ย้อนรอยบันทึกของ “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” ในวันที่เขาต้องเสียภรรยาและมารดาไปพร้อมๆ กัน

สำหรับคนบางคนแล้วความรักมันก็เหมือนกับดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง มันช่างอบอุ่น สว่างสดใส และนำทางให้ชีวิตของคนที่เคยหลงทางอยู่ในเงามืด แต่ก็เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ต้องลับขอบฟ้าไปในยามเย็น ความรักของคนเรานั้นมันไม่ได้มั่นคงอยู่ได้เสมอไป และเราก็ไม่อาจจะรู้เลยว่าวันที่ต้องลาจากกันนั้น จะมาถึงเมื่อไหร่กันแน่

แต่สำหรับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐของอเมริกาอย่าง “ธีโอดอร์ รูสเวลต์” แล้ว วันที่แสงสว่างในชีวิตของเขาหายไปนั้น คงจะไม่ใช่วันอื่นนอกจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1884 เพราะในวันนั้น คนที่เขารักที่สุดในชีวิตสองคนอย่าง ภรรยาและมารดาของเขา กลับต้องมาเสียชีวิตไปในเวลาที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวัน

 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นสะเทือนใจรูสเวลต์มากจนแม้แต่ในบันทึกประจำวันที่เขาเขียนทุกวัน ในวันนั้นกลับไม่มีสิ่งใดเขียนเอาไว้เลย นอกจากกากบาทและถ้อยคำสั้นๆ ว่า “แสงสว่างได้หายไปจากชีวิตผมแล้ว”

ในวันนั้นรูสเวลต์ที่ยังคงเป็นเพียงสมาชิกสภาล่างของแมนฮัตตัน ได้รีบกลับมายังเมืองนิวยอร์ก หลังจากที่เขาได้รับโทรเลขเกี่ยวกับสุขภาพของมารดา

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านเขากลับต้องพบว่าไม่เพียงแค่มารดาของเขาเท่านั้นที่กำลังสุขภาพย่ำแย่จากไข้ไทฟอยด์ แต่ภรรยาของเขาเองก็กำลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไต (ที่ในสมัยนั้นไม่สามารถวินิจฉัยได้)

 

อลิซ ลี รูสเวลต์ (ซ้าย) ภรรยาของธีโอดอร์ รูสเวลต์ และ มาทาร์ บัลลอค รูสเวลต์ (ขวา) ผู้เป็นมารดา

 

ในท้ายที่สุด มารดาของรูสเวลต์ก็เสียชีวิตไปในเวลา 03.00 นาฬิกา ของวันนั้น ด้วยอายุไม่ทันจะ 50 ปี ส่วนภรรยาผู้ซึ่งเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสาวเมื่อสองวันก่อนเอง ก็เสียชีวิตในเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงต่อมาในบ้านหลังเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 22 ปีเท่านั้น

ตั้งแต่ที่ได้พบกับภรรยาครั้งแรกในปี 1878 บันทึกของรูสเวลต์ก็แทบจะมีแต่เรื่องของหญิงสาวผู้นี้เกือบทุกหน้า ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าที่เรียบง่าย ความเงียบที่เป็นเอกลักษณ์ หรือรอยยิ้มจางๆ ที่เขาหลงใหล

แต่แล้วหลังจากกากบาทในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ รูสเวลต์ก็ไม่พูดชื่อของภรรยาของเขาขึ้นมาอีกเลย จนถึงขั้นที่ว่าลูกสาวของเขาเอง ยังบอกว่าเธอไม่เคยได้ยินพ่อพูดชื่อของแม่เลย  และถ้าเป็นไปได้ เขาก็ขอให้คนรอบๆ ตัวเขาอย่าพูดชื่อเธอขึ้นมาด้วย

 

อลิซ ลองเวิร์ท รูสเวลต์ ลูกสาวคนแรกของ ธีโอดอร์ รูสเวลต์

 

รูสเวลต์เชื่อว่าความเจ็บปวดนี้จะต้องถูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และไม่ควรมีการพูดถึงมันอีก ไม่เช่นนั้นมันอาจจะทำลายคนที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งได้เลย

ในหนังสือสั่งพิมพ์เองที่ทำขึ้นเป็นเกียรติแก่ภรรยาของรูสเวลต์ เขาได้ระบุไว้ว่า

 

 

“เธอเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งใบหน้าและร่างกาย แต่ก็มีนิสัยที่น่ารักยิ่งกว่านั้น เธอเติบโตขึ้นราวดอกไม้ และจากไปราวกับดอกไม้อ่อนที่ยังไม่ทันแก่ เธอมีชีวิตอยู่กับแสงตะวัน และไม่เคยต้องพบกับความเศร้าโศก

ไม่มีใครเคยเห็นเธอถูกรังเกียจ หรือขาดซึ่งความไม่เห็นแก่ตัวที่ราวกับแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ เธอผ่องใส บริสุทธิ์ และเบิกบานในฐานะหญิงสาว เปี่ยมด้วยความรัก อ่อนโยน และมีความสุข

ในฐานะภรรยา เมื่อตอนที่เธอได้เป็นแม้ เมื่อตอนที่ชีวิตของเธอเริ่มต้นขึ้น เมื่อตอนที่อนาคตดูจะสดใส โชคชะตาที่โหดร้ายและแปลกประหลาดก็นำความตายมาสู่เธอ

และในยามที่สุดที่รักของผมจากไป แสงทั้งหมดก็หายจากชีวิตผมไปชั่วนิรันดร์ “

 

ที่มา rarehistoricalphotos

Comments

Leave a Reply