งานวิจัยเผย “การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า” ช่วยให้สมองคนแก่ทำงานเหมือนคนหนุ่มได้

เชื่อว่าในปัจจุบันหลายๆ คนคงจะทราบกันอยู่แล้วว่าสมองของมนุษย์นั้น มีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับคลื่นไฟฟ้า ดังนั้นคงจะต้องมีคนเคยคิดกันบ้างว่า คนเรานั้นจะสามารถรักษาการทำงานของสมองที่สูญเสียไปด้วยไฟฟ้าได้หรือไม่

แน่นอนว่าเทคนิคการรักษาสมองด้วยไฟฟ้านั้นในปัจจุบัน ยังคงอยู่ในขั้นตอนการทดลองก็จริงอยู่ แต่หากเราอ้างอิงจากการทดลองของมหาวิทยาลัยบอสตันที่มีการตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมาแล้ว อย่างน้อยๆ ไฟฟ้าก็สามารถทำให้สมองของคนมีอายุกลับมาทำงานเท่ากับคนหนุ่มได้เลย

 

 

การทดลองในทั้งนี้จัดขึ้นโดยมีอาสาสมัครจำนวน 84 คน โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 20-29 ปีในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60-76 ปี และอาสาสมัครทุกคนจะได้รับภารกิจให้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับความจำ อย่างการจับผิดภาพ

แน่นอนว่าในการทดลองตามปกติ อาสาสมัครที่เป็นคนสูงอายุจะมีผลงานการจับผิดภาพที่ต่ำกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่เป็นผู้ใหญ่ โดยคนสูงอายุจะทำคะแนนได้อยู่ที่ราวๆ 80% ในขณะที่ผู้ใหญ่จะทำคะแนนได้ที่ราวๆ 90%

 

เกมจับผิดที่ใช้เป็นรูปแบบที่ให้อาสาสมัครดูภาพทีละภาพและหาความแตกต่าง

(ภาพด้านล่างเป็นเพียงภาพตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ภาพที่ใช้ในการทดลองแต่อย่างไร)

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการกระตุ้นสมองของผู้สูงอายุ ด้วยระบบที่เรียกว่าการกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้าทางอ้อมหรือ “tACS” (transcranial alternating-current stimulation) เป็นเวลา 15 นาทีพวกเขาก็พบว่าอาสาสมัครผู้สูงอายุ สามารถทำคะแนนในการจับผิดภาพได้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับผู้ใหญ่ทั่วไปเลย

การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเหล่านี้ อาศัยข้อสังเกตที่ว่าคนหนุ่มจะมีการทำงานของจังหวะคลื่นสมองบางส่วนที่สูงกว่าคนสูงอายุ ดังนั้นเราจึงสามารถให้ไฟฟ้ากระตุ้นคลื่นสมองที่ว่านี้ในคนสูงอายุเพื่อช่วยให้สมองของพวกเขามีการทำงานที่ดีขึ้นได้

 

 

อ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมการทดลอง การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะคงอยู่ราวๆ 50 นาทีหลังจากที่มีการกระตุ้น ซึ่งหากนำไปพัฒนาต่อยอดก็อาจจะสามารถนำไปใช้งานในทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนสูงอายุต่อไปได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เทคนิคการรักษาสมองด้วยไฟฟ้าส่วนมากในปัจจุบันจะยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองเท่านั้น ดังนั้นกว่าที่ผลการทดลองในครั้งนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เราก็คงจะต้องรอการทดลองอีกมากจากทางนักวิทยาศาสตร์เสียก่อนอยู่ดี

 

ที่มา news, telegraph, theguardian และ livescience

Comments

Leave a Reply