ชม 8 มัมมี่สุดน่าสนใจจากทั่วโลก ที่จะทำให้คุณทึ่งกับความลึกลับหลังความตายได้อย่างดี

เมื่อเราพูดถึงมัมมี่ขึ้นมา เชื่อว่าภาพแรกที่หลายๆ คนนึกถึงก็คงไม่พ้นภาพศพแห้งๆ ห่อผ้าจากอียิปต์ในสมัยก่อนเป็นแน่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ก็ใช่ว่ามัมมี่ทั้งหมดในโลกจะมาจากที่อียิปต์เช่นกัน

นั่นเพราะในโลกของเรานั้น มีมัมมี่แปลกๆ ถูกเก็บเอาไว้อยู่มากมายหลายที่กว่าที่เราคิด ทั้งที่มาจากฝีมือของมนุษย์ และเหล่าร่างคนตายที่กลายเป็นมัมมี่กันไปเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน การรักษาศพในรูปแบบนี้ก็เป็นอะไรที่ลึกลับน่าค้นหา และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจของผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นอยู่เสมอๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้ไปรวบรวมเอาตัวอย่างมัมมี่แปลกๆ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะมีมัมมี่ของใครบ้าง และเรื่องราวของพวกเขาน่าสนใจขนาดไหนนั้น เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

 

1. มัมมี่ของ “ตุตันคาเมน” เจ้าของตำนานคําสาปร้ายแห่งฟาโรห์

เริ่มกันจากมัมมี่ที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันก่อนกับ มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน แห่งราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ โดยมัมมี่ร่างนี้เป็นมัมมี่ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ร่างซึ่งถูกทาเป็นสีดำ และคำสาปของสุสานที่ว่ากันว่าสังหารคนทุกคนที่มีส่วนร่วมในการขุดค้นมัมมี่ร่างนี้ในอดีต

อย่างไรก็ตามเรื่องที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยทราบกันมาก่อนของมัมมี่ร่างนี้คือมัมมี่ของตุตันคาเมนนั้นเป็นมัมมี่ที่ไม่มี “หัวใจ” อวัยวะชิ้นเดียวที่ตามปกติจะถูกใส่ไว้ในร่างขณะมีการทำมัมมี่ของอียิปต์ แถมยังถูกฝังพร้อมกับอวัยวะเพศที่ตั้งชูชันเพื่อทำให้ท่านเป็นตัวแทนของเทพโอซิริสอีกด้วย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

2. มัมมี่ของ “3 เหยื่อบูชายัญ” แห่งเผ่าอินคา

นี่เป็นมัมมี่ที่ถูกพบในปี 1999 ใกล้ๆ ยอดภูเขาไฟ Llullaillaco ในประเทศอาร์เจนตินา และเป็นของเด็กสามคนที่ได้รับการตั้งชื่อว่า La doncella หรือ “สาวพรหมจรรย์”  El niño หรือ “เด็กหนุ่ม” และ La niña del rayo หรือ “เด็กสาวแห่งสายฟ้า”

พวกเขาเป็นมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์สูงมาก จากการถูกรักษาไว้โดยอากาศที่หนาวเย็น แถมยังเป็นหนึ่งในหลักฐานที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการบูชายัญของเผ่าอินคาในอดีตเลย

ในบรรดาเด็กทั้งสามคนนี้ La doncella จะเป็นหญิงสาวที่ได้รับหน้าที่เป็นเหยื่อบูชายัญ ในขณะที่อีก 2 คนเป็นผู้ติดตาม โดยเด็กทั้งสามมีร่องรอยของการใช้ยาเสพติดและสุรา ซึ่งเชื่อกันว่าทำไปเพื่อให้เด็กๆ “ให้ความร่วมมือ” ในพิธีกรรมมากขึ้น แต่แทนที่จะเดินทางไปถึงที่บูชายัญทั้งสามกลับเสียชีวิตไปเสียก่อนด้วยการแข็งตาย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

3. “ซินจุย” มัมมี่จากจีน ที่แทบไม่เน่าสลายเลยกว่า 2,000 ปี

ซินจุยเป็นมัมมี่ชนชั้นสูงจากยุคราชวงศ์ฮัน ซึ่งถูกฝังไว้ในสุสานขนาดใหญ่ใกล้ๆ พื้นที่เมืองฉางชามณฑลหูหนานในสภาพที่ ถูกระดับไปด้วย วัตถุล้ำค่ากว่า 1,000 ชิ้น ตั้งแต่อุปกรณ์แต่งหน้า อุปกรณ์อาบน้ำ และงานไม้ขัดเงาอีกหลากหลายชนิด

ร่างของเธอนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่ความสมบูรณ์แทบจะไม่ได้เน่าเปื่อยเสียหาย ยังมีทั้งผมบนศีรษะ ขนคิ้ว ขนจมูก ขนตา หรือแม้กระทั่งเลือด ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสันนิษฐานได้ว่าเธอเสียชีวิตเพราะอะไรจากพบร่องรอยการอุดตันในเลือดเลย

จริงอยู่ว่าใบหน้าของเธอที่เราเห็นในปัจจุบันอาจจะดูบวมๆ น่ากลัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะร่างกายของเธอถูกเก็บไว้มานาน และในตอนที่หลุมศพของเธอถูกขุด ร่างของเธอก็ได้ไปสัมผัสกับออกซิเจนเข้าทำให้การเสื่อมสภาพเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วไปนั่นเอง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

4. “จอห์น ทอร์ริงตัน” มัมมี่น้ำแข็งแห่งทีมสำรวจขั้วโลก

นี่เป็นมัมมี่ของหนึ่งใน คณะสำรวจกว่า 134 คนของจอห์น แฟรงคลิน ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับ ในระหว่างการออกเดินทางไปยังมหาสมุทรอาร์กติกเมื่อช่วง 170 ปีก่อน และไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

โดยชายหนุ่มคนนี้เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางสำรวจและถูกฝังเอาไว้ที่อาร์กติกแคนาดาในตอนที่อายุได้ 20 ปี พร้อมกับโลงศพสีดำ และถูกรักษาสภาพด้วยความหนาวเย็นของพื้นที่จนร่างกายไม่ได้เน่าเปื่อยลงไปอย่างที่ควรเป็น

เขามีน้ำหนักน้อยมากซึ่งมาจากการขาดอาหารที่มีคุณภาพ มีสารตะกั่วตกค้างอยู่ในตัวในปริมาณที่สูง แถมยังมีร่องรอยของการเป็นโรคปอดบวม เรียกได้ว่ามีอาการมากมายที่อาจถึงชีวิตได้ จนทางนักวิจัยไม่แน่ใจเลยว่าอาการอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาเสียชีวิตจริงๆ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

5. “โซกุชินบุตสึ” การทำตัวเองเป็นมัมมี่ของพระญี่ปุ่น

นี่ไม่ใช่เรื่องราวของมัมมี่เพียงร่างเดียว แต่เป็นการทำมัมมี่ของพระกลุ่มหนึ่งในญี่ปุ่น โดยนี่เป็นหนึ่งในการบำเพ็ญเพียรของนิกายชินงอนซึ่งพบได้ตั้งแต่ในช่วงปี 1081 เรื่อยไปจนในปี 1903 และมีบันทึกไว้ว่ามีพระอย่างน้อยๆ 20 รูป ที่สามารถ “กลายเป็นมัมมี่” ได้สำเร็จ

โซกุชินบุตสึเป็นการบำเพ็ญเพียรที่มีจุดเด่นอยู่ที่การควบคุมอาหาร โดยพระผู้บำเพ็ญตน จะหลีกเลี่ยงการทานอาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่เรียกกันว่า “โมกุจิคิเกียว” ที่ทำจากเปลือกไม้ รากไม้ ถั่ว เมล็ดพันธุ์พืช และในบางครั้งก็มีก้อนหินด้วย

หลังจากควบคุมอาหารเป็นเวลาอย่างต่ำ 1,000 วันผู้บำเพ็ญตนจะดื่มชาชนิดพิเศษที่ทำจากน้ำยางและจะไม่ทานอะไรอีกนอกจากน้ำผสมเกลือ ก่อนที่เมื่อกำลังจะเสียชีวิตพวกเขาจะลงไปนั่งอยู่ในใต้ดินจนกว่าจะเสียชีวิต และหากพิธีเหล่านี้สำเร็จในอีก 1,000 วัน ต่อมาพวกเขาก็จะถูกขุดขึ้นมาในสภาพที่ศพแห้งเป็นมัมมี่นั่นเอง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

6.  “มัมมี่สาวในโลงเหล็ก” แห่งเมืองนิวยอร์ก

นี่คือมัมมี่ไร้นามของหญิงสาวผู้มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ที่ถูกพบอยู่ในโลงศพที่ทำจากเหล็กที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2011 และกลายเป็นปริศนาที่หลายๆ คนพยายามตามหากันว่าแท้จริงแล้วมัมมี่ที่พบ เป็นของใครและมาจากไหนกันแน่

เดิมทีแล้วในตอนที่เธอถูกพบมัมมี่ร่างนี้ถูกเชื่อว่าเพิ่งตายได้ไม่นานนักและอาจเป็นเหยื่อของการฆาตกรรม ที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งปี

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตรวจสอบกันไปอย่างยาวนาน เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาทางนักโบราณคดีนิติเวชก็พบว่าเธอนั้น แท้จริงแล้วเป็นร่างของหญิงสาวที่จากไปเมื่อกว่า 1 ศตวรรษก่อนต่างหาก แถมยังไม่น่าจะถูกสังหาร แต่ตายเพราะโรคฝีดาษอีกด้วย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

7. “โรซาเลีย ลอมบาร์โด” มัมมี่เด็กที่มีข่าวลือว่าลืมตาได้เอง

โรซาเลีย ลอมบาร์โด เป็นมัมมี่เด็กอายุ 2 ขวบที่ซิซิลี ประเทศอิตาลี และได้ชื่อว่าเป็นมัมมี่ที่เก็บรักษาไว้ดีที่สุด และงดงามที่สุดในโลกในเวลาเดียวกัน

เธอเป็นผลงานจากผู้เป็นบิดาของเธอ ที่ทำใจกับการจากไปของลูกไม่ได้ และ Alfredo Salafia ชายผู้ลงมือทำเด็กน้อยเป็นมัมมี่อย่างประณีตถึงขนาดที่อวัยวะภายในของเธอยังอยู่ครบทุกอย่าง

ส่วนเรื่องที่ว่าเธอลืมตาได้เอง ทางพิพิธภัณฑ์ของเธอได้บอกว่าเกิดจากมุมของแสงที่กระทบเปลือกตามัมมี่ซึ่งไม่เคยปิดสนิทอยู่แล้ว ทำให้เกิดภาพลวงตาเหมือนกับว่าเธอลืมตาได้อย่างที่เห็น

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

8. “โบรีลโอเพลตา มาร์คมิทเชลลี” มัมมี่ไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก

ปิดท้ายกันไปด้วยอะไรที่แหวกแนวนิดหน่อย เพราะนี่ไม่ใช่มัมมี่ของมนุษย์ แต่เป็นของไดโนเสาร์หุ้มเกราะที่มีชื่อว่า โบรีลโอเพลตา มาร์คมิทเชลลี  (Borealopelta markmitchelli) ซึ่งที่มีค้นพบในปี 2011 ที่ประเทศแคนาดา

เจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้เป็นมีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสเมื่อประมาณ 110 ล้านปีก่อน และมีลักษณะเด่นที่ทำให้มันแตกต่างไปจากไดโนเสาร์อื่นๆ ที่มนุษย์เคยพบตรงที่มันยังมีผิวหนังและเครื่องในอยู่ ซึ่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบมากจนแทนที่จะเรียกว่าเป็นฟอสซิล ไดโนเสาร์ตัวนี้กลับมักถูกเรียกว่าเป็นมัมมี่แทนเลย

การค้นพบเจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้ นำมาซึ่งทฤษฎีใหม่ๆ มากมายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ โดยหนึ่งในนั้นคือทฤษฎีที่ไดโนเสาร์อาจพรางตัวด้วยการเปลี่ยนสีผิวได้นั่นเอง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของมัมมี่ร่างนี้ได้ ที่นี่

 

รวบรวมและเรียบเรียงโดย #เหมียวศรัทธา

Comments

Leave a Reply