งานวิจัยใหม่เผย การมีอัตราส่วนไขมันในร่างกายสูง อาจทำให้สมองของเรา “หดลง”

เป็นเรื่องที่หลายๆ คนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า “โรคอ้วน” ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายขนาดไหน มันเพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้หลายอย่างทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน หลอดเลือดอุดตัน และโรคอื่นๆ อีกมากมายแทบนับไม่ถ้วน

ว่าแต่เชื่อกันหรือไม่ว่าจากงานวิจัยใหม่ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2019 ในวารสาร Radiology โรคอ้วนนั้นไม่ได้แค่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบกับโครงสร้างสมองด้วย

 

 

นี่เป็นงานวิจัยที่จัดขึ้นโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยไลเดนในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นจากการตรวจสอบสมองของอาสาสมัคร 12,087 คน ในอังกฤษ ที่มีอายุเฉลี่ย 62 ปี ด้วยระบบ MRI และนำข้อมูลสมองที่ได้ไปเปรียบเทียบกับ ข้อมูลอัตราส่วนไขมันในร่างกายของ

พวกเขาพบว่าอัตราส่วนไขมันในร่างกายของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์กับการลดลงของพื้นที่สมองบางส่วน โดยเฉพาะ “สมองเนื้อสีเทา” (Gray matter) ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของระบบประสาทกลาง

 

ภาพเปรียบเทียบสมองของอาสาสมัครหญิงอายุ 65 ปีสองคน

คนด้านซ้ายมีอัตราส่วนไขมัน 13% ในขณะที่คนด้านขวามีอัตราส่วนไขมัน 49%

 

สาเหตุที่ความอ้วนส่งผลกระทบกับสมองนั้น สำหรับทางการแพทย์แล้วเป็นเรื่องที่ยังไม่มีการอธิบายอย่างชัดเจนแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตามที่ผ่านๆ มาเราก็มีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าระหว่างปริมาณไขมันในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสมองอยู่มากเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้

โดยหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับส่งผลกระทบต่อสมองของความอ้วน คือการมีไขมันในร่างกายมากอาจนำไปสู่การอักเสบของร่างกายในจุดที่ส่งผลสมอง ทำให้สมองเสียเนื้อเยื่อบางส่วนไป

 

ภาพเปรียบเทียบสมองของอาสาสมัครหญิงอายุ 65 ปีสองคน ในมุมมองด้านข้าง

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากงานวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าโรคอ้วนเป็นสาเหตุให้สมองเนื้อสีเทามีปริมาณที่ลดลง หรือว่าการมีสมองเนื้อสีเทาน้อยจะทำให้คนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนกันแน่

สิ่งเดียวที่งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นคือการมีไขมันในร่างกายเยอะนั้น มีความสัมพันธ์กับปริมาณเนื้อสีเทาที่น้อยกว่าปกติก็เท่านั้น และแน่นอนว่าตัวงานวิจัยเองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีการหาหลักฐานเพิ่มเติมมาพิสูจน์ ผลการทดลองที่พวกเขาพบต่อไป

 

ที่มา livescience, dailymail

Comments

Leave a Reply