ้าหรือเหล็กที่สวมไว้แถวๆ เอวผู้ชายเพื่อ “เน้น” จุดสำคัญให้สามารถเห็นได้เด่นชัด เพื่อโชว์ความเป็นชายของผู้ใส่ และเป็นที่นิยมมากในช่วงยุคกลาง อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อุปกรณ์ชิ้นนี้กลับเสื่อมความนิยมลงไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น แม้ว่าในปัจจุบันเราจะยังสามารถเห็นอะไรคล้ายๆ กันได้ตามงานแฟชั่นโชว์ก็ตาม   รองเท้า…

  • ย้อนรอยไปรษณีย์สหรัฐฯ เมื่อปี 1913-1915 ยุคที่ผู้คนสามารถส่งเด็กเล็กเป็น “พัสดุ” ได้

    ย้อนรอยไปรษณีย์สหรัฐฯ เมื่อปี 1913-1915 ยุคที่ผู้คนสามารถส่งเด็กเล็กเป็น “พัสดุ” ได้

    สำหรับในปัจจุบัน การส่งของผ่านไปรษณีย์คงจะเป็นอะไรที่เพื่อนๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะตราบใดที่ของที่เราส่งไม่ใช่ของผิดกฎหมาย เราก็แทบจะสามารถส่งอะไรก็ได้ผ่านบริการนี้ ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าหากย้อนกลับไปในสหรัฐอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 20 เราจะสามารถพบได้ว่าการส่งไปรษณีย์ของที่นั่นมีความยืดหยุ่นกว่าในปัจจุบันมาก ถึงขนาดที่มีคนส่ง “เด็กเล็ก” ด้วยระบบไปรษณีย์เลยทีเดียว     สำหรับที่สหรัฐอเมริกา ไปรษณีย์เริ่มเปิดให้มีการส่งพัสดุอย่างแพร่หลายในช่วงปี 1913 และได้รับความนิยมจากทางประชาชนเป็นอย่างมาก ถึงอย่างนั้นก็ตามพวกเขากลับต้องเจอกับปัญหาที่ไม่น่าเชื่อแทบจะทันทีที่การส่งพัสดุเกิดขึ้น เพราะแทนที่จะส่งของต่างๆ อย่างสินค้าหรือของฝาก เหล่าพ่อแม่ชาวอเมริกัน กลับเลือกที่จะส่งลูกๆ ของตัวเองไปมา ด้วยระบบไปรษณีย์เสียอย่างนั้น หลักฐานการส่งเด็กผ่านไปรษณีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในสมัยนั้น ถูกบันทึกไว้โดยหนังสือพิมพ์ New York Times และเกี่ยวข้องกับการส่งเด็กที่มีน้ำหนักราวๆ 4.5 กิโลผ่านระบบพัสดุไปให้คุณยายของครอบครัว Jesse Beagle     เรื่องที่น่าสนใจของข่าวนี้คือเด็กคนดังกล่าวถูกส่งไปถึงคุณย่าจริงๆ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคนจึงเริ่มที่จะส่งเด็กๆ ผ่านระบบไปรษณีย์กันมากขึ้นทีละนิด โดยที่ส่วนมากจะเป็นการส่งเด็กในพื้นที่ชนบท ซึ่งการส่งเด็กด้วยไปรษณีย์จะใช้เงินน้อยกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ แน่นอนว่าจากจะต้องรับผิดชอบชีวิตของเด็กๆ คงจะไม่ใช่เรื่องที่ทางไปรษณีย์อยากจะทำเท่าไหร่นัก ดังนั้น พวกเขาจึงได้ร่างระเบียบทางไปรษณีย์ที่จะยกเว้นการขนส่งมนุษย์ตั้งแต่ในปี 1914     กว่าที่ระเบียบดังกล่าวจะมีการใช้งานจริงมันก็ในปี 1915 ทำให้กว่าจะถึงในตอนนั้นทางไปรษณีย์ก็ต้องรับหน้าที่ควบเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปกว่า 2 ปี ซึ่งนับว่าโชคดีมากที่เด็กๆ ที่ถูกส่งไปรษณีย์ในสมัยนั้น…

  • ย้อนรอยสัญลักษณ์ “♥” ทำไมสัญลักษณ์ของความรักอันนี้ ถึงไม่เหมือนกับรูปหัวใจจริงๆ

    ย้อนรอยสัญลักษณ์ “♥” ทำไมสัญลักษณ์ของความรักอันนี้ ถึงไม่เหมือนกับรูปหัวใจจริงๆ

    เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมสัญลักษณ์หัวใจที่เล่าเห็นกันได้ทั่วไปในปัจจุบัน ทำไมมันถึงไม่เหมือนกับรูปหัวใจจริงๆ เอาเสียเลย และทำไมกันคนในสมัยก่อน ถึงตัดสินใจใช้รูป “♥” เป็นสัญลักษณ์ของความรักกัน     เรื่องราวการใช้สัญลักษณ์รูปหัวใจนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในคำถามสำคัญของเหล่านักโบราณคดีเลยก็ว่าได้ เพราะสัญลักษณ์นี้ มีการใช้งานกันมาอย่างยาวนานจนที่มาจริงๆ ของมันได้หายไปตามประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สิ่งที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญจะทำได้ในปัจจุบัน ก็มีเพียงแค่การคาดเดาที่มาของสัญลักษณ์เหล่านี้เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในปัจจุบันเราก็มีทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์รูปหัวใจอยู่มากพอสมควรเลย ไม่ว่าจะเป็นการที่รูปหัวใจอาจมาจากรูปร่างหน้าอก รูปร่างของก้น หรือทฤษฎีที่มีคนให้ความน่าเชื่อถือกันมากที่สุดอย่างรูปร่างของใบไอวี และต้น Silphium     อ้างอิงจากทฤษฎีใบไอวี ในสมัยกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 4 ใบเถาของต้นไอวีจะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของซ่องโสเภณีในเมืองชื่อ Ephesus ด้วยเหตุผลที่ไอวีมีความเกี่ยวข้องกับเทพไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์ ความอุดมสมบูรณ์ และความอิ่มเอมใจ (Ecstasy) เมื่อเป็นเช่นนี้รูปร่างของใบไอวีจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการมีเพศสัมพันธ์ แถมยังได้รับความนิยมมากจน กลายเป็นสัญลักษณ์ที่คุณเคยกันในสมัยนั้นไป     ส่วนสำหรับแนวคิดที่ว่ารูป ♥ มาจากต้น Silphium มาจากการใช้งานที่หลากหลายของมัน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในการปรุงอาหาร ทำน้ำหอม และที่สำคัญที่สุดคือเป็นยาคุมกำเนิด ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น     ความสามารถที่มากมายของมันทำให้ Silphium ถูกให้เป็นตราบนเหรียญที่ใช้กันในสมัยก่อนอยู่บ่อยครั้ง…

  • นักวิทย์ไขปริศนา 2,000 ปี หลังมีการพบรูกลมๆ กลางอกโครงกระดูกโบราณที่ประเทศกรีซ

    นักวิทย์ไขปริศนา 2,000 ปี หลังมีการพบรูกลมๆ กลางอกโครงกระดูกโบราณที่ประเทศกรีซ

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2002 ในการขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เกาะธาซอส เกาะทางตอนเหนือของ หมู่เกาะอีเจียน ประเทศกรีซ เหล่านักโบราณคดีได้ทำการค้นพบ โครงกระดูกอายุ 2,000 ปีจำนวน 57 ร่าง ถูกฝังเอาไว้     ในบรรดาโครงกระดูกที่พวกเขาพบ มีอยู่ร่างหนึ่งที่นักโบราณคดีให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะที่กระดูกสันอกของเขามีรู ที่มีลักษณะกลมแบบเกือบสมบูรณ์อยู่ และเหล่านักโบราณคดีพยายามหาที่มาของมันมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ชายผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกนี้ เชื่อกันว่าเสียชีวิตในขณะที่มีอายุได้ 50 ปีมีส่วนสูงอยู่ที่ 170 เซนติเมตร และเมื่อทางทีมนักวิทยาศาสตร์ลองตรวจสอบเกี่ยวกับกายวิภาคกับโครงกระดูกดู พวกเขาก็พบว่าชายผู้นี้มีรูปร่างที่กำยำมากๆ ในยามที่ยังมีชีวิต ในช่วงแรกๆ ที่มีการพบโครงกระดูก นักโบราณคดีคิดว่ารูที่กระดูกสันอกของชายคนนี้น่าจะมาจากอาการ “Sternal Foramen” กลุ่มอาการที่กระดูกสันอกของมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์ซึ่งพบได้ในประชากรราวๆ 5% ของคนในปัจจุบัน     อย่างไรก็ตามหลังจากที่การตรวจสอบดำเนินไป นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ารูบนกระดูกสันอกที่พวกเขาพบนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นจากการถูกแทงอย่างแรงด้วยอาวุธต่างหาก เป็นไปได้ว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อนชายคนนี้จะถูกสังหารด้วยอาวุธจำพวกหอกที่มีส่วนปลายเล็ก หรือที่เรียกว่ากันว่า “Styrax” โดยการสังหารเป็นการแทงหอกใส่ชายผู้เสียชีวิตโดยตรงจากระยะใกล้ด้วยความแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าชายคนนี้น่าจะถูกประหาร ก่อนที่บาดแผลจะทำให้เขาเสียชีวิตไปภายใน 1 นาทีหลังจากถูกแทง     ในปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมชายชนนี้จึงถูกสังหาร…

  • 21 ภาพการใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้านประเทศที่เราอาจไม่เคยเห็น

    21 ภาพการใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้านประเทศที่เราอาจไม่เคยเห็น

    เมื่อพูดถึงสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว เชื่อว่าภาพที่อยู่ในหัวของหลายๆ คนก็คงไม่พ้นภาพของเหล่าทหารที่ออกไปร่วมสงคราม ไม่ว่าจะเป็นในการรบที่ยุโรป แอฟริกา หรือแปซิฟิก แต่สหรัฐอเมริกานั้นต่างจากประเทศในฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นๆ ในสงครามโลกครั้งที่สองอยู่เล็กน้อย คือประเทศของพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมสงครามโดยตรงมาตั้งแต่ต้นสงคราม ดังนั้นแม้ในช่วงที่ทางยุโรปกำลังรบกัน เราก็ยังสามารถเห็นการใช้ชีวิตประจำวันสบายๆ ของชาวอเมริกันได้อยู่ และรูปถ่ายของช่วงเวลาเหล่านี้เองซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไปชมกันในวันนี้ กับ 21 ภาพถ่ายการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อีกด้านหนึ่งของประเทศที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน   เริ่มกันจากวันที่ฝนตกใน Norwich รัฐคอนเนตทิคัตเมื่อปี 1940   เหล่าผู้คนบนรถบัส ใน Norwich รัฐคอนเนตทิคัตเมื่อปี 1940   สถานีขนส่งสินค้าของถนน South Water ในรัฐอิลลินอยส์ 1940   สถานีรถไฟใน เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ 1940 .   รถไฟพลังไอน้ำ และรถไฟเครื่องยนต์ดีเซล ในสถานีรถไฟที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ 1940   อุโมงค์ที่เชื่อมไปสู่สถานีรถไฟซึ่งมักถูกใช้งานโดยรถแท็กซี่และรถบรรทุก เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ 1940   ชายผู้โบกมือให้กับรถไฟในรัฐไอโอวา 1943  …

  • ย้อนรอย “จอห์น เพมเบอร์” เภสัชกรผู้คิดค้น “โคคา-โคล่า” กับชีวิตที่น่าเศร้ากว่าที่คิด

    ย้อนรอย “จอห์น เพมเบอร์” เภสัชกรผู้คิดค้น “โคคา-โคล่า” กับชีวิตที่น่าเศร้ากว่าที่คิด

    เชื่อว่าในปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเครื่องดื่มยอดฮิตอย่างโคคา-โคล่าหรือที่เราเรียกกันอย่างติดปากว่า “โค้ก” อีกแล้ว แต่เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยเลยว่าเจ้าเครื่องดื่มสีดำนี้ มันถูกคิดค้นขึ้นมาโดยใครกันแน่     ผู้ที่คิดค้นโค้กขึ้นมานั้นมีคือว่า “จอห์น เพมเบอร์” (John Pemberton) ผู้เกิดในรัฐจอร์เจียในปี 1831 เขามีชีวิตอย่างปกติธรรมดาในฐานะเภสัชกร ได้แต่งงาน ได้มีลูกสองคน จนไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่เดินบนทางสายการแพทย์แบบนี้จะกลายเป็นผู้คิดค้น เครื่องดื่มเลื่องชื่อไปได้ แต่แล้วชีวิตที่ดูจะธรรมดาของจอห์น ก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นในตอนที่เขาอายุได้ราวๆ 30 ปี เขาเข้าร่วมสงครามในฐานะทหารยามฝั่งสมาพันธรัฐอเมริกา (Confederate) และได้รับบาดเจ็บในการรบที่โคลัมบัส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นเหตุให้เข้าติดมอร์ฟีนยาระงับปวดที่ทหารมักจะใช้กัน     ด้วยความที่อยากเลิกมอร์ฟีนให้ได้ จอห์นจึงเริ่มคิดเครื่องดื่มชนิดหนึ่งขึ้นมาทดแทนยามอร์ฟีน โดยอาศัยผลผลิตของต้นโคคา (ซึ่งใช้ผลิตโคเคน) และนำไปทดลองผสมกับส่วนผสมอื่นๆ จนสุดท้ายก็มาจบที่โคล่านัท และกลายเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มที่จะกลายเป็นตำนาน     แต่แม้ว่าเครื่องดื่มที่เขาคิดมาจะขายได้ดีแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยให้จอห์นเลิกมอร์ฟีนได้อย่างที่เขาหวังไว้ และการติดมอร์ฟีนนี้เองก็ทำให้เข้าต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากจนเกือบล้มละลาย ถึงอย่างนั้นก็ตาม จอห์นก็ไม่ยอมขายกรรมสิทธิ์ของเครื่องดื่มที่เขาคิดขึ้นมาได้ให้ใคร เนื่องจากตัวเขานั้นเชื่อว่าเครื่องดื่มนี้จะต้องมีค่าอย่างมากในอนาคต และคิดจะเก็บมันไว้ให้ลูกชายของตัวเอง     นับว่าน่าเสียดายมากที่ลูกชายของเขาไม่ได้คิดเหมือนพ่อเท่าไหร่ ดังนั้นก่อนที่พอจอห์นจะเสียชีวิตได้ไม่นานลูกชายของเขาก็โน้มน้าวผู้เป็นพ่อให้ขายกรรมสิทธิ์ที่เหลืออยู่ทุกอย่างของโคคา-โคล่าเพื่อนำเงินก้อนมาใช้ นั่นทำให้ในขณะที่โคคา-โคล่าเติบโตขึ้นไปเป็นเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของโลก จอห์น เพมเบอร์กลับต้องเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งกระเพาะ ในฐานะคนจนๆ ที่ยังเลิกมอร์ฟีนไม่ได้ด้วยซ้ำในปี…

  • ชม 5 วัตถุโบราณ “ต้องสาป” จากสมัยก่อน ที่ยังคงหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่งแม้ในปัจจุบัน

    ชม 5 วัตถุโบราณ “ต้องสาป” จากสมัยก่อน ที่ยังคงหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่งแม้ในปัจจุบัน

    สำหรับเหล่านักโบราณคดีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่วัตถุโบราณที่พวกเขาพบจะไปเกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรมของคนในสมัยก่อน ดังนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในชีวิตของพวกเขาจะต้องมีการเข้าไปเกี่ยวข้องกับคำสาป หรือมนต์ดำ ของคนในสมัยก่อนเข้าสักครั้ง โดยมากแล้วสิ่งที่พวกเขาพบจะเป็นเพียงวัตถุโบราณที่คนสมัยก่อนเข้าใจผิดไปเอง และสามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเท่านั้น แต่มันก็มีบางครั้งเหมือนกันที่วัตถุที่พวกเขาพบนั้น มันเป็นอะไรที่น่ากลัวจนหลายๆ คนสงสัยว่ามีคำสาปอยู่จริงๆ เหมือนอย่างวัตถุโบราณทั้ง 5 ชิ้นต่อไปนี้   เริ่มกันจาก  คำสาปของแหวนแห่งซิลวาเนียส นี่เป็นแหวนที่คาดกันว่าถูกทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่รูปของเทพีวีนัสและคำสลักภาษาละติน ‘SENICIANE VIVAS IIN DE’ ซึ่งแม้จะมีการเขียนผิดอยู่บ้างแต่ก็น่าจะแปลแบบตรงๆ ว่า “ซิลวาเนียส อยู่ในพระเจ้า” อันเป็นจารึกที่พบได้บ่อยๆ ในโบราณวัตถุของชาวโรมันที่นับถือคริสต์ คำสาปของแหวนนี้โด่งดังขึ้นเมื่อมีการค้นพบศิลาบันทึกคำสาปในอดีต ซึ่งระบุไว้ว่า ซิลวาเนียสนั้นจะถูกพระเจ้าลงโทษให้ล้มป่วยจนกว่าจะนำแหวนไปคืนให้กับวิหาร และถูกเชื่อกันว่าอาจจะเป็นแหวนต้นแบบของแหวนเอกธำมรงค์ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ก็เป็นได้   แตรสงครามของตุตันคาเมน เรื่องราวของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นเต็มไปด้วยคำสาปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามแตรสงครามอันนี้กับมีความพิเศษกว่าวัตถุโบราณอื่นๆ อยู่เล็กน้อย นั่นเพราะนี่เป็นแตรที่เชื่อกันว่าจะจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นทุกครั้งที่มีคนเป่ามัน เหตุการณ์ที่สำคัญๆ เกี่ยวกับแตรอันนี้คือการที่สถานีวิทยุ BBC อัดเสียงไปเผยแพร่ในปี 1939 (ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานสงครามโลกครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น) ในปี 1967 (สงครามหกวันระหว่างอาหรับกับอิสราเอล) และปี 1990 (สงครามอ่าวเปอร์เซีย)   เพชรโฮป นี่คือเพชร…

  • นักวิทยาศาสตร์พบ “เชื้อรามีพิษ” บนสถานีอวกาศนานาชาติ หวั่นเป็นอันตรายกับนักบินได้

    นักวิทยาศาสตร์พบ “เชื้อรามีพิษ” บนสถานีอวกาศนานาชาติ หวั่นเป็นอันตรายกับนักบินได้

    นี่คงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงสำหรับเหล่านักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เลยก็ว่าได้ เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะพบแบคทีเรียชนิดใหม่บนสถานีเมื่อช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกเขายังมีการออกมาเปิดเผยอีกว่าการอยู่บนอวกาศนั้น ทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้อีกด้วย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์นาซาผวา พบ “แบคทีเรียชนิดใหม่” ในสถานีอวกาศ ที่อาจก่อให้เกิดโรคในหมู่นักบิน และ งานวิจัยพบ การอยู่ในอวกาศทำให้ไวรัสโรคเริมกลับมาทำงานได้ เชื่อส่งผลต่อภารกิจระยะยาว)     แต่แล้วเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ทางองค์กรนาซาก็ต้องพบกับปัญหาน่าปวดหัวอีกครั้งเมื่อพวกเขาพบว่านอกจากเชื้อโรคมากมายที่กว่ามาข้างต้นแล้ว บนสถานีอวกาศ ISS นั้น ยังมี “เชื้อรา” ที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์อาศัยอยู่ด้วย ในอดีตเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้มองว่า เชื้อราจะไม่ค่อยมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์มากนักเมื่อเทียบกับเชื้อโรคอื่นๆ อย่างแบคทีเรีย ดังนั้นที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้ตรวจสอบเชื้อราบนอวกาศมากนัก     การตรวจสอบแบคทีเรียและเชื้อราที่นำมาจากสถานีอวกาศเผยให้เห็นจุลินทรีย์ที่คล้ายกับที่พบในพื้นที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่านของโลก   อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้เองมหาวิทยาลัยเกนต์ในเบลเยียมได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าการอยู่ในอวกาศนานๆ อาจทำให้ร่างกายคนเราอ่อนแอต่อโรคมากขึ้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าเชื้อราเองก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงต่อเหล่านักบินมากกว่าที่เคยเป็นมาก็ได้ และเมื่อทางสถานี ISS ลองตรวจสอบสถานีดูจริงๆ พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าเป็นห่วงเข้าจนได้ เพราะเชื้อราที่พวกเขาพบบนสถานีนั้น มีเชื้อราอย่าง Aspergillus flavus รวมอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าเชื้อราตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องการปล่อยสารอะฟลาทอกซินที่ก่อมะเร็งตับ และสารที่ลดภูมิคุ้มกันของมนุษย์ลง   เชื้อรา Aspergillus…

  • Pear of anguish เครื่องทรมานแห่งศตวรรษที่ 17 ที่สร้างฝันร้ายได้ เพียงแค่กางออกอย่างช้าๆ

    Pear of anguish เครื่องทรมานแห่งศตวรรษที่ 17 ที่สร้างฝันร้ายได้ เพียงแค่กางออกอย่างช้าๆ

    เมื่อพูดถึงเครื่องทรมานในสมัยก่อนสำหรับหลายๆ คนแล้วก็มักจะติดภาพลักษณ์ของเครื่องทรมานที่เห็นกันตามหนัง ซึ่งมักมีจุดร่วมที่ความใหญ่โตน่าหวาดกลัวราวกับหลุดมาจากฝันร้ายไม่มีผิด จริงอยู่ว่าแนวคิดในรูปแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องทรมานก็ไม่ได้จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่โตเสียยิ่งกว่าคนเพื่อสร้างความหวาดกลัวแต่อย่างไร  เพราะในบางครั้งเครื่องทรมานขนาดพอดีๆ ก็สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนได้เป็นอย่างดีเช่นกัน     นี่คือ “Pear of anguish” หรือลูกแพร์แห่งความรวดร้าว อุปกรณ์ทรมานที่ออกแบบมาเพื่อ ยัดเข้าไปใน “รู” ต่างๆ ของเหยื่อไม่ว่าจะเป็นปาก อวัยวะเพศหญิง หรือทวาร และมีจุดเด่นอยู่ที่ส่วนปลายที่สามารถกางออกได้ เมื่อมีการหมุนเกลียว ในกรณีที่ยัดใส่ปาก Pear of anguish จะค่อยๆ ฉีกเนื้อของเหยื่อออกในยามที่เขาหรือเธอไม่สามารถอ้าปากตามความกว้างของมันได้อีกต่อไป ในขณะที่แรงกดของมันบดขยี้ฟันของเหยื่อไปเรื่อยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว     Pear of anguish เชื่อกันว่าถูกใช้ในการลงโทษคนที่โกหก ปากร้าย ดูหมิ่นศาสนา รักร่วมเพศ หรือไม่ก็ผู้หญิงที่เป็นแม่มด ด้วยวิธีการและตำแหน่งการสอดใส่ที่ต่างๆ กันไปแล้วแต่ความผิด อย่างไรก็ตามหลักฐานโดยตรงของการใช้งานเครื่องมือชิ้นนี้กลับแทบไม่มีหลงเหลืออยู่เลย อุปกรณ์ทรมานอันนี้เชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 อ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายๆ แห่ง และมีจุดที่น่าสนใจคือ เดิมทีแล้วมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นเครื่องทรมานอย่างที่คิด     กลับกันอุปกรณ์อันนี้กลับมักถูกใช้โดยขโมย เพื่อไม่ให้เหยื่อส่งเสียงร้องเรียกตำรวจ หรือในการเรียกค่าไถ่ และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกเปลี่ยนวิธีใช้ไปเป็นเครื่องมือทรมาน…

  • งานวิจัยใหม่เผย การมีอัตราส่วนไขมันในร่างกายสูง อาจทำให้สมองของเรา “หดลง”

    งานวิจัยใหม่เผย การมีอัตราส่วนไขมันในร่างกายสูง อาจทำให้สมองของเรา “หดลง”

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า “โรคอ้วน” ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายขนาดไหน มันเพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้หลายอย่างทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน หลอดเลือดอุดตัน และโรคอื่นๆ อีกมากมายแทบนับไม่ถ้วน ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2019 ในวารสาร Radiology โรคอ้วนนั้นไม่ได้แค่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบกับโครงสร้างสมองด้วย     นี่เป็นงานวิจัยที่จัดขึ้นโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยไลเดนในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการตรวจสอบสมองของอาสาสมัคร 12,087 คน ในอังกฤษ ที่มีอายุเฉลี่ย 62 ปี ด้วยระบบ MRI และนำข้อมูลสมองที่ได้ไปเปรียบเทียบกับ ข้อมูลอัตราส่วนไขมันในร่างกายของ พวกเขาพบว่าอัตราส่วนไขมันในร่างกายของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์กับการลดลงของพื้นที่สมองบางส่วน โดยเฉพาะ “สมองเนื้อสีเทา” (Gray matter) ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของระบบประสาทกลาง   ภาพเปรียบเทียบสมองของอาสาสมัครหญิงอายุ 65 ปีสองคน คนด้านซ้ายมีอัตราส่วนไขมัน 13% ในขณะที่คนด้านขวามีอัตราส่วนไขมัน 49%   สาเหตุที่ความอ้วนส่งผลกระทบกับสมองนั้น สำหรับทางการแพทย์แล้วเป็นเรื่องที่ยังไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตามที่ผ่านๆ มาเราก็มีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าระหว่างปริมาณไขมันในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสมองอยู่มากเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ โดยหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับส่งผลกระทบต่อสมองของความอ้วน คือการมีไขมันในร่างกายมากอาจนำไปสู่การอักเสบของร่างกายในจุดที่ส่งผลสมอง ทำให้สมองเสียเนื้อเยื่อบางส่วนไป  …

  • ไขปริศนาภาพดังในทวีต หลังมีคนไม่สบายใจ เมื่อเห็นภาพที่บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

    ไขปริศนาภาพดังในทวีต หลังมีคนไม่สบายใจ เมื่อเห็นภาพที่บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ (วันที่ 22 เมษายน 2019) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @melip0ne ได้ทำการโพสต์ภาพภาพหนึ่งลงบนอินเตอร์เน็ตพร้อมกับข้อความที่ว่า “ลองบอกชื่อของอะไรก็ได้สักชิ้นในภาพดูสิ” และกลายเป็นที่พูดถึงของคนบนโลกอินเตอร์เน็ตไป   Name one thing in this photo pic.twitter.com/zgyE9rL2XP — 𝒅𝒖𝒎𝒃𝒂𝒔𝒔 𝒂𝒔𝒔 𝒊𝒅𝒊𝒐𝒕 (@melip0ne) April 23, 2019   นั่นเพราะภาพที่เขาเอามาลงนั้นไม่เพียงแต่ประหลาดจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไรกันแน่เท่านั้น แต่มันกลับดูน่าขนลุกมากๆ จนมีหลายๆ คนออกมาแสดงความเห็นว่าตนเองไม่สบายใจกับภาพที่เห็นนี้อย่างบอกไม่ถูก นั่นทำให้หลังจากที่ภาพนี้ออกมาไม่นานผู้คนก็เริ่มเอาไปลือกันว่าภาพดังกล่าวอาจจะเป็นภาพที่ถูกนำมาลงโดยมีเจตนาที่ไม่ดี และอาจเป็นอันตรายก็ได้ จนทำให้สื่อต่างประเทศตัดสินใจติดต่อไปยังศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยน็อกซ์เพื่อให้เขาช่วยอธิบายว่าทำไมคนเราถึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นภาพนี้     ความรู้สึกไม่สบายใจ อ้างอิงจาก Dr. Frank McAndrew ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาผู้ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว เขาบอกว่าตามปกติแล้วคนเราจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นอะไรที่ไม่รู้จักหรืออาจเป็นอันตรายได้ อย่างไรก็ตามอย่างที่เราเห็นกันว่าของในภาพล้านแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำร้ายเราได้ ดังนั้นความรู้สึกของคนที่ดูภาพนี้ จึงต่างกับความไม่สบายใจทั่วๆ ไปอยู่พอสมควร กล่าวคือภาพเหล่านี้นั้นสร้างความสับสนให้แก่สมองของเราที่พยายามมองให้ออกว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของอะไรกันแน่ และการที่สมองของเราสับสนในการชี้ว่ารูปที่เห็นเป็นภาพของอะไรนี่เองก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นภาพดังกล่าวไป       ตกลงแล้วมันเป็นรูปของอะไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาแล้ว…

  • พบสุสานโบราณแห่งใหม่ในอียิปต์ คาดเป็นของชายชื่อ “Tjt” และมีมัมมี่อยู่กว่า 30 ร่าง

    พบสุสานโบราณแห่งใหม่ในอียิปต์ คาดเป็นของชายชื่อ “Tjt” และมีมัมมี่อยู่กว่า 30 ร่าง

    เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา กระทรวงโบราณวัตถุแห่งอียิปต์ ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบสุสานโบราณแห่งใหม่ใกล้ๆ เมืองอัสวานทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์     การค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมเมื่อกันระหว่างนักโบราณคดีจากอียิปต์และอิตาลี ผู้ซึ่งสำรวจพื้นที่เมืองอัสวานที่มีโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมากมาอย่างยาวนาน และทำการค้นพบสุสานใหม่ๆ มามากกว่า 25 แห่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อ้างอิงจากอักษรข้อความอักษรอียิปต์โบราณที่จารึกไว้บนเศษโลงไม้ในตัวสุสาน เหล่านักโบราณคดีก็คาดกันว่าสุสานแห่งนี้น่าจะเป็นของชายลึกลับไม่ทราบประวัติที่ชื่อ “Tjt” อย่างไรก็ตามในสุสานนั้นไม่ได้มีมัมมี่ของเขาเพียงร่างเดียวเท่านั้น กลับกันที่แห่งนี้กลับมีมัมมี่อยู่มากกว่า 30 ร่างเลย     ทางกระทรวงโบราณวัตถุแห่งอียิปต์บอกว่าสุสานแห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะสร้างขึ้นระหว่างช่วงยุคกรีก-โรมัน และเป็นไปได้ว่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาลไปจนถึงปีศตวรรษที่ 6 สุสานแห่งนี้มีมัมมี่เด่นๆ คือมัมมี่สองร่างที่ถูกฝังทับกัน ซึ่งคาดว่าเป็นมัมมี่ของสองแม่ลูก และมีวัตถุโบราณที่น่าสนใจเป็น รูปสลักรูปสัตว์ครึ่งคนครึ่งนก แจกัน และเหยือกโบราณ ซึ่งยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แถมในภาชนะบางชิ้นเองก็ยังมีร่องรอยว่ามีอาหารใส่อยู่อีกด้วย     นอกจากนี้แล้วในตัวสุสานนักโบราณคดียังพบกับแคร่หามที่ใช้ขนมัมมี่และหน้ากากโบราณ (Cartonnage) ที่ให้ในงานศพอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสุสานแห่งนี้อาจมีการใช้งานมาตลอดก่อนจะถูกทิ้งไปอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง     แต่แม้ว่าสุสานแห่งนี้จะดูน่าสนใจในตัวของมันเองก็ตาม ทีมนักสำรวจก็บอกว่าสุสานที่พบนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุสานกว่า 300 แห่งที่เชื่อกันว่าตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เท่านั้น และทีมนักสำรวจเองก็ได้เตรียมการที่จะทำการสำรวจต่อไปแล้วในอนาคต…

  • พบไวรัสกว่า 200,000 สายพันธุ์ ในทะเล คาดส่วนมากไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์

    พบไวรัสกว่า 200,000 สายพันธุ์ ในทะเล คาดส่วนมากไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์

    เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่นำโดยคุณ Matthew Sullivan นักจุลชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ได้ออกมาเปิดเผยการค้นพบสุดเหลือเชื่อและน่าจับตามอง ที่ว่าใต้ท้องทะเลสีครามของเรานั้น มีไวรัสสายพันธุ์ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนอยู่ถึง 200,000 ชนิด     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้น จากการตรวจสอบตัวอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เก็บมาได้ ในระหว่างการออกสำรวจท้องทะเล 80 พื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ช่วงปี 2009-2013 ที่ผ่านมา โดยไวรัสส่วนใหญ่ที่พวกเขาพบนั้นอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้น้ำราวๆ 4,000 เมตร ในเขตขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้     ในเบื้องต้นคาดว่าไวรัสเหล่านี้ ส่วนมากจะไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ แม้ว่ามันจะสามารถติดต่อในกลุ่มสัตว์น้ำอย่างวาฬและสัตว์ในตระกูลครัสเตเชีย (กุ้ง ปู) ก็ตาม การค้นพบในครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่มากในทางวิทยาศาสตร์เพราะที่ผ่านๆ มาเราเคยพบไวรัสในท้องทะเลเพียงแค่ 15,000 สายพันธุ์เท่านั้น     การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ออกมาบอกว่า ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจำพวกไวรัสของมนุษย์เรานั้นเป็นอะไรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะไวรัสเหล่านี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงกับท้องทะเล สถานที่ซึ่งผลิตออกซิเจนให้มนุษย์เราใช้มาตั้งแต่โบราณ     และแน่นอนว่าการค้นพบในครั้งนี้เอง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทางทะเลต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน   ที่มา…

  • นักวิทย์พบตำหนิใน “เพชร” อาจช่วยไขปริศนา การกำเนิดของทวีปเมื่อ 2,500 ล้านปีก่อนได้

    นักวิทย์พบตำหนิใน “เพชร” อาจช่วยไขปริศนา การกำเนิดของทวีปเมื่อ 2,500 ล้านปีก่อนได้

    สำหรับในปัจจุบันแล้ว “เพชร” นับว่าเป็นอัญมณีที่มีค่ามากๆ ชิ้นหนึ่งของโลก เพราะไม่เพียงแต่มันจะเป็นเครื่องประดับที่ใครๆ ก็อยากได้เท่านั้น แต่ความแข็งของมันยังสามารถนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมหลายอย่าง และเมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็พบกับประโยชน์ที่ไม่น่าเชื่ออีกอย่างของเจ้าอัญมณีสุดแพงนี้เข้าจนได้ เพราะพวกเขาได้พบว่าการตรวจสอบเพชรเหล่านี้นั้น สามารถนำไปสู่การไขปริศนาการกำเนิดทวีปแห่งแรกของโลกได้ด้วย     ที่เป็นเช่นนี้เพราะเพชรหลายๆ ส่วนที่อยู่ใต้โลกนั้น มีการเก็บเอาสารต่างๆ (อย่างกำมะถัน) เอาไว้ในรูปแบบของ “ตำหนิเพชร” ซึ่งการศึกษาเจ้าตำหนิที่จะทำให้ราคาเพชรตกลงจากที่ควรเหล่านี้เอง ที่เป็นกุญแจสำคัญของการวิจัยในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ในเพชรจากเหมืองราวๆ สี่แห่งรอบโลก ส่วนมากจะมีไอโซโทปของกำมะถันที่เกิดขึ้นในที่ซึ่งมีออกซิเจนไม่มาก และมีอายุมากถึง 2,500 ล้านปี ซึ่งนับว่าน่าสนใจมาก เพราะแม้แต่ตัวเพชรที่เก็บกำมะถันไว้เอง โดยเฉลี่ยแล้วจะมีอายุเพียง 650 ล้านปีเท่านั้น     ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า กำมะถันเหล่านี้ในอดีตน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อโลกที่อยู่ในสภาพหลอมเหลว ซึ่งต่อมาไหลขึ้นมาจากใต้โลกในรูปแบบของหินบะซอลต์จนเกิดเป็นทวีป คล้ายกับการกำเนิดของประเทศไอซ์แลนด์หรือเกาะฮาวาย และเป็นเหตุผลสำคัญที่กำมะถันในเพชรไม่โดนอากาศในตอนที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามต่อมาเปลือกโลกของทวีป ได้เกิดการเคลื่อนย้ายและเหลี่ยมล้ำกันเองหลายครั้ง จนทำให้กำมะถันกลับไปอยู่ใต้ดินพร้อมๆ กับเพชรอีกที ในระหว่างที่ตัวทวีปเริ่มเคลื่อนตัวเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีสภาพเป็นแบบปัจจุบัน แน่นอนว่างานวิจัยในครั้งนี้ จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับโลกให้กับพวกเรามากขึ้นหากนักวิทยาศาสตร์ได้รับเพชรสำหรับทดลองมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ตามงานวิจัยนี้ก็เป็นอะไรที่ท้าทายทุนของเหล่านักวิทยาศาสตร์มากเลยเช่นกัน     นั่นเพราะการที่พวกเขาจะตรวจสอบสารต่างๆ ในเพชรได้นั้นพวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำลายตัวเพชรที่ได้มาทิ้ง ซึ่งพวกเราก็ทราบกันดีว่าเจ้าหินมีค่าเหล่านี้ต่อให้มีตำหนิก็ตามมันก็ไม่ใช่ของที่มีมูลค่าน้อยๆ และหาได้ง่ายเลยนั่นเอง   ที่มา…

  • งานวิจัยในหนูชี้ ทานอาหารตอนเครียด อาจทำให้เราอ้วนได้มากกว่าการทานอาหารตามปกติ

    งานวิจัยในหนูชี้ ทานอาหารตอนเครียด อาจทำให้เราอ้วนได้มากกว่าการทานอาหารตามปกติ

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักใครสักคนที่เป็นพวกยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน ซึ่งแม้ว่าจะดูแล้วเปลืองค่าอาหารอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง และมักจะได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อด้วย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าการทานอาหารตอนเครียดนั้น อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่     เพราะจากการทดลองใหม่ล่าสุด ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2019 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าการทานอาหาร (โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีสูง) ในระหว่างที่เครียดนั้นอาจส่งผลให้ร่างกายอ้วนขึ้นได้มากกว่าการทานอาหารแบบเดียวกันในตอนที่ไม่เครียดอีก ความเป็นไปได้นี้ถูกพบเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับภาวะอารมณ์และการทานอาหารของหนู โดยที่พวกเขาจะแบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะถูกให้อาหารในสภาพแวดล้อมปกติ ในขณะที่อีกกลุ่มจะถูกให้อาหารในห้องแยกที่มีน้ำสูงในระดับหนึ่งเพื่อให้หนูที่ถูกขังมีความเครียด ผลที่ออกมาคือหลังจากที่การทดลองดำเนินไป 2 สัปดาห์ หนูมีความเครียดและทานอาหารแคลอรีสูง จะมีน้ำหนักมากกว่าหนูที่ถูกให้อาหารแบบเดียวกันในภาวะปกติมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความเครียดกับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี     โดยในระหว่างการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยได้พบว่าหนูที่เครียดจะมีการผลิตโมเลกุลที่ชื่อ “Neuropeptide Y” (NPY) ออกมาในระดับที่มากผิดปกติ และเจ้าโมเลกุลตัวนี้เองที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนูที่เครียดทานอาหารมากผิดปกติไป นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ลองตัดต่อพันธุกรรมหนูให้ไม่หลั่งโมเลกุล NPY พวกเขาก็พบว่าต่อให้หนูเครียดแค่ไหน พวกมันก็จะทานอาหารไม่ต่างกับหนูปกติเลย  ดังนั้นนี่จึงเป็นหลักฐานอย่างดีว่า NPY นั้นเป็นโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในหนูที่เครียดจริงๆ อ้างอิงจากนักวิจัยนอกจาก NPY จะทำให้หนูอยากอาหารแล้วมันยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินที่รับหน้าที่ดูดกลูโคสจากเลือดอีกด้วย โดยผลการทำงานทั้งหมดของมันจะส่งผลหนูกินมากขึ้นในขณะที่เผาผลาญน้อยลง และนำไปสู่ความอ้วนในที่สุด   เซลล์ประสาทที่ชื่อว่า “Amygdala”…

  • นักวิทย์พบ “ลิ้น” ของเรานอกจากรับรสชาติแล้ว ยังสามารถรับ “กลิ่น” ได้ด้วย

    นักวิทย์พบ “ลิ้น” ของเรานอกจากรับรสชาติแล้ว ยังสามารถรับ “กลิ่น” ได้ด้วย

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าการรับรู้กลิ่นของมนุษย์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับรสชาติของอาหารโดยตรง และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เวลาเราเป็นหวัดหายใจไม่ออก รสชาติอาหารที่เราทานจึงไม่เหมือนกับที่เคยเป็น หน้าที่ในการรวมกลิ่นและรสชาติเข้าด้วยกัน ตามปกติน่าจะเกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นอวัยวะ “ประมวลผลกลาง” ของร่างกาย ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าในงานวิจัยล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าลิ้นของมนุษย์เองต่างหากที่รับหน้าที่รวมกลิ่นและรสชาติเข้าด้วยกันก่อนส่งไปให้สมอง     ความจริงที่น่าแปลกใจในครั้งนี้ ถูกพบโดยทีมนักวิจัยจากศูนย์ประสาทสัมผัสเคมี Monell ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรในฟิลาเดลเฟีย และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2019 ในวารสารออนไลน์ “Chemical Senses” การวิจัยในครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ลูกชายวัย 12 ขวบของหนึ่งในนักวิจัย ถามผู้เป็นพ่อว่าที่งูแลบลิ้นออกมานั้นเพื่อที่จะดมกลิ่นใช่ไหม ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าลิ้นของมนุษย์เองก็อาจจะสามารถใช้รับกลิ่นได้ในกรณีคล้ายๆ กันได้ และเริ่มทดลองเกี่ยวกับการรับกลิ่นด้วยลิ้นทันที     แน่นอนว่าระบบลิ้นของมนุษย์นั้นต่างออกไปจากงู ดังนั้นเราจึงไม่อาจฟันธงได้ว่ามนุษย์จะสามารถใช้งานลิ้นในแบบเดียวกับงูได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น การทดลองครั้งนี้ก็ทำให้เราพบกับเรื่องที่น่าสนใจมากเช่นกัน นั่นเพราะเมื่อนักวิทยาศาสตร์ทดลองนำเซลล์รับรสชาติของมนุษย์ไปสัมผัสกับโมเลกุลของกลิ่นพวกเขาก็พบว่ามันมีการตอบสนองต่อโมเลกุลของกลิ่นที่เหมือนกับเซลล์การรับกลิ่นของมนุษย์ไม่มีผิด เท่านั้นยังไม่พอเพราะจากการทดลองเพิ่มเต็ม นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าในเซลล์รับรู้รสชาติของมนุษย์นั้น สามารถมีทั้ง ตัวรับรสชาติ (Taste receptors) และตัวรับกลิ่น (Olfactory receptors) อยู่ภายในพร้อมๆ กันอีกด้วย     เรื่องที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ลิ้นของเราจะมีความสามารถในการรับกลิ่นได้ด้วยได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญคือกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เราทานลงไปนั้น อาจจะรวมกันในลิ้นก่อนที่จะส่งไปยังสมองอีก ซึ่งความจริงในจุดนี้เอง ก็จะเป็นหลักฐานอย่างดีต่อไปว่า…

  • ชม 22 รูปถ่ายทางอากาศที่น่าสนใจของสถานที่มีชื่อในอดีต เพราะวิวจากที่สูงมีเสน่ห์อยู่เสมอ

    ชม 22 รูปถ่ายทางอากาศที่น่าสนใจของสถานที่มีชื่อในอดีต เพราะวิวจากที่สูงมีเสน่ห์อยู่เสมอ

    การที่ได้มองวิวบางอย่างจากที่สูงนั้น สำหรับบางคนแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการมองเมืองรอบๆ จากอาคารสูง หรือการได้ชมวิวจากบนยอดเขา เชื่อว่าในอดีตเองก็อาจจะมีคนไม่น้อยที่มีความคิดในรูปแบบนี้ เพราะตั้งแต่ในอดีตเองในบางครั้งเราก็จะสามารถหารูปถ่ายทางอากาศของสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะเมืองดังๆ ได้ไม่ยากเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ในวันนี้ เราจะไปชม 22 รูปถ่ายทางอากาศของสถานที่ดังๆ ในสมัยก่อนกัน ว่าแต่จะมีที่ไหนบ้างและสวยงามแค่ไหน คงต้องให้ทุกคนไปตัดสินกันเองที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากส่วนหนึ่งของเมืองบอสตันไม่นานหลังเหตุหายนะกากน้ำตาลท่วมในปี 1919   ทิวทัศน์ของกิซาและมหาพีรามิด 1904   สะพานโกลเดนเกตในตอนที่ยังไม่เสร็จและชายฝั่งซานฟรานซิสโก 1934   ดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังตึกระฟ้าในนิวยอร์ก 1932   ภาพถ่ายทางอากาศของโคลอสเซียมในโรม ไม่ทราบวันที่   นี่คือภาพถ่ายทางอากาศที่ว่ากันว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยเป็นภาพของบอสตันในปี 1860   บอสตันที่ถ่ายจากบอลลูนในปีช่วงยุค 1860   ทัศนียภาพของหอไอเฟลและบริเวณโดยรอบๆ 1889   ฮิโรชิม่าหลังสงคราม 1946   พระราชวังเวสต์มินสเตอร์และบิ๊กเบน 1900   ซานฟรานซิสโกหลังแผ่นดินไหวในปี 1906   พื้นที่ Carnegie Hill ของนิวยอร์กนานก่อนจะมีตึกระฟ้า…

  • ชม 6 งานเทศกาลสุดแปลก แต่มีอยู่จริงบนโลก ที่อาจจะทำให้คุณไปเข้าร่วมดูสักครั้ง

    ชม 6 งานเทศกาลสุดแปลก แต่มีอยู่จริงบนโลก ที่อาจจะทำให้คุณไปเข้าร่วมดูสักครั้ง

    โลกของเรานั้นมีงานเทศกาลอยู่มากมายหลายอย่าง ทั้งที่เกิดมาจากวัฒนธรรมหรือศาสนา และที่เกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนงานเทศกาลก็เป็นสิ่งที่เหล่าผู้คนหลงใหล และแห่กันไปเข้าร่วมอย่างสนุกสนานอยู่เสมอ ดังนั้นในวันนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปรวบรวมข้อมูลของงานเทศกาลแปลกๆ แต่น่าสนใจจากทั่วโลกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน เผื่อที่สักวันเพื่อนๆ อยากลองไปเที่ยวเทศกาลดีๆ ที่ต่างประเทศ จะได้มีตัวเลือกที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด   เริ่มกันจากเทศกาลไฟเบลเทนแห่งสกอตแลนด์ (Beltane Fire Festival) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน ของทุกๆ ปี โดยในนั้นนี้ผู้คนจะออกมาแก้ผ้าทาตัวด้วยสีในขณะที่วิ่งแห่คบเพลิง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการต้อนรับฤดูร้อนของเมืองเอดินบะระนั่นเอง   เทศกาลกระโดดข้ามเด็กทารกแห่งสเปน (El Colacho) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ใหญ่แต่งตัวเป็นปีศาจกระโดดข้ามทารกสมชื่อ โดยที่พวกเขาทำแบบนี้เพราะความเชื่อที่ว่าการที่ปีศาจกระโดดข้ามทารกจะทำให้เด็กๆ ได้รับการให้อภัยจาก “บาปกำเนิด” (Original sin) ตามหลักศาสนาคริสต์ และปกป้องพวกเขาจากสิ่งชั่วร้ายได้   “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็กของญี่ปุ่น (かなまら祭り) นี่เป็นงานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ วันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน โดยธีมของงานจะเกี่ยวข้องกับลึงค์ หรืออวัยวะเพศชายล้วนๆ และมีจุดเด่นอยู่ที่การแห่ลึงค์ยักษ์ของคนในพื้นที่ (อ่านเรื่องราวของเทศกาลนี้ได้ที่ “คานามาระ มัตสุริ” เทศกาลลึงค์เหล็ก ที่ชาวญี่ปุ่นจะออกมาแห่ลึงค์ยักษ์ ช่วยทุนวิจัย HIV)…

  • พบ “ชิอุเนะ ซึกิฮาระ” นักการทูตชาวญี่ปุ่นผู้ช่วยเหลือชาวยิว 40,000 ชีวิต จากน้ำมือของนาซี

    พบ “ชิอุเนะ ซึกิฮาระ” นักการทูตชาวญี่ปุ่นผู้ช่วยเหลือชาวยิว 40,000 ชีวิต จากน้ำมือของนาซี

    เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนมากแล้วเรื่องที่เรานึกออกก็จะเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของเหล่าทหารญี่ปุ่นในสมัยก่อนต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนหรือเกาหลีก็เท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าคนญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น จะไม่มีคนดีเลยแต่อย่างไร เพราะแม้แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเอง เราก็มีฮีโร่ที่น่ายกย่อง ผู้ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน     ชายคนดังกล่าวนี้มีชื่อว่า “ชิอุเนะ ซึกิฮาระ” นักการทูตชาวญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ที่ประเทศลิทัวเนีย ด้วยความที่เขาสามารถพูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในแมนจูเรียมาก่อน (ซึ่งเจ้าตัวลาออกมาเพราะไม่พอใจกับสิ่งที่ญี่ปุ่นทำกับจีน) หน้าที่ของเขาในเวลานั้นก็ไม่มีอะไรมาก แค่ค่อยจับตาดูการเคลื่อนไหวของโซเวียตและเยอรมันให้กับทางญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามดำเนินไปคุณซึกิฮาระก็ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถูกจดจำไปในฐานะของวีรบุรุษ นั่นเพราะในช่วงเวลาที่เขามาอยู่ที่ลิทัวเนียได้ไม่นานอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็ได้บุกเข้ายึดโปแลนด์ และเริ่มทำการสังหารหมู่ชาวยิวครั้งใหญ่ จนทำให้มีชาวยิวจำนวนมากพยายามลี้ภัยมายังประเทศลิทัวเนีย แต่ก็กลายเป็นว่าต้องมาติดอยู่กับโซเวียตที่นำโดยโจเซฟ สตาลินแทน     ในเวลานั้นเองที่คุณซึกิฮาระรู้ตัวว่าตำแหน่งของเขานั้นมีอาจสามารถที่จะช่วยชาวยิวเหล่านี้ได้ ด้วยการให้พวกเขาติดต่อลี้ภัยไปญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดีที่จะหนีจากค่ายนรก ที่อาจจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้ น่าเสียดายมากที่ในตอนนั้นทางญี่ปุ่นปฏิเสธที่จะออกวีซ่าให้กับผู้ลี้ภัย และเรียกตัวเขากลับประเทศ ซึ่งหากเขาขัดคำสั่ง ทั้งตัวเขาเองและที่บ้านก็อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างไรก็ตามด้วยความที่เขาถูกเลี้ยงดูมาในตระกูลที่เชื่อมั่นในความดี คุณซึกิฮาระก็ตัดสินใจขัดคำสั่งของทางญี่ปุ่น เขาขอเลื่อนวันกลับประเทศออกไป ก่อนที่จะร่วมมือกับภรรยาลักลอบเขียนวีซ่าให้กับชาวยิวตลอด 29 วันในปี 1940 และออกวีซ่าแบบครอบครัวให้ชาวยิวด้วยความเร็วเฉลี่ย 300 เล่มต่อวัน     เขานั้นถึงกับโยนตราวีซ่าเปล่าๆ และประทับของตัวเองให้กับชาวยิวที่เหลืออยู่ในวันที่ตนเองโดนบังคับให้ออกจากลิทัวเนีย ซึ่งแม้ว่านี่จะนับเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน แต่สำหรับซึกิฮาระแล้ว วีซ่าและตราประทับเหล่านี้อาจจะช่วยใครสักคนไว้ก็เป็นได้ หลังจากที่ออกจากลิทัวเนียคุณซึกิฮาระก็เดินทางไปมาในอีกหลายประเทศ ก่อนที่จะถูกจับเป็นนักโทษสงครามโดยโซเวียต และต้องใช้ชีวิตในค่ายกักกันนักโทษอยู่ราวๆ…

  • ย้อนรอยภาพดัง “หญิงสาวที่ตะโกนใส่นักเรียนผิวสี” ที่มีเรื่องราวมากกว่าแค่การเหยียดผิว

    ย้อนรอยภาพดัง “หญิงสาวที่ตะโกนใส่นักเรียนผิวสี” ที่มีเรื่องราวมากกว่าแค่การเหยียดผิว

    เคยได้ยินเรื่องราวของ Little Rock Nine กันไหม นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1957 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเหยียดผิวยังรุนแรงอยู่ ในช่วงเวลานั้นมีนักเรียนผิวสีจำนวนเก้าคน พยายามเข้าไปเรียนในโรงเรียนมัธยมลิตเติลร็อค แต่ถูกขัดขวางโดยคนขาวจนไม่สำเร็จ แม้พวกเธอจะชนะคดีในศาลจนมีสิทธิ์เข้าเรียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม ในเวลานั้นมีภาพถ่ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาให้เห็นอยู่หลายภาพ แต่หากจะให้พูดถึงภาพที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดแล้ว เราก็คงต้องพูดถึงภาพของหญิงสาวที่ตะโกนใส่นักเรียนผิวสี หรือ “Little Rock Nine Scream Image” ขึ้นมาเป็นอย่างแรก     ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพที่ถ่ายไว้ได้ในวันที่ 4 กันยายน 1957 เมื่อ Elizabeth Eckford หนึ่งใน Little Rock Nine ต้องเดินทางไปโรงเรียนท่ามกลางการประท้วงของคนผิวขาว โดยจากในภาพจะเห็นว่ามีผู้หญิงหลายคนที่มองมายังเธอด้วย สายตาดูถูก และมีจุดเด่นอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ตะโกนอะไรบางอย่างใส่ Eckford อย่างเกลียดชัง ภาพที่ออกมานี้สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้แก่เหล่าผู้ที่มาพบเห็นมาก จนกลายเป็นหนึ่งในภาพถ่ายสำคัญที่นำไปสู่การรณรงค์เรียกร้องสิทธิคนผิวสีในเวลาต่อมา     แต่ในขณะที่รูปนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการเหยียดสีผิวอยู่นั้น สิ่งที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยทราบกันเลยคือคนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดที่อยู่ในภาพนี้นั้น อาจจะไม่ใช่ตัว Elizabeth Eckford เอง แต่เป็น Hazel…

  • นักโบราณคดีชี้ “ชาววารี” เคยใช้ “ปาร์ตี้เบียร์” ในการป้องกันสงครามและได้ผลดีมากว่า 500 ปี

    นักโบราณคดีชี้ “ชาววารี” เคยใช้ “ปาร์ตี้เบียร์” ในการป้องกันสงครามและได้ผลดีมากว่า 500 ปี

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นหมื่นปี และมีหลักฐานการถูกใช้งานทั้งในทางความเชื่อและทางการบริโภคในแทบทุกพื้นที่ทั่วโลก ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องดื่มเก่าแก่นี้ อาจจะมีส่วนช่วยในการป้องกันสงคราม และรักษาความสามัคคีในสังคมของคนในพื้นเมืองในสมัยก่อน อย่าง “ชาววารี” ได้ด้วย   เสาหินซึ่งเป็นผลงานของเผ่าวารี   อ้างอิงจากนักโบราณคดีแห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในอเมริกา ซึ่งมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจแหล่งโบราณคดีของชาววารีในเปรูอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาได้พบกับเครื่องดื่มหมักบ่มจำนวนมาก และร่องรอยที่บอกว่าชาววารีมักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เพื่อจัดฉลองดื่มของมึนเมาด้วยกัน งานฉลองที่ว่านี้จัดขึ้นในพื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของเปรูที่มีชื่อว่า “Cerro Baúl” ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างมีชื่อเสียงเรื่องเครื่องดื่มมึนเมาเป็นอย่างมาก และสามารถใช้เครื่องดื่มเหล่านี้ในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามใหญ่ๆ กับเผ่าใกล้เคียงมาได้อย่างยาวนานตั้งแต่ที่เผ่าวารีเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 600 ไปจนถึงการมาของเผ่าอินคาในปี ค.ศ. 1100   ภาพของ Cerro Baúl จากปี 2008   พวกเขาอาศัยเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของตัวเองอย่าง “Chicha” เครื่องดื่มคล้ายเบียร์ที่ทำจากเปปเปอร์เบอร์รี่ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนในอาณาจักรและเสียค่อนข้างเร็ว (อยู่ได้ราวแค่ไม่กี่อาทิตย์) เพื่อดึงดูดคนสำคัญๆ ให้มา “ประชุม” กันใน Cerro Baúl ในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งในการประชุมดังกล่าวนี้เอง เหล่าผู้นำก็มักจะมีโอกาสได้ตัดสินปัญหาหรือข้อตกลงต่างๆ ด้วยการแข่งดื่มเบียร์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเสียเนื้อในสงครามอย่างที่เคยเป็นมา   Chicha เครื่องดื่มคล้ายเบียร์ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการใช้เบียร์รักษาความสงบ  …

  • พบหลักฐานการสังหารหมู่อายุ 350 ปีที่อะแลสกา คาดเริ่มต้นเพราะเด็กปาลูกดอกใส่ตากัน

    พบหลักฐานการสังหารหมู่อายุ 350 ปีที่อะแลสกา คาดเริ่มต้นเพราะเด็กปาลูกดอกใส่ตากัน

    เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้รายงานข่าวการค้นพบร่องรอยของการสังหารหมู่ และวัตถุโบราณร่วม 60,000 ชิ้นในแหล่งโบราณคดีที่เมืองโบราณ Agaligmiut (ในปัจจุบันเรียกกันว่า Nunalleq) รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา     จากหลักฐานที่นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีนพบการสังหารหมู่ครั้งนั้นส่งผลให้มีชาวเมืองอย่างน้อยๆ 28 คนถูกสังหารในสภาพที่ถูกมัด และโจมตีบริเวณด้านหลังของศีรษะด้วยธนูหรือไม่ก็หอก เมื่อราวๆ 350 ปีก่อน ช่วงเวลานั้น ถูกเรียกกันในหมู่นักโบราณคดีว่า “สงครามธนูและศร” จากการที่ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งหลายครั้งขึ้นในหมู่ชนพื้นเมืองที่อาศัยในแถบอะแลสกา และคนในพื้นที่จะรบกันโดยใช้ธนูเป็นหลัก อ้างอิงจาก ตำนานที่เล่ากันมาในหมู่ชาว Yupik (ชนพื้นเมืองในพื้นที่) สงครามธนูและศรนั้น เริ่มต้นจากการแข่งขันปาลูกดอกในเมือง ซึ่งมีเด็กๆ บังเอิญปาลูกดอกใส่ตาอีกฝ่ายจนทำให้ผู้เป็นพ่อไม่พอใจและควักลูกตาเด็กที่เป็นคนปาลูกดอกเป็นการ “ชดใช้” และบานปลายจนกลายเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่     ส่วนการสังหารหมู่ที่พบในครั้งนี้เชื่อกันว่า เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นได้สักพักหนึ่ง และมีเหยื่อส่วนมากเป็นเด็กและผู้หญิงเนื่องจากในเวลานั้นเหล่าผู้ชายได้ออกไปรบกันหมด แนวคิดนี้นับว่าได้รับความเชื่อถือจากนักโบราณคดีค่อนข้างมาก เพราะในบรรดาโครงกระดูก 28 ร่างที่พบ มีเพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้นที่เป็นของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะเป็นกำลังรบได้ และนอกจากหลักฐานเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นใน Agaligmiut แล้ว การค้นพบวัตถุโบราณอีกกว่า 60,000 ชิ้นเองก็นับเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเช่นกัน…

  • ย้อนรอย “บิลลี ซิง” ยอดสไนเปอร์ชาวออสเตรเลีย “นักลอบสังหาร” แห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    ย้อนรอย “บิลลี ซิง” ยอดสไนเปอร์ชาวออสเตรเลีย “นักลอบสังหาร” แห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “บิลลี ซิง” (Billy Sing) ไหม? เขาคือหนึ่งในสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงจากสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสไนเปอร์ที่เก่งที่สุดของประเทศออสเตรเลียเลย     บิลลี ซิงเกิดในครอบครัวที่มีบิดาเป็นชาวจีนกับมารดาเป็นชาวอังกฤษในปี 1886 และใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในพื้นที่ชนบทของรัฐควีนส์แลนด์ แถมยังต้องทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อช่วยบรรเทาภาระของครอบครัวที่มีฐานะยากจนของเขา แม้ว่าตัวเองจะโดนเหยียดชนชาติอย่างหนักจากการเป็นลูกครึ่งก็ตาม เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการขี่ม้าและยิงปืนมาตั้งแต่วัยรุ่น ถึงขั้นที่ว่าพี่เขยของเขาชมว่าบิลลีสามารถยิง “หางของหมู” ที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรได้เลย ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นนักกีฬาและนักล่าจิงโจ้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของพื้นที่ไป     ตอนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในปี 1914 บิลลีเป็นลูกครึ่งกลุ่มแรกๆ ที่สมัครเข้าเป็นทหาร ดังนั้นเขาจึงสามารถเข้าร่วมกองทัพได้ แม้ว่าในภายหลังออสเตรเลียจะไม่รับคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวเข้าเป็นทหารก็ตาม ในสงครามบิลลี ถูกส่งไปรบกับจักรวรรดิออตโตมันในพื้นที่ที่จะกลายเป็นตุรกีในปัจจุบัน และได้ถูกบรรจุเป็นสไนเปอร์จากความแม่นยำในการสังหารศัตรูและการฝึกของเขา เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดำเนินไป ตัวเลขการสังหารของบิลลีก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนแค่ในการทัพกัลลิโพลีเพียงที่เดียว บิลลีก็สังหารศัตรูไปถึง 200 คน จนถูกเพื่อนๆ ตั้งฉายาให้ว่า “the Assassin” (นักลอบสังหาร) กับ “the Murderer” (ฆาตกร) จนตัวเขากลายเป็นตำนานของกองทัพไป   กองกำลังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เทียบท่าที่กัลลิโพลี  …

  • สื่อนอกพาชม 15 ภาพวาดคนมีชื่อเสียงในอดีต แต่ออกมา “ไม่สวยเท่าที่ควร” ไม่รู้ว่าเพราะศิลปินหรือเปล่า

    สื่อนอกพาชม 15 ภาพวาดคนมีชื่อเสียงในอดีต แต่ออกมา “ไม่สวยเท่าที่ควร” ไม่รู้ว่าเพราะศิลปินหรือเปล่า

    เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตาของเหล่าคนมีชื่อเสียงในสมัยก่อน (โดยเฉพาะช่วงยุคกลาง) โดยมากเลยเราก็จะนึกถึงภาพของพวกเขาโดยอาศัยภาพวาดของศิลปินในสมัยก่อนเป็นหลัก ซึ่งในหลายๆ ครั้งภาพเหล่านี้ก็จะถูกวาดโดยบิดเบือนความจริงให้เจ้านายดูดีกว่าปกติ แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยเหมือนกันที่ภาพวาดของคนดังในสมัยก่อนจะออกมา “ไม่ดีเท่าที่ควร” ซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเพราะใบหน้าจริงๆ ของคนดังเหล่านั้นไม่ได้รูปงามเท่าไหร่ หรือตัวช่างภาพมีฝีมือไม่ถึงกันแน่     ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ภาพเหล่านี้ก็กลายเป้นที่สนใจของสำนักข่าวต่างชาติอย่าง The Vintage News เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ไปรวบรวมเอาภาพของเหล่าคนมีชื่อเสียงในอดีต ที่ออกมาไม่ดีเท่าไร่มาให้ผู้อ่านได้ชมกัน แต่จะมีภาพของใครบ้าง และภาพที่ออกมาจะเป็นแบบไหน คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันเองที่ข้างล่างนี้ (ภาพที่เพื่อนๆ กำลังจะได้ชม ไม่ได้มีการจัดอันดับน้อยมากแต่อย่างไร)   เริ่มกันจากพระเจ้าเจมส์ที่ 2 กษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ (1430-1460) ภาพนี้คาดว่าวาดไว้ในศตวรรษที่ 17   พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอน (1479-1516) ภาพนี้คาดว่าวาดไว้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15   อาร์ชดัชเชสมาเรีย อันนา แห่งบาวาเรีย (1551-1608) ภาพนี้คาดว่าวาดไว้ในช่วงศตวรรษที่ 17   จักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (1640-1705) ภาพนี้วาดโดย Benjamin von…

  • 8 ความจริงแปลกๆ เกี่ยวกับ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน

    8 ความจริงแปลกๆ เกี่ยวกับ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน

    เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” (Post-Mortem Photography) กันมาบ้าง โดยนี่เป็นการถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมมากๆ ในช่วงศตวรรษที่ 19 และเกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพคนตายให้เหมือนยังมีชีวิต เพื่อเป็นเครื่องจดจำของคนที่จากไป (อ่านเรื่องราวเต็มๆ ของภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพได้ที่ “ภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ” ภาพแปลกจากศตวรรษที่ 19 ที่ถ่ายคนตายเหมือนยังมีชีวิต)     การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ อาจจะนำมาซึ่งความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนอาจมองว่าการถ่ายภาพคนตายเป็นอะไรที่น่าขนลุก ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะมองว่าการถ่ายรูปกับคนที่จากไปมันช่างเป็นอะไรที่น่าเศร้าเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับภาพเหล่านี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะเรียนรู้เรื่องราวของภาพถ่ายสุดแปลกนี้ให้มากขึ้นอีกสักนิด ดังนั้นในวันนี้เราจะไปชม 8 ความจริงที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ ที่แน่แน่เหมือนกันว่าอาจจะทำให้คุณเข้าใจความคิดของคนสมัยก่อนที่ถ่ายภาพเหล่านี้มากขึ้นอีกสักนิดก็เป็นได้   เริ่มกันจากข้อที่ 1 : ในหลายๆ ครั้ง คนตายจะถูกถ่ายภาพขณะนอนในโลงศพ เมื่อพูดถึงภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพ ตามปกติเราจะนึกถึงภาพคนตายนั่งบนเก้าอี้ หรือยืนในบ้านเป็นหลัก แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่ คนตายจะถูกถ่ายภาพเหล่านี้ขณะนอนในโลงศพเลย การถ่ายภาพในรูปแบบนี้ มักจะถูกทำขึ้นก่อนที่คนรู้จักจะมาเคารพศพ และมีความหมายแฝงต่างไปจากภาพถ่ายหลังจากชันสูตรศพอื่นๆ ตรงที่มันแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าคนในภาพตายไปแล้ว   ข้อที่ 2 : บางครั้งผู้เป็นแม่จะซ่อนตัวอยู่หลังภาพเพื่ออุ้มลูกที่จากไปแล้ว ภาพเหล่านี้มักจะถูกเรียกกันว่า “Hidden Mother”…

  • ชม “ซินจุย” มัมมี่จีนจากยุคราชวงศ์ฮัน ที่แทบไม่เน่าสลายเลยแม้เวลาผ่านไปกว่า 2,000 ปี

    ชม “ซินจุย” มัมมี่จีนจากยุคราชวงศ์ฮัน ที่แทบไม่เน่าสลายเลยแม้เวลาผ่านไปกว่า 2,000 ปี

    เมื่อ 163 ปีก่อนคริสตกาล ใกล้ๆ พื้นที่เมืองฉางชามณฑลหูหนาน ประเทศจีนในปัจจุบัน ได้มีร่างไร้วิญญาณของหญิงคนหนึ่งถูกฝังเอาไว้ในสุสานขนาดใหญ่ ร่างนั้นถูกระดับไปด้วย วัตถุล้ำค่ากว่า 1,000 ชิ้น ตั้งแต่อุปกรณ์ แต่งหน้า อุปกรณ์อาบน้ำ และงานไม้ขัดเงาอีกหลากหลายชนิด   ร่างของเธอถูกพบอีกครั้งหนึ่งหลังจากวันนั้นร่วม 2,000 ปี เมื่อมีค้นงานก่อสร้างพบสุสานของเธอเข้าในปี 1971 และเมื่อนักวิยาศาสตร์ตัดสินใจเปิดสุสานของเธอ พวกเขาก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะร่างของหญิงคนนี้นั้น แทบจะไม่ได้เน่าเปื่อยเสียหายไปเลย     หญิงคนนี้มีนามว่า “ซินจุย” ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮัน (ราชวงศ์ที่ครองบัลลังก์ตั้งแต่เมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ. ที่ 220) และในปัจจุบันถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดในโลก อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ร่างของเธอนั้นยังคงความนุ่มของผิวคนไว้ได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะผ่านเวลามามากกว่า 2,000 ปี แถมเส้นขนส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทั้งผมบนศีรษะ ขนคิ้ว ขนจมูก หรือแม้กระทั่งขนตา     นอกจากผิวหนังด้านนอกที่ยังสมบูรณ์แล้วซินจุยก็ยังมีเครื่องในอยู่อย่างครบถ้วน แถมยังมีเลือดเหลืออยู่จนทำให้นักวิทยาศาสตร์บอกได้ว่าเธอมีเลือดกรุ๊ปเอ ทำให้นับว่าน่าเสียดายมากที่เรื่องราวในตอนที่มีชีวิตอยู่ เรื่องราวของเธอกับไม่ค่อยไม่บันทึกอยู่เท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความมหัศจรรย์ของตัวมัมมี่   อย่างไรก็ตามเราก็ทราบได้จากการพิสูจน์ศพว่าเธอน่าจะเสียชีวิตในตอนที่อายุได้ราวๆ…

  • คลิปหลุดเผยยานอวกาศของ SpaceX ระเบิด หลังมีรายงาน “ความผิดปกติ” ในการทดลอง

    คลิปหลุดเผยยานอวกาศของ SpaceX ระเบิด หลังมีรายงาน “ความผิดปกติ” ในการทดลอง

    นี่คงนับว่าเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับบริษัททางอวกาศเอกชนที่มีชื่อเสียงอย่าง SpaceX  เมื่อในวันเสาร์ที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา การทดสอบระบบของแคปซูลยานอวกาศรุ่นใหม่นั้นต้องจบลงไปด้วยความล้มเหลว     แคปซูลยานอวกาศที่เป็นข่าวในครั้งนี้มีชื่อว่า “Crew Dragon” ยานอวกาศที่สร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายจะให้ทางนาซ่าให้งานในการรับส่งนักบินไปมาระหว่างโลกและสถานีอวกาศนานาชาติ อ้างอิงจากประกาศของทาง SpaceX การทดสอบที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน เป็นการทดสอบเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์ของยาน Crew Dragon ซึ่งเกิดขึ้นในฟลอริด้า และสำเร็จลุล่วงไปได้ดีในทุกๆ ขั้นตอนจนกระทั่งเกิด “ความผิดปกติ” ในการทดสอบขั้นสุดท้าย   ภาพการทดลองยาน Crew Dragon รุ่นทดสอบชื่อ “SuperDraco” ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ในครั้งนี้   พวกเขาบอกว่า ความผิดปกติดั่งเช่นที่พบในครั้งนี้ คือเหตุผลที่ SpaceX ต้องทำการทดสอบยานอวกาศอยู่เสมอ โดยในปัจจุบันทาง SpaceX และนาซ่า ได้ร่วมมือกันตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่ายานอวกาศของพวกเขามีความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานจริงๆ ในเวลานั้นทาง SpaceX ไม่ได้มีการเปิดเผยว่าความผิดปกติที่พวกเขาพูดถึงนั้นแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามสำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งได้ระบุว่า Crew Dragon นั้น “เกิดควันไฟสีแดงส้มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และมองเห็นได้จากระยะหลายไมล์”…

  • ย้อนรอย “ฝนเนื้อแห่งเคนทักกี” เหตุประหลาดในปี 1876 ที่มี “เนื้อปริศนา” ตกมาจากฝากฟ้า

    ย้อนรอย “ฝนเนื้อแห่งเคนทักกี” เหตุประหลาดในปี 1876 ที่มี “เนื้อปริศนา” ตกมาจากฝากฟ้า

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1876 ในพื้นที่บาธเคาน์ตี้ รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา ได้เกิดเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มี “เนื้อ” จำนวนมาก ตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับว่าเป็นฝน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความแปลกใจให้กับคนในเมืองเป็นอย่างมาก จนเหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกจดจำไปอีกนานในชื่อ “Kentucky Meat Shower” หรือ “ฝนเนื้อแห่งเคนทักกี”   ตัวอย่างเนื้อที่ถูกเก็บมาจากเหตุการณ์ฝนเนื้อแห่งเคนทักกี   อย่างอิงจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้และคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วง เที่ยงวัน โดยที่ท้องฟ้าโปร่งแทบจะไม่มีเมฆ และไม่มีอะไรที่พอจะนับเป็นเค้าลางของเหตุฝนเนื้อได้เลยเช่นกัน โดยหนึ่งในคู่สามีภรรยาที่อยู่ในเหตุการณ์ได้อธิบายลักษณะของเนื้อที่ตกลงมาว่ามีขนาดตั้งแต่ 5-10 เซนติเมตร และมีน้ำหนักที่ต่างๆ กันไป ในตอนแรกๆ ที่เกิดเหตุฝนเนื้อขึ้น ชาวบ้านในพื้นที่ก็ถกเถียงกันอย่างหนักว่าเนื้อที่ตกลงมานั้นแท้จริงแล้วเป็นเนื้อของตัวอะไรกันแน่ จนถึงขั้นที่ว่ามีคนจำนวนมากอาสาทานเนื้อดังกล่าวด้วยตัวเอง     แต่ถึงอย่างไรก็ตามเนื้อดังกล่าวก็ยังคงมีการถกเถียงกันต่อไปอยู่ดีว่าสุดท้ายแล้วมันเป็น เนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อหมี เนื้อแกะ หรือเนื้อปลากันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นร้อนไปถึงเจ้าหน้าที่ของเมืองที่จะต้องทำการส่งเนื้อดังกล่าวไปตรวจสอบทางเคมีเพื่อความสบายใจของคนในพื้นที่ แต่ก็นับว่าน่าแปลกมากที่พวกเขาเองก็ไม่สามารถฟันธงได้อยู่ดีว่าเนื้อดังกล่าวเป็นเนื้ออะไร แม้ทางสมาคมวิทยาศาสตร์นวร์กจะบอกว่าเป็นเนื้อปอดม้า หรือไม่ก็ของเด็กทารกก็ตาม     แน่นอนว่าไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรกันที่ทำให้มีเนื้อตกมาจากท้องฟ้าเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามตั้งแต่ในอดีตมาก็มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นออกมาให้เห็นอยู่มากมายหลายแบบ โดยหนึ่งในทฤษฎีที่มีคนให้ความเชื่อถือสูงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น อ้างว่าเนื้อเหล่านี้อาจจะถูกลมที่รุนแรงพัดขึ้นมาไปบนฟ้าจากที่ไหนสักแห่งก่อนที่จะบังเอิญไปตกในบาธเคาน์ตี้พอดี…

  • “เหตุเครื่องบินที่เขาแอนดีส” เรื่องราวสุดสลดที่ผู้รอดชีวิตต้องกินคนตายเพื่อความอยู่รอด

    “เหตุเครื่องบินที่เขาแอนดีส” เรื่องราวสุดสลดที่ผู้รอดชีวิตต้องกินคนตายเพื่อความอยู่รอด

    เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคดีที่ชื่อ “Andes Plane Crash” กันไหม? นี่คือเหตุการณ์ที่เครื่องบินตกบนเทือกเขาแอนดีส เมื่อปี ค.ศ. 1972 ที่กลายเป็นเรื่องราวโด่งดังไปทั่วโลกในช่วงศตวรรษที่ 20 จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ “Alive” ในปี 1993     เหตุเครื่องบินตกบนเขาแอนดีส เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 1972 เครื่องบิน Fairchild FH-227D ของกองบินอุรุกวัยเกิดปัญหาทางการควบคุมในระหว่างการเดินทางไปชิลี ก่อนที่จะตกลงบนเขาแอนดีสอย่างรุนแรง เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้โดยสารเสียชีวิตทันที 17 คนจากทั้งหมด 45 คน ในขณะที่ผู้โดยสารที่เหลืออีก 28 ราย ต้องพบกับความหนาวและการขาดอาหารอย่างหนักในระหว่างรอการช่วยเหลือ และนั่นนำไปสู่เหตุการณ์กินคนที่น่าเศร้าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่     ในช่วงเวลาสิบวันหลังจากที่เครื่องบินตก เหล่าผู้รอดชีวิตที่ส่วนมากเป็นสมาชิกทีมนักรักบี้จากสโมสรคริสเตียนเก่าก็ได้ทราบข่าวร้ายจากวิทยุทรานซิสเตอร์ว่าการค้นหาเครื่องบินที่พวกเขาโดยสารมานั้นถูกยกเลิกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในระหว่างที่พวกเขาต้องจมอยู่ในความหิวและสิ้นหวัง พวกเขาจึงสัญญากันว่าใครก็ตามที่ตายไปจะยอมให้คนที่เหลือกินร่างของตัวเองได้ เพื่อให้เพื่อนๆ มีชีวิตรอดนานขึ้นแม้สักนิดก็ยังดี คำสัญญาในวันนั้น ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดีโดยกลุ่มผู้รอดชีวิตซึ่งไร้ซึ่งทางเลือกอื่น และใช้ร่างของเหล่าผู้ตายเป็นอาหารประทังชีวิตเรื่อยมา เป็นเวลายาวนานกว่า 72 วัน     Roberto Canessa…

  • 15 ภาพเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันของ “เบอร์ลิน” เมืองหลวงแห่งเยอรมนีที่มีเสน่ห์กว่าที่คิด

    15 ภาพเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันของ “เบอร์ลิน” เมืองหลวงแห่งเยอรมนีที่มีเสน่ห์กว่าที่คิด

    กรุงเบอร์ลิน นับเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้ชื่อว่ามีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ไม่ผิดนัก และมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต่อเยอรมนีตั้งแต่ในสมัยสงครามโลกไปจนถึงสงครามเย็น ด้วยและความสำคัญนี้เอง ที่ทำให้คนในโปรเจกต์ ReFilm.io หลงรักในเมืองแห่งนี้ จนพวกเขาตัดสินใจที่จะเดินทางไปทั่วพื้นที่กรุงเบอร์ลิน เพื่อถ่ายภาพสถานที่ในปัจจุบันของเมืองงแห่งนี้ และนำมาเปรียบเทียบกับภาพในอดีตที่พวกเขามีอยู่ เกิดเป็นอัลบั้มเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันสุดงดงามของกรุงเบอร์ลิน ดังนั้น ในวันนี้เองเราก็จะมาชมภาพส่วนหนึ่งของอัลบั้มเปรียบเทียบนี้กัน แต่จะงดงามและน่าสนใจแค่ไหนนั้น เพื่อนๆ สามารถไปชม และตัดสินกันได้เลยที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพของพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอน ในปี 1936 กับในปี 2019   Gendarmenmarkt เทียบระหว่างตอนที่เสียหายจากสงครามในปี 1984 กับปี 2019   การขี่จักรยานใน Kreuzberg เมื่อปี 1986 กับปี 2018   การขี่จักรยานใน Kreuzberg อีกภาพ อันนี้เมื่อปี 1985 กับ 2018   ทางแยกที่เคยเป็นจุดแบ่งระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก เมื่อปี 1979 กับ 2018   ถนนเล็กๆ ที่ Mitte…

  • ย้อนรอยคดีของ “Terry Jo Duperrault” เด็กสาวผู้ต้องกำพร้าพ่อแม่กลางมหาสมุทร

    ย้อนรอยคดีของ “Terry Jo Duperrault” เด็กสาวผู้ต้องกำพร้าพ่อแม่กลางมหาสมุทร

    เคยได้ยินเรื่องราวของเด็กหญิงอายุ 11 ขวบชื่อ “Terry Jo Duperrault” กันมาก่อนไหม เธอคือเด็กสาวที่ถูกพบลอยอยู่อย่างเดียวดายบนเรือกู้ชีพกลางท้องทะเลที่บาฮามาส และเป็นเด็กสาวผู้อยู่ในภาพที่มีชื่อเสียงอย่าง “Sea Waif”     แต่ทราบกันหรือไม่ว่าเหตุผลที่ทำให้เด็กหญิงคนนี้ต้องลอยอยู่กลางทะเลอย่างเดียวดายนั้น กลับเป็นเรื่องที่ทั้งแปลกและน่ากลัว ยิ่งกว่าที่หลายๆ คนคิดเอาไว้นัก เรื่องราวของเด็กสาวคนนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1961 เมื่อ ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในกรีนเบย์ สหรัฐอเมริกาของเธอมีโอกาสได้เดินทางไปพักผ่อนบนเกาะบาฮามาส เพื่อหลบอากาศหนาว ด้วยเรือที่เช่ามาแบบเหมาลำ โดยผู้โดยสารบนเรือนั้น นอกจากครอบครัว Duperrault ที่ประกอบไปด้วย Arthur ผู้เป็นพ่อ Jean ผู้เป็นแม่ และลูกๆ อีกสามคน (รวม Terry) แล้ว ก็ยังมีเพื่อนของ Arthur ที่เป็นทหารผ่านศึกชื่อ Julian Harvey และแฟนสาวของเขา Mary Dene อีกหนึ่งคน     ในช่วงแรกๆ ของการเดินทาง เหล่านักท่องเที่ยวดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีโดยที่ไม่มีปัญหาใดๆ แต่แล้วเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากนั้น การท่องเที่ยวบนเรือที่ควรจะเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มครั้งนี้ ก็ต้องกลายเป็นทะเลเลือดกลางมหาสมุทรไป อ้างอิงจาก…

  • MIT ปล่อยวิดีโอพิสูจน์ “ทฤษฎีก่อสร้างโบราณสถานหิน” ว่ามนุษย์ขนหิน 25 ตัน ด้วยมือเปล่าได้ยังไง??

    MIT ปล่อยวิดีโอพิสูจน์ “ทฤษฎีก่อสร้างโบราณสถานหิน” ว่ามนุษย์ขนหิน 25 ตัน ด้วยมือเปล่าได้ยังไง??

    ในตอนที่เห็นโบราณสถานที่ทำจากหินยักษ์ (Megaliths) อย่างของที่เปรู จีน และอียิปต์ เชื่อว่าคงจะมีหลายๆ คนไม่น้อยที่สงสัยกันว่า คนในสมัยก่อนขนหินหนักๆ มาสร้างของเหล่านี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าเรื่องนี้มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานแม้แต่ในบรรดาเหล่านักโบราณคดี และนำมาซึ่งข้อสันนิษฐานมากมายที่พยายามออกมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น     แต่แล้วเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง เหล่านักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “MIT” ก็ได้ออกมาทำการพิสูจน์หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมของการสร้างโบราณสถานจากหินยักษ์ นี่เป็นวิดีโอพิสูจน์ทฤษฎีการเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่โดยอาศัยแรงโน้มถ่วง การรักษาสมดุล และการงัด ด้วยการแสดงให้โลกเห็นว่าหากมีการเตรียมการที่ถูกต้อง มนุษย์เราก็สามารถเคลื่อนย้ายหินที่มีน้ำหนักถึง 25 ตันได้ แม้จะมีแรงงานอยู่เพียงไม่กี่คนก็ตาม   วิดีโอการลงมือขนหินยักษ์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์   อย่างที่เห็นจากในวิดีโอ รูปร่างของหินที่ถูกใช้ในการสร้างโบราณสถานมีส่วนสำคัญมากในการขนย้าย เพราะรูปร่างของหินจะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดความหนาแน่นและจุดศูนย์ถ่วงของหิน ซึ่งทำให้หินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างที่เหมาะสมสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับหินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ  จริงอยู่ว่ารูปร่างของหินที่ทาง MIT ทำออกมาจะเป็นรูปร่างที่ผ่านการคิดค้นมาอย่างดี และล้ำสมัยกว่าที่พบในโบราณสถานจริงๆ มาก แต่หลักการการเคลื่อนย้ายหินของพวกเขานั้น ก็เป็นสิ่งที่พบได้ในโบราณสถานหลายๆ แห่งเช่นกัน     อย่างเทคนิคการอาศัยการประสานกันของหินที่เห็นในวิดีโอเอง ก็เป็นแบบเดียวกับที่ชาวอินคาเคยใช้เมื่อราวๆ 1,500 ปีก่อนในการสร้างกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นมาในเวลาสั้นๆ และการทดลองในครั้งนี้เองก็เชื่อกันว่าจะสามารถนำไปใช้อ้างอิงกระบวนการคิดของคนโบราณในการสร้างโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถเข้าใจสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณมากขึ้น…

  • ย้อนรอยดาบ “Shotel” ดาบโค้งแห่งเอธิโอเปีย อาวุธรูปร่างประหลาด ที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    ย้อนรอยดาบ “Shotel” ดาบโค้งแห่งเอธิโอเปีย อาวุธรูปร่างประหลาด ที่น้อยคนนักจะรู้จัก

    ในพื้นที่ที่ต่างกันของโลกย่อมมีวัฒนธรรมที่ต่างกันไปด้วย และวัฒนธรรมที่ต่างกันเองก็จะนำมาซึ่งอาวุธที่มีเอกลักษณ์ต่างกันไปด้วย อย่างดาบ Ulfbehrt ของทางสแกนดิเนเวีย หรือคาตานะของแดนอาทิตย์อุทัย ดังนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะบอกว่าในแถบเอธิโอเปียเอง พวกเขาก็จะมีอาวุธที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเช่นกัน อาวุธชิ้นดังกล่าวนี้ มีชื่อเรียกว่า “Shotel” ดาบโค้งที่เต็มไปด้วยปริศนา และไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แม้ว่าตัวดาบเองจะมีลักษณะเด่นมากมายที่หาได้ยากในดาบอื่นๆ     ดาบ Shotel เป็นดาบในกลุ่มดาบโค้ง เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในช่วง 980 ปีก่อนคริสตกาล และใช้งานกันมาในจักรวรรดิเอธิโอเปียมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 Shotel ตามปกติแล้วจะเป็นดาบสองคม ที่มีคมดาบยาวราวๆ 1 เมตร และมีความโค้งมากกว่าดาบโค้งทั่วๆ ไป จนในหลายๆ ครั้งดาบดังกล่าวก็มีรูปร่างเกือบคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นไปได้ว่าทำขึ้นเพื่อให้ดาบโค้งผ่านโล่ในระหว่างการต่อสู้ได้   Dejazmach Hailu จาก Hamasien หนึ่งในจังหวัดของประเทศเอริเทรียในสมัยก่อน หนึ่งในผู้ใช้งานดาบ Shotel   ดาบเล่มนี้มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดว่าใช้งานโดยชาว Damotian จากอาณาจักร D’mt ซึ่งเชื่อกันว่ามีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์มาจนถึงช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นการใช้งานทั้งโดยทหารราบและทหารม้า แถมยังมีหน่วยทหารที่ออกแบบมาเพื่อสู้โดยใช้ดาบแบบนี้โดยเฉพาะชื่อว่า Meshenitai นับว่าน่าเสียดายมากที่แม้ดาบเล่มนี้จะมีประโยชน์ในการต่อสู้กับโล่มากก็ตาม มันกลับมีรูปทรงที่ยากต่อการใช้งาน…

  • นักวิทยาศาสตร์อ้าง เราอาจสามารถเดินทางผ่านหลุมดำได้จริงๆ แต่มันไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด

    นักวิทยาศาสตร์อ้าง เราอาจสามารถเดินทางผ่านหลุมดำได้จริงๆ แต่มันไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด

    เชื่อว่าเพื่อนๆ คงเคยคิดกันมาบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ และจะเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะสามารถเดินทางผ่านสถานที่และกาลเวลาได้โดยอาศัยหลุมดำแบบในหนัง ซึ่งในงานประชุมของสมาคมฟิสิกส์อเมริกันเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้รวมตัวกันคิดค้นทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับหลุมดำ ที่ไม่เพียงอาจจะเป็นกุญแจไปสู่การเดินทางข้ามจักรวาล แต่ยังสามารถช่วยคนออกมาจากหลุมดำได้ด้วย     โดยทฤษฎีนี้อาศัยแนวคิดที่ว่าในอวกาศนั้นมี “รูหนอน” (Wormhole) เชื่อมหลุมดำสองแห่งที่อยู่ในสถานที่ที่ต่างกัน ซึ่งที่ผ่านๆ มา เราเชื่อกันว่ารูหนอนเหล่านี้แม้จะมีอยู่แต่ก็คงไม่สามารถเดินทางผ่านไปยังอีกด้านได้จริงๆ โดยที่ไม่ทำให้รูหนอนพังไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งล่าสุดนี้เอง เหล่านักฟิสิกส์ที่นำโดยคุณ Daniel Jafferis จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกมาอ้างว่า เราอาจจะสามารถเดินทางผ่านหลุมดำแห่งหนึ่งไปยังหลุมดำอีกแห่งได้จริงๆ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์” (Quantum entanglement)     ควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์นั้นหากจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด มันก็คือการที่เราเอาอนุภาคสองตัวมา “พัวพันกัน” และหากเราทำอะไรกับอนุภาคตัวหนึ่ง อานุภาคอีกตัวก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเทเลพอร์ตมาตั้งแต่ในอดีต คุณ Jafferis บอกว่าหากเราสามารถหา หรือทำให้หลุมดำสองแห่งอยู่ในสภาพที่พัวพันกันด้วยควอนตัมเอนแทงเกิลเมนต์ได้ มันก็จะมีความเป็นไปได้ที่เราจะเดินทางจากหลุมดำแห่งหนึ่งไปโผล่ที่หลุมดำอีกแห่งได้นั่นเอง     อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนเลย เพราะการที่จะหาหรือสร้างหลุมดำที่อยู่ในสภาพพัวพันกันอย่างสมบูรณ์นั้น มีโอกาสน้อยมากเสียยิ่งกว่าการถูกหวยรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันเสียอีก นอกจากนี้คุณ Jafferis ยังบอกอีกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าการเดินทางในหลุมดำนั้นอาจจะใช้เวลานานกว่าการเดินทางในอวกาศจากหลุมดำหนึ่งไปยังอีกหลุมดำหนึ่งอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าแม้เราจะสามารถใช้หลุมดำเดินทางได้จริงๆ…

  • ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “เล็บ” ทำไมเราต้องมี และทำไมมันถึงงอกยาวขึ้นทุกวัน

    ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามเกี่ยวกับ “เล็บ” ทำไมเราต้องมี และทำไมมันถึงงอกยาวขึ้นทุกวัน

    ตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ในท้องมารดาได้ราวๆ 20 สัปดาห์ ร่างกายของเราก็จะเริ่มสร้างอวัยวะเล็กๆ ที่เรียกว่า “เล็บ” ขึ้นที่นิ้วมือและนิ้วเท้า ก่อนที่อวัยวะชิ้นนี้จะงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ ไปตลอดจนกระทั่งวันที่เราสิ้นลม     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องมีเล็บ และทำไมกันเจ้าอวัยวะชิ้นนี้ถึงได้งอกยาวขึ้นทุกวันแบบไม่มีหยุด ทั้งๆ ที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์มีแต่จะหยุดพัฒนาเมื่อเราอายุมากขึ้น อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับฟอสซิลโบราณในนอร์ทแคโรไลนา หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับเล็บมือของสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถพบได้ในฟอสซิลจากช่วง 58-55 ล้านปีก่อน ซึ่งสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเริ่มวิวัฒนาการร่างกายของตัวเองให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตบนต้นไม้ ดังนั้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดนักที่จะบอกว่าเล็บของเรานั้น เดิมทีแล้วออกแบบมาเพื่อช่วยให้การปีนต้นไม้ได้ง่ายขึ้น ก่อนที่เล็บเหล่านี้จะพัฒนารูปร่างไปตามการใช้ชีวิตของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่นกรงเล็บที่ใช้ป้องกันตัวของสัตว์ต่างๆ ในปัจจุบัน     สำหรับมนุษย์แล้ว เล็บของพวกเราเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อการปกป้องปลายนิ้วมือเป็นหลัก เนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นมีเส้นประสาทอยู่มาก ซึ่งแม้จะทำให้พวกเราสามารถใช้นิ้วมือในการรับสัมผัสได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ปลายนิ้วของเรากลายเป็นจุดอ่อนสำคัญไปด้วย อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มสงสัยว่า ถ้าปลายนิ้วของเราสำคัญขนาดนั้นทำไมร่างกายของเราจึงไม่ปกป้องมันด้วยอะไรที่แข็งหรือคงทนกว่านั้น อย่างการใช้กระดูกแบบฟันไปเลย? ทำไมร่างกายของเราถึงปกป้องปลายนิ้วด้วยของที่งอกขึ้นเรื่อยๆ แบบเล็บกัน     สำหรับเรื่องนี้ คำตอบมันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายๆ กว่าที่เราคิด นั่นคือการที่เราปกป้องปลายนิ้วด้วยเล็บนั้น มันก็คล้ายๆ กับการใช้อุปกรณ์ป้องกันแบบใช้แล้วทิ้งนั่นเอง กล่าวคือต่อให้เล็บเราเสียหายหรือถูกทำลายไปขนาดไหน สุดท้ายแล้วร่างกายก็แค่งอกมันขึ้นมาใหม่ และด้วยเหตุผลนี้เอง เล็บของเราถึงยาวขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันตั้งแต่เกิดไปจนตาย    …

  • ชม 20 ภาพชีวิตประจำวันในเม็กซิโกเมื่อปี 1902 ช่วงเวลาธรรมดาๆ ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์กว่าที่คิด

    ชม 20 ภาพชีวิตประจำวันในเม็กซิโกเมื่อปี 1902 ช่วงเวลาธรรมดาๆ ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์กว่าที่คิด

    ประเทศเม็กซิโกนับว่าเป็น ประเทศที่มีความงามและความหลากหลายทางภูมิศาสตร์มากๆ ประเทศหนึ่งของโลก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถานที่แห่งนี้ จะดึงดูดช่างถ่ายภาพจำนวนมากจากทั้งในท้องถิ่นและจากต่างประเทศ มาเก็บภาพของประเทศที่งดงามแห่งนี้ไว้ตั้งแต่ในอดีต และในคราวนี้เอง เราก็จะไปชมภาพของประเทศที่งดงามแห่งนี้กัน แต่ไม่ใช่ภาพธรรมดาๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเห็นกันบ่อยๆ หรอกนะ แต่เป็นภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ของการใช้ชีวิตประจำวันของคนที่นั่น เมื่อช่วงปี 1902 ต่างหาก ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็คงต้องให้เพื่อนๆ ไปชมกันได้เลยที่ข้างล่างนี้   เริ่มกันจากภาพเกวียนใน Tabasco หนึ่งในรัฐมีชื่อของประเทศ   บรรยากาศลานนวดข้าวในเม็กซิโก   คนรับจ้างขนส่งน้ำที่เรียกกันว่า “Aguador” .   วงดนตรีหน้าร้าน “Salon Versailles”   คนขายตะกร้า (และน่าจะขายหมวกด้วย)   นักสานตะกร้า   การสู้วัวกระทิงในเม็กซิโกซิตี   หมู่บ้านพื้นเมือง Cardenos   บรรยากาศทะเลสาบ Chapala   ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ Chapala   โบสถ์ที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลออสเตรีย บนเนิน Hill of the Bells…

  • ตำรวจสกอตแลนด์ออกล่าคนมือบอน หลังพบรอยขีดเขียนบน “วงแหวนแห่งบรอดการ์”

    ตำรวจสกอตแลนด์ออกล่าคนมือบอน หลังพบรอยขีดเขียนบน “วงแหวนแห่งบรอดการ์”

    เพื่อนๆ รู้จัก “วงแหวนแห่งบรอดการ์” (Ring of Brodgar) กันไหม นี่คือแหล่งโบราณสถานหินยักษ์ที่มีอายุถึง 5,000 ปีซึ่งตั้งอยู่ที่สกอตแลนด์ และนับว่าเป็นวงแหวนหินที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของหมู่เกาะอังกฤษ     แต่แล้ว เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทีมผู้ดูแลวงแหวนแห่งบรอดการ์ กลับพบว่าบนหนึ่งในเสาหิน 27 ในพื้นที่กลับมีร่องรอยของการถูกขีดเขียนโดยใครบางคน และทิ้งไว้เพียงตัวอักษรที่น่าจะเป็นคำว่า “SLARKI” ไม่ก็ “SLAKKI” จากช่วงเวลาที่มีการตรวจสอบแหล่งโบราณสถานแล้ว ทางตำรวจคาดว่าการขีดเขียนของคนมือบอนในครั้งนี้น่าจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 6 ถึงช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 และในปัจจุบันยังไม่อาจทราบได้เลยว่าใครกันที่เป็นคนลงมือ     เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ทางตำรวจสกอตแลนด์ออกมาประณามการกระทำของผู้ไม่หวังดีในครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำที่ “ไร้สติ” เป็นอย่างยิ่ง เพราะเสาหินเหล่านี้เรียกได้ว่ามีความสำหรับทางประวัติศาสตร์ในระดับที่ “ประเมินค่าไม่ได้” และไม่ควรที่จะต้องมาถูกทำให้แปดเปื้อนโดยการกระทำของคนคนเดียวเลย โดยคุณ David Hall หนึ่งในนายตำรวจผู้รับหน้าที่ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบอกว่า เขาอยากให้ใครก็ตามที่มาเที่ยวที่วงแหวนแห่งบรอดการ์ช่วยรายงานกับทางตำรวจในทันทีหากพวกเขามีโอกาสพบกับคนที่น่าสงสัย และขอให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องเพื่อไม่ใช้เกิดเรื่องในรูปแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต     ที่มา bbc, ancient-origins และ theguardian

  • ชาวนาที่มิชิแกนพบ หินที่ใช้ขัดประตูมา 30 ปี แท้จริงแล้วเป็นหินอุกกาบาต มูลค่า 3.2 ล้านบาท

    ชาวนาที่มิชิแกนพบ หินที่ใช้ขัดประตูมา 30 ปี แท้จริงแล้วเป็นหินอุกกาบาต มูลค่า 3.2 ล้านบาท

    ตอนที่ชาวนาไม่ประสงค์ออกนาม ตัดสินใจซื้อโรงนามือสองในมิชิแกนเมื่อปี 1988 เขาได้ยินเจ้าของคนเก่าเล่าว่าหินที่ใช้ขัดประตูโรงนานั้นจริงๆ แล้วเป็นหินจากอุกกาบาต ในเวลานั้นชาวนาเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าของโรงนาคนก่อนพูดมานั้นเป็นเพียงแค่การคุยโม้โอ้อวดเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรหินก้อนตั้งกว่ามากนัก และปล่อยให้มันขัดประตูอยู่อย่างนั้นไปอีกนานหลายสิบปี     แต่แล้วในปี 2019 นี้เองจู่ๆ ชาวนาคนดังกล่าวก็เกิดสงสัยในคำพูดของเจ้าของโรงนาคนก่อนขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงลองส่งหินขัดประตูของเขาไปให้มหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ตรวจสอบดู และก็เป็นในเวลานั้นเองที่เขาพบว่าเรื่องที่เจ้าของคนเก่าเคยเล่าให้เขาฟังนั้นไม่ใช่เรื่องคุยโม้เลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะจากผลการตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน หินขัดประตูหนัก 10 กิโลกรัมก้อนนี้มีส่วนผสมของเหล็ก 88% และนิกเกิล 12% ซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากมากในโลก และเมื่อปีการตรวจสอบเพิ่มเติมนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า จริงๆ แล้วหินก้อนนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอุกกาบาตที่เคยตกลงมาในพื้นที่เมื่อปี 1930 ไม่ใช่หินบนโลกอย่างที่คิด     นั่นหมายความว่าหินที่ชาวนาและเจ้าของโรงนาคนเก่าใช้ขัดประตูมานานรวมกันกว่า 30 ปีก้อนนี้ แท้จริงแล้วอาจจะมีค่ามากกว่าของในโรงนาหลายๆ ชิ้นรวมกันเสียอีก โดยเมื่ออ้างอิงจากการประเมินค่าของผู้เชี่ยวชาญ หินก้อนนี้สามารถมีค่าตีเป็นเงินได้สูงสุดถึง 3.2 ล้านบาท แถมในปัจจุบันสถาบันสมิธโซเนียน ยังสนใจที่จะซื้อหินอุกกาบาตก้อนนี้ต่อในราคาเต็มอีกด้วย ทำให้หินก้อนนี้ในปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับก้อนทองก้อนใหญ่ดีๆ เลยนั่นเอง   วิดีโอเกี่ยวกับหินอุกกาบาตก้อนที่พบจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน    ในปัจจุบันเรายังไม่ทราบว่าชาวนาคนนี้จะตัดสินใจขายหินอุกกาบาตราคาสุดแพงก้อนนี้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่พวกเรามั่นใจได้คือหลังจากนี้ไปหินก้อนดังกล่าวคงจะไม่ถูกนำไปขัดประตูอีกต่อไปแล้ว   ที่มา space, ancient-origins, time

  • เปิดตำนาน “Dancing Plague” เหตุประหลาดที่คนออกมา “เต้นรำ” กันจนตาย

    เปิดตำนาน “Dancing Plague” เหตุประหลาดที่คนออกมา “เต้นรำ” กันจนตาย

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “Dancing Plague” กันมาก่อนไหม? นี่คือเรื่องราวของ “โรคร้าย” ที่เกิดขึ้นในเมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส เมื่อช่วงปี 1518 และมีจุดเด่นอยู่ที่ผู้ที่มีอาการจะมีความรู้สึกอยากเต้นรำจนหยุดไม่ได้แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ตาม     เหตุการณ์ที่ชื่อว่า Dancing Plague นั้นเชื่อกันว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีหญิงสาวชื่อ Frau Troffea เกิดไปตามถนนโดยมีอาการเคลื่อนไหวบิดเบี้ยวคล้ายคนเต้นรำ และเป็นอย่างนั้นอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพัก น่าแปลกที่หลังจากหญิงสาวเต้นไปได้ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ ก็มีผู้คนในหมู่บ้านออกมาแสดงอาการในลักษณะเดียวกับเธออีกราวๆ 30 คน ก่อนที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปเดือนหนึ่งก็มีคนออกมาเต้นกันมากถึง 400 ราย     แน่นอนว่าตอนที่เกิดเหตุ ไม่มีใครบอกได้เลยว่าอะไรกันที่ทำให้ชาวบ้านออกมาเต้นกันเช่นนี้ อย่างไรก็ตามหมอประจำหมู่บ้านในเวลานั้นเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับอาการที่ชื่อ “โลหิตร้อน” (ในบันทึกใช้คำว่า Hot Blood แต่เป็นคนละความหมายกับ “เลือดร้อน” ในปัจจุบัน) ซึ่งจะหายไปเองหากปล่อยให้ผู้แสดงอาการเต้นไปเรื่อยๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ทางหมู่บ้านก็ได้ร่วมมือกันสร้างเวทีขึ้น แถมยังมีการจ้างนักดนตรีมาเพื่อช่วยให้คนในหมู่บ้านได้เต้นกันอย่างมีความสุขที่สุด     อย่างไรก็ตามการรักษาในรูปแบบนี้กลับไม่ได้ผลอย่างที่พวกเขาหวังไว้ และนักเต้นบางคนที่เต้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานก็เริ่มที่จะเป็นล้มหมดสติ และคนที่ทนไม่ได้ก็เริ่มที่จะเสียชีวิตจากอาการอ่อนเพลียรุนแรง และโรคเกี่ยวกับหัวใจต่อไป ด้วยความแปลกของอาการที่เกิดขึ้น ทำให้หลายๆ…

  • นักวิทย์พบ กระดูก “Fabella” ซึ่งค่อยๆ หายไปในอดีต กำลังกลับมาอีกครั้งพร้อมโรคข้ออักเสบ

    นักวิทย์พบ กระดูก “Fabella” ซึ่งค่อยๆ หายไปในอดีต กำลังกลับมาอีกครั้งพร้อมโรคข้ออักเสบ

    ตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา การวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เปลี่ยนรูปร่างของเราไปตามความเหมาะสมในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหลังที่ตรงขึ้น กระดูกนิ้วที่ไม่โค้งงออีกต่อไป หรือแม้แต่สมองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่ในระหว่างการวิวัฒนาการเหล่านี้เองในบางครั้งก็จะนำมาซึ่งอวัยวะที่ดูแล้วไม่จำเป็นกับร่างกายเท่าไหร่ได้เช่นกัน อย่างไส้ติ่ง ฟันคุด หรือกระดูกชิ้นเล็กๆ ที่เข่า ซึ่งอย่างหลังนี้เองก็เป็นสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่าจะค่อยๆ หายไปเองตามระบบการวิวัฒนาการในอนาคต     แต่แล้ว ในงานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 เหล่านักวิทยาศาสตร์กลับพบว่ากระดูกชิ้นเล็กๆ ที่เข่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Fabella” (มาจากภาษาละตินแปลว่า “ถั่วน้อย”) ไม่เพียงแต่ไม่ได้ค่อยๆ หายไปอย่างที่เราคิด แต่มันกลับมีแนวโน้มที่จะถูกพบมากขึ้นในปัจจุบันด้วย เดิมทีแล้วที่ทีมแพทย์คิดว่ากระดูก Fabella จะค่อยๆ หายไปเองนั้นมาจากการเปรียบเทียบข้อมูลในปี 1875 ที่ระบุไว้ว่าเรามีการพบกระดูกตัวนี้ในมนุษย์ราวๆ 17.9% เข้ากับข้อมูลในปี 1918 ซึ่งมีการพบกระดูก Fabella ในมนุษย์ลดลงเหลือเพียงแค่ 11.2% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ว่ากระดูกเข่าชิ้นนี้จะหายไปเองในอนาคต     แต่แล้วจากการตรวจสอบกระดูกดังกล่าวในปี 2018 นักวิทยาศาสตร์กลับพบกับตัวเลขแปลกๆ เกี่ยวกับกระดูก Fabella เข้า เพราะกระดูกตัวนี้ในปัจจุบันถูกพบในมนุษย์ถึง 39% ซึ่งนับว่ามากกว่าที่เคยเป็นมาราวๆ 3…

  • ชายมะกัน ประกาศขายฟอสซิลไทแรนโนซอรัสใน “eBay” เมินเสียงวิจารณ์จากนักโบราณคดี

    ชายมะกัน ประกาศขายฟอสซิลไทแรนโนซอรัสใน “eBay” เมินเสียงวิจารณ์จากนักโบราณคดี

    ย้อนกลับไปในปี 2013 คุณ Alan Detrich นักล่าฟอสซิลและน้องชายได้ทำการค้นพบฟอสซิลอายุกว่า 68 ล้านปีของไดโนเสาร์ไทแรนโนซอรัสวัยเยาว์ที่มีความสมบูรณ์มากตัวหนึ่งในพื้นที่ “เฮลล์ ครีก ฟอร์เมชั่น” ในรัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา     ในเวลานั้นเขาและน้องชายได้ตัดสินใจให้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยแคนซัสยืมโครงกระดูกที่เขาพบไปจัดแสดง และโครงกระดูกของไดโนเสาร์ร่างนี้ก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เรื่อยมาตั้งแต่ช่วงปี 2016 แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้เองโครงกระดูกของไดโนเสาร์ดังกล่าวกลับถูกถอดถอนออกพิพิธภัณฑ์ไป เนื่องจากคุณ Alan ได้ตัดสินใจนำฟอสซิลเหล่านี้ขึ้นขายใน eBay ขายออนไลน์รายใหญ่ ด้วยราคา 2.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 94 ล้านบาท)     อ้างอิงจากข้อมูลบนหน้าสินค้า โครงกระดูกของไทแรนโนซอรัสร่างนี้ถูกวางขายมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และมีคนเข้ามาชมแล้วถึง 60,000 ครั้ง แม้ว่าจะยังไม่มีใครตั้งราคาประมูลเลยก็ตาม แน่นอนว่าการกระทำของ Alan นั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่านักบรรพชีวินวิทยาที่เห็นการประกาศขายในครั้งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขามองว่าการกระทำของ Alan นั้นไม่เพียงแต่เป็นการไม่เคารพต่อวัตถุโบราณเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้โครงกระดูกร่างนี้หายไปกับการซื้อขายตลอดกาลเลยอีกด้วย     อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนี้แล้วคุณ Alan ได้ออกมาตอบโต้ว่ากระดูกที่พบนี้นับว่าอยู่ในความครอบครองอย่างถูกต้องของเขา ดังนั้นเขาจึงควรจะมีสิทธิ์ที่จะขายมันได้โดยที่ไม่ควรจะถูกมองอย่างเสียๆ หายๆ เช่นนี้ แถมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณ…

  • พบฟอสซิลสัตว์โบราณที่เคนยา เชื่อเคยมีรูปร่างคล้าย “วาร์ก” ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

    พบฟอสซิลสัตว์โบราณที่เคนยา เชื่อเคยมีรูปร่างคล้าย “วาร์ก” ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์

    เพื่อนๆ ยังจำ “วาร์ก” จากภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings กันได้อยู่หรือเปล่า มันเป็นสัตว์ประหลาดในมิดเดิลเอิร์ธ ที่มีรูปร่างคล้ายหมี หมาป่า และไฮยีนน่าผสมกัน ซึ่งมักถูกออร์คใช้ในการออกรบ     แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดในรูปร่างแบบนี้ ล้วนแต่เกิดขึ้นจากจินตนาการของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ที่เป็นคนเขียนล้วนๆ และว่ากันตามตรงว่าไม่น่าที่จะมีอยู่บนโลกจริงๆ ได้ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาเหล่านักโบราณคดีในเคนยา กลับออกมาประกาศการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วสายพันธุ์หนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายกับวาร์กอย่างไม่น่าเชื่อ     เจ้าสัตว์สายพันธุ์นี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Simbakubwa kutokaafrika” สัตว์ที่มีขนาดตัวยาว 2.4 เมตร สูง 1.2 เมตร และหนักถึง 1,500 กิโลกรัม ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ฟันอันแหลมคม กรามที่แข็งแกร่ง และการทานอาหารที่แทบจะเป็นเนื้อสัตว์ล้วนๆ   ส่วนกรามของ S.…

  • นักวิทย์พบ “เลือดที่ยังเป็นน้ำ” ในมัมมี่ลูกม้า 40,000 ปี น่าเสียดายไม่สามารถใช้โคลนนิ่งได้

    นักวิทย์พบ “เลือดที่ยังเป็นน้ำ” ในมัมมี่ลูกม้า 40,000 ปี น่าเสียดายไม่สามารถใช้โคลนนิ่งได้

    หากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ เมื่อช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวการขุดพบมัมมี่ลูกม้าจากยุคน้ำแข็ง ที่มีอายุกว่า 4,000 ปี ในเพอร์มาฟอสเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย และนับว่ามีความสมบูรณ์มากๆ จนนักวิทยาศาสตร์คิดจะนำม้าตัวนี้ไปโคลนนิ่งเลย (อ่านข่าวเก่าได้ที่ นักวิทย์พยายาม “โคลนนิ่ง” มัมมี่ลูกม้า 40,000 ปี หวังนำไปสู่การโคลนนิ่งแมมมอธในอนาคต)     เชื่อว่าในเวลานั้น คงมีหลายคนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นเต้นกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่หลังจากข่าวการพยายามโคลนนิ่งลูกม้าถูกเปิดเผยออกมา เราก็แทบไม่ได้ยินข่าวใดๆ เกี่ยวกับการตรวจสอบมัมมี่ม้าตัวนี้อีกเลย แต่แล้วเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทางนักวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินการตรวจสอบลูกม้าตัวนี้ก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจชุดใหม่ของมัมมี่ที่พวกเขาพบอีกครั้ง โดยมีหัวข้อสำคัญอยู่ลูกม้าตัวนี้นั้นยังมี “เลือด” ที่คงสภาพเป็นของเหลวอยู่ภายในนั่นเอง     อ้างอิงจากข้อมูลการตรวจสอบชุดใหม่ล่าสุด ลูกม้าตัวนี้นั้นคาดกันว่าเสียชีวิตไปเมื่อ 42,170 ปีก่อน ดังนั้นเลือดของม้าที่ถูกพบในครั้งนี้จึงนับว่าเป็นเลือดของมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เราเคยพบมา (เก่าแก่กว่าเลือดช้างแมมมอธในปี 2018 ถึง 10,000 ปี) เลือดที่ถูกพบในการทดลองครั้งนี้ สร้างความตกใจในหมู่ทีมนักวิจัยได้เป็นอย่างดี เพราะตามปกติแล้วเลือดของสัตว์ที่ตายไปเป็นเวลานานเช่นนี้ ส่วนมากจะอยู่ในสภาพที่แห้งเป็นผงจนไม่สามารถเก็บตัวอย่างได้อีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะจากภาวะอากาศหรือระยะเวลาที่มันถูกฝังไว้    …

  • สิ้นหวัง “ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง” เพศเมียตัวสุดท้ายตายไปในจีน เชื่อหนีไม่พ้นการสูญพันธุ์

    สิ้นหวัง “ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง” เพศเมียตัวสุดท้ายตายไปในจีน เชื่อหนีไม่พ้นการสูญพันธุ์

    เคยได้ยินเรื่องราวของ “ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง” (Rafetus swinhoei) กันมาก่อนไหม มันคือตะพาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักตอนโตเต็มวัยได้มากถึง 136-200 กิโลกรัม และมีความยาวเกือบๆ หนึ่งเมตร     พวกมันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเต่าที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์มากที่สุดของโลก ด้วยความที่ในปัจจุบันพวกเราพบพวกมันอยู่ทั่วโลกเพียงแค่ 4 ตัวเท่านั้น แถมในหมู่ตะพาบที่พบยังมีตัวเมียที่ยืนยันได้แค่ตัวเดียวอีกด้วย ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของเหล่านักอนุรักษ์ทั่วโลกเลยก็ว่าได้     เพราะในวันนั้นได้มีตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตายลงไปอีกหนึ่งตัวแล้ว แถมตัวที่ตายยังเป็นตัวเมียที่มีอยู่เพียงตัวเดียว วึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในการกอบกู้สายพันธุ์อีกด้วย อ้างอิงจากสื่อท้องถิ่นของจีน ตะพาบยักษ์ที่ตายไปในครั้งนี้ ตายไปในเวลาราวๆ หนึ่งวันหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่พยายามผสมเทียมมันเพื่อขยายพันธุ์ ด้วยอายุประมาณ 90 ปี และยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดถึงสาเหตุที่มันตายไป   หนึ่งในความพยายามผสมเทียมที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนที่ตะพาบยักษ์จะตายไป   การตายของตะพาบตัวเมียในครั้งนี้ ทำให้สายพันธุ์ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตกอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงและชวนให้สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด เพราะในปัจจุบันตะพาบยักษ์แยงซีเกียงที่เหลืออยู่ในความดูแลของมนุษย์จะเหลือเพียงแค่ตะพายตัวผู้อายุ 100 ปีของจีนเท่านั้น ส่วนตะพาบอีกสองตัวนั้นเชื่อกันว่ายังอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่าที่เวียดนาม และในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นเพศใด   ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตัวผู้ตัวสุดท้ายที่อยู่ในการดูแลของมนุษย์   ทั้งนี้สาเหตุที่ตะพาบยักษ์แยงซีเกียงมีปริมาณลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างในปัจจุบันนั้น เชื่อกันว่ามาจากการที่มันถูกคุมคามแหล่งที่อยู่อาศัยอย่างหนักโดยมนุษย์ และปัญหาทางมลภาวะนั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วความหวังอันริบหรี่ที่ยังพอเหลืออยู่ของตะพาบยักษ์สายพันธุ์นี้สำหรับเหล่านักอนุรักษ์แล้วก็คงจะอยู่ที่การที่จู่ๆ พวกเขาก็พบกับตัวเมียตัวใหม่ในเร็วๆ…

  • ผู้อยู่เบื้องหลัง “Xbox” ทดลองทำขนมปังตามแบบอียิปต์โบราณ ด้วยยีสต์อายุกว่า 1,500 ปี

    ผู้อยู่เบื้องหลัง “Xbox” ทดลองทำขนมปังตามแบบอียิปต์โบราณ ด้วยยีสต์อายุกว่า 1,500 ปี

    คุณ Seamus Blackley สำหรับในวงการเกมแล้วนับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเขาคือนักออกแบบเกม และหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเครื่องเกมที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกอย่าง “Xbox”     แต่ทราบกันหรือไม่ว่าชายผู้คลุกคลีอยู่กับวงการเกมมาอย่างยาวนานคนนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่งด้วย เพราะอย่างเมื่อล่าสุดนี้เอง เจ้าตัวยังได้ออกมาทวีตการทำขนมปังตามรูปแบบของคนอียิปต์เมื่อราวๆ 4,000 ปีก่อน จริงอยู่ที่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพยายามทำอาหารบางอย่างตามกรรมวิธีโบราณ แต่ขนมปังของคุณ Seamus Blackley ก็นับว่าเป็นที่สนใจมาก เพราะขนมปังของเขานั้นถูกทำขึ้นด้วย “ยีสต์” ชนิดพิเศษ   ยีสต์ชนิดพิเศษที่คุณ Seamus เลือกใช้   คงต้องอธิบายกันเล็กน้อยว่า ที่ผ่านๆ มานักโบราณคดีหลายท่านได้ทำการถกเถียงกันเรื่องการใช้ยีสต์ในการทำขนมปังของชาวอียิปต์โบราณมาเป็นเวลายาวนาน นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งบอกว่าคนอียิปต์ในสมัยก่อนน่าจะทำขนมปังออกมาแข็งคล้ายคุกกี้เนื่องจากยังไม่เข้าใจกลไกการทำงานของยีสต์ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าคนในสมัยก่อนน่าจะมีการใช้ยีสต์มาอย่างยาวนานแล้ว และขนมปังของอียิปต์เองก็น่าจะนุ่มฟูกว่าที่เราคิด   ขนมปังที่แข็งคล้ายคุกกี้ ตามแนวคิดของนักโบราณคดีบางกลุ่ม   นั่นหมายความว่าขนมปังที่คุณ Seamus ทำขึ้นในครั้งนี้จะเป็นรูปแบบที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าขนมปังอียิปต์โบราณน่าจะนุ่ม และอ้างอิงจากตัวของ Seamus เอง เขาอ้างว่าตนนั้นลงทุนใช้วัตถุดิบให้เหมือนในสมัยก่อนมากที่สุด เขานั้นไม่เพียงแต่เลือกใช้เมล็ดข้าว “Einkorn” ที่เป็นข้าวสายพันธุ์เก่าแก่ในการทำขนมปังเท่านั้น แต่ยังบดข้าวเป็นแป้งด้วยตนเอง และใช้ยีสต์เก่าแก่ที่เขาอ้างว่าได้มาจาก “แหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ” ซึ่งมีการหมักบ่มไว้ตั้งแต่เมื่อ 1,500…

  • ย้อนรอย “เครื่องปรับอากาศ” การสู้กับความร้อนของมนุษย์ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    ย้อนรอย “เครื่องปรับอากาศ” การสู้กับความร้อนของมนุษย์ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี

    สำหรับช่วงเวลาที่อุณหภูมิของประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นราวกับเราเข้าใกล้พระอาทิตย์มากขึ้น 10 เท่าเช่นนี้ เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนที่รู้สึกขอบคุณเครื่องปรับอากาศกันราวกับมันพระผู้ช่วยให้รอด     ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้าเครื่องปรับอากาศที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครกันที่เป็นผู้สร้างมันขึ้น เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปย้อนรอยของเจ้าเครื่องใช้แสนสะดวกสบายชิ้นนี้กัน ความพยายามในการต่อสู้กับความร้อนด้วยอากาศเย็นของมนุษย์ มีบันทึกไว้ตั้งแต่ในสมัยอียิปต์โบราณ (ราวๆ 4,000 ปีก่อน) โดยอาศัยการแขวนเสื่อเปียกๆ ไว้ที่ประตูบ้าน ก่อนที่จะพัฒนาเป็นการอาศัยน้ำใน “สะพานส่งน้ำ” (Aqueduct) เพื่อลดอุณหภูมิในสมัยโรมัน     ตั้งแต่เวลานั้นมาเราก็มีบันทึกความพยายามในการควบคุมอุณหภูมิห้องให้เห็นอีกมากมาย จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ความรู้เกี่ยวกับการปรับอากาศก็เริ่มมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างในปี 1820 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษก็ได้ทำการทดลองการทำความเย็นของของเหลวบางชนิด (เช่นแอมโมเนีย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานของเครื่องปรับอากาศรุ่นต่อๆ มา อย่างไรก็ตามหากจะพูดถึงเครื่องปรับอากาศแบบในปัจจุบัน เราก็คงจะลืมชายชื่อ Willis Carrier ไปไม่ได้เลย เพราะเขาคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนคิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่เราใช้มาจนถึงปัจจุบัน     โดย Willis คิดค้นเครื่องปรับอากาศขึ้นครั้งแรกในปี 1902 ในขณะที่เขาอายุได้เพียง 25 ปี และกำลังทำงานอยู่ในโรงพิมพ์ โดยในเวลานั้นเครื่องพิมพ์ในโรงงานของเขาได้เกิดปัญหาในการทำงานขึ้นจากความร้อนและความชื้น ดังนั้น…

  • พบ “ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์” ในธารน้ำแข็งหลายแห่ง หวั่นอาจละลายออกมาเพราะโลกร้อน

    พบ “ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์” ในธารน้ำแข็งหลายแห่ง หวั่นอาจละลายออกมาเพราะโลกร้อน

    เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ธารน้ำแข็งหลายแห่งของโลกได้ค่อยๆ หายไปอย่างน่าใจหาย ด้วยเหตุผลหลักจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จากภาวะโลกร้อน ว่าแต่ทราบกันหรือไม่ว่าทุกครั้งที่น้ำแข็งเหล่านี้ละลายหายไปนั้นพวกมันจะทิ้งร่องรอยของสิ่งที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นซากสัตว์จากในอดีต โบราณวัตถุ หรือแม้แต่ก๊าซเรือนกระจก     แถมเมื่อล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่า นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ภายในธารน้ำแข็งที่กำลังจะละลายไปในหลายๆ แห่งทั่วโลก ก็ยังมี “ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Nuclear Fallout” เก็บเอาไว้อีกเป็นจำนวนมากด้วย ฝุ่นรังสีนิวเคลียร์เหล่านี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ หรือไม่ก็อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับการใช้งานสารกัมมันตรังสีในอดีต มีองค์ประกอบหลักเป็นอะเมริเซียม-241 และซีเซียม-137     อ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์พวกเขาพบฝุ่นรังสีนิวเคลียร์เหล่านี้ในตัวอย่างของธารน้ำแข็งอย่างน้อยๆ 17 แห่งที่ถูกส่งมาจากแถบแอนตาร์กติกา เทือกเขาแอลป์ บริติชโคลัมเบีย และอาร์กติกสวีเดน จริงอยู่ว่าทางนักวิทยาศาสตร์ได้มีการออกมาประกาศว่าการปนเปือนของสารกัมมันตรังสีเหล่านี้น่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าสารกัมมันตรังสีที่พบนี้จะไม่เป็นอันตรายเลย     เพราะปริมาณกัมมันตรังสีที่พบในธารน้ำแข็งแต่ละอันนั้นนับว่าสูงกว่าค่าปกติที่ปลอดภัยต่อมนุษย์มาก ดังนั้นหากสารเหล่านี้เกิดไหลเข้าสู่แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือพื้นที่ทะเลที่สำคัญๆ จากการละลายของน้ำแข็งเพราะโลกร้อน สารเหล่านี้ก็อาจจะไปปนเปือนในห่วงโซ่อาหารและกลับมาเล่นงานมนุษย์ได้เช่นกัน และหากเวลานั้นมาถึงจริงๆ การที่เราจะโทษเรื่องที่เกิดขึ้นกับภาวะโลกร้อนมันก็คงจะเป็นอะไรที่สายเกินไปแล้ว   ที่มา livescience, sciencealert และ nationmultimedia

  • งานวิจัยไขปริศนา “สัตว์กินลูกตัวเอง” บางชนิดจำใจทำ เพื่อความอยู่รอดของลูกที่เหลือ!?

    งานวิจัยไขปริศนา “สัตว์กินลูกตัวเอง” บางชนิดจำใจทำ เพื่อความอยู่รอดของลูกที่เหลือ!?

    สำหรับหลายๆ คนแล้ว เราคงจะทราบกันดีว่าสัตว์หลายๆ ชนิดที่เราคิดว่าน่ารักนั้นจริงๆ แล้วอาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่ได้น่ารักอย่างที่เราคิดเท่าไหร่ นั่นเพราะในธรรมชาติมีสัตว์อยู่หลายชนิดที่อยู่ดีๆ ก็จะกินลูกของตัวเอง และตั้งแต่ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถฟันธงได้อย่างแน่ชัดเลยว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไร!?     ที่ผ่านๆ มานักวิทยาศาสตร์จะมองว่าการที่สัตว์กินลูกของตัวเองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความเครียดในการคลอดลูก หรือไม่ก็ความหิว อย่างไรก็ตามจากการวิจัยล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าที่สัตว์กินลูกของตัวเองนั้น จริงๆ แล้วมีเหตุมีผลกว่าที่เราคิดมาก และอาจเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ได้เลย การทดลองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จัดทำขึ้นมาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ผู้ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์สัตว์จำพวก กระต่าย ปลา และไก่     โดยจากในการสังเกตการณ์แล้ว พวกเขาก็พบว่าสัตว์ที่มักกินลูกตัวเองจะมีจุดร่วมอยู่ที่การออกลูกพร้อมกันเป็นจำนวนมากๆ และการกินลูกเองก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นมากขึ้นในภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายขึ้นด้วย ดังนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าการที่สัตว์เหล่านี้กินลูกตัวเอง อาจจะเกิดขึ้นจากการ “ควบคุมประชากร” เพื่อไม่ให้ลูกๆ แย่งอาหารกันมากเกินไป และเพิ่มโอกาสให้ลูกที่เหลือมีโอกาสรอดมากขึ้น แถมยังเป็นการ “ควบคุมคุณภาพ” ของทายาทรุ่นต่อไปไปในตัวนั่นเอง   เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยคุณ Mackenzie Davenport จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี จึงได้ทดลองสร้างแบบจำลองเชิงกลไกเพื่อสำรวจผลกระทบของพฤติกรรมของสัตว์ต่อลูกๆ ในรูปแบบต่างๆ ขึ้น โดยการทดลองนี้ ได้มุ่งเน้นไปที่สัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่เป็นหลัก     และการทดลองนี้เองก็ส่งผลออกมาอย่างน่าสนใจและสอดคล้องกับแนวคิดที่ออกมาอย่างยิ่ง… โดยข้อมูลทางสถิติที่ออกมานั้นบอกว่ายิ่งสัตว์ออกลูกมากแค่ไหน พวกมันก็จะมีโอกาสกินลูกมากขึ้นเท่านั้น แถมปริมาณไข่ที่ถูกกินก็จะมีมากขึ้นตามจำนวนไข่ที่มีการวางออกมาด้วย นอกจากนี้พวกเขายังพบด้วยว่าต่อให้เป็นในกรณีที่พ่อแม่จะแทบไม่ได้รับพลังงานจากกการกินลูกเลย…

  • นักวิจัยจีน ตัดต่อยีนมนุษย์ใส่ลิง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อาจทำให้ลิงฉลาดขึ้น??

    นักวิจัยจีน ตัดต่อยีนมนุษย์ใส่ลิง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อาจทำให้ลิงฉลาดขึ้น??

    คงต้องบอกว่าช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาสำหรับที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ในประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากเมื่อปีก่อน เราน่าจะได้ยินข่าวการตัดแต่งพันธุกรรมในมนุษย์เป็นครั้งแรกจากประเทศนี้แล้ว เมื่อล่าสุดนี้เองเหล่านักวิจัยจากสถาบันสัตววิทยาคุนหมิง ยังได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการปลูกถ่ายยีนส์สมองคนลงในลิงจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมกันไปทั่วโลก     ในการทดลองครั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้มีการนำยีน “MCPH1” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนการวิวัฒนาการสมองของมนุษย์ไปปลูกถ่ายให้กับลิงจำนวน 11 ตัว ในรูปแบบของไวรัสตั้งแต่ในตอนที่ลิงยังเป็นเพียงตัวอ่อน (Embryos) ผลการทดลองที่ออกมาคือมีลูกลิงที่ตายไปในทันที 6 ตัว ในขณะที่เหล่าลิงที่รอดชีวิตจะต้องถูกนำไปตรวจสอบระบบความจำและสมองด้วยเครื่อง MRI ต่อไป     อ้างอิงจากการเปิดเผยของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ลิงที่รอดชีวิตจากการตัดแต่งยีนมาได้จะใช้เวลาในการพัฒนานานกว่าปกติ ซึ่งคล้ายกับคนมากกว่าลิง แถมยังมีคะแนนในการทำแบบทดสอบความจำระยะสั้นได้ดีขึ้น แม้ว่าขนาดสมองจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากลิงปกติเลยก็ตาม   แน่นอนว่าเมื่อการทดลองนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักไม่ผิดจากทีมวิจัยที่ทำการตัดต่อพันธุกรรมฝาแฝดมนุษย์เมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตามยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ออกมาบอกว่าการที่ทีมวิจัยทดลองกับสัตว์นั้นน่าจะทำให้ผลงานของพวกเขาเป็นที่ยอมรับได้มากกว่าการทดลองในมนุษย์ที่ผ่านๆ มามาก     นอกจากนี้งานวิจัยในครั้งนี้ ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการที่สมองใช้เวลาในการพัฒนานาน น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เรามีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์ทั่วไปได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งความจริงในจุดนี้เองก็อาจจะช่วยพัฒนาความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี   และแม้ว่าการทดลองในครั้งนี้จะทำให้มีคนจำนวนมากนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเทียบกับภาพยนตร์อย่างเรื่อง “Planet of the Apes” ที่ลิงทำการล้มล้างมนุษย์ก็ตาม แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ของคุนหมิงเองก็ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าสมองของลิงนั้นต่างจากมนุษย์มากพอที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวไม่มีทางเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน     โดยงานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร “National Science Review” เมื่อวันที่ 27 มีนาคม…