พบหลักฐานป้อมปราการของ “ทาสที่เป็นอิสระ” ในศตวรรษที่ 19 หลังเหตุเฮอร์ริเคนที่ฟลอริดา

ในตอนที่เฮอร์ริเคนไมเคิลพัดถล่มรัฐฟลอริดาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2018 มันได้สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของคนไปจำนวนไม่น้อย

ถึงอย่างนั้นก็ตามการมาของเฮอร์ริเคนลูกนี้ก็ใช่ว่าจะนำมาเพียงแค่ข่าวร้ายเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่มันพัดผ่านรัฐฟลอริดา เฮอร์ริเคนลูกนี้ก็ได้ทำให้นักโบราณคดีได้พบกับร่องรอยของป้อมปราการในสมัยโบราณด้วย ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีเล็กๆ ที่เกิดมาในภัยพิบัติทางธรรมชาติเลยก็ว่าได้

 

 

โดยการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางรัฐมีการเข้าไปสำรวจต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่ถูกพัดจนโค่นแบบถอนรากถอนโคนโดยเฮอร์ริเคน และพบว่าที่ข้างใต้ของต้นไม้นั้นมีกระสุนและวัตถุโบราณจำนวนหนึ่งฝังอยู่

เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเหล่านักโบราณคดี พวกเขาก็วิเคราะห์ออกมาว่ากระสุนและวัตถุโบราณเหล่านี้น่าจะเป็นของป้อมปราการที่ชื่อว่า “Fort Gadsden” ซึ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เคยเป็นที่กบดานของเหล่าทาส ที่ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ

 

 

Rhonda Kimbrough ผู้จัดการโครงการมรดกและป่าสงวนแห่งชาติในฟลอริดาบอกว่า “แห่งโบราณคดีแห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในจุดสำคัญจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติอเมริกัน”  นั่นเพราะในอดีตที่แห่งนี้นับว่าเป็น “ศูนย์กลางของเหล่าทาสผู้เป็นอิสระ และเหล่าผู้ต่อต้านการเป็นทาส” เลยก็ไม่ผิดนัก

ป้อมปราการแห่งนี้ มีบทบาทค่อนข้างมากในสงครามระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษในปี 1812-1815 และเป็นที่อยู่ของคนราวๆ 3,500-5,000 ชีวิต อย่างไรก็ตามด้วยความที่อดีตทาสเหล่านี้สนับสนุนฝั่งอังกฤษ หลังจากที่สงครามจบลงที่แห่งนี้จึงแทบไม่เหลือใครอยู่เลย

 

 

เท่านั้นยังไม่พอเพราะต่อมาในปี 1816 ป้อมปราการแห่งนี้ก็ถูกโจมตีโดยกองทัพเรือสหรัฐ ส่งผลให้กระสุนที่เก็บไว้ระเบิด และสังหารชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาที่ยังคงเหลืออยู่ไปจนเกือบหมด ทำให้ที่แห่งนี้แทบจะถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์

นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้กลายเป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดีหลายคนมาก ทำให้มีการมอบทุนกว่า 480,000 บาทให้กับทางกรมป่าไม้ เพื่อทำการเก็บกู้วัตถุโบราณเหล่านี้จากในพื้นที่เลย

 

 

น่าเสียดายที่ด้วยความเสียหายจากเฮอร์ริเคนทำให้พื้นที่เหล่านี้ยังไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าสำรวจได้โดยประชาชนทั่วไป ดังนั้นในปัจจุบันทีมนักโบราณคดีจึงมุงเน้นการทำงานไปที่การตรวจสอบวัตถุโบราณที่ขุดพบและเก็บกู้ออกมาแล้วเป็นหลัก

โดยที่พวกเขาหวังว่าจะสามารถ บอกได้ว่าวัตถุโบราณเหล่านี้ มาจากคนที่มีวัฒนธรรมแบบไหน จากรูปแบบเซรามิค และเครื่องหมายทางวัฒนธรรมบนวัฒถุโบราณที่พบภายในเร็วๆ นี้

 

 

ที่มา livescience และ archaeology

Comments

Leave a Reply