Author:

  • ปริศนาลึกลับแห่งสงครามเกาหลี เมื่อมีรายงานว่าทหารสหรัฐฯ ถูกโจมตีโดย “UFO”

    ปริศนาลึกลับแห่งสงครามเกาหลี เมื่อมีรายงานว่าทหารสหรัฐฯ ถูกโจมตีโดย “UFO”

    หลังจากที่สงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้นได้ประมาณหนึ่งปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม 1951 ได้มีรายงานทหารสหรัฐฯ หลายคน พบกับแสงประหลาดที่คล้ายกับ UFO ลอยอยู่บนน่านฟ้าประเทศเกาหลี     ว่ากันว่า UFO ที่พวกเขาพบนั้นมีสภาพคล้าย “แจ็กโอแลนเทิร์น” (ตะเกียงฟักทอง) ที่บินอยู่บนท้องฟ้า และจะ “โจมตี” ทหารสหรัฐฯ ด้วยแสงประหลาดที่ทำให้พวกเขามีอาการอ่อนเพลียรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นปริศนาและเรื่องเล่าขานในกองทัพไปอีกหลายปี เชื่อกันว่าตลอด 37 เดือนในสงครามเกาหลี มีรายงานการพบกับ UFO ในลักษณะนี้อย่างน้อยๆ 42 ครั้ง เรียกได้ว่ามีความถี่ในการพบมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนเลยทีเดียว     หลังจากที่สงครามพบลงในปี 1953 ก็มีแนวคิดมากมายที่ออกมาอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เหล่าทหารได้พบ โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า UFO เหล่านี้น่าจะเป็นอาวุธรุ่นทดลองของทางโซเวียตที่มีต้นแบบมาจากเทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบต้านแรงโน้มถ่วงของเยอรมัน อย่างไรก็ตามหลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายไป ก็มีการออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วก็มีทหารโซเวียตจำนวนมากเช่นกันที่พบกับ UFO ที่ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้แนวคิดที่ว่า UFO ที่พบเป็นอาวุธของทางโซเวียตขาดความน่าเชื่อถือไป   เมืองชอวอนหนึ่งในสถานที่ที่มีรายงานการพบ UFO   ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมีการพบเห็น UFO หลายครั้งเหลือเกิน? นี่เป็นคำถามที่อยู่ในหัวของทางสหรัฐอเมริกาตลอดช่วงปี 1952-1986 ถึงขนาดที่มีการจัดตั้งโครงการ “Project…

  • นักวิทย์พบ “สัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด” อายุกว่า 558 ล้านปี และรูปร่างคล้าย “เอเลี่ยน”

    นักวิทย์พบ “สัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด” อายุกว่า 558 ล้านปี และรูปร่างคล้าย “เอเลี่ยน”

    อย่างที่หลายๆ คนทราบ โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่หน้าตาไม่เหมือนกับสิ่งที่ควรมีอยู่บนโลกเท่าไหร่ ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราเคยพบเอง ก็มีลักษณะที่ประหลาดสุดๆ เช่นเดียวกัน     นี่คือซากของ “Dickinsonia” สิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งถูกค้นพบในไขมันสัตว์โบราณ ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย และมีอายุมากถึง 558 ล้านปี ซึ่งมากกว่าอดีตฟอสซิลสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Kimberella ถึง 3 ล้านปีเลยทีเดียว Dickinsonia เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีรูปร่างเป็นวงรีแบนๆ คล้ายแพนเค้ก ที่มี “ซี่โครง”อยู่ทั่วทั้งตัวคล้ายสัตว์ประหลาดในหนังสยองขวัญ และสามารถมีขนาดตัวได้ยาวที่สุดถึงราวๆ  1.4 เมตร   Dickinsonia ถูกค้นพบใน White Sea ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศรัสเซีย   ที่จริงแล้วเราทราบถึงการมีอยู่ของ Dickinsonia มาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากมีการพบฟอสซิลของมันในทางตอนใต้ของออสเตรเลียมาก่อน อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบตัวอย่างที่สมบูรณ์และมีความเก่าแก่ขนาดนี้ ตัวอย่างที่พบนี้สมบูรณ์ขนาดที่ว่ายังมีโมเลกุลคอเลสเตอรอลอยู่ ทั้งๆ ที่ผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า “การระเบิดของแคมเบรียน” มาเลยด้วยซ้ำ     นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้มีค่าในทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์มาก เพราะการค้นพบโมเลกุลคอเลสเตอรอลชนิดนี้เป็นสิ่งยืนยันเป็นอย่างดีว่า Dickinsonia ที่เคยมีการถกเถียงกันอย่างยาวนานว่าเป็นมีชีวิตตระกูลสัตว์ หรือตระกูลเชื้อรานั้น แท้จริงแล้วจัดเป็นสัตว์อย่างแน่นอน “การค้นพบไขมันของฟอสซิลนี้ยืนยันแล้วว่า Dickinsonia เป็นฟอสซิลสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุด เรียกได้ว่ามันช่วยไขปริศนาที่เป็นเหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์ของวงการสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์มากว่าทศวรรษเลยทีเดียว” Jochen Brocks นักวิจัยอาวุโสประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกล่าว…

  • 16 ภาพที่ทั้งน่าสนใจ และสะเทือนใจ ของการรักษาพยาบาลจากสงครามโลกครั้งที่สอง

    16 ภาพที่ทั้งน่าสนใจ และสะเทือนใจ ของการรักษาพยาบาลจากสงครามโลกครั้งที่สอง

    การรักษาคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะต้องมีความรู้แล้ว ในหลายๆ ครั้งคนเป็นหมอยังต้องรับกับความกดดันที่อาจจะทำให้คนไข้เสียชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าหมอเหล่านั้นต้องทำงานในสภาวะสงครามด้วยพวกเขาจะต้องรู้สึกกดดันขนาดไหนกันนะ และการรักษาของพวกเขาจะต่างไปจากปกติอย่างไรบ้าง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกๆ คนไปหาคำตอบกันใน 16 ภาพที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทั้งน่าสนใจ และสะเทือนใจไปในเวลาเดียวกันข้างล่างนี้   เริ่มกันด้วยภาพจากโรงพยาบาลรัสเซียในเลนินกราดหลังถูกจู่โจมโดยนาซีเยอรมันเมื่อปี 1942   ทหารผู้ได้รับบาดแผลที่ดวงตาทั้งของข้างระหว่างเข้ารับการรักษา   โรงพยาบาลสนามของสหรัฐฯ ในเมืองคาแนนทันประเทศฝรั่งเศส   ทหารที่เปื้อนไปด้วยเลือดพยายามกลืนยาซัลฟาที่เพื่อนทหารป้อนให้   Geneviève Marie และพี่ชาย ผู้ซึ่งเพิ่งจะกำพร้าพ่อแม่แบบสดๆ ร้อนๆ  ได้รับการรักษาโดยทหารแพทย์สหรัฐฯ   การป้อนอาหารให้กับทหารสหรัฐฯ ผู้ซึ่งโดนไฟคลอกแทบทั้งตัวในตอนที่เรือของเขาโดนคามิคาเซ่โดยทหายญี่ปุ่นในระหว่างการรบที่อิโวจิมา   Mary Jensen พยาบาลหญิงของกองทัพ มองผ่านรูบนเรือที่เกิดจากการคามิคาเซ่   Sylvia Pavolvich พยาบาลหญิงจากหน่วยโรงพยาบาลผ่าตัดเคลื่อนที่ที่ 8209 กำลังให้เลือดทหารผู้บาดเจ็บ   ทหารเสนารักษ์จากทัพเรือป้อนน้ำเพื่อนทหารที่บาดเจ็บ   หน่วยพยาบาลที่ย้ายจากแอฟริกามาประจำการที่นอร์มองดีประเทศฝรั่งเศส   การดูแลสุขภาพเชลยศึกในมนิลาประเทศฟิลิปปินส์   การให้ยาสลบโดยพยาบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง   การรักษาทหารอเมริกันที่บาดเจ็บขณะโจมตีหาดโอมาฮ่า   เหล่าหน่วยพยาบาลระหว่างการหยุดพักจากงานในนอร์มองดี…

  • 24 ภาพความเสียหายจากเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในตอนที่ถูกโจมตีอย่างฉับพลันจากประเทศญี่ปุ่น

    24 ภาพความเสียหายจากเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในตอนที่ถูกโจมตีอย่างฉับพลันจากประเทศญี่ปุ่น

    เช้าวันที่ 7 ธันวาคม 1941 เป็นหนึ่งในวันที่คนสหรัฐอเมริกาจดจำได้เป็นอย่างดี เมื่อมีการจู่โจมอย่างฉับพลันจากประเทศญี่ปุ่นเข้าที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ จริงอยู่ที่การโจมตีครั้งนี้มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้กองเรือของสหรัฐเข้าแทรกแซงการปฏิบัติการของญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน การโจมตีในครั้งนี้ก็เป็นการปลุกเสือที่หลับอยู่โดยไม่รู้ตัวของทางญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะการโจมตีนี้ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่คนในสหรัฐฯ จะโมโหกับการโจมตีในครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อการโจมตีที่ว่านำมาซึ่งความเสียหายแบบในภาพทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้   เรือรบ USS West Virginia ที่ลุกเป็นไฟในเพิร์ลฮาร์เบอร์   เรือ USS Shaw ที่ระเบิดอย่างรุนแรง   หลุมฝังศพของผู้เสียชีวิตในระหว่างการโจมตี   ลูกเรือที่จำเป็นต้องทิ้งเรือ USS California   อีกมุมหนึ่งของการทิ้งเรือ USS California   ร่างไร้วิญญาณของชายบนรถที่พรุนไปด้วยสะเก็ดระเบิดจากการโจมตีของญี่ปุ่น   USS Oklahoma ล่มอยู่ข้างๆ USS Maryland แถมสุดท้ายสุดท้ายก็ถูกทำลายทั้งคู่ด้วย   ทะเลที่ลุกเป็นเพลิงจากน้ำมัน   หลุมปืนกลที่ทำขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อตอบโต้การโจมตี   เรือรบที่เสียหายในท่าเรือ   เครื่อง B-17C ที่หายไปเกือบครึ่งลำ   The USS Arizona ลุกเป็นเพลิง…

  • เปิดประวัติ “เครื่องอบทารก” จากโชว์ในสวนสนุก สู่เครื่องมือที่ช่วยชีวิตเด็กมากมาย

    เปิดประวัติ “เครื่องอบทารก” จากโชว์ในสวนสนุก สู่เครื่องมือที่ช่วยชีวิตเด็กมากมาย

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หากคุณเดินทางไปที่สวนสนุกบนเกาะโคนีย์ ในสหรัฐอเมริกา คุณอาจจะได้เล่นน้ำ ทานไอศกรีม เล่นรถไฟเหาะ หรือไปดูเครื่องอบทารกของจริงที่มีเด็กอยู่ในนั้นก็ได้!! นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแปลก แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอดีต เพราะในสมัยนั้นการใช้เครื่องอบทารกเพื่อดูแลเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนั้นมักจะทำกันในสวนสนุกจริงๆ     เดิมที่แล้วเครื่องอบทารกเป็นวิทยาการที่เชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นมาโดย Stéphane Tarnier สูติแพทย์ชาวฝรั่งเศสโดยมีแรงบันดาลใจมาจากเครื่องฟักไข่ของลูกเจี๊ยบ อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีแรกหลังจากที่คิดค้นขึ้นมา เครื่องอบทารกกลับถูกมองว่าเป็นของไร้สาระโดยแพทย์ส่วนใหญ่ เหตุผลของการดูถูกเครื่องอบทารกในสมัยนั้น เชื่อว่าเกิดจากการที่มีทารกน้อยมากที่จะสามารถรอดชีวิตจากการคลอดก่อนกำหนดมาได้ และมีแพทย์ระดับสูงจำนวนมากที่มองว่าเครื่องอบทารก “ไม่ใช่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์”   หน้าตาของเครื่องอบทารกที่ Stéphane Tarnier คิดค้น   โชคดีที่ Martin Couney ชายชาวเยอรมันคนหนึ่งเห็นคุณค่าของเจ้าเครื่องอบทารกขึ้นมา เขามีความคิดที่ว่าเขาจะสามารถ “ช่วยเหลือเด็ก” และ “หาเงิน” จากการโชว์การใช้งานเครื่องมือที่ว่านี้ได้ ดังนั้นหากโรงพยาบาลไม่เห็นค่าของเครื่องอบทารก Couney ก็จะเป็นคนช่วยทารกเหล่านี้เอง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ Martin Couney ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องอบทารกแบบในปัจจุบัน และทำให้มันกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก     Couney ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแบบถาวร ก่อนจะนำเครื่องอบทารกไปตั้งโชว์ในสวนสนุกในปี 1903 และปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กแรกเกิด ไปพร้อมๆ กับเก็บเงินค่าเข้าชมจากเหล่าคนที่สนใจเข้ามาดูเครื่องมือน่าพิศวงของเขา เชื่อกันว่าที่ Couney เชื่อมั่นในเครื่องอบทารกขนาดนี้มาจากการที่ Hildegard…

  • ย้อนยุคโฆษณาช่วง 1930 เคยมีการเอาแพทย์เป็นพรีเซ็นเตอร์ “บุหรี่ดีต่อสุขภาพ”

    ย้อนยุคโฆษณาช่วง 1930 เคยมีการเอาแพทย์เป็นพรีเซ็นเตอร์ “บุหรี่ดีต่อสุขภาพ”

    ในปัจจุบันงานวิจัยจำนวนมากได้ออกมาชี้ให้เราเห็นถึงอันตรายของการสูบบุหรี่กันอย่างต่อเนื่อง จนไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในหลายๆ ที่จะมีการตั้งเขตห้ามสูบบุหรี่กันขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่เชื่อกันไหมว่าในสมัยก่อนนั้น ไม่เพียงแต่โลกจะยังไม่มีการค้นพบความเกี่ยวข้องของบุหรี่กับโรคปอดบวมและมะเร็งเท่านั้น แต่บริษัทผลิตบุหรี่จำนวนมากในสมัยนั้น ยังใช้แพทย์มาช่วยโฆษณาบุหรี่อีกด้วย     นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงยุค 1930-1940 ที่คนยังไม่รู้กันว่าบุหรี่มีความเกี่ยวข้องกับโรคร้าย นั่นทำให้บริษัทผลิตบุหรี่หลายๆ ที่แข่งใช้ความน่าเชื่อถือของแพทย์มาโฆษณา เพื่อให้บุหรี่ของตัวเองขายดีขึ้นสักนิด นี่เป็นการแข่งกันเพื่ออ้างว่าบุหรี่ของตัวเองสร้างความ “ระคายเคืองในลำคอ” น้อยกว่ายี่ห้ออื่นๆ  เนื่องจากในสมัยนั้น ปัญหาใหญ่ของการสูบบุหรี่ไม่ได้อยู่ที่โรคมะเร็ง หรือถุงลมโป่งพอง แต่เป็นการระคายเคืองต่างหาก     บริษัทแรกที่นำแพทย์มาให้อ้างอิงในโฆษณาคือบริษัท American Tobacco ผู้เป็นเจ้าของบุหรี่ Lucky Strikes โดยมีการอ้างว่า แพทย์กว่า 20,679 รายบอกว่าบุหรี่ “Lucky ระคายเคืองคอน้อยกว่า” ในปี 1930 แถมนี่ยังเป็นตัวเลขที่มีการสำรวจมาจริงๆ ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการบอกว่า “หลายๆ คนชอบ” เหมือนที่ผ่านๆ มาอีกด้วย การกระทำในครั้งนี้นำไปสู่การต่อสู้ด้วยโฆษณาทางการแพทย์ของบริษัทบุหรี่หลายๆ เจ้าในทันที จนกระทั่งหนึ่งในบริษัทบุหรี่ Philip Morris ถึงกับออกมาบอกว่าบุหรี่ของตัวเอง “รักษา” อาการระคายเคืองในคอได้เลยด้วย     นั่นทำให้ในช่วงยุค 40 มีจำนวนคนสูบบุหรี่จนเป็นโรคถุงลมโป่งพองเพิ่มขึ้นมาก แต่แม้คนจะเริ่มรู้สึกถึงอัตราการเป็นโรคถุงลมโป่งพองกันมากขึ้น แต่ก็ใช้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันมาจากบุหรี่อยู่ดี แต่แล้วในช่วงกลางยุค…

  • เปิดเรื่องราวของ Las soldaderas กลุ่มนักรบหญิงแห่งสงครามการปฏิวัติเม็กซิโก

    เปิดเรื่องราวของ Las soldaderas กลุ่มนักรบหญิงแห่งสงครามการปฏิวัติเม็กซิโก

    ภาพลักษณ์ของสงครามนั้นมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของผู้ชาย ทั้งๆ ที่ก็มีผู้หญิงหลายๆ คนที่ปรากฏตัวขึ้นในสงครามในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยๆ แถมไม่ใช่แค่คนสองคนแต่เสียด้วย นี่เป็นเรื่องราวของ Las soldaderas กลุ่มนักรบหญิงแห่งสงครามการปฏิวัติเม็กซิโกเมื่อปี 1910 มันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นการล้มล้างการปกครองแบบเก่า และสถาปนารัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้หญิงในสมัยนั้นแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่พวกเธอจะได้หลุดพ้นจากบทบาทดั้งเดิมของผู้หญิง     พวกเธอเขาร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วยความสมัครใจ บางครั้งก็เป็นการติดตามสามีเฉยๆ บางครั้งก็เป็นการไปเป็นพยาบาลสนาม หรือแม้กระทั่งปลอมตัวเป็นผู้ชายจับอาวุธร่วมรบในฐานะทหารอาสา อย่างไรก็ตาม Las soldaderas ที่คนรู้จักกันมากที่สุดน่าจะเป็นเหล่าทหารหญิงของฝั่งปฏิวัติที่ใส่กระโปรงดั้งเดิม ใส่หมวกปีกกว้างและพกปืนไปรบนั่นเอง     แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเหล่าผู้หญิงที่แต่งกายเป็นผู้ชายจะไม่มีชื่อเสียงในสงครามเลย แถมเอาจริงๆ คนเหล่านี้ยังอาจจะใช้ชีวิตลำบากกว่าสาวๆ ที่เข้าร่วมสงครามในฐานะพยาบาล หรือแต่งตัวเป็นหญิงไปเลยด้วยซ้ำ พวกเธอต้องปลอมตัวเพื่อป้องกันการถูกดูหมิ่นจากผู้ชายและเจ้าหน้าที่ระดับสูง แถมยังต้องคอยรักษาความลับไม่ให้ใครรู้ หรือหากถูกรู้เข้าก็ต้องมีไหวพริบมากพอที่จะไม่ทำให้มีใครมาเอาเปรียบได้     ตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงที่ปลอมเป็นผู้ชายในสงครามครั้งนี้คือ Angela Jimenez และ Amelia Robles โดยทั้งสองคนมีวิธีการรับมือกับผู้ชายที่แตกต่างกันมาก Angela ปลอมตัวเป็นชายที่ถูกเรียกกันว่า Pedro ตัวจริงของเธอถูกรู้โดยชายหลายคนมาก ถึงอย่างนั้นเธอก็มีวิธีรับมือกับคนเหล่านั้น โดยการโกหกว่าเธอเป็นพวกตื่นเช้ามากๆ เพื่อขึ้นมาโกนขน ก่อนที่คนอื่นๆ จะตื่น (ว่าง่ายๆ ว่าเธอขู่ผู้ชายอ้อมๆ ว่าถ้าทำอะไรเธอ เธอจะแอบฆ่าด้วยมีดโกนตอนนอนนั่นเอง)     ส่วน Amelia…

  • 5 เหล่ากษัตริย์จากยุคโบราณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็ทำ “ชื่อเสีย” เอาไว้มากมายจนน่าตกใจ

    5 เหล่ากษัตริย์จากยุคโบราณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็ทำ “ชื่อเสีย” เอาไว้มากมายจนน่าตกใจ

    อย่างที่เราทราบกันว่าชนชั้นสูงในอดีตบางครั้งก็ชอบทำอะไรที่ไม่ค่อยน่าชื่นชมสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาจากไป เรื่องที่พวกเขาเคยทำก็มักจะถูกเปิดเผยออกมา ไม่ต่างอะไรจากคำว่าน้ำลดตอผุดเลยนั่นเอง เหมือนดังเช่นเหล่ากษัตริย์จากยุคโบราณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก 5 คนต่อไปนี้ แต่ถึงไม่ได้มีมีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็มีวีรกรรมทำ “ชื่อเสีย” ไว้จนสงสัยว่า คนพวกนี้เป็นโรคจิตรึเปล่าเลยทีเดียว   Tiberius เขาคือจักรพรรดิคนที่สองแห่งกรุงโรม ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 14-37 และมีชื่อเสียมาจากการฝึกเด็กตัวเล็กๆ ให้คลานไปบนขาของเขา และ “เล้าโลม” ตัวเขาด้วยการเลียและใช้หัวนมถู แถม Suetonius นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันโบราณยังบอกอีกว่า Tiberius เคยแม้กระทั่งให้ทารก “อม” ให้กับเขาเลยทีเดียว นอกจากนี้ Tiberius ยังมีการจัดงานเซ็กส์หมู่ แถมยังสร้างห้องสมุดเร้าอารมณ์เพื่อให้ทาสเซ็กส์ของเขาสามารถเรียนรู้ท่าทางใหม่ๆ เพื่อให้งานในอนาคตอีกด้วย   Commodus เขาคือจักรพรรดิแห่งโรมที่ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 180-192 เชื่อกันว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักเขาจากหนังเรื่อง Gladiator นายคนนี้เป็นจักรพรรดิที่หลงใหลในการฆ่าคนมาก ถึงขั้นที่ว่าเคยว่างแผนแกล้งทำเป็นว่ามีคนหมายเอาชีวิตตัวเองเพื่อหาเหตุผลไปโจมตีศัตรูเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังเคยสั่งให้นักบวชของเทพีเบลโลนาตัดแขนออกมาและเอาไปพาดคนอื่นอีกด้วย   Phalaris เขาคือทรราชแห่ง Acragas เมืองกรีกโบราณในเกาะซิซิลี มีชีวิตในช่วง 570-554 ปีก่อนคริสตกาล ขึ้นชื่อจากการแย่งอำนาจก่อนจะปกครองเมืองอย่างเผด็จการ แต่สิ่งที่ทำให้ชายผู้นี้มีชื่อเสียงที่สุดกลับมาจากเครื่องประหารของเขานั่นเอง มันคือโคสัมฤทธิ์เครื่องประหารที่จะนำตัวนักโทษใส่เข้าไปในรูปปั้นวัวก่อนนำไปจุดไฟเผา อบตัวผู้ที่อยู่ข้างในจนตาย พร้อมๆ เสียงร้องทุรนทุรายที่เปล่งออกมาคล้ายเสียงของวัว   Domitian เขาคือจักรพรรดิแห่งโรมที่ครองราชย์ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่…

  • ชม 25 ภาพตัวอย่าง “ความผิดปกติทางการแพทย์” ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Mütter

    ชม 25 ภาพตัวอย่าง “ความผิดปกติทางการแพทย์” ที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Mütter

    พิพิธภัณฑ์ Mütter เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากของสะสมของ Dr. Thomas Mütter ผู้เก็บรวบรวมตัวอย่างความผิดปกติทางการแพทย์มากกว่า 20,000 อย่างเอาไว้ จนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากตั้งแต่ตอนเปิดตัวขึ้นในปี 1863 ของส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่มักจะเป็นของแปลก หรือสิ่งหายากทางด้านการแพทย์เสียส่วนใหญ่ แต่จะแปลกขนาดไหนนั้น เชิญไปชมตัวอย่างกันได้ที่ข้างล่างนี้เลย   ร่างของเด็กแฝดเพิ่งเกิดที่ตัวติดกันในโหลดองเชื่อกันว่ามาจากช่วงศตวรรษที่ 19   ตัวอย่างลำไส้ของคนเป็นโรคอหิวา จากช่วงที่อหิวาตกโรคระบาดหนักในปี 1849   ตัวอย่างมือของคนที่เป็นโรคเกาต์จากศตวรรษที่ 19   เครื่องมือรักษาสภาพศพจากช่วงเปลี่ยนขึ้นศตวรรษที่ 20   หูดที่อวัยวะเพศซึ่งถูกนำมาร้อยเป็นสร้อยเพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาในศตวรรษที่ 19   ชิ้นส่วนสมองของแอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากปี 1955   เครื่องมือแพทย์ที่เป็นมรดกสืบทอดในตระกูล Leavitt คาดว่ามาจากช่วงปี 1870   กะโหลกที่มีการตัดกระดูกสบางส่วนออก เพื่อให้มองเห็นชั้นฟันของเด็กๆ ได้ชัดเจน เชื่อกันว่ามาจากช่วงเวลาก่อนปี 1941   มือแห้งๆ ของมนุษย์ที่สามารถมองเห็นองค์ประกอบภายในได้อย่างชัดเจน   อุปกรณ์รมยาสลบจากยุค 1840   หุ่นขี้ผึ้งที่แสดงตัวอย่างของโรคซิฟิลิสระยะสุดท้าย   ลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ที่เป็นท้องผูกเรื้อรังจากปี…

  • 10 ภาพในวัยเด็กของคนที่ถูกเรียกว่า “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ และของแถมอีกนิดหน่อย

    10 ภาพในวัยเด็กของคนที่ถูกเรียกว่า “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ และของแถมอีกนิดหน่อย

    ว่ากันว่าเด็กนั้นเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์อยู่เสมอ และไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาเป็นคนไม่ดีเลย ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่อาจจะทราบได้ว่าเด็กที่เราเห็นนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีหรือไม่อยู่ดี เด็กบางคนอาจจะโตไปเป็นทหารเผด็จการ ในขณะที่เด็กบางคนอาจจะโตขึ้นไปเป็นนักการเมืองฉ้อโกง แต่ในเวลาที่พวกเขายังเป็นเด็กพวกเราก็คงจะไปถือโทษไม่ได้ เหมื่อนดังเช่นภาพในวัยเด็กของเหล่า “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ ที่ต่อให้โตมาพวกเขาเป็นคนอย่างไร แต่ในตอนที่เป็นเด็กก็ยังมีความน่ารักน่าชังสุดๆ อยู่ดี   อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ตอนอายุได้ราวๆ 11 ขวบ ฮิตเลอร์เป็นผู้นำของกลุ่มนาซี ที่แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์เยอรมันแบบสุดๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเกิดในออสเตรียเมื่อปี 1889 ต่างหาก   ชาร์ล แมนสัน ตอนอายุได้ราวๆ 6 ขวบ เขาเป็นอาชญากรชาวอเมริกัน เจ้าลัทธิสังหารโหดที่โด่งดังอย่าง “ครอบครัวแมนสัน” ที่บุกสังหารคน 7 คนในเวลาสองคืนนั่นเอง   อุซามะห์ บิน ลาดิน ตอนอายุได้ราวๆ 5 ขวบ เขาคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะฮ์ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน   ซัดดัม ฮุสเซน ตอนอายุได้ราวๆ 8 ขวบ เขาคืออดีตประธานาธิบดีของอิรักผู้ซึ่งถูกจับกุมและถอดออกจากตำแหน่ง โดยสหรัฐฯ ในช่วงสงครามอิรักนั่นเอง   ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ตอนอายุได้ราวๆ 12 ขวบ…

  • 12 ภาพน่าสนใจในอดีต ที่สอนบทเรียนที่ไม่มีสอนในโรงเรียนให้แก่คนรุ่นหลัง

    12 ภาพน่าสนใจในอดีต ที่สอนบทเรียนที่ไม่มีสอนในโรงเรียนให้แก่คนรุ่นหลัง

    ว่ากันว่าภาพในอดีตนั้นมีคุ้นค่ามากกว่าที่คิด เพราะไม่เพียงแต่มีค่าในประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งรูปภาพเก่าๆ ก็สามารถสอนอะไรที่ไม่มีในบทเรียนให้แก่คนรุ่นหลังได้ด้วยเช่นกัน บางครั้งก็มาในรูปแบบของภาพเตือนใจ บางครั้งก็มาในรูปแบบของสิ่งที่หลงเหลือจากเหตุการณ์อันเลวร้าย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจึงจะไปชมภาพในอดีตอีก 12 ภาพ ที่ไม่ใช่แค่สอนอะไรบางอย่างเท่านั้น แต่ยังน่าสนใจสุดๆ อีกด้วย   นี่คือภาพของ L Ron Hubbard ในปี 1968 เขากำลังใช้เครื่อง E-Meter ในการตรวจสอบว่า “ต้นมะเขือเทศ” มีความเจ็บปวดหรือไม่อยู่   ภาพของ Joseph Goebbels ชายผู้เป็นเสมือนมือซ้ายของฮิตเลอร์ ในวินาทีที่เขารู้ตัวว่าตากล้องที่ถ่ายภาพเขานั้นเป็นชาวยิว   นี่คือภาพของ Rudolph Hoess ผู้ออกแบบ และผู้บัญชาการค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ในวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อปี 1947   ภาพของ Jesse James โรบินฮู้ดแห่งอเมริกา เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเขาเลือกปล้นแต่คนรวย (อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) นอกจากนี้เขายังมักส่งจดหมายไปเตือนเหยือก่อนที่จะเข้าปล้นด้วย   Vladimir Putin เต้นกับเพื่อนในงานเลี้ยงเมื่อปี 1970   งานแต่งงานของ Joseph Goebbels ในปี 1931 หากสังเกตดีๆ จะเห็นฮิตเลอร์ยืนอยู่ที่ด้านหลังขวา   โลงศพของ Lee…

  • ชม 9 สุดยอด “คำพูดดีๆ” ที่มาจากเหล่าคนที่ “ไม่ดีเท่าไหร่” ในประวัติศาสตร์

    ชม 9 สุดยอด “คำพูดดีๆ” ที่มาจากเหล่าคนที่ “ไม่ดีเท่าไหร่” ในประวัติศาสตร์

    เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่าคำพูดดีๆ บางคำมันออกมาจากปากของคนไม่ค่อยจะน่าจะพูดอะไรแบบนั้นได้เท่าไหร่ อะไรอย่างคนที่ไม่เคยมีแฟนเลยทั้งชีวิต ดันพูดคำคมสำหรับชีวิตคู่ออกมา หรือคนที่ไม่เคยชอบสุนัขเลยทั้งชีวิต ดันพูดว่าสุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ บางครั้งเราก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าคำพูดดีๆ หรือคำคมสุดกินใจนั้นจะออกมาจากปากใคร นั่นทำให้บางครั้ง แม้แต่คนที่โลกมองว่าไม่ใช่คนที่ดีเท่าไหร่ บางครั้งก็มักจะพูดคำคมดีๆ ออกมาเช่นกัน เหมือน “คำพูดดีๆ” ที่มาจากเหล่า “คนที่ไม่ดีเท่าไหร่” ข้างล่างนี้   “It Takes Less Courage to Criticize the Decisions of Others Than to Stand by Your Own” นี่เป็นคำพูดโดยอัตติลา จักรพรรดิชาวฮัน มีความหมายว่า “คนเราใช้ความกล้าในการวิจารณ์ความคิดคนอื่นน้อยกว่าการสนับสนุนความคิดตัวเอง”    “Words Build Bridges Into Unexplored Regions.” คำพูดโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งนาซีเยอรมัน มีความหมายว่า “คำพูดเป็นเหมือนสะพานที่จะนำเราไปสู่สถานที่ที่เราไม่เคยรู้จัก”   “Impossible Is a Word…

  • 5 ยอดเพชฌฆาตมีชื่อในสมัยก่อน “เทวทูตแห่งความตาย” ผู้มีผลงานอยู่กับกลิ่นคาวเลือด

    5 ยอดเพชฌฆาตมีชื่อในสมัยก่อน “เทวทูตแห่งความตาย” ผู้มีผลงานอยู่กับกลิ่นคาวเลือด

    ตลอดระยะเวลาหลายปีที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในฐานะของสังคม “การประหารชีวิต” ก็กลายเป็นหนึ่งในโทษที่รุนแรงและเป็นที่หวาดกลัวที่สุดอย่างหนึ่งไป นั่นทำให้บ่อยครั้ง “เพชฌฆาต” ที่ลงมือสังหารผู้คนตามคำสั่งมักจะมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวและติดตาอยู่เสมอ แม้ว่าตัวจริงของเขาจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม ในโลกของเรานั้นมีเพชฌฆาตที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน แต่หากจะถูกถึงเพชฌฆาตที่มีผลงานมากที่สุดแล้ว มันก็คงจะไม่พ้นเพชฌฆาตทั้ง 5 คนต่อไปนี้แน่ๆ   Antonina Makarova เธอคืออดีตนางพยาบาลของโซเวียตที่ถูกจับโดยหน่วย SS ของนาซี และถูก “หว่านล้อม” ให้ทำงานเป็นเพชฌฆาตให้แก่ทางนาซี เชื่อกันว่าในระหว่างทำงาน เธอสังหารคนด้วยปืนกลเฉลี่ยวันละ 27 คน ก่อนที่จะถูกจับได้โดยหน่วย KGB และประหารในฐานะคนทรยศในปี 1976 ว่ากันว่าตลอดชีวิตการทำงาน Makarova สังหารคนไปทั้งสิ้น 15,000 รายเลยทีเดียว (เธอมีเหยื่อที่ยืนยันตัวได้ราวๆ 200 ราย)   Johann Reichhart เขาคือเพชฌฆาตชาวเยอรมันที่เกิดในตระกูลเพชฌฆาตและเริ่มทำงานตั้งแต่ในปี 1924 อย่างไรก็ตามผลงานที่ชัดเจนที่สุดของชายคนนี้อยู่ในช่วงปี 1939-1945 ต่างหาก เนื่องจากช่วงนั้นเขาต้องไปทำงานให้แก่ทางนาซี และกลายเป็นหนึ่งในสี่เพชฌฆาตที่น่ากลัวที่สุดของนาซี ตลอดชีวิตการทำงาน Johann สังหารคนไปทั้งสิ้น 3,165 คน โดย 2,876 คนจากในนั้นมาจากการทำงานให้แก่นาซีเยอรมันนั่นเอง  …

  • 4 หญิงชราผู้ที่ดูเป็นคุณยายใจดีไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดต่างหาก

    4 หญิงชราผู้ที่ดูเป็นคุณยายใจดีไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดต่างหาก

    ตามปกติเวลาเราพูดถึงหญิงชรา ภาพลักษณ์ในหัวของเราส่วนมากก็น่าจะเป็นคุณยายใจดีเหมือนในนิทาน หรือไม่ก็อาจจะเป็นหญิงปากร้ายแต่รักหลานยิ่งกว่าใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดหรอกว่าหญิงชราจะไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดไปได้ แต่ปัญหาคือมันเป็นไปแล้วนี่สิ เพราะในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้นำเรื่องราวของหญิงชรา 4 คน ที่เหมือนจะดูธรรมดาๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นฆาตกรโหด และหญิงชราอีกหนึ่งคนที่เก็บศพไว้ในตู้เสื้อผ้ามาให้ชมกัน   Leonarda Cianciulli เธอคือฆาตกรต่อเนื่องชาวอิตาลีที่เริ่มจากสังหารคนในปี 1939-1940 และฆ่าเหยื่อที่เป็นผู้หญิงไปทั้งสิ้น 3 ราย ด้วยความเชื่อว่าการฆ่าคนจะทำให้เธอสามารถหลุดพ้นจากคำสาปที่ทำให้เธอแท้งลูกอยู่หลายครั้งในอดีตนั่นเอง Leonarda มีวิธีทำลายศพที่ประหลาดมาก เธอจะหั่นศพเป็นชิ้นๆ และทำเป็นสบู่ หรือไม่ก็เอาไปอบเป็นขนมที่ทางยุโรปเรียกว่า Teacake แล้วก็ทานคู่กับน้ำชาเลยด้วย!!   Amelia Dyer เธอคือหญิงชราที่ต้องสงสัยว่าใช้เวลา 20 ปีไปกับการสังหารทารกมากกว่า 400 คน ผ่านการ “รับอุปถัมภ์เด็ก” เพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่คนแก่ในยุควิคตอเรียมักจะทำกัน ดูเหมือนว่าในช่วงแรกๆ ของการ “รับเลี้ยงเด็ก” เธอจะปล่อยให้เด็กอดตายไปเอง แต่มันใช้เวลานานมากเธอจึงเริ่มสังหารเด็กในเวลาต่อมา Amelia ได้รับฉายาว่า “Baby Farmer” จากการกระทำของเธอ และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตไปในปี 1896 นั่นเอง  …

  • ชม!! 16+1 “หน้ากากคนตาย” ที่สร้างขึ้นจากใบหน้ายามตายของคนดังในอดีต

    ชม!! 16+1 “หน้ากากคนตาย” ที่สร้างขึ้นจากใบหน้ายามตายของคนดังในอดีต

    Death masks หรือ “หน้ากากคนตาย” เป็นประเพณีการปฏิบัติเกี่ยวกับความตายที่โด่งดังในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยเป็นการนำปูนมาหล่อใบหน้าของผู้ตาย เพื่อเก็บสภาพใบหน้าเดิมเอาไว้ เชื่อกันว่าทำไปเพื่อใช้ในการทำสิ่งที่เอาไว้ระบุตัวตนของผู้ตายในกรณีที่ไม่สามารถระบุได้ทันที หรือเพื่อเก็บรูปร่างหน้าตาของผู้ตายเอาไว้เป็นที่จดจำ     นั่นทำให้ในอดีตนั้นมีหน้ากากคนตายโผล่ออกมาให้เราเห็นเป็นจำนวนมาก ในทางหนึ่งก็อาจจะเป็นข้อดีเพราะมันทำให้เราสามารถเห็นใบหน้าจริงๆ ของคนในอดีตได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะมีดูหน้ากากคนตายของคนในอดีตทั้ง 16+1 กัน มาดูกันดีกว่าว่าคนดังเหล่านั้น ในตอนที่เสียชีวิตมีสภาพใบหน้าอย่างไรกัน   Abraham Lincoln เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1865   Ludwig Van Beethoven เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1827   Napoleon Bonaparte เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1821   Dante Alighieri เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 กันยายน 1321 เขาเป็นนักกวีมีชื่อชาวอิตาลี มีงานชิ้นสำคัญคือ “Divina…

  • 15 รูปภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังรอดมาจนถึงปัจจุบัน ภาพถ่ายแรกๆ ของโลกเป็นแบบนี้!!

    15 รูปภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังรอดมาจนถึงปัจจุบัน ภาพถ่ายแรกๆ ของโลกเป็นแบบนี้!!

    แม้ว่าจะมีการคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 11 แต่กว่าที่การถ่ายรูปจะกลายเป็นแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันก็ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ได้ ในช่วงนี่เองที่ความฝันของการถ่ายรูปของหลายๆ คนเป็นจริงขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน การถ่ายภาพ “ครั้งแรก” ของสิ่งต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 15 รูปภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังรอดมาให้ชมกันในปัจจุบัน แถมแต่ละภาพยังเป็นภาพที่เก่าแก่ที่สุดใน หมวดหมู่ของตัวเองอีกด้วย   ภาพที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายรูปซึ่งสามารถพกพาได้ที่เก่าแก่ที่สุด นี่เป็นภาพวิวจากหน้าต่างที่ Bourgogne ประเทศฝรั่งเศส ถ่ายโดย Joseph Nicéphore Niépce เมื่อปี 1826   ภาพที่ถ่ายติดมนุษย์ ที่เก่าแก่ที่สุด ถ่ายโดย Louis Daguerre ในปี 1838 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส   ภาพถ่ายตัวเองภาพที่เก่าแก่ที่สุด เป็นภาพที่ Robert Cornelius ถ่ายตัวเองในปี 1839 ที่ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา   ภาพถ่ายดวงจันทร์ ที่เก่าแก่ที่สุด ถ่ายโดย John William Draper ที่หอดูดาวบนดาดฟ้าในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1840  …

  • 5 สัตว์ร้ายในตำนานในอดีต ที่คนสมัยก่อนหวาดกลัวกันสุดๆ แต่กลับมีที่ไปที่มามากกว่าที่คิด

    5 สัตว์ร้ายในตำนานในอดีต ที่คนสมัยก่อนหวาดกลัวกันสุดๆ แต่กลับมีที่ไปที่มามากกว่าที่คิด

    สัตว์ร้ายในตำนานเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีต บ้างก็เป็นเพียงสัตว์ที่มีรูปร่างน่ากลัวซึ่งแต่งขึ้น บ้างก็เป็นเรื่องราวที่มีต้นตอมาจากความเป็นจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สัตว์ร้ายในตำนานเหล่านี้ก็มีจุดร่วมอยู่ที่การใช้ความกลัวของมนุษย์เพื่อสอนอะไรบางอย่างนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้ #เหมียวศรัทธาจะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 สัตว์ร้ายในตำนานในอดีต ที่คนสมัยก่อนหวาดกลัวกันสุดๆ แต่กลับมีที่ไปที่มามากกว่าที่คิด ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันได้เลยที่ข้างล่างนี้   Wendigo สัตว์ร้ายตัวนี้มาจากความเชื่อของชนเผ่าอินเดียนอเมริกา Algonquin ที่อาศัยอยู่ในแคนาดา โดย Wendigo เชื่อกันว่าเกิดจากคนที่ถูกสิงโดยผีป่า ทำให้มีผิวขาวซีด ร่างกายซูบผอม และดวงตาลึกคล้ายคนอดอาหารจนตาย ก่อนที่จะออกเร่ร่อนกินซากศพมนุษย์ เป็นไปได้ว่า Wendigo นั้นแท้จริงแล้วคือคนที่หลงป่าอดอยากจนเป็นบ้า หรือหิวจนกินคนด้วยกันเอง แต่อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายตัวนี้ก็เป็นที่หวาดกลัวของคนในพื้นที่อยู่ดี   Qalupalik นี่เป็นสัตว์ร้ายของชาวอินูอิตแห่งอาร์กติก เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ใต้ธารน้ำแข็งและหากสบโอกาสจะกระโจนขึ้นมาฉีกร่างของเหยื่อเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็ลากลงธารน้ำแข็งไป ว่ากันว่ามีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่หน้าตาบวมเขียวจากการจมน้ำ เป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นเพื่อเป็นคำสอนไม่ให้เด็กๆ ไปเล่นใกล้ธารน้ำแข็งที่อันตรายนั่นเอง   Minotaur เขาคือชายที่มีหัวเป็นวัวผู้อาศัยอยู่ในเขาวงกตและคอยสังหารเด็กๆ ที่ถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญ ว่ากันว่าเขาเป็นบุตรที่ราชินีแห่งครีตมีร่วมกับวัว และมีชื่อจริงๆ ว่า Asterion และถูกขังอยู่ในเขาวงกตเพราะกษัตริย์มินอสรับไม่ได้กับสิ่งที่ภรรยาทำ อย่างไรก็ตามจากการบอกเล่าของ นักเขียนชีวประวัติชาวกรีกนาม Plutarch เรื่องราวของ Minotaur เกิดจากการที่กษัตริย์มินอสจัดงานเลี้ยงไว้อาลัยให้ลูกชาย โดยมีการแข่งขันที่มีเด็กๆ 14 คนเป็นรางวัล แต่คนที่ชนะดันเป็นนายพลผู้โหดร้ายคนหนึ่งซึ่งทารุณเด็กๆ ที่เขาได้ไปอย่างหนัก คนในสมัยนั้นเลยแต่งเรื่องว่าเขาเป็นปีศาจเสียเลย   Basilisk นี่คือสัตว์ร้ายในตำนานที่ว่ากันว่ามีลมหายใจเป็นพิษ และมีแววตาที่หากจ้องมองจะต้องตายหรือตัวแข็งเป็นหิน ซึ่งนอกจากสองอย่างนี้แล้วลักษณ์ของ Basilisk…

  • พบครกหิน 13,000 ปีที่ใช้ “หมักเบียร์” เชื่อมนุษย์ทำเบียร์เป็นก่อนการเพาะปลูกเสียอีก

    พบครกหิน 13,000 ปีที่ใช้ “หมักเบียร์” เชื่อมนุษย์ทำเบียร์เป็นก่อนการเพาะปลูกเสียอีก

    เมื่อประมาณช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โลกของเราได้พบกับหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ที่เก่าแก่กว่า 2,500 ปีเป็นครั้งแรกจากเทคโนโลยีใหม่ของเหล่านักโบราณคดี (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ พบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ เก่าแก่กว่า 2,500 ปี จากยุคเมโสโปเตเมีย) แต่แล้วเพียงแค่ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น โลกก็ได้พบกับการค้นพบที่สำคัญอีกครั้ง เพราะล่าสุดนี้เองมีการค้นพบครกหินเก่าแก่อายุ 13,000 ปีที่ใช้ในการหมักเบียร์ในอดีตนั่นเอง     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นในถ้ำราคีเฟต ของอิสราเอล โดยร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนครกหินทำให้เราทราบว่า มนุษย์โบราณสามารถหมักเบียร์ได้นานกว่าที่เราเคยคาดไว้เป็นพันปีเลยทีเดียว เพราะหลักฐานในการหมักเบียร์ที่พบนั้น มีอายุมากกว่าหลักฐานการเพาะปลูกที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอายุ 11,000 ปีเสียอีก โดยหากอ้างอิงจากงานวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแห่งสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยไฮฟาของอิสราเอล การหมักเบียร์ในครกหินน่าจะเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์โบราณที่อาศัยอยู่ในช่วงยุคหินเพลิโอะลีธอิคกับยุคนีโอะลีธอิคอย่างชาว “นาทูเฟียน” เผ่าพันธุ์ซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมดิเตอร์เรเนียนนั่นเอง     ชาวนาทูเฟียนเชื่อกันว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมากในสมัยนั้น เผ่าพันธุ์นี้มีเครื่องมือที่ทำจากหินเหล็กไฟ (Flint) กระดูกสัตว์ ถ้วย หรือแม้กระทั่งครกหิน พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์ แถมยังรู้จักเลือกเก็บของป่าที่ใช้ทำเบียร์ได้อีกด้วย เป็นไปได้ว่าการหมักเบียร์นั้นอาจจะเกิดขึ้นเพื่อการถนอมอาหารเฉยๆ หรือทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมต่างๆ โดยการนำธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต พืชตระกูลถั่ว และพืชตระกูลเส้นใย มาตำและหมักในครกหินนั่นเอง     และด้วยความที่หลักฐานการมีอยู่ของเบียร์มีมาก่อนการเพาะปลูกนี้เอง ทำให้มีทฤษฎีที่ว่าเหตุผลที่มนุษย์เริ่มเพาะปลูก อาจจะมาจากความต้องการธัญพืชเพื่อนำไปหมักเบียร์ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คงต้องบอกว่าที่เรามีการเกษตรแบบทุกวันนี้ได้…

  • สกาฮะ ยอดนักรบหญิง ครูของฮีโร่ เทพผู้ทดสอบมนุษย์ และเมอร์ลินแห่งตำนานไอริช

    สกาฮะ ยอดนักรบหญิง ครูของฮีโร่ เทพผู้ทดสอบมนุษย์ และเมอร์ลินแห่งตำนานไอริช

    สกาฮะ (Scathach Scáthach หรือ Sgathach)  เป็นหนึ่งในตัวละครของ Ulster Cycle ตำนานโบราณของชาวไอริช เธอได้รับการบรรยายไว้ว่าเป็นสุดยอดนักรบหญิง และอาจารย์ของยอดนักรบ     ชื่อของสกาฮะแปลว่า “เงา” ในภาษาเกลิคภาษาเซลท์สาขาหนึ่ง และเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ที่เกาะ Skye และเปิดสอนวิชาต่อสู้อยู่ที่นั่น เดิมทีแล้วเรื่องราวของสกาฮะ ไม่ได้มีการบันทึกและมักมาจากการเล่าปากต่อปากเท่านั้นจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 14 จึงเริ่มมีการบันทึกเรื่องราวของเธอเป็นลายลักษณ์อักษร   ภาพซากของปราสาท Dunscaith บนเกาะ Skye ที่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ฝึกสอนของสกาฮะ   ว่ากันว่ามีคนมากมายที่ตามหาสกาฮะเพื่อให้เธอสอนวิชาต่อสู้ให้ แต่น้อยคนนักที่จะได้พบตัวเธอจริงๆ และจำนวนคนที่สำเร็จวิชาของเธอก็เรียกว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ถึงขั้นที่มีความคิดที่ว่าการไปฝึกกับเธอนั้นไม่ต่างอะไรกับการเดินไปหาความตายเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงหลักๆ ของเธอมาจากการฝึกยอดนักรบในเรื่องราวอื่นๆ ของ Ulster Cycle โดยคนที่เป็นที่รู้จักที่สุดที่เป็นลูกศิษย์ของเธอก็ได้แก่ คู ฮูลินน์ (Cú Chulainn) บุตรของเทพแห่งแสงสว่าง ผู้ซึ่งถูกส่งมาตามหาเธอตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อของหญิงสาวที่เขารัก (ที่ไม่อยากยกลูกสาวให้เขาก็เลยส่งเด็กหนุ่มไปตาย) นั่นเอง     ผู้ที่ผ่านการฝึกของเธอได้มักจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ตอบแทน อย่างในกรณีของคู ฮูลินน์เอง เขาก็ได้รับหอก Gáe Bulg ที่ถูกบรรยายไว้ว่า “หอกเจ็ดปลายที่แต่ละปลายมีหนามเจ็ดอัน เมื่อแทงเข้าไปในร่างศัตรูจะทำให้หนามพุ่งแทงออกมาจากภายใน”…

  • พบ “รูปวาด” รูปแรกของมนุษย์เก่าแก่ 73,000 ปี เป็นเครื่องหมายคล้าย “แฮชแท็ก”

    พบ “รูปวาด” รูปแรกของมนุษย์เก่าแก่ 73,000 ปี เป็นเครื่องหมายคล้าย “แฮชแท็ก”

    เมื่อพูดถึงภาพวาดจากสมัยโบราณไม่ว่าใครก็คงนึกถึงภาพวาดการล่าสัตว์บนผนังถ้ำขึ้นมาเป็นอย่างแรก แต่จากการค้นพบในถ้ำโบราณในแอฟริกาใต้ ดูเหมือนว่ารูปวาดรูปแรกของมนุษย์ที่เคยมีการค้นพบ จะเป็นรูปของอะไรที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด     นี่คือเศษหินขนาดราวๆ 3.8 เซนติเมตร ที่มีร่องรอยของการใช้สีแดงวาดลวดลายที่ใกล้เคียงกับ “เครื่องหมายแฮชแท็ก” และมีอายุเก่าแก่ถึง 73,000 ปี ซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเคยมีการก่อนหน้าถึง 43,000 ปีเลยทีเดียว เศษหินชิ้นนี้ ถูกพบในถ้ำ Blombos ซึ่งเป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงเรื่องโบราณวัตถุจากยุคหินกลาง และอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกของเคปทาวน์ประมาณ 300 กิโลเมตร   ภาพถ่ายพาโนรามาของถ้ำ Blombos สถานที่ที่มีการพบรูปวาดในครั้งนี้   เส้นสีแดงบนหิน เชื่อกันว่าเป็นการวาดลงไปอย่างจงใจของมนุษย์เผ่าพันธุ์โฮโมเซเปียน เพราะแม้จะดูเป็นภาพที่ไม่มีความหมาย แต่ลวดลายในลักษณะนี้ก็เคยมีการพบมาก่อนอยู่บ่อยครั้งในถ้ำโบราณอื่นๆ ใน แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส   หินที่มีการสลักลวดลายที่ “ใกล้เคียง” กับรูปวาดที่พบ   นอกจากนี้การที่ลายเส้นขาดหายไปจากเศษหินทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วหินที่มีการวาดภาพลงไปนั้นเดิมทีอาจจะมีขนาดใหญ่กว่านี้ ทำให้นักโบราณคดีกำลังพยายามตามหาชิ้นส่วนอื่นๆ อยู่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการค้นพบอะไรเพิ่มเติมในปัจจุบัน     แต่แม้ว่าการค้นพบรูปวาดในครั้งนี้จะเป็นการ “วาดภาพ” ที่เก่าแก่ที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่ “งานศิลปะ” ที่เก่าแก่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะจากหลักฐานในอดีต โฮโม อิเรคตัส เองก็เคยสลักเส้นซิกแซ็กลงบนเปลือกหอยมาก่อนเมื่อ 540,000…

  • 21 ภาพเหตุการณ์สุดทรงพลังในอดีต ที่ติดในความทรงจำผู้คนจนเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ

    21 ภาพเหตุการณ์สุดทรงพลังในอดีต ที่ติดในความทรงจำผู้คนจนเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ

    ตั้งแต่ที่มนุษย์เราคิดค้นการถ่ายรูปได้ รูปภาพก็กลายเป็นเครื่องมือที่เราใช้เปลี่ยนแปลงโลกเสมอมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีรูปภาพมากมายที่สามารถทะลวงเข้าไปยังความรู้สึกของคนเราได้ แม้ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่อยู่เบื้องหลังเลยด้วยซ้ำ เหมือนอย่างภาพสุดทรงพลังทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้ ที่เสียดแทงรุนแรงเสียจนเข้าไปติดในความทรงจำของผู้คน และเปลี่ยนแปลงโลกไปทั้งใบ   สมาชิกในครอบครัวส่งตัวเด็กผู้ลี้ภัยผ่านรั้วลวดหนามไปให้ปู่ย่าตายายที่ค่ายแอลเบเนีย มีนาคม 1999   รอยขีดข่วนด้วยเล็บมือของผู้ต้องขังในค่ายกักกันเอาช์วิทซ์   ฝูงชนชุมนุมกันที่กำแพงเบอร์ลิน พฤศจิกายน 1989   ครอบครัวโอบกอดกันหลังเหตุการณ์พายุทอร์นาโดในรัฐอลาบามา มีนาคม 2012   พระรูปหนึ่งเผาตัวเองเพื่อประท้วงต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ มิถุนายน 1963   ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ฟังข่าวตึกเวิลด์เทรด ระหว่างไปเยี่ยมห้องเรียนในฟลอริด้า   นักกีฬาเหรียญทอง Tommie Smith และเหรียญทองแดง John Carlos ชูมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์พลังของคนผิวสี เม็กซิโก 1968   Bill Iffrig นักวิ่งวัย 78 ปี นอนอยู่กับพื้นในระหว่างเหตุระเบิดในบอสตันมาราธอนปี 2013   รัฐบาลโบลิเวียถ่ายภาพกับศพของ เช เกบารา (เช กูวารา) 1967   ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมจับมือกัน ระหว่างการจลาจลในกรุงไคโร มกราคม…

  • 13 ภาพหลังความตายของผู้นำนาซี “อาชญากรสงคราม” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    13 ภาพหลังความตายของผู้นำนาซี “อาชญากรสงคราม” แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เหล่าผู้นำนาซีทั้งหลายจะถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรสงครามและต้องรับโทษที่รุนแรงถึงชีวิต และนั่นทำให้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1946 มีผู้นำนาซีถึง 13 คนที่ต้องถึงแก่ความตายไปด้วยวิธีต่างๆ ว่าแต่พวกเขาเป็นใครบ้าง และมีสภาพเช่นไรหลังจากความตาย เราจะได้ทราบกันในวันนี้ เพราะนี่คือ ภาพหลังความตายของผู้นำนาซีทั้ง 13 คน มาดูกันดีกว่าคน อาชญากรแห่งสงครามโลกครั้งที่สองนั้น สุดท้ายแล้วมีจุดจบอย่างไรกัน   คำเตือน ภาพต่อไปนี้มีอาจมีเนื้อหาที่รุนแรงโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งนาซีเยอรมัน ฆ่าตัวตายด้วยปืน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 1945 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตามภาพนี้เป็นภาพที่มีการถกเถียงกันอยู่ว่าไม่ใช่ของจริง เนื่องจากฮิตเลอร์เคยสั่งเสียไว้ว่าให้เผาศพของเขาหลังจากที่เขาฆ่าตัวตาย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าคนในภาพจะเป็นเพียง Gustav Weler ชายผู้เป็น Body Double ของฮิตเลอร์เท่านั้น   Anton Dostler นายพลผู้สั่งการทหารราบเยอรมัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1945 จากการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ในเมือง Aversa ประเทศอิตาลี   Wilhelm Keitel จอมพลเยอรมันผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ ถูกประหารชีวิตที่นูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี…

  • 19 ภาพ “ดิสนีย์แลนด์” ในวันที่เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก ก่อนเป็นสวนสนุกที่ใครๆ ก็รู้จัก

    19 ภาพ “ดิสนีย์แลนด์” ในวันที่เปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรก ก่อนเป็นสวนสนุกที่ใครๆ ก็รู้จัก

    17 กรกฎาคม 1955 นี่เป็นวันที่ประตูสู่ดินแดนแห่งความหรรษาแห่งดิสนีย์แลนด์เปิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ก่อสร้างมาเป็นเวลาหนึ่งปี มันเป็นเหตุการณ์ที่คนในสมัยนั้นรอคอยกันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าจากบัตรเชิญที่ส่งให้แขกเพียง 6,000 ใบกลับมีแขกเข้ามาในวันนั้น (ด้วยตั๋วปลอม) ถึง 30,000 รายเลยทีเดียว ว่าแต่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในวันนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา ได้รวบรวมภาพมาให้ชมกันแล้วที่ข้างล่างนี้   เหล่าแขกจำนวนมากที่บางส่วนเข้าร่วมงานเปิดด้วย “บัตรปลอม”   Mickey กับ Minnie ในสมัยก่อนโน้น   คุณวอล์ท ดิสนีย์ กับ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียบนรถจักรไอน้ำ   เรือพลังไอน้ำ “Mark Twain” (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Riverboat)   ขบวนพาเหรดในวันเปิด   คนเยอะขนาดไหนดูลานจอดรถได้   ปราสาทของเจ้าหญิงนิทรา   เจ้าช้างดัมโบ้กับอลิซ (จากอลิซในดินแดนมหัศจรรย์) ในขบวนพาเหรด   Irene Dunne ดาราในสมัยนั้นบนเรือไอน้ำ   พิธีเปิดดิสนีย์แลนด์   ถนนสายหลักในดิสนีย์แลนด์   วอล์ท ดิสนีย์ขับเรือ Mark Twain…

  • นักวิทย์ฯ คาด “นกยักษ์โบราณ” อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์มานานกว่าที่คิดและสูญพันธุ์เพราะโดนล่า

    นักวิทย์ฯ คาด “นกยักษ์โบราณ” อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์มานานกว่าที่คิดและสูญพันธุ์เพราะโดนล่า

    อย่างที่เราทราบกันดีว่า ตั้งแต่อดีตมีสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะสัตว์ที่เคยปกครองโลกอย่างไดโนเสาร์ หรือเจ้าช้างมีขนอย่างแมมมอธ และล่าสุดนี้เองนักวิทยาศาสตร์ก็พบกับความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจากการศึกษาฟอสซิลนกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือนกชนิดนี้อาจจะสูญพันธุ์ไปด้วยน้ำมือมนุษย์เราเอง     นกจำพวกนี้มีชื่อเรียกว่า “นกช้าง” โดยฟอสซิลที่ถูกค้นพบนั้นเป็นของสายพันธุ์ Aepyornis และ Mullerornis ถูกพบที่บึงในมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของแอฟริกา มันเป็นนกที่เชื่อกันว่ามีส่วนสูงมากถึง 3 เมตร และหนักราวๆ ครึ่งตัน และจากการวิเคราะห์เรดิโอคาร์บอนของฟอสซิลที่พบ เจ้านกช้างน่าจะมีชีวิตอยู่ที่มาดากัสการ์มาอย่างน้อยๆ ตั้งแต่เมื่อ 10,500 ปีก่อน     อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการค้นพบฟอสซิลในครั้งนี้ อยู่ที่ร่องรอยการตัดและสับกระดูกต่างหาก เพราะร่องรอยเหล่านี้บอกให้เราทราบว่า มนุษย์ในสมัยโบราณมีการออกล่านกชนิดนี้เพื่อเป็นอาหารนั่นเอง   บนฟอสซิลที่พบมีร่องรอยการถูกสับและตัด ด้วยเครื่องมือที่มีความคม และขนาดใหญ่   การค้นพบที่ว่าทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานที่ว่านกช้างนั้นอาจจะสูญพันธุ์ด้วยน้ำมือมนุษย์ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเรื่องในครั้งนี้ยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะฟันธงแต่อย่างใด เรื่องเดียวที่นักวิทยาศาสตร์สามารถฟันธงได้คือมนุษย์เราอยู่กับนกชนิดนี้มานานกว่าที่คิด เพราะการที่มีรอยตัดอยู่บนกระดูกที่พบ ก็ทำให้เราทราบได้ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในมาดากัสการ์มาอย่างน้อยๆ 10,500 ปีแล้ว ซึ่งผิดไปจากหลักฐานก่อนๆ ที่เคยบอกว่ามนุษย์น่าจะมาถึงมาดากัสการ์เมื่อประมาณ 2,400-4,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง   รอยตัดบนฟอสซิลที่พบ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากการตัดนิ้วเท้าของนกช้างออก   นั่นหมายความว่ามนุษย์เราอยู่กับนกช้างมานานกว่า 9,000 ปีเลยทีเดียว เพราะเจ้านกสายพันธุ์นี้เพิ่งจะสูญพันธุ์ไปในช่วงเวลาไม่ถึง…

  • หลุมศพอายุกว่า 3,400 ปี จากยุคกรีกโบราณ ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะชาวนาจะจอดรถ

    หลุมศพอายุกว่า 3,400 ปี จากยุคกรีกโบราณ ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะชาวนาจะจอดรถ

    บางครั้งการค้นพบอันยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าเชื่อได้เหมือนกัน เคยลองคิดเล่นๆ กันไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากจู่ๆ วันหนึ่งคุณก็พบกับหลุมศพเก่าแก่อายุกว่า 3,400 ปีอยู่ที่บ้านของคุณ     นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชาวนาคนหนึ่งในเมือง Ierapetra บนเกาะครีต ประเทศกรีซ เพราะระหว่างที่เขากำลังพยายามจอดรถใต้ต้นมะกอก จู่ๆ พื้นดินรอบๆ ก็ยุบตัวลง เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่ที่มีหลุมศพเก่าแก่ฝังอยู่ เขารีบติดต่อไปยังศูนย์มรดกทางวัฒนธรรมทันทีหลังจากนั้น และเหล่านักโบราณคดีก็ได้เข้ามาในพื้นที่เพื่อสืบหาที่ไปที่มาของสิ่งที่ชายชาวนาพบ     มันเป็นหลุมศพที่มีโลงหินเก่าแก่บรรจุอยู่ 2 โลง นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณ เช่นเหยือกแบบกรีกโบราณที่เรียกกันว่า “Amphorae” และถ้วยชามอีกเป็นจำนวนมาก Argyris Pantazis รองนายกเทศมนตรีชุมชนท้องถิ่น บอกว่าการที่หลุมศพอันดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์เช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ดีต่อนักโบราณคดีในประเทศ เพราะการพบหลุมศพที่ไม่เคยถูกขโมยเข้ามาลับลอบขุดเลย จะทำให้พวกเขาสามารถเก็บข้อมูลของคนในสมัยก่อนได้อย่างเต็มที่     หลุมศพที่พบนั้นเชื่อกันว่ามากจากปลายยุค Minoan III A (ช่วง 1400-1200 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นช่วงที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่มากนัก (สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดจากยุคนี้ได้แก่ ตำนานคลาสสิกอย่าง “ธีเซียสกับมิโนทอร์”) นั่นทำให้การค้นพบในครั้งนี้เชื่อกันว่าจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจอารยธรรมไมนอสได้มากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเองนักโบราณคดีก็ได้เริ่มทำการตรวจสอบโลงหินที่พบอย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคนี้ในอนาคตอันใกล้     ที่มา allthatsinteresting

  • เปิดตำนาน “สงครามครูเสด” สงครามระหว่างศาสนาที่รุนแรงที่สุด ที่กินเวลาหลายร้อยปี

    เปิดตำนาน “สงครามครูเสด” สงครามระหว่างศาสนาที่รุนแรงที่สุด ที่กินเวลาหลายร้อยปี

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับสงครามครูเสดกันมาบ้าง หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะเคยได้ยินคำว่า “ครูเสดเดอร์” มาก่อน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้า “ครูเสด” ที่ว่านี้มันมีที่มาอย่างไรกันแน่ วันนี้ #เหมียวศรัทธา จะมาเล่าเรื่องของสงครามครูเสดให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน     ครูเสดคืออะไร ครูเสด หรือ สงครามครูเสด แปลว่า “สงครามไม้กางเขน” เดิมทีแล้วหมายถึงสงครามระหว่างศาสนาเฉยๆ แต่จากความโด่งดังของสงครามทางศาสนาในศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งว่ากันว่าเป็นสงครามระหว่างศาสนาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่สุดในโลกคำว่า สงครามครูเสด จึงมักหมายถึงสงครามระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ในครั้งนั้นไปนั่นเอง   สงครามครูเสดเกิดขึ้นได้อย่างไร ว่ากันว่าสงครามครูเสดเกิดขึ้นจากการแย่งชิงอำนาจทางศาสนา และนั่นทำให้คริสตจักรพยายามเป็นอย่างมากที่จะ “ทวงคืน” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่าง “เยรูซาเลม” มาให้แก่ชาวคริสต์ ปัญหาคือเยรูซาเลมนั่นอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมทำให้เกิดเป็นสงครามขึ้นนั่นเอง     สงครามครูเสดเกิดขึ้นกี่ครั้ง จำนวนครั้งของสงครามครูเสดนั้นจะต่างกันออกไปตามแต่บันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่ก็มีครั้งหลักๆ ที่ถูกบันทึกได้แก่ สงครามครูเสดครั้งแรก เมื่อปี 1096-1099 นี่เป็นสงครามที่มีกษัตริย์และประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพระสันตะปาปาได้ออกมาบอกว่าคนที่เข้าร่วมสงครามจะได้รับการล้างบาปนั่นเอง โดยสงครามครูเสดในครั้งนี้ ว่ากันว่าเป็นสงครามที่ฝั่งชาวคริสต์ประสบความสําเร็จมากที่สุด     สงครามครูเสดครั้งที่ 2 เมื่อปี  1147-1149 นำโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 7…

  • 17 ภาพ “วายร้าย” ของโลก กับช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขา ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    17 ภาพ “วายร้าย” ของโลก กับช่วงเวลาแห่งความสุขของพวกเขา ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น

    มนุษย์เรานั้นไม่ว่าใครก็ต้องมีเวลาสนุกๆ เป็นของตัวเองกันบ้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน เรื่องนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกๆ คน ถึงอย่างนั้นคนเราก็มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่ามีความสุขแบบสุดๆ คนเหล่านั้นมักจะมีจุดรวมกันอยู่ที่การถูกโลก “ตราหน้า” ว่าเป็น “วายร้าย” นั่นเอง เพราะในหลายๆ ครั้งพวกเรามักจะคิดว่า คนที่สังหารคนเป็นผักปลาแบบนี้ ไม่ควรจะมีเวลาดีๆ กับเขาหรอก ถึงอย่างนั้นต่อให้คนเหล่านี้เป็นวายร้ายมาจากไหน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นคนคนหนึ่งอยู่ดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาจะมีเวลาดีๆ กันบ้าง เหมือนอย่างในภาพต่อไปนี้   พล พตนั่งดื่มชาใน “ทุ่งสังหาร” ที่ประเทศกัมพูชา   ทีมเบสบอลของ KKK   อีดี อามินหนึ่งในจอมเผด็จการผู้ชั่วร้ายของโลก นั่งกินแซนด์วิช ข้างสระน้ำ   ฮิตเลอร์นั่งชมวิวข้างทะเลสาบ   ฮิตเลอร์กับการทำท่าทาง “หยุดเลยนะตัวเอง~”   โจเซฟ สตาลินทำท่าทางด้วยมือ   เหล่านาซีในวันคริสต์มาสกับฮิตเลอร์   โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์มือซ้ายของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในงานแต่งงาน   ฮิตเลอร์ กับการชมโมเดลรถโฟล์คสวาเก้น   อุซามะห์ บินลาดิน ตอนอายุ…

  • 16 ภาพสหภาพโซเวียดตอนกำลังจะล่มสลาย ช่วงปลายของยุคที่ย้อมไปด้วยความขัดแย้ง

    16 ภาพสหภาพโซเวียดตอนกำลังจะล่มสลาย ช่วงปลายของยุคที่ย้อมไปด้วยความขัดแย้ง

    เป็นที่ทราบกันว่าสหภาพโซเวียดล่มสลายไปในปี 1991 ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งภายใน นั้นทำให้ช่วงปลายของยุคสมัยของโซเวียดถูกย้อมไปด้วยภาพลักษณ์ของความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้เองในวันนี้เราจะมาชม 16 ภาพของประเทศในสหภาพโซเวียดช่วงล่มสลาย ไปดูกันดีกว่าว่าภาพที่มาจากในสมัยนั้น จะเป็นภาพแบบไหนกัน   นี่คือภาพการเฉลิมฉลองการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในกรุงมอสโก สิงหาคม 1991   ผู้ประท้วงในเมืองดูชานเบ ประเทศทาจิกิสถาน กุมภาพันธ์ 1990   กำแพงที่กั้นระหว่างประเทศลัตเวียและสหภาพโซเวียด   ประติมากรรมรถถังของสาธารณรัฐเช็กถูกย้อมเป็นสีชมพู เพื่อประท้วงต่อสหภาพโซเวียต   การปฏิวัติของประเทศโรมาเนียเมื่อปี 1989   ผู้สนับสนุนรัฐบาลถูกสังหารในโรมาเนีย  1989   การปฏิวัติแบบไม่ใช้ความรุนแรงในเมืองปราก ประเทศเชโกสโลวาเกีย 1989   รูปปั้นส่วนศีรษะของโจเซฟ สตาลินหลังถูกตัดออกจากตัวในฮังการี   การประท้วงในเมือง Tartu ประเทศเอสโตเนีย เมื่อปี 1987   เหยื่อทั้ง 21 รายจากการที่ทหารรัสเซียยิงสังหารผู้ประท้วงชาวจอร์เจีย เมื่อวันที่ 9 เมษายน 1989   การเดินสวนสนามของทหารรัสเซียในปี 1987   ภาพเด็กนักเรียนในกรุงมอสโก ที่มีรูปวลาดีมีร์ เลนินเป็นฉากหลัง 25 พฤษภาคม 1981   รถถังบนสะพาน Bolshoy…

  • แพทย์สหรัฐฯ เชื่อ ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของ “โมนาลิซ่า” น่าจะมาจากโรคไทรอยด์!!

    แพทย์สหรัฐฯ เชื่อ ลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของ “โมนาลิซ่า” น่าจะมาจากโรคไทรอยด์!!

    เชื่อว่าทุกๆ คนคงจะเคยได้ยินชื่อภาพวาดอันโด่งดังของเลโอนาร์โด ดา วินชีที่มีชื่อว่า “โมนาลิซา” กันมาบ้าง นี่เป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของหลายๆ คนด้วยความลึกลับและรอยยิ้มนิดๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ จนมีทฤษฎีเกี่ยวกับเบื้องหลังของผลงานชิ้นนี้ออกมาเต็มไปหมด     และล่าสุดนี้เองในวารสารที่ตีพิมพ์โดย Mayo Clinic ก็มีการผู้ถึงความเป็นไปได้ที่น่าสนใจของ Lisa Gherardini นางแบบของรูปภาพโมนาลิซา ว่าเธอนั้นอาจจะมีอาการของโรคพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะมีต่อมไทรอยด์ที่อ่อนแอ นี่เป็นทฤษฎีของ Dr. Mandeep Mehra ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของศูนย์หลอดเลือดและหัวใจในบริกแฮมและโรงพยาบาลหญิงในบอสตัน ที่คิดค้นมาร่วมกับเพื่อนของเขา Hilary Campbell ผู้ช่วยผู้บริหารระดับสูงจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เชื่อกันว่าการที่เลโอนาร์โด ดา วินชีวาดภาพโมนาลิซานั้นมาจากการที่พ่อค้าชาวอิตาลีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งขอให้เขาวาดภาพภรรยาให้หลังจากที่เธอคลอดลูกไปสองคนนั่นเอง     เดิมทีแล้วในปี 2004 เธอเคยถูกมองว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูง จากรายละเอียดของภาพวาดวาด เช่นผิวหนัง และอาการบวมที่มือของเธอ อย่างไรก็ตามจากการที่เธออายุยืนถึง 63 ปี Mandeep และ Hilary จึงมองว่าทฤษฎีในปี 2004 มีช่องโหว่อยู่ เพราะคนที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงในสมัยนั้นไม่น่าจะอายุยืนนัก ดังนั้นพวกเขาจึงบอกว่าอาการของ Lisa Gherardini น่าจะมาจากการที่ต่อมไทรอยด์ผลิตไทรอยด์ฮอร์โมนไม่เพียงพอมากกว่า อาการเหล่านี้จะส่งผลต่อการเผาผลาญในร่างกาย และสามารถทำให้ผิวเหลือง คอพอก หรือต่อมไทรอยด์บวมได้ ซึ่งตรงกับลักษณะของโมนาลิซาทุกประการ     นอกจากนี้อาการพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนยังสามารถเกิดได้จากการตั้งครรภ์ซึ่งก็ตรงกับประวัติของ Lisa…

  • Rosalia Lombardo มัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ถึงขั้นที่มีข่าวลือว่าเธอ “ลืมตาได้เอง”

    Rosalia Lombardo มัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ถึงขั้นที่มีข่าวลือว่าเธอ “ลืมตาได้เอง”

    ลึกลงไปในสุสานที่ซิซิลีหนึ่งในแคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี ยังมีร่างของเด็กสาวในโลงศพเปิด ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดบวมเมื่อปี 1920 เธอคือ Rosalia Lombardo มัมมี่ที่ได้ชื่อว่าเก็บรักษาไว้ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่งดงามที่สุดในเวลาเดียวกัน     นี่เป็นผลงานจากผู้เป็นบิดาของเธอ ที่ทำใจกับการจากไปของลูกไม่ได้ และ Alfredo Salafia ชายผู้ลงมือทำเด็กน้อยเป็นมัมมี่อย่างประณีตถึงขนาดที่อวัยวะภายในของเธอยังอยู่ครบทุกอย่าง แม้ผ่านมานานเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม     จริงอยู่ว่า Rosalia Lombardo เป็นมัมมี่ที่งดงามที่สุดร่างหนึ่ง เธอยังคงมีผิวที่นุ่ม ทรงผมของเธอยังคงงดงาม ราวกับเป็นเพียงเด็กหญิงที่หลับไปเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของเธอนั้น มาจากข่าวลือที่ว่าเธอนั้น “ลืมตาได้” ต่างหาก   นี่คือภาพที่ถ่ายในเวลาที่ต่างกันภาพละ 2 ชั่วโมง   นี่กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังขึ้นมาในโลกอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2009 ซึ่งแม้ว่าจะกินเวลาราวๆ 6 ชั่วโมง แต่จากในภาพเราก็จะเห็นได้ว่ามัมมี่ของ Rosalia Lombardo นั้นเหมือนว่าจะลืมตาได้จริงๆ ด้วย!! มาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มคิดว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นภาพตัดต่อขึ้นมาแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าภาพที่เห็นไม่ใช่การตัดต่อแต่อย่างใด… ถึงแม้ว่ามัมมี่ของ Rosalia Lombardo จะไม่ได้ลืมตาขึ้นจริงๆ เช่นกันก็เถอะ     เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นได้รับการอธิบายจากนักมานุษยชีววิทยาชาวอิตาลี…

  • พบเหรียญโรมันเก่าแก่ประเมินค่าไม่ได้ ระหว่างรื้อถอนโรงหนัง เชื่อมาจากศตวรรษที่ห้า

    พบเหรียญโรมันเก่าแก่ประเมินค่าไม่ได้ ระหว่างรื้อถอนโรงหนัง เชื่อมาจากศตวรรษที่ห้า

    จะเกิดอะไรขึ้นหากการทุบทำลายสิ่งก่อสร้างกลายเป็นการค้นพบสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้แทน นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในระหว่างการทุบทำลายโรงหนัง Cressoni ในเมือง Como ประเทศอิตาลีเมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา โดยในระหว่างการดำเนินการ เหล่าคนงานก็ได้พบกับเหรียญทองจากสมัยโรมันจำนวนมากซึ่งถูกเก็บไว้ในไห (บางสื่อบอกว่าจริงๆ มันคือ Amphora ภาชนะชนิดหนึ่งของโรมันโบราณ) และฝังเอาไว้ใต้โรงหนังอีกที     โรงหนัง Cressoni ซึ่งเป็นสถานที่พบเหรียญนั้น เดิมทีแล้วเป็นโรงละครที่เปิดให้บริการในปี 1870 ก่อนที่จะถูกดัดแปลงเป็นโรงภาพยนตร์ และปิดตัวลงในปี 1997 อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าเหรียญที่พบนั้นน่าจะมีความเก่าแก่กว่านั้นมาก โดยมีความเป็นไปได้ที่เหรียญเหล่านี้จะมาจากช่วงศตวรรษที่ห้าเลยทีเดียว โดยคุณ Luca Rinaldi นักโบราณคดีท้องถิ่นบอกว่า “เราไม่อาจบอกมูลค่าของเหรียญเหล่านี้ได้ เนื่องจากนี่ไม่ใช่สินค้าที่จะเอาไปขายได้ตามปกติ แต่การค้นพบที่หายากแบบนี้ย่อมทำให้มันมีมูลค่าที่ประเมินไม่ได้เลยทีเดียว     จากการรายงานของสื่อในประเทศอิตาลี มีความเป็นไปได้ว่าเหรียญที่พบนั้น อาจมีมูลค่าหลายล้านยูโรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามนี่เหรียญเหล่านี้จะไม่ได้ถูกนำไปประมูลขาย แต่จะถูกนำไปตรวจสอบอายุที่แน่นอนโดยทางนักวิทยาศาสตร์ก่อนที่จะนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และด้วยสภาพที่ดีมากๆ ของเหรียญที่พบ คุณ Luca ก็เชื่อว่าการตรวจสอบน่าจะเสร็จสิ้นลงในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน     ในปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ได้วางแผนที่จะหยุดการรื้อถอนโรงหนัง Cressoni เอาไว้ก่อน เพื่อให้นักโบราณคดีสามารถขุดค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ…

  • นักวิทย์ถอดรหัส “จดหมายซาตาน” เขียนโดยแม่ชีผู้โดนสิง เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน

    นักวิทย์ถอดรหัส “จดหมายซาตาน” เขียนโดยแม่ชีผู้โดนสิง เมื่อราวๆ 300 ปีก่อน

    เมื่อราวๆ 300 กว่าปีก่อน โลกได้พบกับจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนโดยแม่ชีผู้อาศัยในซิซิลี หนึ่งในห้าแคว้นปกครองตนเองของประเทศอิตาลี หญิงสาวผู้อ้างว่าตนถูกสิงสู่โดยซาตาน และกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมาอย่างยาวนาน มันเป็นจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1676 โดยแม่ชีวัย 31 ปีนาม Maria Crocifissa della Concezione โดยจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ในสมัยนั้น Maria ถูกพบในห้องของเธอในสภาพใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำหมึก และมือข้างหนึ่งถือจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรประหลาดเอาไว้   จดหมายที่อ้างว่าเป็นของแม่ชี Maria เปิดเผยโดยผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Ludum   นี่คือจดหมาย 14 บรรทัด ที่เขียนด้วยตัวอักษรประหลาดและไม่น่าจะอ่านได้ที่แม่ชี Maria ถือไว้ มันได้สร้างความปวดหัวให้กับผู้ที่พยายามถอดรหัสมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ Ludum ในซิซิลี ก็สามารถ “ถอดรหัส” จดหมายฉบับนี้ได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือจากโปรแกรมถอดรหัสนั่นเอง   ภาพของแม่ชี Maria Crocifissa della Concezione   แม้ว่าข้อความส่วนใหญ่ในจดหมายนี้จะไม่สามารถปะติดปะต่อออกมาได้ แต่อย่างน้อยๆ ในจดหมายก็มีการกล่าวถึง พระตรีเอกภาพว่าเป็น “ภาระไร้ค่า” และ “พระเจ้าคิดว่ามันสามารถปลดปล่อยมนุษย์ได้… ระบบมันไม่ทำงานให้ใครหรอก… บางทีตอนนี้…

  • 23 ภาพของโลกในปี 1945-1947 กับช่วงเวลาที่โลกกำลังรักษาบาดแผลจากสงคราม

    23 ภาพของโลกในปี 1945-1947 กับช่วงเวลาที่โลกกำลังรักษาบาดแผลจากสงคราม

    ปลายปี 1945 ไปจนถึงต้นปี 1947 เป็นช่วงเวลาที่แปลกสำหรับโลกใบนี้ มันเป็นเวลาที่หลายๆ ประเทศในโลกกำลังรักษาบาดแผลจากสงคราม และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่โลกแทบจะไร้ความขัดแย้งใหญ่ๆ ก่อนที่จะถึงสงครามเย็น นี่เป็นช่วงเวลาสองปีที่โลกเก็บกวาดความเสียหายจากสงครามที่ว่ากันว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยประสบมา ถึงอย่างนั้นภาพในช่วงเวลาสองปีนี้ก็เป็นอะไรที่มีเสน่ห์มากมายเช่นกัน   เริ่มกันด้วยภาพการผูกนายพลนาซี Anton Dostler กับเสา ก่อนการประหารด้วยการยิงเป้า 1 ธันวาคม 1945   ทหารโซเวียตชี้ธงนาซีลงพื้นในขบวนแห่วันแห่งชัยชนะ มอสโก 24 มิถุนายน 1945   อดีตนักโทษที่ผอมแห้ง แต่ก็ยินดีที่ได้รับการปล่อยตัวจากเงื้อมมือของทหารญี่ปุ่น 11 กันยายน 1945   การกลับมาของทหารโซเวียตหลังชนะสงครามที่สถานีรถไฟในกรุงมอสโก 1945   ชายชาวญี่ปุ่นท่ามกลางซากปรักหักพัง ที่เคยเป็นบ้านของเขาในเมืองโยโกฮามาประเทศญี่ปุ่น   ภาพภายในศาลตัดสินโทษผู้นำของนาซีในปี 1946   หนึ่งในเครื่องบินรุ่นทดลองของเยอรมันที่ถูกนำไปจัดแสดงในกรุงลอนดอน 14 กันยายน 1945   นักโทษเยอรมันดูแลหลุมศพของทหารสหรัฐอเมริกาใกล้ๆ โอมาฮา สถานที่แห่งความหลังจากเหตุการณ์ D-Day 28 พฤษภาคม 1945   Jinpe…

  • 19+1 รูปถ่ายเหล่าหญิงสาวในอดีต ผู้พร้อมจะฉีกกฎเกณฑ์ความไม่เท่าเทียมของสังคม

    19+1 รูปถ่ายเหล่าหญิงสาวในอดีต ผู้พร้อมจะฉีกกฎเกณฑ์ความไม่เท่าเทียมของสังคม

    เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในอดีตโลกของเรานั้นมีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูงมาก ในหลายๆ ยุคสมัยเพศหญิงมักจะถูกมองว่าด้อยกว่าผู้ชายอยู่เสมอๆ นั่นทำให้รูปถ่ายมีชื่อเสียงของโลกมักจะเป็นภาพของผู้ชายอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะแม้แต่ในสมัยก่อนเอง โลกใบนี้ก็มีหญิงสาวสุดแกร่งที่พร้อมจะฉีกกฎเกณฑ์แห่งความไม่เท่าเทียมที่มองไม่เห็นของสังคมอยู่เช่นกัน เหมือนกับผู้หญิงในภาพต่อไปนี้   Annie Lumpkins หญิงสาวผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการลงคะแนนเสียง กับการลงคะแนนเสียงจากในเรือนจำ 10 กรกฎาคม 1961   พยาบาลสาวชาวอเมริกันในนอร์มังดี ในปี 1944 หลัง D-day ไม่นาน   Erika เด็กสาวชาวฮังการีอายุ 15 ปี ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากสหภาพโซเวียต 1956   เหล่านักบินหญิงลงจากเครื่องบิน B-17 ช่วงปี 1941-1945   พยาบาลกาชาดจดคำพูดสุดท้ายของทหารอังกฤษ 1917   Anna Fisher นักบินอวกาศผู้เป็นแม่คนแรกของโลก   คนงานรถไฟระหว่างมื้อเที่ยง หลายๆ คนในภาพเป็นภรรยา หรือแม่ของคนที่ไปเข้าร่วมสงคราม โลกครั้งที่สองในปี 1943   หญิงสาวคนหนึ่งกับการประท้วงเพื่อสิทธิการลงคะแนนเสียงของสตรี   คนงานหญิงระหว่างการทำกับเครื่องบิน P-38 ในปี 1944   หญิงสาวผู้รับหน้าที่เป็นช่างเชื่อม ในปี…

  • 12 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต ที่น่าสนใจราวกับเป็นขุมทรัพย์ลึกลับก็ไม่ผิดนัก

    12 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต ที่น่าสนใจราวกับเป็นขุมทรัพย์ลึกลับก็ไม่ผิดนัก

    ว่ากันว่ารูปภาพจากอดีตนั้นมีอยู่หลากหลายแบบ บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์เตือนใจ สิ่งลึกลับ หรือชีวิตประจำวันที่แตกต่างจากปัจจุบัน นั่นทำให้ภาพจากอดีตบางครั้งเป็นเหมือนกับขุมทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าเงินตราใดๆ ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้เราจะไปชม 12 ภาพแปลกๆ และภาพหายากจากในอดีต ที่น่าสนใจราวกับเป็นขุมทรัพย์ลึกลับเลยก็ไม่ผิดนัก   นี่คือภาพของเพื่อนสมัยเด็กสองคนที่ต้องมาเจอกันอย่างไม่คาดคิดภายในการชุมนุม Saint-Brieuc ฝรั่งเศส 1972   ภาพนักโทษของฝั่งสหภาพฯ ระหว่างสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา 1864   Schwerer Gustav ปืนใหญ่ติดรางรถไฟของฝั่งนาซีที่พัฒนาขึ้นในช่วงปลายยุค 1930   สุนัขนั่งบนปืนใหญ่ในฝรั่งเศสช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   คนส่งน้ำแข็งที่เป็นผู้หญิงในปี 1918   เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่นอกซากปรักหักพังของบ้านที่ถูกทิ้งระเบิด ลอนดอน 1940   ภาพคู่รักสองคนที่ถ่ายติด “อะไรบางอย่าง” ที่มุมขวาบน ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับภาพนี้ รวมทั้งภาพที่ว่าเป็นของจริงหรือไม่ด้วย   ทหารสองคนประยุกต์ใช้หน้ากากกันพิษในการหั่นหัวหอม ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   ปลากะพงขาวที่ใหญ่ที่สุดในอดีต จับได้โดย Edward Llewellen และหนัก 425 ปอนด์ (ราวๆ 193 กิโลกรัม)   เหล่าหนุ่มๆ แห่งมอนแทนา ผู้กำลังตามหาหญิงสาวมาเป็นคู่ชีวิต  …

  • 5 บริการสุดแปลกของ “ช่างตัดผม” ในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อสุดๆ จนสงสัยว่าให้ทำได้ยังไง

    5 บริการสุดแปลกของ “ช่างตัดผม” ในอดีต ที่ไม่น่าเชื่อสุดๆ จนสงสัยว่าให้ทำได้ยังไง

    แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงช่างตัดผม คนในปัจจุบันก็คงจะนึกถึงอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากคนที่ให้บริการตัดผม อย่างดีก็อาจจะมีโกนหนวดโกนเครา หรือตัดขนจมูกเพิ่มขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นสิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่บนส่วนหัวของมนุษย์แน่ๆ แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนในสมัยก่อนคิดก็เป็นได้ เพราะจากหลักฐานงานเขียนในช่วงศตวรรษที่ 16 แล้ว “ช่างตัดผม” มีบริการที่มากมาย และแปลกมากๆ เพราะไม่เพียงแต่ตัดผมเท่านั้น แต่ช่างตัดผมในสมัยก่อนยังมีบริการต่อไปนี้อีกด้วย   เทน้ำมันร้อนๆ ลงสู่บาดแผลกระสุนปืน ในสมัยก่อนหากถูกกระสุนยิง แทนที่จะผ่าเอากระสุนออกคนส่วนมากมักจะใช้น้ำมันร้อนๆ ในการละลายกระสุนมากกว่า และแม้ว่าต่อมาจะมีการเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นส่วนผสมของ ไข่ น้ำมันกุหลาบ และน้ำมันสนก็ตาม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงให้ช่างตัดผมทำ แทนที่จะเป็นหมอ   รีดเลือดเพื่อการรักษา ในยุคที่เชื่อว่าการใช้ปลิงดูดเลือดหรือการรีดเลือดออกจากร่างกายช่วยรักษาโรคได้สารพัดนั้น คนเราสามารถไปรีดเลือดกับช่างตัดผมได้ด้วย!! เพราะความนิยมการรีดเลือดในสมัยนั้นมีสูงมาก จนแทบจะพูดได้เลยว่าช่างตัดผมทุกคนต้องรีดเลือดเป็น แถมยังมีการวางเลือดที่รีดออกมาโชว์หน้าร้านเพื่อโฆษณาด้วยนะ   สระผมด้วยฉี่หมัก เอาเข้าจริงๆ คนเราใช้ฉี่ในการทำความสะอาดมานานแล้ว อย่างในสมัยโรมันเองก็มีการใช้ฉี่แปรงฟัน และซักผ้ามาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามฉี่หมักที่ใช้สระผมนั่นเรียกกันว่า Lotium ซึ่งมีการใช้งานคล้ายกับแชมพูทั่วๆ ไปนั่นเอง   ผ่านิ่วในที่สาธารณะ คุณอ่านไม่ผิด การผ่านิ่วเป็นหน้าที่ของช่างตัดผมจริงๆ แถมมักทำกันในต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากๆ ด้วย ดูเหมือนว่าแพทย์ในสมัยก่อนจะมองว่าอาชีพของตัวเอง “สูงส่ง” เกินกว่าที่จะมาทำงานสกปรก ดังนั้นหลายๆ ครั้งงานอย่างการรีดเลือดหรือผ่านิ่วจึงตกเป็นของช่างตัดผมไป อย่างไรก็ตามใช่ว่าช่างตัดผมทุกคนจะมีความรู้แพทย์จริงๆ การผ่านิ่วในสมัยนั้นจึงเป็นอะไรที่อันตรายแบบสุดๆ…

  • ชม 3 มัมมี่เด็กอายุกว่า 500 ปี เผยรายระเอียดพิธีบูชายัญของ “เผ่าอินคา” ในอดีต

    ชม 3 มัมมี่เด็กอายุกว่า 500 ปี เผยรายระเอียดพิธีบูชายัญของ “เผ่าอินคา” ในอดีต

    ในปี 1999 ได้มีการพบมัมมี่ที่ใกล้ๆ ยอดภูเขาไฟ Llullaillaco ในประเทศอาร์เจนตินา มันเป็นร่างของเด็กชาวอินคา 3 คน ที่มีอายุมากกว่า 500 ปี และสมบูรณ์มากราวกับเพิ่งเสียชีวิต เด็กทั้งสามคนนี้ เชื่อกันว่าเป็นเด็กที่ถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญอันเป็นพิธีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน และได้รับการตั้งชื่อว่า La doncella หรือ “สาวพรหมจรรย์”  El niño หรือ “เด็กหนุ่ม” และ La niña del rayo หรือ “เด็กสาวแห่งสายฟ้า”     เด็กที่อายุมากที่สุดคือ La doncella ซึ่งมีอายุอยู่ที่ 13 ปี ตามมาด้วย El niño ที่อายุ 7 ปี และ La niña del rayo ที่อายุ 6 ปี อย่างไรก็ตามทั้งสามไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เด็กทั้งสามมีร่องรอยของการใช้ยาเสพติดและสุรา ซึ่งเชื่อกันว่าทำไปเพื่อให้เด็กๆ “ให้ความร่วมมือ” ในพิธีกรรมมากขึ้น     ดูเหมือนว่าในบรรดาเด็กๆ…

  • 5 ฮีโร่แห่งสงคราม ที่แม้อาจไม่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ก็เป็นฮีโร่ในของหลายๆ คนอย่างแน่นอน

    5 ฮีโร่แห่งสงคราม ที่แม้อาจไม่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ก็เป็นฮีโร่ในของหลายๆ คนอย่างแน่นอน

    ใครๆ ก็ชอบเรื่องเล่าของฮีโร่ ตั้งแต่ในสมัยก่อนจนถึงในปัจจุบันมีฮีโร่มากมายที่ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ บางคนอาจจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ในขณะที่บางคนก็ไม่เป็นที่มีชื่อเสียงเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เป็นฮีโร่ในกลุ่มคนที่ทราบวีรกรรมของพวกเขาอยู่ดี เหมือนกับฮีโร่แห่งสงครามทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่แม้อาจไม่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ก็เป็นฮีโร่ในสายตาของคนที่รู้จักเขาอย่างแน่นอน   Hiroo Onoda Hiroo เป็นทหารฝั่งญี่ปุ่นที่เป็นทั้งผู้กล้าที่จงรักภักดี และเป็นคนที่หัวแข็งที่สุดคนหนึ่ง หน่วยของเขาถูกส่งไปประจำการในป่าบนเกาะแห่งหนึ่งที่ฟิลิปปินส์ ด้วยความที่เกาะดังกล่าวถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ชายหนุ่มคนนี้ไม่เชื่อข่าวการยอมแพ้ของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง และต่อสู้จนหน่วยของเขาเหลือเพียงตัวเขาเพียงคนเดียว Hiroo ต่อสู้อยู่ในป่าเรื่อยมาแม้สงครามจะจบลงไปแล้ว 29 ปี จนในที่สุดทางญี่ปุ่นก็ต้องไปตามหาตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รู้จักกับเขา เพื่อไปบอกเขาว่าสงครามจบลงแล้ว และพาเขากลับประเทศเลยทีเดียว และด้วยความจงรักภักดีนี่เอง ศาลโลกก็ตัดสินไม่เอาโทษการกระทำทุกอย่างของเขา เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าสงครามจบลงไปแล้วจริงๆ แถมคนญี่ปุ่นก็ยกย่องให้เขาเป็นฮีโร่แห่งสงครามอีกด้วย   Ruby Bradley เธอคือพยาบาลศัลยกรรมแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ซึ่งถูกจับเป็นเชลยสงคราม 3 สัปดาห์หลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์จนต้องไปอยู่ที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ที่นั่นเองที่เธอได้ฉายา “Angel in Fatigues” หรือ “นางฟ้าผู้อ่อนล้า” จากการผ่าตัดรักษาคนเจ็บและช่วยในการคลอดลูกกว่า 230 ครั้ง พร้อมๆ กับการแอบนำเข้า อาหารและยารักษาโรค เธอกลับเข้าสู่สงครามอีกครั้งที่สงครามเกาหลีในฐานะหัวหน้าพยาบาล โดยในครั้งนี้เอง เธอก็ได้เข้าอพยพผู้ได้รับบาดเจ็บจากที่หลบภัยซึ่งถูกศัตรูถูกล้อม จนตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกด้วย  …

  • 8 ความตายสุดแปลกของคนในอดีต ที่บทจะตายก็ตายกันแบบไม่น่าเชื่อสุดๆ ไปเลย

    8 ความตายสุดแปลกของคนในอดีต ที่บทจะตายก็ตายกันแบบไม่น่าเชื่อสุดๆ ไปเลย

    โลกใบนี้มีความจริงอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนทุกคนต้องตายในสักวัน หลายๆ ครั้งการตายที่ว่าอาจจะมาในรูปแบบที่สงบ ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะต้องตายไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ในบรรดาความตายที่มากมายนั้นเอง บนโลกใบนี้ก็ยังมีคนในอดีตที่ตายได้แปลกสุดๆ อยู่เช่นกัน แต่จะเป็นแบบไหน กันบ้างนะ   Agathocles of Syracuse Agathocles เป็นทรราชแห่งเมือง Syracuse ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามความตายของเขากลับแปลกเอามาก เพราะนายคนนี้โดนลอบสังหาร ด้วยไม้จิ้มฟันอาบพิษนั่นเอง   Empedocles of Akragas Empedocles เป็นนักปรัชญาชาวกรีกจากเมือง Akragas และเป็นที่รู้จักกันในฐานะต้นกำเนิดทฤษฎีธาตุหลักทั้งสี่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะคลั่งในทฤษฎีของตัวเองไปนิดเลยคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า จนสุดท้ายเขาก็กระโดดลงภูเขาไฟไปเพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็นพระเจ้าผู้เป็นอมตะ   Carl Wilhelm Scheele เขาเป็นนักเคมีชาวสวีเดนที่มีนิสัยชอบลองชิมสารเคมีที่เขาพบ และนิสัยนั่นเองที่ทำให้เขาต้องตาย เพราะในปี 1786 นายคนนี้ได้เสียชีวิตจากการสารตะกั่ว กรดไฮโดรฟลูโอริก สารหนูและสารพิษอื่นๆ ที่ตกค้างในร่างกายนั่นเอง   Chrysippus of Soli เขาเป็นปราชญ์ชาวกรีก วันหนึ่งเขาเห็นลากินมะเดื่อก็เลยเล่นมุกขึ้นมา ก่อนที่จะหัวเราะอย่างรุนแรงจนถึงแก่ความตาย   Carl Beaford Terry และ Linda…

  • 28 ภาพสุดเสียดแทงใจของ “Hitlerjugend” กองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน

    28 ภาพสุดเสียดแทงใจของ “Hitlerjugend” กองกำลังเด็กแห่งนาซีเยอรมัน

    ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคนเราก็พยายามที่จะสอนเด็กๆ ให้เป็นอย่างที่พวกเราต้องการ คำพูดนี้เป็นจริงอยู่เสมอแม้แต่กับนาซีเยอรมัน ที่ได้ทำการจัดตั้ง “Hitlerjugend” หรือ “เด็กๆ ของฮิตเลอร์” ขึ้นมา เพื่อปลูกฝังความเป็นนาซี ให้แก่คนที่จะมาเป็นรุ่นต่อไปของประเทศ Hitlerjugend หรือที่เรียกย่อๆ ว่า HJ ถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1922 โดยมีรูปแบบคล้ายๆ ลูกเสือ และโด่งดังที่สุดในช่วงปี 1939 ในตอนที่นาซีปกครองเยอรมันนั่นเอง ว่าแต่เด็กๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง เชิญไปชมกันได้ข้างล่างนี้   นี่คือ Hitlerjugend จัดตั้งขึ้นโดยนาซี   พวกเขาคือกองกำลังกึ่งทหารของเด็กๆ หนึ่งเดียวของเยอรมนีในตอนนั้น   HJ ประกอบไปด้วยเด็กๆ เยอรมนี ที่อายุระหว่าง 14-18 ปี   โดย HJ จะมีหน่วย Deutches Jungvolk เป็นหน่วยย่อยของเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีอีกที   ในช่วงแรกๆ พวกเขาจะสมัครเข้ามาผ่านโฆษณา “เพื่อแผ่นดินพ่อ”   ในปี 1930 กองกำลังนี้มีเด็กอยู่ราวๆ 25,000…

  • ชมภาพของฟุกุชิมะ 5 ปีหลังจากภัยพิบัติ ความหมายของ “เมืองร้าง” เชอร์โนบิลแห่งญี่ปุ่น

    ชมภาพของฟุกุชิมะ 5 ปีหลังจากภัยพิบัติ ความหมายของ “เมืองร้าง” เชอร์โนบิลแห่งญี่ปุ่น

    วันที่ 11 มีนาคม 2011 เป็นวันที่เลวร้ายมากวันหนึ่งของญี่ปุ่นเลยก็ไม่ผิดนักเพราะนอกจากแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิแล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะเองก็ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกจนกลายเป็นภัยพิบัติทางนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่เชอร์โนบิลในปี 1986 นับตั้งแต่วันนั้นฟุกุชิมะก็ถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลาหลายปี และแม้กระทั่งในปี 2018 เอง ก็ยังมีการถกเถียงกับเรื่องความปลอดภัยของเมืองนี้อยู่เป็นพักๆ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะมาชมภาพของฟุกุชิมะ 5 ปีหลังจากภัยพิบัติกัน มาดูกันดีกว่าว่าสิ่งที่เขาเรียกว่าเมืองร้างหรือเมืองผี มันเป็นอย่างไรกัน   สินค้าที่กระจายจากชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้เขตระเบิด   เสื้อผ้าที่ยังค้างอยู่ในเครื่องซักผ้าด้วยซ้ำ   ถังขยะกัมมันตรังสีในบริเวณ   ถนนที่ว่างเปล่า   ปฏิทินที่ที่หยุดนิ่งมาอย่างยาวนาน   ภายในบ้านที่ถูกทิ้ง   เขตชุมชนที่ไร้ผู้คน   ตึกที่พังทลายจากแผ่นดินไหว   ร้านขายของที่ถูกทอดทิ้ง   รถที่จอดอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปี 2011   ร้านเช่าภาพยนตร์กับโฆษณาเมื่อปี 2011   ด้านนอกของ Family Mart ที่ถูกทอดทิ้ง   สถานีรถไฟนามิเอะที่ไม่มีรถไฟจอดอีกแล้ว   รั้วกั้นถนนระหว่างฟุกุชิมะกับโอคุมะ   ร้านร้างในนามิเอะ   เครื่อง PS2…

  • 6 สิ่งที่คนในยุคหินทำ ที่แทบไม่ต่างอะไรกับพวกเรา ราวกับมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    6 สิ่งที่คนในยุคหินทำ ที่แทบไม่ต่างอะไรกับพวกเรา ราวกับมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะแค่เทียบเทคโนโลยีในปัจจุบันกับเมื่อ 20-30 ปีก่อน เราก็เห็นแล้วว่าโลกเราพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วใบนี้ ก็ยังมีสิ่งที่คนเราทำเหมือนเดิมไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย แถมไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยปี แต่เป็นตั้งแต่ในยุคหินเลยด้วย เพราะนี่คือ 6 สิ่งที่คนในยุคหินทำ ที่เรายังทำกันอยู่ในปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลง   1.  พวกเขามีการทำเนื้อเป็น “เบคอน” นี่เป็นเรื่องที่เราทราบจากการขุดพบมัมมี่ “Ötzi” ที่มีอายุ 5,300 ปี เพราะในท้องของเขานั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เมล็ดข้าวปรุงสุกเท่านั้น แต่ยังมีเนื้อแพะที่มีการปรุงด้วยวิธีถนอมอาหาร คล้ายกับการทำเบคอนนั่นเอง   2. พวกเขาเล่นดนตรี หลักฐานการเล่นดนตรีของคนยุคหินนั้น โผล่มาครั้งแรกในถ้ำที่เยอรมนีเมื่อปี 2012 โดยเป็นเครื่องดนตรีจากเมื่อ 43,000 ปีก่อน ที่ประกอบด้วยขลุ่ยที่ทำจากกระดูกนกและงาช้างแมมมอธ เป็นไปได้ว่านี่เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม หรือไม่ก็เพื่อความสนุกเฉยๆ   3. พวกเขามีผู้หญิงที่เข้มแข็ง ภาพลักษณะของผู้หญิงในอดีตมักจะถูก “ทำให้” ดูเป็นเพศที่อ่อนแอ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในยุคหิน เพราะร่างของผู้หญิงที่พบจากเมื่อ 7,000 ปีก่อนมักจะมีร่างกายที่แข็งแรง และดูเหมือนว่าจะทำงานใช้แรงงานเช่นเดียวกับผู้ชายอย่างเท่าเทียมกันเลยด้วย   4. พวกเขามีการส่งทรัพย์สินจากรุ่นสู่รุ่น จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งนอร์เวย์ ดูเหมือนว่าบ้านหนึ่งหลังของคนในยุคหินจะมีการใช้อยู่อาศัยเป็นเวลานาน และบางหลังอาจจะถูกใช้อยู่อาศัยนานมากถึง…

  • 5 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเอาไปหาดูรูปในกูเกิล… เราเตือนคุณแล้ว

    5 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเอาไปหาดูรูปในกูเกิล… เราเตือนคุณแล้ว

    ว่ากันว่าเราอยู่ในยุคที่ทุกสิ่งหาได้เพียงกดค้นหาในกูเกิล แต่ภายในความสะดวกสบายนั้นเองบางครั้งก็เหมือนกับเป็นคำสาปเช่นกัน เพราะบนโลกใบนี้ก็มีบางสิ่งที่คนขวัญอ่อนไม่ควรจะไปค้นหาเช่นกัน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องรายชื่อคำที่ไม่ควรหาในกูเกิลมาก่อน ซึ่งในคราวนี้เองเราก็จะมาว่ากันด้วยรายชื่อที่ว่านี้ล่ะ แต่เป็นเวอร์ชันประวัติศาสตร์ กับ 5 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรเอาไปหารูปในกูเกิล… เราเตือนคุณแล้ว   The Agent Orange Experiments Agent Orange Experiments หรือ “ฝนเหลือง” เป็นหนึ่งในโครงการอาวุธที่น่ากลัวมากๆ ของสหรัฐฯ และหนึ่งในความน่ากลัวที่สุดของโครงการนี้ก็อยู่ที่ Holmesburg Program โครงการย่อยที่นำโดย Dr. Albert M. Kligman และได้รับการสนับสนุนโดยทหาร มันเป็นโครงการที่ทำการทดลองด้วยการฉีดสารเคมีที่มีผลต่อผิวหนังเข้าไปในตัวเหยื่อทดลอง เพื่อเรียนรู้อาการทางผิวหนังและการกลายพันธุ์ต่างๆ ที่ว่ากันว่าทำไปเพื่อหาสารที่ดีที่สุดที่จะนำมาทำฝนเหลืองนั่นเอง สิ่งที่คุณจะพบ: ภาพเด็กๆ ที่พิกลพิการ ทารกไร้ดวงตา หรือมีคนที่มีแผลตามผิวหนังอย่างน่ากลัว ทั้งรูปจริงๆ และภาพปลอมที่ได้รับการตกแต่ง   The Ed Gein Murders Ed Gein เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดสุดๆ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ในตอนที่เขาโดนจับตำรวจพบจมูกคน 4 ชิ้น หน้ากากหนังมนุษย์ 9 ชิ้น…

  • นักวิทย์พยายาม “โคลนนิ่ง” มัมมี่ลูกม้า 40,000 ปี หวังนำไปสู่การโคลนนิ่งแมมมอธในอนาคต

    นักวิทย์พยายาม “โคลนนิ่ง” มัมมี่ลูกม้า 40,000 ปี หวังนำไปสู่การโคลนนิ่งแมมมอธในอนาคต

    หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวการขุดพบมัมมี่ลูกม้าจากยุคน้ำแข็ง ในเพอร์มาฟอส ซึ่งมีสภาพที่สมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ (อ่านข่าวเก่าได้ที่นี่ พบมัมมี่ลูกม้าอายุราว 30,000-40,000 ปี ในเพอร์มาฟอส สมบูรณ์มากจนเห็นขนจมูกได้)     เชื่อว่าในตอนนั้นคงมีหลายคนไม่น้อยที่สงสัยว่าการค้นพบในครั้งนั้นมีความสำคัญอย่างไร แต่ล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ในไซบีเรียก็ได้ออกมาบอกแล้วว่าหากโชคดีพอมัมมี่ลูกม้าตัวนี้ อาจจะให้พันธุกรรมที่สำคัญในการโคลนนิ่งม้าสายพันธุ์โบราณจากยุคน้ำแข็งได้นั่นเอง ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์ The Siberian Times หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลงานวิจัยในครั้งนี้คือคุณ Woo-Suk Hwang นักวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดและผู้บุกเบิกการโคลนนิ่งจากเกาหลีใต้ คุณ Hwang และทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซียนั้นเคยทำงานร่วมกันในการทดลองโคลนนิ่งแมมมอธมาก่อน และในขณะนี้พวกเขาก็กำลังทำการวิจัยเซลล์ที่น่าจะหลงเหลืออยู่ในลูกม้าที่มีการพบ เพื่อตามหาเซลล์ที่สมบูรณ์และยังมีชีวิตมากพอที่จะใช้ในการโคลนนิ่งอยู่นั่นเอง     “ถ้าเราพบเซลล์ที่มีชีวิตเพียงเซลล์เดียวเราก็จะสามารถโคลนนิ่งม้าโบราณตัวนี้ได้” คุณ Hwang กล่าว ดูเหมือนว่าการโคลนนิ่งม้าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าแมมมอธมาก เพราะสามารถฝากตัวอ่อนไว้ในม้าสายพันธุ์ปัจจุบันได้ จากความใกล้เคียงทางพันธุ์กรรม ต่างจากแมมมอธที่แม้จะคล้ายกับช้างแต่พันธุ์กรรมกลับค่อนข้างต่างกัน โดยคุณ Hwang หวังเป็นอย่างมากว่าการโคลนนิ่งลูกม้าในครั้งนี้ จะเป็นบันไดไปสู่ความก้าวหน้าของการโคลนนิ่งแมมมอธต่อไปในอนาคต     อย่างไรก็ตามการทดลองในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสียทีเดียว เพราะ DNA ของสัตว์ที่พบในยุคจำแข็งนั้นแทบจะทั้งหมดไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้ได้อีกต่อไป และนั่นทำให้แม้มัมมี่ลูกม้าตัวนี้จะค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ก็มีโอกาสพบกับ DNA ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็น้อยพอๆ กับโอกาสค้นพบดวงดาวที่ต้องการดวงหนึ่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่เลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นโอกาสเล็กๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เต็มใจที่จะควานหาเช่นกัน   ที่มา livescience

  • ชม 5 “ชิ้นส่วนร่างกาย” ของคนดังที่โลกเก็บเอาไว้ แถมบางอันยังเปิดให้เข้าชมด้วยนะ

    ชม 5 “ชิ้นส่วนร่างกาย” ของคนดังที่โลกเก็บเอาไว้ แถมบางอันยังเปิดให้เข้าชมด้วยนะ

    เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนดังและคนมีชื่อเสียง บ่อยครั้งที่เราพยายามที่จะเก็บของที่พวกเขาเคยใช้เอาไว้สักชิ้นสองชิ้น ส่วนมากแล้วก็จะไม่พ้นเสื้อผ้า หรือไม่ก็ของที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าโลกของเราเก็บสิ่งสำคัญของคนดังในสมัยก่อนไว้มากกว่าที่คิด เพราะในบรรดาสิ่งของที่ทางพิพิธภัณฑ์เก็บไว้นั่น มันดันรวมไปถึง “ร่างกาย” ของพวกเขาด้วยนี่สิ ด้วยเหตุนี้เองในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 5 คนดังที่โลกเก็บ “ชิ้นส่วนของร่างกาย” เอาไว้ แถมของบางคน ยังมีการเปิดให้เข้าชมในปัจจุบันด้วยนะ   สมองของ Albert Einstein นักฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง Albert Einstein จากโลกนี้ไปเมื่อปี 1955 แต่นักวิจัยได้ชำแหละสมองของเขาก่อนที่จะบริจาค “บางส่วน” ให้กับพิพิธภัณฑ์ Mütter ในฟิลาเดลเฟีย และมันก็ยังอยู่ที่นั่นแม้ในตอนนี้   องคชาตของ Grigori Rasputin Grigori Yefimovich Rasputin เป็นชายผู้มีชื่อเสียของรัสเซีย ผู้ซึ่งถูกวางยา ยิงทิ้ง ทุบตี หั่นเป็นชิ้นๆ และโยนทิ้งแม่น้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีใครบางคนพบกับองคชาตยาว 13 นิ้วที่ (เชื่อว่า) เป็นของเขา โดยในปัจจุบันเจ้า Rasputin “ผมไม่เล็กนะครับ” อันนี้ ก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ความเร้าอารมณ์ “MusEros” ในประเทศรัสเซียนั่นเอง…

  • 22 ภาพความยุ่งเหยิงแห่งปี 1968 ปีที่เต็มไปด้วยการประท้วง จลาจล และสงคราม

    22 ภาพความยุ่งเหยิงแห่งปี 1968 ปีที่เต็มไปด้วยการประท้วง จลาจล และสงคราม

    เคยมีคำกล่าวที่ว่า โลกของเรานั้นยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ในปี 1968 เป็นปีที่แทบจะเรียกได้ว่ายุ่งเหยิงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ ด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ สงครามเวียดนาม แถมด้วยการลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์ คิงอีก ปี 1968 เป็นปีที่มีอะไรเกิดขึ้นมากภายในปีเดียว แต่จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น เชิญเพื่อนๆ ไปชมกันได้เลยข้างล่างนี้   กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของสหรัฐฯ ปิดกั้นถนนในเมมฟิสเทนเนสซี ขณะที่ขบวนประท้วงผิวสีห้อยป้ายที่เขียนว่า “ฉันเป็นมนุษย์” 29 มีนาคม 1968   ธงเวียดนามใต้โบกสะบัดอยู่บนซากอาคารในระหว่างรถยนต์ขับผ่านสะพาน กุมภาพันธ์ 1968   ภาพทหารสหรัฐฯ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราจากการประจำการในเวียดนาม 18 กรกฎาคม 1968   โฆษกกำลังพูดหว่านล้อมคนให้หันมาสนับสนุนประชาธิปไตยในเชโกสโลวาเกีย ระหว่างความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต   รถถังโซเวียตกว่า 2,000 คันบุกเข้ามาในเชโกสโลวาเกีย หลังผลการเจรจาระหว่างผู้นำออกมา “ล้มเหลว”   ประชาชนยืนล้อมรถถังโซเวียตในวันแรกที่ทางโซเวียตบุกเข้ามาในเชโกสโลวาเกีย 21 สิงหาคม 1968   รูปภาพสุดท้ายของมาร์ติน ลูเธอร์ คิงที่ถ่ายไว้ในวันที่ 3 เมษายน ก่อนที่จะโดนลอบสังหาร   Andrew Young นักการเมืองผู้สนับสนุนสิทธิพลเมืองคนผิวสี ชี้ไปยังทิศทางที่ฆาตกรหนีไป หลังจากการลอบสังหารมาร์ติน ลูเธอร์…

  • ชม 31 ภาพของเรือเหาะ “ฮินเดนเบิร์ก” ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังโศกนาฏกรรมในปี 1937

    ชม 31 ภาพของเรือเหาะ “ฮินเดนเบิร์ก” ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังโศกนาฏกรรมในปี 1937

    เมื่อพูดถึงเรือเหาะขนาดใหญ่บนโลกแห่งความจริง ชื่อว่าบางคนอาจจะนึกถึงโศกนาฏกรรมของเรือเหาะฮินเดนเบิร์กขึ้นมา นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมปี 1937 กับเรือเหาะ LZ 129 ฮินเดนเบิร์ก เรือเหาะที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเยอรมนี ผลิตโดยบริษัท Zeppelin ซึ่งจู่ๆ ก็เกิดติดไฟขึ้นกลางอากาศและเป็นสาเหตุให้การสร้างเรือเหาะของโลกต้องยุติลงไปช่วงหนึ่งเลย     สาเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นถูกสันนิษฐานไว้หลายแบบ แต่ทฤษฎีที่ได้รับการเชื่อถือมากที่สุดได้แก่การที่ไฮโดรเจนเกิดรั่วไหลทำให้เกิดการลุกไหม้ของไฟ และก่อให้เกิดประกายไฟฟ้าในอากาศ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชมภาพของเรือ LZ 129 ฮินเดนเบิร์กกัน มาดูกันดีกว่าว่าก่อน ระหว่าง และหลังโศกนาฏกรรมปี 1937 เรือเหาะลำนี้มีหน้าตาแบบไหนกันนะ   การตรวจสอบครั้งสุดท้ายของฮินเดนเบิร์กก่อนนำออกปฏิบัติการ   โครงสร้างของ LZ 129 สมัยที่ยังไม่มีชื่อในเมือง Friedrichshafen ประเทศเยอรมนี   การปฏิบัติการนำน้ำไปรดพื้นที่ในเมือง Lakehurst รัฐนิวเจอร์ซีย์ 9 พฤษภาคม 1936   เหล่าผู้คนและลูกเรือภาคพื้นดินกำลังล้อมรอบฮินเดนเบิร์กก่อนออกบินเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1936   ภายในห้องทานอาหารของเรือเหาะฮินเดนเบิร์ก   ผู้โดยสารในห้องอาหารบนฮินเดนเบิร์ก เดือนเมษายนปี 1936   ฮินเดนเบิร์ก บินผ่านบอสตัน 1936   เครื่องบินลาดตระเวนของสหรัฐฯ นำทางให้ฮินเดนเบิร์กร่อนลงที่รัฐนิวเจอร์ซีย์…

  • 5 เทศกาลวันหยุดแบบแปลกๆ ในอดีต ที่น่าสนใจจนนึกอยากให้เอากลับมาใช้ในปัจจุบัน

    5 เทศกาลวันหยุดแบบแปลกๆ ในอดีต ที่น่าสนใจจนนึกอยากให้เอากลับมาใช้ในปัจจุบัน

    ไม่ว่าใครก็คงชอบวันหยุด โดยเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่จะทำให้เราได้วันหยุดเพิ่มเติมจากปกติแล้วด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ในบางครั้งเราก็อาจจะรู้สึกกันว่าวันหยุดที่มีให้นั้นมันช่างน้อยเหลือเกินใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เชื่อกันไหมล่ะว่าในสมัยก่อน นอกจากวันหยุดหลายๆ วันที่เรารู้จักกันแล้ว บนโลกใบนี้ยังเคยมีวันหยุดแปลกๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ถึงขนาดที่บางอันเห็นแล้วนึกอยากให้เอากลับมาเลยทีเดียว เหมือนกับวันหยุดต่อไปนี้   Plough Monday นี่เป็นวันที่จะจัดขึ้นในวันจันทร์แรกหลังจากวันที่ 6 มกราคม ในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยนี่เป็นเทศกาลที่ใช้กำหนดปีการเก็บเกี่ยวใหม่และจะมีการใช้เด็กผู้ชายมาแต่งเป็นหญิงแก่ และมีชายหนุ่มแต่งเป็นสัตว์ ก่อนจะออกเดินลากคันไถพร้อมวงดนตรีไปตามบ้านเพื่อเรี่ยไรเงินเพื่อการเกษตร และมีการเต้นรำกันในยามราตรี   Old Clem’s Night นี่เป็นวันฉลองของสมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 1 ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการอุปถัมภ์ช่างตีเหล็ก ที่จัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยจะมีการเอาดินปืนไปใส่ทั่งตีเหล็กก่อนจะตีมันจนระเบิดเป็น “ดอกไม้ไฟ” นอกจากนี้ยังมีการให้ช่างตีเหล็กแต่งตัวเป็น “ตาเฒ่าเคลม” ไปเคาะประตูขอเบียร์ ของทานเล่น หรือเงินได้อีกด้วย   Lughnasadh นี่เป็นงานที่จัดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม ตามวัฒนธรรมเซลติกโบราณ เพื่อเป็นการบูชาพระเจ้าสามหน้า “Lugh” และเข้าร่วมการ “ทดลองแต่งงาน” โดยจะให้คุณกับคนที่คุณสนใจทดลองแต่งงานกัน 1 ปี กับอีก 1 วัน และหากไม่ชอบ ในงาน Lughnasadh…

  • 5 สิ่งของที่ดูจะไร้สาระ แต่ก็ทำให้เกิดสงครามเพื่อแย่งชิงมันขึ้นจริงๆ แล้วบนโลก

    5 สิ่งของที่ดูจะไร้สาระ แต่ก็ทำให้เกิดสงครามเพื่อแย่งชิงมันขึ้นจริงๆ แล้วบนโลก

    หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นบ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นมาจากการแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรอย่างน้ำมัน หรือพื้นที่และเขตแดน จนทำให้หลายๆ ครั้งสงครามก็แลดูเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในสายตาของผู้นำหลายๆ คน ในยุคสมัยต่างๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะบนโลกใบนี้เอง ในบางครั้งสงครามก็เกิดขึ้นมาจากการแย่งชิงสิ่งของที่ไร้สาระสุดๆ ได้เช่นกัน เหมือนอย่างสงคราม 5 ครั้งต่อไปนี้   อังกฤษและสเปนเข้าสู่สงครามเพราะหูของคนคนหนึ่ง นี่เป็นสงครามที่ถูกเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า “สงครามหูของเจนกินส์” ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่อังกฤษต้องการความได้เปรียบทางการค้าจากสเปนในปี 1739 พวกเขาเลยต้องการก่อสงครามขึ้น อย่างไรก็ตามการที่จู่ๆ จะไปโจมตีสเปนเลยมันก็ดูไม่ดี ทางอังกฤษจึงอ้างเรื่องที่เรือสเปนเคยบุกขึ้นมาตัดหูกัปตันเรือที่ชื่อโรเบิร์ต เจนกินส์เมื่อ 8 ปีก่อนมาเป็นข้ออ้างในการทำสงคราม ทำให้เหตุผลของสงครามในครั้งนี้ถูกระบุเอาไว้ว่าทำไปเพื่อหูของเจนกินส์นั่นเอง   โบโลญญาและโมเดนารบกันเพื่อแย่งชิงถังไม้ การรบครั้งนี้มีอีกชื่อว่า “สงครามถังไม้” เกิดขึ้นในปี 1325 ระหว่างเมืองโบโลญญาและโมเดนาในอิตาลี จากการที่ทหารของโมเดนาแอบเข้าไปขโมยถังน้ำออกมาจากเมืองโบโลญญา (บ้างก็ว่าใส่ของมีค่าเอาไว้ในถังด้วย) และปฏิเสธเมื่อทางโบโลญญาขอถังคืนสงครามจึงเริ่มต้นขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของทางโมเดนา ทำให้ในปัจจุบันถังไม้ดังกล่าวก็ยังคงตั้งอยู่ในหอระฆัง Torre della Ghirlandina ที่เมืองโมเดนา   สงคราม 40 ปี ที่เกิดขึ้นเพราะอูฐหนึ่งตัว นี่คือสงครามระหว่างเผ่าที่ถูกเรียกกันว่า “สงคราม Al-Basus” จากการที่อูฐของผู้หญิงชื่อ Al-Basus หลงเข้าไปในฝูงอูฐของเผ่า Taghlib และถูกฆ่าตาย…

  • 24 ภาพความงดงามและเหตุการณ์ต่างๆ ใน “นครรัฐวาติกัน” ผ่านเลนส์กล้องของคนในอดีต

    24 ภาพความงดงามและเหตุการณ์ต่างๆ ใน “นครรัฐวาติกัน” ผ่านเลนส์กล้องของคนในอดีต

    นครรัฐวาติกัน เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นที่อยู่ของพระสันตะปาปา ผู้ซึ่งมีตำแหน่งสูงสุดในคริสตจักรโรมันคาทอลิก และมีศูนย์กลางคือมหาวิหารนักบุญเปโตร แน่นอนว่าสถานที่อันสำคัญเช่นนี้ย่อมต้องเปี่ยมไปด้วยความงดงามที่ถูกเก็บรักษามาตามกาลเวลาเป็นธรรมดา ดังนั้นในวันนี้เราจึงจะมาชมภาพ ความงดงามและเหตุการณ์ต่างๆ ในนครรัฐแห่งนี้ ผ่านเลนส์กล้องของคนในอดีตกัน   ภาพภายในห้องแสดงรูปปั้นแห่งวาติกัน 1880   จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ 1910   พระศพของพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1 ในโบสถ์ Clementine ของวาติกัน 1978   รูปปั้น Pieta ระหว่างการบูรณะ ในห้องปฏิบัติการของวาติกัน 1972   พระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ให้พรแก่ผู้สื่อข่าวฝ่ายสัมพันธมิตรภายหลังการปลดปล่อยกรุงโรม ในปี 1944   การสร้างกำแพงแบ่งนครวาติกันออกจากอิตาลี   การบูรณะภาพตกแต่งภายในของโบสถ์ Sistine ด้วยระบบคอมพิวเตอร์   หอรวมรูปปั้นสัตว์ ในพิพิธภัณฑ์วาติกัน 1880   การทำงานของพระคาร์ดินัล Paul Marcinkus 1991 (พระคาร์ดินัล คือสมณศักดิ์ชั้นสูงรองจากพระสันตะปาปา)   ชนพื้นเมืองอเมริกัน ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ 1980   แม่ชีเทเรซาเดินผ่านตัวเมืองวาติกัน…

  • “โคมไฟวิเศษ” เครื่องฉายภาพแห่งยุควิกตอเรีย กับบริการ “เช่าหนัง” ในสมัยก่อน

    “โคมไฟวิเศษ” เครื่องฉายภาพแห่งยุควิกตอเรีย กับบริการ “เช่าหนัง” ในสมัยก่อน

    ในปัจจุบันด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีและโลกอินเตอร์เน็ต การดูภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่หากมองย้อนไปสักร้อยสองร้อยปี คงไม่มีใครคิดแน่ๆ ว่าในคนสมัยนั้นเขาก็มีวิธีดูภาพยนตร์ในแบบของเขาเช่นกัน     นี่คือ “Magic lanterns” หรือ โคมไฟวิเศษ อุปกรณ์ฉายภาพที่เชื่อกันว่าถูกคิดค้นขึ้นมาในศตวรรษที่ 16 และใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วง ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เจ้าเครื่องนี้มีการทำงานคล้ายกับเครื่องฉายภาพ หรือเครื่องโปรเจกเตอร์ ที่หากมีการประยุกต์ที่ดี ก็อาจจะฉายภาพสามมิติ หรือภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ (คล้ายภาพ GIF) ได้เลย     เดิมทีแล้วนักโบราณคดีเชื่อกันว่า เจ้าอุปกรณ์เหล่านี้น่าจะเป็นของมีราคา และมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ใช้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเจ้าเครื่องนี้จะมีการใช้ที่แพร่หลายกว่านั้น เพราะจากงานวิจัยใหม่ที่มีการเปิดเผยในมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ประเทศอังกฤษได้ออกมาบอกว่าในสมัยก่อน แม้แต่ชนชั้นกลางเองก็มีโอกาสได้ดูโคมไฟวิเศษเช่นกัน     จากหลักฐานโฆษณาสินค้าในหนังสือพิมพ์จากยุควิกตอเรีย ดูเหมือนว่าในสมัยนั้นจะมีบริการที่เรียกว่าการให้เช่าโคมไฟวิเศษอยู่ โดยจะเป็นการจ้างวานพนักงานซึ่งจะคอยควบคุมโคมไฟวิเศษนั่นเอง การจ้างวานจำพวกนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงวันพิเศษ อย่างวันเกิดของเด็กๆ หรือเทศกาลคริสต์มาส และมักจะมีการจ้างวานจากทางโบสถ์ ศาลากลางเมือง และบ้านของประชาชน     “มันก็คล้ายๆ กับ Netflix หรือร้านเช่าภาพยนตร์นั่นแหละ” John Plunkett รองศาสตราจารย์วิชาภาษาอังกฤษที่ มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์กล่าว “มันเป็นวิธีเข้าถึงสื่อที่พวกคุณไม่สามารถซื้อเองได้”…

  • 5 หญิงสาวผู้อยู่เคียงข้าง “วายร้าย” ของโลก แม้ไม่ได้มีวีรกรรม แต่ก็รักสามีอย่างถึงที่สุด

    5 หญิงสาวผู้อยู่เคียงข้าง “วายร้าย” ของโลก แม้ไม่ได้มีวีรกรรม แต่ก็รักสามีอย่างถึงที่สุด

    ในสมัยก่อนมีคำพูดที่ว่า “เคียงข้างผู้ยิ่งใหญ่ มักจะมีผู้หญิงที่ดีอยู่เสมอ” ไม่แน่ว่าคำพูดคำนี้อาจจะไม่ได้หยุดอยู่แค่เหล่าวีรบุรุษเท่านั้นก็เป็นได้ เพราะหากมองกันให้ดีๆ ในบรรดาเหล่าคนที่โลกโลกตีตราว่าเป็น “ผู้ร้าย” เอง พวกเขาก็มีหญิงสาวคอยเคียงข้างเช่นกัน แม้ว่าพวกเธออาจจะไม่ได้มีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร จนบางครั้งก็ถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเธอหลายๆ คนนั้น อยู่เคียงข้างคนรัก อย่างถึงที่สุดเลยจริงๆ   Eva Braun ภรรยาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ Eva พบกับฮิตเลอร์ครั้งแรกในปี 1929 ในตอนที่เธออายุได้เพียง 17 ปี (เธอเด็กกว่าฮิตเลอร์ 23 ปี) แม้ว่าไม่ทราบว่าทั้งคู่เริ่มคบหากันเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่าทั้งคู่รักกันมาอย่างน้อยๆ 16 ปี โดยในระหว่างนั้น Eva ได้พยายามฆ่าตัวตายอยู่สองครั้ง อย่างไรก็ตาม จากรายงานแล้วดูเหมือนว่าการพยายามฆ่าตัวตายนี้จะไม่ได้เพื่อหนีท่านผู้นำ แต่เพื่อเรียกร้องความสนใจ ให้เขากลับมามองเธอต่างหาก เพราะในปี 1945 เธอก็จบชีวิตของตัวเองไปพร้อมๆ กับฮิตเลอร์นั่นเอง   Sajida Talfah ภรรยาของซัดดัม ฮุสเซ็น นอกจากจะเป็นภรรยาของซัดดัมแล้ว Sajida ยังเป็นญาติทางสายเลือดของซัดดัมด้วย ทั้งคู่แต่งงานกันในงานแต่งที่จัดโดยญาติๆ เมื่อปี 1963 และอยู่ด้วยกันมานาน อย่างไรก็ตามในปี 1986 ซัดดัมได้แต่งงานอีกครั้งกับภรรยาคนที่สอง…

  • 24 ภาพจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามที่ญี่ปุ่นเข้ารุกรานแมนจูเรียในปี 1937

    24 ภาพจากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามที่ญี่ปุ่นเข้ารุกรานแมนจูเรียในปี 1937

    สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เป็นสงครามที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกและเรียกกันว่า “สงครามแปซิฟิก” โดยเริ่มต้นจากการที่ญี่ปุ่นได้เข้ารุกรานแมนจูเรีย และเป็นที่มาของ “การข่มขืนนานกิง” อาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตามในสงครามครั้งนี้มีเรื่องราวมากกว่าเพียงแค่ที่นานกิง ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปชม 24 ภาพจากสงครามสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง มาดูกันดีกว่าว่านอกจากการข่มขืนนานกิงแล้ว ภาพจากสงครามในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง   ภาพหลังการทิ้งระเบิดที่สถานีเซี่ยงไฮ้ 1937   ผู้หญิงจีนกับสามีที่กำลังจะตาย 1940   ทหารญี่ปุ่นท้าทายนักโทษจีนคู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะถูกฆ่า 1938   ทหารญี่ปุ่นประจำตำแหน่งบนสิ่งก่อสร้างจีนโบราณ 1938   ผู้ลี้ภัยหนีจากฉงชิง ในขณะที่เมืองลุกเป็นไฟ 1939   ผลจากการทิ้งระเบิดที่สวนสนุกในปี 1937   แม่ลูกท่ามกลางซากปรักหักพังจากการทิ้งระเบิดในฉงชิง ราวๆ ปี 1937-39   การฝึกกองกำลังป้องกันหญิงในกว่างโจว 1938   ชายหนุ่มกับลูกชายที่ตายในช่วงปี 1937-45   ควันจากเขตจ๋าเป่ย หลังจากการทิ้งระเบิด 1937   การยึดเมืองไท่หยวนโดยทหารญี่ปุ่น 1937   รถถังของกองทัพญี่ปุ่น 1938  …

  • 14 ภาพที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสัน คืนชีวิตสู่เหตุการณ์จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    14 ภาพที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสัน คืนชีวิตสู่เหตุการณ์จากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามที่ถูกเรียกว่า “มหาสงคราม” (Great War) และเชื่อกันว่าเป็น “สงครามที่จะหยุดสงครามทั้งหมด” มีศูนย์กลางการรบในยุโรป และเกิดขึ้นในปี 1914-1918 นี่เป็นสงครามที่ว่ากันว่ามีผู้บาดเจ็บล้มตายถึงประมาณ 40 ล้านคน และส่งผลกระทบเป็นรองเพียงแค่สงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพส่วนหนึ่งจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ถูกนำมาแต่งเติมสีสัน คืนชีวิตให้แก่ภาพของผู้คน ผู้เข้าร่วมสงครามอันโหดร้ายในครั้งนี้   กลุ่มทหารปืนใหญ่อังกฤษนั่งอยู่บนกระสุนปืนใหญ่ในช่วงปี 1918 บนกระสุนเขียนไว้ว่า “RMA” ที่ย่อมาจาก Royal Military Academy และ  “รับประกันเพื่อความสงบ”   ทหารอังกฤษที่หลบอยู่หลังซากอ่างอาบน้ำ คาดว่าเป็นเพียงภาพการล้อเล่นยามว่างของทหาร   ทหารและล่อของเขาเดินผ่านสนามโคลนในแนวรบด้านตะวันตก   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ม้ามีความสำคัญสำหรับการขนส่งมาก ทำให้ในช่วงนั้นมีม้าจำนวนมากเสียชีวิตไปในสงคราม   ทหารในสมัยนั้นใช้ชีวิตอยู่ในสนามเพลาะ จนบางครั้งก็ได้ก็ถูกเรียกเล่นๆ ว่าทหารตัวตุ่น   ส่วนนี่เป็นภาพของทหารฝั่งเยอรมันในแนวหน้าของซอมม์ ซึ่งเป็นสนามรบเดียวกับภาพด้านบน   หน่วยลาดตระเวน “Royal Scots” แห่งกองทัพอังกฤษใน Méteren มิถุนายน 1918  …

  • เปิดที่มาของ “แซนด์วิช” เชื่อหรือไม่ เกิดขึ้นเพราะความ “ไม่อยากหยุดเล่นเกม”

    เปิดที่มาของ “แซนด์วิช” เชื่อหรือไม่ เกิดขึ้นเพราะความ “ไม่อยากหยุดเล่นเกม”

    แซนด์วิชเป็นอาหารที่ช่วยชีวิตเหล่ามนุษย์โลกในยามเช้าที่เร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน และยามดึกเวลาไม่มีอะไรทานได้เป็นอย่างดี มันเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ จากขนมปัง และอาหารอื่นๆ ที่นำมาเป็นไส้ ไม่ว่าจะเป็นแฮม ทูน่า ปูอัด หมูหยอง ชีส แล้วแต่ความชอบของคน ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าเจ้าของที่ทำง่ายๆ แบบนี้ ใครกันที่เป็นคนคิดขึ้นมาคนแรก?     เชื่อหรือไม่ว่าอาหารง่ายๆ อย่างแซนด์วิชนั้น ไม่ได้มีมานานเป็นพันๆ ปีอย่างที่หลายๆ คนคิด ในความเป็นจริงแล้ว ชื่อของมันเพิ่งปรากฏขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 18 นี้เองด้วยซ้ำ โดยผู้ที่คิดค้นการทำแซนด์วิชขึ้นมาเป็นคนแรกคือ John Montagu หรือ เอิร์ลคนที่สี่แห่งแซนด์วิชนั่นเอง     ที่ John Montagu ถูกเรียกว่าว่าเอิร์ล แห่ง แซนด์วิช จะมาจากการที่เรือของบรรพบุรุษตระกูล Montagu เคยไปติดอยู่ที่หาดในเมืองแซนด์วิช ในมณฑลเคนท์ ประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตาม การทำแซนด์วิชครั้งแรก เกิดขึ้นมาจากการที่ John Montagu ชอบเล่นเกมกระดานมาก (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าชอบเล่นไพ่เฉยๆ) เขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปนั่งทานอาหาร เพราะในสมัยนั้นขุนนางจะทานอาหารทีต้องมีการจัดมื้ออาหารใหญ่ๆ ทำให้เสียเวลามาก     ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสั่งให้นำเนื้อสไลด์และขนมปังมาให้เขาที่โต๊ะเกมโดยตรง ก่อนที่เจ้าตัวจะประกบขนมปังทานในขณะเล่นเกมเลยนั่นเอง…

  • Lepa Radić หญิงสาววัย 17 ที่สละชีวิตต่อต้านนาซี วีรสตรีของประชาชนแห่งยูโกสลาเวีย

    Lepa Radić หญิงสาววัย 17 ที่สละชีวิตต่อต้านนาซี วีรสตรีของประชาชนแห่งยูโกสลาเวีย

    ในโลกของเรา บางครั้งผู้เสียสละก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนที่ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้โดยผู้เสียสละเหล่านั้น จะต้องจดจำพวกเขาเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน นี่คือเรื่องของ Lepa Radić เด็กสาวผู้เข้าร่วมกองกำลังปาร์ติซานแห่งยูโกสลาเวียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อต่อสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1941     นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฮิตเลอร์บุกโจมตียูโกสลาเวียในวันที่ 6 เมษายน 1941 เพื่อเปิดทางขึ้นไปยังสหภาพโซเวียต แน่นอนว่าประเทศยูโกสลาเวียพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเยอรมันอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นทางเยอรมนีครอบครองได้แค่เพียงตัวเมืองเท่านั้น ลึกเข้าไปในป่าเขา เหล่าผู้ต่อต้านชาวเซอร์เบียเริ่มที่จะเผยตัวออกมาให้โลกได้เห็นอีกครั้ง พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่กลุ่ม “เชตนิก” และกลุ่ม “ปาร์ติซาน”     เชตนิกเป็นกลุ่มที่ต้องการให้ชาวเซอร์เบียรอดชีวิต และจงรักภักดีต่อระบอบราชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมของยูโกสลาเวีย ในขณะที่ฝั่งปาร์ติซาน หรือนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มีผู้นำคือยอซีป บรอซ หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่น “ติโต” และต่อต้านฝ่ายอักษะอย่างถึงที่สุด Lepa Radić เข้าร่วมฝั่งปาร์ติซานเมื่อตอนที่เธออายุได้ 15 ปีพร้อมๆ กับคนในบ้านของเธอ หลังจากที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากคุก ก่อนที่เด็กสาวจะอาสาเข้าร่วมแนวหน้า โดยรับหน้าที่ขนส่งทหารที่บาดเจ็บออกจากสนามรบ และได้ช่วยชีวิตคนไว้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของ Lepa Radić มาจากการเสียสละในตอนที่เธออายุได้ 17 ปีต่างหาก เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 เธอถูกทางนาซีจับได้ในระหว่างการช่วยเหลือเด็กและผู้หญิง 150 คนออกจากพื้นที่ของฝั่งอักษะ  …

  • 9 ภาพเหยื่อคดีอาชญากรรม ที่เชื่อกันว่าถูกถ่ายโดยฆาตกรของพวกเขาเอง

    9 ภาพเหยื่อคดีอาชญากรรม ที่เชื่อกันว่าถูกถ่ายโดยฆาตกรของพวกเขาเอง

    คำเตือนอาจมีภาพของความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม   เป็นไปได้ว่าสำหรับฆาตกรบางคนแล้ว เหยื่อของพวกเขาจะไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนถ้วยรางวัลในความสำเร็จด้วย ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเห็นฆาตกรบางคนถ่ายภาพเหยื่อของตัวเองโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะกลับมาเป็นหลักฐานมัดตัวหรือไม่ จริงอยู่ว่าหลักการความคิดของฆาตกรเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาไปเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อที่เห็นภาพของเหยื่อของพวกเขา เชื่อว่าหลายๆ คนจะรู้สึกได้ถึงความกลัวในสายตาของเหยื่อเหล่านั้น ดังเช่นภาพของเหยื่อที่เชื่อกันว่าถูกถ่ายโดยฆาตกรทั้ง 9 ภาพเหล่านี้   ภาพผู้เสียหายจากการลักพาตัว ที่ถูกทิ้งไว้ในลานจอดรถ เด็กสาวในภาพเชื่อกันว่าชื่อ Tara Calico ส่วนเด็กชายไม่ทราบว่าเป็นใคร โดยนี่เป็นภาพที่ถูกพบเมื่อเดือนกันยายน 1988 อย่างไรก็ตามแม้ตำรวจจะพยายามขนาดไหน ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการพบตัวทั้งสองอยู่ดี   Judy Ann Dull ก่อนการตายของเธอ Judy ถูกลักพาตัวโดย Harvey Glatman ฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน เขามักปลอมตัวเป็นช่างถ่ายภาพเพื่อล่อเหยื่อให้ติดกับ และก่อนที่เขาจะฆ่าเหยื่อ Harvey จะถ่ายรูปของเหยื่อเอาไว้เสมอๆ และบางครั้งภาพเหล่านั้น ก็ไม่ได้จบลงแค่ก่อนเหยื่อตายอีกด้วย   James Ferris ระหว่างถูกมัดและฉีดยาโดย Bob Berdella Bob Berdella ทำร้ายร่างกาย ทรมาน และสังหารเหยื่ออย่างน้อยๆ 6 คนในช่วงกลางปี 80 นอกจากนี้เขายังชอบ ถ่ายรูปเหยื่อระหว่างการทรมานอีกด้วย โดยภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปในตอนที่ Bob โดนจับ   หญิงสาวไม่ทราบชื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ “Dating…

  • “เงานิวเคลียร์” แห่งเมืองฮิโรชิมา สิ่งเตือนใจถึงความเสียหายจากสงครามและอาวุธนิวเคลียร์

    “เงานิวเคลียร์” แห่งเมืองฮิโรชิมา สิ่งเตือนใจถึงความเสียหายจากสงครามและอาวุธนิวเคลียร์

    6 สิงหาคม 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ของสหรัฐฯ ได้ทำการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองฮิโรชิมา สังหารผู้คนกว่า 70,000 รายภายในเสี้ยวพริบตา และพร้อมๆ กันนั้นเองความร้อนที่รุนแรงของการระเบิดก็ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เงานิวเคลียร์” ขึ้นพร้อมๆ กัน นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากรังสียูวีที่ปล่อยออกมาจากแรงระเบิดไปกระทบ ทำให้ส่วนที่โดนบังไว้ (โดยคนหรือสิ่งของ) โดนเผาไหม้น้อยกว่าส่วนที่ไม่มีอะไรบัง เกิดเป็นความแตกต่างของสีพื้นผิวไป เงานิวเคลียร์แห่งเมืองฮิโรชิมานับว่าเป็นสิ่งที่เตือนใจถึงความเสียหายจากสงครามได้เป็นอย่างดี และบอกเล่าเรื่องราวในวินาทีสุดท้ายของคนที่ต้องเสียชีวิตไปในที่นั้น ให้คนที่ผ่านไปมา โดยไม่ต้องใช้คำพูดด้วยซ้ำ   แน่นอนว่าร่างของคนที่อยู่ในระยะแรงระเบิดจะถูกเผาจนเป็นจุณ ภาพเงาของคนที่ถือบันได ไหม้ติดไปกับตัวอาคาร   พวกเขาจะหายไปในไม่ถึงวินาที และเป็นไปได้ว่าจะไม่รู้ตัวต้องซ้ำว่าตัวเองตายไปแล้ว เงาของคนถือไม้เท้าติดไปกับบันได   แต่เงาพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเท่านั้น เงาของบันไดเกลียว   สิ่งของที่อยู่ในระยะแสง UV ก็จะมีเงาแบบนี้เช่นกัน เค้าร่างของบันได ที่เหลือเพียงเงาบนกำแพง   บางครั้งหากสิ่งนั้นๆ แข็งแรงพอ เราอาจจะเห็นเงาให้เปรียบเทียบกันเลยด้วย เงาของวาล์วเครื่องจักรติดกับกำแพง   ซึ่งโดยมากแล้วจะเกิดกับสิ่งก่อสร้างที่เป็นเหล็ก เงาของนอตที่ไหม้ไปกับกำแพง   หรือสิ่งที่อยู่ไกลจากจุดระเบิดมากพอที่จะโดนเพียงแสงนั่นเอง เงาของสะพานรั้วสะพาน   เงาพวกนี้บางครั้งก็กลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องผี เงาของใครสักคนที่กำลังนั่งอยู่บนบันได   หรือกลายเป็นที่ที่คนไปเคารพความตายของคนในสมัยก่อน เงาดำที่บันไดของวัด   และสิ่งหนึ่งที่เงาพวกนี้มีเหมือนกัน เงาที่ถูกเผาลงบนเสาไม้  …

  • 6 อุปกรณ์การแพทย์ในสมัยก่อนที่น่ากลัวแบบสุดๆ แน่ใจนะว่าไม่ใช่เครื่องทรมาน

    6 อุปกรณ์การแพทย์ในสมัยก่อนที่น่ากลัวแบบสุดๆ แน่ใจนะว่าไม่ใช่เครื่องทรมาน

    ว่ากันตรงๆ อุปกรณ์การแพทย์ไม่ว่าจะในยุคไหนๆ ก็จะมีความน่ากลัวในแบบของมันอยู่เสมอ แต่บ่อยครั้งรูปร่างที่น่ากลัวของมันก็เกิดขึ้นมาจากการออกแบบเพื่อที่จะให้สามารถรักษาคนไข้ได้อย่างปลอดภัยที่สุดนั่นเอง ทำให้พูดได้ว่ารูปร่างน่ากลัวแต่การใช้งานอ่อนโยนก็ไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันบนโลกในนี้เองก็ยังมีอุปกรณ์ที่น่ากลัวทั้งรูปร่างและการใช้งานอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะของที่มาจากในสมัยก่อนแล้วด้วย เหมือนกับอุปกรณ์การแพทย์สุดโหดทั้ง 6 ชิ้นต่อไปนี้นั่นเอง   อุปกรณ์ทำลายทารก ในสมัยที่การผ่าคลอดยังไม่สามารถทำได้ บ่อยครั้งทีมแพทย์จะต้องเลือกว่าจะให้มารดาตายหรือว่าทารกตาย ซึ่งโดยมากแล้วพวกเขาจะเลือกมารดาไว้ก่อน ดังนั้นอุปกรณ์ทำลายทารกจึงเป็นสิ่งที่จะมีติดที่ทำคลอดอยู่เสมอ โดยเจ้าอุปกรณ์ที่ว่าจะมีรูปร่างและชื่อที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย แต่โดยมากจะเป็นแท่งเหล็กที่มีอุปกรณ์เจาะ ตัด หรือเลื่อยติดอยู่ ซึ่งให้ในการ “ทำลาย” ทารกเป็นชิ้นๆ นั่นเอง   Lithotome Caché นี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 เพื่อการกำจัดนิ่วในไต โดยจะใช้เครื่องนี้เสียบเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะเพื่อ “ตัดและขยาย” ส่วนปลายของกระเพาะปัสสาวะ ก่อนจะใช้คีมผ่าตัดคีบนิ่วออกมา   เครื่องเจาะกะโหลก ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันตั้งแต่สมัยก่อนคนเรามักจะเชื่อว่าการ “เจาะกะโหลก” รักษาโรคได้หลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เองเครื่องนี้จึงเกิดขึ้น โดยจะมีลักษณะต่างๆ กันไปตามแต่ละที่ ส่วนในภาพจะเป็นแบบที่คล้ายกับเครื่องทำน้ำแข็งไสแบบหมุนนั่นเอง แล้วก็เผื่อว่าจะยังสยองไม่พอ ในสมัยนั้นไม่มียาชา ยาสลบ หรือยาฆ่าเชื้อนะ   Tongue Écraseur อีกหนึ่งเครื่องมือแพทย์จากช่วงศตวรรษที่ 18 โดยจะทำหน้าที่ในการรักษาเนื้องอกบนลิ้น หรือการติดเชื้อที่ลิ้น ด้วยการตัดลิ้นบางส่วนทิ้งไปจากการ…

  • 24 ภาพประหลาดจากสมัยก่อน ที่ไม่ใช่แค่แปลก แต่บางอย่างก็หาเหตุผลไม่ได้เลยทีเดียว

    24 ภาพประหลาดจากสมัยก่อน ที่ไม่ใช่แค่แปลก แต่บางอย่างก็หาเหตุผลไม่ได้เลยทีเดียว

    โลกของเรานั้น บางครั้งก็เป็นดูเหมือนจะไม่สมประกอบเท่าไหร่ จึงไม่ใช่เรื่องแรกที่มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกในบางครั้งก็จะทำอะไรที่หาเหตุผลไม่ได้อยู่บ้าง ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่คนเรามักจะทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล ราวกับเป็นสายเลือดความติงต๊องที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เชื่อก็ดูภาพในอดีตทั้ง 24 ภาพต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจ   การดื่มชากับช้าง 1939   รถบ้าน หรือบ้านที่เป็นรถ 1926   การแต่งตัวของคู่รักที่เม็กซิโก 1940   การบำบัดเขาสัตว์ ฟินแลนด์ 1935   พางูไปเดินเล่น 1930   สาวๆ ในกางเกงยักษ์ สหรัฐอเมริกา 1933   ช้างงับหัวนักแสดง สหรัฐอเมริกา 1937   รถฮิปโปโปเตมัส? 1924   หญิงชรานักกายกรรม 1977   สาวนักแว๊น? บนรถดัดแปลง ในยุค 1920   คนขี่หมู ในอังกฤษ 1903   ยามเช้าบนรถไฟ ญี่ปุ่น 1964   การตกปลากลางคืนในฮาวาย 1948   ชายที่อ่านหนังสือในโพรงไม้ที่ ออสเตรเลีย   สตันท์แมน 2…

  • “มาตา ฮาริ” นักระบำเปลื้องผ้า โสเภณี และสปายแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    “มาตา ฮาริ” นักระบำเปลื้องผ้า โสเภณี และสปายแห่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

    เคยได้ยินชื่อ “มาตา ฮาริ” กันไหม เธอคือนักระบำเปลื้องผ้า และโสเภณี ผู้มีชื่อเสียงในฐานะสปายผู้ใช้มารยาหญิงที่โด่งดังที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาตา ฮาริมีชื่อเดิมว่า Margaretha Geertruida Zelle เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1876 ใน Leeuwarden ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะหนีจากสามีที่เคยพยายามฆ่าเธอด้วยมีดหั่นขนมปัง ไปยังปารีสในปี 1905 และเปลี่ยนชื่อเป็น มาตา ฮาริ ที่แปลว่า “ดวงตาแห่งทิวากาล” ในเวลาต่อมา     เธอหย่ากับสามีในปี 1906 และทำงานเป็นนักระบำเปลื้องผ้าและโสเภณีอย่างเต็มตัว ด้วยท่าทางการเต้นที่มีจุดเด่นในการเร้าอารมณ์ทางเพศ ทำให้เธอมีคนรักเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารหลายคน ดยหนึ่งในนั้นคือตอนปี 1916 พบรักกับ Vladimir de Masloff ทหารรัสเซียอายุ 21 ปีผู้ตาบอดใ ชายที่เธอเชื่อว่าเป็น “คู่แท้” ด้วยความที่ต้องการเงินมาช่วยเหลือคนรัก มาตา ฮาริได้รับข้อเสนอจากทางฝรั่งเศสเพื่อเป็นสปายในประเทศเบลเยียม ที่กำลังถูกปกครองโดยเยอรมัน เธอใช้เสน่ห์ทำงานเป็นสปายฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจะไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่ติดต่อกับเธอ     หน่วยงานของฝรั่งเศสสืบทราบว่า มาตา ฮาริ เคยได้รับการติดต่อจากประเทศเยอรมันมาก่อน แถมเธอยังมีการให้ข้อมูลของทางฝรั่งเศสแก่ฝั่งเยอรมันอีกด้วย…

  • 5 ฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง กับวีรกรรมเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับเป็นซูเปอร์แมน

    5 ฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สอง กับวีรกรรมเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ราวกับเป็นซูเปอร์แมน

    เชื่อว่าใครๆ ก็ชอบเรื่องราวของฮีโร่ โดยเฉพาะเรื่องราวของฮีโร่แห่งสงคราม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของนายทหารที่ทำตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าคำสั่งนั้นจะนำมาซึ่งความตายของตัวเอง หรือกระทั่งอุทิศตัวให้ชาติแทนประโยชน์ส่วนตน ฐานะของฮีโร่ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ไปไขว่คว้าเอามาได้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สองทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่ไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นฮีโร่ แต่วีรกรรมเบื้องหลังของพวกเขา ยังยิ่งใหญ่ราวกับเป็นซูเปอร์แมนเลยด้วย   Adrian Carton de Wiart สำหรับทหารคนหนึ่ง แค่ผ่านสงครามมาได้โดยไม่ตายก็เก่งแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับทหารแห่งกองทัพอังกฤษคนนี้ เพราะเขาสามารถรอดมาจาก สงครามโบเออร์ครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโปแลนด์-โซเวียต สงครามโปแลนด์-ยูเครน สงครามโปแลนด์-ลิทัวเนีย และสงครามโลกครั้งที่สอง ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากสงคราม เขาตาบอดและเสียแขนไปข้างหนึ่ง แถมยังเคยโดนยิงที่ศีรษะ ใบหน้า มือ ท้อง ขา หัวเข่า และจุดสำคัญอื่นๆ รวม 11 จุดแต่ก็ยังรอดมาได้ แถมยังไม่ยอมออกจากการเป็นทหารอีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกเรียกด้วยชื่อเล่นว่า “ชายผู้ไม่อาจถูกสังหารได้”   John Basilone เขาคือฮีโร่แห่งสงครามโลกครั้งที่สองของฝั่งสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ป้องกันแนวรบจากทหารญี่ปุ่นด้วยหน่วยปืนกลเพียงหน่วยเดียวในศึกที่ Guadalcanal หลังจากวีรกรรมในครั้งนั้น เขาก็ได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานในแนวหลัง แต่เจ้าตัวปฏิเสธ และต่อมาในศึกที่อิโวจิมา John Basilone ก็สละชีวิตตัวเองในการบุกไปทำลายป้อมของศัตรู เพื่อให้รถถังฝ่ายพันธมิตรสามารถผ่านเขตที่วางทุ่นระเบิดไปได้    …

  • 22 ภาพสีจาก “Civil War” สงครามกลางเมืองแท้ๆ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่หนังมาร์เวล

    22 ภาพสีจาก “Civil War” สงครามกลางเมืองแท้ๆ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่หนังมาร์เวล

    เมื่อพูดถึง Civil War เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึงกัปตันอเมริกาขึ้นมาก่อนเป็นอย่างแรก แต่อันที่จริงแล้วหากกล่าวถึง Civil War ส่วนมากแล้วจะเป็นการพูดถึง สงครามกลางเมืองอเมริกาในปี 1861-1865 ต่างหาก โดยนี่เป็นสงครามที่สืบเนื่องจากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับทาสของ สมาพันธรัฐอเมริกาหรือ “ฝ่ายใต้” ที่นำโดย เจฟเฟอร์สัน เดวิส และฝ่ายสหภาพหรือ “ฝ่ายเหนือ” ที่นำโดย อับราฮัม ลินคอล์น และนับเป็นสงครามปลดปล่อยทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะไปดู 22 ภาพสีจาก Civil War แท้ๆ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ใช่กัปตันอเมริกา และไม่มีสไปเดอร์แมนโผล่มากัน   ร่างไร้วิญญาณของทหาร ที่ Antietam 17 กันยายน 1862 ชุดสีเทาคือทหารสมาพันธรัฐ ส่วนสีน้ำเงินคือทหารสหภาพ   ลินคอล์นพบกับนายพล McClellan ที่ Antietam, 3 ตุลาคม 1862   ทหารยืนข้างรถขนปืนใหญ่ 1865   เด็กขนดินปืน ในเมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา 1865   ศพทหารสหภาพ กรกฎาคม 1863   ศพทหารสมาพันธรัฐ 3 เมษายน 1865  …

  • 21 ภาพการใช้เวลาว่างระหว่างสงครามของเหล่าทหาร เพราะคนเรายิ้มได้แม้ในยามยาก

    21 ภาพการใช้เวลาว่างระหว่างสงครามของเหล่าทหาร เพราะคนเรายิ้มได้แม้ในยามยาก

    ในระหว่างสงครามนั้นคนเราอาจจะนึกภาพลักษณ์ของทหารออกได้หลายแบบ สำหรับบางคนอาจจะเป็นภาพของทหารกล้าวีรบุรุษสงคราม ในขณะที่อีกหลายๆ คนอาจจะขึ้นภาพของทหารที่กำลังหวาดกลัวท่ามกลางกองศพ แต่เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะนึกภาพทหารที่ยิ้มแย้มกับเวลาว่างแน่ๆ ถึงอย่างนั้นทหารในสงครามก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ในระหว่างที่ไม่ได้ยิงกันพวกเขาก็ต้องหาอะไรทำลดความเครียดกันบ้าง นำมาซึ่ง ภาพการใช้เวลาว่างในสงครามของเหล่าทหารทั้ง 21 ภาพต่อไปนี้   ทหารอเมริกันนั่งดื่มเบียร์ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   พลร่มอเมริกันนั่งเล่นไพ่ในสงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารฝั่งสหภาพ (นำโดยอับราฮัม ลินคอล์น) ทำตัวติงต๊องในสงครามกลางเมืองอเมริกา   ทหารอเมริกันนั่งดู มิกกี้ รูนีย์ แสดงในสงครามโลกครั้งที่สอง   เหล่าลูกเรือร้องเพลงและเล่นเปียโนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   ทหารอเมริกากับการแข่งขันบนจักรยานในสงครามอิรัก   ทหารอเมริกา เล่นฮอกกี้บนถนนในสงครามอิรัก   ทหารที่กำลังออกเวร ถ่ายรูปกับสาวๆ ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง   นาวิกโยธินถ่ายรูปด้วยหน้าประหลาดในสงครามเวียดนาม   นักบินอังกฤษนั่งหลับในสงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารตั้งวงดนตรีแจ๊สในสงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารแคนาดานั่งดื่มเบียร์ สงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารอังกฤษดูการแข่งมวยในสงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารเยอรมันแกล้งเพื่อนที่หลับในสงครามโลกครั้งที่สอง   ทหารหนุ่มสองนายโพสท่าให้กล้องในสงครามเวียดนาม   กองทัพโซเวียตชมการแสดงในสงครามโลกครั้งที่สอง  …

  • “ยาสุเกะ” ชาวแอฟริกัน ซามูไรผิวสีต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น และนักรบแห่งโอดะ

    “ยาสุเกะ” ชาวแอฟริกัน ซามูไรผิวสีต่างชาติคนแรกของญี่ปุ่น และนักรบแห่งโอดะ

    ถ้าเพื่อนๆ เคยเล่นเกม Nioh เป็นแฟนของอนิเมะเรื่อง Afro Samurai หรือได้ยินข่าวการสร้างหนังซามูไรของ Gregory Widen ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่อง Highlander มาก่อน เพื่อนๆ อาจจะรู้จักซามูไรผิวดำนาม ยาสุเกะ ผู้เป็นต้นแบบของตัวละครในสื่อเหล่านี้ก็เป็นได้     เพราะชายคนนี้คือซามูไรชาวแอฟริกัน ผู้รับใช้โอดะ โนบุนากะแห่งยุคเซงโงกุ และเป็นชายที่ว่ากันว่าเป็น “ซามูไรชาวต่างชาติ” คนแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย เชื่อกันว่าเดิมทีแล้วยาสุเกะเป็นทาสชาวแอฟริกันที่ถูกพาตัวเขามาในญี่ปุ่นด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง อย่างไรก็ตามประวัติของเขาเริ่มต้นขึ้นในตอนที่เขาติดตาม Alessandro Valignano ผู้ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายเยซูอิตในปี 1579     แต่กว่าที่เรื่องราวของเขาจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ก็ในตอนที่โอดะ โนบุนากะมาพบเขาและสนใจในตัวเขามากๆ เพราะคิดว่าตัวเขานั้นถูกอาบด้วย “หมึกดำ” แต่หลังจากพบว่าสีผิวของเขาเป็นสีผิวตั้งแต่กำเนิดโนบุนากะก็ “ปลดปล่อย” ชายหนุ่ม และรับเขาเข้าไปรับใช้     แม้จะไม่มีการระบุชื่อจริงๆ ของชายคนนี้ไว้ในประวัติศาสตร์ แต่โอดะ โนบุนากะก็เรียกเขาว่า “ยาสุเกะ” ดูเหมือนว่าโนบุนากะจะสนใจในพลังของชาวแอฟริกันเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่มีการบรรยาย พลังของยาสุเกะไว้ว่า เท่ากับคนสิบคนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยาสุเกะยังสูงถึง 182 ซม. บวกกับมีสีผิวที่ดำสนิทซึ่งแปลกตาสำหรับคนญี่ปุ่น จนเขามีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวใช้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี   สำหรับที่ญี่ปุ่น…

  • 12 ภาพที่แม้จะดูธรรมดา แต่มีเบื้องหลังสุดน่ากลัว ราวกับหมาป่าสวมหนังแกะไม่มีผิด

    12 ภาพที่แม้จะดูธรรมดา แต่มีเบื้องหลังสุดน่ากลัว ราวกับหมาป่าสวมหนังแกะไม่มีผิด

    บนโลกของเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่มากมาย บางครั้งเบื้องหลังสิ่งที่งดงามก็อาจจะมีอะไรที่เลวร้ายซ่อนอยู่ กบสีสวยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพิษร้ายและนักล่าที่พรางตัวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ที่สำคัญคือความน่ากลัวเหล่านั้นบางครั้งก็ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของรูปภาพเสียด้วย เหมือนกับรูปภาพที่ราวกับหมาป่าสวมหนังแกะทั้ง 12 ภาพต่อไปนี้ ที่แม้จะดูธรรมดา แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่ธรรมดาเลย   รูปภาพของ Regina Kay Walters นี่อาจจะเป็นเหมือนภาพของสาวที่ไม่อยากถ่ายรูปเฉยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วภาพนี้ถ่ายโดย Robert Ben Rhoades ชายผู้ลักพาตัว Regina ไป และสังหารเธอหลังจากนั้น   ภาพชายจูงเด็ก แม้ภาพนี้จะเหมือนการพาเด็กไปเที่ยวเล่นธรรมดา แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดภาพสุดท้ายที่ถ่ายติดเด็กคนนี้เลย เพราะหลังจากนั้นเด็กในภาพก็โดนทรมาน ก่อนถูกสังหารทิ้งในภายหลังนั่นเอง   นี่อาจจะเหมือนภาพรอยเปื้อนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วนี่คือรอยคาร์บอนซึ่งเกิดจากการที่ร่างของคนสลายไปในแรงระเบิดของนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาต่างหาก   นี่ก็อาจจะเหมือนภาพครอบครัวธรรมดาเช่นกัน แต่หากสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่าชายที่มุมซ้ายของภาพถือปืนอยู่ และนี่ก็เป็นภาพในวินาทีก่อนที่การสังหารสมาชิกสภาเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ นาย Reynaldo Dagsa (ผู้ถ่ายภาพ) นั่นเอง   นี่ไม่ใช่แค่ภาพตัวตลกน่ากลัวหน่อยๆ แต่เป็นภาพของ John Wayne Gacy ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ผู้สังหารคนกว่า 30 คนในเวลาหกปีเลยทีเดียว   นี่อาจจะเหมือนภาพงานปาร์ตี้ธรรมดา แต่จริงๆ…

  • เปิดที่มาของ “ดอกไม้ไฟ” ความงดงามแห่งท้องฟ้างานเทศกาล ที่อยู่คู่กับมนุษย์มานาน

    เปิดที่มาของ “ดอกไม้ไฟ” ความงดงามแห่งท้องฟ้างานเทศกาล ที่อยู่คู่กับมนุษย์มานาน

    ในหลายๆ ประเทศของโลก งานเทศกาลมักจะมากับดอกไม้ไฟอันงดงาม แถมในบางครั้งยังสามารถทำออกมาเป็นสีและรูปร่างต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่าดอกไม้ไฟนั้นมันมาจากไหนกันแน่     ว่ากันว่าดอกไม้ไฟถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน ไม่ก็อินเดีย หรือตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของดอกไม้ไฟที่เคยมีการค้นพบนั้น มาจากประเทศจีนในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 800 โดยเป็นการผสมเกลือ กำมะถัน และถ่านเพื่อสร้างดินปืนดิบอย่างง่าย ดูเหมือนว่าเดิมทีแล้ว นี่จะเป็นการทดลองเพื่อค้นหายาอายุวัฒนะ แต่ก็กลายเป็นว่าพวกเขาได้ผลิตสิ่งอื่นขึ้นมาแทน มันเป็นผงประหลาดที่จะระเบิดอย่างแรงเมื่อติดไฟ และนำมาซึ่งความเชื่อที่ว่าดินปืนที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้น อาจมีอำนาจใช้ไล่วิญญาณร้ายได้นั่นเอง     นั่นทำให้คนจีนเริ่มใช้ดินปืนกันอย่างแพร่หลาย โดยในช่วงแรกๆ พวกเขาจะเอาดินปืนไปใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ และจุดไฟจนเกิดเป็นเสียงดัง ก่อนที่จะพัฒนาไปใช้กระดาษห่อดินปืนและทำชนวนจนกลายเป็นประทัดในเวลาต่อมา กระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 10 พวกเขาก็เอาประทัดไปติดไว้กับธนูเพื่อการสงคราม และพัฒนาต่อยอดเป็นพลุที่สามารถยิงใส่ศัตรูโดยไม่ต้องพึ่งธนูในเวลาราวๆ 200 ปีต่อมา และกลายเป็นต้นกำเนิดของดอกไม้ไฟอย่างที่พวกเราคุ้นเคยกัน ดอกไม้ไฟแพร่เข้าไปในยุโรปในปี 1295 จากการเดินทางของมาร์โค โปโล (ซึ่งในสมัยนั้น แม้จะมีหลักฐานการใช้ดินปืนอยู่แล้วแต่ไม่ใช่กับดอกไม้ไฟ) ทำให้การมาของดอกไม้ไฟในครั้งนี้เชื่อกันว่าช่วยให้ทางตะวันตกพัฒนาอาวุธที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกอย่าง “ปืน” นั่นเอง     แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังใช้ดอกไม้ไฟในการเฉลิมฉลองซึ่งเป็นจุดประสงค์จริงๆ ที่นำมาตอนแรกเช่นกัน และไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา) พวกเขาก็เอาดอกไม้ไฟไปด้วย และแม้ว่าในปัจจุบัน หลายๆ…

  • 5 ความเป็นอยู่ของลูกหลาน “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์  ไปดูกันว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง

    5 ความเป็นอยู่ของลูกหลาน “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์ ไปดูกันว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง

    คนเราส่วนใหญ่มักจะทราบจุดจบของเหล่า “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์กันเป็นอย่างดี เพราะเรื่องราวเหล่านี้มักจะเป็นเรื่องราวที่มีในบทเรียน หรือมีการบันทึกและป่าวประกาศกันเป็นอย่างดี แต่เรื่องพวกนี้ มักจะไม่ได้นับรวมลูกหลานทายาทของพวกเขาเอาไว้ด้วย นั่นทำให้หลายๆ ครั้ง เหล่าทายาทที่ว่าก็ถูกมองราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องแบกรับความหวาดกลัวของคนรอบข้างที่คิดว่าสักวันพวกเขาอาจจะกลายเป็นเหมือนกับบรรพบุรุษด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมความเป็นอยู่ของเหล่าทายาทของ “วายร้าย” ในประวัติศาสตร์กัน   ทายาทของ แฮร์มัน เกอริงทำหมันตัวเอง เบ็ทตินา เป็นทายาทของ แฮร์มัน เกอริง (ลูกสาวของหลานสาวของแฮร์มัน) ผู้นำแห่งเรชสแต็ก ชายผู้มีอำนาจเป็นรองแค่เพียง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในสมัยนาซีเยอรมัน โดยเหตุผลที่เธอทำหมันตัวเองนั้นเจ้าตัวบอกว่าเพราะความกลัวที่ว่าตัวเองจะ “สร้างสัตว์ประหลาดอีกตัวขึ้นมา”   ลูกสาวของ พล พต ใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ซอ พัชฏะเป็นลูกสาวของ พล พต ผู้นำเขมรแดง ผู้ที่เชื่อกันว่าอยู่เบื้องหลังความตายของโศกนาฏกรรมในกัมพูชา ช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจ อย่างไรก็ตามลูกสาวของเขาแตกต่างไปจากพ่อมาก เพราะหลังจากพ่อของเธอโดนจับและเธอต้องหนีตายเป็นเวลานาน ตอนที่พ่อของเธอเสียชีวิต ซอก็ตัดสินใจที่จะอยู่อย่างคนธรรมดาตลอดมา และเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมาเธอก็ได้แต่งงานแล้วด้วย   อูเดย์ ฮุสเซน อาจจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพ่ออีก อูเดย์…

  • 30 ภาพญี่ปุ่นหลังยอมแพ้สงคราม ช่วงเวลาเยียวยาตัวเองก่อนจะเป็นญี่ปุ่นแบบทุกวันนี้

    30 ภาพญี่ปุ่นหลังยอมแพ้สงคราม ช่วงเวลาเยียวยาตัวเองก่อนจะเป็นญี่ปุ่นแบบทุกวันนี้

    หลังจากที่ประกาศยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขไปในปี 1945 ประเทศญี่ปุ่นก็เข้าสู่ช่วงที่หลายๆ คนบอกว่า “ลำบากที่สุด” ของประเทศ มันคือช่วงเวลาที่ประเทศเยียวยาตัวเองจากไฟสงคราม และค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละนิดจนเป็นกลายเป็นญี่ปุ่นอย่างที่เราคุณเคยกันในปัจจุบัน ดังนั้นในวันนี้เราจะมาชมภาพของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไปดูกันดีกว่าว่าหลังแพ้สงคราม ประชาชนที่นั่นมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง   ผู้หญิงและเด็กช่วยกับทำความสะอาดเศษซากจากบนถนนในโตเกียว 14 สิงหาคม 1945   เด็กที่ถูกส่งคืนประเทศ 30 สิงหาคม 1946   ทหารอเมริกันกับเด็กๆ ญี่ปุ่น ในโตเกียว กันยายน 1945   ซากตึกจากการทิ้งระเบิดของเครื่อง B-29 1 สิงหาคม 1945   หญิงในรถโตโยต้ารุ่นใหม่ 1947   ทหารญี่ปุ่นเดินผ่านจุดทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในฮิโรชิมา กันยายน 1945   คู่รักชาวญี่ปุ่นกำลังนวดข้าว 1949   จักรพรรดิฮิโรฮิโตะและคุณหญิงนากาโกะ พบประชาชน เมื่อช่วงปี 1945   นายทหารที่ได้รับหน้าที่จัดหาอาหารและที่พักพิงให้ผู้สูญเสียจากสงคราม เมื่อช่วงปี 1950   ชายที่นั่งในวัดพร้อมกล่องที่บรรจุเถ้ากระดูกของเหยื่อระเบิดที่ฮิโรชิมา กันยายน 1945   ความเสียหายจากการทิ้งระเบิดในโตเกียว ฤดูร้อน…

  • 13 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต เพราะการค้นรูปเก่าๆ ก็เหมือนการขุดสมบัติแบบหนึ่งนี่เอง

    13 ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีต เพราะการค้นรูปเก่าๆ ก็เหมือนการขุดสมบัติแบบหนึ่งนี่เอง

    ว่ากันว่าโลกของเราเต็มไปด้วยเรื่องแปลกๆ ที่น่าสนใจ และในหลายๆ ครั้งเรื่องเหล่านั้นก็มักจะถูกบันทึกไว้เป็นภาพได้อย่างพอดิบพอดีเสียด้วย ด้วยเหตุนี้เองบางครั้งการไปค้นรูปเก่าๆ ในสมัยก่อนมาดูจึงเป็นเหมือนการขุดสมบัติแบบหนึ่ง ที่เราไม่อาจจะทราบได้เลยว่าเจอกับของแปลกๆ แบบไหน ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้รวบรวม ภาพแปลกๆ หายากจากในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แต่จะแปลกขนาดไหนนั้น ต้องลองไปชมกันเอง ข้างล่างนี่   นี่คือ Punt gun ปืนล่านกแบบติดเรือที่เคยใช้งานจริงๆ ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 อย่างไรก็ตามปืนนี้ถูกห้ามใช้ไปแล้วเนื่องจากมันล่านกได้ดีเกินไป ถึงขั้นที่ว่านัดเดียวสังหารนกได้กว่า 50 ตัวเลย   ทุกภาพบอกเล่าเรื่องราว นี่เป็นภาพของชนชั้นสองสองคนกับเด็กที่โดดเรียนสามคน ซึ่งมีชื่อเสียงมากในปี 1937 เนื่องจากเด็กในภาพส่วนใหญ่ ล้วนแต่โตมามีชีวิตที่ยากลำบาก   มูฮัมหมัด อาลี ฝึกใต้น้ำที่ไมอามี่ในปี 1961   ภาพที่ส่งให้หน่วย OSS ของสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ไม่ได้ตายแต่ปลอมตัวหนีการจับกุม   สตีฟ บูเซมีในวัยหนุ่ม ตอนนั้นเขากำลังเป็นนักดับเพลิง   ไมค์ ไทสัน กับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ในวัยเด็ก  …

  • เปิด “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ตัวอย่างความเลวร้ายจากความเชื่อและการกล่าวหาผู้อื่น

    เปิด “คดีล่าแม่มดแห่งซาเลม” ตัวอย่างความเลวร้ายจากความเชื่อและการกล่าวหาผู้อื่น

    หากพูดถึงการล่าแม่มดที่มีชื่อเสียงที่สุดในอดีต เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อของคดีล่าแม่มดแห่งซาเลมกันมาก่อนก็เป็นได้ นี่คือคดีล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนปี 1692 ถึง เดือนพฤษภาคมปี 1693 ที่หมู่บ้านซาเลม รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา โดยเป็นการกล่าวหาเด็กๆ  ในหมู่บ้านว่าถูกสิงโดยปีศาจ และเหล่าผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นแม่มดนั่นเอง     ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มดในครั้งนี้มาจากการที่ เด็กหญิงสองคนในหมู่บ้าน อบิเกล วิลเลียม วัย 11 ขวบ และอลิซาเบธ แพร์ริส หรือ “เบ็ตตี้” วัย 9 ขวบ เริ่มแสดงอาการประหลาดอย่างการกรีดร้องโวยวาย และบิดไปมาอย่างรุนแรงน่าหวาดกลัว ก่อนที่อาการจะค่อยๆ ลามไปในหมู่เด็กสาวในหมู่บ้านทีละคน ในปัจจุบันอาการที่ว่านี้จะได้รับการสันนิษฐานว่าเกิดจากเชื้อรากลุ่มเออร์กอตอัลคาลอยด์  ซึ่งมักปนเปื้อนมาในธัญพืชที่เก็บไว้โดยเฉพาะข้าวไรย์ โดยเชื้อราชนิดนี้มักทำให้เกิดพิษหลอนประสาท ชักเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุกและเนื้อตาย     อย่างไรก็ตามในสมัยนั้น บาทหลวงที่เข้ามาในหมู่บ้านกลับประกาศว่าอาการของเด็กๆ นั้นเป็นการกระทำของแม่มด จนทำให้เกิดการกล่าวหาคนในหมู่บ้านทั้งโดยบาทหลวง เด็กๆ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านด้วยกันเอง จนทำให้ในที่สุดก็มีคนในหมู่บ้านกว่า 60 คนโดนจับขัง การพิจารณาคดีและพิพากษาเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น โชคร้ายที่ศาลในตอนนั้นมีความอยุติธรรมค่อนข้างสูง บวกกับการซัดทอดคนอื่นไปมาของคนในหมู่บ้านก็ทำให้มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ถูกแขวนคอในแต่ละสัปดาห์ จนถึงขนาดว่ามีคำกล่าวว่าแท่นแขวนคอนั้นไม่เคยว่างจากศพเลยทีเดียว     กว่าที่ความบริสุทธิ์ของคนในหมู่จะได้รับการยอมรับจริงๆ ก็หลังจากนั้นนานพอสมควร…

  • 5 บุคคลที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ แต่ก็อาจจะเคยทำอะไรลามกไม่ใช่น้อย

    5 บุคคลที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ แต่ก็อาจจะเคยทำอะไรลามกไม่ใช่น้อย

    ว่ากันว่ามนุษย์เราแทบจะทุกคนมีความลามกซ่อนอยู่ในตัวเสมอ มันอยู่ที่ว่าใครจะซ่อนความลามกของตัวเองได้ดีกว่ากันก็เท่านั้น ความลามกนั้นไม่สนว่าคุณเป็นใครหรือมาจากไหน เพราะต่อให้มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ในหลายๆ ครั้งคนก็หนีความอยากไม่พ้นอยู่ดี เหมือนกับเหล่าคนดังทั้ง 5 คนต่อไปนี้ ที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์แบบสุดๆ แต่ก็อาจจะเคยทำอะไรลามกไม่ใช่น้อยในเวลาเดียวกัน   ซิกมันด์ ฟรอยด์ ซิกมันด์ ฟรอยด์เป็นผู้คิดค้นชุดทฤษฎีและเทคนิคจิตวิทยาที่เรียกว่า “จิตวิเคราะห์” อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความสำคัญที่สุดของโลกในด้านในด้านจิตวิทยาคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกทางเพศกับแม่แท้ๆ ของเขาด้วย เพียงแต่ซิกมันด์ ฟรอยด์บอกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีที่ว่าเด็กผู้ชาย มักจะหลงรักแม่ของตัวเองในช่วงหนึ่งของชีวิตเป็นธรรมดา ดังนั้นไม่แน่ว่าการยอมรับของเขานั้น จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในทฤษฎีปมออดิปุสก็เป็นได้   มหาตมะ คานธี เป็นชื่อที่ไม่น่าเชื่อที่สุดชื่อหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เชื่อไหมล่ะว่าเบื้องหลังชายผู้ที่ถือเพศพรหมจรรย์ตั้งแต่อายุ 37 ผู้นี้ เขาเคยฝึกการนอนกับสาวแก้ผ้าเพื่อ “ทดสอบ” ความอดทนทางเพศของตัวเองด้วย นอกจากนี้เขายังร่วมใน “กิจกรรม” ที่ไม่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อื่นๆ อย่างการ ให้ผู้หญิงเต้นยั่วสวาท หรืออาบน้ำกับผู้หญิงหลายๆ คนด้วย แต่ตามทำบอกเล่าของคนรอบข้าง ในท้ายที่สุดคานธีก็ถือเพศพรหมจรรย์ผ่านทุกอย่างมาได้ด้วยดี   โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท เขาคือสุดยอดนักแต่งเพลงในตำนานสำหรับหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ แต่รู้รึเปล่าว่าในบรรดาเพลงที่เขาแต่งนั้น มีเพลงที่มีเนื้อหาลามกแบบสุดๆ อยู่ด้วย โดยเจ้าเพลงที่ว่ามีชื่อว่า…

  • เปิดตำนาน “ชาแมน” ผู้รู้และหมอยา ตำแหน่งประจำชนเผ่าที่มีอยู่ทั่วทุกทวีปในโลก

    เปิดตำนาน “ชาแมน” ผู้รู้และหมอยา ตำแหน่งประจำชนเผ่าที่มีอยู่ทั่วทุกทวีปในโลก

    เมื่อพูดถึง “ชาแมน” เชื่อว่าคอการ์ตูนหลายๆ คนคงนึกถึง “ชาแมนคิง ราชันแห่งภูต” เป็นอย่างแรก เพราะเอาเข้าจริงๆ เรารู้เรื่องของ “ชาแมน” บนโลกจริงๆ กันค่อนข้างน้อย แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็น่าสนใจกว่าที่คิด ชาแมน (Shaman) มาจากกลุ่มภาษาตุงกูซิกที่ใช้พูดในไซบีเรียตะวันออก โดยเป็นการรวมคำว่า “ša” ที่แปลว่า “รู้” เขากับคำว่า “Man” ที่แปลว่า “คน” ดังนั้น ชาแมนจึงแปลได้ตรงๆ ว่า “ผู้รู้” นั่นเอง     ชาแมนนั้นว่ากันว่ามีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากไซบีเรีย แต่นักวิทยาศาสตร์ก็พบหลักฐานของชาแมนอยู่ทั่วทุกทวีปในโลกด้วยเช่นกัน โดยพวกเขาจะเป็นคนที่รับหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างสถานที่ของเรากับ “สถานที่ที่สูงกว่า” ซึ่งคล้ายคลึงกับนักบวชของคาทอลิก อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อกับเบื้องสูงของชาแมนโดยเฉพาะในไซบีเรีย มักจะทำขึ้นเพื่อการรักษา ทั้งทางกายภาพ และจิตวิทยา และไม่ใช่แค่ของผู้ป่วยคนสองคน แต่เป็นทั้งชุมชน ซึ่งนับรวมต้นไม้ใบหญ้า และเหล่าสรรพสัตว์ด้วย     นั่นทำให้ผู้เป็นชาแมนมีความรู้ในการผสมสมุนไพรเพื่อทำยารักษา เป็นผู้นำในการติดต่อกับวิญญาณ หรือในบางครั้งก็มีการใช้สารหลอนประสาทในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จนเป็นที่เชื่อถือและเคารพของคนในเผ่ามากๆ แต่การใช้สารหลอนประสาทนี้เหล่านี้ ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลให้หลายๆ ประเทศมองชาแมนว่าเป็นตำแหน่งที่ผิดกฎหมายเช่นกัน ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าชาแมนจะใช้สารหลอนประสาททุกคน เพราะวิธีการรักษาของชาแมนมักจะแตกต่างกันไปในชนเผ่า…

  • “คริส คอสท์เนอร์ ไซส์มอร์” หญิงสาว 22 ใบหน้า กรณีศึกษาของอาการหลายบุคลิก

    “คริส คอสท์เนอร์ ไซส์มอร์” หญิงสาว 22 ใบหน้า กรณีศึกษาของอาการหลายบุคลิก

    คริส คอสท์เนอร์ ไซส์มอร์ (Chris Costner Sizemore) อาศัยอยู่ในเมืองเอดเกอร์ฟิลด์ รัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงในบทความการศึกษาทางจิตเวชศาสตร์ “The Three Faces of Eve” ในฐานะของหญิงสาวที่มีหลากหลายบุคลิก     คริสเกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1927 และได้พบเห็นภาพอันโหดร้ายตั้งแต่ยังเด็ก แม่ของเธอโดนมีดแทงจากอุบัติเหตุในห้องครัวอาการสาหัส เพื่อนร่วมงานของพ่อเธอก็โดนเลื่อยหั่นไม้หั่นเป็นสองส่วนต่อหน้า แถมเธอยังต้องเข้าร่วมงานศพของเด็กที่เป็นญาติอีก นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกถึงใครบางคนในจิตใจของเธอเอง เธอมักจะเห็นเด็กหญิงผมแดงคนหนึ่ง ที่จะ “ออกมา” แทนตัวเธอในเวลาที่เจ็บปวด และอาการหลายบุคลิกของเธอก็เริ่มต้นขึ้นจากวันนั้น     คริสบอกว่าเธอจะ “เปลี่ยนไป” เมื่อมีอาการปวดหัวรุนแรง และหมดสติไป ทำให้หลายๆ ครั้งเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอสลับบุคลิกไปตอนไหน หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามตอนที่ “อีฟ แบล็ก” หนึ่งในบุคลิกของเธอพยายามจะบีบคอลูกสาววัย 2 ขวบของเธอ คริสก็ตัดสินใจเข้าพบจิตแพทย์ทันที โชคดีที่ในวันนั้นลูกสาวของเธอถูกช่วยไว้ทันโดย “อีฟ ไวท์” อีกหนึ่งตัวตนของเธอ และหลังจากที่เข้าพบกับจิตแพทย์พวกเขาก็พบว่าคริสนั้น ยังมีบุคลิกที่สาม “เจน” อยู่อีกด้วย โดยนี่เป็นสามบุคลิกที่โด่งดังที่สุดของคริสจนถึงขนาดที่มีการนำไปแสดงเป็นภาพยนตร์…

  • ชม 5 สิ่งของในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี แต่เป็นเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

    ชม 5 สิ่งของในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี แต่เป็นเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

    ว่ากันว่าคนเราแสวงหาความเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามบนโลก หากได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดย่อมมีเสน่ห์ที่หาใดเปรียบไม่ได้เป็นธรรมดา แม้ว่าสิ่งที่พูดถึงนั้น จะเป็นคน สัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของในชีวิตประจำวันก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปพบกับ 5 สิ่งของในชีวิตประจำวันที่เรารู้จักกันดี ในเวอร์ชันเก่าแก่ที่สุดนั่นเอง   เสื้อที่เก่าที่สุดในโลก นี่คือชุดที่เรียกกันว่า ชุด “Tarkhan” ถูกค้นพบเมื่อปี 1912 ในสุสานอียิปต์โบราณทางตอนใต้ของกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ นี่เป็นชุดที่มีการใช้งานในช่วง 3,482-3,102 ปีก่อนคริสตกาล โดยทำจากผ้าลินิน และเชื่อกันว่าเป็นเสื้อผ้าที่ใส่กันในหมู่หญิงผู้สูงศักดิ์นั่นเอง   รูปสลักไม้ที่เก่าแก่ที่สุด นี่คือ Shigir Idol รูปสลักไม้ที่ถูกพบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1894 เชื่อกันว่ามีอายุมากถึง 11,000 ปี และแกะขึ้นมาจากต้นไม้ที่มีอายุกว่า 159 ปีในตอนนั้น รูปสลักไม้นี้สูง 2.8 เมตร และว่ากันว่าเดิมทีแล้วน่าจะมากถึง 5.3 เมตรมาก่อนเลยด้วย   การร้องเรียนจากลูกค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นี่เป็นแผ่นหินที่อยู่มาตั้งแต่เมื่อ 1,750 ปีก่อนก่อนคริสตกาล โดยเป็นแผ่นหินที่มีการสลักคำร้องเรียนจากลูกค้าที่ไม่พอใจในคุณภาพของสินค้าของพ่อค้าในบาบิโลเนียนั่นเอง   กางเกงที่เก่าแก่ที่สุด จริงอยู่ที่เสื้อที่เก่าที่สุดในโลกถูกค้นพบที่ประเทศอียิปต์…

  • 25 ภาพชีวิตของผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา อีกมุมมหนึ่งประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    25 ภาพชีวิตของผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา อีกมุมมหนึ่งประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    Jacob Riis คืออดีตผู้ที่อพยพมาจากเดนมาร์กในปี 1870 ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาดูราวกับเป็นเมืองที่เฟื่องฟูน่าอยู่ แต่หลังจากที่เขาย้ายเข้ามาในสหรัฐอเมริกาจริงๆ สิ่งที่เขาพบกลับผิดไปจากที่เขาคิดมากเหลือเกิน คนในยุคนั้นไม่ได้อยู่กันอย่างสบายอย่างที่คิด เพราะการรับคนอพยพเข้าประเทศเป็นจำนวนมากทำให้การดูแลคนในประเทศเป็นไปได้อย่างไม่ทั่วถึง เด็กๆ ที่อพยพมาต้องอยู่อย่างแร้นแค้น และคนส่วนมากอยู่ต้องอยู่ในสลัม ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ขัดสนเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขาหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ด้วยการโชว์ภาพอีกมุมมหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ให้โลกรู้ ภายใต้ชื่อผลงาน “How the Other Half Lives” นั่นเอง   เด็กหญิงที่อุ้มทารกอยู่ข้างๆ ถังขยะในช่วงปี 1890   คนอพยพชาวอิตาเลียนสูบบุหรี่ในบ้านชั่วคราวของเขา ในช่วงปี 1890   เหล่าชายหนุ่มยืนอยู่ในซอยที่รู้จักกันในชื่อ “ที่พักโจร” 1887-1890   เด็ก ๆ ที่นอนหลับอยู่ใกล้กับตะแกรงความร้อน เพื่อความอบอุ่น 1890-1895   เด็กหนุ่มและแรงงานในโรงงานนรก 1889   แก๊งชื่อดัง “Short Tail” นั่งอยู่ใต้สะพาน 1887-1889   ชายกับบ้านโทรมๆ 1887-1888   เด็กสองคนนอนในตึกของบริษัทหนังสือพิมพ์ที่พวกเขาทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ให้   คนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินมากว่า 4 ปี  …

  • ชมภาพเหล่าสาวฝรั่งเศสที่ให้ความร่วมมือแก่ “นาซี” กับบทลงโทษหลังประเทศได้รับอิสระ

    ชมภาพเหล่าสาวฝรั่งเศสที่ให้ความร่วมมือแก่ “นาซี” กับบทลงโทษหลังประเทศได้รับอิสระ

    ในปี 1944 ประเทศฝรั่งเศสที่ถูกปกครองโดยนาซีได้รับอิสระภาพอีกครั้งจากการปลดปล่อยของทหารฝ่ายพันธมิตร นั่นเป็นเวลาที่ประชาชนจำนวนมากของฝรั่งเศสร่วมกันเฉลิมฉลองในวันดีๆ ที่พวกเขาได้รับ หลังจากถูกกดขี่มาเป็นเวลานาน แต่ในบรรดาคนที่กำลังหัวเราะอยู่นั่นเอง ก็ยังมีผู้หญิงอยู่กลุ่มหนึ่งที่ยิ้มไม่ออกเหมือนกับคนอื่นๆ เช่นกัน พวกเธอคือ “Collaboration horizontale” เหล่าผู้หญิงที่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซี ไม่ว่าจะเต็มใจ หรือโดนบังคับก็ตาม   Collaboration horizontale คือเหล่าผู้หญิงที่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซี   การให้ความร่วมมือกับฝ่ายนาซีที่ว่า อาจมาจากความสมัครใจหรือโดนบังคับ   ผู้หญิงที่มีปฏิสัมพันธ์กับทางนาซี จะถูกมองว่าเป็นผู้ให้ความร่วมมือทั้งสิ้น   ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลกับทางนาซี   หรือการร่วมหลับนอนเพื่อแลกความสบายในสงคราม   ในบางกรณีพวกเธออาจจะตามคนรักไปเป็นเชลยสงครามด้วย   แต่บางครั้งพวกเธอก็อาจจะอยู่ในประเทศต่อไปโดยทำเป็นว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับนาซีมาก่อน   แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า คนที่ตามทหารนาซีไปในคุกต่างหาก   ที่น่าจะปลอดภัยกว่าคนที่อยู่ในเมืองต่อไป   เพราะหลังจากที่ฝรั่งเศสเป็นอิสระ พวกเธอจะถูกประณามอย่างหนักจากคนในประเทศ   ต้องถูกกล้อนผมทั้งศีรษะเพื่อเป็นการประจาน   บางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นโดนยิงทิ้งเลยก็มี   ผู้คนในสมัยนั้นยังโกรธแค้นพวกนาซีอยู่มาก ดังนั้นจึงไม่มีความสงสารใดๆ แก่เหล่าผู้ร่วมมือ   ทั้งที่บางครั้งพวกเธอก็ทำไปด้วยความจำเป็นจริงๆ   แค่โดนบังคับให้ร่วมมือ   หรือแค่โดนกล่าวหาเท่านั้น…

  • เปิดตำนานแห่ง “ชาวไวกิ้ง” นักรบแห่งสแกนดิเนเวีย ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด

    เปิดตำนานแห่ง “ชาวไวกิ้ง” นักรบแห่งสแกนดิเนเวีย ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด

    สำหรับหลายๆ คน ภาพลักษณ์ของชาวไวกิ้งคงจะเป็นกลุ่มชายร่างยักษ์ใส่หมวกเหล็กมีเขา เปลือยกายท่อนบน และใช้ขวานใหญ่เป็นอาวุธสังหารคนปล้นสะดม ว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วชาวไวกิ้งแทบจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเคย เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมมากกว่านั้นเยอะ     “ชาวไวกิ้ง” เป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับท้องทะเลในช่วง “ยุคไวกิ้ง” (ศตวรรษที่ 9-11) มีชื่อเรียกมาจากภาษาสแกนดิเนเวียน “Vikingr” ที่แปลว่า “โจรสลัด” อย่างไรก็ตาม คำว่าไวกิ้งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “การเดินเรือ” เสียมากกว่า แถมเดิมทีแล้วคำว่าจัดเป็นคำกริยาอีกด้วย แม้ว่าจะมีชื่อเสียงในการปล้นสะดมและเรื่องป่าเถื่อน แต่จริงๆ แล้วชาวไวกิ้งออกเดินเรือเพื่อทำการค้าขายทางน้ำ ค้นหาดินแดนใหม่ๆ มากกว่า นอกจากนี้พวกเขายังมีการปลูกพืช ทำปศุสัตว์เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ แถมยังมีหลักฐานการใช้หวี ช้อน และรักในการรักษาความสะอาด หรือแม้กระทั่งกฎหมาย เรียกได้ว่ามีอารยธรรมสูงเลยด้วยซ้ำ     นอกจากนี้ชาวไวกิ้งยังไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่คิดเสมอไป เพราะแถวๆ สแกนดิเนเวียมีฤดูร้อนสั้น ทำให้การปลูกพืชทำได้อย่างจำกัด จนมีชาวสแกนดิเนเวียนจำนวนมากเหมือนกันที่ตัวเล็กจากการขาดอาหาร     อีกทั้งจากลักษณะภูมิประเทศก็ทำให้ชาวไวกิ้งมักจะอาศัยกันเป็นกลุ่มๆ ดังนั้นการรวมพลจำนวนมากจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ทำให้แท้จริงแล้วคนไวกิ้งไม่ได้เหมาะสมกับสงครามอย่างที่หลายๆ คนคิด ที่สำคัญหมวกเกราะของชาวไวกิ้งไม่ได้ประดับเขาเสมอไป หมวกเกราะจริงๆ ของชาวไวกิ้งมักจะมาในรูปแบบหมวกหนัง หรือหมวกเหล็กธรรมดาติดเกราะโซ่ถัก  ส่วนการที่ชาวไวกิ้งใส่หมวกเกราะมีเขานั้น แท้จริงแล้วมาจากความคิดของคนสมัยวิกตอเรียเสียส่วนใหญ่     เป็นไปได้ว่าภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของชาวไวกิ้งจะมาจากการโฆษณาชวนเชื่อของทางคาทอลิกในช่วงศตวรรษที่…

  • เรื่องราวการสังหารหมู่ชาว Herero และ Nama การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20

    เรื่องราวการสังหารหมู่ชาว Herero และ Nama การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20

    เมื่อพูดถึงการการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ว่าใครก็คงคิดถึงการสังหารชาวยิวของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนเป็นสิ่งแรกว่าแต่เชื่อหรือไม่ว่าที่ประเทศเยอรมนีเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คือการสังหารหมู่ของชาว Herero และ Nama ที่เริ่มต้นในช่วงปี 1904 และว่ากันว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกในศตวรรษที่ 20 อีกด้วย     เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อชาว Herero และ Nama (ประเทศนามิเบียในปัจจุบัน) ก่อการกบฏต่ออาณานิคมเยอรมันหลังจากที่ถูกกดขี่มากว่า 2 ทศวรรษ ทำให้เกิดการต่อสู้ไปทั่วพื้นที่ และนำไปสู่สงครามในที่สุด จริงอยู่ว่าทหารเยอรมันได้รับชัยชนะจากสงครามในครั้งนั้น แต่แทนที่เรื่องราวจะจบลงแค่นั้น ทางประเทศเยอรมนีกลับมองว่าชาว Herero และ Nama เป็นอันตรายและได้ตัดสินใจออกคำสั่งขุดรากถอนโคนชนชาติทั้งสองเสีย   ทหารเยอรมันในช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์   สามปีหลังจากนั้นทหารเยอรมันได้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะล้างบางชาว Herero และ Nama ออกไปจากประเทศ ไม่ว่าจะด้วยการวางยาพิษบ่อน้ำ สังหารพลเรือน ปล่อยชาวบ้านไว้ในทะเลทราย หรือแม้กระทั่งสร้างค่ายกักกัน แม้ไม่อาจทราบตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงๆ ได้ แต่เชื่อกันว่าราวๆ 75% ของชาว Herero และราวๆ 50% ของชาว Nama เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีพวกเขาอีกจำนวนหนึ่งถูกส่งไปยังประเทศเยอรมนีเพื่อการทดลอง และแสดงให้โลกเห็นว่าชาวยุโรปเหนือกว่าชาวแอฟริกัน     กระดูกของพวกเขาถูกเก็บไว้ที่เยอรมนีมาตลอดตั้งแต่วันนั้น และนำมาซึ่งการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในปี 1990 ระหว่างประเทศนามิเบีย…

  • 10 ความจริงทางประวัติศาสตร์ “แบบง่ายๆ” แต่น่าสนใจ อ่านไปเถอะอย่าคิดมาก

    10 ความจริงทางประวัติศาสตร์ “แบบง่ายๆ” แต่น่าสนใจ อ่านไปเถอะอย่าคิดมาก

    ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สำหรับหลายๆ คนแล้วเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก ทำให้การเรียนประวัติศาสตร์เป็นอะไรที่น่าเบื่อไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องยากๆ อย่างที่เราคิด เพราะบนโลกใบนี้ยังมี ประวัติศาสตร์แบบง่ายๆ อยู่ เหมือนอย่างความจริงทางประวัติศาสตร์ “แบบง่ายๆ” แต่น่าสนใจ 10 ข้อต่อไปนี้   มาริลีน มอนโรและควีนอลิซาเบธ เกิดในปีเดียวกัน (1926) นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเคยพบกันตอนที่อายุ 30 อีกด้วย   ตอนที่ชาวอียิปต์สร้างพีระมิด ช้างแมมมอธยังมีชีวิตอยู่บนโลก พีระมิดสร้างขึ้นเมื่อ 2,630-2,611 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนแมมมอธเชื่อว่าสูญพันธุ์เมื่อ 1,650 ปีก่อนคริสตกาล   เจ้าเต่าแฮเรียตที่เสียชีวิตในปี 2006 อาจเคยพบกับชาร์ลส์ ดาร์วิน เชื่อกันว่าเจ้าเต่าแฮเรียตถูกเก็บมาโดยชาร์ลส์ ดาร์วินในปี 1835 อย่างไรก็ตามก็มีแนวคิดว่าจริงๆ แล้วชาร์ลส์ ดาร์วินไม่เคยไปเกาะกาลาปากอสที่เจ้าเต่าแฮเรียตจากมาเช่นกัน   มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดอยู่มานานกว่าจักรวรรดิแอซเทคอีก จักรวรรดิแอซเทคปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1428 แต่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมีหลักฐานการสอนที่เก่าแก่ที่สุดมาตั้งแต่ในปี 1096 เลยทีเดียว แถมยังมีความเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยนี้จะเก่าแก่ยิ่งกว่านั้นอีกด้วย   จอร์จ วอชิงตันเสียชีวิตในปี 1799 แต่ฟอสซิลไดโนเสาร์ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1824…

  • 23 ภาพการทำงานของสาวแกร่งในโรงเหล็ก ผู้อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนหนุ่มๆ ที่ไปออกรบ

    23 ภาพการทำงานของสาวแกร่งในโรงเหล็ก ผู้อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนหนุ่มๆ ที่ไปออกรบ

    ว่ากันว่าหนึ่งในสาเหตุที่ช่วยให้สหรัฐฯ ชนะสงครามโลกครั้งที่สองมาจากกำลังการผลิต และผู้ที่อยู่เบื้องหลังกำลังการผลิตของสหรัฐอเมริกาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าสตรีนั่นเอง เพราะในระหว่างที่ผู้ชายเดินทางไปรบ เหล่าผู้หญิงหลายๆ คนก็เลือกที่จะช่วยเหลือกองทัพด้วยการเข้าใช้แรงงานในโรงเหล็กแทนส่วนของผู้ชาย ด้วยเหตุนี้เองเราจะมาดูการเข้าร่วมสงครามโลกของผู้หญิงสหรัฐฯ กัน มาดูกันดีกว่าว่าเบื้องหลังหนุ่มๆ ที่ไปออกรบ ผู้หญิงสหรัฐฯ เขาช่วยเหลือสงครามกันแบบไหน   ช่างเชื่อมหญิงทำงานในโรงถลุงเหล็กแทนที่ผู้ชายที่ออกรบ   แรงงานหญิงทำความสะอาดรางรถไฟ    สาวๆ ใส่หน้ากากกันพิษทำความสะอาดเตาหลอมเหล็ก    การรวมพลก่อนทำงาน   Bernice Daunora หนึ่งในพนักงานหญิงใส่หน้ากากกันพิษ   เจ้าหน้าที่สาวลงชื่อเข้าทำงาน   เครื่องตีเหล็กที่ถูกบังคับโดย Florence Romanowski (ด้านขวา)   Katherine Mrzljak คุณแม่ลูกสองมาทำงานที่โรงเหล็กแห่งนี้กับสามี   การขจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกจากผิวโลหะ   การทำงานกับเหล็กที่จะถูกนำไปทำเกราะรถถัง   ช่างเชื่อมหญิง Audra Mae Hulse   Lugrash Larry จากฝ่ายเตาหลอม   Lorraine Gallinger จากฝ่ายสังเกตการณ์   Blanche Jenkins ช่างเชื่อมหญิงอีกคนหนึ่ง…

  • Tarrare ชายผู้กินอาหารสำหรับ 15 คน กลืนแมวทั้งตัว และถูกกล่าวหาว่ากินเด็ก 14 เดือน

    Tarrare ชายผู้กินอาหารสำหรับ 15 คน กลืนแมวทั้งตัว และถูกกล่าวหาว่ากินเด็ก 14 เดือน

    การทานอาหารนับว่าเป็นความสุขของใครหลายๆ คน ทำให้ในบางครั้งเราจึงได้ยินคำพูดว่ากินอย่างตะกละตะกลามอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าหากจะพูดถึงยอดนักกินที่ว่ากันว่าตะกละตะกลามที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วล่ะก็ เราคงต้องย้อนกันไปที่ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 กันเลยทีเดียว     นี่เป็นเรื่องราวของ Tarrare ทหารในกองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสในยุค 1790 เขาคือชายที่มีความอยากอาหารเหนือมนุษย์ ถึงขั้นที่ว่าในสมัยเด็กเขาทานอาหารจนที่บ้านเลี้ยงดูไม่ไหว และไล่เขาออกจากบ้านเลยทีเดียว ในชีวิตก่อนมาเป็นทหาร Tarrare เคยอยู่กับแก๊งล้วงกระเป๋ามาก่อน โดยรับหน้าที่เป็นนักแสดงตัวล่อ จากความสามารถในการทานอาหารของเขานั่นเอง ว่ากันว่าเขาสามารถอ้าปากได้กว้างมากๆ ถึงขนาดที่กลืนแอปเปิลหนึ่งตะกร้าได้ในครั้งเดียว แถมยังเคยกลืนแมวทั้งตัวในการแสดงอีกด้วย     น่าแปลกที่ในตอนที่อายุได้ 17 ปี Tarrare มีน้ำหนักเพียงแค่ 45 กิโลเท่านั้น แต่ว่ากันว่าหากเขาได้ทานอาหารร่างกายของเขาจะขยายขึ้นราวกับเป็นลูกโป่งเลยทีเดียว ในระหว่างเป็นทหาร เขาทานอาหารสำหรับคน 15 คน แถมยังทานทุกๆ อย่างที่หาได้ จนทางกองทัพคิดจะทำการทดลองกับร่างกายของเขาเลยทีเดียว น่าเศร้าที่ระหว่างอยู่ในกองทัพ Tarrare ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้เลย เขาเหนื่อยง่ายจนเกินไป แถมยังกินเยอะ และแม้ว่าทางกองทัพจะให้เขากลืนข้อความเข้าไปเพื่อรับหน้าที่เป็นคนส่งสารลับ เขาก็ถูกจับโดยศัตรูจนต้องคายความลับออกมาหลังโดนทรมานอยู่ดี     โชคดีที่ข้อความในจดหมายไม่ใช่อะไรที่สำคัญ (เป็นจดหมายแจ้งว่าถ้า Tarrare ไปขึ้นให้ส่งข้อความกลับมาด้วย) Tarrare จึงได้กลับมาทำงานในกองทัพอีกครั้ง และในตอนนั้นเองที่เขายอมรับการทดลองกับร่างกายตัวเอง เพื่อหาทางรักษาอาการที่เขาเป็น แต่ไม่ว่าแพทย์จะทดลองอะไรก็ไม่สามารถรักษาอาการของ Tarrare…

  • 15 ภาพของผู้ที่มี “เท้าดอกบัว” กลุ่มสุดท้ายบนโลก อดีตความงามที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด

    15 ภาพของผู้ที่มี “เท้าดอกบัว” กลุ่มสุดท้ายบนโลก อดีตความงามที่แลกมาด้วยความเจ็บปวด

    “เท้าดอกบัว” เป็นวัฒนธรรมความงามของผู้หญิงจีนโบราณในยุคศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นผลมาจาก “ประเพณีรัดเท้า” โดยเท้าดอกบัวเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่จำเป็นต้องทำงาน และถูกมองว่าเป็นสิ่งสวยงามในสมัยนั้น จริงอยู่ที่ประเพณีรัดเท้าเสื่อมความนิยมลงไปตามกาลเวลาแล้ว และมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการทำการรัดเท้าอีกต่อไปทำให้การรัดเท้าดอกบัวในปัจจุบันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เรามาดูภาพของเท้าดอกบัวกลุ่มสุดท้ายบนโลกใบนี้ จากผลงานของ Jo Farrell ช่างภาพชาวอังกฤษด้วยกันดีกว่า   เท้าดอกบัวที่สวยจะต้องมีขนาดไม่เกิน 3 นิ้ว นี่คือภาพของเท้าดอกบัวของคุณ Su Xi Rong หนึ่งในสตรีกลุ่มสุดท้ายที่ยังรัดเท้าอยู่   เรียกกันว่า ดอกบัวทองคำ 3 นิ้ว เท้าของคุณ Yang Jinge   โดยการรัดเท้าจะทำให้กระดูกผิดรูปไป เท้าของคุณ Zhang Yun Ying ผู้เกิดเมื่อปี 1928   โดยมากแล้วนิ้วเท้าทั้ง 4 จะถูกพับลงมาเป็น3 เหลี่ยม เท้าของคุณ Zhang Xiu Ling   ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้พิการถึงขั้นเดินไม่ได้เลย   การรัดเท้าเชื่อว่าเริ่มในหมู่ชนชั้นสูงที่เป็นนางรำ   ก่อนจะเป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ซ่ง คุณ Su Xi Rong วัย…

  • 6 อาชีพสุดแปลกจากในอดีต ที่ดูแล้วอาจจะเข้าใจเหตุผล แต่มันก็ประหลาดอยู่ดี

    6 อาชีพสุดแปลกจากในอดีต ที่ดูแล้วอาจจะเข้าใจเหตุผล แต่มันก็ประหลาดอยู่ดี

    คนโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนเราหากไม่เลือกงานย่อมไม่ยากจน แม้ว่าจะเป็นงานที่ลำบากขนาดไหน หรือแปลกเพียงใด หากมันทำให้เรามีกินมีอยู่ก็ทำไปเถอะ เพราะงานและอาชีพหลายๆ อย่างในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับในสมัยก่อนแล้ว ถือว่าค่อนข้างมีเหตุผล และชัดเจนกว่ามาก ไม่เชื่อก็ลองไปดู 6 งานและอาชีพสุดแปลกจากในอดีตเหล่านี้ดูสิ   คนแบกส้วม นี่เป็นตำแหน่งที่จัดตั้งขึ้นมาโดย เฮนรีที่ 4 และเรียกกันว่า Groom of the Stool หรือ “เจ้าบ่าวของส้วม” ทำหน้าที่ช่วยเหลือกษัตริย์ในการเข้าห้องน้ำ ด้วยการแบก “ส้วมพกพา” คอยติดตามกษัตริย์ ซึ่งแม้จะฟังดูสกปรก แต่นี่เป็นตำแหน่งที่เป็นที่นับถือในสมัยนั้นเลยทีเดียว   นักคืนชีพ Resurrectionist แม้จะแปลว่า “นักคืนชีพ” แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็แค่นักขุดสุสานที่จะขุดเอาศพไปขายนั่นเอง ซึ่งเดิมทีแล้วแม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ไม่มีการตามจับจริงจังนัก จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 มีนักขุดสุสาน 2 คนกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องเพราะจะหาศพไปขายนั่นเอง อาชีพแบบประเภทนี้จึงกลายเป็นที่ต้องห้ามไป   คนรับซักผ้า แม้จะมีชื่อเรียกแท้ๆ ว่า “Fuller” แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็เป็นคนรับซักผ้าธรรมดาๆ นี่เอง เพียงแค่อยู่ในสมัยโรมันโบราณเท่านั้น ซึ่งพอดีว่าในสมัยนั้นคนเขาใช้ฉี่ในการซักผ้ากัน ทำให้ Fuller ต้องทำงานอยู่กับอ่างซักผ้าที่เหม็นกลิ่นฉี่อยู่ทั้งวัน แถมบางครั้งยังต้องเดินเก็บฉี่รอบเมืองอีกด้วย…

  • 5 อาวุธแปลกในประวัติศาสตร์ ที่แค่ดูก็สงสัยแล้ว ว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ เหรอ

    5 อาวุธแปลกในประวัติศาสตร์ ที่แค่ดูก็สงสัยแล้ว ว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ เหรอ

    เพื่อที่จะชนะสงคราม มนุษย์เราจึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งในหลายๆ ครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจจะช่วยให้พวกเขาได้เปรียบในสงครามขึ้น แถมเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นส่งผลดี สิ่งนั้นก็อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบเลยด้วย แต่ในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เอง บางครั้งก็อาจจะมีของแปลกๆ ที่ดูแล้วสงสัยว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ เหรออยู่เช่นกัน เหมือนกับ 5 อาวุธแปลกในประวัติศาสตร์ต่อไปนี้   The Man Catcher นี่เป็นอาวุธยาวจำพวกหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อดึงทหารลงมาจากหลังม้า อย่างไรก็ตามเจ้าอาวุธชิ้นนี้มักถูกใช้ในฐานะเครื่องจับกุมคนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นใช้จับชนชั้นสูงของฝั่งศัตรูเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ หรือจับนักโทษหัวรุนแรงเป็นต้น   โล่โคมไฟ คิดค้นขึ้นในยุคเรอเนซองส์ โล่โคมไฟคือโล่กลมขนาดเล็กที่ติดอยู่กับโคมไฟและเกราะมือ อีกทั้งยังมีใบมีดยื่นออกมาจากเกราะมือ และเหล็กแหลมยื่นออกมาจากโล่ ทำให้โล่โคมไฟเป็นได้ทั้งโล่และอาวุธในเวลาเดียวกัน แถมยังช่วยส่องไฟในยามราตรีได้อีกด้วย   โครงการ Habakkuk นี่เป็นโครงการของอังกฤษที่คิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นความพยายามในการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินจาก “Pykrete” วัสดุที่ผลิตจากน้ำแข็งและขี้เลื่อย เนื่องจากเหล็กเริ่มเป็นที่ขาดแคลน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีการทดลองสร้างเรือขึ้นมาจริงๆ สงครามโลกครั้งที่สองก็จบลงเสียก่อน ทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าโครงการ Habakkuk จะสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่   กรงเล็บของอาร์คิมิดีส นี่เป็นอาวุธที่คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่สาม โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเมืองจากการโจมตีทางเรือของโรมัน โดยเจ้าอาวุธชิ้นนี้จะเกี่ยวเอาเรือของศัตรูขึ้นจากน้ำ และปล่อยเรือลงกระแทกกับพื้นจนเรือได้รับความเสียหาย ว่าง่ายๆ ว่าทำงานคล้ายๆ ปั้นจั่นนั่นเอง   ระเบิดเกย์ ระเบิดเกย์ เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของทฤษฎีระเบิดเคมีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต…

  • “แมว” เคยเป็นไม้ตาย ที่ช่วยให้กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียใช้เอาชนะอียิปต์

    “แมว” เคยเป็นไม้ตาย ที่ช่วยให้กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซียใช้เอาชนะอียิปต์

    ในสงครามสมัยก่อน มีอยู่บ่อยครั้งที่เราจะเห็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ทางจิตวิทยา ไม่ว่าจะการเอาศีรษะของชาวบ้านใส่เครื่องดีดลูกหิน และยิงเข้าไปในป้อมปราการ หรือการจับคนสำคัญๆ ของอีกฝ่ายไว้เป็นตัวประกัน แถมในบางครั้งตัวประกันที่ว่าก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนด้วยซ้ำ เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะทราบแล้วว่าชาวอียิปต์โบราณนับถือสัตว์ตระกูลแมวมากๆ ถึงขั้นที่ว่ามองเป็นพระเจ้าแห่งความสง่างาม สงบนิ่ง และความสมดุลเลยทีเดียว พวกเขามีเทพีที่มีหัวเป็นแมวชื่อว่า “บาสเต็ท” (Bastet) และบูชาเธอมาอย่างยาวนาน ปัญหาคือการบูชาแมวมากๆ นี่เองที่เป็นสิ่งที่ย้อนมาเล่นงานชาวอียิปต์โบราณ     มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วง 525 ปีก่อนคริสตกาล ในสงครามที่เมืองเปลุสิอุม ระหว่างกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แห่งเปอร์เซีย กับฟาโรห์ปซาเมติคที่ 3 นี่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นจากการที่ฟาโรห์อมาสิส บิดาของฟาโรห์ปซาเมติคที่ 3 สั่งให้หญิงคนหนึ่งปลอมตัวเป็นลูกสาวไปถวายเป็นชายาของกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 แล้วโดนจับได้     แม้ว่าจากประสบการณ์ทางการรบแล้ว นักประวัติศาสตร์ส่วนมากจะเชื่อว่ายังไงกษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 ก็ชนะสงครามในครั้งนี้ แต่เมืองเปลุสิอุมเองถือว่าเป็นเมืองที่แข็งแกร่งมากของอียิปต์เช่นกัน ทำให้แผนการที่กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 ใช้ในการเอาชนะสงครามในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องที่น่าจดจำไป เพราะแทนที่จะใช้กองกำลังบุกเข้าไปเฉยๆ กษัตริย์แคมไบสิสที่ 2 กลับเลือกที่จะตัดกำลังใจในการสู้รบของคนอียิปต์ ด้วยการจับสัตว์ที่คนอียิปต์เคารพ (โดยเฉพาะแมว) มาผูกไว้กับโล่ของทหารเสียเลย แถมยังมีการเอาปล่อยแมววิ่งในสนามรบ และปาแมวใส่ศัตรูอีกต่างหาก     แม้ว่านี่จะเป็นแผนการแปลกๆ…

  • 22 ภาพถ่ายจากสงครามเวียดนาม ที่ทรงพลังถึงขนาดที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามได้

    22 ภาพถ่ายจากสงครามเวียดนาม ที่ทรงพลังถึงขนาดที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามได้

    สงครามเวียดนามเป็นสงครามที่แปลกสำหรับสหรัฐฯ เพราะนี่เป็นสงครามที่ไม่มีเหตุจูงใจที่รุนแรงเหมือนตอนสงครามโลก หรือสงครามอิรัก แถมยังเป็นสงครามที่ภาพถ่ายของนักข่าวสหรัฐฯ กลายเป็นดาบที่กลับมาเล่นงานประเทศตัวเองอีกด้วย ถึงขั้นที่ว่าภาพถ่ายที่ประชาชนเห็น อาจกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ประชาชนสหรัฐฯ ไม่พอใจในสงครามครั้งนี้ จนทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนกำลังอาจจะมาจากเลยทีเดียว อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าภาพถ่ายเหล่านั้นมันต้องทรงพลังขนาดไหนกัน ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงได้นำ 22 ภาพถ่ายจากสงครามเวียดนาม มาให้เพื่อนๆ ได้ชม ไปดูกันดีกว่าว่าภาพถ่ายที่ทรงพลังถึงขนาดที่เปลี่ยนทิศทางของสงครามได้นั้น มันเป็นอย่างไรกัน   นี่คือภาพ “การสังหารที่ไซ่ง่อน” ซึ่งเป็นภาพของนายพลเวียดนามใต้สังหารทหารเวียดกง ในปี 1968   พ่อที่กำลังอุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกกับทหารเวียดนามใต้ที่มองลงมาจากรถหุ้มเกราะ 19 มีนาคม 1964   เหล่าเด็กๆ ที่มีรอยแผลไหม้จากระเบิดนาปาล์ม 8 มิถุนายน 1972 นี่เป็นภาพที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ในปี 1977 ในสาขาภาพข่าวดีเด่น   ภาพของทหารที่ใส่หมวกที่เขียนว่า “สงครามคือนรก” มิถุนายน 1965   เหล่าทหารที่ต้องติดพายุฝนขณะเคลื่อนพล 10 มกราคม 1966 หลายคนในภาพไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากสงคราม   เหล่าผู้หญิงและเด็กหลบกระสุนอยู่ในคลอง 1 มกราคม 1966   แพทย์ทหารที่บาดเจ็บ พยายามรักษาผู้เจ็บคนอื่นๆ ต่อไป 30 มกราคม 1966  …

  • 17 ภาพน่าปวดใจหลังเลิกทาส เพราะต่อให้เป็นอิสระ ชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

    17 ภาพน่าปวดใจหลังเลิกทาส เพราะต่อให้เป็นอิสระ ชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

    ในวันที่ 22 กันยายน 1862 หลังจากที่สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาจบลง อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาก็ทำการประกาศการเลิกทาสอย่างเป็นทางการ ปิดฉากการใช้แรงงานทาสของสหรัฐอเมริกาลงอย่างงดงาม… นั่นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายขนาดนั้น เพราะต่อให้การเลิกทาสเกิดขึ้นแล้วก็ตาม มันก็ยังมีทาสอีกหลายคนที่การใช้ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย   เด็กแอฟริกันอเมริกันยืนอยู่หน้าบ้านของเขา พวกเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของทาสในสวนของคนขาว แม้จะมีการเลิกทาสไปแล้วก็ตาม   คนจำนวนมากเลือกที่จะกลับไปทำงานที่เดิมกับที่พวกเขาเคยทำ ในสมัยที่ยังเป็นทาส   บางคนก็เช่าบ้านจากเจ้านายคนเก่า   และมีบางส่วนที่เช่าที่ทำกินจากเจ้านายเก่าด้วย ซึ่งพวกเขาจะต้องมอบพืชผลที่ได้จำนวนหนึ่งคืนให้เจ้านาย   ทาสที่เป็นอิสระเดินไปทำงานรวบรวมฝ้ายที่สวนกับเจ้านายคนเดิม   ในทางกลับกันคนขาวกลับกลัวเรื่องการเลิกทาสมา ในภาพเป็นโปสเตอร์ที่เตือนคนขาวว่าสักวันเด็กผิวขาวอาจต้องขัดรองเท้าให้คนดำ   ร้านตัดผมบางร้านเริ่มจะบริการเฉพาะคนขาว   คนจำนวนมากมารุมประชาทัณฑ์ Jesse Washington ชายผิวสีที่โดนตัดสินว่าข่มขืนและฆ่าภรรยาของนายจ้าง   ร่างของเขาถูกแขวนกับต้นไม้และเผาทิ้ง   บ้านทรุดโทรมที่ถูกบรรยายว่า “คนดำจนๆ อยู่ที่นี่”   คนดำที่ทำผิดจะถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันก่อนจะนำไปใช้แรงงาน เรียกกันว่า “Chain Gang” และบางครั้งก็มาจากคนบริสุทธิ์ที่โดนใส่ความ   พวกเขาจะต้องทำงานเหมือนทาสโดยไม่ได้เงิน เป็นการลงโทษ   ครอบครัวคนผิวสีที่ถ่ายภาพกันหลังเป็นอิสระ พวกเขายังไม่รู้ตัวว่ายังมีการเหยียดผิวรออยู่ในอนาคต   ภาพถ่ายของ “คนผิวสีประเภทอาชญากร”…

  • 5 เกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากอารยธรรมโบราณในยุคก่อนคริสตกาล

    5 เกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากอารยธรรมโบราณในยุคก่อนคริสตกาล

    ว่ากันว่าคนเราเล่นเกมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเกมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยอารยธรรมเก่าแก่อย่างเมโสโปเตเมีย และอียิปต์โบราณ ซึ่งแม้ว่ากฎของเกมที่เล่นกันในสมัยนั้นจะหายไปแล้ว แต่ก็ยังมีหลักฐานมากมายถึง “เกมกระดาน” ที่พวกเขาเล่นกันอยู่ดี ดังนั้นเราจะไปดู 5 เกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกัน มาดูกันดีกว่าว่าคนในสมัยก่อนเขาเล่นเกมแบบไหนกัน   The Royal Game of Ur หรือ Game of Twenty Squares นี่เป็นเกมที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการพบพร้อมกฎการเล่น ดังนั้นจึงเป็นเกมที่ยังสามารถเล่นได้เหมือนเมื่อก่อน โดยเจ้าเกมกระดานอันนี้ มีอยู่มาตั้งแต่ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล และเชื่อว่ามีการเล่นกันในยุคเมโสโปเตเมีย โดยผู้เล่นจะต้องแข่งกันเดินตัวหมากทั้ง 7 ไปให้ถึงเส้นชัยก่อนอีกฝั่งนั่นเอง   Mehen นี่เป็นเกมจากอียิปต์โบราณที่เล่นได้ 2-6 คน โดยหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมาตั้งแต่เมื่อ 2,770 ปีก่อนคริสตกาล และนับว่าเป็นเกมกระดานเกมแรกๆ ที่มีผู้เล่นได้มากกว่า 2 คน โดยผู้เล่นจะต้อง โยนแท่งไม้แล้วเดินตามแต้มบนแท่งไม้ ใครนำหมากออกจากกระดานก่อนชนะนั่นเอง   แบ็กแกมมอน แบ็กแกมมอนคือ เกมกระดานสำหรับสองคนซึ่งใช้เบี้ยและลูกเต๋าสองลูกในการเดิน ซึ่งผู้เล่นจะสลับกันเดินเพื่อนำเบี้ยของตนออกจากกระดาน โดยเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุดถูกค้นพบที่อิหร่าน และมีอยู่มาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว อย่างไรก็ตามกฎที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่สุดของเกมนี้ ไม่ได้มาจาก 3,000…

  • ชมภาพ “สุสานใต้ดินปารีส” อดีตเหมืองใต้ดินที่ฝังศพคนตายเอาไว้กว่า 6 ล้านศพ

    ชมภาพ “สุสานใต้ดินปารีส” อดีตเหมืองใต้ดินที่ฝังศพคนตายเอาไว้กว่า 6 ล้านศพ

    ในช่วงศตวรรษที่ 18 สุสานหลายแห่งในฝรั่งเศสต้องพบกับปัญหาศพล้นสุสาน ถึงขั้นที่ว่ามีศพที่ไม่มีที่ฝังกองเกลื่อนเต็มเมือง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปทั่วทำให้คนในเมืองเดือดร้อนและเสี่ยงต่อการติดโรคร้ายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าของเหมืองคนหนึ่งจึงได้ตัดสินใจมอบเหมืองเก่าให้เป็นสุสานแห่งใหม่ และเคลื่อนย้ายศพจากที่ต่างๆ ทั่วเมืองมาไว้ยังที่แห่งนี้ จนกลายเป็นที่มาของ Catacombes de Paris หรือสุสานใต้ดินแห่งปารีสไปนั่นเอง     ที่แห่งนี้ว่ากันว่าเป็นอดีตเหมืองใต้ดินที่มีระยะทางยาวกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งถูกดัดแปลงใช้เป็นสุสาน และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปัจจุบัน แม้ว่าพื้นที่ที่มีการอนุญาตให้คนเข้าไปในปัจจุบันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของอุโมงค์ทั้งหมดเท่านั้น (ราวๆ 2 กิโลเมตรได้) อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ในความน่าหวาดกลัวของมัน นำมาซึ่งเรื่องเล่าสยองขวัญมากมาย และกลายเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากหวังที่จะได้เข้าไปเหยียบสักครั้งในชีวิตจริงๆ     ว่ากันว่าที่แห่งนี้เก็บศพไว้กว่า 6 ล้านร่าง   ปริมาณศพนั้นเยอะมากจนช่วงหลังๆ ทางฝรั่งเศสเพียงแค่นำศพมากองๆ ทิ้งไว้เลยทีเดียว   ศพเหล่านั้น กลายเป็นกำแพงแห่งความตายในเวลาต่อมา   เส้นทางข้างในให้ความรู้สึกที่วังเวง   บนผนัง: ‘ความตายคือสิ่งที่รอคุณอยู่อย่างแน่นอน’   หนึ่งในทางเข้าออกที่เชื่อว่าเคยมีการใช้งาน   ต้องใช้ศพมากมายขนาดไหนถึงจะได้กำแพงใหญ่ขนาดนี้กันนะ   “กระดูกของผู้บริสุทธิ์”   งานประติมากรรมที่อยู่ในสุสาน   หลุมลึกภายในอุโมงค์   เป็นไปได้ว่าที่พื้นที่บางส่วนถูกปิดไป…

  • เชื่อหรือไม่ คนอังกฤษในศตวรรษที่ 17-19 จะ “ประมูลขายภรรยา” แทนการหย่าร้าง

    เชื่อหรือไม่ คนอังกฤษในศตวรรษที่ 17-19 จะ “ประมูลขายภรรยา” แทนการหย่าร้าง

    สำหรับหลายๆ คนแล้ว การหย่ากัน เป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก เพราะไหนจะเรื่องความรู้สึก เรื่องของพวกลูกๆ และเรื่องการแบ่งทรัพย์สินที่เคยใช้ร่วมกันทำให้ในหลายๆ ครั้งการหย่าก็ไม่อาจจะทำได้ง่ายๆ อย่างที่คิดสักเท่าไหร่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับคนในสมัยนี้ เพราะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 ในอังกฤษ ค่าใช้จ่ายในการหย่ามันมากมายสุดๆ จนการหย่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าชนชั้นล่างของอังกฤษเลือกที่จะขายภรรยาแทนการหย่าเลยทีเดียว     นี่อาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่น่าขำและอาจยอมรับไม่ได้สำหรับหลายๆ คน แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสมัยนั้น โดยการ “ขาย” มักถูกทำในรูปแบบการเปิดประมูล โดยจะมีการผูกโบว์หรือเชือกไว้ที่คอ มือ หรือเอวของภรรยา ก่อนที่จะพาไปขาย โดยการซื้อขายภรรยามักเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีผู้คนผ่านไปมามาก ไม่ว่าจะเป็นตลาด ร้านเหล้า หรือตามงานแสดงสินค้า ใครก็ตามที่ซื้อตัวหญิงสาวไปจะถือว่าได้ภรรยาคนใหม่ ส่วนอดีตสามีก็จะถูกถือว่าทำการหย่าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว     แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ต่างอะไรกับทำเหมือนภรรยาเป็นสิ่งของ แต่ดูเหมือนว่าชนชั้นล่างของอังกฤษจะยอมรับการขายภรรยาในฐานะสิ่งที่ใช้แทนการหย่าเป็นอย่างดี เพราะโดยมากแล้วคนที่มาร่วมประมูลนั้นมักจะเป็นคนรักคนใหม่ของฝ่ายหญิงที่มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว และหลายๆ ครั้งคนที่มาประมูลก็มักจะมีเพียงคนเดียวด้วย ในกรณีนี้ผู้เป็นสามีเก่าจะสามารถเรียกเก็บเงินจากชู้รักของฝ่ายหญิงได้ แถมยังมีโอกาสได้ปฏิบัติกับฝ่ายหญิงด้วยการทำให้อับอายเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการทำเหมือนเธอเป็นวัว ไม่ก็ประกาศน้ำหนักของเธอ ส่วนฝ่ายหญิงและชู้รักก็จะสามารถอยู่เลี่ยงการถูกสามีเก่าฟ้องร้องเกี่ยวกับการนอกใจได้     อย่างไรก็ตามในบางครั้งอาจมีประมูลราคาสู้จากผู้สนใจคนอื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้คนที่ให้ราคามากที่สุดจะได้ตัวหญิงสาวไป แม้จะไม่ใช่คนที่เธอหวังไว้ก็ตาม นอกจากนี้ฝ่ายชายยังสามารถประกาศขายภรรยาโดยไม่แจ้งให้เจ้าตัวทราบได้อีกด้วย ทำให้มีอยู่หลายๆ ครั้งเหมือนกันที่ฝ่ายหญิงถูกขายให้กับชายที่เธอไม่รู้จัก…

  • 5 อาหารในช่วงยุคกลาง ที่ในปัจจุบันดูยังไงก็เป็นของแปลก นี่มันเปิบพิสดารชัดๆ

    5 อาหารในช่วงยุคกลาง ที่ในปัจจุบันดูยังไงก็เป็นของแปลก นี่มันเปิบพิสดารชัดๆ

    ว่ากันว่าวัฒนธรรมการทานอาหารของแต่ละประเทศ จะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบที่พวกเขามี ดังนั้นอาหารที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาของที่หนึ่ง อาจจะดูเป็นของเปิบพิสดารของอีกที่ได้ไม่ยาก เพราะต่อให้เป็นสถานที่เดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปมุมมองที่คนมีต่อการกินก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้เช่นกัน ดังเช่นอาหารธรรมดาๆ ในช่วงยุคกลาง แต่สำหรับในปัจจุบัน ดูยังไงก็มันก็เป็นของแปลกชัดๆ อย่างเช่นเมนูต่อไปนี้   บีเวอร์ ในช่วงยุคกลางมีความเชื่อกันว่าหางของบีเวอร์เป็น “ของเย็น” และสามารถทานได้ในช่วงเทศกาลมหาพรต (ที่มีการทำศีลอดเนื้อ) แถมต่อมาในศตวรรษที่ 17 ทางโบสถ์ก็ออกมาบอกว่าไม่ใช่แค่หางของบีเวอร์เท่านั้นที่ทานได้ในเทศกาลมหาพรต แต่เป็นบีเวอร์ทั้งตัวเลย เนื่องจากทางโบสถ์อ้างว่าบีเวอร์นั้นเป็น “ปลา” เพราะมันว่ายน้ำได้เร็วมากนั่นเอง (ศีลอดเนื้อของคริสต์ไม่ห้ามทานปลา)   หงส์ย่าง แม้ว่าหงส์ย่างอาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกเท่าไหร่สำหรับบางคน แต่ก็ไม่ใช่อาหารที่เห็นกันได้บ่อยๆ เช่นกัน โดยในช่วงศตวรรษที่ 14 ในอังกฤษจะมีวิธีเตรียมหงส์ย่างแบบแปลกๆ ด้วยการถลกหนังหงส์ไปย่าง ก่อนจะเอาหนังและขนกลับมาคลุมไว้ก่อนนำไปเสิร์ฟ ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนหงส์ยังมีชีวิตอยู่เลยนั่นเอง   แมวย่าง อีกหนึ่งของอาหารแปลกในอดีต โดยการเตรียมอาหารเริ่มจากการตัวหัวแมวทิ้งเนื่องจากสมัยก่อนเชื่อกันว่ากินไม่ได้ เพราะหากทานสมองแมวเอาไปคนทานจะเป็นบ้า จากนั้นก็ควักเครื่องในออกและล้างทำความสะอาดเนื้อก่อนจะเอาไปฝังหนึ่งวันแล้วค่อยนำมาย่างตามปกติ   ไก่ร้องเพลง เมนูนี้ต้องบอกว่าไม่ได้แปลกที่ไก่ แต่แปลกที่การเตรียมอาหาร เพราะจะมีการมัดคอไก่ที่ปรุงเตรียมไว้กับปรอทและกำมะถันทำให้เมื่อนำไปอุ่นให้ร้อน จะมีเสียงเหมือนกับไก่ร้องเพลง แถมบางครั้งยังมีการเสิร์ฟคู่กับหงส์ ปลา หรือหมูที่พ่นไฟได้จากการเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์จุดไฟยัดใส่ในตัวอีกด้วย   ปลาไหล Lamprey นี่เป็นปลาชนิดหนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ แถมยังดูดเลือดเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามในสมัยก่อนเจ้าปลาชนิดนี้กลับถูกมองว่าเป็นอาหารอันโอชะ…

  • 20 ภาพการล่าสุราของเจ้าหน้าที่ ในยุคที่สหรัฐอเมริกา ห้ามการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    20 ภาพการล่าสุราของเจ้าหน้าที่ ในยุคที่สหรัฐอเมริกา ห้ามการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    เมื่อ 90 กว่าปีก่อนในวันที่ 16 มกราคม 1920 สหรัฐอเมริกาได้มีประการห้ามการซื้อขาย และครอบครองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในประเทศ หลังจากที่มีปัญหาคนเมามาอย่างยาวนาน นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งสังคมไร้แอลกอฮอล์ของสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้าสุราเถื่อนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เองภาพของการทำสุราเถื่อน และการเทสุราทิ้งจึงเป็นเรื่องที่มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในยุคนี้ จนเรียกได้ว่าเป็นภาพอันชินตาของคนในสมัยนั้นไปเลยก็ไม่ผิดนัก ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพทั้ง 20 ภาพต่อไปนี้ดูสิ   การเทสุราทิ้งลงท่อน้ำทิ้งที่นิวยอร์ก 1921   ตำรวจปราบปรามสุราเข้าตรวจสอบแอลกอฮอล์ที่ยึดมาได้นิวยอร์ก 1922   เจ้าหน้าที่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถูกยึด ในไมอามี 1925   ฝูงชนที่มามุงดู เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมสุราผิดกฎหมาย ฟิลาเดลเฟีย 1928   เรือขนสุราเถื่อนถูกยึดที่ดีทรอยต์ 1929   เจ้าหน้าที่เทเหล้าออกมาจากร้านขายที่ผิดกฎหมาย ดีทรอยต์ 1929   เจ้าหน้าที่พบเครื่องกลั่นที่ ดีทรอยต์ 1929   ชายคนหนึ่งทำลายขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยขวานดีทรอยต์ 1929   เจ้าหน้าที่เทสุราออกมาจากโรงกลั่นผิดกฎหมาย ที่ดีทรอยต์ 1929   การค้นหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจถูกซ่อนไว้ในร้านขายเหล้าผิดกฎหมาย ดีทรอยต์ยุค 20   เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ข้างเครื่องกลั่น ในดีทรอยต์ยุค 20  …

  • เชื่อหรือไม่ ในยุควิคตอเรีย “การช่วยตัวเอง” ถูกมองว่าอันตรายมากๆ และทำให้สุขภาพเสีย

    เชื่อหรือไม่ ในยุควิคตอเรีย “การช่วยตัวเอง” ถูกมองว่าอันตรายมากๆ และทำให้สุขภาพเสีย

    การช่วยตัวเองในปัจจุบันอาจจะดูเหมือนเรื่องธรรมดาสำหรับหลายๆ คน มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แถมถ้าไม่หมกมุ่นจนเกินไปการช่วยตัวเองก็ไม่ได้มีผลร้ายอะไรเป็นพิเศษด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่าเมื่อก่อนคนเราไม่ได้เชื่อแบบนี้เลย เพราะในสมัยยุควิคตอเรียนั้น การช่วยตัวเอง ถูกมองว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง ทำให้ตัวเองแปดเปื้อน หรือแม้แต่ทำให้สุขภาพเสียเลยทีเดียว   อุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเอง   คู่มือการแพทย์ของยุควิคตอเรียนั้นส่วนมากจะบอกว่าการช่วยตัวเองของผู้ชายสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ นำไปสู่ความเจ็บป่วย ตาบอด ไร้สมรรถภาพ เป็นโรคลมชัก โรคจิต หรือแม้กระทั่งนำไปสู่ความตายก่อนวัยอันควรได้เลย นั่นทำให้คนในช่วงศตวรรษที่ 19 หวาดกลัวต่อการช่วยตัวเองมาก ถึงขนาดที่ว่ามีการเข้าปรึกษาแพทย์อย่างจริงจังเกี่ยวกับความอยากช่วยตัวเอง แถมแพทย์ยังให้คำปรึกษากลับไปว่า ให้เลิกการกระทำที่ “เสี่ยงตาย” แบบนี้โดยเด็ดขาดอีกด้วย     ในกรณีที่ผู้ป่วยช่วยตัวเองบ่อยๆ แพทย์อาจจะมีการสั่งให้ปรับเปลี่ยนการทานอาหาร ออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือสวดมนต์เพื่อลดความใคร่ อย่างไรก็ตามหากวิธีเหล่านั้นไม่ได้ผล แพทย์ในสมัยนั้นก็จะใช้ไพ่ตายซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเอง โดยอุปกรณ์เหล่านี้ก็มีตั้งแต่การใส่ห่วงหนาม หรือระบบช็อตไฟฟ้าที่อวัยวะเพศ เรื่อยไปจนถึงการขลิบเพื่อรักษาความต้องการในการช่วยตัวเอง     ส่วนสำหรับผู้หญิงเองการช่วยตัวเองก็มักจะถูกมองว่าทำให้เป็นโรคฮิสทีเรีย มีอาการวิกลจริต หรือลมบ้าหมูเช่นกัน แพทย์บางคนถึงกับมองว่าการช่วยตัวเองของผู้หญิงเป็นการกระทำต่อต้านสังคมเลยทีเดียว นั่นทำให้การรักษาของผู้หญิงน่ากลัวไม่แพ้กับผู้ชาย ทั้งการให้ใส่เข็มขัดพรหมจรรย์ เรื่อยไปจนถึงการผ่าตัดเอาปุ่มกระสันทิ้งไปเลยทีเดียว   รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดในสมัยนั้น   ที่มา vintag หนังสือ The Secret Companion:…

  • 22 ร้านขายของจากต้นศตวรรษที่ 20 มาดูกันว่าร้านค้าในสมัยก่อนมันเป็นอย่างไรกัน

    22 ร้านขายของจากต้นศตวรรษที่ 20 มาดูกันว่าร้านค้าในสมัยก่อนมันเป็นอย่างไรกัน

    ในสังคมของมนุษย์ ไม่ว่าจะในยุคไหนๆ พ่อค้าแม่ค้าก็เป็นบุคคลสำคัญของเศรษฐกิจอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นร้านขายของต่างๆ ในแทบทุกยุคที่มีการใช้เงินตรา และว่ากันว่าพวกเขามีตัวตนมานานกว่านั้นมากอีกด้วย ว่าแต่เคยสงสัยกันรึเปล่าว่าร้านค้าของคนในสมัยก่อนจะมีความแตกต่างจากปัจจุบันอย่างไร เพราะวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาทุกๆ คนไปชม 22 ร้านขายของจากต้นศตวรรษที่ 20 มาดูกันดีกว่าว่าร้านค้าในสมัยก่อนมันเป็นอย่างไรกัน   เริ่มกันจากร้านแก้วสวยงามในซานฟรานซิสโก   ร้านซ่อมรถยนต์ในแคลิฟอร์เนีย   ร้านเบเกอรี่ที่เซาท์แคโรไลนา   ร้านตัดผมในลอสแอนเจลิส   ร้านขายของชำในเมืองชาร์เลอรัว เพนซิลเวเนีย   ห้องผสมสีในโรงพิมพ์   ร้านซ่อมรองเท้าในรัฐคอนเนตทิคัต   ร้านฮาร์ดแวร์ รัฐอิลลินอยส์   ร้านขายขนม (และซิการ์) ที่เพนซิลเวเนีย   ร้านของช่างไม้ในกรุงลอนดอน   ร้านขายหมวก   ร้านของช่างตีเหล็กในไอโอวา   ร้านขายยาที่สาธารณรัฐเช็ก   ร้านค้าที่ประเทศเยอรมนี   ร้านขายผักและผลไม้   ร้านขายของในโคโลราโด   ร้านขายจักรยานในรีโอเดจาเนโร   ร้านขายเนื้อที่รัฐเพนซิลเวเนีย  …

  • 5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีสอนในห้องเรียน

    5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีสอนในห้องเรียน

    ประวัติศาสตร์ในห้องเรียนมักจะมีเพียงเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เท่านั้น บ่อยครั้งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มักจะถูกตัดออกไปจากการสอน เนื่องจากถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ในบางครั้งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่าที่คิด ไม่เชื่อก็ลองไปดูภาพ 5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ เหล่านี้ดูสิ และจะรู้ว่าสิ่งที่ไม่มีสอนในห้องเรียน มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าที่คุณคิด   แบบจำลองของภูเขารัชมอร์ เชื่อหรือไม่ว่าภูเขารัชมอร์ที่สลักหน้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (และเป็นต้นแบบภูเขาที่หมู่บ้านนารูโตะ) เดิมทีแล้วไม่ได้จะมีแค่ใบหน้าของประธานาธิบดีเท่านั้น เพราะจากแบบจำลองที่ออกแบบโดย Gutzon Borglum เดิมทีแล้วภูเขารัชมอร์จะต้องเห็นตัวของเหล่าประธานาธิบดีด้วย ปัญหาคือหลังจากที่สลักใบหน้าสำเร็จ งบประมาณที่ใช้ก็ดันหมดเสียก่อน ภูเขาเลยมีแค่หัวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน   การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา นี่คือภาพการแขวนคอ Rainey Bethea จากคดีข่มขืนและฆ่าหญิงชราวัย 70 ในวันที่ 14 สิงหาคม 1936 ที่รัฐเคนทักกี อย่างไรก็ตามการประหารชีวิตครั้งนี้มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะที่ผู้ต้องลงมือสับสวิตช์ประหารเมาจนทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งนับว่าเป็นความอับอายของชาวอเมริกา จนนำไปสู่การยกเลิกการประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนในเวลาต่อมา   กลุ่มนาซีอเมริกัน นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ในปี 1937 ในนิวเจอร์ซี โดยเป็นการเดินขบวนของสมาชิก “กลุ่มเยอรมัน-อเมริกัน” (German American Bund) นี่เป็นกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดของนาซีในอเมริกา และบางครั้งก็มีการปฏิบัติการเลียนแบบพวก SS…

  • พบเครื่องบินที่สูญหายในสงครามโลก ที่ใต้น้ำแข็งใน “เบอร์มิวดาแห่งกรีนแลนด์”

    พบเครื่องบินที่สูญหายในสงครามโลก ที่ใต้น้ำแข็งใน “เบอร์มิวดาแห่งกรีนแลนด์”

    การที่เครื่องบินจะตกหรือนักบินจะเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สองอาจจะถูกมองเป็นเรื่องธรรมดา แม้การที่เครื่องบินหายไปอย่างไร้ร่องรอยเองก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในสมัยที่ศัตรูจะแอบอยู่ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่การพบเครื่องบินที่หายไปกว่า 70 ปีหลังจากสงครามที่ว่าต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องที่หาชมได้ง่ายนัก     เพราะล่าสุดนี้เองมีการตรวจพบซากของเครื่องบิน Lockheed P-38 Lightning เครื่องบินของสหรัฐอเมริกาจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ใต้น้ำแข็งเย็นยะเยือกที่กรีนแลนด์ เขตปกครองตนเองแห่งประเทศเดนมาร์ก นี่คือหนึ่งในฝูงบินที่สูญหายในระหว่างการบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังอังกฤษในปี 1942 ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด B-17 2 ลำ และเครื่องบินต่อต้าน P-38 อีก 6 ลำ ซึ่งเชื่อกันว่าพบกับพายุ จนตกลงในกรีนแลนด์นั่นเอง   ในการสูญหายครั้งนั้น มีเพียงเครื่องบิน B-17 ลำเดียวที่ถูกพบ   การค้นหาในครั้งนี้ดำเนินการโดยการใช้โดรนบินสำรวจทางอากาศ ที่ติดเรดาร์ทะลุทะลวงผิวดิน (Ground Penetrating Radar) เอาไว้ และหากมีการค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ จะมีการส่งทีมค้นหาเข้าไปอีกที Jim Salazar ผู้นำการค้นหาบอกว่าทีมงานได้พบกับซากของเครื่อง P-38 ฝังอยู่ใต้น้ำแข็ง 91 เมตร ในวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการขุดนำเครื่องขึ้นมานั้น จะมีการดำเนินการในฤดูร้อนครั้งหน้า   เครื่องบิน P-38 Lightning   พวกเขายังหวังอีกว่าในระหว่างที่รอพวกเขาจะสามารถค้นพบเครื่องบินที่หายสาบสูญลำอื่นๆ เพิ่ม โดยเฉพาะเครื่องที่มีนักบินสหรัฐอยู่ด้วยนั่นเอง…

  • 5 สิ่งดีๆ ที่ผู้ที่ถูกโลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายเคยทำ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครที่เลวสมบูรณ์แบบ

    5 สิ่งดีๆ ที่ผู้ที่ถูกโลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายเคยทำ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีใครที่เลวสมบูรณ์แบบ

    ว่ากันว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครที่เลวไปเสียทุกอย่าง และในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่ดีงามสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นคนที่โลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายขนาดไหน ในความชั่วร้ายที่พวกเขาทำ ในบางครั้งก็อาจจะมีแสงแห่งความดีอยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อๆ ไปพบกับสิ่งดีๆ ที่ผู้ที่ถูกโลกตราหน้าว่าเป็นวายร้ายเคยทำ แต่เรื่องดีๆ เหล่านี้จะเพียงพอที่จะให้โลกให้อภัยพวกเขาได้ไหมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันอีกที   ซัดดัม ฮุสเซ็น ทำให้คนอิรักได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลฟรี ซัดดัม เชื่อกันว่าเป็นผู้สังหารชาวเคิร์ดผู้บริสุทธิ์หลายพันคน อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้ที่ทำให้คนอิรักเข้ารักษาในโรงพยาบาลฟรี แถมยังเป็นผู้นำแห่งการศึกษาอีกด้วย เขาทำให้ประชาชนอิรัก 100% มีการศึกษาขั้นต่ำ แถมยังทำโครงการเรียนรู้ โดยมุ่งเป้าไปที่การทำให้ประชากรทั้งประเทศมีความรู้   จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ค้นพบสิ่งมีชีวิตทางทะเลหลายชนิด จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ เป็นผู้นำกองกำลังญี่ปุ่นบุกสร้างความหวาดกลัวในสงครามโลกครั้งที่สองก็จริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักพฤกษศาสตร์ทางทะเลที่มีฝีมือคนหนึ่งเลย โดยในช่วงที่เขาไม่ได้ควบคุมกองทัพ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ได้ออกบทความทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่เป็นที่ยอมรับในวารสารพฤกษศาสตร์อีกด้วย   ฮิตเลอร์ มีโครงการห้ามสูบบุหรี่โดยสมบูรณ์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อาจจะเป็นหนึ่งในสุดยอดวายร้ายแห่งโลกใบนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าชายคนนี้เชื่อว่าการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายของชาวอารยันที่บริสุทธิ์แปดเปื้อน ทำให้เขาออกโครงการห้ามสูบบุหรี่โดยสมบูรณ์ในเยอรมันอยู่ช่วงหนึ่งเลย   เหมา เจ๋อตุง ประคับประคองประเทศจีน เหมา เจ๋อตุงเป็นได้ทั้งผู้นำในตำนาน และผู้นำสุดเลือดเย็นได้ในเวลาเดียวกัน จริงอยู่ที่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความตายของผู้คนจำนวนมากที่มีความเห็นแตกต่างไปจากเขา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่ประคับประคองประเทศจีนที่กำลังย่ำแย่จากการสงครามให้กลายเป็นประเทศผู้มีอิทธิพลของโลกอย่างในปัจจุบันเช่นกัน และไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีคนจีนจำนวนมากเลยที่รักเขา   เบนิโต มุสโสลินี เพิ่มอัตราการเข้าเรียนในโรงเรียน ของคนอิตาลี เบนิโต มุสโสลินีว่ากันว่าเป็นจอมเผด็จการ…

  • 19 ภาพจากอีกด้านของสงครามแห่งศตวรรษที่ 20 ด้านที่เราไม่ค่อยได้เห็นในเวลาที่โหดร้าย

    19 ภาพจากอีกด้านของสงครามแห่งศตวรรษที่ 20 ด้านที่เราไม่ค่อยได้เห็นในเวลาที่โหดร้าย

    ศตวรรษที่ 20 เป็นปีที่โลกได้พบกับสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก หลายๆ ครั้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ภาพส่วนมากในสมัยนั้น ส่วนมากจะมีความเกี่ยวข้องกับสงคราม โดยมากแล้วนี่มักจะเป็นภาพของการรบของทหารกล้า หรือภาพของความโหดร้ายที่สะท้อนออกมาจากสงครามเป็นหลัก แต่ในบรรดาภาพแห่งสงครามเหล่านั้น ก็ยังมีภาพที่แตกต่างออกไปจากภาพสงครามอื่นๆ อยู่เหมือนกัน จริงอยู่ว่าภาพเล่านี้อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนภาพอื่นๆ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นอีกด้านของสงครามได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว   วันคริสต์มาส 1914 นี่เป็นภาพของทหารสองฝั่งเล่นฟุตบอลร่วมกันในวันคริสต์มาส เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนที่จะถูกย้ายถิ่นประจำการ เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะฆ่าฟันกันในวันต่อมานั่นเอง   ทหารเยอรมันกำลังดูภาพจากค่ายกักกัน ในปี 1945   เหล่าทหารบอกลาครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินทางไปรบในปี 1943   ทหารสหรัฐเอาบุหรี่ให้ทหารญี่ปุ่นที่ฝังตัวเองแกล้งตายมานานกว่า 48 ชั่วโมง   นายทหารกับม้าคู่ใจ พร้อมหน้ากากกันพิษในปี 1910   นายทหารเอากล้องส่องทางไกลให้เด็กๆ เล่นในปี 1944   ส่วนหัวของรูปปั้นสตาลินระหว่างการปฏิวัติของชาวฮังการี 1956   การทำศัลยกรรมพลาสติกรุ่นแรกๆ จากปี 1917 นี่เป็นการศัลยกรรมให้กับทหารที่บาดเจ็บจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นเอง   การใส่หน้ากากใบหน้าเทียมให้กับทหารที่ได้รับบาดแผลที่หน้าในปี 1918   เด็กสาวอายุ 15…

  • 18 ภาพประวัติศาสตร์ การทดลอง “The Gadget” ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก!!

    18 ภาพประวัติศาสตร์ การทดลอง “The Gadget” ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก!!

    16 กรกฎาคม 1945 นับเป็นเวลาราวๆ 3 ปีหลังจากที่มีการเริ่มต้นโครงการแมนฮัตตันในปี 1942 และใช้งบประมาณไปกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 65,000 ล้านบาท) ในที่สุด ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกที่มีชื่อเล่นว่า “The Gadget” ก็ได้ถูกทำมาทดลองใช้จริงที่สถานที่ทดสอบทรินิตีจนได้ จริงอยู่ที่แรกเริ่มเดิมทีการทดลองในครั้งนี้จัดเป็นความลับของทางฝ่ายพันธมิตร แต่หลังจากที่สงครามโลกจบลง ภาพเหล่านั้นก็ถูกนำออกมาเผยแพร่สู่สาธารณชน ดังที่เห็นต่อไปนี้   ค่ายทหารที่ฐานการทดสอบ   การเคลื่อนย้าย “The Gadget” ไปยังสถานที่ทดสอบ   สารประกอบระเบิดถูกส่งมายังสถานที่ทดสอบทรินิตี   กล้องจับภาพถูกติดตั้งรอบๆ สถานที่ทดสอบทรินิตี เพื่อบันทึกการทดสอบ   “The Gadget” ก่อนการทดสอบ   สายจำนวนมากนี้ ออกแบบมาตรวจวัดค่าต่างๆ ของ “The Gadget”   อุปกรณ์ที่ใช้วัดความเร็วของแรงระเบิด   หอคอยที่เป็นเป้าหมายในการทดลอง   สภาพพื้นที่หลังจากการทดลอง   ลูกไฟหลังการระเบิด 0.016 วินาที   ลูกไฟหลังการระเบิด…

  • 5 สารพัดวิธีที่จะยืนยันการเสียชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 18-19 แต่ใช้ได้จริงหรือไม่ว่ากันอีกที

    5 สารพัดวิธีที่จะยืนยันการเสียชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 18-19 แต่ใช้ได้จริงหรือไม่ว่ากันอีกที

    ในยุคที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากนัก การรักษาจัดเป็นอะไรที่ทั้งประหลาดและอันตราย หรือไม่ตรงประเด็นอย่างที่สุดในหลายๆ ครั้ง แม้แต่การตรวจสอบว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วเสียชีวิตจริงๆ หรือไม่ ยังถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ จริงๆ นั่นทำให้ในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 เหล่าแพทย์ได้คิดค้นสารพัดวิธีที่จะยืนยันการเสียชีวิตของผู้คนขึ้นมามากมาย ทั้งแบบที่มีเหตุผล น่าสนใจ แปลก หรือใช้ไม่ได้จริงไปเลยดังต่อไปนี้   ทรมานเท้าของผู้ตาย เท้าจัดเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกมาก ดังนั้นในสมัยก่อนจึงมีการทรมานเท้าของคนตาย เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่ตาย ตายไปแล้วจริงๆ บางครั้งก็ทำโดยการกรีดเท้า เผาเท้า หรือไม่ก็เอาเหล็กแหลมแทงที่ใต้เล็บเท้าเป็นต้น   ใช้ยาสูบสวนทวารหนักผู้ตาย นี่เป็นการตรวจสอบคนที่เสียชีวิตไปแล้วที่เกิดขึ้นในปี 1774 ซึ่งจะทำการใช้ควันยาสูบในการสวนทวารคนที่จมน้ำตาย โดยในสมัยนั้นเชื่อกันว่าการทำแบบนี้จะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น และกระตุ้นการหายใจในกรณีที่ร่างที่พบยังไม่ตาย อย่างไรก็ตามวิธีนี้อันตรายมาก หากแพทย์ที่ลงมือทำเผลอหายใจเข้า แทนที่จะเป่าควันออก เชื้อโรคในศพอาจเข้าสู่ร่างกายจนเสียชีวิตได้เลย ทำให้ต่อมาต้องมีการเพิ่มที่สูบลมเข้าไปในชุดปฏิบัติการนั่นเอง   เสียบเข็มยาวที่มีธงม้วนติดอยู่ที่หัวใจ นี่เป็นผลงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Middeldorph ซึ่งหากหัวใจยังเต้น ธงที่เข็มจะคลายออกทำให้รู้ว่าคนที่โดนยังไม่ตาย โชคร้ายที่ในปี 1893 แพทย์ที่ใช้วิธีนี้ กลับโดนกล่าวหาว่าสังหารคนไข้ด้วยการปักเข็มที่หัวใจเสียอย่างนั้น จนทำให้วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรไป   การใช้ก๊าซที่ปล่อยออกมาจากศพเพื่อเปิดเผยหมึกล่องหน นี่เป็นวิธีการที่น่าสนใจมากของ Séverin Icard ในศตวรรษที่ 19 โดยนี่เป็นการเขียนคำว่า…

  • 36 ภาพถ่ายขำๆ เอาฮาของคนสมัยก่อน เพราะมนุษย์เราไม่ว่าจะยุคไหนก็มีอารมณ์ขันเสมอ

    36 ภาพถ่ายขำๆ เอาฮาของคนสมัยก่อน เพราะมนุษย์เราไม่ว่าจะยุคไหนก็มีอารมณ์ขันเสมอ

    ในสมัยที่การถ่ายภาพยังไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน คนเราคงไม่คิดหรอกว่าการถ่ายภาพแบบเอาฮาจะเป็นที่นิยมกันแบบในปัจจุบัน เพราะกว่าจะได้ภาพมาแต่ละภาพในสมัยก่อนค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ไหนจะค่าฟิล์ม แถมยังต้องเอาฟิล์มไปล้างอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วต่อให้การถ่ายภาพลำบากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ขันของมนุษย์ได้หรอก เพราะในโลกใบนี้มีภาพถ่ายขำๆ เอาฮาให้เราได้ดูมากกว่าที่เราคิดเยอะ ไม่เชื่อก็ดูภาพทั้ง 36 ภาพต่อไปนี้ได้เลย   เริ่มกันด้วยเซิ้งริมน้ำตก   เก๋ไหมล่ะ   สวยนะหล่อน!!   เป๊ะเวอร์   นิ้วเข้าโกร่งไก!!! โกรธ!!!   นุ่มไหมลูกพี่   ทำอะไรกลางวันแสกๆ   หล่อเชิด!!   หนวดสวยนะเพื่อน   อย่าเลียจอกันนะ   ถ้าถ่ายสมัยนี้คงโดนด่าเหยียดชนชาติไปแล้ว   ขี่ถังสนุกไหม   จับนม จับนม   กระจอก มาบ้านเรามีของจริงให้ดู   โอโห พลังแขน   คนล่างเก่ง (และแกร่ง) ที่สุด   อันนี้ถ่ายมาจะสื่ออะไร?   อันนี้คือพิงเพื่อน หรือเมาพับ?…

  • พบมัมมี่ลูกม้าอายุราว 30,000-40,000 ปี ในเพอร์มาฟอส สมบูรณ์มากจนเห็นขนจมูกได้

    พบมัมมี่ลูกม้าอายุราว 30,000-40,000 ปี ในเพอร์มาฟอส สมบูรณ์มากจนเห็นขนจมูกได้

    ว่ากันว่าในยุคน้ำแข็ง โลกของเราได้เก็บหลักฐานของสิ่งมีชีวิตไว้ใต้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) เป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ถูกเก็บไว้เหล่านั้น ก็เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากอีกด้วย และล่าสุดนี้เอง ที่ไซบีเรีย ประเทศรัสเซียก็ได้มีการขุดพบมัมมี่ของลูกม้าอายุกว่า 30,000-40,000 ปี ขึ้นมาจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัวลึก 100 เมตร     นี่เป็นร่างของลูกม้าโบราณที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดร่างหนึ่งที่เคยมีการพบเลยก็ว่าได้ ทั้งผิวหนัง กีบ และหางเรียกได้ว่ายังคงอยู่ในสภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขั้นที่ว่านักวิทยาศาสตร์ยังสามารถเห็นขนจมูกของเจ้ามาน้อยได้เลยทีเดียว “นี่เป็นครั้งแรกในโลกที่มีการพบม้าโบราณที่ยังเด็ก และเก็บรักษามาอย่างสมบูรณ์ขนาดนี้” Semyon Grigoryev จากพิพิธภัณฑ์แมมมอธ ในเมืองยาค็อตสค์กล่าว     จริงอยู่ว่าม้าเป็นสัตว์ที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน แต่ลูกม้าที่พบนั้นมาจากสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 30,000-40,000 ปีก่อน ซึ่งมีชื่อว่า “Equus caballus lenensis” หรือ “ม้าลีนา” มันเป็นลูกม้าที่มีความสูง 98 เซนติเมตร และเชื่อกันว่าตายไปเมื่ออายุได้เพียงสองเดือนเท่านั้น โดยทางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเจ้าม้าน่าจะตกลงไปในน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง ก่อนจะขาดอากาศหายใจจนตาย เนื่องจากไม่มีบาดแผลที่มองเห็นได้จากบนร่างที่พบ     ในปัจจุบันทางนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเก็บตัวอย่างของขนและชิ้นเนื้อไปทำการทดลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการตรวจสอบลำไส้ของเจ้าม้าที่พบ เพื่อหาว่ามันทานอะไรเป็นอาหารในสมัยที่ยังมีชีวิต โดยการทดลองนี้จะนำไปสู่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตก่อนตายของเจ้าลูกม้าที่พบได้นั่นเอง   ที่มา thesun, sciencealert, cnet และ livescience

  • เชื่อหรือไม่ ตำนานพื้นบ้านยุโรปโบราณบอกว่าผู้หญิงสามารถใช้ “ของลับ” ไล่ปีศาจได้

    เชื่อหรือไม่ ตำนานพื้นบ้านยุโรปโบราณบอกว่าผู้หญิงสามารถใช้ “ของลับ” ไล่ปีศาจได้

    ในตำนานพื้นบ้านของทางยุโรปโบราณ บ่อยครั้งจะมีการอธิบายสตรีในสองรูปแบบ หนึ่งคือผู้ที่มักถูกเหล่าปีศาจใช้งาน (อย่างอีวาที่โดนงูหลอก) และอีกรูปแบบหนึ่งคือผู้ที่สามารถล้มล้างได้แม้กระทั่งซาตาน ซึ่งในวันนี้เราจะพูดถึงผู้หญิงแบบหลังกัน ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 17 ตามตำนานพื้นบ้านมักจะมีการปลูกฝังความเชื่อว่าปีศาจนั้นหวาดกลัวผู้หญิง หรือถ้าจะพูดให้เจาะจงคือปีศาจหวาดกลัวอวัยวะที่แสดงความเป็นเพศหญิง ทำให้ในสมัยนั้น มีภาพศิลปะที่แลดูเข้าใจยากปรากฏอยู่ประปราย     นี่คือภาพประกอบจากนิทานเรื่อง The Devil of Pope-Fig Island โดย Jean de La Fontaine ซึ่งมีเนื้อเรื่องคร่าวๆ ว่า ปีศาจกับชาวนาท้าประลองกันว่าใครจะขุดดินเป็นร่องได้ดีกว่ากัน ทำให้ภรรยาของชาวนาที่คิดจะช่วยสามีตัดสินใจเปิดของลับให้ปีศาจดู พลางแกล้งบ่นว่าสามีทดลองกรงเล็บกับเธอจนทำให้หว่างขาของเธอเป็นแผลแยก ปีศาจที่ไม่คุ้นเคยกับร่างกายผู้หญิงเห็นดังนั้นก็หวาดกลัวในพลังของชาวนามาก เพราะคิดว่าของลับของผู้หญิงคือบาดแผลรุนแรง จนตัดสินใจหนีไปจากการแข่ง     จากผลงานหลายๆ เรื่องในอดีตจะเห็นได้ว่าปีศาจมักจะมีความหวาดกลัวต่ออวัยวะเพศของผู้หญิงมาก ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เอง Dr. Magdalena Łanuszka ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะจาก มหาวิทยาลัย Jagiellonian ในโปแลนด์บอกว่า การที่ปีศาจหวาดกลัวอวัยวะเพศหญิงน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อในสมัยโบราณเกี่ยวกับการให้กำเนิด ซึ่งเชื่อกันว่าสตรีที่สามารถให้กำเนิดลูกได้ก็เปรียบเหมือนได้รับพรที่จะขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปนั่นเอง     นอกจากนี้การที่ปีศาจหวาดกลัวอวัยวะเพศหญิง อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในอดีตก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่นในยุค 1800 ผลงานของ Thomas Rowlandson ที่ชื่อ The…

  • ชม 12 “รถบ้าน” จากในอดีต แทนที่จะแบกเต็นท์ใส่รถไปเที่ยว สู้ทำรถเป็นบ้านเลยจะดีกว่า!!

    ชม 12 “รถบ้าน” จากในอดีต แทนที่จะแบกเต็นท์ใส่รถไปเที่ยว สู้ทำรถเป็นบ้านเลยจะดีกว่า!!

    แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันบ่อยนักในประเทศไทย แต่เชื่อว่าหลายๆ คนคงอาจจะเคยเห็นรถที่ใช้เป็นทั้งรถทั้งบ้านมาบ้างตามหนังภาพยนตร์ หรือซีรีส์ของประเทศ เชื่อกันว่าความคิดเรื่องรถบ้านมาจากต้นยุค 1900 โดยนักท่องเที่ยวที่คิดว่าแทนที่จะแบกเต็นท์ใส่รถไปเที่ยว สู้ทำรถเป็นบ้านเลยจะดีกว่า จนเกิดเป็น “รถบ้าน” อย่างที่พวกเรารู้จักกันในทุกวันนี้ แต่ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของ “รถบ้าน” จะเป็นอย่างไร เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถที่สามารถเป็นบ้านได้ (หรือบ้านที่สามารถเคลื่อนที่ได้แบบรถ) เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ในตัวเองอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชม 12 รถบ้านจากในอดีต ไปดูกันดีกว่าว่าในสมัยก่อนนั้น เขาประดิษฐ์รถบ้านออกมาแบบไหนกัน   “ยอดรถบัส” ของ Ray Conklin ประธานบริษัท New York Motorbus ในปี 1915   Gospel Car หมายเลข 1 สร้างโดย William Downer จากรัฐนิวเจอร์ซี ปลายยุค 1910   Dr. Foster กับครอบครัวของเขา ถ่ายรูปคู่กับเต็นท์ท่องเที่ยวแบบติดรถ (เต็นท์ติดกับรถจริงๆ)   รถฟอร์ดโมเดล T แบบดัดแปลงจากยุค 1920  …

  • พบพีระมิดขั้นบันไดเก่าแก่จากยุคสำริด ที่เมืองโบราณ Shimao ในประเทศจีน

    พบพีระมิดขั้นบันไดเก่าแก่จากยุคสำริด ที่เมืองโบราณ Shimao ในประเทศจีน

    ประเทศจีนเป็นประเทศที่ว่ากันว่ามีอารยธรรมที่เก่าแก่มากๆ ประเทศหนึ่งของโลก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่มีการค้นพบ นี่เป็นอารยธรรมที่ยังคงเต็มไปด้วยปริศนา พวกเขามาจากที่ไหนกันแน่ และอารยธรรมเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กัน ในขณะที่คำตอบของคำถามยังไม่ออกมาอย่างชัดเจนนั่นเอง นักโบราณคดีของประเทศจีนก็ได้ค้นพบพีระมิดขั้นบันไดโบราณ จนทำให้ปริศนาการกำเนิดของอารยธรรมจีน กลายเป็นเรื่องที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมไปอีก     นี่คือพีระมิดขั้นบันไดจากยุคสำริด ที่มีการขุดพบในซากปรักหักพังของเมืองโบราณ Shimao ในมณฑลส่านซี ประเทศจีน นี่เป็นเมืองที่สร้างขึ้นในช่วง 4,300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนับว่าเก่าแก่ยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีนเสียอีก เมืองแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1976 และมีการเริ่มขุดค้นจริงจังในปี 2011 ตั้งแต่นั้นมา เมืองแห่งนี้ก็ค่อยๆ เปิดเผยความลับที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศจีนทีละนิด นี่เป็นเมืองที่มีอาณาเขตประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีกำแพงสองชั้น นอกจากนี้ยังมีการค้นกะโหลกของมนุษย์จำนวนมาก ที่เชื่อกันว่ามาจากการบูชายัญเหล่านักโทษสงครามอีกด้วย   กะโหลกของมนุษย์จำนวนมาก ถูกพบในปี 2016   ส่วนพีระมิดขั้นบันไดที่พบเชื่อว่าสูงอย่างน้อย 70 เมตรโดยสร้างเป็นขั้นบันได 11 ขั้น ตัวพีระมิดชั้นล่างทำจากหิน และชั้นบนทำจากไม้และดิน มีระบบประปาที่ซับซ้อน อีกทั้งยังเก็บโบราณวัตถุเอาไว้อีกเป็นจำนวนมาก เป็นไปได้ว่าชั้นบนของพีระมิดที่พบจะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ดีชั้นสูงของอาณาจักร เพราะตัวพีระมิดมีระบบป้องกันที่ค่อนข้างแน่นหนา แถมยังมีหลักฐานงานฝีมือระดับสูงที่ส่วนบนของพีระมิด     เมืองโบราณ Shimao มักถูกเชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมจีน และการค้นพบพีระมิดในครั้งนี้ก็อาจจะช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถเข้าใจลักษณะสังคมของเหล่าคนโบราณที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามงานฝีมือและการก่อสร้างที่พบนั้น ค่อนข้างแตกต่างไปจากประเทศจีนในรุ่นหลังๆ อยู่มาก…

  • อดีตนาซีวัย 95 ที่แอบเข้าสหรัฐในปี 1949 โดนเนรเทศกลับเยอรมันแล้ว หลังต่อสู้มายาวนาน

    อดีตนาซีวัย 95 ที่แอบเข้าสหรัฐในปี 1949 โดนเนรเทศกลับเยอรมันแล้ว หลังต่อสู้มายาวนาน

    แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สอง จะจบลงไปกว่า 70 ปีแล้วแต่รอยแผลที่สงครามในครั้งนั้นฝากไว้กับโลกก็ฝังลึกจนยากที่จะลืมเลือน ดังเช่นเรื่องราวของ Jakiw Palij อดีตทหารนาซีผู้ถูกไล่ออกจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา Jakiw Palij เป็นอดีตทหารนาซีที่แอบเข้ามาในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1949 ด้วยการโกหกประวัติของตัวเองในเอกสารตรวจคนเข้าเมืองจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาจนอายุได้ 95 ปีในปัจจุบัน     จากข้อมูลของทางนักข่าวในปี 2001 Palij เคยเป็นทหารนาซีที่ประจำการอยู่ที่ ค่ายแรงงาน Trawniki ในประเทศโปแลนด์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และโดนกล่าวโทษว่ามีส่วนร่วมในการทำให้ชาวยิวกว่า 6,000 คนเสียชีวิตในค่ายเมื่อปี 1943 อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ Palij จะเคยสารภาพว่าทำงานในค่ายจริงๆ แต่เขาก็ปฏิเสธว่ามีส่วนร่วมในการฆ่าคน เขาบอกว่าตัวเองเพียงแค่โดนข่มขู่ให้ดูแลสะพานป้องกันชาวยิวหนีเท่านั้น โชคร้ายที่การกระทำของเขาถูกศาลมองว่าไม่ต่างอะไรกับการมีส่วนร่วมในการตายของชาวยิวอยู่ดี หน่วยสืบสวนพบอดีตอันดำมืดของ Palij ครั้งแรกในปี 1993 และมีกำหนดการจะถูกปลดสัญชาติอเมริกันในปี 2004 อย่างไรก็ตามทางสหรัฐอเมริกาไม่สามารถหาประเทศที่จะรับตัวอดีตทหารนาซีไปดูแลได้เลย   Jakiw Palij ในปี 1949   อย่างไรก็ตามหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี คดีของนาย Palij ก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดความพยายามกว่า 14 ปีของสหรัฐฯ ก็สำเร็จผล โดย Jakiw…

  • “Maine Potato Episode” เหตุการณ์ที่เรือพิฆาตสหรัฐฯ จมเรือดำน้ำญี่ปุ่นได้เพราะมันฝรั่ง

    “Maine Potato Episode” เหตุการณ์ที่เรือพิฆาตสหรัฐฯ จมเรือดำน้ำญี่ปุ่นได้เพราะมันฝรั่ง

    ว่ากันว่าในสถานการณ์คับขัน ทุกๆ สิ่งล้วนแต่นำมาใช้เป็นอาวุธได้ ไม่ว่าจะเป็นไม้กวาด กระเป๋า หรือแม้กระทั่งของที่ไม่น่าเชื่อที่สุดอย่างมันฝรั่ง ก็เคยมีประวัตินำเรือรบสหรัฐฯ ไปสู่ชัยชนะมาแล้ว!! นี่เป็นเรื่องราวของเรือพิฆาต O’Bannon เรือพิฆาตรุ่น Fletcher ที่ออกรบในปี 1942 และติดตั้งอาวุธมากมาย ทั้งปืนต่อต้านอากาศยาน ตอร์ปิโด ระเบิดน้ำลึก และปืนติดดาดฟ้าเรือ    U.S.S. O’Bannon   วันหนึ่งในระหว่างที่ O’Bannon กลับมาจากภารกิจใกล้ๆ หมู่เกาะโซโลมอน พวกเขาก็พบกับเรือดำน้ำ RO-34 ของญี่ปุ่นเข้าโดยบังเอิญ น่าแปลกที่ทางเรือดำน้ำญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกถึงการมาของ O’Bannon แถมยังทำเพียงลอยลำเหนือน้ำเฉยๆ อีกด้วย ในช่วงแรกๆ เรือ O’Bannon คิดจะพุ่งชนเรือดำน้ำโดยตรง แต่ก็กลัวว่าการพุ่งชนอาจจะทำให้เรือจมไปทั้งคู่ พวกเขาจึงหยุดการพุ่งชนไว้กลางคัน โชคร้ายที่การทำเช่นนั้นทำให้ฝั่งญี่ปุ่นรู้ตัว แถมจากระยะห่างของเรือแล้วทาง O’Bannon ไม่มีอาวุธอะไรที่สามารถยิงเรือดำน้ำได้เลย   เรือรุ่น Kaichū (ในภาพเป็น RO-33)   ทันทีที่เห็นปืนติดดาดฟ้าเรือของ RO-34 หันมาหา ทางกองเรือสหรัฐฯ ก็หาทางทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้เรือเล่นออกห่างพอที่จะให้อาวุธจู่โจมศัตรูได้ ซึ่งหนึ่งในการพยายามนั่นเอง พวกเขาได้โยนมันฝรั่งจำนวนหนึ่งที่อยู่บนเรือใส่ฝั่งญี่ปุ่นด้วย อาจจะด้วยความที่ฟ้ายังมืดอยู่ ทหารฝั่งญี่ปุ่นก็เข้าใจผิดว่ามันฝรั่งที่ทหารสหรัฐฯ โยนมานั้นเป็นระเบิดมือ พวกเขาจึงลนลานปามันฝรั่งกลับมาที่เรือ O’Bannon     นั่นทำให้เรือ O’Bannon สามารถหนีออกจากสถานการณ์คับขันได้ และถึงแม้ว่า RO-34…

  • รองเท้าสุดเท่จากสมัยโรมันโบราณ ต้นแบบรองเท้าหุ้มส้นที่เราใส่กัน ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน

    รองเท้าสุดเท่จากสมัยโรมันโบราณ ต้นแบบรองเท้าหุ้มส้นที่เราใส่กัน ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน

    เมื่อพูดถึงรองเท้าแฟชัน เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกถึงรองเท้าผ้าใบของ Converse, Nike หรือไม่ก็ Adidas ขึ้นมาเป็นอย่างแรก ด้วยการออกแบบอย่างประณีตและดูทันสมัย บวกกับความเท่หาเปรียบไม่ได้ของรองเท้าเหล่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าย้อนไปเมื่อสมัยโรมันโบราณ พวกเขาก็มีรองเท้าเท่ๆ แบบพวกเราเช่นกัน     นี่คือรองเท้าอายุรองเท้า 2,000 ปีจากสมัยโรมันโบราณ ที่มีการค้นพบที่ป้อมโรมันใน Saalburg ประเทศเยอรมัน โดยเจ้าป้อมโรมันดังกล่าวมีการขุดพบในศตวรรษที่ 19 และกลายเป็นมรดกโลกของทาง UNESCO ไปในเวลาต่อมา ส่วนรองเท้าที่เห็นถูกพบอยู่ในบ่อน้ำของป้อม และได้ถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Saalburg ร่วมกับรองเท้าอื่นๆ ที่พบในสมัยโรมันโบราณ     อย่างไรก็ตามไม่มีรองเท้าอันไหนที่จะโดดเด่นไปกว่ารองเท้าที่พบในครั้งนี้อีกแล้ว ด้วยความที่ว่ารองเท้าที่พบนั้นมีการออกแบบอย่างประณีต และดูคล้ายกับรองเท้าผ้าใบในปัจจุบันมากอย่างไม่น่าเชื่อนั่นเอง จากการค้นพบ นักโบราณคดีเชื่อว่ารองเท้าที่พบน่าจะเป็นของคนมีฐานะ เนื่องจากในสมัยนั้น บางครั้งคนรวยจะโชว์ความมั่งคั่งและสถานะในสังคมจากรองเท้าที่ใส่ และนั่นทำให้โรมันกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการคิดค้นรองเท้าที่ห่อหุ้มเท้าโดยสมบูรณ์อีกด้วย     รองเท้าที่พบมีพื้นรองเท้าที่ค่อนข้างหนักซึ่งเป็นลักษณะของรองเท้าที่ใส่นอกบ้าน แต่ก็มีการประดับตกแต่งค่อนข้างมาก นักโบราณคดีจึงเชื่อกันว่ารองเท้าที่พบน่าจะเป็นของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ดูเหมือนว่าชาวโรมันจะมีวัฒนธรรมรองเท้าที่ค่อนข้างทันสมัยเลย พวกเขามีรองเท้าสำหรับใส่นอกบ้าน และใส่ในบ้าน แถมยังมีรองเท้าที่ให้ในเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะ เช่นรองเท้าสำหรับใส่เวลาฝนตก หรือรองเท้าพิเศษสำหรับเหล่าสมาชิกสภา   ป้อมโรมันใน Saalburg ที่มีการค้นพบรองเท้าในครั้งนี้  …

  • นักวิทย์พบ หลักฐานสาวลูกครึ่งคนแรกของโลก เป็นมนุษย์โบราณอายุกว่า 50,000 ปี

    นักวิทย์พบ หลักฐานสาวลูกครึ่งคนแรกของโลก เป็นมนุษย์โบราณอายุกว่า 50,000 ปี

    เมื่อหลายปีก่อนเคยมีกระแสหนุ่มสาวลูกครึ่งมาแรงอยู่ช่วงหนึ่ง ด้วยความที่พวกเขาหลายๆ คนมักได้รับลักษณะเด่นๆ ของฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่มา ทำให้เด็กลูกครึ่งมักจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีในสายตาคนทั่วไปได้ไม่ยากเลย แต่เชื่อหรือไม่ว่าเด็กลูกครึ่งมีมานานกว่าที่เราคิด แถมไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยปี แต่มีมายาวนานอย่างน้อยๆ ก็ 50,000 ปีเลยทีเดียว นี่เป็นผลการวิจัยที่สืบเนื่องมาจากการค้นพบฟอสซิลมนุษย์โบราณจำนวนมากที่ถ้ำ Denisova ในปี 2012 โดยหนึ่งในกระดูกที่พบซึ่งเป็นของเด็กสาววัย 13 ปีที่เกิดมาเมื่อ 50,000 ปีก่อน ได้ถูกนำไปตรวจสอบ DNA และพบว่าเธอมีเชื้อสายมาจากทั้งมนุษย์โบราณสายพันธุ์ Neanderthals และสายพันธุ์ Denisovans นั่นเอง   ถ้ำ Denisova สถานที่ที่มีการขุดพบฟอสซิลมนุษย์โบราณ   จากการตรวจสอบเชื่อว่าเด็กสาวคนที่พบน่าจะมีมารดาเป็น Neanderthals และบิดาเป็น Denisovans ซึ่งแม้ที่ผ่านๆ มาทั้งสองสายพันธุ์อาจจะเคยติดต่อข้ามสายพันธุ์มาก่อน (ทฤษฎีจาก DNA ของมนุษย์ในปัจจุบัน) แต่เด็กสาวคนนี้ก็เป็นหลักฐานเก่าแก่ที่สุด ที่เคยมีการค้นพบของเด็กลูกครึ่งเลย จริงอยู่ว่าทั้งสายพันธุ์ Neanderthals และ Denisovans จะปรากฏตัวมาบนโลกตั้งแต่เมื่อ 390,000 ปีก่อนแล้วก็ตาม แต่ข้อมูลของสายพันธุ์ Denisovans ที่เราทราบในปัจจุบันก็มีอยู่น้อยมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหลักฐานการมีอยู่ของสายพันธุ์ Denisovans มีเพียงแค่กระดูกนิ้วมือ ฟัน และกระดูกส่วนขา ที่มีการขุดพบในภูเขาอัลไตเท่านั้น   ภูเขาอัลไต…

  • 22 ภาพของกลุ่มแก๊งแห่งนิวยอร์กยุค 70 อันธพาลครองเมือง อนาธิปไตยแห่งเหล่าคนพาล

    22 ภาพของกลุ่มแก๊งแห่งนิวยอร์กยุค 70 อันธพาลครองเมือง อนาธิปไตยแห่งเหล่าคนพาล

    ในช่วงยุค 70 ที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีกลุ่มแก๊งของเหล่าอันธพาลโผล่ออกมาเป็นจำนวนมาก พวกเขายึดถนน ขายยาเสพติด เข้าร่วมในสงครามชิงพื้นที่ และคุกคามคนรอบข้างในยุคที่เศรษฐกิจย่ำแย่ นี่เป็นยุคที่เรียกว่ายุคอันธพาลครองเมืองเลยก็ไม่ผิดนัก และหลงเหลือภาพถ่ายเป็นจำนวนมากมาเป็นหลักฐานแห่งอนาธิปไตยในเหล่าคนพาลได้เป็นอย่างดี   แก๊ง Screaming Phantoms มีภาพของเจงกีสข่านบนเสื้อกั๊กของพวกเขา   สมาชิกกลุ่ม Bronx Street Gang แสดงให้เห็นถึงความโหดของพวกเขา   ชาวแก๊งเผาทุกอย่างที่เห็นบนถนน   การสูบบุหรี่ โบกปืนไปมา และชูนิ้วกลางเป็นเครื่องหมายการค้าของหลายๆ แก๊ง   แก๊ง Midnight Bachelors กำลังฉลองด้วยอาวุธปืนและการดื่มเหล้า   แก๊งโหดโชว์ปืน   แก๊ง Supreme Bachelors ไต่รั้ว   การส่งคำเตือนด้วยภาพของชาวแก๊ง   สมาชิก Savage Skull เดินตามถนน   สัญลักษณ์และโลโก้มีความสำคัญต่อตัวตนของแก๊งมาก   พวกเขาท้าทาย แก๊งอื่น ๆ ด้วยการแสดงเสื้อของพวกเขา และคอยดูว่าใครจะกล้ามาฉกไป   Gestapo จาก Savage Nomads ขังสมาชิกที่ทำผิดกฎ…

  • An Loc หมู่บ้านทางตอนใต้เวียดนาม ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนโดนทิ้งระเบิดในสงคราม

    An Loc หมู่บ้านทางตอนใต้เวียดนาม ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนโดนทิ้งระเบิดในสงคราม

    เขต An Lộc อยู่ในตัวเมือง Bình Long จังหวัด Bình Phước ทางตอนใต้เวียดนาม นี่เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมากในสงครามเวียดนามในฐานะสถานที่ที่โดนทิ้งระเบิดในปี 1972 จนสถานที่แห่งนี้ต้องกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่มีศพถูกฝังไว้กว่า 3,000 ร่าง แต่รู้กันหรือไม่ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมาก่อน อย่างที่สามารถเห็นได้จากภาพของช่างภาพชาวอเมริกัน John L. Beck ที่ถ่ายมาในช่วงปี 1968-1969 ต่อไปนี้   เด็กในหมู่บ้าน   เพื่อนบ้านสูบบุหรี่   ชาวบ้านหนุ่มสองคน   ชาวบ้านสาวอีกสองคน   ร้านก๋วยเตี๋ยว   จวนผู้ว่า   ร้านขายเครื่องดื่ม   เด็กสาวผู้ยิ้มแย้ม   ของีบสักตื่น   การขนน้ำแข็ง   เด็กๆ อาบน้ำ   ตลาดหมู่บ้าน   สาวๆ ใน Ao Dai   ภาพถ่ายทางอากาศของ An Loc จังหวัด Binh Long…

  • 26 ภาพวีรบุรุษและผู้เสียสละ จาก D-day นอร์มองดี ทหารกล้าแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2

    26 ภาพวีรบุรุษและผู้เสียสละ จาก D-day นอร์มองดี ทหารกล้าแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2

    “ดวงตาของคนทั้งโลกกำลังมองคุณอยู่  ความหวังและคำอธิษฐานของคนรักเสรีภาพทุกคนจะเดินทัพไปกับคุณ”   ผู้บัญชาการสูงสุด ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์   D-day หรือวันที่ 6 มิถุนายน 1944 นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองเลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือวันที่เหล่าทหารกล้าที่เดินทางมาจากตอนใต้ของอังกฤษ บุกเข้าจู่โจมชายฝั่งนอร์มองดีของฝรั่งเศส ในยุทธการที่จะกำหนดอนาคตของสงครามโลกครั้งที่สอง คุณกำลังจะได้พบกับในวันแห่งตำนาน ของเหล่าวีรบุรุษ และผู้เสียสละ ผ่านเลนส์กล้องของเหล่าตากล้องที่เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพความเป็นจริงของสงคราม แม้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม   เข้าไปสู่ปากแห่งความตาย ทหารสหรัฐวิ่งผ่าท้องทะเล เข้าสู่ดงกระสุนที่หาดโอมาฮา   ทหารแคนาดาผู้มาถึงหาด Courseulles ในเมืองนอร์มองดี   ทหารอเมริกันกับเหล่าผู้ตายในหาดโอมาฮาหลังจากเสร็จสิ้นการโจมตี   การยกพลขึ้นบกหลังยึดหาดได้สำเร็จ   ทหารอเมริกันได้รับบาดเจ็บขณะที่บุกหาดโอมาฮา   ร่างไร้ชีวิตของทหารกล้า กับปืนไขว้ที่ว่างอยู่ใกล้ๆ อันเป็นการไว้อาลัยจากเพื่อนๆ   การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือขนส่งที่จม   ผู้บัญชาการสูงสุด ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ พบเหล่าทหารก่อนสงคราม   ทหารสหรัฐรอการขึ้นบกที่หาดโอมาฮา   ทหารอเมริกันในนอร์มังดีไม่นานหลังจากการบุกโจมตี   เรือรบของอเมริกันเดินทางผ่านช่องแคบอังกฤษ  …

  • Lewis Carroll ผู้แต่ง “อลิซท่องแดนมหัศจรรย์” ที่อาจจะมีอาการของ “โรคใคร่เด็ก”

    Lewis Carroll ผู้แต่ง “อลิซท่องแดนมหัศจรรย์” ที่อาจจะมีอาการของ “โรคใคร่เด็ก”

    “Alice’s Adventures in Wonderland” หรือที่เรารู้จักกันในนาม “อลิซท่องแดนมหัศจรรย์” เป็นนวนิยายที่เขียนเมื่อปี 1865 เกี่ยวกับ สาวน้อยที่ตกลงไปในหลุมกระต่ายจนได้พบกับเรื่องราวแฟนตาซีมากมาย ที่เขียนโดย Charles Lutwidge Dodgson หรือ “Lewis Carroll”     เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยทราบเรื่องนี้มาก่อนว่า อลิซท่องแดนมหัศจรรย์นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจาก Alice Liddell เด็กสาววัย 10 ขวบผู้เป็นหนึ่งในสามลูกสาวของเพื่อนของ Lewis ในระหว่างที่ไปพายเรือในปี 1858 Lewis ได้เล่าเรื่องของเด็กสาวที่มีเหมือนกับ Alice เพื่อฆ่าเวลากับเด็กทั้งสาม ก่อนที่ Alice จะบอกให้เขาเขียนเรื่องที่เล่าออกมา และกลายเป็นนวนิยายชื่อดังที่เรารู้จักกันนั่นเอง   เด็กทั้งสามแห่งบ้าน Liddell   ปัญหาคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเอ็นดูต่อ Alice Liddell ที่ Lewis มีต่างหาก Lewis Carroll ในสมัยก่อนเคยเป็นช่างภาพมาก่อน และได้เคยขอร้องครอบครัว Liddell เพื่อถ่ายรูปลูกสาวทั้งสามของพวกเขา รูปที่ครอบครัว Liddell ดูนั้นไม่มีอะไรที่ผิดปกติมากมายนัก จนกระทั่งพวกเขาพบกับภาพของ Alice ที่แต่งตัวเหมือนขอทานเปลือยไหล่ และภาพวาดของเด็กสาวอีกคนนั่งเปลือยกายอยู่ริมทะเล     จริงอยู่ว่าภาพเหล่านี้อาจจะถูกมองว่าเป็นผลงานทางศิลปะได้ แต่กลับกลายเป็นว่า Lewis ได้แอบเก็บภาพเปลือยของพี่สาวของ Alice…

  • เผยข้อมูล “โลงหินสีดำ” ที่อเล็กซานเดรีย หนึ่งในกระดูกเป็นผู้หญิง และพบจารึกทองสามแผ่น

    เผยข้อมูล “โลงหินสีดำ” ที่อเล็กซานเดรีย หนึ่งในกระดูกเป็นผู้หญิง และพบจารึกทองสามแผ่น

    ถ้ายังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการขุดพบโลงหินสีดำในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และพบกับโครงกระดูกสามร่าง กับน้ำเสียสีน้ำตาลแดง (อ่านข่าวเก่าได้ที่ เปิดแล้ว!! โลงหินสีดำลึกลับในอเล็กซานเดรีย ท่ามกลางความหวาดกลัวคำสาปโบราณ) ล่าสุดนี้เองทางนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของการตรวจสอบโลงหินที่ว่านี้แล้ว     นี่เป็นโลงศพที่เชื่อกันว่ามาจากช่วงราชวงศ์ทอเลมี โดยถูกฝังเมื่อราวๆ 304-30 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ลูกหลานของแม่ทัพที่เป็นลูกน้องของอเล็กซานเดอร์มหาราช กำลังปกครองเมืองอเล็กซานเดรียอยู่ ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์โครงกระดูกทั้งสามจากในโลงศพ และได้ค้นพบความรู้ใหม่ๆ อยู่หลายข้อ     เรื่องแรกคือหนึ่งในสามกระดูกที่เป็นของหญิงสาวอายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งถูกฝังไว้กับร่างของชายสองคนที่มีอายุประมาณ 35-39 ปี และ 40-44 ปีในตอนที่ตาย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือที่กะโหลกของหนึ่งในโครงกระดูกที่พบนั้นมีร่องรอยโดนเจาะเป็นรูปรากฏอยู่ โดยการเจาะกะโหลกในลักษณะนี่หมายความว่าเจ้าของโครงกระดูกเคยได้รับการรักษาที่เรียกกันว่า “Trepanation” (การเจาะรักษา) ซึ่งในสมัยก่อนเชื่อว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยหลายๆ ชนิดได้     จริงอยู่ว่าการรักษาในรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลาค่อนข้างนานและพบเห็นได้บ่อยๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นการรักษาที่พบได้ไม่บ่อยนักในอียิปต์โบราณ อย่างไรก็ตามการค้นพบที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์โลงศพครั้งนี้อยู่ที่การค้นพบรูปวาดปริศนาบนแผ่นจารึกทองสามแผ่นในโลงศพต่างหาก โดยทั้งสามแผ่นมีรูปที่แตกต่างกันไปและเชื่อว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับโครงกระดูกทั้งสาม     แผ่นแรกเป็นรูปของงู ซึ่งเป็นรูปที่ปรากฏขึ้นในอียิปต์โบราณอยู่บ่อยๆ เนื่องจากความเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ (ลอกคราบ) และความเกี่ยวข้องกับเทวีไอสิส   ภาพที่สองเชื่อกันว่าเป็นภาพของฝักข้าวโพดหรือไม่ก็ต้นปาล์ม ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเกิดใหม่…

  • ชมฟอสซิล “มัมมี่ไดโนเสาร์” สมบูรณ์ที่สุดในโลก ยังมีทั้งผิวหนังและเครื่องในอยู่!!

    ชมฟอสซิล “มัมมี่ไดโนเสาร์” สมบูรณ์ที่สุดในโลก ยังมีทั้งผิวหนังและเครื่องในอยู่!!

    เมื่อพูดถึงฟอสซิลไดโนเสาร์ ภาพในหัวของคนส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นโครงกระดูกขนาดใหญ่กันเป็นธรรมดา เพราะสิ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อกว่า 100 ล้านปีก่อน คงไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกของเรานั้นมีฟอสซิลไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์แบบกว่านั้นมาก มันยังมีผิวหนังและเครื่องในอยู่เลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบมากจนแทนที่จะเรียกว่าฟอสซิล เจ้าไดโนเสาร์ตัวนี้น่าจะใกล้เคียงกับคำว่ามัมมี่มากกว่าเคยด้วยซ้ำ     นี่คือฟอสซิลของไดโนเสาร์สายพันธุ์ “Borealopelta markmitchelli” โดยมันเป็นไดโนเสาร์กินพืชร่างหุ้มเกราะที่รู้จักกันในชื่อ Suncor Nodosaur จากยุคครีเทเชียสเมื่อประมาณ 110 ล้านปีก่อน Suncor Nodosaur เชื่อกันว่าในขณะมีชีวิตจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 ปอนด์ (ราวๆ 1,360 กิโลกรัม) เลยทีเดียว โดยเจ้าฟอสซิลที่พบเองก็มีน้ำหนักถึง 2,500 ปอนด์ (ราวๆ 1134 กิโลกรัม)     มันเป็นฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่มีค้นพบในปี 2011 โดยเชื่อกันว่าเจ้าไดโนเสาร์น่าจะถูกพัดไปตามกระแสน้ำจนออกไปยังทะเล ก่อนที่จะจมลงไปตายที่ใต้ทะเลเพราะน้ำหนักของมัน เป็นไปได้ว่าพื้นโคลนใต้ทะเลในสมัยโบราณจะช่วยรักษาสภาพร่างของมันเอาไว้นั่นเอง     ฟอสซิลที่พบนั้นมีความสมบูรณ์สูงมาก มันยังมีทั้งเนื้อหนัง ชิ้นส่วนเกราะ รวมทั้งเครื่องในบางส่วนอยู่ จนนักวิจัยบอกว่าการศึกษาฟอสซิลอันนี้เหมือนกับการได้ศึกษาไดโนเสาร์อย่างที่มันควรจะเป็นเลยทีเดียว     ตั้งแต่ที่มีการค้นพบนักวิทยาศาสตร์ก็ใช้เวลาศึกษาร่างที่พบกว่า 6 ปี จนค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ มากมายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทฤษฎีที่ไดโนเสาร์อาจพรางตัวด้วยการเปลี่ยนสีผิวได้นั่นเอง ฟอสซิลที่พบถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Royal Tyrrell…

  • ชมภาพการนั่งเครื่องบินในช่วงยุค 50 ย้อนไปดูว่าครึ่งร้อยปีก่อน บนเครื่องเป็นอย่างไรกัน

    ชมภาพการนั่งเครื่องบินในช่วงยุค 50 ย้อนไปดูว่าครึ่งร้อยปีก่อน บนเครื่องเป็นอย่างไรกัน

    ตั้งแต่ที่ Wilbur กับ Orville สองพี่น้องห่งตระกูล Wright สร้างเครื่องบินขึ้นมาในปี 1903 เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานเหลือเกิน การขึ้นเครื่องบินง่ายและราคาถูกลงทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนในสมัยนี้จะหลงลืมความมหัสจรรย์ของการได้ขึ้นบินไปกันจนหมดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในยุค 50 เพราะในช่วงนั้นการขึ้นเครื่องบินถือเป็นอะไรที่พิเศษมาก เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะขึ้นเครื่องบินได้ อีกทั้งค่าโดยสารยังค่อนข้างแพง ทำให้การบริการบนเครื่องบินนั้นดีแบบสุดๆ เลย ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชมภาพการนั่งเครื่องบินในช่วงยุค 50 กัน ว่าเมื่อ 60 ปีก่อน ในเครื่องบินมันเป็นอย่างไรกัน   เริ่มกันจากรูปร่างเครื่องบินในสมัยนั้นกันก่อน นี่คือ Douglas DC-6 เครื่องบินพาณิชย์ที่ค่าตั๋วพอรับได้ที่สุดในยุค 50   จะสังเกตุว่าในเครื่องมีเตียงด้วย   ข้างในเครื่องดูกว้างใช้ได้เลย   ที่นั่งสามารถเอนลงไปเป็นที่นอนเหมือนกับปัจจุบัน แต่จะเอนได้มากกว่า   นอกจากนี้ยังมีที่นอนเหนือศีรษะด้วย (คล้ายๆ รถไฟ)   ที่นอนที่ว่าเปิดออกมาจากเหนือศีรษะ ซึ่งปัจจุบันกลายเปนที่เก็บกระเป๋า   มีผ้าม่านเพื่อความเป็นส่วนตัวด้วย   นอกจากที่นั่งแล้วบนเครื่องยังมีเลานจ์ให้นั่งด้วย   โดยในเลานจ์จะมีโซฟาให้นั่งหยียดแข้งเหยียดขา   แถมยังมีบาร์แบบจัดเต็มให้ด้วย  …

  • 26 ภาพถ่ายแมวน้อยจากสมัยก่อน ที่จะทำให้หัวใจของพวกเราละลายได้ไม่ยากเลย 

    26 ภาพถ่ายแมวน้อยจากสมัยก่อน ที่จะทำให้หัวใจของพวกเราละลายได้ไม่ยากเลย 

    สัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาเป็นเวลานานนั้นไม่ได้มีแต่เพียงสุนัข บนโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ชื่นชอบในการเลี้ยงเจ้าสี่ขาขี้เอาแต่ใจ เสือน้อยไซต์กระเป๋า นายทาสแห่งมวลมนุษย์อย่างเจ้าแมวอยู่หมือนกัน แม้ว่าจะอยู่กับมนุษย์มาไม่นานเท่าสุนัข (จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์) แต่เจ้าแมวน้อยก็เป็นสัตว์ที่เป็นเพื่อน (หรือนายทาส) ของมนุษย์มาอย่างยาวนานแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชม 26 ภาพถ่ายแมวน้อยจากสมัยก่อน ที่จะทำให้หัวใจของพวกเราละลายได้ไม่ยากเลย   สมาชิกตัวน้อยแห่งกองเรือ 1941   โดนขโมยที่นอนแล้ว!!   แมวใส่แว่น 1927   เราเป็นฝาแฝด เชื่อดิ!!   มาสคอทของ Coast Guard Academy 1944   เพลงสนุกไหม   กะลาสีและแมวน้ำ (ทะเล) 1910   แมวดับเพลิง (จริงๆ คือหนักงานดับเพลิงช่วยแมว)   แมวได้รางวัล   เจ้าตัวน้อยวาดภาพ   แมวแม่ลูกจากยุค 50   โค้งให้พ่อสิ   แมวชั้นสูง   แบ่งหน่อย….…

  • นักโบราณคดีเผย “การด่าแม่” เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ 3,500 ปีก่อน

    นักโบราณคดีเผย “การด่าแม่” เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ 3,500 ปีก่อน

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้ว่าการล้อเลียนบุพการี โดยเฉพาะการล้อเลียนมารดาของผู้อื่น นับเป็นการกระทำที่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับหลายๆ วัฒนธรรมในโลก โดยเฉพาะการล้อเลียนที่ออกไปในทางเรื่องเพศแล้วด้วย     แต่เชื่อหรือไม่ว่าการล้อเลียนมารดานั้นเกิดขึ้นมานานกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่ในยุคเรเนซองส์ หรือยุคกลาง แต่ย้อนกลับไปนานถึง 1,500 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว นี่เป็นความรู้ที่นักโบราณคดีได้รับ จากการตรวจสอบแผ่นจารึกโบราณซึ่งอายุมากกว่า 3,500 ปี ที่มีการขุดพบในอิรักเมื่อปี 1976 โดยนี่เป็นการผลงานการแปลของ J.J. van Dijk นักโบราณคดีผู้ขุดพบแผ่นจารึกโบราณ ก่อนที่แผ่นหินจะสูญหายไปในภายหลังนั่นเอง     Dijk บอกในงานวิจัยของเขาว่าบนแผ่นหินนั้นมีการสลักข้อความที่ค่อนข้างไร้สาระเอาไว้มากมาย จนมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้คงมือสลักข้อความน่าจะเป็นเด็กนักเรียนชาวบาบิโลนในสมัยก่อน โดยเป็นการเขียนในภาษาอัคคาเดีย ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในสมัยนั้น ดูเหมือนว่ากว่าครึ่งของข้อความบนแผ่นหินจะเป็นปัญหาลับสมอง หรือปริศนาเชาว์ ซึ่งทำให้เราทราบว่าคนในสมัยก่อนก็มีความรู้ในการทำปริศนาและการอุปมาอุปมัยเช่นกัน     แต่ที่น่าสนใจที่สุดอยู่ที่ปริศนาเชาว์ข้อหนึ่งซึ่งหากแปลตรงๆ จะได้ว่า “….คือคนที่มีอะไรกับแม่แก เขาคือใคร/มันคืออะไร” (…of your mother is by the one who has intercourse with her. What/who is…

  • เชิญชมหนังสือโบราณจากเยอรมัน เปิดได้ 6 แบบ เพื่อเป็นหนังสือที่ต่างกัน 6 เล่ม!!

    เชิญชมหนังสือโบราณจากเยอรมัน เปิดได้ 6 แบบ เพื่อเป็นหนังสือที่ต่างกัน 6 เล่ม!!

    ในภาพยนตร์หรือนิยายที่เกี่ยวกับการสืบสวนหรือเรื่องลี้ลับ เราอาจจะเคยได้พบกับหนังสือต้องใช้การอ่านแบบพิเศษถึงจะได้เนื้อเรื่องที่เราต้องการมาบ้าง บางครั้งอาจจะเป็นอะไรง่ายๆ อย่างการอ่านเฉพาะตัวอักษรตัวแรกของบรรทัดหรือยากขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเป็นการเปิดหนังสือแบบพิเศษ แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่าหนังสือที่สามารถเปิดอ่านได้หลายแบบเช่นนั้นมีอยู่จริงๆ บนโลก แถมยังมีการทำขึ้นมานานมากแล้วอีกด้วย     นี่คือหนังสือพิเศษสัญชาติเยอรมันที่ทำออกมาในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีความพิเศษตรงที่สามารถเปิดอ่านได้ถึง 6 แบบ ออกมาเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาต่างๆกันไปหกเล่มเลยทีเดียว!! หนังสือที่เปิดอ่านในรูปแบบนี้เรียกกันว่า “Dos-à-Dos”  หรือ “Back-to-Back” ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดรูปเล่มออกมาหลังชนหลังกันทำให้อ่านได้หลายแบบ อย่างไรก็ตามโดยมากแล้วหนังสือแบบ Dos-à-Dos จะมีวิธีเปิดอ่านเพียงแค่สองแบบเท่านั้น     หนังสือเล่มนี้ถูกยึดติดกันด้วยขอเกี่ยวโลหะ และการอ่านหนังสือแต่ละเล่มจะทำได้โดยการปลดขอเกี่ยวที่จำเป็นในการเปิดหนังสือด้านนั้นๆ ออก ซึ่งนับเป็นงานฝีมือที่หายากมากๆ จากสมัยโบราณเลยก็ว่าได้     โดยในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาที่เคยมีการตีพิมพ์ในเยอรมันในช่วงปี 1550-1570 เช่นบทความของ Martin Luther และ Der kleine Catechismus ซึงแม้ว่าการจัดพิมพ์แบบพิเศษจะทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านได้ยากอยู่บ้างแต่ก็นับว่าเป็นงานฝีมือที่ยอดเยี่ยมมากๆ เช่นกัน     ซึ่งหากเพื่อนๆ สนใจอยากเดินทางไปดูหนังสือเล่มดังกล่าวด้วยตัวเอง ในปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติสวีเดน   ที่มา canyouactually, laughingsquid และ erikkwakkel

  • 17 แฟชันยอดนิยมในโลกยุคอดีต ที่นอกจากจะแปลกแล้ว บางอันก็ดูอันตรายอีกด้วย

    17 แฟชันยอดนิยมในโลกยุคอดีต ที่นอกจากจะแปลกแล้ว บางอันก็ดูอันตรายอีกด้วย

    ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยไหน คนเราก็วิ่งตามหาความงดงามของหน้าตาและร่างกายอยู่เสมอ ไม่ว่าใครก็คงอยากดูดี จะสวยจะหล่อหรือว่าเท่ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้เองคนเราเลยมักจะวิ่งตามแฟชันอยู่เสมอๆ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าแฟชันในยุคที่ตัวเองอยู่นั้นอาจจะถูกมองว่าแปลกจากคนยุคอื่นก็เป็นได้ เหมือนอย่าง 17 แฟชันที่เคยดังในอดีต แต่ในปัจจุบันดูยังไงก็แปลก แถมบางอันยังอันตรายอีกด้วยต่อไปนี้   ผู้หญิงยุคเรอเนซ็องส์อยากหัวเถิก หน้าผากโค้งขนาดใหญ่เป็นความงามของผู้หญิงในสมัยนั้น ดังนั้นสาวๆ บางคนยังถึงกับจงใจดึงแนวผมตัวเองไปด้านหลัง เพื่อให้หัวเถิกเลยด้วย   การทาสีที่ขาเป็นที่นิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในสงครามโลกครั้งที่สองถุงน่องไนลอนเป็นที่ขาดแคลน สาวๆ จึงมักทาสีขาให้เหมือนถุงน่องไนลอนแทน   คนจีนโบราณชอบเท้าเล็ก เรียกกันว่า “เท้าดอกบัว” ทำได้โดยการรัดเท้าสตรีตั้งแต่ยังเด็กๆ จนกระดูกและรูปร่างของเท้าผิดรูปไปนั่นเอง   ชาวมายาโบราณจะดัดรูปร่างกะโหลกศีรษะ ทำได้โดยการใช้เครื่องมือกดศีรษะของทารก เชื่อกันว่าเป็นเทรนด์ความงามในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง   ชาวจีนยุคราชวงศ์ชิงชอบไว้เล็บยาว เป็นสัญลักษณะของคนที่ร่ำรวยไม่ต้องทำงาน   ช่วงยุคกลางผู้ชายชอบโชว์น่อง ดูเหมือนจะคล้ายๆ ที่สมัยนี้ชอบโชว์กล้ามนั่นเอง   สาวๆ ยุคเรอเนซ็องส์ต้องไม่มีขนตา การมีขนบนตัวไม่ใช่เรื่องที่ดีของสาวๆ ในยุคกลางและเรอเนซ็องส์ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของการมีความรู้สึกเรื่องเพศมากเกินไป จึงจะพบเห็นพวกเธอถอนขนตาอยู่บ่อยๆ   ผู้หญิงญี่ปุ่นทาฟันดำ ในสมัยก่อนผู้หญิงญี่ปุ่นจะทาฟันดำเมื่อแต่งงาน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความงามและความมุ่งมั่นในการสมรส   ในศตวรรษที่ 18…

  • 6 กษัตริย์มีชื่อในอดีต ที่มีสาเหตุการตายสุดแสนจะไม่สมศักดิ์ศรี บทจะตายก็ตายแบบนี้เนี่ยนะ

    6 กษัตริย์มีชื่อในอดีต ที่มีสาเหตุการตายสุดแสนจะไม่สมศักดิ์ศรี บทจะตายก็ตายแบบนี้เนี่ยนะ

    ว่ากันว่าคนเราเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตาย ต่อให้แค่ไม้จิ้มฟันแทงเหงือกก็ตายได้ ไม่ว่าจะเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อถึงเวลาที่จะตาย บางครั้งความตายที่ว่าก็มาในรูปแบบที่ไม่เข้ากับฐานะเป็นอย่างยิ่งได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเหล่าผู้มีชื่อเสียงในอดีตที่มีสาเหตุการตายสุดแสนจะไม่เข้าท่า ไม่สมศักดิ์ศรีเอาเสียเลย บทจะตายก็ตายกันแบบนี้เลยเนี่ยนะ   Sigurd Eysteinsson โดนฟันปักขา Sigurd เป็นผู้นำของไวกิ้งที่ปกครองหมู่เกาะออร์คนีย์ของสกอตแลนด์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 เขาเป็นนักรบมากฝีมือผู้ที่สามารถตัดหัวของ Maelbrigt เอิร์ลแห่งสก็อตได้สำเร็จ ปัญหาคือระหว่างนำหัวของศัตรูกลับไปนั่นเอง แรงสะเทือนของม้าดันทำให้ฟันของ Maelbrigt ปักเขาใส่ขาของ Sigurd ทำให้เขามีอาการติดเชื้อจนเสียชีวิตเสียอย่างนั้น   Adolf Frederick กินมากเกินไป Adolf Frederick คือกษัตริย์แห่งสวีเดนครองบัลลังก์ตั้งแต่ปี 1751-1771 แต่แล้วในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1771 Adolf Frederick กลับต้องมาเสียชีวิตไปด้วยอาการอาหารไม่ย่อย จากการที่เขาทานอาหารชุดใหญ่ บวกกับขนมอบแบบนอร์ดิกอีกสิบสี่ชิ้นในวันนั้น   Henry I กินปลาไหล กษัตริย์ Henry I ปกครองอังกฤษด้วยอำนาจและกฏเหล็ก อย่างไรก็ตามเขาเคยถูกหมอสั่งห้ามไม่ใช้ทานปลา “Lamprey” ปลาดูดเลือดที่มีลักษณะคล้ายปลาไหลเด็ดขาด โชคร้ายที่เขาไม่ยอมฟังที่หมอพูด และทานปลา Lamprey เข้าไปเป็นจำนวนมากในปี 1135 จนสุขภาพเขาแย่ลงอย่างมาก และเสียชีวิตลงในปีนั้น   Charles VIII หัวโขกขอบประตูตาย Charles VIII…

  • 5 ผู้นำสุดโหดในอดีตที่ไม่ใช่ ฮิตเลอร์ หรือ สตาลิน เพราะโลกมีผู้นำสุดโหดมานานกว่านั้น

    5 ผู้นำสุดโหดในอดีตที่ไม่ใช่ ฮิตเลอร์ หรือ สตาลิน เพราะโลกมีผู้นำสุดโหดมานานกว่านั้น

    เมื่อพูดถึงผู้นำที่โหดร้ายที่สุดในอดีต เชื่อว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วคงไม่พ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, โจเซฟ สตาลิน หรือไม่ก็เบนิโต มุสโสลินี แต่บนโลกของเรามีผู้นำที่โหดร้ายมานานกว่านั้นมาก ดังนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาไปชม 5 ผู้นำที่โหดร้ายที่สุดในอดีตก่อนยุค 1930 มาดูกันดีกว่าว่าใครบ้างที่ถูกประวัติศาสตร์ยกให้เป็นผู้นำที่โหดร้ายที่สุด   เจงกีสข่านผู้นำแห่งเผ่ามองโกล หากคุณพบกับกองทัพมองโกลนั่นหมายความว่าหายนะได้มาเยือนเมืองแล้ว หากโชคดีคุณอาจจะได้รับทางเลือกให้เข้าร่วมกับมองโกล แต่ถ้าไม่ เมืองของคุณก็จะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตลอดชีวิตของเจงกีสข่านเขาสังหารคนไปมากกว่า 40 ล้านคน หรือ 11% ของคนทั้งโลกเลยนั่นเอง   ตีมูร์อีแลง หรือติมูร์ ติมูร์ มีชีวิตอยู่ในปี 1336 ถึง 1405 เขาเป็นขุนศึกที่มีเชื้อสายผสมระหว่างมองโกลและเติร์ก มีชื่อเสียงด้านความ “ไม่ปราณี” จนขนาดที่ว่านักประวัติศาสตร์คาดว่าผู้คนจำนวนกว่า 17 ล้านคนล้มตายเนื่องจากการพิชิตเอเชียตะวันตกและเอเชียกลางของติมูร์เลยทีเดียว นอกจากนี้ติมูร์ยังถูกเชื่อว่าเคยตัดหัวศัตรูในกรุงแบกแดดเพื่อสร้างเป็นหอคอยกระโหลกอีกด้วย   วลาดที่ 3 ต้นกำเนิดตำนานแห่งแวมไพร์ วลาดที่ 3 ได้รับชื่อเล่นว่า วลาดนักเสียบ ที่แม้ว่าจะได้รับชื่อว่าเป็นวีรบุรุษแห่ง Walachian (โรมาเนียในปัจจุบัน) ก็ตาม แต่เขาคือฝันร้ายของคนชาติอื่นเลยก็ไม่ผิดนัก ผลงานของเขามีทั้งการรบยามราตรี ฆาตกรรมหมู่ แยกชิ้นส่วนหรือถลกหนังเหยื่อทั้งเป็น และที่สำคัญที่สุด “การเสียบประจาน”…

  • 9 เรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน แต่น่าสนใจสุดๆ

    9 เรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไม่มีสอนในห้องเรียน แต่น่าสนใจสุดๆ

    สงครามโลกครั้งที่สองนับว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่สงครามครั้งนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่คนเราได้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเราจะรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสงครามโลกแล้ว เพราะมันมีความรู้มากมายอยู่ที่ไม่ได้ถูกสอนในห้องเรียน เหมือนกับเรื่องไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองต่อไปนี้ ที่ไม่ใช่แค่ไม่มีสอนในห้องเรียน แต่ยังแปลกและน่าสนใจสุดๆ ไปเลย!!   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีนักบินกามิกาเซ่เพียงประมาณ 1 ใน 9 เท่านั้น ที่พุ่งชนเป้าหมายได้สำเร็จจริงๆ   จากข้อพิพาทหมู่เกาะคูริล ทำให้ญี่ปุ่นและรัสเซียไม่ได้เซ็นสัญญาสงบศึกกันตอนจบสงครามโลกครั้งที่สอง   ควีนอลิซาเบธที่สอง เคยทำหน้าที่เป็นช่างและคนขับรถมาก่อน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง   John R. McKinney ได้รับเหรียญกล้าหาญจาการหยุดกองทัพญี่ปุ่นที่มีทหารกว่า 100 นาย ด้วยตัวคนเดียว นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างการบุกยึดฟิลิปปินส์คืนมาจากญี่ปุ่นในปี 1945   จำนวนชาวจีนที่เสียชีวิตในในสงครามโลกครั้งที่สองมีมากกว่าชาวยิวในช่วงที่ถูกพันธุฆาตเสียอีก จำนวนชาวจีนที่เสียชีวิตคาดการไว้อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านคน ส่วนชาวยิวคาดกันว่าเสียชีวิตราวๆ 6 ล้านคน   หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองวินสตัน เชอร์ชิลล์ก็แพ้การเลือกตั้งในปี 1945   Nicholas Alkemade พลปืนของเครื่องบินกองทัพอากาศอังกฤษตกลงจากจากความสูงกว่า 5,500 เมตร แต่กลับรอดชีวิต   ตอนที่ฮิตเลอร์ไปเยี่ยมชมปารีสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวฝรั่งเศสได้ทำการตัดสายเคเบิลของลิฟต์ที่หอไอเฟล เพื่อที่ว่าหากฮิตเลอร์อยากไปชมหอไอเฟลเขาจะต้องเดินขึ้นบันไดไป   ฮิตเลอร์อาจเคยว่าแผนจะสร้าง…

  • 35 ภาพถ่ายสะเทือนอารมณ์ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้ผ่านเรื่องเศร้ามามากเหลือเกิน

    35 ภาพถ่ายสะเทือนอารมณ์ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้ผ่านเรื่องเศร้ามามากเหลือเกิน

    ว่ากันว่ารูปภาพใช้แทนคำพูดได้นับพัน และเป็นหลักฐานจากสมัยก่อนที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ดีที่สุด บ่อยครั้งที่เรามองดูภาพจากสมัยก่อนและน้ำตาไหลหรือรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเบื้องหลังรูปที่เราเห็นนั้น มันช่างสะเทือนอารมณ์เสียยิ่งกว่าอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ตีแผ่โลกใบนี้ออกมาได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในคราวนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปชม 35 ภาพถ่ายสุดสะเทือนอารมณ์จากประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้เพื่อนๆ ทราบว่ากว่าจะมาเป็นทุกวันนี้ โลกของเราผ่านเรื่องเศร้ามามากเหลือเกิน   สายลับรัสเซียหัวเราะก่อนจะถูกประหารชีวิตในฟินแลนด์ 1942   ชาวยิวคนสุดท้ายใน Vinnitsa 1941   สีหน้าทหารเยอรมันระหว่างดูภาพวิดีโอของค่ายกักกัน 1945   Georges Blind สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มต่อต้านของชาวฝรั่งเศส ยิ้มให้กับทหารเยอรมัน 1944   ทหารเยอรมันกลับมาบ้าน เพียงเพื่อที่จะพบว่าครอบครัวของเขาไม่อยู่ที่นั่นแล้ว 1946   เด็กชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนตรงในระหว่างแบกน้องชายที่ตายไปเผา 1945   ภาพความตายของทหารสหัฐฯ ภาพแรกที่ออกสู่สายตาประชาชน 1943   “ท้าทายจนถึงท้ายที่สุด” ชาวเยอรมันผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ถูกประหารชีวิตในมิวนิค 1919   ชายว่างงานในยุค 1930   นักบวชและทหารที่กำลังจะตาย 1962   Hans-Georg Henke…

  • Petrus Gonsalvus ประวัติศาสตร์ครอบครัว “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” บนโลกแห่งความจริง

    Petrus Gonsalvus ประวัติศาสตร์ครอบครัว “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” บนโลกแห่งความจริง

    เชื่อว่าในสมัยเด็กหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินเรื่อง “Beauty And The Beast” หรือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร กันมาบ้าง นี่เป็นเรื่องราวของความรักระหว่างสัตว์ร้ายกับหญิงรูปงาม ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากเวอร์ชันของ Gabrielle-Suzanne Barbot de Villeneuve ในปี 1740 และโด่งดังขึ้นอีกครั้งจากผลงานของ Disney ในปี 1991     ว่าแต่รู้หรือไม่ว่าบนโลกจริงๆ ของเราก็มีเรื่องราวคล้ายๆ กับเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรอยู่เช่นกัน นี่คือเรื่องราวของ Petrus Gonsalvus ชายหนุ่มผู้ที่เกิดมาในปี 1537 ในเตเนริเฟ่ หนึ่งในหมู่เกาะคานารี่พร้อมกับ “โรคมนุษย์หมาป่า” หรือ Hypertrichosis กลุ่มอาการที่ทำให้ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยขนยาวรุงรัง     Petrus เกิดมาในฐานะของทาส และถูกมอบให้กับกษัตริย์เฮนรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศสในตอนที่เขาอายุได้เพียง 10 ปี ซึ่งนับเป็นโชคดีมากของ Petrus ที่เฮนรีที่ 2 สนใจในตัวเขามากจึงไม่ได้ขังเขาไว้ในกรงเหมือนสัตว์เลี้ยง กลับกันเฮนรีที่ 2 ได้จัดการเรียนสอนการเป็นผู้ดี ภาษา หรือแม้แต่การสงครามให้แก่ Petrus จนทำให้เขามีความรู้มากกว่าชนชั้นสูงบางคนเสียอีก ซึ่งในช่วงนี้เองที่ Petrus ได้พบกับหญิงสาวรูปงามนามว่า แคทเธอรีน พวกเขาตกหลุมรักกัน และมีลูกด้วยกันหลายคนหลังจากนั้น…

  • พบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ เก่าแก่กว่า 2,500 ปี จากยุคเมโสโปเตเมีย

    พบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์ เก่าแก่กว่า 2,500 ปี จากยุคเมโสโปเตเมีย

    ว่ากันว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีมาตั้งแต่ก่อนพระเจ้าฮัมมูราบีแห่งบาบิโลน (ประมาณ 1,810 – 1,750 ปีก่อนคริสตกาล) นั่นทำให้เบียร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แต่ถึงอย่างนั้นที่ผ่านมากลับไม่เคยมีการค้นพบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของเบียร์จริงๆ มาก่อนเลย แต่แล้วเรื่องราวเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการค้นพบเบียร์ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของเบียร์ที่มนุษย์เคยมีการค้นพบเลยทีเดียว     นี่เป็นการค้นพบที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้เหล่านักโบราณคดีสามารถตรวจสอบหาร่องรอยของเบียร์ในภาชนะโบราณที่ทำจากเซรามิคได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถค้นพบร่องรอยสารเคมีของเบียร์ในสมัยเมโสโปเตเมียได้ โดยเจ้าร่องรอยของเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น อยู่บนภาชนะโบราณอายุ 2,500 ปี ที่มีการขุดพบใน เคอร์ดิสถาน ซึ่งอยู่ทางเหนือของอิรัก     Claudia Glatz วิทยากรอาวุโสด้านโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ เล่าว่าในภาชนะเซรามิคโบราณเหล่านี้ นอกจากจะมีการค้นพบร่องรอยสารเคมีอันเป็นเอกลักษร์ของเบียร์แล้ว ยังมีการค้นพบร่องรอยทางเคมีของข้าวบาเลย์อีกด้วย ทำให้เบียร์ที่พบเป็นเบียร์ข้าวบาเลย์นั่นเอง อย่างไรก็ตามทีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่เบียร์จะมีความเก่าแก่มากกว่านั้น เพราะในอารยธรรมเมโสโปเตเมียได้มีหลักฐานของการมีอยู่ของเบียร์ในตำราบัญชีเก่าแก่ที่มีการค้นพบ หรือแม้กระทั่งใน “มหากาพย์กิลกาเมช” บทกวีที่นับเป็นผลงานวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย     Glatz บอกว่าเบียร์เป็นมากกว่าเพียงเครื่องดื่มในยุคเมโสโปเตเมีย “มันเป็นสิ่งที่ทุกคนดื่ม แต่กลับมีความสำคัญทางสังคมในการทำพิธีกรรม มันเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นตัวตนของยุคเมโสโปเตเมียในหลายๆ ด้านได้เป็นอย่างดีเลย” ว่ากันว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยที่คนเรารู้จักการถนอมอาหาร และอยู่มานานมากกว่า 6,000 ปีแล้ว ดังนั้นไม่แน่เหมือนกันว่าเราอาจจะได้พบกับอารยธรรมโบราณ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเบียร์เพิ่มขึ้นอีกในอนาคตก็เป็นได้    …

  • นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนา เหตุผลที่ “อารยธรรมเผ่ามายา” ล่มสลาย เกี่ยวข้องกับน้ำฝน!!

    นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนา เหตุผลที่ “อารยธรรมเผ่ามายา” ล่มสลาย เกี่ยวข้องกับน้ำฝน!!

    อารยธรรมเผ่ามายาจัดว่าเป็นอารยธรรมที่มีความน่าสนใจมากที่สุดอันหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างอันมีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใคร และปริศนามากมายที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยของพวกเขา อย่างเรื่องที่ว่าทำไมอารยธรรมมายาที่ยิ่งใหญ่ถึงได้ล่มสลายไปได้     แต่เมื่อไม่นานมานี้เองหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ของการล่มสลายของเผ่ามายา ก็ได้รับการคลี่คลายโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์แล้ว โดยเหตุผลที่เผ่ามายาต้องล่มสลายนั้น ก็เกี่ยวข้องกับฝนนั่นเอง อารยธรรมเผ่ามายาตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งกลายเป็นสาธารณรัฐกัวเตมาลาในปัจจุบัน เชื่อกันว่ามีอำนาจมากที่สุดในศตวรรษที่หก ก่อนที่จะหายไปอย่างลึกลับในปีคริสต์ศักราช 900 ทิ้งไว้เพียงซากเมืองที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น     อย่างไรก็ตามเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เองเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับหลักฐานอย่างดีของหตุผลที่เผ่ามายาต้องล่มสลาย ซึ่งก็คือการที่ไม่มีฝนตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน นำมาซึ่งภัยแล้งรุนแรงนั่นเอง กุญแจสำคัญที่ช่วยให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาในครั้งนี้ได้คือไอโซโทปของออกซิเจนและไฮโดรเจนในทะเลสาบ Chichancanab ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรของเผ่ามายา โดยการวิเคราะห์ไอโซโทปเหล่านี้ จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถรับรู้ถึงสภาพภูมิอากาศในสมัยก่อนได้     จากผลการตรวจสอบในครั้งนี้เองทำให้เราทราบว่าในช่วงที่เผ่ามายาล่มสลายไปนั้นมีการลงลดของน้ำฝนมากถึง 41-54% แถมยังเป็นการลดลงของน้ำฝนที่กินเวลานานกว่า 400 ปีอีกด้วย นั่นทำให้ปริมาณความชื้นในพื้นที่ลดลง 2-7% ซึ่งส่งผลโดยตรงกับพืชผลทางเกษตรของเผ่ามายา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะคิดว่าการลดลงของแหล่งน้ำและอาหารจะนำมาซึ่งการล่มสลายของอารยธรรมเผ่ามายา     แม้ว่าการลดลงของน้ำฝนที่พบจะไม่มีที่ไปที่มาที่แน่นอน แต่จากงานวิจัยก่อนๆ ก็ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าของชนเผ่ามายาเอง หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงในการหมุนเวียนของบรรยากาศโลก ที่ทำให้การเกิดฝนตกลดลง นั่นทำให้แม้ว่าจะมีการค้นพบครั้งใหม่ขึ้นมา การล่มสลายของเผ่ามายาก็ยังคงมีปริศนาเหลืออยู่อีกมากอยู่ดีนั่นเอง   ที่มา allthatsinteresting, sciencemag, iflscience, nytimes

  • 22 ภาพชีวิตในค่ายกักกันของนาซีช่วงสงครามโลก สถานที่แห่งความโหดร้ายที่โลกไม่เคยลืม

    22 ภาพชีวิตในค่ายกักกันของนาซีช่วงสงครามโลก สถานที่แห่งความโหดร้ายที่โลกไม่เคยลืม

    เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวความโหดร้ายของพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสังหารชาวยิวในค่ายกักกัน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ในสมัยนั้นการถ่ายภาพได้เริ่มเป็นที่แพร่หลายแล้ว ทำให้ภาพความโหดร้ายเหล่านี้ถูกบันทึกไว้มากมายตลอดช่วงสงคราม และกลายเป็นหลักฐานชี้ให้เห็นถึงความโหดร้ายของพรรคนาซีได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในวันนี้เราจะไปชม 22 ภาพชีวิตในค่ายกักกันของพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มากดูกันดีกว่าว่าสถานที่แห่งความโหดร้ายนั้น มีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง   ภาพลับของหน่วย Sonderkommando นี่เป็นภาพของเหล่าหญิงสาวที่ถูกพาไปห้องยังห้องรมแก๊ส   เหล่านักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากที่ค่ายกักกัน Mauthausen ประเทศออสเตรีย   รถไฟไปค่ายกักกัน Treblinka ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดถูกรมแก๊สหลังจากนั้น   ผู้หญิงและเด็กที่ถูกเลือกให้ตาย พวกเธอกำลังรอเวลาถูกพาไปประหารที่ห้องรมแก๊สใกล้ๆ นั่นเอง   หญิงชราและเด็กกำลังเดินไปสู่ความตายในห้องรมแก๊ส   ผู้หญิงและเด็กรออยู่ใกล้ๆ โรงเผาศพ   กำแพงประหาร ในค่ายกักกันเอาชวิทซ์   ผู้มาใหม่ที่เลือกเดินไปอาบน้ำจะรอด ส่วนบรรดาผู้ที่ถูกขอให้รอรถบรรทุกมารับถูกฆ่า   ผู้สูงอายุมักถูกมองว่าไม่เหมาะสำหรับการใช้แรงงานและมักถูกลงโทษทันทีที่มาถึง   ชาวยิวฮังการีราว 500,000 คนถูกพาไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ ส่วนใหญ่จะถูกสังหารทันทีหลังจากไปถึง   ผู้คุมของเอาชวิทซ์กำลังเพลิดเพลินกับเวลาว่าง   เจ้าหน้าที่นาซีจำนวนมาก คนที่ยืนแถวหน้าสุดเกือบทั้งหมดโดนประหารด้วยการแขวนคอเมื่อจบสงคราม   หมอของ Schutzstaffel (SS) ในเอาชวิทซ์   Irma…

  • 5 ภาพน่าสนใจจากอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ มาชมเรื่องราวก่อนจะมาเป็นปัจจุบันกันเถอะ

    5 ภาพน่าสนใจจากอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ มาชมเรื่องราวก่อนจะมาเป็นปัจจุบันกันเถอะ

    ประวัติศาสตร์เป็นสื่งที่คอยค้ำจุนปัจจุบัน หากไม่มีอดีตก็อาจจะไม่มีพวกเราในทุกวันนี้ นั่นคือเหตุผลให้คนเราสนใจในประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องราวก่อนที่จะมาถึงยุคของเรานั้น มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เองในครั้งนี้  #เหมียวศรัทธา จึงได้นำเอาภาพจากในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้ชม พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรูปเหล่านี้   การฝึกยิงปืนของทหารเยอรมัน นี่เป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันเมื่อปี 1935 โดยนี่ไม่ใช่เป็นเพียงการฝึกยิงปืนของทหารม้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้ม้าที่ใช้ในสงครามเคยชินกับเสียงปืนจะได้ไม่วิ่งหนีไปในการรบ แต่ตามปกติแล้วทหารจะไม่ยืนสองขาบนม้าเลยแบบนี้ พวกเขามักจะปล่อยเท้าข้างหนึ่งไว้ที่โกลนมากกว่า   กองไฟจากถัง นี่เป็นภาพของถังจำนวนมากที่มีสิ่งที่น่าจะเป็นธงอยู่ด้านบน นี่เป็นภาพที่ถ่ายมาจากงานที่จัดขึ้นทุกๆ วันที่ 4 กรกฎาคม ในยุค 1920 เชื่อกันว่ากองไฟที่เห็นมาจากในงานที่ Gallows Hill ในแมสซาชูเซต ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยถังเหล่านี้จะถูกจุดไฟเผา และลุกไหม้เป็นชั่วโมงๆ ภายในงานนั่นเอง   การลอบสังหารที่ออกโทรทัศน์ นี่เป็นการการลอบสังหาร นายอิเนจิโร อาซานุมะ นักการเมืองของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1960 นายอิเนจิโรค่อนข้างที่จะใกล้ชิด และสนับสนุนคอมมิวนิสต์จีนในสมัยสงครามเย็น จนเป็นเหตุให้ถูกสังหารด้วยดาบสั้นโดยนายโอโตยะ ยามากุชิ จากสมาคมคนรักชาติในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยออกรายการสด ก่อนที่ผู้ลงมือจะฆ่าตัวตายในสัปดาห์ต่อมา   ครอบครัวนิวเคลียร์ นี่เป็นภาพของครอบครัวในเนวาดากำลังดูการทดลองนิวเคลียร์จากในบ้านเมื่อปี 1953 ในสมัยนั้นประชาชนยังไม่ทราบถึงอันตรายของกัมมันตภาพรังสีจากการระเบิด โดยมีข่าวลือบางแห่งอ้างว่ามีหลักฐานว่ารัฐฯ ปิดบังข้อมูลความอันตรายของกัมมันตภาพรังสี เพื่อป้องกันการโต้เถียงจากฝั่งประชาชนด้วย   การค้าทารก…

  • 20 ภาพชีวิตของคนในสหภาพโซเวียต ด้านหนึ่งของโซเวียตที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

    20 ภาพชีวิตของคนในสหภาพโซเวียต ด้านหนึ่งของโซเวียตที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

    สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics หรือ USSR) เป็นหนึ่งในรัฐสังคมนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1917 ก่อนที่จะล่มสลายไปในปี 1991 ถึงอย่างนั้นเรื่องราวของชีวิตคนในสหภาพโซเวียตนอกจากในสงครามกลับเป็นเรื่องที่ไม่คอยจะปรากฏให้เห็นมากนัก ภาพของชีวิตของคนในสหภาพโซเวียตในสายตาของหลายๆ คน มักจะแลดูมืดมัว ยากจน ความเป็นอยู่แย่ หรือสะท้อนให้เห็นถึงความทรุดโทรม แต่มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงๆ หรือ? ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับอีกด้านหนึ่งของชีวิตความเป็นอยู่ในสหภาพโซเวียต ที่เพื่อนๆ อาจไม่เคยเห็นมาก่อนก็เป็นได้   การประกวดความงามครั้งแรกของสหภาพโซเวียตสหภาพโซเวียต 1988   นักเรียนของโรงเรียนในมอสโคว์ 1991   การสอบใบขับขี่ 1969   ร้านเป๊ปซี่ ฤดูร้อน 1989   ชายคนหนึ่งซื้อแฟนต้า ตอนมันมาถึงสหภาพโซเวียตครั้งแรกในปี 1979   การเรียนคอมพิวเตอร์ ในโรงเรียนที่หมู่บ้าน Chkalovski 1985   คนต่อคิวเข้าแมคโดนัลด์เจ้าแรกที่มอสโก   ลีฮาร์วีย์ออสวอลด์กับคนงานในโรงงานที่มินสค์ ประเทศเบลารุส 1960   เด็กชายกับโปสเตอร์ของ Vladimir Lenin…

  • 6 อาวุธความคิดดีจากวิทยาการทางทหาร แต่ดันใช้ไม่ได้จริง พังเละไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น

    6 อาวุธความคิดดีจากวิทยาการทางทหาร แต่ดันใช้ไม่ได้จริง พังเละไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น

    ว่ากันว่าช่วงเวลาที่เทคโนโลยีจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วที่สุดก็คือช่วงที่มีสงครามเกิดขึ้น ซึ่งหากพูดกันตามตรง สิ่งของที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หลายๆ ชิ้นเองก็มีที่มามาจากวิทยาการทางทหารจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการคิดค้นทุกอย่างที่ออกมาจากวิทยาการทางทหารจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป เพราะในหลายๆ ครั้ง ทหารก็คิดค้นอาวุธแปลกๆ ที่ใช้งานไม่ได้จริงออกมาเช่นกัน เหมือนอย่างอาวุธ 6 ชิ้นต่อไปนี้   ปืนอาปาเช่ นี่เป็นอาวุธที่คิดค้นขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาในปี 1880 โดยเป็นการพยายามรวม ปืน พกมีด และสนับมือเข้าด้วยกัน ปัญหาคือการทำเช่นนั้นทำให้อาวุธที่ได้มาไม่สามารถใช้งานจริงๆ ได้สักอัน มีดที่ได้ออกมาบอบบางเกินไป ปืนก็ไร้ซึ่งพลังทำลายและความแม่นยำ ส่วนเวลาใช้สนับมือ มีดกับปากปืนก็ดันหันเข้าหาตัวเองอีก   Wind Cannon นี่คือปืนที่มีความยาวราวๆ 10 เมตรที่ผลิตขึ้นโดยนาซีเยอรมนี ออกแบบมาเพื่อยิง “ลม” ใส่ศัตรู ซึ่งแม้ไม่น่าเชื่อแต่ก็สามารถใช้การได้จริงๆ แต่ปืนที่ว่านี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อยทำให้ไม่สามารถใช้ในการรบจริงได้ เพราะมันใหญ่เกินไปจนตกเป็นเป้านิ่งได้ง่ายๆ นั่นเอง   Monitor Novgorod นี่เป็นความพยายามในการสร้างเรือกลมขนาดเล็กของรัสเซีย ในขณะที่รบกับตุรกีในปี 1877–1878 เอาเข้าจริงๆ มันก็เป็นความคิดที่น่าสนใจ เพราะเรือในรูปแบบนี้สามารถหมุนได้เร็วกว่าเรือธรรมดามาก ถ้าไม่ติดที่ว่าทุกครั้งที่ยิงปืนเรือจะหมุนจากแรงสะท้อนอ่ะนะ   บอลลูนเพลิง นี่เป็นการผูกระเบิดเพลิงไปกับบอลลูนไฮโดรเจน ซึ่งจะระเบิดเป็นเพลิงในวงกว้างจากบนท้องฟ้า ผลิตขึ้นโดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฟังดูดีใช่ไหมล่ะ? แต่เอาเข้าจริงๆ…

  • 7 กีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดโหดจากในอดีต ที่อันตรายยิ่งกว่ากีฬาในปัจจุบันแบบเทียบกันไม่ได้เลย

    7 กีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดโหดจากในอดีต ที่อันตรายยิ่งกว่ากีฬาในปัจจุบันแบบเทียบกันไม่ได้เลย

    กีฬาเอ็กซ์ตรีมโดยมากแล้วจะมีภาพลักษณ์ที่อันตรายกว่ากีฬาโดยทั่วไป และถูกมองว่าเป็นแนวกีฬาที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตเองก็มีกีฬามากมายที่เข้าข่ายกีฬาเอ็กซ์ตรีมเช่นเดียวกัน เพียงแค่ว่าอาจจะไม่ได้เรียกว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมก็เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองไปดูกีฬาสุดโหดทั้ง 7 อย่างต่อไปนี้สิ แล้วจะเข้าใจว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมในอดีตมันเป็นอย่างไร   Calcio Fiorentino Calcio Fiorentino เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่เล่นกันในสมัยโรมันโบราณ และมีความใกล้เคียงกับรักบี้ในปัจจุบัน โดยเป็นการที่ทีมซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 27 คน สองทีมพยายามจะพาบอลไปให้ถึงอีกฝั่งของสนาม สิ่งที่ต่างไปจากรักบี้คือผู้เล่นสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อให้ทีมชนะ ไม่ว่าจะต่อย เตะ หรือผลักคู่ต่อสู้ก็ไม่ถือว่าผิดกฎทั้งสิ้น   Land Diving (ดิ่งพสุธา) นี่เป็นประเพณีของ Pentecost หนึ่งในเกาะ 83 แห่งของวานูอาตู โดยการดิ่งพสุธาจะคล้ายกับบันจี้จัมในปัจจุบัน เพียงแต่แทนที่จะใช้เชือกพวกกเขากลับใช้ “เถาวัลย์” และโดดจากสิ่งก่อสร้างสูง 23 เมตรแทน   Knattleikr นี่เป็นกีฬาของชาวไวกิ้งที่มีข้อมูลอยู่ค่อนข้างน้อย เชื่อกันว่านี่เป็นกีฬาที่เล่นกันบนน้ำแข็งหรือที่ราบที่หนาวจัด และเกี่ยวข้องกับการใช้ไม้ตีลูกบอลที่หนักและแข็ง เป็นไปได้ว่าจะคล้ายกับคริกเกต แต่รุนแรงกว่าหลายเท่า   การแข่งขันรถม้า อีกหนึ่งกีฬาสุดโด่งดังที่เล่นกันในสมัยโรมันโบราณ โดยหนึ่งในสนามที่มีชื่อเสียงของการแข่งขันรถม้ามีชื่อว่า “The Circus Maximus” สร้างขึ้นมาเพื่อจุคนดูกว่า 150,000 คน แต่ในขณะเดียวกันก็มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง…

  • ทีมนักวิจัยร่วมถอดรหัส “กระดาษปาปิรุส” พบการแพทย์ของอียิปต์โบราณก้าวไกลกว่าที่คิด

    ทีมนักวิจัยร่วมถอดรหัส “กระดาษปาปิรุส” พบการแพทย์ของอียิปต์โบราณก้าวไกลกว่าที่คิด

    “ปาปิรุส” ว่ากันว่าเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกเลยก็ไม่ผิดนัก โดยเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากอียิปต์โบราณและใช้ในการบันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้า หรือเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีข้อความในกระดาษปาปิรุสอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้มีการแปลและถอดรหัสอยู่เช่นกัน นั่นทำให้ทีมนักวิจัยจากนานาชาติเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนในเดนมาร์ก ด้วยความหวังที่จะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในกระดาษปาปิรุสที่ยังไม่มีการแปลเหล่านั้น     และแน่นนอนว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการแปลข้อความในกระดาษเหล่านั้น ก็คุ้มค่ากับที่ลงแรงไปจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าหนึ่งในกระดาษปาปิรุสที่มีอายุราว 3,500 ปีซึ่งพวกเขานำมาแปลนั้น จะมีข้อมูลด้านการแพทย์ของอียิปต์โบราณระบุเอาไว้นั้นเอง จากกระดาษที่พบ ดูเหมือนว่าชาวอียิปต์โบราณจะรู้จัก “ไต” เป็นอย่างดี ซึ่งผิดจากทฤษฎีของนักวิจัยหลายๆ คนที่เคยมีการเชื่อกันว่าคนอียิปต์โบราณจะไม่รู้จักอวัยวะชิ้นนี้ นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีความรู้ในด้านดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และโหราศาสตร์เป็นอย่างดีอีกด้วย   กระดาษปาปิรุสบางส่วนจะถูกใช้ในการทำนายอนาคต โดยจะมีการเขียนผลลัพธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้ ก่อนจะถามพระเจ้าว่าผลลัพธ์ไหนเป็นของจริง (ไม่ได้มีการระบุไว้ว่าการ “ถามพระเจ้า” ทำได้ด้วยวิธีการใด)   หนึ่งในกระดาษปาปิรุสที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ยังมีการระบุถึงวิธีการตรวจสอบการตั้งครรภ์ของอียิปต์โบราณด้วยการให้ผู้หญิงปัสสาวะใส่ลงในถุงข้าวสาลี และถุงข้าวบาเลย์ เพื่อตรวจดูเพศของทารกในครรภ์จากข้าวที่งอกออกมาก่อนนั่นเอง (ในกรณีที่ไม่งอกทั้งคู่ จะถือว่าไม่ได้ตั้งครรภ์) แม้ว่าการตรวจสอบการตั้งครรภ์ในรูปแบบนี้อาจจะดูแปลกอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าการตรวจครรภ์เช่นนี้จะมีการใช้ที่เยอรมันในปี 1699 อีกด้วย Sofie Schiødt นักวิจัยในโครงการบอกว่า “แนวคิดหลายอย่างจากเอกสารทางการแพทย์ของอียิปต์โบราณ มักจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในสมัยกรีกและโรมัน และแพร่กระจายไปยันตะวันออกกลางเลยด้วย”     จริงอยู่ว่ากระดาษปาปิรุสที่มาจากอียิปต์โบราณอาจจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ แต่การถอดความข้อความบนกระดาษโบราณเหล่านั้นออกมา อาจจะนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรากฐานของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของโลกในยุคโบราณได้เป็นอย่างดีเลยนั่นเอง   ที่มา livescience, sciencenordic

  • 22 โฆษณาเด็กในอดีตที่ทั้งน่ากลัว สยดสยอง ไม่ก็ขาดความรับผิดชอบสุดๆ

    22 โฆษณาเด็กในอดีตที่ทั้งน่ากลัว สยดสยอง ไม่ก็ขาดความรับผิดชอบสุดๆ

    ในปัจจุบันพวกเราเห็นการเอาเด็กๆ มาแสดงโฆษณาขายขนมกันก็มาก บ่อยครั้งที่เราคิดว่าโฆษณาเหล่านั้นมันดูไม่มีพิษมีภัย หรือไม่มีสาระอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราขัดใจอะไรมากมายในเวลาเดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 19-20 นั้น การเอาเด็กมาโฆษณาเป็นอะไรที่เป็นที่นิยมกว่าในปัจจุบันมาก แถมพอมาดูในปัจจุบันแล้ว หลายๆ อันก็น่ากลัว สยดสยอง หรือไม่ก็แลดูขาดความรับผิดชอบอย่างมาก ไม่เชื่อก็ดูอย่างโฆษณา 22 อันต่อไปนี้สิ   ทาแยมอีกสิคะคุณแม่… ทาอีก… ทาอีกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!   นี่มัน!! เนื้อ!!! เอาเนื้อมา!!!   ลิ้นจะแตะหน้าอยู่แล้ว   หน้าแก่ได้อีก   พอแล้วแม่ พอเถอะ ผมขอร้อง   เด็กทารกดื่มน้ำอัดลมนี่จะดีเหรอ?   เฮ้ยมีดโกน!!   กรงขังเด็ก… นอกหน้าต่าง?   โฆษณาบุหรี่…ด้วยเด็กทารก   อื้อหือ ฟัน   อันนี้เลียปากหรือกำลังกัดลิ้น   เฮ้ยยย!! น้ำส้ม ไม่เคยเห็นเลย   อันนี้มั่นใจนะว่าไม่ใช่ฆาตกรรม   ส่วนอันนี้มั่นใจนะว่าไม่ใช่ฆาตกร…

  • จากภัยอากาศร้อน นำไปสู่การค้นพบอารยธรรมโบราณจำนวนมากที่ประเทศอังกฤษ

    จากภัยอากาศร้อน นำไปสู่การค้นพบอารยธรรมโบราณจำนวนมากที่ประเทศอังกฤษ

    ขณะที่ประเทศไทยมีการพยากรณ์อากาศว่า กำลังจะมีฝนตกหนักจนต้องระวังน้ำท่วมในหลายๆ พื้นที่อยู่นั้น ในหลายๆ ประเทศทั้งเอเชียและยุโรปเองก็กำลังต้องเผชิญกับภัยอากาศร้อนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน แต่ในเวลาที่อากาศร้อนจนมีคนป่วยเป็นจำนวนมากนั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่เช่นกัน เพราะล่าสุดนี้เองที่ประเทศอังกฤษ ได้มีการค้นพบร่องรอยของอารยธรรมโบราณ เนื่องจากภัยร้อนในประเทศนั่นเอง นี่เป็นการค้นพบเนื่องจากความแตกต่างของการเติบโตของพืชในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การบอกให้เหล่านักโบราณคดีทราบถึงตำแหน่งที่ชัดเจนของสิ่งปลูกสร้างที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน โดยการค้นพบอารยธรรมโบราณในรูปแบบนี้ประกอบไปด้วย   การค้นพบการตั้งถิ่นฐานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มณฑลคอร์นวอลล์   การค้นพบอนุสรณ์สถานจากยุคนีโอะลีธ-อิคในบัคคิงแฮมเชอร์ เชื่อว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วง 3,600-3,000 ปีก่อนคริสตกาล   การค้นพบหมู่บ้านที่คาดว่าเป็นของชาวโรมันโบราณในช่วงปี 43-410 ที่เดวอน   การค้นพบที่ซัมเมอร์เซ็ท เป็นหมู่บ้านในยุคสำริด (2500-800 ปีก่อนคริสตกาล) หรือยุคเหล็ก (800 ปีก่อนคริสตกาลถึง คริสตศักราชที่ 43)   และการค้นพบรูปสี่เหลี่ยม 4 รูปที่มีแนวโน้มจะเป็นสถานที่ฝังศพยุคเหล็กที่ยอร์กเชอร์   โดยดันแคน วิลสันผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานประวัติศาสตร์อังกฤษของรัฐบาลได้ออกมากล่าวว่า “สภาพอากาศที่ร้อนจัดนี้เป็น สภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักโบราณคดีทางอากาศในการมองหาสิ่งที่อยู่ใต้ดินเลย” เพราะว่าพืชที่เติบโตบนสิ่งปลูกสร้างเช่นกำแพงหิน จะมีความแตกต่างไปจากพืชอื่นๆ  เนื่องจากบนสิ่งปลูกสร้างที่มีความแข็งรากของพืชจะไชลงไปได้ไม่ลึกทำให้ลำต้นสั้น และในกรณีที่อากาศร้อน มันจะเจริญเติบโตเต็มที่เร็วกว่าพืชที่ปลูกบนดินธรรมดา นั่นทำให้พื้นที่ที่ปลูกพืชเป็นจำนวนมากอย่างไร่หรือนามีโอกาศที่จะพบกับร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างที่ฝังอยู่ใต้ดินได้ง่ายๆ จากการสังเกตความแตกต่างของการเติบโตของพืชในพื้นที่นั่นเอง   ภาพสามมิติของบ้านในยุคเหล็ก   ภาพสามมิติของบ้านในโรมัน   ในปัจจุบันการค้นพบในครั้งนี้ยังยังเป็นเพียงการชี้ตำแน่งที่นักโบราณคดีจะต้องทำการขุดค้นเท่านั้น…

  • พบ “มัมมี่ชีส” จากอียิปต์โบราณ เก่าแก่ที่สุดในโลก นักวิจัยบอกทานไปล้มป่วยแน่นอน!!

    พบ “มัมมี่ชีส” จากอียิปต์โบราณ เก่าแก่ที่สุดในโลก นักวิจัยบอกทานไปล้มป่วยแน่นอน!!

    ในช่วงที่มีการขุดพบโลงศพหินสีดำ มีคนมากมายที่ออกมาบอกว่าการเปิดโลงหินออกอาจจะนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคร้ายก็เป็นได้ ซึ่งนับว่าโชคดีมากที่การค้นพบในครั้งนั้นจบลงด้วยดีและไม่มีใครติดเชื้ออะไรไป (ถึงจะมีคนอยากดื่มน้ำจากในโลงศพก็ตาม) แต่นั่นไม่ใช่สำหรับการค้นพบครั้งล่าสุดนี้ เพราะจากคำบอกเล่าของทีมนักวิจัย ใครก็ตามที่ทานเข้าสิ่งที่ถูกค้นพบเขาไป จะต้องล้มป่วยอย่างแน่นอน!!     นี่เป็นการค้นพบไหดินเหนียวที่บรรจุชีสเอาไว้ ในหลุมฝังศพของ Ptahmes เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 และฟาโรห์รามเสสที่ 2 โดยหลุมฝังศพแห่งนี้สร้างขึ้นมาแล้วเป็นเวลาราว 13 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ซึ่งนั่นหมายความว่าชีสที่มีการค้นพบมีอายุมากถึง 3,300 ปีนั่นเอง จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ค้นพบอาจจะเป็นเพียงนมที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจนแข็งตัว แต่จากการวิเคราะห์ของทางนักวิทยาศาสตร์แล้ว เจ้าชีสอันนี้แข็งตัวมาตั้งแต่ถูกฝังแล้ว ว่าง่ายๆ ว่าเป็นชีสจริงๆ ไม่ใช่เพียงนมเน่านั่นเอง ทำให้การค้นพบในครั้งนี้กลายเป็นการค้นพบชีสที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย     อย่างไรก็ตามใครที่คิดอยากจะลิ้มลองเจ้าชีสอายุ 3,300 ปีชิ้นนี้ก็คงต้องเสียใจกันไปตามๆ กันเนื่องจากเจ้าชีสตัวนี้มีแบคทีเรียที่ชื่อ Brucella Melitensis อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากทานเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการมีไข้รุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และอาการอื่นๆ เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินอาหารได้   ภาพเชื้อ Brucella Melitensis   และถึงชีสจะทานไม่ได้แล้ว แต่การที่มีแบคทีเรีย Brucella Melitensis อาศัยอยู่ในชีสที่พบก็แสดงเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงให้เราเห็นว่าเจ้าเชื้อโรคตัวนี้มีมาตั้งแต่โบราณแล้วนั่นเอง ไม่แน่นะว่าโรคที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนกับปัจจุบัน อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่เราคิดก็เป็นได้   เอาเป็นว่าอย่าไปลงชื่อขอกินชีสอันนี้ก็แล้วกัน   ที่มา livescience, abc

  • งานวิจัยล่าสุดเผย มัมมี่เกิดขึ้นมานานกว่าที่เราเคยรู้ 1,500 ปี แถมเก่าแก่กว่าภาษาเขียนเสียอีก

    งานวิจัยล่าสุดเผย มัมมี่เกิดขึ้นมานานกว่าที่เราเคยรู้ 1,500 ปี แถมเก่าแก่กว่าภาษาเขียนเสียอีก

    เมื่อพูดถึงมัมมี่ไม่ว่าใครก็คงจะคิดขึ้นฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นอย่างแรก เพราะความยิ่งใหญ่ของตำแหน่ง บวกกับสื่อต่างๆ ที่ออกมาให้เราเห็นกันบ่อยๆ     แต่ในความเป็นจริงแล้วมัมมี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อฟาโรห์เท่านั้น แถมจากการค้นพบล่าสุดนี้เอง ก็ทำให้เราทราบว่ามัมมี่ถือกำเนิดมานานกว่าที่พวกเราคิดไว้ อย่างน้อยๆ ก็ 1,500 ปีเลยทีเดียว นี่คือการค้นพบการจากวิจัยมัมมี่ของร่างหนึ่ง ที่มีการขุดพบเมื่อปี 1901 และนำไปเก็บไว้ยังพิพิธภัณฑ์อียิปต์เมืองตูริน ประเทศอิตาลี โดยเป็นร่างของชาวอียิปต์ที่นอนคุดคู้อยู่ในหลุมทราย พร้อมกับอุปกรณ์ที่ใช้ทำพิธีศพหลากหลายชนิด     นี่เป็นมัมมี่ที่ดูเผินๆ จะไม่เหมือนกับมัมมี่ที่เราคุ้นเคยสักเท่าไหร่ ทำให้เหล่านักโบราณคดีเคยเชื่อกันว่า มัมมี่ร่างนี้ได้รับการรักษาสภาพไว้ด้วยสภาพของทะเลทรายเท่านั้น ไม่ใช่การทำมัมมี่ด้วยมือคนแต่อย่างใด แต่หลังจากการตรวจสอบศพครั้งล่าสุดนี้เอง กลับมีการพบว่ามัมมี่ร่างนี้มีการใช้ยาดองศพ ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่มีการใช้ในช่วงที่มีมัมมี่ถูกขุดพบมากที่สุด ทำให้มัมมี่ร่างนี้จัดเป็นมัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการขุดพบของอียิปต์ และอาจมีอายุมากกว่า 5,000-6,000 ปี     นั่นหมายความว่าการทำมัมมี่นั้นมีมาตั้งแต่ในช่วง 3700-3500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือว่านานกว่าที่เคยมีการคาดไว้มาก เก่าแก่เสียยิ่งกว่าภาษาเขียนอันแรกที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เสียอีก (หลักฐานการมีตัวตนของภาษาเขียนที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วง 3,400 ปีก่อนคริสตกาล) โดยเหล่านักโบราณคดีจึงชื่อกันว่าวิธีการทำมัมมี่น่าจะมีการสอนสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการสอนปากเปล่า และถูกใช้อย่างต่อเนื่องมานานกว่า 2,500 ปี ในแทบทุกพื้นที่ของประเทศอียิปต์โบราณเลยทีเดียว     “พวกเขามีความเชื่อมั่นในชีวิตหลังความตาย พวกเขาจึงต้องการให้ร่างกายของพวกเขาถูกเก็บรักษาไว้ให้นานที่สุด” เจน่า โจนส์นักวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยโบราณแห่งมหาวิทยาลัย Macquarie ในนครซิดนีย์ ออสเตรเลียกล่าว…

  • แผนที่โบราณที่ทำให้โคลัมบัสออกเดินเรือ ให้คำตอบกรณีทำไมต้องล่องเรือไปทางตะวันตก

    แผนที่โบราณที่ทำให้โคลัมบัสออกเดินเรือ ให้คำตอบกรณีทำไมต้องล่องเรือไปทางตะวันตก

    คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเป็นชายที่มีชื่อเสียงในการ “ค้นพบ” ทวีปอเมริกา จากการล่องเรือออกไปทางตะวันตก (แม้ว่าแท้จริงแล้วจะมีหลักฐานการค้นพบทวีปอเมริกามาก่อนหน้าแล้วก็ตาม โดยเชื่อกันว่าเป็นการค้นพบโดยชาวไวกิ้งนั่นเอง)     เดิมทีแล้วนี่เป็นการเดินทางที่เกิดขึ่นเพื่อที่จะตามหาเส้นทางสายใหม่ไปยังทวีปเอเชีย จากเดิมที่ต้องมีการล่องเรือเลาะไปทางทิศตะวันออก ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแทนที่จะเดินทางไปตามเส้นทางเดิมโคลัมบัสจึงเลือกที่จะล่องเรือไปทางทิศตะวันตก     จากการศึกษาของนักโบราณคดี เชื่อกันว่าความคิดการล่องเรือไปยังทิศตะวันตกของโคลัมบัสนั้น มาจากแผนที่ฉบับหนึ่งในปี 1491 สมัยที่ผู้คนยังเชื่อกันฝังใจว่าโลกใบนี้แบน   แผนที่ต้นฉบับในปี 1491   มันเป็นแผนที่ที่ยังไม่มีทวีปอเมริกา และค่อนข้างแปลกไปจากแผนที่โลกที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันมาก อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากแผนที่ที่ว่านี้แล้ว โคลัมบัสที่เชื่อว่าโลกกลมก็มองเห็นหนทางใหม่ที่เขาเชื่อว่าใกล้กว่าเดิม ในการเดินทางไปยัง “อินเดียตะวันออก” (ซึ่งก็คือแถวๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง) แผนที่อันนี้เชื่อกันว่าเขียนขึ้นโดยผู้ทำแผนที่ชาวเยอรมันนาม Henricus Martellus จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยเป็นแผนที่ขนาด 1.2 X 2 เมตร และเก่ามากจนมองแทบไม่ออกในปัจจุบัน โชคดีมากที่ล่าสุดนักวิทยาศาตร์สามารถถ่ายภาพอัลตราไวโอเลตของแผนที่ดังกล่าวไว้ได้ เราจึงสามารถเห็นแผนที่นี้ได้ชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง   แผนที่ของ Henricus Martellus ที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยีภาพอัลตราไวโอเลต   แผนที่ฉบับนี้ มีประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่มุมขวาบนของแผนที่และมีความแปลกกว่าแผนที่อื่นๆ ในสมัยนั้นตรงที่ไม่มีภาพของปีศาจแห่งท้องทะเลถูกวาดเอาไว้ ซึ่งน่าจะมาจากการลดต้นทุนของแผนที่เพื่อให้นักเดินเรื่อที่มีต้นทุนต่ำสามารถซื้อได้นั่นเอง ว่ากันว่าจากความสำเร็จของโคลัมบัส แผนที่ฉบับนี้ก็ได้กลายเป็นต้นแบบของแผนที่จำนวนมาก อย่างเช่นแผนที่ของ Martin Waldseemüller…

  • เชิญชม “มาตรฐานความงาม” ของสาวๆ แต่ละยุคสมัย เมื่อก่อนเขาชอบสาวแบบไหนกันนะ

    เชิญชม “มาตรฐานความงาม” ของสาวๆ แต่ละยุคสมัย เมื่อก่อนเขาชอบสาวแบบไหนกันนะ

    เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป หลายๆ สิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกัน เทคโนโลยีที่ใช้งานในปัจจุบัน อีกหน่อยอาจจะกลายเป็นอะไรที่ล้าสมัย และสิ่งที่เคยเป็นที่นิยมในวันนี้ สักวันก็อาจจะกลายเป็นอะไรที่ไม่มีใครสนใจก็เป็นได้ ค่านิยมของรูปร่างสตรีเป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ว่า เพราะตลอดเวลากว่า 3,000 ปีที่ผ่านมานั้น มาตรฐานความงามของสังคมได้เปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน ดังนั้นเราจะมาย้อนดูมาตรฐานความงามที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ ตั้งแต่ปัจจุบันไปยันสมัยก่อนคริสตกาลกัน มาดูกันดีกว่าว่าโลกของเราในแต่ละยุค มีการมองรูปร่างของสตรี แตกต่างกันไปเพียงใด   ความงามหลังยุคใหม่ (จากยุค 2000 – ปัจจุบัน) ลักษณะเด่น: หน้าท้องแบน ผอมอย่าง ‘สุขภาพดี’ หน้าอกและก้นใหญ่ มีช่องว่างระหว่างต้นขา   ความงามแบบ “สาวขี้ยา” (ช่วงยุค 1990) ลักษณะเด่น: แลดูโทรม ผอมสุดๆ ผิวโปร่งแสง แลดูเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย   ความงามแบบ ซุปเปอร์โมเดล (ช่วงยุค 1980) ลักษณะเด่น: แข็งแรง รูปร่างเรียวและสง่างาม แต่มีส่วนเว้าโค้ง สูง แขนมีกล้ามเนื้อ   ความงามแบบยุค 60 ที่มีชีวิตชีวา (ช่วงยุค 1960) ลักษณะเด่น: สมส่วน ผอม ขาเพรียวยาว…

  • 12 รูปภาพสุดทรงพลัง ที่จำกัดความของ “สงครามโลกครั้งที่สอง” ได้เป็นอย่างดี

    12 รูปภาพสุดทรงพลัง ที่จำกัดความของ “สงครามโลกครั้งที่สอง” ได้เป็นอย่างดี

    สงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสงครามที่ส่งผลกระทบให้กับผู้คนแทบทุกหย่อมหญ้าบนโลกใบนี้ และมันถือว่าเป็นสงครามครั้งที่ยิ่งใหญ่และสร้างความเสียหายให้แก่มนุษยชาติมากที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกประวัติศาสตร์มา และนอกจากเหล่าทหารหาญที่ต้องต่อสู้แล้ว ในสนามรบก็ยังมีช่างภาพที่คอยบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้     ด้วยเหตุนี้เองทำให้สงครามโลกครั้งที่สองเต็มไปด้วยภาพที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในสงคราม ย่อมมาพร้อมกับภาพที่ทรงพลังมากขึ้นตามไปด้วย สะท้อนความรุนแรงของสงครามเป็นอย่างดี ดังเช่นภาพต่อไปนี้   พฤษภาคม 1940 ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก ทหารเยอรมันบุกผ่านเบลเยียมและทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ทำให้การสื่อสารและการขนส่งระหว่างกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดถูกตัดขาดลง ทหารจำนวนมากจึงล่าถอยมาที่หาด ฝั่งสัมพันธมิตรจึงได้เร่งปฏิบัติการไดนาโม เพื่อช่วยเหลือทหารที่ตกค้าง ด้วยเรือทุกชนิดที่หาได้และนี่คือภาพการช่วยเหลือในครั้งนั้น   7 ธันวาคม 1941 การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตีอย่างกะทันหันโดยกองทัพญี่ปุ่น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,400 ราย นี่เป็นการโจมตีที่จุดชนวนความโกรธแค้นของชาวสหรัฐอเมริกา จนนำไปสู่การเข้าร่วมสงครามในเวลาต่อมานั่นเอง   แรงงานหญิงของสหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม เหล่าชายหนุ่มที่เคยเป็นแรงงานหลักของอุตสาหกรรมก็ลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นทางรัฐจึงได้รับเอาผู้หญิงมาทำงานพวกนั้นแทน ทำลายความคิดเดิมๆ ที่ว่าผู้หญิงทำงานหนักๆ ไม่ได้ไป   นักบินผิวสีจากปี 1942 เมื่อก่อนสหรัฐอเมริกาเคยเชื่อว่าคนผิวสีไม่มีความรู้มากพอที่จะขับเครื่องบินได้ อย่างไรก็ตามเมื่อสงครามเกิดขึ้นแนวคิดนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะความต้องการกำลังรบของประเทศทำให้สหรัฐอเมริกาขยายโครงการฝึกอบรมนักบิน จนมีนักบินผิวสีออกมาให้เห็นนั่นเอง   การจลาจลในวอร์ซอ หลังจากที่เข้ายึดโปแลนด์ได้ ทางนาซีก็เรื่มสังหารชาวยิวเป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ของชาวโปแลนด์ในเดือน เมษายน 1943…

  • 22 รูปภาพของ 11 สิ่งก่อสร้างโบราณสุดงดงามของโลก ที่ยังคงมีการเปิดให้เข้าชม

    22 รูปภาพของ 11 สิ่งก่อสร้างโบราณสุดงดงามของโลก ที่ยังคงมีการเปิดให้เข้าชม

    เวลาที่มีการพบสิ่งก่อสร้างจากสมัยก่อน บ่อยครั้งทางรัฐบาลจะมีการปิดไม่ใช้มีการเข้าชมสถานที่เหล่านั้นเนื่องจากความกังวลว่าการเข้าไปของนักท่องเที่ยวจะทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นได้รับความเสียหาย นั่นทำให้สิ่งก่อสร้างโบราณที่ยังคงเปิดให้เข้าชมอยู่นั้นกลายเป็นอะไรที่มีความน่าไปเยี่ยมเยี่ยนดูมาก ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะนำเพื่อนๆ ไปพบกับ 11 สิ่งก่อสร้างโบราณสุดงดงามที่ยังคงเปิดให้เข้าชมนั่นเอง   ซานตาโซเฟีย นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เสร็จสมบูรณ์ในปี 537   ด้านในของซานตาโซเฟีย   แพนธีออน กรุงโรม ประเทศอิตาลี สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 117   ด้านในของแพนธีออน   โบสถ์ซานตาซาบินา กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 422   ด้านในของซานตาซาบินา   สุสานของเฮเดรียน กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 139 ถูกดัดแปลงเป็นป้อมปราการในปี ค.ศ. 400   ด้านในสุสานของเฮเดรียน   โคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 80   ด้านในโคลอสเซียม   โรงละครมาร์เซลลัส กรุงโรม…

  • ความจริงของการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ยุค 60 ภาพสังคมอันน่าเศร้าที่คนขาวปกครอง

    ความจริงของการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ยุค 60 ภาพสังคมอันน่าเศร้าที่คนขาวปกครอง

    ในช่วงกลางยุค 60 นักถ่ายภาพข่าว Ernest Cole จากแอฟริกาใต้ ได้ทำสิ่งที่นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากในแอฟริกาใต้ยุคที่การเหยียดสีผิวรุนแรงถึงขีดสุด ด้วยการออกถ่ายภาพที่จะเปิดเผยความจริง ในสังคมแห่งการเหยียดสีผิวให้โลกรู้ ผลงานของเขาถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “House of Bondage” เมื่อปี 1967 แสดงให้เห็นถึงสังคมอันโหดร้ายของแอฟริกาใต้ที่ปกครองโดยคนขาว ที่ที่คนดำถูกใช้งานอย่างหนัก และปฏิบัติตัวด้วยราวกับไม่ใช่คน ม้านั่งในเมืองถูกเขียนไว้ว่าสำหรับ ชาวยุโรป (คนขาว) เท่านั้น   คนงานเหมืองที่ถูกผลัดเปลี่ยนราวเป็นเครื่องมือ   คนดำที่โดนจับเนื่องจากเข้าไปในเขตคนขาวโดยไม่ได้รับอนุญาต   เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งเรียนแยกจากเพื่อนๆ ในห้อง   ชายผิวดำขอทานจากคนผิวขาว ไม่มั่นใจว่าเขาโดนตบ หรือโยนเหรียญใส่หน้ากันแน่   การตรวจร่างกายแบบหมู่   คนขาวมักจะโกรธที่โดนคนดำแตะตัว ดังนั้นบางครั้งนักล้วงกระเป๋าจึงใช้คนดำเป็นตัวดึงความสนใจของเหยื่อ   แม้แต่ในธนาคาร เคาน์เตอร์ของคนดำกับคนขาวก็แยกกัน   สถานีรถไฟในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่แสดงให้เห็นความการแบ่งแยกสีผิวได้เป็นอย่างดี   แม้ว่าคนเป็นแม่จะไม่ได้ปฏิบัติกับคนดำดีนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้เกลียดลูกของเธอ “ฉันรักเด็กคนนี้แม้ว่าเธอจะเติบโตขึ้นไปทำกับฉันเหมือนแม่ของเธอก็ตาม ตอนนี้เธอยังไร้เดียงสา”   ห้องนอนของคนผิวสี   โรงเรียนของเด็กผิวสี ไม่มีแม้แต่โต๊ะเรียน   แอฟริกาใต้ปกครองโดยคนขาว   ส่วนคนดำกลายเป็นเพียงคนงาน  …

  • 6 วิธีการลดน้ำหนักจากสมัยก่อน ที่แปลกอย่าบอกใคร ใช้ลดน้ำหนักได้จริงไหมก็ไม่รู้

    6 วิธีการลดน้ำหนักจากสมัยก่อน ที่แปลกอย่าบอกใคร ใช้ลดน้ำหนักได้จริงไหมก็ไม่รู้

    การลดน้ำหนัก เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างช้านาน ยิ่งหลังจากที่ค่านิยมของคนเปลี่ยนไปชอบคนที่รูปร่างผอมเพรียวแล้วด้วย การลดน้ำหนักทั้งหลายจึงยิ่งกลายเป็นที่นิยมมากเข้าไปอีก นั่นทำให้คนเราคิดค้นวิธีลดน้ำหนักใหม่ๆ ออกมาเพื่อให้การลดน้ำหนักทำได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแม้ว่าจะมีของที่ใช้ได้จริงอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการลดน้ำหนักแปลกๆ ออกมามากมายเช่นกัน เหมือนกับวิธีการลดน้ำหนัก 6 อย่างจากในอดีตต่อไปนี้ ที่ได้ผลจริงหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เรื่องแปลกนี่ขอให้บอกเลย   สายพานสั่นสะเทือน ในยุค 60 มีความเชื่อกันว่าการสั่นหน้าท้องอย่างรวดเร็วจะสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ ปัญหาคือจากงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไอ้เจ้าการสั่นสะเทือนนี้ แทบจะไม่มีประโยชน์กับการลดน้ำหนักเลย ทำให้เจ้าสายพานสั่นสะเทือนกลายเป็นสินค้าในอดีตไป   การหดเงา ในช่วงต้นของยุค 1900 คนเราจะใช้วิธีดัดตัวเพื่อให้เงามีขนาดที่เล็กเพรียวที่สุด เพราะเชื่อว่าช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งแม้ว่าน้ำหนักจะลดลงไปจริงๆ แต่มันเป็นเพราะการออกกำลังกายจากการดัดตัว ไม่ใช่การพยายามหดเงาแต่อย่างใด   Toning Shoes นี่เป็นรองเท้ารูปร่างแปลกๆ ที่เคยเป็นที่นิยมในยุค 40-50 โดยเชื่อกันว่ารูปทรงของมันจะช่วยกระชับช่วงล่างได้เพียงแค่ใส่เดิน ปัญหาคือเจ้ารองเท้านี้จริงๆ แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย และคุณสมบัติของมันก็เป็นการโม้ออกมาของผู้ผลิตเท่านั้น   เสื้อออกกำลังกายแบบผ่อนคลาย นอนเฉยๆ แล้วน้ำหนักลดเป็นความฝันของคนหลายๆ คน นั่นทำให้ในยุค 50 เจ้าชุดเสื้อออกกำลังกายแบบผ่อนคลายกลายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนฝันอยากจะได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าการช็อกไฟฟ้าอ่อนๆ จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันได้ผลตรงกันข้ามเลย เพราะการช็อกไฟฟ้าใส่กล้ามเนื้อได้รับการพิสูจน์หลังจากนั้นว่าเป็นอันตราย…

  • 5 คุกบนโลกแห่งความจริง ที่มีชื่อเสียงเรื่องความน่ากลัว ราวกับเป็นคุก “อัซคาบัน”

    5 คุกบนโลกแห่งความจริง ที่มีชื่อเสียงเรื่องความน่ากลัว ราวกับเป็นคุก “อัซคาบัน”

    เมื่อพูดถึงคุกที่น่ากลัวที่สุด เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึง “อัซคาบัน” จากอิทธิพลของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” เป็นธรรมดา แต่ถ้าหากถามว่าคุกที่น่ากลัวที่สุด “บนโลกแห่งความจริง” แล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะนึกภาพไม่ค่อยออกกัน ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนไปดู 5 คุกบนโลกของเรา ที่มีชื่อเสียงว่านี่ละคือหนึ่งในคุกที่น่ากลัวที่สุด!!   คุกแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์ แทนที่จะเรียกว่าคุก ที่แห่งนี้คือเกาะที่ใช้ขังคุกจะเหมาะกว่า โดยนักโทษที่มาอยู่ที่เกาะแห่งนี้จะถูกบังคับให้แรงงานให้สร้าง “Wall of Tears” กำแพงแห่งน้ำตาที่สูงเกือบ 20 เมตร เพื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก มันก็แค่การก่อสร้างไร้ที่สิ้นสุดที่ทำขึ้นมาเพื่อทรมานนักโทษทั้งกายและใจเท่านั้น แถมดูเหมือนว่าจะได้ผลเป็นอย่างดีเสียด้วย เพราะตลอดระยะเวลาที่เปิดเป็นคุก เกาะแห่งนี้ก็คร่าชีวิตนักโทษไปเป็นพันๆ คน จากโรคร้าย ความอดอยาก ความอ่อนแรง และการฆ่าตัวตาย   Unit 731 แห่งประเทศจีน นี่เป็นคุกที่มีความน่ากลัวที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นคุกที่เชื่อกันว่าทหารญี่ปุ่น (ที่บุกเข้ามาในประเทศจีน) ใช้ในการทดลองอาวุธชีวภาพกับนักโทษ และประชาชนของจีน ในปี 1938 นั่นเอง การทดลองก็มีทั้งฉีดโรคระบาดเข้าไปในตัวนักโทษ ไม่ก็ผ่าร่างโดยไม่ใช้ยาสลบ…

  • 3 แนวคิดสุดฉลาดในอดีต แต่กลายเป็นว่า “ล้ำสมัย” เกินไป จนไม่ประสบความสำเร็จ

    3 แนวคิดสุดฉลาดในอดีต แต่กลายเป็นว่า “ล้ำสมัย” เกินไป จนไม่ประสบความสำเร็จ

    คนเราในบางครั้งก็ยากที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ความคิดที่ดีกว่าหรือสมเหตุสมผลหากออกมาเร็วเกินไป ในบางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบๆ ได้เช่นกัน ลองนึกดูสิว่าหากคนปัจจุบันไปบอกคนในยุคล่าแม่มดว่าแม่มดไม่มีอยู่จริงจะเกิดอะไรขึ้น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแนวคิดข้างล่าง เพราะนี่คือ 3 แนวคิดสุดฉลาดที่ดีจริงๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าคิดออกมาได้ล้ำสมัยจนเกินไป   การล้างมือ เชื่อหรือไม่ว่าในสมัยก่อนนั้นการล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ได้เป็นเรื่องที่ทุกๆ คนทำกัน ต้องบอกว่าแม้แต่แพทย์เองในสมัยก็ก่อนไม่ได้ล้างมือสักเท่าไหร่ด้วย จนกระทั่งในปี 1847 มีแม่เด็กจำนวนมากที่ตายหลังจากคลอดลูก นั่นทำให้ Dr. Ignaz Semmelweis พบว่าแม่เด็กที่ทำคลอดโดยหมอนั้น ตายกันมากกว่าแม่เด็กที่ทำคลอดโดยหมอตําแยเสียอีก เนื่องจากพวกหมอมักจะทำการชันสูตรศพก่อนที่จะมาทำคลอด ทำให้มีเชื้อโรคติดมือมา และสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการล้างมือ อย่างไรก็ตามเมื่อ Ignaz นำเรื่องนี้ไปบอกกับหมอ พวกเขาก็ไม่พอใจอย่างมากและหาว่า Ignaz บอกว่าพวกเขานั้นสกปรก จนทำให้ Ignaz ถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลในปี 1850 และถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเรื่องที่เชื้อโรคทำให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิตในการคลอดถูกพิสูจน์ในเวลาต่อมา และการล้างมือก็กลายเป็นเรื่องแพร่หลายหลังจากนั้น โชคร้ายที่ Ignaz ไม่ได้มีชีวิตอยู่ดูวันนั้น   พันธุศาสตร์ จำตารางพันเนตต์กันได้ไหม (ถ้าจำไม่ได้ดูในรูปเลย) มันเป็นแผนภาพที่ใช้ช่วยทำนายผลที่ได้จากการทดลองการผสมพันธุ์ ที่สร้างขึ้นโดย Reginald C. Punnett แต่ Punnett ไม่ใช่คนแรกที่คิดเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมได้ เพราะคนแรกที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้คือ Gregor Mendel…

  • ตำนาน ความเชื่อ หรือเรื่องแต่ง “อุ้งมือลิง” ของขลังที่ทำคำขอให้เป็นจริง โดยไม่สนวิธีการ

    ตำนาน ความเชื่อ หรือเรื่องแต่ง “อุ้งมือลิง” ของขลังที่ทำคำขอให้เป็นจริง โดยไม่สนวิธีการ

    เคยได้ยินเรื่อง “อุ้งมือลิง” กันไหม? ว่ากันว่ามีอุ้งมือของลิงจากสมัยโบราณ ที่มีเวทมนตร์สามารถทำให้คำขอเป็นจริงได้ แต่จงระวังคำขอของพวกคุณไว้ให้ดี เพราะเจ้าอุ้งมือนี้ จะทำให้คำขอที่ว่าเป็นจริงโดยไม่สนวิธีการใดๆ     หากคุณขอความร่ำรวย เงินที่ได้มาก็อาจเป็นเงินประกันชีวิตจากความตายของคนที่คุณรัก หากขอความเป็นอมตะคุณก็อาจจะถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งทั้งเป็นไปตลอดกาล และอย่าหวังว่าจะสามารถให้เล่ห์กลใดๆ เพื่อบิดเบือนคำขอ เพราะไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน คนเราก็ไม่สามารถควบคุมเวทมนตร์ได้อยู่ดี อุ้งมือลิงว่ากันว่ามีที่มาจากประเทศอินเดีย แม้ว่าในบางครั้งก็มีแนวคิดที่ว่าอุ้งมือลิงซึ่งมีลักษณะคล้ายมัมมี่เหล่านี้น่าจะมาจากอียิปต์มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีหลักฐานใดๆ พูดถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุ้งมือลิงในสองประเทศนี้เลย     เอาเข้าจริงๆ ต้องบอกว่าไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอุ้งมือลิงที่ทำให้คำขอเป็นจริงเลยจนกระทั่งในปี 1902 ต่างหาก อุ้งมือลิงที่ทำให้คำขอเป็นจริงปรากฏออกมาแบบเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ในหนังสือของ W.W. Jacobs ที่มีชื่อว่า “The Monkey’s Paw” ซึ่งเป็นเรื่องราวของครอบครัวไวท์ที่ได้รับอุ้งมือลิงมาจากเพื่อนที่เป็นทหารอยู่ในอินเดีย และต้องพบกับเรื่องเลวร้ายจากคำขอของพวกเขา     The Monkey’s Paw เป็นเรื่องสั้นสยองขวัญที่มีสามองก์จบ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตะเกียงวิเศษในอาหรับราตรี (และอาจจะได้แรงบันดาลใจจาก The Hand ของ Guy de Maupassant ในปี 1883 เช่นกัน) เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยก่อน จนถูกตีพิมพ์ในหลายๆ…

  • 12 ธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ เพราะธงโจรสลัด ไม่ได้มีแค่กะโหลกไขว้เท่านั้น

    12 ธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ เพราะธงโจรสลัด ไม่ได้มีแค่กะโหลกไขว้เท่านั้น

    ถ้าพูดถึงธงโจรสลัด ไม่ว่าใครก็คงจะนกถึงธงหัวกะโหลกไขว้ก่อนเป็นสิ่งแรก เพราะมันเป็นความเท่สุดคลาสสิคซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของโจรสลัดในสายตาของหลายๆ คน แต่เชื่อไหมล่ะว่าธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ มีหลายๆ อันที่ไม่ได้เท่อย่างที่คิด โดยเฉพาะธงของโจรสลัดอย่างหนวดดำแล้วด้วย สนใจกันแล้วใช่ไหมล่ะ? นี้คือ 12 ธงโจรสลัดในประวัติศาสตร์จริงๆ ที่บอกเลยว่ากว่าครึ่งไม่ได้เท่แบบที่คิดแม้แต่น้อย   Bartholomew Roberts ออกปล้นเมื่อ 1719-1722 Bartholomew Roberts รู้จักกันในฐานะ Black Bart ผู้ซึ่งว่ากันว่าออกปล้นเรือมากว่า 400 ลำ ซึ่งในภาพเป็นธงอันแรกที่เขาใช้ โดยเป็นภาพของ Roberts กับยมทูตถือนาฬิกาทรายร่วมกัน   ธงต่อมาของ Bartholomew Roberts ธงอันที่สองนี้เป็นภาพของเขายืนอยู่บนกะโหลกของชาวเกาะบาร์เบโดส และมาร์ตินีก ส่วนตัวหนังสือ “ABH และ AMH” เป็นคำว่ากะโหลกของชาวเกาะทั้งสองนั่นเอง   Sam Bellamy ออกปล้นเมื่อ 1716-1717 Sam Bellamy มีฉายาว่า “Black Sam” เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของธงโจรสลัดแบบที่เราคุ้นเคยกัน อย่างไรก็ตาม Black Sam ออกปล้นอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่จะเหลือเพียงธงของเขาที่ถูกจดจำ   Edward Teach ออกปล้นเมื่อ…

  • 7 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของโลกที่อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ “ความผิดพลาด”

    7 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของโลกที่อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ “ความผิดพลาด”

    ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในชีวิต ถึงอย่างนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะทำอะไรออกมาถูกต้องตลอดเวลา นั่นทำให้บ่อยครั้งประวัติศาสตร์นั้นถูกเขียนขึ้นจากความผิดพลาด และในบางครั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาลเลยด้วย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ต่อไปนี้   การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล เกิดขึ้นเพราะลืมล็อกประตูเมือง คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่เชื่อกันว่าสามารถทนการโดนล้อมเมืองได้นานถึง 1,000 ปีได้ในปี 1453 พวกเขาทำได้อย่างไรอย่างนั้นเหรอ? จากบันทึกในประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เพราะทางคอนสแตนติโนเปิลลืมล็อกประตูเมืองนั่นเอง นี่นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลาง และจุดเริ่มต้นของยุคเรอเนซ็องส์เลยก็ว่าได้   การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เกิดขึ้นเพราะการเข้าใจผิด ในปี 1989 ได้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายการเดินทางเล็กน้อย แต่กลับมีการเข้าใจผิดในงานแถลงข่าวของนักการเมืองเยอรมัน ที่ว่าข้อจำกัดในการเดินทางทั้งหมดจะถูกยกเลิก ดังนั้นเมื่อนักการเมืองตอบคำถามที่ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ว่า “ตอนนี้เลย” กำแพงเบอร์ลินก็ถูกเหล่าประชาชนถล่มทิ้งทันที   เรือไททานิคล่ม อาจเกิดขึ้นเพราะไม่มีกุญแจ หนึ่งในสาเหตุที่เรือไททานิคล่ม เชื่อกันว่ามาจากการที่ต้นหนสังเกตเห็นก้อนน้ำแข็งช้าเกินไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าเหตุผลที่ต้นหนสังเกตเห็นก้อนน้ำแข็งช้ามาจากการที่เขาไม่มีกล้องส่องทางไกล เนื่องจากมันอยู่ในตู้ล็อกเกอร์ของเจ้าหน้าที่คนเก่าและเขาไม่มีกุญแจตู้ล็อกเกอร์ที่ว่านั่นเอง   ชัยชนะของจอร์จวอชิงตัน อาจเกิดขึ้นเพราะการลืมอ่านจดหมาย ระหว่างการปฏิวัติอเมริกาจอร์จวอชิงตันได้ข้ามแม่น้ำเดลาแวร์และปราบกลุ่ม Hessian (ทหารเยอรมันที่อยู่ฝั่งอังกฤษ) อย่างวีรบุรุษ ดูเหมือนว่าชัยชนะครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากการที่ผู้บัญชาการของกลุ่ม Hessian ไม่ได้อ่านจดหมายแจ้งเตือนการมาบุกของจอร์จวอชิงตัน เพราะในกระเป๋าเสื้อของเขายังมีจดหมายเตือนที่ยังไม่มีการเปิดอ่านอยู่   สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อาจเกิดขึ้นเพราะรถเลี้ยวผิดทาง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นจากการลอบสังหารอาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ การลอบสังหารเกิดขึ้นสองครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการโยนระเบิดพลาดจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ฟรานซ์จึงได้ตัดสินใจจะไปเยือนคนเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แทนที่จะเลี้ยวไปโรงพยาบาล คนขับรถกลับเลี้ยวผิดไปอีกทางซึ่งนักฆ่าอีกคนกำลังอยู่แถวนั้นพอดี   ความตายของสตาลิน…

  • เปิดประวัติ “วิลเลี่ยม อดัมส์” หรือ “มิอุระ อันจิน” ซามูไรชาวตะวันตกคนแรกแห่งยุคเอโดะ

    เปิดประวัติ “วิลเลี่ยม อดัมส์” หรือ “มิอุระ อันจิน” ซามูไรชาวตะวันตกคนแรกแห่งยุคเอโดะ

    สำหรับประเทศญี่ปุ่นในสมัยก่อนแล้ว การติดต่อกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนจากฝั่งตะวันตกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ค่อยจะบ่อยนัก ดังนั้นการที่จะหาชาวตะวันตกที่ได้รับยศของซามูไรซึ่งถือเป็นยศอันทรงเกียรติก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากตามไปด้วยเช่นกัน     แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีชาวตะวันตกที่ได้รับยศซามูไรอยู่ในญี่ปุ่นเลย เพราะในสมัยของ โตกุกาวะ อิเอยาซึ เราก็ได้เห็นซามูไรชาวตะวันตกกันเป็นครั้งแรก ชื่อของซามูไรคนนั้นคือ “มิอุระ อันจิน” (三浦按針) ชายผู้มีชื่อเดิมว่า “วิลเลี่ยม อดัมส์” (William Adams) จากเมืองกิลลิงแฮม มณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ โดยก่อนที่จะมาเป็นซามูไรวิลเลี่ยม เคยเป็นนักเดินเรือมาก่อน และได้ล่องเรือออกไปยังท้องทะเลเพื่อการค้าขายกับกองเรือดัตช์     จากกองเรือ 5 ลำที่ออกค้าขาย เรือของวิลเลี่ยมเป็นเรือเพียงลำเดียวที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่น หลังจากที่พบกับหายนะทางท้องทะเล โดยในตอนที่มาถึงพวกเขาก็โดนคนญี่ปุ่นในพื้นที่หาว่าเป็นโจรสลัดจนลูกเรือส่วนมากโดนสังหารทิ้ง และวิลเลี่ยมกลายเป็นนักโทษของอิเอยาซึไป     นับเป็นโชคดีของวิลเลี่ยมที่อิเอยาซึสนใจในความรู้ของเขา จนทำให้เขาได้กลายเป็นคนสนิท ผู้ให้คำปรึกษาแก่ อิเอยาซึ ในการสร้างเรือแบบตะวันตก และกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการจัดการค้าขายกับเนเธอร์แลนด์และอังกฤษในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม วิลเลี่ยมนั้นมีภรรยาและลูกๆ อยู่ที่บ้านเกิดจึงได้พยายามขอลากลับบ้าน แต่ด้วยความที่กลัวว่าวิลเลี่ยมจะหนีไปอิเอยาซึจึงไม่ยอมให้เขาออกจากประเทศ และเพื่อเป็นการตอบแทนอิเอยาซึได้มอบดาบคาตานะสองเล่มให้แก่วิลเลี่ยม แต่งตั้งเขาเป็นซามูไร และให้ชื่อใหม่ว่า มิอุระ อันจิน     การแต่งตั้งในครั้งนี้ทำให้วิลเลี่ยมยังคงอยู่รับใช้อิเอยาซึต่อไปในฐานะซามูไร ก่อนที่จะได้แต่งงานกับหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อ โอยูกิ (お雪)…

  • ผู้เชี่ยวชาญชุบชีวิตให้ภาพเก่า 20 รูปภาพจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาเล่าอีกครั้งด้วยการลงสี

    ผู้เชี่ยวชาญชุบชีวิตให้ภาพเก่า 20 รูปภาพจากประวัติศาสตร์ที่ถูกนำมาเล่าอีกครั้งด้วยการลงสี

    การทำให้ภาพในอดีตกลับมามีชีวิตเป็นความฝันของคนหลายๆ คน  จะเกิดอะไรขึ้นหากได้เห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้งแบบมีสีสัน ไม่แน่นะว่ามันอาจจะให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากที่เคยเป็นเลยก็ได้ ไม่แน่ว่า Marina Amaral ผู้เชี่ยวชาญด้านสีจากประเทศบราซิลก็อาจจะคิดเช่นนั้น เธอจึงใช้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์บวกกับความรู้ในด้านสีทั้งหมดที่เธอมี ใส่ลงไปในโปรแกรมโฟโต้ชอป เพื่อให้ได้ออกมาซึ่งภาพในสมัยก่อน ที่มีสีสันอีกครั้งราวกับเป็นภาพถ่ายในปัจจุบัน และนี่คือหนึ่งในผลงานของเธอ ที่ไม่ใช่เพียงการลงสีตามบรรยากาศของภาพ แต่เป็นรูปสีที่ผ่านการวิจัยมาอย่างยาวนาน กว่าที่จะออกมาในแต่ล่ะรูปนั่นเอง   ตำรวจกำลังพาเด็กสาวผิวดำ ไปเรียนที่โรงเรียนซึ่งเคยมีแค่คนขาว จากปี 1960   ชาวครี ชนพื้นเมืองที่อาศัยในแคนาดา 1903   Claude Monet จิตรกรชาวฝรั่งเศสกับภาพของเขา   โปแลนด์หลังสงครามโลก เมื่อปี 1946   Marie Sklodowska Curie ผู้หญิงคนแรกที่ได้รางวัลโนเบล จากการวิจัยกัมมันตภาพรังสี   Lewis Powell ผู้สมรู้ร่วมคิดในการสังหาร Abraham Lincoln   นักบินหญิง 4 คน ในปี 1944   สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตอนสาวๆ  …

  • เปิดประวัติศาสตร์ 5 ชนชั้นสูงในสมัยก่อน ผู้ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่า “มีอาการทางจิต”

    เปิดประวัติศาสตร์ 5 ชนชั้นสูงในสมัยก่อน ผู้ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่า “มีอาการทางจิต”

    เมื่อนึกถึงเหล่าชนชั้นสูงในสมัยก่อน เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงจากเต้นรำที่มีเจ้าหญิงรูปงามหรือเจ้าชายรูปหล่อเข้ามาร่วมงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป เพราะตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของโลกนั้น ก็มีชนชั้นสูงที่มีนิสัยแปลกๆ อยู่มากมายเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหนสุดท้ายชนชั้นสูงก็เป็นคนคนหนึ่งอยู่ดี ในบางครั้งพวกเขาก็อาจจะมีอาการโรคจิต หรือกระทำการใดๆ ที่สร้างความเดือดร้อนและหวาดกลัวให้กับประชาชนได้เหมือนกัน ดังเช่นเหล่าชนชั้นสูงจิตวิปลาสต่อไปนี้   มาเรีย เอลลีโอโนราราชินีแห่งสวีเดน ในฐานะของชนชั้นสูง ความต้องการอันสูงสุดของมาเรียคือการมีลูกชายเพื่อสืบสกุล ดังนั้นเมื่อเธอให้กำเนิดลูกสาวในปี 1626 เธอจึงไม่ยอมรับลูกสาวของตัวเอง โดยเรียกลูกว่าปีศาจ และพยายามฆ่าลูกสาวตัวเองอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้เมื่อสามีของเธอจากไป ความวิปลาสของเธอก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก โดยเธอไม่ยอมให้มีการฝังร่างของสามีเด็ดขาด และจะนอนหลับอยู่ใต้โลงศพที่ใส่หัวใจของสามีเอาไว้เท่านั้น   ชาร์ลส์ที่ 6 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ชาร์ลส์ที่ 6 เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองฝรั่งเศสในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 และมีชีวิตอยู่กับความวิปลาสมาเป็นเวลานาน เขาหวาดระแวงและมักโมโหร้ายจนถูกจับมัดอยู่บ่อยๆ แถมยังทำตัวสกปรกมากจนบางครั้งต้องมีการตัดเสื้อที่เขาใส่ออกเลยด้วย อย่างไรก็ตามอาการที่มีชื่อเสียงที่สุดของชาร์ลส์ที่ 6 คือการเชื่อว่าตัวเองทำจากแก้ว และจะไม่ยอมขยับตัวเลยเป็นเวลานานนั่นเอง   ปีเตอร์ที่ 3 จักรพรรดิแห่งรัสเซีย สามีของแคทเธอรีน มหาราชผู้ซึ่งแตกต่างจากภรรยาอย่างที่สุด เขาเกลียดรัสเซีย และคนรัสเซียก็เกลียดเขา แถมเจ้าตัวยังมีอาการทำตัวเป็นเด็กอีก ว่ากันว่าตลอดเวลาที่แต่งงานกับแคทเธอรีนพวกเขาไม่เคยมีอะไรกันเลย แถมยังเอาแต่เล่นทหารของเล่นจนไม่ได้ทำงานทำการอีกด้วย   จักรพรรดิเนโร แห่งกรุงโรม เนโร เกลาดิอุส ไกซาร์…

  • เก่าแต่เก๋า 20 ความเท่สุดคลาสสิกของทรงผมท่านชาย ที่เคยโด่งดังสุดๆ ในยุค 80

    เก่าแต่เก๋า 20 ความเท่สุดคลาสสิกของทรงผมท่านชาย ที่เคยโด่งดังสุดๆ ในยุค 80

    เชื่อว่าอาจจะมีหลายๆ คนที่ประสบปัญหาไปร้านตัดผมแต่ไม่รู้ว่าจะตัดผมทรงอะไรดี จนสุดท้ายก็ปล่อยให้ช่างตัดสินใจ แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจกันทีหลังเพราะไม่ได้ดั่งใจกันมาบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะบางครั้งทรงผมที่เราอยากทำมันไม่ใช่ทรงผมแบบทันสมัยสักเท่าไหร่ ดังนั้นเพื่อที่จะให้เรามีทางเลือกเวลาไปตัดผมมากขึ้น #เหมียวศรัทธา จึงได้นำ 20 ทรงผมสุดเท่ของผู้ชาย ที่เคยโด่งดังสุดๆ ในยุค 80 มาฝาก ไปดูกันดีกว่าว่าทรงผมสมัยก่อนนั้น จะดูดีสู้ทรงผมยุคใหม่ๆ ได้ไหม   เริ่มกันที่ทรงผมแบบดัด จากปี 1980   Crop Cut แบบปี 1984   ผมหยิกแบบแมนๆ จากปี 1984   Flat 1984 ทรงของ Duke Nukem   รองทรงยาวแบบ 1984    ตัดแบบมีเลเยอร์ 1984   ปล่อยยาวหยักศกแบบ 1984   ทรงควิฟแบบ 1984   Flattop จากปี 1985   บ๊อบสั้น 1986 He-Man…

  • 14 ภาพสุดแปลกจากต้นศตวรรษที่ 20 ที่จะทำให้เรารู้ว่าการถ่ายรูปในสมัยก่อน ก็เอาฮาเป็น

    14 ภาพสุดแปลกจากต้นศตวรรษที่ 20 ที่จะทำให้เรารู้ว่าการถ่ายรูปในสมัยก่อน ก็เอาฮาเป็น

    ในยุคสมัยที่แผ่นฟิล์มถ่ายรูปเป็นของที่ค่อนข้างมีราคา ภาพแต่ละภาพที่ออกมาก็มักที่จะเปี่ยมไปด้วยความหมาย สมกับราคาที่จ่ายไปเพื่อภาพเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่ค่อยเห็นภาพที่ไร้สาระหรือภาพแปลกในสมัยก่อนสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นี่คือ 14 ภาพสุดแปลกจากสมัยก่อน ภาพถ่ายเปี่ยมอารมณ์ขัน ที่จะทำให้เรารู้ว่า การถ่ายรูปในสมัยก่อน ก็เอาฮาเป็นเหมือนกันนะ   เริ่มจากอะไรที่ไม่แปลกมากอย่าง ภาพหมูสองตัวจากปี 1903   คนใช้ของลอร์ด Dundonald ถ่ายภาพกับสัตว์เลี้ยงในแคนาดา ไอ้สัตว์เลี้ยงตัวที่สองจากด้านขวานั่นมัน…   ภาพสาวสองคนทำท่าพุ่งลงน้ำในปี 1909 ชื่อภาพ “Bathing Beauties”   ภาพชายขี่ปลา ชื่อภาพ “I Finally got Him” จากปี 1910 เดี๋ยวนะ… สมัยนั้นมีโฟโต้ชอปแล้วเหรอ?   “Taking our Geese to market” หรือ พาห่านไปตลาด จากปี 1910   “The Modern Farmer” ชาวนาสมัยใหม่ จากปี 1910   สาวดื่มยกขวด…

  • ที่เก่า-เวลาใหม่ 20 ภาพประวัติศาสตร์ ที่ถูกมองเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบัน

    ที่เก่า-เวลาใหม่ 20 ภาพประวัติศาสตร์ ที่ถูกมองเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบัน

    เวลาที่เราดูรูปเก่าๆ ก็อาจจะมีบางครั้งที่เราสงสัยว่าสถานที่เหล่านั้นดในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรบ้าง หากเป็นสถานที่ใกล้ๆ เราก็อาจจะเดินทางกลับไปดูกันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากภาพที่เราดูมันดันเป็นภาพจากประวัติศาสตร์ล่ะ? การไปตามหาสถานที่ในภาพคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ นั่นทำให้ Peter Perry นักศึกษาจากเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินใจออกเดินทางตามหาที่มาของภาพจากประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าภาพที่ออกมานั้น ชวนให้รำลึกถึงความหลังได้เป็นอย่างดีจริงๆ   Peter Perry ช่างภาพในครั้งนี้   Acorn Street ในบอสตัน 1890   Charles Ponzi นักธุรกิจฉ้อฉล และภรรยาของเขาจากปี 1934 ถ่ายจากสภารัฐแมสซาชูเซตส์   Elvis Presley สมัยเป็นพลทหาร 1959 ภาพนี้ถ่ายที่โบสถ์ Dankeskirche ประเทศเยอรมนี   ฤดูใบไม้ผลิที่ปราก (Prague) สาธารณรัฐเช็ก 1968 นี่เป็นภาพการประท้วงในช่วงการรุกรานโซเวียต   Oskar Schindler ในปี 1944 นี่เป็นภาพของฮีโร่ผู้ช่วยชีวิตชาวโปแลนด์นับพันในสงครามโลกครั้งที่สอง ถ่ายที่ Kraków ในโปแลนด์   ถนนปาร์กของเมืองบอสตัน ในยุค 20 เป็นภาพตำรวจกำลังขี่ม้า   Appeal to the…

  • คูคลักซ์แคลน “KKK” ที่สุดของความเกลียดชัง ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดแห่งสหรัฐอเมริกา

    คูคลักซ์แคลน “KKK” ที่สุดของความเกลียดชัง ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดแห่งสหรัฐอเมริกา

    เคยเห็นภาพของกลุ่มคนแต่งตัวด้วยหมวกคลุมหน้าแหลมสูงสีขาวกันไหม? เคยเห็นภาพการเผาไม้กางเขนขนาดใหญ่มาก่อนหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นในหนังหรือประวัติศาสตร์ ชื่อเสียงของคนเหล่านี้ก็มีเพียงความโหดร้าย พวกเขาคือ “คูคลักซ์แคลน” (Ku Klux Klan) หรือ KKK หนึ่งในกลุ่มขบวนการโฉดของสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนความคิดชาตินิยมคนผิวขาว และเชื่อว่าคนขาวเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่สุด พวกเขาต่อต้านคาทอลิก และต่อต้านชาวยิว รวมทั้งเหยียดสีผิวอย่างสุดโต่งอีกด้วย     KKK ปรากฏขึ้นมาในประวัติศาสตร์อยู่สามครั้งใหญ่ๆ โดยเริ่มต้นขึ้นหลังแรกในปลายยุค 1860 แทบจะทันทีหลังจากสงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาจบลง และเริ่มออกสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และคนเชื้อชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ข่มขืน เผาทำลายทรัพย์สิน กลุ่มที่หนึ่งนี้แยกตัวกันไปในช่วงยุค 1870 จากการปราบปรามของรัฐบาลที่นำโดยประธานาธิบดีอูลิเซส เอส. แกรนท์ ทิ้งเอาไว้เพียงหมวกคลุมหน้าแหลมสูงที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าหวาดกลัว และโหดร้ายทารุณ   KKK ในช่วงยุค 1860   KKK กลับมาอีกครั้งในปี 1915 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คราวนี้อยู่ในพื้นที่เมืองของมิดเวสต์และทางตะวันตก โดยมีรากเหง้าจากชาวโปรเตสแตนต์ท้องถิ่นที่คัดค้านคาทอลิกและยิว ซึ่งการเผาไม้กางแขนอันเป็นเอกลักษณ์ของ KKK ก็เริ่มต้นขึ้นจากกลุ่มนี้ การก่อเหตุของ KKK กลุ่มที่สองนั้นค่อยๆ หายไปตามกาลเวลาก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีข่าวการสลายตัวอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด และกลายเป็นภาพลักษณ์ของ KKK ที่เราเห็นกันบ่อยที่สุด…

  • 5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ กว่าจะมาถึงวันนี้ โลกได้ผ่านอะไรมามากเหลือเกิน

    5 ภาพจากในอดีตพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์ กว่าจะมาถึงวันนี้ โลกได้ผ่านอะไรมามากเหลือเกิน

    ว่ากันว่าอดีตเป็นรากฐานของปัจจุบัน หากว่ารากฐานที่ว่าเข้มแข็ง ปัจจุบันก็จะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง นั่นทำให้มีคนมากมายที่พยายามศึกษารากเหง้าของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์เหล่านี้นี่ล่ะ ที่นำมาซึ่งพวกเราในปัจจุบัน ดังนั้นในวันนี้เราจะมาดูอีก 5 รูปภาพจากในอดีต ที่มาพร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อย้ำเตือนให้เรารู้ว่ากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ โลกเราได้ผ่านเรื่องราวมามากมายเหลือเกิน   ภาพของนางาซากิก่อนและหลังการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ 9 สิงหาคม 1945 ราวๆ สามวันหลังจากการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่า ได้มีการทิ้งระเบิดพลูโตเนียมของสหรัฐอเมริกาลงสู่เมืองนางาซากิ ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตระหว่าง 39,000-80,000 ราย ซึ่งแม้ว่าแรงระเบิดจะมากกว่าที่ฮิโรชิม่าแต่ภูมิประเทศกลับถูกทำลายไปค่อนข้างน้อย แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่จะราบเป็นหน้ากลองไปเลยก็ตาม   แอลกอฮอล์ถูกเททิ้ง ในช่วงปี 1920-1933 สหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายห้ามการผลิต นำเข้า ขนส่ง และขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเนื่องจากปัญหามากมายจากคนเมาสุราและกลุ่มผู้สนับสนุนจากลัทธิโปรเตสแตนต์ นั่นทำให้เมื่อทางตำรวจจะเข้าตรวจสอบสถานที่ผลิตสุราผิดกฎหมาย เหล่าผู้ผลิตจึงพยายามทำลายหลักฐานในทุกวิถีทาง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการเทออกจากหน้าต่างแบบในภาพนั่นเอง   เด็กในลิเวอร์พูลสวมหน้ากากป้องกันแก๊สในโรงเรียน ในปี 1941 การทิ้งระเบิดในกรุงลอนดอนทำให้บรรยากาศในประเทศอังกฤษเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหล่าประชาชนในประเทศถูกบอกให้พกหน้ากากตลอดช่วงสงคราม เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการโจมตีด้วยแก๊สพิษจากทางฝ่ายอักษะ นี่เป็นภาพของเด็กๆ ที่กำลังทำการฝึกในกรณีที่มีการโจมตีด้วยแก๊สพิษที่ว่านั่นเอง   Reichserntedankfest มีอีกชื่อหนึ่งว่า “งานฉลองวันขอบคุณพระเจ้าแห่ง Reich” นี่เป็นงานเทศกาลการเก็บเกี่ยว ที่จัดขึ้นในปี 1934 และมีผู้เข้าร่วมกว่า 700,000…

  • 4 สุดยอดคุณแม่ในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแม่ที่ดี แต่ยังมีอิทธิพลต่อโลกเป็นอย่างมาก

    4 สุดยอดคุณแม่ในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแม่ที่ดี แต่ยังมีอิทธิพลต่อโลกเป็นอย่างมาก

    ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ สำหรับคนเป็นลูกหลายๆ คนแล้ว แม่ย่อมเป็นผู้ที่ให้ความรักกับเรามากที่สุด ท่านคือคนผู้มีอิทธิพลลึกซึ้งที่สุดที่สอนให้เราเติบโตมาเป็นเราดังเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นในโอกาสวันแม่นี้เอง #เหมียวศรัทธา จึงจะพาเพื่อนๆ ไปพบกับ 4 สุดยอดคุณแม่ในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแม่ที่ดี แต่ยังมีอิทธิพลต่อโลกของเราเป็นอย่างมาก   Marie Skłodowska Curie (1867-1934) Marie เป็นทั้ง นักเคมี นักฟิสิกส์ ภรรยาที่ดี และคุณแม่ลูกสอง มีชื่อเสียงในฐานะผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล จากการวิจัยกัมมันตภาพรังสี นอกจากนี้เธอยังเลี้ยงลูกทั้งสองด้วยตัวคนเดียวหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตไปเมื่อปี 1906 Marie นับเป็นคุณแม่ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างมากเพราะนอกจากตัวเธอเองแล้ว Irène Joliot-Curie ลูกสาวของเธอก็ยังได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีร่วมกับผู้เป็นพ่ออีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวนักวิจัยกัมมันตภาพรังสีเลยก็ไม่ผิดนัก   Sojourner Truth (1797-1883) Sojourner เป็นหญิงสาวที่เกิดมาเป็นทาส และมีชื่อเดิมว่า Isabella Baumfree ในปี 1826 เธอและลูกสาวได้หนีออกมาจากการเป็นทาสได้สำเร็จ เพียงแต่ลูกชายวัย 5 ขวบของเธอกลับถูกขายไปเสียก่อน นั่นทำให้เธอออกมาระดมทุนเพื่อจ้างทนายเข้าฟ้องร้องต่อศาลเพื่อนำตัวลูกชายกลับมา จนกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คดีในสมัยนั้นที่คนผิวดำชนะคดีคนผิวขาว และเธอก็กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังของผู้สนับสนุนการเลิกทาสไป   Irena Sendler (1910—2008) เธอเป็นหญิงสาวชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะคุณแม่ผู้ปกป้องเด็กๆ กว่า 2,500 ชีวิต…

  • 8 เรื่องแปลกสุดไม่น่าเชื่อของชาวกรีกโบราณ ที่อาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชาวกรีกไปเลย

    8 เรื่องแปลกสุดไม่น่าเชื่อของชาวกรีกโบราณ ที่อาจเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชาวกรีกไปเลย

    เมื่อพูดถึงอาณาจักรที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยก่อน คนส่วนมากก็น่าจะนึกถึงอารยธรรมกรีกโบราณกันเป็นธรรมดา ด้วยความที่เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยนั้น บวกกับเทคโนโลยีมากมายที่มีการคิดค้นขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในอารยธรรมโบราณที่มีการศึกษากันมากที่สุดในโลกไป แต่ในความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมนั้นเอง ก็ทำให้กรีกโบราณมีสิ่งที่เราไม่รู้กันอีกมากมาย ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงได้นำ 8 เรื่องแปลกสุดไม่น่าเชื่อของชาวกรีกโบราณมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ไม่แน่นะว่าบางที ภาพลักษณ์ของชาวกรีกที่เพื่อนๆ รู้จัก อาจจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยเลยก็ได้   โยโย่ที่เก่าแก่ที่สุดมาจากกรีก ของเล่นที่มีการเล่นคล้ายกับโยโย่นั้น มีการพูดถึงเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์บนแจกันของกรีก ซึ่งเชื่อกันว่าผลิตขึ้นใน 440 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว   รูปปั้นชายกรีกส่วนใหญ่จะมีขนาดอวัยวะเพศที่เล็ก เนื่องจากในสมัยนั้นเชื่อว่ามีเพียงชายที่จิตหมกมุ่นในกามราคะเท่านั้นที่จะมีอวัยวะเพศขนาดใหญ่ ส่วนชายที่มีขนาดเล็กคือคนฉลาด   ผู้หญิงในกรีกจะต้องแต่งงานเมื่อเป็นสาวพรหมจรรย์เท่านั้น โดยผู้เป็นพ่อจะเลือกคู่แต่งงานให้ตั้งแต่อายุ 13-14 ปีเลยทีเดียว   ชาวกรีกกลัวซอมบี้กันอย่างจริงจังเลย เหล่าศพที่ถูกกลัวว่าจะลุกกลับขึ้นมาจะได้รับการฝังแบบพิเศษ โดยมักจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หรือทับไว้ด้วยหินหนักๆ ก่อนฝังนั่นเอง   ชาวกรีกมองรักร่วมเพศและความใคร่เด็กเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้พ่อของเด็กผู้ชาย ยังสามารถเลือกชายหนุ่มที่อายุมากกว่าให้เป็นคู่ชีวิตของลูกชายได้อีกด้วย   ชาวกรีกใช้ก้อนหิน และเศษเครื่องเซรามิกเช็ดก้น แถมดูเหมือนว่าจะเป็นการใช้ก้อนหินเช็ดก้น จะเป็นที่นิยมยาวนานไปถึงสมัยโรมันรุ่งเรืองเลยด้วย   แม้ว่ากีฬาโอลิมปิกจะมีที่มาจากชาวกรีก แต่การวิ่งคบเพลิงไม่ใช่ การวิ่งคบเพลิงมาจากโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1936 โดยนาซีเยอรมนีต่างหาก   การผิดประเวณีเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากของกรีก สำหรับชาวกรีกแล้วการผิดประเวณีถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าการข่มขืนเสียอีก…

  • 20 ภาพเหตุการณ์สุดน่าเศร้าที่เกิดขึ้น เมื่อนาซีเข้ายึดโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง

    20 ภาพเหตุการณ์สุดน่าเศร้าที่เกิดขึ้น เมื่อนาซีเข้ายึดโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง

    6 ตุลาคม 1939 การบุกประเทศโปแลนด์จบลงด้วยชัยชนะของเยอรมนี หลังจากที่ทางโปแลนด์ประกาศยอมแพ้ในการรบที่ Kock ปิดฉากการรบระหว่างประเทศ ท่ามกลางไฟของสงครามโลกครั้งที่สองลงเอยด้วยรอยเลือด เพียงแต่สำหรับประเทศที่แพ้สงครามแล้ว นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายเท่านั้น เพราะการยอมแพ้ของโปแลนด์นั้น หมายความว่านี่เป็นการยอมให้พวกนาซีเข้ามาทำอะไรในประเทศได้อย่างอิสระ นำมาซึ่งความตายของเหล่าผู้คนกว่า 11 ล้านคน และนี่คือหนึ่งในภาพของเหตุการณ์อันเลวร้ายหลังสงครามในครั้งนั้น ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกัน เพียงเพราะเชื้อชาติที่แตกต่างเท่านั้น   พลเรือนโปแลนด์หกคน ยืนอยู่หน้าพลทหารของนาซีในปี 1939   ทหารนาซี เตรียมยิงชายคนหนึ่งในปี 1939   Kazimiera Mika เด็กหญิงวัย 12 ขวบ กับพี่สาวผู้เสียชีวิตในวอร์ซอเมื่อปี 1939   ทหารนาซีล้อเลียนศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในปี 1942   มือของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายยื่นออกมาจากเตาเผาในปี 1945   Czesława Kwoka เด็กสาววัย 14 ผู้ถูกส่งมายังค่ายกักกัน เธอเสียชีวิตในค่ายเมื่อปี 1943   การสังหารชาวโปแลนด์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1939   ภาพที่ถูกขโมยมาจากหน่วย SS…

  • ชมหลุมฝังศพแปดเหลี่ยมอายุกว่า 700 ปี ที่เก็บภาพชีวิตคนจีนในสมัยราชวงศ์หยวนไว้

    ชมหลุมฝังศพแปดเหลี่ยมอายุกว่า 700 ปี ที่เก็บภาพชีวิตคนจีนในสมัยราชวงศ์หยวนไว้

    เมื่อเร็วๆ นี้ที่เมืองหยางเชียน มณฑลชานซี ประเทศจีนได้มีการขุดพบสุสานทางประวัติศาสตร์รูปร่างแปดเหลี่ยม ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 700 ปีของประเทศจีนในยามที่ถูกปกครองโดยราชวงศ์หยวน หรือชนเผ่ามองโกล     มันเป็นสุสานแปดเหลี่ยมที่มีหลังคาทรงพีระมิด ซึ่งประดับไปด้วยรูปของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว และที่ผนังทั้งแปดด้านก็มีการประดับไว้ด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม     แม้ว่าในสุสานจะไม่มีโครงกระดูกอยู่ก็ตาม แต่จากภาพบนผนังก็ทำให้เชื่อกันว่า นี่เป็นสุสานของสามีภรรยาคู่หนึ่ง หรือไม่ก็ของลูกชายของพวกเขา และจากขนาดของสุสานบวกกับจำนวนคนรับใช้ในภาพ เชื่อกันว่าเจ้าของสุสานน่าจะเป็นผู้มีฐานะพอสมควร     อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญในการค้นพบครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ที่ตัวสุสานเอง แต่เป็นภาพวาดการใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นที่อยู่บนกำแพงมากกว่า     จากการตรวจสอบของนักประวัติศาสตร์ ดูเหมือนว่าภาพวาดหลายภาพที่ในสุสานจะเป็นภาพของผู้คนที่แต่งตัวแบบชาวมองโกล ซึ่งเป็นลักษณะของประเทศจีนในยุคสมัยของราชวงศ์หยวน     นี่เป็นการแต่งกายที่เกิดขึ้น จากคำสั่งของทางราชวังในปี 1314 เพื่อเป็นการการแบ่งแยกเชื้อชาติ โดยชาวจีนจะใส่ชุดคอกลม และหมวกพับ ส่วนชาวมองโกลเลียจะใส่ชุดคล้ายแจ็คเก็ตยาวกับหมวกที่มีสี่ปีก     นั่นทำให้ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของคนจีนในสมัยที่ถูกปกครองโดยชนเผ่ามองโกลได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการชงชา เสิร์ฟอาหาร ดูแลม้า การใช้งานอูฐในการขนส่ง หรือการเล่นดนตรีต่างๆ     นอกจากนี้ภาพอื่นๆ บนผนังยังเป็นภาพเกี่ยวกับเรื่องเล่าโบราณของประเทศจีน อย่างเรื่อง Guo…

  • เชื่อหรือไม่? งานวิจัยใหม่ชี้ จักรพรรดิโรมัน มักถูกลอบสังหาร หากว่าไม่มีฝนตก!!

    เชื่อหรือไม่? งานวิจัยใหม่ชี้ จักรพรรดิโรมัน มักถูกลอบสังหาร หากว่าไม่มีฝนตก!!

    การเป็นจักรพรรดิของโรมันมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะตลอดกว่า 500 ปีของโรมันเกือบๆ 20% ของกษัตริย์ทั้งหมด 82 พระองค์ ล้วนแต่ถูกลอบปลงพระชนม์ในระหว่างครองราชย์ทั้งนั้น แถมหลายๆ คนยังโดนสังหารด้วยเหตุผลแปลกๆ อย่างฝนไม่ตกอีกด้วย     จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยบร็อคในแคนาดา ดูเหมือนว่าที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการที่ฝนไม่ตกเป็นเวลานานนั้นจะทำให้ชาวไร่ชาวนาไม่สามารถส่งอาหารให้แก่กองทัพโรมันได้ส่งผลให้เกิดความอดอยากจนอาจเกิดการก่อกบฏขึ้นได้ “และเมื่อมีการก่อกบฏขึ้น เหล่าผู้ที่สนับสนุนจักรพรรดิก็จะลดน้อยลง ทำให้จักรพรรดิมีโอกาสที่จะถูกลอบสังหารมากขึ้น”  Cornelius Christian ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบร็อคกล่าว     นี่เป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ปริมาณน้ำฝนในอดีตจากซากฟอสซิลต้นไม้นับพัน และพบว่าในปีที่มีฝนตกน้อยในทางสถิติ (และทำให้อาหารขาดแคลน) จะมีโอกาสสูงที่ในปีนั้นจะมีตัวเลขการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิบ่อยขึ้น ตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยยกมา คือจักรพรรดิ Vitellius ผู้ที่ถูกลอบสังหารไปในปี ค.ศ. 69 ซึ่งเป็นปีที่มีฝนตกน้อย “Vitellius ได้เป็นจักรพรรดิเพราะกองทัพของเขา” Christian กล่าว “น่าเศร้ามากที่ในปีนั้นฝนแล้งพอดี ส่งผลให้กองทัพของเขาลุกฮือขึ้น และสุดท้ายเขาก็ถูกลอบสังหาร”     แม้ว่าการวิจัยในครั้งนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับการลอบสังหารทุกครั้ง เนื่องจากการที่คนคนหนึ่งจะถูกลอบสังหารนั้นจำเป็นต้องมีเหตุผลประกอบหลายอย่าง แต่งานวิจัยในครั้งนี้ก็วางรากฐานที่ดีให้กับสมมติฐานการลอบสังหารเนื่องจากฝนแล้ง สมมติฐานนี้หมายความว่าธรรมชาตินั้นส่งผลโดยตรงกับการปกครองของมนุษย์ในอดีต เพราะนอกจากที่โรมันแล้ว สมมติฐานที่ว่ายังอาจนำไปใช้ได้กับเหตุการณ์อื่นๆ เช่นการล่มสลายของราชวงศ์ในอียิปต์ได้อีกด้วย     “สำหรับผมแล้ว สมมติฐานการลอบสังหารเนื่องจากฝนแล้งจะช่วยเพิ่มระดับความเข้าใจในประวัติศาสตร์การปกครองของโรมันได้มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่สามของการปกครองแล้วด้วย” Christian กล่าว  …

  • การค้นพบใหม่ชี้ มนุษย์โบราณ “Homo erectus” อาจสูญพันธุ์เพราะความขี้เกียจ

    การค้นพบใหม่ชี้ มนุษย์โบราณ “Homo erectus” อาจสูญพันธุ์เพราะความขี้เกียจ

    คนในสมัยก่อนเคยกล่าวไว้ว่า “ขี้อะไรก็มีประโยชน์ยกเว้นขี้เกียจ” เป็นคำสอนที่เกิดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เหล่าลูกหลานทำตัวขี้เกียจสันหลังยาว เพราะความขี้เกียจไม่ได้มีอะไรดีเลย หนำซ้ำจากผลงานวิจัยชิ้นล่าสุด ที่มนุษย์ในสมัยก่อนสูญพันธุ์ไป ก็อาจจะเพราะความขี้เกียจอีกด้วย นี่เป็นเรื่องของ Homo erectus เผ่าพันธุ์ที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของมนุษย์ ปรากฏตัวออกมาครั้งแรกเมื่อประมาณ 2 ล้านปีก่อน และสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 50,000-100,000 ปีก่อน     โดยจากการวิจัยของนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียได้มีการพบว่า Homo erectus ค่อนข้างที่จะมีความขี้เกียจมาก เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษอื่นๆ ของมนุษย์อย่าง Neanderthals นี่เป็นผลการวิจัยที่ได้มาจากการวิเคราะห์วัตถุโบราณที่มีการค้นพบจากการขุดค้นในซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา และพบว่า Homo erectus นั้นเป็นสายพันธุ์ที่จะสร้างเครื่องมือหรือหาอาหารเลี้ยงชีพ “เพียงเพื่อมีชีวิตรอด” เท่านั้น     พวกเขาจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่หาหินและน้ำได้ง่ายๆ และจะใช้เพียงแค่ของที่หาได้ง่ายๆ ในการทำเครื่องมือ ทำให้เครื่องมือในยุคนั้น มีคุณภาพต่ำเมื่อเทียบกับเครื่องมือยุคหินอื่นๆ นอกจากนี้แห่งหินคุณภาพสูงที่อยู่ในบริเวณยังไม่มีร่องรอยการถูกนำไปใช้เลย ทั้งๆ ที่หากเป็น Neanderthals หรือสายพันธุ์ Homo sapiens รุ่นแรกๆ พวกเขาจะปีนขึ้นเขาเพื่อหินชั้นดี อีกทั้งยังมีการขนส่งหินในระยะทางไกลๆ อีกด้วย     นั่นทำให้เมื่อแหล่งน้ำในที่อยู่อาศัยแห้งหายไป กลุ่ม Homo erectus จำนวนมากก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก นอกจากนี้…

  • เปิดประวัติที่มา “กางเกงยีนส์” เครื่องแต่งกายล้ำสมัย นำสไตล์แฟชั่น ที่มีอยู่มากว่า 100 ปี

    เปิดประวัติที่มา “กางเกงยีนส์” เครื่องแต่งกายล้ำสมัย นำสไตล์แฟชั่น ที่มีอยู่มากว่า 100 ปี

    ทุกวันนี้ภาพคนใส่กางเกงยีนส์ได้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน ที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันเท่สุดๆ ดูทันสมัย สมแล้วกับที่เป็นสุดยอดเครื่องแต่งกายที่ปฏิวัติวงการแฟชั่น     ว่าแต่ทราบกันไหมว่าไอ้เจ้ากางเกงยีนส์สุดทันสมัยพวกนี้นั้น แท้จริงแล้วมีอายุมากว่าร้อยปีแล้ว แถมแรกเริ่มเดิมทีพวกมันยังถูกผลิตขึ้น เพื่อชนชั้นแรงงานอีกด้วย!! กางเกงยีนส์แบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ ลีวาย สเตราส์ พ่อค้าจากเยอรมันผู้เดินทางมายังสหรัฐอเมริกาในปี 1853 กับ เจค็อบ เดวิส ช่างตัดเสื้อคนหนึ่ง   ลีวาย สเตราส์ (ซ้าย) และ เจค็อบ เดวิส (ขวา)   เรื่องราวมันเกิดขึ้นในช่วงยุคตื่นทองของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มีคนเดินทางเข้ามายังเมืองซานฟรานซิสโกเพื่อทำงานด้านอุตสาหกรรมการเหมืองทองคำกันเป็นจำนวนมาก การทำงานที่ค่อนข้างหนักนั้นเอง ทำให้มีคนงานในเหมืองทองจำนวนไม่น้อย ที่ต้องประสบกับปัญหากางเกงที่ใส่ได้รับความเสียหายจากการทำงาน และคนจำนวนมากพยายามหาวิธีที่จะคิดค้นกางเกงที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้     ลีวาย สเตราส์ และ เจค็อบ เดวิสก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น โดยลีวายได้ทดลองตัดกางเกงจากผ้าชนิดอื่นๆ ที่มีความคงทนสูง ตั้งแต่ผ้าใบที่ใช้ทำเต็นท์เรื่อยไปยังผ้าที่ทอจากเมืองนีม ประเทศฝรั่งเศส “Serge de nimes” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ผ้าเดนิม” ผ้าที่ใช้ตัดกางเกงยีนส์ในปัจจุบัน ส่วนเจค็อบ เดวิส ได้ตามหาวิธีการตัดเย็บพิเศษเพื่อให้กางเกงมีความทนทานมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็พบกับการตอกหมุดกับกางเกงเพื่อให้กางเกงที่เย็บออกมานั้นมีความคงทนมากขึ้น    …

  • 20 ภาพประวัติศาสตร์สุดเจ๋ง จาก “ยุคคาวบอย” เหมือนหรือต่างจากที่เห็นในหนังหรือไม่

    20 ภาพประวัติศาสตร์สุดเจ๋ง จาก “ยุคคาวบอย” เหมือนหรือต่างจากที่เห็นในหนังหรือไม่

    ในช่วงปลายยุค 1800 ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกากลายเป็นดินแดนที่ดึงคนจำนวนมากมาเพื่ออยู่อาศัยและหารายได้ มันเป็นดินแดนที่ค่อนข้างอันตราย และมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่แทบจะไร้ซึ่งกฎหมายโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างนั้นที่นี่ที่ว่านี้ก็เป็นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหาเช่นเดียวกัน ทั้งจากคนที่เข้ามาแสวงหาโชคในสมัยนั้น และเหล่าแฟนๆ หนังคาวบอยในปัจจุบัน ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงได้ร่วมรวมรูปภาพจากสมัยคาวบอยมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน ไปดูกันดีกว่าว่าในสมัยนั้น แท้จริงแล้วมันต่างจากที่เราเห็นในหนังรึเปล่า   เจสซี เจมส์ สมัยหนุ่ม เจสซี เจมส์เป็นพวกนอกกฎหมาย ผู้มีฉายาว่า โรบินฮู้ดแห่งอเมริกา มีชื่อเสียงเรื่องออกปล้นแต่ธนาคารของพวกอเมริกาเหนือ ในสมัยสงครามกลางเมืองนั่นเอง   รูปภาพของ บิลลี่ เดอะ คิด ในปี 1879 นี่เป็นภาพๆ เดียวของเขาที่ได้รับการรับรองว่าเป็นของจริง   กระโจมของชาวอินเดียแดงเผ่าซู (Sioux)   ชาวอินเดียแดงนาวาโฮ (Navajo) ในปี 1873   ภาพถ่ายของชนพื้นเมืองอเมริกา   ภาพของ ‘ด๊อค’ ฮอลลิเดย์ เขาคือชายผู้เป็นทั้งทันตแพทย์ นักพนัน และสิงห์ปืนไว   ภาพถ่าย “Deadwood Coach” ของ John H.C.…

  • ชมภาพสีของซามูไรเหล่านักรบเลื่องชื่อกลุ่มสุดท้าย ที่ถูกถ่ายไว้ในช่วง “การปฏิวัติเมจิ”

    ชมภาพสีของซามูไรเหล่านักรบเลื่องชื่อกลุ่มสุดท้าย ที่ถูกถ่ายไว้ในช่วง “การปฏิวัติเมจิ”

    ในปี 1868 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้มีการประกาศล้มล้างระบบซามูไรทั้งประเทศ เป็นการปิดม่านของระบบศักดินา เพื่อเริ่มต้นยุคสมัยใหม่อย่างเต็มตัว นี่เป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ “การปฏิวัติเมจิ” หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น และส่งผลให้อุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้จำนวนซามูไรในประเทศลดลงไปอย่างมาก จนเหล่านักรบเลื่องชื่อเหล่านี้ค่อยๆ หายไปจากประเทศในที่สุด และนี่คือภาพสีของซามูไรกลุ่มสุดท้าย ที่ถูกถ่ายไว้ในช่วงปี 1863 ถึง 1900   ซามูไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ที่แปลว่ารับใช้ ดังนั้นชื่อของพวกเขาจึงแปลว่าผู้รับใช้ ภาพนี้จากปี 1865   ส่วนซามูไรที่ไร้เจ้านาย จะถูกเรียกว่า “โรนิน” ภาพจากปี 1865   ซามูไรถือพัดจากปี 1864 ภาพสองซามูไรในชุดดับเพลิงจากปี 1865   ภาพซามูไรจากปี 1867   ภาพนี้ก็มาจากปี 1867 เช่นกัน   ซามูไรนักรบ แสดงวิธีเป่าสังข์ ในปี 1867   ทรงผมของซามูไรมีชื่อเรียกว่า “ชนมาเกะ” (ちょんまげ) ภาพนี้จากปี 1877   ซามูไรถือพัดจากปี 1880   เหล่าซามูไรมีการใช้อาวุธมากกว่าดาบ มีทั้งคนที่ใช้ธนู…

  • อาหารสุดโปรดของเหล่าคนมีชื่อเสียงในอดีต มาดูกันว่าแต่ละคนถูกใจอาหารแบบไหน

    อาหารสุดโปรดของเหล่าคนมีชื่อเสียงในอดีต มาดูกันว่าแต่ละคนถูกใจอาหารแบบไหน

    เคยสงสัยกันไหมว่าคนในอดีตชอบอาหารแบบไหน? คนเราไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็มักที่จะมีอาหารที่ชอบเป็นการส่วนตัวอยู่ บางคนอาจจะชอบอาหารที่มีรสชาติ  ในขณะที่บางคนอาจจะชอบอาหารที่มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ในแต่ละยุคสมัยการทำอาหารจะเปลี่ยนไปตามวัตถุดิบ และเครื่องเทศในพื้นที่ นั่นทำให้อาหารที่คนเมื่อก่อนทาน อาจจะแตกต่างไปจากที่เราคุณเคยราวฟ้ากับเหวเลยก็เป็นได้ ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงได้นำเอาอาหารสุดโปรดของเหล่าคนมีชื่อเสียงในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน มาดูกันดีกว่าว่าของที่พวกเขาชอบนั้น มันต่างกับที่เราคุ้นเคยกันหรือเปล่า   จอร์จ วอชิงตัน ชอบทาน ซอสเห็ด ทำมาจากเห็ด ปลาแอนโชวี่ และรากฮอสราดิช   ชาร์ลส์ ดาร์วิน ชอบทาน ตัวนิ่ม จากปากคำของเจ้าตัว เขาบอกว่ารสชาติมันเหมือนไก่   เฮเลน เคลเลอร์ ชอบทาน ฮอทดอก ดูเหมือนว่าเธอจะชอบมันมาตั้งแต่เด็กเลยด้วย   วินสตัน เชอร์ชิล ชอบทาน ซุปเต่า   ชาร์ลี แชปลิน ชอบทาน สตูว์ผ้าขี้ริ้ว   กษัตริย์เฮนรี่ที่ 1 ชอบทาน ปลาแลมป์เพรย์ เป็นปลาที่คล้ายๆ ปลาไหล   อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ชอบทาน แฮมพาย เขาเป็นคนที่ไม่ชอบทานไข่ ยกเว้นเสียแต่มันจะใส่มาในแฮมพาย…

  • 13 สาเหตุการเสียชีวิตสุดแปลก ของเหล่าผู้คนในศตวรรษที่ผ่านมา ทำไมแปลกกันขนาดนี้

    13 สาเหตุการเสียชีวิตสุดแปลก ของเหล่าผู้คนในศตวรรษที่ผ่านมา ทำไมแปลกกันขนาดนี้

    เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “คนเราไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องตายในสักวัน” นี่เป็นคำพูดที่คอยเตือนใจว่าคนเรานั้นในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครหนีความตายได้นั่นเอง แต่แม้ว่าความตายจะเป็นเรื่องที่หนีไม่ได้ การตายของคนบางคนก็อาจจะประหลาดกว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง เพราะในขณะที่มีคนมากมายที่การแก่ตาย หรือตายในสนามรบ ในโลกใบนี้ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่มีสาเหตุการตายได้แปลกเสียเหลือเกิน เหมือนกับผู้คนทั้ง 13 รายต่อไปนี้   Alexander Bogdanov เสียชีวิตในปี 1928 เขาเป็นแพทย์ชาวรัสเซียที่เสียชีวิตจากการทดลองถ่ายเลือดของนักเรียนที่เป็นมาลาเรีย และวัณโรค มาใส่ตัวเอง   Alexander Woollcott เสียชีวิตในปี 1943 หัวใจวายตายกลางรายการทีวี ในขณะที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์   Boris Sagal เสียชีวิตในปี 1981 เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ผู้เสียชีวิตขณะถ่ายทำละครโทรทัศน์เรื่อง World War III เนื่องจากเดินเข้าไปโดนใบพัดที่หางของเฮลิคอปเตอร์ตัดหัว   Brandon Lee เสียชีวิตในปี 1993 ลูกชายของบรูซลี เสียชีวิตจากการโดนยิงด้วยปืนที่ใช้ในการแสดง โดยทีมงานทำผิดพลาดด้วยการใส่กระสุนจริงเข้าไปในฉากที่ตัวละครของแบรนดอน จะต้องถูกระดมยิงด้วยกระสุนปืน   R. Budd Dwyer เสียชีวิตในปี 1987 เหรัญญิกของรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ยิงตัวตายกลางงานแถลงข่าว หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการประทุษกรรม และอาจต้องถูกจำคุก…

  • รู้กับ 6 เหตุการระเบิดสุดรุนแรง ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก นอกจากที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ

    รู้กับ 6 เหตุการระเบิดสุดรุนแรง ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก นอกจากที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ

    ถ้าพูดถึงการระเบิดที่รุนแรงที่สุดบนโลก เชื่อกันว่าหลายๆ คนน่าจะนึกถึงระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าก่อนเป็นเหตุการณ์แรก ซึ่งแม้ว่าการระเบิดในครั้งนั้นจะมีความรุนแรง แต่ก็ยังมีการระเบิดอีกหลายเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงแบบนั้น ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 6 การระเบิดสุดรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นบนโลก นอกจากที่ฮิโรชิม่า กับนางาซากิ   ภัยพิบัติแห่งเท็กซัส นี่เป็นการระเบิดที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้บนเรือบรรทุกสินค้า SS Grandcamp ในปี 1947 ซึ่งทำให้แอมโมเนียมไนเตรต (ส่วนผสมของระเบิด) กว่า 2,300 ตันที่บรรทุกมาเกิดการระเบิดขึ้น แรงระเบิดที่เกิดขึ้นรุนแรงมากถึงขนาดทำให้เครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้าร่วงลงมาสองลำ แถมยังเกิดการระเบิดต่อเนื่องกันของโรงกลั่นในบริเวณใกล้เคียง และเรืออีกลำที่ขนแอมโมเนียมไนเตรตมาอีก 1,000 ตัน การระเบิดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 600 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 3,500 ราย จนกลายเป็นอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมที่เลวร้ายที่สุดของสหรัฐอเมริกาไปเลย   การระเบิดของแฮลิแฟกซ์ นี่เป็นระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยทำก่อนที่จะมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เกิดขึ้นในปี 1917 เมื่อเรือบรรทุกวัตถุระเบิดของฝรั่งเศส พุ่งชนกับเรือของเบลเยียมในท่าเรื่อแฮลิแฟกซ์จนเกิดการระเบิดขึ้น ส่งผลให้เกิดควันสูงกว่า 6,100 เมตร และเกิดคลื่นสึนามิสูง 18 เมตรเลยทีเดียว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 2,000 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 9,000 ราย   การระเบิดที่เชอร์โนบิล นี่เป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี…

  • ดาบจีน “โกวเจี้ยน” ดาบเหนือกาลเวลา คงความคมไร้สนิมแม้อยู่มากว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม

    ดาบจีน “โกวเจี้ยน” ดาบเหนือกาลเวลา คงความคมไร้สนิมแม้อยู่มากว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม

    เมื่อพูดถึงดาบในตำนานจากอดีต คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงดาบที่ไม่อาจบอกได้ว่ามีอยู่จริงไหมอย่าง เอกซ์แคลิเบอร์ และ ดาบมารมุรามาสะ หรือดาบที่แม้ว่าจะมีตัวตนให้เห็นจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้วอย่างดาบ 7 ปลาย และดูเรนดอล แต่ในบรรดาดาบจากอดีตเหล่านั้น ยังคงมีดาบอยู่เล่มหนึ่งที่ยังใช้การได้เป็นอย่างดี แม้จะมีอายุมากกว่า 2,000 ปีแล้วก็ตาม ชื่อของมันคือ “โกวเจี้ยน” ดาบที่อยู่เหนือกาลเวลา     การค้นพบ ในปี 1965 นักโบราณคดีได้สำรวจพบสุสานโบราณกว่า 50 แห่งในมณฑลหูเป่ย์ รวมทั้งวัตถุโบราณกว่า 2,000 ชิ้น ซึ่งมีโกวเจี้ยนเป็นหนึ่งในนั้น โกวเจี้ยนถูกค้นพบในกล่องไม้ข้างๆ โครงกระดูกร่างหนึ่งในสุสาน เมื่อเปิดกล่องนั้นออกทางทีมสำรวจก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น เพราะดาบที่พวกเขาพบนั้นอยู่ในสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่มีสนิมเกาะเลยแม้แต่น้อย แถมยังคมมากพอที่จะบาดมือหนึ่งในทีมสำรวจอีกด้วย     ตัวดาบ ดาบโกวเจี้ยน เป็นดาบประเภทที่เรียกกันว่า “เจี้ยน” ซึ่งมีลักษณะเป็นดาบสองคมที่มีการใช้แพร่หลายในประเทศจีนเมื่อ 2,500 ปีก่อน นอกจากนี้ดาบประเภทเจี้ยน ยังปรากฏออกมาบ่อยๆ ในเทพนิยายจีน และเป็นดาบรุ่นแรกๆ ที่มีการใช้งานในประเทศจีนอีกด้วย     ดาบโกวเจี้ยน ทำมาจากสัมฤทธิ์ซึ่งมีส่วนประกอบของทองแดงสูง ส่วนคมดาบบางและคม อีกทั้งยังมีสัดส่วนกำมะถันมากซึ่งทำให้ตัวดาบมีคุณสมบัติไม่ขึ้นสนิม โดยดาบเล่มนี้มีความยาว 55.7 เซนติเมตร ใบดาบกว้าง 4.6 เซนติเมตร…

  • ที่สุดแห่งความวินเทจกับ 17 สิ่งของสุดแปลกที่ไม่รู้คิดมาได้อย่างไรจากสมัยก่อน

    ที่สุดแห่งความวินเทจกับ 17 สิ่งของสุดแปลกที่ไม่รู้คิดมาได้อย่างไรจากสมัยก่อน

    ในปัจจุบันเราอาจจะเคยเห็นสินค้าแปลกๆ ที่ดูแล้วสงสัยว่าทำมาทำไมกันอยู่บ่อยๆ จนในบางครั้งเราอาจจะเคยคิดกันว่าคงจะมีแต่คนปัจจุบันที่จะซึ่งมีทรัพยากรอยู่มากเท่านั้น ที่จะกล้าคิดค้นอะไรสิ้นเปลืองเช่นนี้ออกมา แต่ความคิดแหวกแนวเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว จะเป็นในสมัยไหนๆ เราก็มีโอกาสที่จะได้เห็นสินค้าแปลกๆ กันอยู่ดี เหมือนกับสิ่งของแปลกๆ จากสมัยก่อน 17 ชิ้นต่อไปนี้   เริ่มกันจากกระบอกปืนแบบโค้ง สำหรับการยิงจากที่กำบังในปี 1953   กระเป๋ากันการวิ่งราวจากปี 1963 เมื่อโดนวิ่งราวโซ่จะดึงให้ด้านใต้ของกระเป๋าเปิดออก และของในกระเป๋าตกออกมานั่นเอง   ซาวน่าแบบพกพา จากปี 1962   “กรงเด็ก” จากปี 1937 เมื่อคุณต้องการพาเด็กไปอยู่นอกอพาร์ตเมนต์ แต่ไม่อยากให้พวกเขาไปเล่นบนถนน   Laryngaphone จากปี 1929 เป็นโทรศัพท์ที่จับการสั่นของคอและแก้ม เพื่อส่งข้อความที่ไม่มีเสียงรบกวน   กระดานโต้คลื่นแบบใช้มอเตอร์ จากปี 1948   ที่สูบบุหรี่กลางหิมะและฝน ในปี 1954   เจ็ตแพ็กจากปี 1961   ยางรถยนต์เรืองแสง จากปี 1961   โทรทัศน์จิ๋วจากปี 1966   เวทีบินได้ จากปี 1956 นึกถึงยูริใน Red Alert…

  • 19 งานออกแบบโคตรเทพจาก เหล่านักออกแบบรอบตัวเรา ที่บอกได้คำเดียวว่า “ล้ำ”

    19 งานออกแบบโคตรเทพจาก เหล่านักออกแบบรอบตัวเรา ที่บอกได้คำเดียวว่า “ล้ำ”

    ในโลกเรานั้นมีนักออกแบบอยู่ก็มาก บ้างก็อาจจะเก่งกาจ บ้างก็อาจจะฝีมือธรรมดาๆ เพราะใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นนักออกแบบได้ ดังนั้นนักออกแบบฝีมือดีๆ นั้น จึงถือเป็นเหล่าบุคคลที่มีค่ามากๆ ต่อบริษัทหลายๆ แห่ง เหมือนกับนักออกแบบของสุดยอดผลงานทั้ง 19 ชิ้นเหล่านี้   เก้าอี้ที่คนดื่มเบียร์นอกน่าจะคุ้นเคย   บันไดที่มีรางให้เข็นจักรยาน ตอนแรกนึกว่ามีไว้ระบายน้ำ   รถที่จะโฆษณาร้านของคุณไปในตัว   สงสัยเป็นประตูร้านขายเนื้อ   ชิงช้าลอดน้ำตก   ปลั๊กไฟแบบซ่อนได้   ร้านโดนัทในกล่อง   ชั้นวางของ หรือว่าโต๊ะ   บันไดผสมทางลาด   โฆษณามีดโกนแบบล้ำๆ   ไม้หนีบดิน?   Grill (ย่าง)   ลอกออกเป็นเปลือกเลย   ป้ายรับกราฟิก ดีไซเนอร์   ใต้ถุงสตรอว์เบอร์รี่ ขี้สงสัยจังนะ ฉันชอบคุณจริงๆ   ป้ายร้านแมคโดนัลด์ สั่งบน App สิ เดี๋ยวเราจะเอาอาหารไปส่งให้  …

  • 6 รูปหาสุดจะหาชมยากจากในอดีต พร้อมเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เบื้องหลังภาพเหล่านั้น

    6 รูปหาสุดจะหาชมยากจากในอดีต พร้อมเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์เบื้องหลังภาพเหล่านั้น

    เคยมีคำกล่าวว่า คนเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำกับในอดีต หรือเพราะอยากรู้รากเหง้าของตัวเอง นั่นเพราะสิ่งที่ผ่านไปเป็นเวลานานมักที่จะมีเสน่ห์เฉพาะตัวของมันอยู่ และคนเราก็ชอบที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตเสียด้วย ดังนั้น #เหมียวศรัทธา จึงนำเอา 6 อภิมหารูปหายากจากในอดีต พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์เบื้องหลังภาพเหล่านั้น มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน จำเอาไว้ให้ดีว่าอดีต ก็เหมือนกับบันไดให้เราก้าวไปสู่อนาคตนั่นเอง   กระสุนปืนทั้งสอง นี่เป็นภาพของกระสุนปืนสองนัดที่ปะทะกันกลางอากาศในการรบที่กัลลิโพลี (Battle of Gallipoli) ซึ่งเริ่มต้นในปี 1915 และจบลงในปี 1916 ของช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นี่เป็นการรบของฝ่ายพันธมิตรที่ประกอบไปด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยมีศัตรูเป็นประเทศตุรกี การต่อสู้ครั้งนี้จบลงด้วยการถอนกำลังของฝ่ายพันธมิตร ซึ่งทำให้นี่นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศตุรกีเลยก็ว่าได้ แม้ว่าหากมองตามความสูญเสียแล้วฝั่งตุรกีจะมีตัวเลขผู้เสียชีวิตมากกว่าก็ตาม   การทดสอบระเบิดไฮโดรเจน นี่เป็นภาพการทดสอบระเบิดที่บิกินี่อะทอลล์ โดยเป็นการทดสอบระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์  23 ลูกโดยสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1946-1958 โดยการทดลองในครั้งนี้ทำให้พื้นที่โดยรอบของเกาะไม่สามารถใช่อยู่อาศัยได้อีกต่อไป เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากซีเซียม 133   ขีปนาวุธในฟลอริดา ในช่วงเดือนตุลาคม 1962 ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ได้พุ่งขึ้นถึงขีดสุดจนทำให้ทางสหภาพโซเวียตนำขีปนาวุธจำนวนมากไปติดตั้งไว้ที่คิวบา ทางสหรัฐอเมริกาจึงได้นำระบบต่อต้านขีปนาวุธมาติดตั้งไว้ที่คีย์เวสต์ ในรัฐฟลอริดา   ระเบิดปรมาณูลูกแรก นี่คือ…

  • งานวิจัยพบ “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า” มักมีสารเคมีบางตัวในร่างกายน้อยกว่าคนทั่วไป

    งานวิจัยพบ “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า” มักมีสารเคมีบางตัวในร่างกายน้อยกว่าคนทั่วไป

    เมื่อพูดถึงโรคซึมเศร้า เชื่อว่าหลายๆ คนจะนึกถึงอาการทางจิต หรือเรื่องละเอียดอ่อนที่อธิบายได้ยาก และคงมีไม่กี่คนที่เข้าใจว่าสารเคมีในร่างกายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า     แต่แล้วในงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ก็ได้มีการค้นพบว่า คนเป็นโรคซึมเศร้ามักมีสารเคมีบางตัวในร่างกายน้อยกว่าคนทั่วไป โดยเจ้าสารเคมีตัวนี้มีชื่อว่า “Acetyl-L-Carnitine” หรือ LAC ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ช่วยนำพาไขมันเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน และมีบทบาทสำคัญในส่วนของการผลิต Acetylcholine สารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง     การวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษากลุ่มคนอายุระหว่าง 20-70 ปีในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าระดับกลาง 28 คน และป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง 43 คน และมีการเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจปริมาณ LAC ผลการวิจัยพบว่าโดยรวมแล้ว คนในกลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีปริมาณ LAC ที่น้อยกว่าคนทั่วไป อีกทั้งยิ่งมีอาการซึมเศร้ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีปริมาณ LAC ในเลือดน้อยลงไปเท่านั้น     นอกจากนี้คนที่มีประสบการณ์ความรุนแรงในวัยเด็ก หรือเคยถูกทอดทิ้ง และยากจน ก็มักจะมีระดับ LAC ที่ต่ำกว่าคนทั่วไปอีกด้วย การทดลองในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเราอาจจะสามารถช่วยเหลือผู้เป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วยการรักษาโดยใช้ LAC…

  • ลูกชายบินลาดินแต่งงานกับลูกสาวผู้นำจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด ลั่นจะล้างแค้นให้พ่อ!!

    ลูกชายบินลาดินแต่งงานกับลูกสาวผู้นำจี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด ลั่นจะล้างแค้นให้พ่อ!!

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อของ “ฮัมซา บิน ลาดิน” กันมาบ้าง เขาคือลูกชายของ “อุซามะฮ์ บิน ลาดิน” หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายอิสลามอัลกออิดะฮ์ ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ที่ตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ในวันที่ 11 กันยายน 2001 โดยล่าสุดนี้เองได้มีข่าวการแต่งงานของ ฮัมซา บิน ลาดิน กับลูกสาวของ โมฮัมเหม็ด อัททา ชายผู้เป็นผู้นำการจี้เครื่องบินเข้าชนตึกเวิลด์เทรด     นี่เป็นข่าวที่มีการยืนยันจากพี่น้องต่างสายเลือดของอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ซึ่งนอกจากข่าวการแต่งงานแล้ว ยังมีการให้สัมภาษณ์กับทางสื่อว่านาย ฮัมซา ได้เข้ารับตำแหน่งอาวุโสภายในกลุ่มอัลกออิดะฮ์ และหวังที่จะล้างแค้นให้กับพ่อ ผู้ถูกยิงเสียชีวิตโดยหน่วย “เนวี่ ซีล” ของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ฮัมซา บิน ลาดิน ยังเคยออกมาประกาศสงครามกับวอชิงตัน ลอนดอน ปารีส และเทลอาวีฟอีกด้วย   พี่น้องต่างสายเลือดของอุซามะฮ์ บิน ลาดินผู้ให้สัมภาษณ์   แต่การกระทำของฮัมซานั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นที่ยอมรับของเหล่าญาติๆ สักเท่าไหร่ เพราะนอกจากพี่น้องต่างสายเลือดของอุซามะฮ์ บิน ลาดินจะแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของเขาแล้ว แม้แต่ Alia Ghanem…

  • เครื่องบินเก่าแก่อายุ 79 ปี ตกที่สวิตเซอร์แลนด์ เสียชีวิตยกลำ ร่วม 20 คน

    เครื่องบินเก่าแก่อายุ 79 ปี ตกที่สวิตเซอร์แลนด์ เสียชีวิตยกลำ ร่วม 20 คน

    สำหรับคนที่ชื่นชอบเครื่องบินยุคเก่าแล้ว การที่ได้ไปนั่งเครื่องบินสมัยสงครามโลกดูสักครั้งอาจจะเป็นอะไรที่เย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่งเลยก็ว่าได้ เพียงแต่การนั่งเครื่องบินเก่าก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยเสมอไปก็ได้ เพราะล่าสุดนี้เองก็ได้เกิดเหตุน่าเศร้าขึ้นกับเครื่องบินเก่าเหล่านี้เสียแล้ว นี่เป็นข่าวของเครื่องบินรุ่น Junkers JU-52 ที่มีอายุการใช้งาน 79 ปี ที่ตกลงบนภูเขา Piz Segnas ที่สูงราวๆ 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในสกีรีสอร์ทของเขตเทศบาลฟลิมส์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์     การตกของเครื่องบินในครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตร่วม 20 คน โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตประกอบด้วยผู้หญิง 9 คน และผู้ชาย 11 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 42-84 ปี และเป็นผู้โดยสาร 17 คน และลูกเรืออีก 3 คน อย่างไรก็ตามยังไม่มีการระบุชื่อของผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด เครื่องบินรุ่น Junkers JU-52 เป็นเครื่องบินสัญชาติเยอรมันที่มีการใช้งานในปี 1931-1952 และสามารถบินด้วยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นเครื่องบินเก่าจึงทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ไม่มีกล่องดำ รวมทั้งก่อนที่เครื่องจะตกก็ไม่ได้มีการส่งสัญญาณแจ้งเหตุร้าย (distress call) จากเครื่องบินอีกด้วย     นั่นทำให้ทางตำรวจบอกว่าคดีที่เกิดขึ้นนี้ค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่ควรเป็น เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขาทราบเกี่ยวกับการตกในครั้งนี้…

  • 15 ภาพที่บอกได้แค่ว่าพวกเขาตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ได้เกือบอับอายเสียหน่อย

    15 ภาพที่บอกได้แค่ว่าพวกเขาตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ได้เกือบอับอายเสียหน่อย

    คนเรานั้นเกิดมาต้องเคยซุ่มซ่ามจนทำให้ตัวเองต้องอับอายกลับมาคนละครั้งสองครั้งเป็นธรรมดา เพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งอุบัติเหตุยังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่ออีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนานๆ ทีคนเราก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนอุบัติเหตุอันน่าอับอายให้เป็นอะไรที่เท่สุดๆ ได้เช่นกัน เหมือนกับคนทั้ง 15 คนต่อไปนี้ที่บอกได้แค่ว่า พวกเขาตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ได้ซุ่มซ่ามหรือเกิดอุบัติเหตุจนเกือบอับอายเสียหน่อย   ดริฟต์หมุนยกล้อแบบนี้ มันจะไปฟลุ๊กได้ยังไง จงใจล้วนๆ   เหยียบสเกตบอร์ดพลาดที่ไหน ท่านอนนี้ฝึกนานนะ   เกือบแหกโค้งอะไรล่ะ แค่ดริฟต์โชว์เท่ๆ เถอะ   ใครล้ม? ไม่มี!! โชว์เซ็กซี่เฉยๆ   เรือหายแล้วมองสาวเพลิน!! เอ๊ย ไม่ใช่!! วิดพื้นอยู่ๆ   แบบนี้เขาเรียกวิชาเอาหน้ารับบอล!! เห็นไหมได้แต้มด้วย   คนนี้เนียนจริงๆ แทบไม่เห็นว่าเกือบเฟล   ฟลุ๊กอะไร น้องหมากะให้ลงห่วงอยู่แล้ว   พี่เขาเล็งรางข้างๆ ตั้งแต่แรกแล้วเหอะ   นั้นนี้ไม่รู้เรียกเกือบเฟลได้ไหม… ดูแล้วเท่เกิ๊นนนน   เฟลอะไร!? ไม่มี วางแผนมาแล้วทั้งนั้น   เขาเรียกว่าใช้การเด้งให้เป็นประโยชน์เหอะ   ก็บอกแล้วว่าท่านั่งแบบนี้เขาฝึกกันมา  …

  • 24 ดาราคนดัง ที่ต้องบอกว่าแต่ก่อนหน้าตาต่างไปจากปัจจุบันมากเสียจนนึกว่าคนละคนเลย

    24 ดาราคนดัง ที่ต้องบอกว่าแต่ก่อนหน้าตาต่างไปจากปัจจุบันมากเสียจนนึกว่าคนละคนเลย

    ว่ากันว่าคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าจะมีนิสัยในปัจจุบันแบบไหน ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้มาก่อน และก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเช่นกัน นั่นทำให้หลายๆ ครั้งเมื่อคนเราหันกลับมาดูภาพในอดีต พวกเขาก็มักจะพบว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากเหลือเกิน เหมือนดังเช่นเหล่าดาราคนดัง 24 คนต่อไปนี้ ที่ต้องบอกว่าแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว   Keanu Reeves สมัยยังหนุ่มในปี 1984   Michael Jackson กับน้องกำลังชงชา   Peter Dinklage ในยุค 80 ตอนนั้นเขากำลังเรียนมหาวิทยาลัย   Jason Momoa ในปี 1999 ใสได้อีก   Elon Musk ตอนอายุ 17   Jennifer Lopez ในปี 1992   Leonardo DiCaprio และ Kate Moss ในปี 1993   Uma Thurman ตอนถ่ายภาพให้โปสเตอร์ Pulp…

  • 3 สุดยอดจดหมายในตำนานของคนมีชื่อเสียงในอดีต ที่อาจเปลี่ยนโลกนี้ได้ทั้งใบ

    3 สุดยอดจดหมายในตำนานของคนมีชื่อเสียงในอดีต ที่อาจเปลี่ยนโลกนี้ได้ทั้งใบ

    ในปัจจุบันการเขียนจดหมายนั้นลดลงจากแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด เนื่องด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราแทบจะไม่ได้เห็นคนที่เต็มใจมานั่งเขียนจดหมายไปหยอดตู้ไปรษณีย์อีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามคำพูดที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์นั้นมักจะถูกจารึกไว้ด้วยน้ำหมึก เพราะสิ่งที่ดูจะไม่จำเป็นในปัจจุบันนั้น ในสมัยก่อนเป็นสิ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหมายเหลือเกิน เฉกเช่นสุดยอดจดหมายในตำนานของคนมีชื่อเสียงในอดีตที่อาจเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบเหล่านี้   จดหมายจากคานธีถึงฮิตเลอร์   นี่เป็นจดหมายที่ถูกเขียนขึ้นโดย มหาตมา คานธีเมื่อปี 1939 โดยจ่าหน้าซองไปถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ความว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นชายผู้เดียวในโลกที่จะหยุดยั้งสงครามที่จะเปลี่ยนมนุษยชาติไปสู่ความป่าเถื่อนได้ ท่านจะฟังคำของผู้ที่รังเกียจการทำสงครามไร้ประโยชน์อย่างถึงที่สุดหรือไม่” โชคร้ายที่จดหมายฉบับนี้ไม่เคยถูกส่งออกไปจากประเทศ เนื่องจากถูกทางอังกฤษหยุดเอาไว้ก่อน และสุดท้ายฮิตเลอร์ก็โจมตีโปแลนด์จนนำไปสู่สงครามอยู่ดี ไม่แน่นะว่าหากจดหมายฉบับนี้ถูกส่งออกมา ประวัติศาสตร์อาจจะต่างไปจากที่เรารู้มากก็เป็นได้     จดหมายจากไอน์สไตน์ ไปยัง โรสเวลต์   ในเดือนสิงหาคมปี 1939 พลังงานปรมาณูยังเป็นเรื่องที่ไม่แพร่หลายมากนัก อย่างไรก็ตามนักฟิสิกส์นามลีโอ ซิลาร์ด ได้รับรู้ถึงความก้าวหน้าของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เขาจึงได้ขอให้อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ส่งจดหมายไปเตือนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแฟรงคลิน ดี โรสเวลต์ ไอน์สไตน์เห็นด้วยและส่งจดหมายเตือนที่ว่า “ยูเรเนียมอาจจะกลายเป็นแหล่งพลังงานใหม่” และ “ฮิตเลอร์อาจสามารถพัฒนาระเบิดชนิดใหม่ที่ทรงพลังมาก” ซึ่งส่งผลให้ประธานาธิบดีโรสเวลต์ที่เห็นจดหมายก่อตั้ง “โครงการแมนฮัตตัน” ที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในเวลาต่อมา     จดหมายจากคุกของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์   นี่เป็นจดหมายที่เขียนขึ้นหลังจากที่เขาถูกจับขังไว้ในคุกที่เบอร์มิงแฮม หลังจากที่มีการประท้วงในปี 1963 โดยตัวจดหมายต้นฉบับนั้นถูกเขียนไว้บนเศษกระดาษทุกชนิดที่เขาหาได้…

  • บทสัมภาษณ์ Simon Pegg ตรงจากญี่ปุ่น เขารู้สึกอย่างไรกับ Mission: Impossible Fallout

    บทสัมภาษณ์ Simon Pegg ตรงจากญี่ปุ่น เขารู้สึกอย่างไรกับ Mission: Impossible Fallout

    ในวงการภาพยนตร์ของประเทศญี่ปุ่นจะมีเรื่องแปลกๆ อยู่เล็กน้อย นั่นคือหนังต่างประเทศนั้นต่อให้ยิ่งใหญ่รายได้ดีขนาดไหน ก็จะฉายช้ากว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Mission: Impossible Fallout จะเพิ่งได้ฤกษ์เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นไปในวันที่ 3 สิงหาคม 2018 นี้เอง ช้ากว่าประเทศอื่นราวๆ หนึ่งอาทิตย์     อย่างไรก็ตามการที่ภาพยนตร์เปิดตัวช้ามันไม่ได้มีแต่ข้อเสีย เพราะในการเปิดตัวภาพยนตร์ของญี่ปุ่นนั้นได้มีการเชิญนักแสดงของ Mission: Impossible Fallout ทั้ง Tom Cruise, Ving Rhames และ Simon Pegg มาร่วมงานเปิดตัวด้วยนั่นเอง     โดยเฉพาะในครั้งนี้ ทางนักข่าวได้มีโอกาสพาตัว Simon Pegg มาทำการสัมภาษณ์อย่างใกล้ชิดเลยอีกด้วย โดยผลการสัมภาษณ์ก็ออกมาดังต่อไปนี้เลย     นักข่าว: คุณได้แสดงในหนังมาหลายเรื่อง และหนังเหล่านั้นก็คงไม่เป็นอย่างที่มันเป็นหากขาดคุณไป คุณคิดว่า Mission: Impossible ต่างไปจากหนังเรื่องอื่นอย่างไร? Pegg: เอาง่ายๆ นะ Mission: Impossible เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนดูที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรื่องแบบ Star Trek ที่ดูได้ทุกวัย ดังนั้นระหว่างที่แสดงผมจึงต้องจำเอาไว้ว่าผมกำลังแสดงให้คนดูแบบไหนชม นักข่าว: อย่างนี้นี่เอง!! ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ที่เราจะเห็น Benji Dunn…

  • ดราม่ารื้อถอน “ศาลเจ้าคินโช” ต้นแบบในหนัง “ปอมโปโกะ” ของ Ghibli  จนแฟนๆ ลงชื่อค้าน!!

    ดราม่ารื้อถอน “ศาลเจ้าคินโช” ต้นแบบในหนัง “ปอมโปโกะ” ของ Ghibli จนแฟนๆ ลงชื่อค้าน!!

    สำหรับคนที่ติดตามผลงานของสตูดิโอจิบลิมากันอย่างยาวนาน อาจจะเคยได้ยินชื่อของภาพยนตร์อนิเมชั่นที่เคยออกมาในปี 1994 อย่าง Pom Poko หรือ “ปอมโปโกะ ทานูกิป่วนโลก” กันมาบ้าง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล่าทานูกิที่พยายามหยุดยั้งมนุษย์ที่จะทำลายผืนป่าบ้านเกิดของพวกมัน ด้วยเล่ห์กลต่างๆ นานา นั่นเอง     โดยในเรื่อง จะมีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีต้นแบบมาจากศาลเจ้าคินโช ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 1956 ตั้งอยู่ในเมืองโคมาซึชิมะ จังหวัดโทกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่องราวในครั้งนี้ เพราะศาลเจ้าคินโชในเวลานี้ กำลังจะถูกรื้อถอนเพื่อทำเป็นลานจอดรถเสีย จากแผนการพัฒนาพื้นที่     แน่นอนว่าหลังจากที่เรื่องที่เกิดขึ้นรู้ไปถึงหูของแฟนๆ สตูดิโอจิบลิในพื้นที่ ก็ทำให้เกิดการออกมาคัดค้านการรื้อถอนในครั้งนี้ของผู้คนจำนวนมาก เกิดเป็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อปกป้องศาลคินโชขึ้นมา เป้าหมายของพวกเขานั้น ไม่ใช่การต่อต้านการพัฒนาพื้นที่ เพียงแต่ขอให้รักษาศาลเจ้าอันเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้เอาไว้ โดยที่มีการออกรวบรวมรายชื่อทั้งในรูปแบบลายลักษณ์อักษรและการร่วมลงรายชื่อออนไลน์     ผลการตอบรับของการลงรายชื่อในครั้งนี้เรียกได้ว่าได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีเลย เพราะภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน พวกเขาก็สามารถรวบรวมรายชื่อต่อต้านการรื้อถอนได้มากกว่า 10,000 รายชื่อแล้ว ทั้งนี้ได้มีการยื่นรายชื่อทั้งหมดให้แก่นายกเทศมนตรี และประธานสภาเทศบาลเมืองโคมะซึชิมะไปในวันที่ 31 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา โดยที่เหล่าแฟนๆ หวังกันเป็นอย่างยิ่งว่าการกระทำของพวกเขาจะช่วยปกป้องศาลเจ้าแห่งนี้ไว้ได้     อย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับศาลเจ้าแห่งนี้ยังคงเหลืออยู่อีกข้อหนึ่ง…

  • เล่าเรื่องของคำโกหก ชาวเน็ตแบ่งบัน 7 เรื่องโกหกที่งี่เง่าที่สุดที่ตัวเองเคยเชื่อในอดีต

    เล่าเรื่องของคำโกหก ชาวเน็ตแบ่งบัน 7 เรื่องโกหกที่งี่เง่าที่สุดที่ตัวเองเคยเชื่อในอดีต

    ในสมัยที่ยังเป็นเด็ก เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยมีเรื่องที่โดนหลอกกันคนละเรื่องสองเรื่อง ไม่ว่าคนที่หลอกจะเป็นพ่อแม่ หรือว่าเพื่อนๆ มันจะต้องมีสักเรื่องที่เรากลับมาสงสัยกันตอนโตว่าในสมัยนั้นตรูเชื่อไปได้ยังไง และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ใช้ reddit นามว่า SileiVola ตัดสินใจถามชาวเน็ตว่า “อะไรคือเรื่องโกหกที่งี่เง่าที่สุดที่คุณเคยเชื่อ” ทำให้มีคนที่เข้ามาเล่าเรื่องของตัวเองกันเป็นจำนวนมาก และผลที่ออกมานั้นแน่นอนว่าสุดยอด   เรื่องที่หนึ่ง เก็บน้ำแข็ง มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันไปเจอกับหยาดน้ำแข็งอันใหญ่ที่สวยมากๆ ฉันเลยหักมันมาโชว์ให้พ่อดู พ่อก็เลยบอกให้ฉันเอามันไปเก็บใกล้ๆ ไฟ มันจะได้ไม่เสีย…. คือตอนนั้นฉันยังแค่สามขวบอ่ะ โดยคุณ SometimesTheresSun   เรื่องที่สอง กินได้ไหม? ตอนอยู่ป.1 ผมขี้อายแล้วก็มีเพื่อนแค่ประมาณ 1 คน ตอนนั้นเองก็มีเพื่อนในห้องเดินมาบอกผมว่าจะกินขนมของเขาก็ได้นะ แน่นอนว่าผมดีใจมากแล้วก็กินขนมจนหมด แต่กลายเป็นว่ามีเด็กอีกคนเดินเข้ามาและเริ่มตามหาขนมของเขา จากนั้นเจ้าเด็กคนแรกก็ชี้มาที่ผมแล้วบอกว่าผมเป็นคนกินไป ผมยังอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เลยและน่าจะอายไปอีกนานเลย เด็กเปรต… โดยคุณ j_ag1739   เรื่องที่สาม มือเย็น ตอนที่ผม 5 ขวบพี่สาวเคยหลอกผมว่าเราสามารถบอกได้ว่าใครตายไปแล้วด้วยการจับมือ ถ้ามือเย็นก็เท่ากับว่าตายไปแล้ว ต่อมาครอบครัวของเราขับรถไปเที่ยวกัน พี่สาวของผมเลยนั่งจับกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะแกล้งตายอยู่ที่เบาะหลังโดยมีผมนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความงงผมเลยจับมือเธอดูแล้วพบว่ามือเธอเย็นมาก หลังจากนั้นผมก็สติแตกเหมือนคนบ้าเลย โดย MayneMan08   เรื่องที่สี่ พาเวอร์เรนเจอร์…

  • สำหรับท่านชาย (และผู้หญิงที่สนใจ) ว่ากันด้วย 16+2 โถปัสสาวะสุดประหลาดจากทั่วโลก

    สำหรับท่านชาย (และผู้หญิงที่สนใจ) ว่ากันด้วย 16+2 โถปัสสาวะสุดประหลาดจากทั่วโลก

    สำหรับคนที่เข้าห้องน้ำชายกันเป็นประจำแล้ว เชื่อว่าโถปัสสาวะคงเป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่จนชินตา เพราะเจ้าสิ่งนี้มันมีอยู่ในห้องน้ำสาธารณะแทบทุกทีเลยจริงๆ แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้เคยเห็นโถปัสสาวะมามากขนาดไหน ก็ใช่ว่าจะเห็นโถปัสสาวะประหลาดๆ มาครบแล้วแน่ๆ ไม่เชื่อก็ดูที่ภาพ 16+2 ภาพต่อไปนี้สิ เพราะนี่คือโถปัสสาวะสุดประหลาดจากทั่วโลกนั่นเอง   เริ่มกันที่อะไรที่ไม่แปลกมากแบบ โถปัสสาวะมุมห้องน้ำ   ต่อกันด้วยโถปัสสาวะในนอร์เวย์ รูปร่างยังพอเข้าใจ ว่าแต่ทำไมต้องมีกระจก?   โถปัสสาวะในการ์เด้น เซนเตอร์แห่งหนึ่ง เข้ากับธีมต้นไม้   โถปัสสาวะของผู้หญิง… มันใช้ยังไงหว่า?   โถปัสสาวะในรัสเซีย นี่ถึงกับต้องส่องเลยเหรอ คือมันหนาวจนหดเหลือจิ๋วเดียวเหรอ?   โถปัสสาวะแบบกันเท้าเปื้อน ความคิดดี!!   โถปัสสาวะแบบมีที่กั้น แต่ที่กั้นดันมีรู…   โถปัสสาวะแบบสายลับ ลับเกินไปไหม   โถปัสสาวะติดทีวีฉาย Star Wars ไม่แปลกใจถ้าจะมีคนฉี่เป็นชั่วโมง   โถปัสสาวะที่มีมินิเกมให้เล่น เตะบอลไหม?   โถปัสสาวะที่ปิดใช้งาน เนื่องจากห้องน้ำห้องนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องน้ำรวมชั่วคราว   โถปัสสาวะแบบมีที่หนุนหัว เมาๆ มามีหลับอ่ะ   โถปัสสาวะแบบเครื่องดนตรี ฉี่เสร็จก็เอาไปเป่าต่อ…  …

  • ญี่ปุ่นทำแบบสอบถาม ผู้หญิงคนหนึ่งจะยอม “สะกดรอย” คนที่ตัวเองชอบมากขนาดไหน

    ญี่ปุ่นทำแบบสอบถาม ผู้หญิงคนหนึ่งจะยอม “สะกดรอย” คนที่ตัวเองชอบมากขนาดไหน

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินคำว่าสตอล์คเกอร์ (Stalker) กันมาบ้าง ไม่ว่าจะจากในหนัง การ์ตูน หรือว่าเกม โดยสตอล์คเกอร์ในที่นี้มักจะหมายความถึง นักสะกดรอย หรือ พวกโรคจิตสะกดรอย ตามแต่ระดับของการสะกดรอย ซึ่งว่ากันว่าหากเราแอบชอบใครบางคนแล้ว เราก็มักจะเผลอเป็นสตอล์คเกอร์ของเขาไปได้ไม่ยากเลย     นั่นทำให้เว็บไซต์ญี่ปุ่น “Aikatu” ได้ทำแบบสอบถามไปยังกลุ่มผู้หญิงช่วงอายุ 20 และ 30 ปีในเว็บไซต์ว่า พวกเธอจะยอมทำอะไรขนาดไหนเพื่อให้ได้รับชัยชนะในเกมแห่งความรัก โดยในแบบสอบถามนี้เองก็ได้ถามว่า “คุณเคยทำสิ่งที่เหมือนกับสตอล์คเกอร์กับคนที่คุณชอบหรือไม่?” และจะให้ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 700 คนเลือก “ระดับ” ความเป็นสตอล์คเกอร์ของตัวเอง ตามคำบรรยายที่กำหนดไว้ และได้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้   ระดับ 0 : ไม่เคยทำอะไรเหมือนสตอล์คเกอร์กับคนที่ชอบเลย (มีคนตอบข้อนี้ 13.8%)   ระดับ 1 : เคยแอบดูโซเชียลมีเดียของเขา (19.8%)   ระดับ 2 : เคยแอบดูโซเชียลมีเดียของเพื่อน และแฟนเก่าเขา (12.7%)   ระดับ 3 :…

  • 22 ภาพความงดงามที่ไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูด สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าคำพูดร้อยๆ พันๆ

    22 ภาพความงดงามที่ไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูด สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าคำพูดร้อยๆ พันๆ

    คนเราในปัจจุบันรักที่จะเก็บความทรงจำของตัวเองไว้ให้มากที่สุดในรูปแบบของรูปภาพเหล่านี้ อาจจะเพราะการถ่ายภาพนั้นสามารถจัดองค์ประกอบต่างๆ ได้ง่ายและสมบูรณ์ แถมยังสื่อออกมาได้เข้าใจได้ง่ายกว่าคำพูดก็เป็นได้ นั่นทำให้มีภาพมากมายสามารถที่สื่อออกมาถึงความงดงามที่ไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูด หรือสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าคำพูดเป็นร้อยๆ พันๆ คำ เหมือนดังเช่นรูปภาพต่อไปนี้   บ้านที่พบว่ามีคนเดินลัดพื้นที่บ้านบ่อยๆ เจ้าของเลยสร้างทางให้เสียเลย   การขอแต่งงานของนักสัก คุณจะแต่งงานกับผมไหม?   ความดีใจที่ไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความ แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความหมายอีกมากเช่นกัน   การประท้วงของคนงานในอิตาลี เรียบร้อยสุดๆ   นักบวชพร้อมกระเป๋า Nirvana Nirvana แปลว่านิพพานได้   วันหนาวๆ ที่นอร์เวย์   การรอคอย   EVIL (ความชั่วร้าย) แต่เขาก็ให้เงินชายไร้บ้าน   สองหัวดีกว่าหัวเดียว   เหล่าผู้คนทุกศาสนาโผล่มาที่สุเหร่าในอินเดียนาเพื่อให้การสนับสนุน หลังจากที่มีคนเข้ามาทำสัญลักษณ์นาซีทิ้งไว้   ความห่วงใยของเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์   แบ่งปัน   การต้อนรับนักฟุตบอลกลับประเทศ ที่โครเอเชีย   ความพยายามที่จะมีชีวิต   อย่าไปเลยนะ   สายฟ้ากับรุ้ง   การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด เดี๋ยวนะ หัวหอมใหญ่เท่าเมลอน…

  • ร้านอาหารให้พนักงานคลานกับพื้น “เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”  รับน้องกันมาเพื่อสิ่งนี้สินะ!?

    ร้านอาหารให้พนักงานคลานกับพื้น “เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ” รับน้องกันมาเพื่อสิ่งนี้สินะ!?

    ในสมัยที่เรียนเราอาจจะเคยได้ยินพวกรุ่นพี่พูดกับเราว่า “ชีวิตการทำงานมันลำบากกว่านี้อีกนะ” กันมาบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ พอเรามาทำงานมันกลับไม่ได้ลำบากอะไรมากมายอย่างที่รุ่นพี่เคยพูดสักเท่าไหร่ ไม่แน่นะว่าอาจจะเพราะพวกเราไม่ได้ทำงานในร้านอาหารต่อไปนี้ก็เป็นได้ ในขณะนี้โลกโซเชียลมีเดียที่ประเทศจีนกำลังมีวิดีโออันหนึ่งเป็นที่พูดคุยกันของคนในประเทศ โดยเจ้าวิดีโอที่ว่านี้เป็นภาพของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งคลานเข่าไปกับพื้นราวกับเป็นงานรับน้องโหดๆ ที่ไหนสักแห่ง   วิดีโอคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก Anecdote news    วิดีโอคลิปอันนี้ถูกถ่ายมาจากในสวนสาธารณะ ทางตอนเหนือของ มณฑลเฮยหลงเจียง ประเทศจีน ซึ่งจากรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ เหล่าคนที่คลานเข่าอยู่ในภาพนั้นเป็นพนักงานของร้านอาหารที่ไม่มีการระบุชื่อแห่งหนึ่ง พวกเขาถูกบอกให้คลานเข่าไปในสวนสาธารณะ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมาก ที่แม้ว่าจะมีคนพยายามเข้าไปบอกให้หยุดแต่ก็ไม่มีผล   พนักงานร้านอาหารถูกบอกให้คลานเข่า ท่ามกลางประชาชนที่ผ่านไปมา   แม้ว่าจะมีคนพยายามเข้าไปห้ามแต่ก็ไม่มีผล   ดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นคนสั่งให้มีการคลานเข่าในครั้งนี้เกิดขึ้น จะเป็นผู้จัดการของร้านอาหารนั่นเอง โดยเมื่อกลุ่มคนที่เห็นเหตุการณ์เข้าไปถามเหตุผลของคำสั่ง ตัวผู้จัดการก็บอกว่านี่เป็นการ “ออกกำลังกาย” เพื่อ “สร้างแรงบันดาลใจ” ให้แก่พนักงาน และพนักงานที่มาร่วมคลานเข่าทั้งหมดล้วนแต่มาด้วยความสมัครใจทั้งนั้น     ถึงอย่างนั้นจากการสังเกตของคนรอบๆ พวกเขาเห็นพนักงานหญิงบางคนมีอาการสะอึกสะอื้นระหว่างการคลาน ทำให้เชื่อกันว่าพนักงานที่มาคลานนั้น ไม่ได้มาด้วยความสมัครใจอย่างที่ผู้จัดการกล่าว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีร้านอาหารสั่งให้พนักงานคลานในประเทศจีน เพราะในปี 2016 เองก็มีบริษัทที่สั่งให้พนักงานคลานกับถนนเพราะทำยอดไม่ถึงมาแล้ว โดยในตอนนั้นเองก็มีการอ้างว่าทำไปเพื่อเป็นแรงบันดาลใจของพนักงานเช่นกัน   การคลานเข่าในปี 2016   อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็จบลงไปโดยไม่มีการแจ้งความกับทางตำรวจ อีกทั้งสาเหตุจริงๆ ที่เหล่าพนักงานต้องมาคลานเข่าในสวนสาธารณะ…

  • เบื้องหลังความตายของนักรักบี้วัย 12 โดนสั่งหยุดเล่นเกม เลยแกล้งแขวนคอ…แต่พลาด

    เบื้องหลังความตายของนักรักบี้วัย 12 โดนสั่งหยุดเล่นเกม เลยแกล้งแขวนคอ…แต่พลาด

    เมื่อช่วงปีที่ผ่านมาได้มีข่าวการเสียชีวิตที่น่าเศร้าของแดน บีล นักรักบี้มากฝีมือวัย 12 ขวบผู้ซึ่งแขวนคอฆ่าตัวตายอย่างมีปริศนาในห้องนอนของเขา เรื่องในครั้งนั้นนำไปสู่การที่ผู้เป็นพ่อของเขาได้นำเรื่องราวของลูกไปแชร์ลงในโลกโซเชียล และทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความเสียใจกันเป็นจำนวนมาก บวกกับการตามหาความจริงถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายของแดน จนกลายเป็นคดีที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก     แต่แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งไปกว่าเดิม เพราะเมื่อหลังจากที่มีการสืบสวนหาสาเหตุการฆ่าตัวตายกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดทางตำรวจก็มีผลการสืบสวนออกมาว่า แดน บีล ได้ทำการแขวนคอตัวเองเพื่อที่จะแกล้งคุณพ่อ เป็นการเอาคืนหลังจากที่ถูกสั่งให้หยุดเล่นเกมนั่นเอง โดยในวันที่เกิดเหตุเด็กหนุ่มได้เล่นเกมบนเครื่อง Playstation เป็นเวลาประมาณ 45 นาที ก่อนที่จะถูกพ่อของเขาบอกให้หยุดเล่นเกม แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมทำตามที่คุณพ่อบอก และเล่นเกมต่อไปอีกเป็นเวลา 30 นาที   จากแหล่งข่าว เกมโปรดของแดนได้แก่ FIFA และ Battlefield   นั่นทำให้พ่อของเขาต้องเดินกลับมาสั่งให้ลูกชายหยุดเล่นเกมอีกครั้ง ซึ่งทางตำรวจเชื่อว่าทำให้เด็กหนุ่มไม่พอใจ เขาเดินขึ้นไปที่ห้องนอนของตนที่อยู่บนชั้นสองและเริ่มวางแผนแกล้งพ่อของเขา ด้วยการแกล้งทำเป็นแขวนคอ อย่างไรก็ตามการที่แดนขึ้นไปบนห้องถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในบ้าน ทุกๆ คนจึงคิดว่าเขาเพียงแค่ขึ้นไปทำการบ้านจนไม่ได้มีใครสนใจมาก แม้แต่คุณพ่อที่มีปากเสียงกับลูกก็คิดว่าเขาควรจะปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวไปก่อนเช่นกัน     กว่าที่คนในบ้านจะรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติก็ตอนที่เด็กหนุ่มไม่ได้ลงมาดูรายการโปรดในตอนค่ำวันนั้น จนทำให้ผู้เป็นพ่อตัดสินใจขึ้นไปตามเด็กหนุ่มที่ห้องและพบกับภาพที่น่าเศร้าเข้า ทางตำรวจเชื่อว่าเด็กหนุ่มน่าจะเตรียมการแกล้งผิดพลาดจนนำไปสู่การที่ตนเองโดนแขวนคอจริงๆ เนื่องจากก่อนเสียชีวิตหนึ่งวัน แดนได้นำใบขออนุญาตผู้ปกครองไปแข่งรักบี้ ให้คุณแม่เซ็นชื่ออนุญาต ซึ่งคนที่คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่น่าจะทำเช่นนั้น แดนถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้น แต่สุดท้ายทีมแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของเขาไว้ได้ และประกาศว่าเด็กหนุ่มเสียชีวิตในเช้าวันต่อมา…

  • ที่มาของ “บุฟเฟต์” รูปแบบการบริการสุดคุ้มที่หลายๆ คน กินกันประจำ แต่ไม่เคยรู้มันมาจากไหน

    ที่มาของ “บุฟเฟต์” รูปแบบการบริการสุดคุ้มที่หลายๆ คน กินกันประจำ แต่ไม่เคยรู้มันมาจากไหน

    เชื่อว่าในสมัยนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักอาหารแบบ “บุฟเฟต์” อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหมูกระทะ หมูจุ่ม หรือบุฟเฟต์ตามโรงแรม มันเป็นคำที่คนไทยใช้เรียกอาหารแบบที่สามารถทานไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะอิ่ม (ภาษาอังกฤษบางทีก็เรียก All You Can Eat)     แน่นอนว่าอาหารที่จ่ายแค่ครั้งเดียวทานได้เรื่อยๆ นั้นมีหรือว่าจะหลุดรอดการไปเยี่ยมเยือนของเหล่าผู้คนที่หิวโหย จนหลายๆ ครั้งก็อาจจะมีการกินกันจนไขมันออกข้างตัวเลยก็มี ว่าแต่เคยสงสัยกันไหมว่า ไอ้เจ้าอาหารบุฟเฟต์เนี่ยมันมาจากไหนกัน? การกินอาหารแบบบุฟเฟต์เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศสวีเดนในช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่ 16  ซึ่งในยุคนั้นที่สวีเดนกำลังมีชื่อเสียงเรื่องชาวไวกิง สุดยอดนักรบแห่งท้องทะเลนั่นเอง     เมื่อใดที่ชาวไวกิงขึ้นฝั่งหลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จ พวกเขาก็จะมีการจัดทำอาหารแบบ Brännvinsbord ซึ่งเป็นการนำอาหารที่มีหลายๆ ชนิดมาวางรวมกันบนโต๊ะ และทานกันหลายๆ คน โดยให้แต่ละคนเลือกกินตามใจชอบ ในปริมาณที่ไม่จำกัด การกินอาหารแบบ Brännvinsbord ถูกชาวฝรั่งเศสรับไปใช้จนเป็นที่โด่งดังขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยได้มีการใช้ตู้เก็บช้อนส้อมในการนำอาหารมาเพิ่มบนโต๊ะเพิ่ม ซึ่งเจ้าตู้เก็บช้อนส้อมนี้ถูกเรียกกันว่า “Buffet” หรือ “บุฟเฟต์” และกลายเป็นชื่อเรียกของวิถีการทานอาหารที่ทานได้ไม่อั้นอย่างที่เรารู้จักกันนั่นเอง     ในปัจจุบันกินอาหารแบบบุฟเฟต์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสมัยก่อนไปค่อนข้างมาก ทั้งประเภทอาหารที่ใช้ วิธีการปรุงอาหาร หรือแม้กระทั่งการรับประทานที่ต้องจ่ายเงิน (เพราะในสมัยก่อนบุฟเฟต์ จะมีลักษณะคล้ายกับงานเลี้ยงเพื่อแสดงความร่ำรวยมากกว่า)    …

  • 16 ภาพสุดต่างของพ่อ VS แม่ การเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างเหมือนมาจากดาวคนละดวง

    16 ภาพสุดต่างของพ่อ VS แม่ การเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างเหมือนมาจากดาวคนละดวง

    ในการใช้ชีวิตกับพ่อแม่ของเรา มีอยู่บ่อยๆ ที่พวกเขาจะทำตัวเหมือนมาจากดาวคนละดวงกัน คนเป็นแม่บางครั้งก็หวงลูกเหลือเกิน ส่วนคนเป็นพ่อก็ปล่อยลูกแบบสุดๆ ถ้าจะให้เปรียบเทียบพ่อแม่ส่วนใหญ่แล้วก็คงคล้ายๆ กับคำพูดที่ว่า ถ้าอยากให้ลูกปลอดภัยให้ฝากไว้กับแม่ แต่ถ้าอยากให้ลูกสนุกสนานให้ฝากไว้กับพ่อ ไม่เชื่อก็ลองดู 16 ภาพต่อไปนี้สิ แล้วจะรู้ว่าพ่อกับแม่เลี้ยงลูกต่างกันขนาดไหน   อินสตาแกรมแม่(ซ้าย) ปะทะ อินสตาแกรมพ่อ(ขวา)   ผมเวลาพ่อมาหา ปะทะ ผมเวลาแม่มา   เมื่อผมจะไปเยี่ยมพ่อแม่แต่ไปช้ากว่ากำหนดการ แม่: เป็นอะไรรึเปล่า? พ่อ: โยเกิร์ตของพ่อล่ะ?   เมื่อเราเลี้ยงแมว แม่ (พูดกับแมว): นี่ไก่ของเธอนะ ส่วนอันนี้โยเกิร์ต กินเยอะๆ นะที่รัก พ่อ (พูดกับแมว): ว่าไงเจ้าเพนกวิน มาบินกันเถอะ ว่าแล้วพ่อก็จับแมวโยนขึ้นเพดาน   เมื่ออยู่กับเพื่อนผู้ชาย แม่: พวกลูกๆ น่ารักมากเลย พ่อ: เฮ้ย!! ปล่อยลูกสาวตรูซะ   เมื่อเล่นต่อเลโก้ที่บ้าน แม่ VS พ่อ   การห่อของขวัญ แม่ VS…

  • 15+2 ภาพเอกซเรย์ที่ใช้หาสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย แต่กลายเป็นตัวภาพนั่นล่ะที่แปลกที่สุด

    15+2 ภาพเอกซเรย์ที่ใช้หาสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย แต่กลายเป็นตัวภาพนั่นล่ะที่แปลกที่สุด

    เอกซเรย์ เป็นการตรวจวินิจฉัย ที่มีที่มาจากชื่อของรังสีที่ใช้ โดยในที่นี้คือรังสี X ซึ่งมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ช่วยให้สามารถฉายภาพของกระดูก และอวัยวะภายใน ออกมาในรูปแบบภาพที่มีระดับความเข้มต่างกันไปได้ การเอกซเรย์ส่วนใหญ่มักใช้ในการหาสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย แต่ในบางครั้งตัวภาพเอกซเรย์ก็ดันกลายเป็นสิ่งที่แปลกที่สุดเสียเอง เหมือนกับภาพ 17 ภาพต่อไปนี้   เริ่มกันจากอะไรธรรมดาๆ อย่างลูกสาวไม่ยอมเอกซเรย์ ถ้าไม่เอาของเล่นเข้าไปด้วย   ภาพเอกซเรย์งูหลังจากทานอาหาร   ภาพเอกซเรย์ของชายผู้มีเล็บเท้า 6 เล็บ   นี่มัน!! การกระโจนเข้ามาในภาพแบบล้ำๆ   ภาพเอกซเรย์เต่าที่กำลังท้อง   ภาพเอกซเรย์เท้าของผู้หญิงขณะใส่ส้นสูง   ภาพเอกซเรย์เท้าของม้า   ภาพเอกซเรย์แมวที่กำลังตั้งท้อง   ภาพเอกซเรย์ของเด็กที่กินเกล็ดหิมะเข้าไป คิดว่าน่าจะเป็นเกล็ดหิมะที่เป็นของเล่นทำเลียนแบบ   อันนี้กินแหวนแต่งงานเข้าไป   รายนี้กลืนกิ๊บติดผมเข้าไป   ภาพเอกซเรย์ของปลาทอง   อันนี้ภาพเอกซเรย์ของเด็กแฝด แบบตัวติดกันเสียด้วย   ทายซินี่ตัวอะไร คำตอบคือแพรรีด็อก (บางทีก็เรียกหมีแพรรี)   และอันนี้ภาพเอกซเรย์อันแรกของโลก ถ่ายเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 1895…

  • ผู้ว่านาโกย่าเอาอีกแล้ว!! คอสเพลย์เป็นคิริโตะจาก SAO จนกลายเป็นกระแสในเน็ต

    ผู้ว่านาโกย่าเอาอีกแล้ว!! คอสเพลย์เป็นคิริโตะจาก SAO จนกลายเป็นกระแสในเน็ต

    ในทุกๆ ปีที่จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่นจะมีการจัดงาน “World Cosplay Summit” งานคอสเพลย์สุดยิ่งใหญ่ที่รวมเอาเหล่าคอสเพลเยอร์จากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นนักคอสเพลย์ชื่อดัง หรือแม้กระทั่งทีมแข่งจากนานาชาติที่แข่งขันกันเพื่อตำแหน่งแชมคอสเพลย์ประจำปี งานขนาดใหญ่เช่นนี้แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดไอจิเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งทำให้มีคนใหญ่คนโตมากมายเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน     แต่ในบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นคงไม่มีใครที่เด่นไปกว่าผู้ว่าเมืองนาโกย่าอย่าง ฮิเดอากิ โอมุระอีกแล้วเพราะแทนที่จะมาร่วมงานในชุดสูทผูกไทตามสไตล์คนใหญ่คนโต นายฮิเดอากิกลับเข้ารวมงานในครั้งนี้ ด้วยการแต่งคอสเพลย์เสียอย่างนั้น     ฮิเดอากิ โอมุระมาในชุด “นักดาบดำ” หรือ “คิริโตะ” เกมเมอร์มากความสามารถ ตัวเอกจากอนิเมะ และไลท์โนเวลเรื่อง “Sword Art Online” นั่นเอง แถมนายฮิเดอากิยังได้ทำการแชร์รูปดังกล่าวลงบนทวิตเตอร์หลักของเขาโดยตรงเลยอีกด้วย นั่นทำให้ชื่อเสียงของนายฮิเดอากิกลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาในโลกออนไลน์ โดยที่มีเหล่าแฟนๆ ของเรื่อง Sword Art Online จำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นกับภาพของนายฮิเดอากิ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบตลกๆ ก็ตาม   บางคนก็บอกว่า มีคิริโตะแล้วจะไม่มีอาสึนะได้อย่างไร   บางคนก็บอกว่าต้องแบบนี้สิถึงจะเหมือนคิริโตะ   มีแม้กระทั่งคนที่ตัดเอาภาพหน้านายฮิเดอากิไปแปะลงบนภาพคิริโตะเลยด้วย   อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายฮิเดอากิแต่งคอสเพลย์ออกมาให้เห็นตามสื่อ เพราะก่อนหน้านี้เองเขาก็เคยแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครอื่นๆ มาแล้วมากมาย แถมยังมีจุดขายในสมัยที่ยังหาเสียงอยู่ที่ความรักในการ์ตูนอีกด้วย   ฮิเดอากิเคยแต่งเป็นฮิจิคาตะ โทชิโซ จากกินทามะ…

  • คุณพ่อโมโห!! เอาคืนหนุ่มโรคจิต หลังลูกสาววัย 15 โดนแอบถ่ายใต้กระโปรง

    คุณพ่อโมโห!! เอาคืนหนุ่มโรคจิต หลังลูกสาววัย 15 โดนแอบถ่ายใต้กระโปรง

    สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะรักจะห่วงลูกสาวของตัวเอง ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหากคนที่เป็นพ่อรู้ว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังถูกแอบถ่ายใต้กระโปรงอยู่ นี่เป็นเรื่องของคุณอิสมาเอล ดูอาร์เต ชายผู้ซึ่งเดินทางไปชอปปิงกับภรรยา และลูกสาววัย 15 ปีที่ห้างสรรพสินค้า Target ในเมืองไซเปรสส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา     คุณอิสมาเอลสังเกตเห็นว่ามีชายมีพิรุธคนหนึ่งเดินตามลูกสาวของเขา ก่อนที่จะใช้มือถือถ่ายใต้กระโปรงของเธอ อย่างต่อเนื่องหลายภาพ   ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก Daily Mail   จากในวิดีโอที่จับภาพไว้ได้ด้วยกล้อง CCTV จะเห็นว่าคนร้ายพยายามก้มตัวไปถ่ายภาพใต้กระโปรงของเด็กสาวด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่คุณอิสมาเอลเข้าไปเตะมือถือออกจากมือของชายต้องสงสัยและพยายามจับตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้ แต่คนร้ายก็หนีไปได้ในที่สุด     อย่างไรก็ตามคุณอิสมาเอลที่วิ่งตามคนร้ายออกจากห้างไปหลังจากนั้นก็สามารถถ่ายเลขทะเบียนรถของคนร้ายไว้ได้และนำไปสู่การจับกุมตัวคนร้ายในที่สุด จากรายงานของทางตำรวจ คนร้ายในครั้งนี้มีชื่อว่า ฆอร์เก เอ อิบาร์รา จูเนียร์ วัย 29 ปีผู้ซึ่งเคยก่อเหตุประเภทนี้มาแล้วหลายครั้งในที่ห้าง Target ในเมืองอื่น โดยในเบื้องต้นนายฆอร์เกได้ถูกควบคุมตัวไว้โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว โดยมีการวางเงินประกันอยู่ที่ 25,000 เหรียญสหรัฐ (หรือราวๆ 830,000 บาท) ในข้อหาการบุกรุกความเป็นส่วนตัวนั่นเอง   ฆอร์เก เอ อิบาร์รา จูเนียร์ ผู้ก่อเหตุ   ที่มา mirror, 10news, dailymail, news

  • ตำรวจญี่ปุ่นงง!! หลังมีคดีประหลาด คนขว้างปลาหมึกใส่กำแพงคอนโดซ้ำๆ ร่วม 1 ชั่วโมง

    ตำรวจญี่ปุ่นงง!! หลังมีคดีประหลาด คนขว้างปลาหมึกใส่กำแพงคอนโดซ้ำๆ ร่วม 1 ชั่วโมง

    ชาวบ้านในประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อกันว่ารักในความเงียบสงบกันมาก เนื่องจากบริเวณที่อยู่อาศัยของที่นั่นค่อนข้างที่จะคับแคบทำให้การส่งเสียงดังอาจจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ชาวบ้านจะทำการแจ้งตำรวจ เมื่อมีเสียงประหลาดดังอย่างต่อเนื่องกลางดึก นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2018 ในเวลาประมาณตี 2 ที่เมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น     ในตอนนั้นมีผู้พักอาศัยในเขตชูโอคนหนึ่ง ไม่สามารถนอนหลับได้เนื่องจากเขาได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างกระทบกับกำแพงคอนโดมิเนียมที่เขาอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมง เมื่อเสียงกระทบกำแพงสงบลงเขาก็ได้ทำการแจ้งตำรวจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่าเสียงในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพหรือคดีเลวร้ายก็เป็นได้ แต่เมื่อตำรวจที่ได้รับแจ้งเหตุเดินทางมายังที่เกิดเหตุ พวกเขากลับไม่พบบุคคลต้องสงสัยในพื้นที่เลย นอกไปเสียจากซากปลาหมึกดิบๆ ที่มีสภาพเละเทะกระจายเป็นชิ้นๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากการที่มีมันถูกขว้างใส่กำแพงซ้ำไปซ้ำมา หรืออาจจะมีการหั่นมาก่อนเพื่อให้ขว้างใส่กำแพงได้ง่ายขึ้น   ปลาหมึกที่ถูกนำมาใช้เป็น หมึกสาย (Octopus) นั่นเอง   แม้ว่าจะยังไม่มีการระบุเป้าหมายของผู้ก่อเหตุในครั้งนี้อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ในเบื้องต้นเชื่อว่านี่เป็นการกระทำเพื่อก่อกวนชาวบ้านในพื้นที่ เนื่องจากการขว้างปาของกระทบกำแพงนั้นจะทำให้เกิดเสียงที่ค่อนข้างดังภายในตัวอาคาร เป็นไปได้ว่าที่คนร้ายตัดสินใจใช้ปลาหมึกในการก่อเหตุครั้งนี้อาจจะมาจากราคาของปลาหมึกหนึ่งตัวถูกกว่าการซื้อไข่มาขว้างเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงค่อนข้างมาก และสามารถปาซ้ำได้หลายครั้ง     ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานของผู้ต้องสงสัยที่เป็นผู้ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามทางตำรวจได้ออกดำเนินการสืบสวนหาความจริงของเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อย และเชื่อว่าจะสามารถระบุขอบเขตของผู้ต้องสงสัยได้ในเร็วๆ นี้   ที่มา soranews24, nicovideo, jin115

  • ชม 16 ฉากหลุดๆ ที่ไม่สมบูรณ์จากในหนัง ที่ตลกมากจนน่าจะจับใส่ลงไปในหนังด้วยเสียเลย

    ชม 16 ฉากหลุดๆ ที่ไม่สมบูรณ์จากในหนัง ที่ตลกมากจนน่าจะจับใส่ลงไปในหนังด้วยเสียเลย

    ในการถ่ายทำภาพยนตร์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถถ่ายทำหนังทั้งเรื่องโดยที่ไม่มีการแสดงผิดคิว จึงต้องมีการตัดฉากถ่ายทำที่ไม่สมบูรณ์หลายฉากทิ้งไป กว่าที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดมาให้ผู้ชมได้ชมกัน แต่ถึงกระนั้นในบรรดาฉากที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง ก็ยังมีหลายๆ ฉากที่มีเสน่ห์ในตัวเองมาก จนถึงขั้นที่ว่าถ้าเอามาใส่ในหนังได้ก็คงตลกน่าดู ดังนั้นวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชม 16 ฉากหลุดๆ ที่ไม่สมบูรณ์จากในหนัง ที่ตลกมากจนน่าจะจับใส่ลงไปในหนังด้วยเสียเลย   เริ่มกันที่เรื่อง The Avengers (2012) Chris Hemsworth จับค้อนของธอร์พลาดในฉากบู๊   Blade Runner (1982) Sean Young พบว่าปืนของตัวเองยิงไม่ออก   Juarez (1939) Bette Davis ดันไปเกี่ยวกับกระดุมของ Walter Kingsfords จนแยกกันไม่ออก   Back to the Future II (1989) Michael J Fox ทำอุปกรณ์การแสดงพัง   Step Brothers (2008) Will Ferrell…

  • ญี่ปุ่นเปิดตัวผลิตภัณฑ์รักษ์โลก “โฟมล้างก้น” Momo Awawa หวังลดการใช้ทิชชู่หลังเสร็จกิจ

    ญี่ปุ่นเปิดตัวผลิตภัณฑ์รักษ์โลก “โฟมล้างก้น” Momo Awawa หวังลดการใช้ทิชชู่หลังเสร็จกิจ

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับห้องน้ำขนาดไหน เพราะนอกจากวัฒนธรรมการอาบน้ำแล้ว พวกเขายังเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องระบบสุขภัณฑ์อันทันสมัยอีกด้วย และล่าสุดนี้เองประเทศญี่ปุ่นก็ยกระดับความสะดวกสบายของการใช้ห้องน้ำในประเทศขึ้นไปอีกขั้น เมื่อมีการออกสินค้าชื่อ Momo Awawa ซึ่งเป็น “Oshiri Awa Soap” หรือ “โฟมล้างก้น” นั่นเอง     แน่นอนว่าเจ้าโฟมตัวนี้ทำออกมาเพื่อใช้ในการล้างก้นสมชื่อ โดยวิธีใช้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่ฉีดเจ้าโฟมที่ว่าใส่กระดาษชำระ และเช็ดก้นไปตามปกติ ซึ่งเจ้าโฟมนี้จะช่วยให้คุณสามารถเช็คเอาสิ่งสกปรกที่ตกค้างหลังการทำธุระออกไปได้อย่างง่ายดาย ต่างกับการใช้กระดาษชำระเฉยๆ ที่อาจทำให้เหลือคราบตกค้าง และสร้างปัญหาให้กับคุณในภายหลัง     นี่เป็นสินค้าที่เกิดขึ้นเนื่องจากผลสำรวจที่พบว่าคนญี่ปุ่นจำนวนมากเลือกที่จะไม่ใช้ระบบฉีดน้ำอัตโนมัติของชักโครก โดยเฉพาะในห้องน้ำสาธารณะ เพราะกังวลเรื่องความสะอาดของสุขภัณฑ์ แถมเจ้าโฟมตัวนี้ยังช่วยลดปัญหาคนใช้ทิชชู่เปียก ที่หากทิ้งลงชักโครกจะทำให้เกิดอาการท่อตัน รวมทั้งยังลดปริมาณกระดาษชำระที่คนมักจะให้ในการเช็ดก้นลงไปได้อีกด้วย     นอกจากนี้ Momo Awawa ยังแตกต่างจากสบู่ทั่วๆ ไปที่อาจจะทำลายสมดุลค่า PH ของผิว (เพราะสบู่มีความเป็นด่าง) เพราะเจ้าโฟมตัวนี้ทำจากวัสดุธรรมชาติเช่น บลูเบอร์รี่ โหระพาป่า และแทนนินจากลูกพลับ ที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งเข้ากับลักษณ์ทั่วไปของผิวมนุษย์ ทำให้โฟมตัวนี้สามารถใช้ได้ทั้งในทั้งเด็ก และผู้สูงอายุ     Momo Awawa ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นในการระดมทุนในญี่ปุ่น โดยสามารถระดมทุนไปแล้วกว่า 4.4…

  • พระญี่ปุ่นทนไม่ไหว ตอบรีวิวเหล่านักท่องเที่ยว “วัดเป็นที่ฝึกตน ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว”

    พระญี่ปุ่นทนไม่ไหว ตอบรีวิวเหล่านักท่องเที่ยว “วัดเป็นที่ฝึกตน ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว”

    ปกติเวลาที่ไปวัดคนเราก็มักจะมีเป้าหมายที่การไปปฏิบัติธรรม แต่สำหรับประเทศที่วัดกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม การไปวัดของเหล่านักท่องเที่ยวอาจจะมีความหมายที่แตกต่างไปจากการไปปฏิบัติธรรมก็เป็นได้ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวัดเซคิโชอิน วัดพุทธที่ตั้งอยู่ที่ภูเขาโคยะ จังหวัดวากายามะ ซึ่งเป็นวัดที่ได้ขึ้นเป็น มรดกโลกในปี 2004 โดยวัดเซคิโชอินนั้นได้รับคะแนนในเว็บไซต์ Booking.com อยู่ที่ประมาณ 7.1 คะแนน และได้รับคะแนน สามดาวใน TripAdvisor     นี่เป็นคะแนนที่เกิดจากนักท่องเที่ยวที่ไม่พอใจในการมาพักที่วัดแห่งนี้ อย่างไรก็ตามนักบวช “แดเนียล คิมูระ” กลับมองว่านักท่องเที่ยวนั้นมองวัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากจนเกินไป จนทนไม่ไหวต้องเข้าไปตอบรีวิวที่ให้คะแนนติดลบว่า   แดเนียล คิมูระนักบวชจากวัดเซคิโชอิน   รีวิว: พนักงานเย็นชา อาหารก็น้อยนิดแถมยังเตรียมมาแบบขอไปที เซคิโชอิน: ทำไมเราต้องทำตัวเป็นมิตรด้วย? ลืมไปแล้วเหลือว่าคนเข้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมนายถึงมีมุมมองกับวัดเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้   รีวิว: เรามาที่นี่ในฤดูหนาว และทุกๆ ที่นอกจากห้องนอนก็หนาวสุดๆ แถมอาหารมังสวิรัติที่นี่ก็ไม่เหมือนกับของที่ฉันเคยทานมาเลยสักนิด แปลกชะมัด เซคิโชอิน: ก็แน่ล่ะ มันเป็นอาหารสงฆ์ของญี่ปุ่นนี่หว่า ไอ้พวกไร้การศึกษา   รีวิว: รู้สึกเหมือนอยู่โรงแรมมากกว่าวัดจริงๆ เซคิโชอิน: ไม่รู้นะว่านายหวังอะไรอยู่ แต่ที่นี่คือวัดจริงๆ ไม่ใช่โรงแรม และเราก็ไม่ได้มีหน้าที่มารับผิดชอบทำตามความหวังที่ไม่ตั้งอยู่บนความจริงของนายหรอกนะ   รีวิว: คนเยอะสุดๆ รู้สึกเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า เซคิโชอิน:…

  • ชาวเน็ตฟิลิปปินส์โมโห ตัวแทนประเทศใช้ภาษาอังกฤษ ในคลิปการนับเงินของ 70 ประเทศ

    ชาวเน็ตฟิลิปปินส์โมโห ตัวแทนประเทศใช้ภาษาอังกฤษ ในคลิปการนับเงินของ 70 ประเทศ

    แต่ละประเทศในโลกเขานับเงินกันแบบไหนนะ? เชื่อว่าความคิดนี้คือจุดเริ่มต้นของวิดีโอที่อัปโหลดโดยเพจเฟซบุ๊ก “Many People, Many Places” นี่เป็นวิดีโอของคน 70 คนจาก 70 เชื้อชาติที่พากันออกมานำเสนอการนับเงินในรูปแบบของประเทศตัวเอง แม้ว่าวิดีโอจะออกมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2018 แล้วก็ตาม แต่วิดีโอที่ว่านี้กลับเพิ่งจะกลายเป็นกระแสในฟิลิปปินส์เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง   วิดีโอการนับเงินจาก Many People, Many Places   โดยในวิดีโอนั้น ผู้เข้าร่วมแต่ละเชื้อชาติจะโชว์การนับเงินในรูปแบบท่าทางที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในประเทศของตนเอง โดยส่วนใหญ่จะมีการนับแบบออกเสียงเป็นภาษาของตัวเอง ยกเว้นแต่บางประเทศเท่านั้นที่จะออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษ และนั่นคือปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะเมื่อถึงคิวของหญิงสาวที่เป็นตัวแทนของชาวฟิลิปปินส์ แทนที่เธอจะนับเงินเป็นภาษาฟิลิปปินส์ เธอกลับนับเงินเป็นภาษาอังกฤษแทน     แม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่สองของชาวฟิลิปปินส์ก็ตาม แต่สำหรับชาวเน็ตหลายๆ คนแล้วพวกเขามองว่าการนับเลขเป็นภาษาอังกฤษนั้น “ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของชาวฟิลิปปินส์” และขอให้มีการถ่ายทำวิดีโอที่ว่าอีกครั้ง   “เจ้าของเพจ คุณช่วยหาผู้หญิงคนอื่นมาเป็นตัวแทนของประเทศฟิลิปปินส์ได้ไหม? คนนี้เธอพังสุดๆ เลย”   คุณช่วยเปลี่ยนตัวแทนของประเทศฟิลิปปินส์ได้ไหม? เธอไม่รู้วิธีนับด้วยภาษาฟิลิปปินส์ นี่เธอเป็นคนฟิลิปปินส์จริงๆ ดิ   “ขอแนะนำให้เปลี่ยนตัวแทนของประเทศฟิลิปปินส์เถอะ เธอไม่ใช่ตัวแทนที่ดีของประเทศฟิลิปปินส์เลย”   อย่างไรก็ตามยังไม่มีการออกมาใช้ข้อมูลใดๆ ของทางเพจ…

  • “โลแกน พอล” บอกคลิปหัวเราะศพ ไม่ได้ไม่เคารพ แค่ไม่ทันคิด งานนี้ชาวเน็ตเดือด

    “โลแกน พอล” บอกคลิปหัวเราะศพ ไม่ได้ไม่เคารพ แค่ไม่ทันคิด งานนี้ชาวเน็ตเดือด

    สำหรับคนที่ติดตามข่าวในช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของ โลแกน พอล (Logan Paul) ยูทูบเบอร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ผู้ที่มาพร้อมกับทั้งชื่อเสียง และชื่อเสียมากมายในเวลาเดียวกัน ล่าสุดนี้เองโลแกน พอลได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการของ เคซีย์ ไนสแตท ยูทูบเบอร์ชื่อดังอีกคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาได้พูดคุยกันเกี่ยวกับวิดีโอที่เคยเป็นกระแสร้อนมาก่อนอย่างวิดีโอที่ป่าอาโอกิกาฮาระนั่นเอง   วิดีโอการให้สัมภาษณ์ของโลแกน พอล    ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เคซีย์ได้ถาม โลแกนว่าเขาเคยคิดหรือไม่ว่าวิดีโอที่เขาโพสต์มันเป็นการ “เฉยเมยต่อวัฒนธรรม” โดยได้มีการยกตัวอย่างการที่โลแกน พอลเคยไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นโดยแต่งกายด้วยชุดปิกาจู และกิโมโน หรือการเอาโปเกบอลไปขว้างใส่คนที่ผ่านไปมา โดย “การเฉยเมยต่อวัฒนธรรม” หรือ “Culturally Insensitive” หมายถึง ความไม่ตระหนักต่อความแตกต่างของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ค่านิยม หรืออุดมการณ์ จนทำสิ่งที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสมสำหรับวัฒนธรรมนั้นๆ     การกระทำเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนในโลกออนไลน์มองว่าโลแกน พอลทำลงไปโดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ และอาจนำมาสู่ปัญหาความไม่พอใจได้ ดั่งที่เคยเกิดขึ้นตอนที่โลแกนหัวเราะใส่ศพที่ป่าอาโอกิกาฮาระ ซึ่งโลแกนได้ตอบคำถามของเคซีย์ด้วยการถามกลับว่าทำไมสิ่งที่อยู่ในวิดีโอของเขาจึงถูกนับว่าเฉยเมยต่อวัฒนธรรม โดยเขาบอกว่า “การที่ผมกระโดดจากสะพานในอิตาลี มันถือว่าเฉยเมยต่อวัฒนธรรมรึเปล่าล่ะ? การที่พูดว่า ‘มามามีย่า’ มันถือว่าเฉยเมยต่อวัฒนธรรมรึเปล่า?”     โลแกนยังบอกอีกว่าเขานั้นไม่ได้ ‘เฉยเมยต่อวัฒนธรรม’ เพียงแต่ ‘ขาดความรู้สึก’…

  • หนุ่มฝรั่งตบสาว หลังพูดลวนลามแล้วเธอไม่เล่นด้วย กลายเป็นประเด็นร้อนทั่วโลกออนไลน์!!

    หนุ่มฝรั่งตบสาว หลังพูดลวนลามแล้วเธอไม่เล่นด้วย กลายเป็นประเด็นร้อนทั่วโลกออนไลน์!!

    กลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมออนไลน์ในประเทศฝรั่งเศสไปเสียแล้ว เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Marie Laguerre ได้ทำการโพสต์วิดีโอภาพจากกล้อง CCTV ของร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงปารีส   คลิปวิดีโอต้นฉบับจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Marie Laguerre   จากในคลิปจะเห็นว่ามีหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงคนหนึ่ง ถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงโดยชายที่เดินเข้ามาหาเธอ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2018ในขณะที่ มารี ลาแกร์นักศึกษาวัย 22 ปีกำลังเดินทางกลับไปยังที่พักของเธอ โดยระหว่างที่เดินผ่านร้านกาแฟ เธอก็พบกับชายคนหนึ่งที่เริ่มพูดแซวเธออย่างอนาจารและหยาบคาย รวมทั้งทำเสียงที่มี “นัยทางเพศ” อีกด้วย มารี เล่าว่า “มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโดนแซวแบบนี้ ความไม่พอใจมันสะสมมานานจนฉันโมโหและพูดออกไปว่า ‘หุบปาก’ เบาๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยิน”   ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่มุมด้านซ้ายของกล้อง   ชายหนุ่มโมโหเธอมากจนขว้างที่เขี่ยบุหรี่ใส่เธอแต่ก็พลาด ก่อนที่พวกเขาจะทะเลาะกันไปสักพักและหญิงสาวถูกตบอย่างที่เห็นในคลิป เหล่าลูกค้าที่อยู่ในเหตุการณ์ตำหนิผู้ชายคนดังกล่าวอย่างหนัก ก่อนที่มารีจะตัดสินใจเข้าไปแจ้งตำรวจในเวลาต่อมา การเผยแพร่วิดีโอในครั้งนี้สร้างกระแสร้อนในสังคมออนไลน์ของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก โดยมีผู้เข้าไปชมวิดีโอที่ว่านี้แล้วกว่าหนึ่งล้านครั้ง และนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อการกระทำของชายหนุ่มในคลิป   ชายหนุ่มตบเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาวอย่างรุนแรง   นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากมีการออกกฎหมายการปรับเงินจากกรณีการล่วงละเมิดบนท้องถนนพอดี ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน แต่กฎหมายนี้จะมีผลทำให้การล่วงละเมิดบนท้องถนน เช่น การผิวปากใส่คนที่ผ่านไปมา หรือขอเบอร์โทรศัพท์ อาจถูกปรับได้สูงสุดถึง 750 ยูโร (ราวๆ…

  • โครงงาน SUN Project  “ภาพสะท้อนของสังคม” ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง จากฝีมือชาวญี่ปุ่น

    โครงงาน SUN Project “ภาพสะท้อนของสังคม” ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง จากฝีมือชาวญี่ปุ่น

    Mimi N นี่คือนามแฝงของศิลปินชาวญี่ปุ่นที่กำลังโด่งดังในโลกโซเชียลมีเดีย หนึ่งในสมาชิกของ “SUN Project” โครงงานที่มีเป้าหมายในการทำภาพสะท้อนสังคม ด้วยรูปแบบผลงานที่มีจุดเด่นอยู่ที่บรรยากาศที่หนักอึ้ง และธีมเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม ภาพวาดของเธอนั้นว่ากันว่าเปี่ยมไปด้วยพลัง และสะท้อนซึ่งความบีบคั้นของอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้คนส่วนมากไม่กล้าพอที่จะยอมรับ ไม่ใช่เพียงแต่กับคนอื่น แต่แม้กระทั่งกลับตัวเอง และนี่คือหนึ่งในตัวอย่างภาพของ SUN Project ภาพสะท้อนของสังคม และความละเอียดอ่อนของพฤติกรรมมนุษย์   ทุกสิ่งที่คุณพูด   ภาพลวงตา   ปลอบโยนฉันที   ผัดวันประกันพรุ่ง   เนื้อคู่   จงชินซะ   หลักคำสอน   ความล่มจม   การเปรียบเทียบ   ตัณหา   น้ำตา   Heartstrings (เอ็นรั้งหัวใจ)   Regret (ความเสียดาย)   ริษยา   พูดกับตัวเอง   น่าอัศจรรย์   สองบุคลิก   I need…

  • ชาวเน็ตญี่ปุ่นเห็นใจ บุรุษไปรษณีย์ต้องส่งของกลางแดดร้อน เลยหาทางมอบของขวัญให้

    ชาวเน็ตญี่ปุ่นเห็นใจ บุรุษไปรษณีย์ต้องส่งของกลางแดดร้อน เลยหาทางมอบของขวัญให้

    ช่วงนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังประสบกับปัญหาอากาศร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยตัวเลขอุณหภูมิที่พุ่งขึ้นไปกว่า 30 องศา (ซึ่งถือว่าร้อนมากๆ สำหรับที่นั่น) และส่งผลให้มีคนป่วยจากอากาศร้อนกันไปแล้วเป็นจำนวนมาก จริงอยู่ว่าชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนจะทำงานอยู่ในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ในบรรดาคนทำงานที่นั่นเองก็ยังมีกลุ่มคนที่ต้องทนสู้กับอากาศร้อนอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาคือเหล่าบุรุษไปรษณีย์นั่นเอง เพราะเนื่องด้วยรูปแบบการทำงานที่ต้องเดินทางส่งของอยู่ตลอด ทำให้พวกเขาต้องเจอกับอากาศร้อนอย่างต่อเนื่องในเวลาที่แดดส่องรุนแรงที่สุดของวัน     นั่นทำให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า @yumemityounosh อยากที่จะทำอะไรสักอย่างให้กับบุรุษไปรษณีย์เหล่านี้บ้าง บวกกับที่นึกขึ้นได้ว่าเขามีกล่องวางพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งหากไม่มีคนอยู่บ้านบุรุษไปรษณีย์จะเปิดกล่องเอาของใส่ไว้ให้ ว่าแล้ว @yumemityounosh จึงจัดแจงนำเอาลูกอมเกลือสำหรับทดแทนเกลือที่ร่างกายเสียไปกับเหงื่อ และแผ่นเจลทำความเย็นใส่ไว้ในกล่องวางพัสดุพร้อมกับโน้ตหนึ่งแผ่น     บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า “ขอขอบคุณที่คุณค่อยเอาพัสดุมาส่งให้เสมอ แม้ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน เชิญหยิบลูกอมเกลือไปเท่าที่ต้องการเลย แล้วก็กรุณาเอาแผ่นเจลทำความเย็นไปติดที่หลังคอด้วย ส่วนซองใส่ลูกอมทิ้งไว้ในกล่องเลยก็ได้ ผมรู้ว่างานคุณหนักแต่เรามาช่วยกันดูแลสุขภาพดีกว่า” การกระทำของ @yumemityounosh ได้ใจเหล่าผู้ใช้ทวิตเตอร์เป็นอย่างมาก มีคนมากมายเข้าไปชื่นชมและแสดงความเห็นกับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก “มันเป็นเรื่องที่ดีมากเลยที่คุณใจดีกับคนอื่นๆ ที่ทำงานในโลกอันโหดร้ายใบนี้ ยิ่งในยุคที่ลูกค้าส่วนใหญ่เอาแต่บ่นแบบนี้แล้วด้วย ขอบคุณมากจริงๆ” “ในฐานะคนส่งของ ผมเชื่อว่าบุรุษไปรษณีย์จะต้องดีใจกับสิ่งที่คุณทำแน่ๆ มันจะเป็นอะไรที่ช่วยพวกเราได้มากจริงๆ หากมีคนทำแบบคุณเยอะๆ”     ในเวลาที่ญี่ปุ่นอากาศร้อนขึ้นทุกวันแบบในปัจจุบันนี้คนอย่าง @yumemityounosh อาจจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงวันร้อนๆ วันหนึ่งให้กลายเป็นวันที่น่าอยู่ขึ้นมาก็เป็นได้ และเชื่อเถอะว่าเหล่าบุรุษไปรษณีย์จะต้องรู้สึกขอบคุณเขามากๆ เป็นแน่   ที่มา soranews24 และผู้ใช้ทวิตเตอร์ @yumemityounosh

  • แทบไม่เชื่อหูตัวเอง!! ภรรยาพบสามีวัย 26 ของตัวเอง เล่นชู้กับหญิงชราวัย 72!?

    แทบไม่เชื่อหูตัวเอง!! ภรรยาพบสามีวัย 26 ของตัวเอง เล่นชู้กับหญิงชราวัย 72!?

    บางครั้งที่เรามีเรื่องสงสัย หลายๆ คนก็อาจจะหันไปพึ่งพานักสืบให้มาสืบเรื่องเหล่านั้นให้ ไม่ว่าจะเป็นการหาคนหาย การตามหาสัตว์เลี้ยง และที่ขาดไม่ได้เลยคือการสืบเรื่องการนอกใจ แต่ในหลายๆ ครั้งการจ้างนักสืบก็อาจนำมาซึ่งความจริงที่ไม่คาดฝันด้วยเช่นกัน เหมือนกับเรื่องราวที่หญิงสาววัย 24 ปีผู้อาศัยอยู่ในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษต้องพบหลังจากที่เธอจ้างนักสืบจาก “Carter Harris Group Investigation” (CHGI) เพื่อให้สืบเรื่องสามีวัย 26 ปีของเธอนั่นเอง     นี่เป็นการว่าจ้างที่เกิดขึ้นหลังจากที่หญิงสาวรู้สึกว่าสามีของเธอมีนิสัยที่เปลี่ยนไปหลังจากที่แต่งงานกันได้ 1 ปี และหายออกไปจากบ้านโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้เธอนั้นสงสัยว่าสามีจะมีชู้นั่นเอง อย่างไรก็ตามผลการสืบที่ออกมานั้นทำให้คุณภรรยาถึงกับแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่สามีของเธอจะคบชู้นอกใจ แต่ผู้หญิงที่เป็นชู้กับสามีเธอนั้นกลับเป็นหญิงชราวัย 72 ปีอีกด้วย เธอบอกว่า เธอทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ จนได้เห็นภาพวิดีโอที่นักสืบถ่ายมา     มันเป็นภาพหญิงชรานอนอยู่กับสามีของเธอบนเตียงในโรงแรม Premier Inn และที่สำคัญจากข้อมูลของทางนักสืบ หญิงชราที่แก่กว่าสามีของเธอเกือบๆ 46 ปีนั้น ยังมีหลานแล้วถึง 4 คน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพบกันจากในเว็บหาคู่ที่สามีของเธอไปสมัครไว้ และเริ่มคบชู้กันตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตามยังไม่อาจทราบได้ว่าหญิงชราคนดังกล่าวรู้หรือไม่ว่าหนุ่มที่คบด้วยมีภรรยาแล้ว     ในปัจจุบันฝั่งภรรยายังอยู่ในการตัดสินใจว่าจะฟ้องหย่ากับสามีของเธอดีหรือไม่ อย่างไรก็ตามนี่อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาในชีวิตเลยก็เป็นได้  …

  • คุณแม่ลูกสองวัย 36 เสียชีวิต ระหว่างไปเที่ยวกรีซ เพราะทานไก่ดิบเข้าไปเพียงแค่หนึ่งคำ

    คุณแม่ลูกสองวัย 36 เสียชีวิต ระหว่างไปเที่ยวกรีซ เพราะทานไก่ดิบเข้าไปเพียงแค่หนึ่งคำ

    เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินโทษของการทานเนื้อไก่ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงสุกกันมาบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ออกมาอ้างว่าตัวเองกินไก่ดิบประจำไม่เห็นเป็นไรอยู่ดี ดังนั้นข่าวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะเป็นอุทาหรณ์อันดีสำหรับคนที่ชอบทานไก่ที่ปรุงไม่สุกก็เป็นได้ เพราะล่าสุดที่ประเทศกรีซได้มีข่าวคุณแม่ลูกสองคนหนึ่ง ต้องมาเสียชีวิตด้วยอาการอาหารเป็นพิษ เพียงเพราะเธอทานไก่ดิบไปประมาณหนึ่งคำ     ผู้เสียชีวิตมีชื่อว่า นาตาลี รอว์นสเลย์ เธอเป็นคุณแม่ลูกสองวัย 36 ปีชาวอังกฤษ ผู้เดินทางมายังเกาะคอร์ฟู ประเทศกรีซกับครอบครัวเพื่อพักผ่อนในวันหยุด นาตาลีมีอาการอาหารเป็นพิษหลังจากที่เผลอทานไก่ดิบในร้านอาหารของโรงแรมไปหนึ่งคำ แต่หลังจากเวลาผ่านไป 36 ชั่วโมงอาการที่เธอเป็นก็แย่ลงจนถึงขั้นที่มีเลือดไหลออกจากทุกช่องเปิดทั่วร่าง   คอร์ฟู ประเทศกรีซ สถานที่เสียชีวิตของ นาตาลี รอว์นสเลย์   นาตาลีถูกส่งเข้าโรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้นแต่สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตจากการเกิดเลือดอุดตันเกิดขึ้นทั่วร่างกายจนหลอดเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ จากการวินิจฉัย นาตาลีนั้นมีภาวะกระเพาะและลำไส้อักเสบ และน่าจะเสียชีวิตเนื่องจากทานเนื้อไก่ดิบที่มีเชื้อโรคอีเชอริเซีย โคไลซึ่งเป็นเชื้อโรคที่มักทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และมีไข้   โรงพยาบาลที่นาตาลีถูกนำตัวส่ง   ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อ ศาสตราจารย์เซบาสเตียน ลูคัส เปิดเผยว่าสาเหตุที่หญิงสาวผู้ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์คนนี้เสียชีวิตเพียงเพราะอาการอาหารเป็นพิษน่าจะมาจากกรรมพันธุ์ของเธอ กรรมพันธุ์นี้ทำให้อาการที่เกิดจากเชื้อโรคอีเชอริเซีย โคไลรุนแรงขึ้นจนถึงชีวิต และในปีที่ผ่านมาก็มีผู้เสียชีวิตด้วยอาการเช่นนี้ในโรงพยาบาลแล้วอย่างน้อยๆ สามราย   ภาพของเชื้ออีเชอริเซีย โคไล   เพราะหากปล่อยให้เชื้ออีเชอริเซีย โคไลเข้าไปในร่างกายได้ สิ่งที่ทีมแพทย์จะทำได้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้ก็มีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว   ดังนั้นทางที่ดีขอให้หลีกเลี่ยงเนื้อไก่ดิบให้มากที่สุดจะดีกว่า   ที่มา…

  • กลุ่มวัยรุ่นเสเพล รุมรังแกหญิงพิการ ก่อนโพสท่าถ่ายรูป จุดกระแสร้อนของชาวเน็ตอังกฤษ

    กลุ่มวัยรุ่นเสเพล รุมรังแกหญิงพิการ ก่อนโพสท่าถ่ายรูป จุดกระแสร้อนของชาวเน็ตอังกฤษ

    กลายเป็นเรื่องที่ร้อนไปทั่วโลกโซเชียลของประเทศอังกฤษไปแล้ว เมื่อมีภาพของกลุ่มวัยรุ่นสี่คนรุมรังแกหญิงพิการไม่มีทางสู้ นี่เป็นภาพของกลุ่มเด็กวัยรุ่นสี่คนที่กำลังโพสท่าให้กล้องอย่างภาคภูมิใจ หลังจากที่ละเลงแป้งทำอาหารและไข่ดิบอีกจำนวนหนึ่ง ลงใส่ศีรษะของหญิงพิการคนหนึ่งที่บิวรี เซนต์ เอ็ดมุนด์ ในซัฟฟอล์ก ประเทศอังกฤษ     เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกาตามเวลาในท้องถิ่น โดยจากคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ เด็กกลุ่มดังกล่าวได้ออกก่อความวุ่นวายในเมืองมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ดูเหมือนว่าเด็กๆ เหล่านี้มักจะมารวมตัวกันที่สวนสาธารณะและเที่ยวสร้างความวุ่นวายให้คนที่ผ่านไปมา โดยจากคำบอกเล่าของหญิงชราในพื้นที่ บางครั้งพวกเด็กๆ ก็มีการดื่มของมึนเมาและใช้ยาเสพติดอีกด้วย จนทำให้คนในพื้นที่พยายามหลีกเลี่ยงการไปสวนสาธารณะดังกล่าว   ภาพเต็มๆ ที่ถูกเผยแพร่ออกไป   ดั้งนั้นเมื่อภาพที่ว่าถูกเผยแพร่ออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตจึงทำให้มีผู้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเด็กๆ เหล่านี้กันเป็นจำนวนมาก นำทีมโดยอินเตอร์เน็ตไอดอลชายอย่าง โรบิน อาร์มสตรองผู้ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 750,000 คน โรบินได้ทำการโพสต์รูปดังกล่าวในโซเชียลมีเดียของตน พร้อมกับวิดีโอคลิปที่บอกว่าเขานั้นอยากที่จะ “ช่วยนำทาง” ไปจัดการตัววัยรุ่นที่ก่อเหตุจริงๆ   โรบิน อาร์มสตรอง เน็ตไอดอลชายซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 750,000 คน   โพสต์ของโรบินมีผู้เข้าไปชมแล้วกว่าสองล้านครั้ง และมีการแสดงความเห็นอีกกว่า 4,800 เสียง สื่อให้เห็นถึงความโกรธของชาวเน็ตได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าทางตำรวจจะสามารถเข้าควบคุมตัวเด็กๆ ที่ก่อเหตุได้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจากการเปิดเผยของทางตำรวจ กลุ่มวัยรุ่นในภาพเป็นเด็กชายอายุ 17 ปีสองคน และเด็กชายอายุ 15…

  • หน่วยวัด “เซลเซียส” “ฟาเรนไฮต์” และ “เคลวิน” ความแตกต่างนี้มีที่มา หาใช่เพียงตัวเลข

    หน่วยวัด “เซลเซียส” “ฟาเรนไฮต์” และ “เคลวิน” ความแตกต่างนี้มีที่มา หาใช่เพียงตัวเลข

    พูดถึงหน่วยวัดอุณหภูมิเชื่อว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก มันคือหน่วยที่ให้วัดความร้อนความเย็นของอาการในพื้นที่ต่างๆ และในแต่ล่ะประเทศก็อาจจะให้หน่วยวัดอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป มีอยู่หลักๆ สามแบบได้แก่หน่วย องศาเซลเซียส องศาฟาเรนไฮต์ และเคลวิน ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าทำไมเราถึงเรียกชื่อหน่วยวัดอุณหภูมิแบบในปัจจุบัน และความแตกต่างของตัวเลขของหน่วยวัดอุณหภูมินั้นมันมาจากไหน?   ฟาเรนไฮต์ หน่วยวัดอุณหภูมิอันนี้ถูกตั้งชื่อตามนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน “กาเบรียล ฟาเรนไฮต์” โดยเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิอันแรกที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยเชื่อกันว่า 0 องศาฟาเรนไฮต์เป็นอุณหภูมิของน้ำที่ผสมกับเกลือ และน้ำแข็งในปริมาณเท่าๆ กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วองศาฟาเรนไฮต์มีที่มามากกว่านั้น เพราะในอดีตฟาเรนไฮต์ได้พบกับนักดาราศาสตร์คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าโรเมอร์ และได้ทราบว่าโรเมอร์เลือกที่จะตั้งอุณหภูมิที่น้ำเดือดบนเทอร์โมมิเตอร์ของเขาให้เป็นเลข 60 เพราะความเคยชินของหลักการคำนวณเวลา นั่นทำให้จุดเยือกแข็งของน้ำอยู่ที่ 7.5 องศานั่นเอง ต่อมากาเบรียล ฟาเรนไฮต์ได้นำระบบของโรเมอร์มาปรับใช้ ด้วยการปัดตัวเลขที่เป็นทศนิยมขึ้นก่อนจะคูณด้วย 4 จนทำให้ออกมาเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิที่มีจุดเยือกแข็งอยู่ที่ 32 องศาอย่างในปัจจุบันนี่เอง   เซลเซียส องศาเซลเซียสเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิที่ตั้งตามชื่อของนาย แอนเดอร์ เซลเซียส นักดาราศาสตร์ชาวสวีเดนที่เสนอระบบที่ใกล้เคียงกับระบบนี้ในปี 1742 โดยระบบองศาเซลเซียสกำหนดให้จุดเยือกแข็งของน้ำอยู่ที่ 0 องศา และจุดเดือดอยู่ที่ 100 ซึ่งนับว่าง่ายกว่าระบบฟาเรนไฮต์มาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่องศาเซลเซียสจะกลายเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิที่มีคนนิยมใช้งานกันมากที่สุดไป   เคลวิน เคลวินเป็นหน่วยวัดอุณหภูมิที่แตกต่างกับหน่วยอื่นๆ อยู่มาก โดยเป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักฟิสิกส์และวิศวกรชาวอังกฤษ “วิลเลียม ทอมสัน” มียศเป็นบารอนที่หนึ่งแห่ง เคลวิน…

  • 5 ของเล่นโบราณที่ยังเหลือมาถึงปัจจุบัน เด็กในสมัยก่อนเขาเล่นอะไรเหมือนกับเราบ้างนะ?

    5 ของเล่นโบราณที่ยังเหลือมาถึงปัจจุบัน เด็กในสมัยก่อนเขาเล่นอะไรเหมือนกับเราบ้างนะ?

    เชื่อว่าหลายๆ คนยังคงจำของเล่นในสมัยเด็กของตัวเองได้ สำหรับเด็กๆ ในสมัยนี้อาจจะไม่พ้นมือถือ แต่ถ้าเป็นคนมีอายุหน่อยก็อาจจะเป็นทามาก็อตจิ หรือดิจิไวซ์เรื่อยไปยันหนังยางหรือไพ่ยูกิ แต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ถ้าย้อนกลับไปอีกหลายๆ รุ่น เหล่าเด็กๆ เขาจะเล่นอะไรกัน? แล้วไอ้ของพวกนั้น ในปัจจุบันเรายังเล่นกันอยู่ไหม? ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปชมของเล่นในยุคโบราณ ที่ได้รับการบันทึกไว้ว่านี่ล่ะ สิ่งที่คนในสมัยก่อนเขาเล่นกัน แถมยังเหลือมาถึงปัจจุบันด้วยนะ   ห่วงฮูล่าฮูป นี่เป็นของเล่นที่อยู่คู่กับเด็กๆ มาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ โดยในสมัยนั้นเจ้าห่วงนี้จะทำจากก้านองุ่นแห้ง ส่วนเจ้าชื่อ “ฮูล่าฮูป” ที่เราคุ้นเคยกันนั้นมาจากลูกเรือชาวอังกฤษที่ไปเห็นท่าเต้นฮูล่าของชาวฮาวายที่คล้ายกับการหมุนห่วงด้วยเอว   ลูกแก้ว ในประวัติศาสตร์นั้นลูกแก้วเป็นของเล่นที่คู่กับเด็กๆ มาอย่างช้านาน และมีการขุดพบลูกแก้วรุ่นแรกๆ ตั้งแต่เมื่อ 3000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว โดยลูกแก้วในสมัยก่อนมักทำจากของที่หาได้ในพื้นที่อย่างหิน หรือเม็ดพืช และมีกฎการเล่นที่แตกต่างกันไปในแต่ล่ะที่ ส่วนลูกแก้วใสๆ ที่เราเห็นกันในปัจจุบันเริ่มใช้กันแพร่หลายในปี 1902 นั่นเอง   โยโย่ แม้เหมือนเป็นของในยุคใหม่ก็จริง แต่โยโย่กลับเป็นสิ่งที่มีอายุมากกว่าที่เราคิดมาก โยโย่โผล่ออกมาครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยมักจะทำจากไม้ เหล็ก หรือดินเหนียว ส่วนโยโย่ที่หน้าตาและการใช้งานเหมือนกับในปัจจุบันนั้น สร้างขึ้นในปี 1929…

  • ความเหมือนที่แตกต่าง เมื่อนำภาพแนวซ้ำๆ ในอินสตาแกรมมารวมกัน มันจะมีเสน่ห์กว่าที่เคย

    ความเหมือนที่แตกต่าง เมื่อนำภาพแนวซ้ำๆ ในอินสตาแกรมมารวมกัน มันจะมีเสน่ห์กว่าที่เคย

    เคยเป็นไหมเวลาเลือนดูรูปในโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกว่าจะกี่ภาพกี่ภาพมันก็ภาพออกมาเหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นภาพเซลฟี่มุมเดิมๆ หรือจุดชมวิวที่เห็นเป็นสิบๆ ครั้ง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้ใช้อินสตาแกรมวัย 27 ปีคนหนึ่งจากแองโคเรจ อะแลสกา สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจเปิดเพจ “Insta Repeat” ขึ้น เพื่อหวังว่าจะร่วมเอาแนวการถ่ายภาพที่กลายเป็น “เทรนด์” มาทำการวิจารณ์ ในการขาดความคิดริเริ่มในการสร้างสื่อผ่านเลนส์นั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อเอารูปเหล่านี้เหล่านี้ไปรวมกัน สิ่งที่ออกมากลับเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแนวภาพที่ซ้ำไปซ้ำมามาก เพราะในมุมภาพเดิมๆ นั้นเองกลับแฝงเอาไว้ซึ่งความงามของความแตกต่างเล็กๆ ในแต่ละภาพ จนในที่สุดจากเพจวิจารณ์การขาดความคิดริเริ่ม Insta Repeat ก็กลายเป็นอะไรบางอย่างที่มีความหมายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เชื่อก็ลองดูภาพข้างล่างนี้สิ แล้วจะเห็นถึงความงามที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราคิดว่ามัน “ซ้ำซาก”   ถ่ายวัวมีขนแบบใกล้ชิด   วิวจากในเต็นท์   ด้านหลังของหมวก   ภาพเท้าเหนือ Horseshoe Bend   คนยืนกลางถ้ำน้ำแข็ง   คนยืนบนรถ   เงาคนตรงสามเหลี่ยมปากถ้ำ   คนกลางสะพาน   คนพายเรือนั่งที่ปลายเรือ   ขับรถมือเดียว   ดูทะเลดาวด้วยไฟสวมหัว   คนมองขึ้นช่องแคบ   คนยืนที่ปลายท่า   คนยืนกลางถนน  …

  • ชายญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินให้ร้านสะดวกซื้อ 9 ล้านเยน หลังจอดรถไม่ได้รับอนุญาต 1,100 ชั่วโมง

    ชายญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินให้ร้านสะดวกซื้อ 9 ล้านเยน หลังจอดรถไม่ได้รับอนุญาต 1,100 ชั่วโมง

    เคยเป็นไหมจอดรถเกินเวลาในห้างสรรพสินค้าแล้วโดนปรับเงิน ในเวลาแบบนั้นบางครั้งเราก็มักจะบ่นกันว่าเกินเวลานิดๆ หน่อยๆ ถึงกับต้องเก็บเงินเพิ่มกันเลยเหรอใช่ไหม? แต่เอาเข้าจริงๆ หลายๆ คนก็คงเข้าใจว่าการจอดรถเกินเวลาที่กำหนดบางครั้งก็ทำให้ห้างเดือดร้อน แต่มันไม่ใช่สำหรับหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่เมืองอิบารากิ จังหวัดโอซาก้า เพราะไม่ใช่แค่เขาจอดรถในที่ที่ ไม่ควรเป็นเวลานาน แต่เขายังทำมันมานานเป็นปีๆ อีกด้วย นี่เป็นเรื่องราวของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่ต้องเดือดร้อนกับการที่มีชายซึ่งอาศัยอยู่ใกล้เคียง เอารถสองคันมาจอดในที่จอดรถของร้านสะดวกซื้อเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี 2013-2015     นั่นนับเป็นเวลารวมกว่า 11,000 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับประเทศญี่ปุ่นที่พื้นที่จอดรถถือเป็นเรื่องหายากและมีราคาแพงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ทางร้านเดือดร้อนกันมากจริงๆ ทางผู้จัดการร้านสะดวกซื้อบอกว่าพวกเขาเคยเตือนเจ้าของรถที่ว่าไปหลายครั้งแล้ว ทั้งด้วยคำพูด และการให้ป้ายเตือน แต่อีกฝั่งก็ยังไม่ยอมหยุดนำรถมาจอด   ค่าจอดรถในที่จอดสาธารณะของญี่ปุ่นค่อนข้างที่จะแพงเลยทีเดียว   ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจฟ้องร้องกับศาลโดยจะมีการเก็บค่าจอดรถตามเรทค่าจอดรถทั่วไปบวกกับค่าความเสียหายจากการขัดขวางธุรกิจ ซึ่งจะรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9.9 ล้านเยน (เกือบๆ 3 ล้านบาท) แน่นอนว่าฝ่ายผู้นำรถมาจอดนั้นแพ้คดีไปอย่างง่ายดายและต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวน 9.2 ล้านเยน (ราวๆ 2.7 ล้าน) แก่ทางร้านสะดวกซื้อ อย่างไรก็ตามชาวเน็ตในญี่ปุ่นกลับไม่คิดว่าผู้นำรถมาจอดจะยอมจ่ายเงินจำนวนที่ว่าแต่โดยดีสักเท่าไหร่ และอาจจะมีการโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับจำนวนเงินต่อไป “ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเขาจะยอมจ่ายเหรอ… “ “ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่จ่ายเงิน เราจะสามารถยึดทรัพย์สินของเขาได้ไหม” “ฉันจำได้ว่ามีคดีฆาตกรรมที่จ่ายหาเสียหายน้อยกว่านี้อีกนะ”   ในปัจจุบันร้านสะดวกซื้อหลายๆ ที่ในญี่ปุ่นมักจะมีระบบกล้องค่อยจับเวลารถที่มาจอด หากเกิน 20…

  • ทารกรอดตายปาฏิหาริย์!! หลังหลุดจากครรภ์ในอุบัติเหตุ และเหวี่ยงจนสายรกขาด

    ทารกรอดตายปาฏิหาริย์!! หลังหลุดจากครรภ์ในอุบัติเหตุ และเหวี่ยงจนสายรกขาด

    ตามในละคร หนัง หรือข่าว เราอาจจะเคยเห็นเรื่องน่าเศร้าอย่างการที่มารดาเสียชีวิตในการทำคลอด และแพทย์ช่วยไว้ได้เพียงแค่ทารกเท่านั้น แต่เรื่องเหล่านั้นกลับดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่บนท้องถนนระหว่างเซาเปาโลและกูรีตีบา ที่ประเทศบราซิล โดยมีเหตุรถบรรทุกพลิกคว่ำทำให้หญิงท้องแก่ 39 สัปดาห์ผู้เป็นผู้โดยสาร กระเด็นออกจากตัวรถ และถูกทับโดยไม้ที่รถบรรทุกมาจนถึงแก่ความตาย     น่าแปลกที่แรงกระแทกในตอนที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้ทารกที่อยู่ในท้องของเธอหลุดออกมาจากร่างของผู้เป็นแม่ ก่อนที่แรงเหวี่ยงจะทำให้สายรกขาดจนทารกกระเด็นไปตกอยู่ที่พื้นหญ้าใกล้เคียง เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หน่วยแพทย์ที่เข้าไปในที่เกิดเหตุรู้สึกแปลกใจมาก เพราะในที่เกิดเหตุซึ่งมีร่างของหญิงสาวถูกทับเสียชีวิตอยู่ใต้แผ่นไม้นั้น กลับมีเสียงร้องไห้ของเด็กแรกเกิดอยู่     ดูเหมือนว่าเด็กทารกคนดังกล่าวจะรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เธอเป็นทารกเพศหญิงผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์แถมยังไร้ซึ่งบาดแผลจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยสิ้นเชิงอีกด้วย Elton Fernando Barbosa แพทย์สนามที่เข้าไปยังที่เกิดเหตุเป็นคนแรกบอกว่า “ตอนที่ผมไปดูร่างของเหยื่อที่เสียชีวิตผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของทารก ดูเหมือนว่าเธอจะคลอดออกมาจากแรงกระแทกที่แม่ได้รับ เธอมีร่างกายสมบูรณ์มาก แข็งแรง ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ในสถานการณ์แบบนี้คงพูดได้แค่ว่ามันปาฏิหาริย์มากที่เธอรอดมาได้”     เด็กทารกถูกส่งไปดูแลกับทางโรงพยาบาล Pariquera-Acu ทันทีหลังจากนั้น โดยจากการชั่งน้ำหนัก เด็กสาวมีน้ำหนักแรกเกิดอยู่ที่ประมาณ 2.94 กิโลกรัม และได้รับชื่อจากคนในโรงพยาบาลว่า “Giovanna” ซึ่งแปลว่า “(ผู้)ได้รับความคุ้มครองจากพระเจ้า” จากปาฏิหาริย์ที่เธอรอดชีวิต Solange Batista นางพยาบาลผู้ดูแล Giovanna บอกว่า “เธอเป็นเด็กที่สงบมากจริงๆ เธอแทบไม่ร้องไห้เลย แถมถ้าคุณเล่นกับเธอก็จะยิ้มด้วย”     ในปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่าหญิงสาวผู้เป็นแม่ของเด็กคนนี้เป็นใคร…

  • ขอเชิญพบ Caitlin เด็กเก้าขวบผู้แพ้แสงอาทิตย์ จนต้องใช้ชีวิตอย่างกับนักบินอวกาศ

    ขอเชิญพบ Caitlin เด็กเก้าขวบผู้แพ้แสงอาทิตย์ จนต้องใช้ชีวิตอย่างกับนักบินอวกาศ

    เชื่อว่าคนที่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนคงจะเข้าใจกันว่าอาการแพ้นั้นมันทรมานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว หรือแม้แต่ฝุ่น หากโดนของที่แพ้เข้าไปคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ หากไม่แพ้แรงมากอาจจะแค่คันๆ แต่หากหนักเข้าอาจจะถึงขั้นที่ต้องเข้าโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว ดังนั้นของนึกดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งที่เราแพ้นั้นดันเป็นสิ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าทุกๆ วันอย่างดวงอาทิตย์ แถมยังแพ้หนักขนาดที่ว่าออกไปไหนไม่ได้เลยด้วย     นั่นคือสิ่งที่ Caitlin McCabe เด็กสาววัย 9 ขวบจาก รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกาเป็น เธอเป็นผู้มีอาการโรคเซลล์ผิวหนังไวต่อแสงแดดผิดปกติหรือ Xeroderma Pigmentosum ซึ่งทำให้ผิวของเธอนั้นไม่สามารถรักษาเซลล์ผิวที่เสียไปจากแสง UV ได้เลย หากผิวของเธอโดนแสงอาทิตย์เพียงแค่ 90 วินาทีทั่วร่างกายของเธอจะมีแผลไหม้รุนแรง แถมแผลที่ว่ายังมีโอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งสูงกว่าคนทั่วไปถึง 10,000 เท่า   ในตอนเด็กๆ Caitlin ได้รับแผลไหม้ขนาดใหญ่จากการโดนแดดเพียง 5 นาที   ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเด็กสาวจะออกไปข้างนอกเธอจึงจำเป็นต้องให้ชุดป้องกันแบบพิเศษ และทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 อยู่ตลอดเพื่อไม่ให้แสงแดดโดนร่างกายโดยเด็ดขาด Ann-Marie มารดาของเธอเล่าว่า “เธอต้องมีเครื่องป้องกันแสงสะท้อนจากทางเดิน ไม่อย่างนั้นเธอจะโดนลวกที่คาง และแม้แต่ในฤดูหนาวหากปล่อยเธอไว้ เธอก็จะถูกลวกจากแสงสะท้อนของหิมะเช่นกัน”     จริงอยู่ที่ว่ามีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่าการใส่ชุดเหมือนนักบินอวกาศมันเป็นเรื่องน่าสนุก และบางครั้งก็พูดกับ Caitlin ด้วยความอิจฉาว่าชุดเท่ดีนะ แต่ในความเป็นจริงแล้วการต้องใส่ชุดป้องกันอยู่ตลอดเวลานั้น มันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย เพราะหากการใส่ชุดมีความผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว มันก็อาจจะทำไปสู่ความเจ็บปวดแสนสาหัสได้เลยนั่นเอง…

  • 8 ภาพสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอยู่จริงในโลก พร้อมเกร็ดความรู้น่าสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้น

    8 ภาพสิ่งมหัศจรรย์ที่มีอยู่จริงในโลก พร้อมเกร็ดความรู้น่าสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้น

    ในเวลาที่คนเราเชื่อว่าตัวเองนั้นรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว โลกของเราก็มักจะส่งเรื่องราวที่น่าสนใจใหม่ๆ มาให้เราได้เรียนรู้เพิ่มกันอีกครั้ง บางครั้งเรื่องที่พบอาจเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ระดับที่ว่าเปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งใบ บางครั้งเรื่องที่พบอาจจะเป็นเพียงความรู้ประดับสมองธรรมดา แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สิ่งที่น่าสนใจ ก็ยังเป็นเรื่องที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาอยู่ดี เหมือนกับภาพสิ่งที่น่าสนใจเหล่านี้ ที่มาพร้อมเกร็ดความรู้สุดน่าสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้น   สมุดบันทึกของมารี กูว์รี ที่ยังคงมีกัมมันตรังสีตกค้างอยู่ในปัจจุบัน มารี กูว์รี เป็นนักเคมีค้นพบรังสีเรเดียม รังสีที่ใช้ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง จนเธอได้รับชื่อว่าเป็น “มารดาของฟิสิกส์สมัยใหม่” เธอได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามเธอต้องจบชีวิตด้วยโรคร้ายเนื่องจากการโดนกัมมันตรังสีเป็นเวลานาน ซึ่งดูจากที่สมุดบันทึกเธอยังคงมีกัมมันตรังสีตกค้างแม้ในปัจจุบัน การที่กัมมันตรังสีที่เธอโดนจะส่งผลถึงชีวิตนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลย   ระบบประสาทของมนุษย์ คนเรามีเซลล์ประสาทประมาณ 13.5 ล้านเซลล์วิ่งอยู่ทั่วทั้งร่างกาย และเส้นประสาทเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้เรายังคงมีความรู้สึกเวลาที่สัมผัสกับอะไรบางอย่าง   ภาพของสมองมนุษย์ที่คนเราเชื่อกันในช่วงปี 1801-1850 มันเป็นโมเดลที่ทำจากขี้ผึ้ง โดยเจ้าก้านๆ ด้านบนที่เห็นนั้นจะเชื่อมต่อกับไขสันหลัง แน่นอนว่ารูปร่างนั้นต่างไปจากในปัจจุบันพอสมควรเลย   ทะเลสาบมาราไคโบ สถานที่ที่มีฟ้าผ่ามากที่สุดในโลก ทะเลสาบมาราไคโบอยู่ตอนบนของประเทศเวเนซุเอลา โดยจากตัวเลขทางสถิติ ที่นี่มีฟ้าแลบฟ้าผ่ามากถึงชั่วโมงละ 280 ครั้ง และได้รับการบันทึกในกินเนสบุ๊กว่าเป็นจุดที่มีอันตรายเกี่ยวกับไฟฟ้ามากที่สุดในโลกเลยด้วย   “ประตูสู่นรก” ที่เติร์กเมนิสถาน สถานที่แห่งนี้ลุกไหม้อย่างต่อเนื่องมากว่า 45 ปี จนถูกเรียกจากผู้ที่ผ่านไปมาว่า…

  • ผู้นำแก๊งค้ายาเสพติด ตั้งค่าหัวสุนัขตำรวจ 2.3 ล้านบาท เพราะโมโหที่มันทำงานดีเกินไป

    ผู้นำแก๊งค้ายาเสพติด ตั้งค่าหัวสุนัขตำรวจ 2.3 ล้านบาท เพราะโมโหที่มันทำงานดีเกินไป

    สำหรับคนที่เคยดูหนังหรือเล่นเกมแนวต่อสู้กับกลุ่มอาชญากร อาจจะรู้ว่าการตั้งหาหัวของใครสักคนนั้น ไม่ได้มีเพียงแต่ตำรวจเท่านั้นที่ทำ เพราะในวงการใต้ดินเองก็มีการตั้งค่าหัวของคนที่เป็นปรปักษ์กับพวกตนเช่นเดียวกัน แต่ปัญหาในครั้งนี้นั้นคือเจ้าค่าหัวที่ว่านี้ไม่ได้ถูกตั้งไว้ที่คน แต่เป็นสุนัขนามว่า “Sombra” ต่างหาก     โดยเจ้าสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ที่มีชื่อภาษาสเปนแปลว่าเงา (และชื่อเหมือนกันฮีโร่ในเกมเกมหนึ่ง) ตัวนี้รับหน้าที่เป็นสุนัขดมกลิ่นอยู่ที่โคลอมเบีย และทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีจนส่งผู้ค้ายาเข้าคุกไปแล้วถึง 245 ราย ปัญหาคือล่าสุดเจ้า Sombra ได้ไปช่วยตำรวจดมกลิ่นจับโคเคนนับ 10 ตันของทาง “The Urabenos” แก๊งค้ายาเสพติด ที่มีอิทธิพลขนาดใหญ่ของโคลอมเบียเข้านี่สิ     แม้ว่านี่จะเป็นงานของเจ้า Sombra ก็ตามแต่ดูเหมือนว่า Dario Antonio Usuga ผู้นำของแก๊ง The Urabenos จะโมโหในผลงานของเจ้า Sombra เป็นอย่างมาก เขาได้ตั้งค่าหัวของเจ้าสุนัขไว้ถึง 70,000 ดอลลาร์ หรือกว่า 2,300,000 บาท ดูเหมือนว่าการดมกลิ่นของเจ้าสุนัขตัวนี้จะส่งผลกระทบแก่กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว     อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการย้ายเจ้า Sombra ไปประจำการที่สนามบิน Bogota แทนเพื่อความปลอดภัยของเจ้าสุนัขเอง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ทำงานคู่กับมันเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเจ้าสุนัขตัวเก่งนี้อีกด้วย     “โทษทีเก่งไปนิด” Sombra ไม่ได้กล่าวไว้  …

  • ภัยใกล้ตัว เด็กกินผมไม่ใช่เรื่องตลก!! แพทย์ผ่าก้อนผมหนักเท่าทารกจากท้องเด็ก 12 ขวบ

    ภัยใกล้ตัว เด็กกินผมไม่ใช่เรื่องตลก!! แพทย์ผ่าก้อนผมหนักเท่าทารกจากท้องเด็ก 12 ขวบ

    บทความนี้อาจมีเนื้อหาที่น่าหวาดเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน   นี่เป็นอีกหนึ่งในคดีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่ชอบกินผมตัวเองแล้วด้วย เมื่อที่โรงพยาบาลในเมืองอัคตาอู ประเทศคาซัคสถาน ได้มีการผ่าตัดนำก้อนเส้นผมขนาดใหญ่ ออกจากร่างของเด็กหญิงวัย 12 ขวบคนหนึ่ง   วิดีโอการผ่าตัดจาก The Mirror  นี่เป็นการผ่าตัดที่เกิดขึ้นหลังจากที่เด็กสาวถูกส่งเขาโรงพยาบาลมาด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งทางพ่อแม่ของเด็กบอกว่าเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ในรอบสองปีที่ผ่านมา โดยก้อนผมที่พบนั้นมีขนาดกว้าง 13 เซนติเมตร และยาว 35 เซนติเมตร และมีน้ำหนักมากถึง 3.65 กิโลกรัม ซึ่งนับว่าหนักพอๆ กับทารกคนหนึ่งเลยทีเดียว     จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ผ่าตัด ดูเหมือนว่าเจ้าก้อนผมนี้จะกินพื้นที่ในกระเพาะของเด็กสาวไปจนหมด และดันกระเพาะออกไปจนเกิดอาการปวดนั่นเอง เมื่อมีการถามสอบถามผู้ปกครองของเด็ก ดูเหมือนว่าเด็กหญิงวัย 12 ขวบจะมีนิสัยชอบดึงผมตัวเองมาเคี้ยว ซึ่งเป็นอาการที่ใกล้เคียงกับโรคราพันเซล โรคทางจิตวิทยาที่ทำให้เด็กๆ ชอบกินผมของตัวเอง     นั่นทำให้เด็กสาวคนดังกล่าวมีอาการวิงเวียน ร่างกายผ่ายผอม อีกทั้งยังมีอาการขาดโปรตีน และขาบวมจนทีมแพทย์ต้องดูแลอาการอยู่กว่า 2 วันก่อนที่จะสามารถผ่าตัดได้ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการผ่าเอาก้อนผมขนาดใหญ่ออกมาจากร่างของเด็ก เพราะตั้งแต่ในปี 2014 ก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่ปีล่ะหลายครั้ง     โดยหลังจากการผ่าตัดจบลง…

  • สาวอังกฤษพบสิ่งมีชีวิตประหลาด ตัวเหมือนหนูเคลื่อนที่เหมือนหนอน คืบคลานอยู่ที่ระเบียง

    สาวอังกฤษพบสิ่งมีชีวิตประหลาด ตัวเหมือนหนูเคลื่อนที่เหมือนหนอน คืบคลานอยู่ที่ระเบียง

    บนโลกของเรานั้นยังมีอะไรที่ไม่น่าเชื่ออยู่อีกมากมาย บ่อยครั้งสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ก็อาจจะปรากฏออกมาให้เราเห็น ในสถานที่ที่เราไม่คาดคิดที่สุดก็เป็นได้ เรื่องในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงสาวผู้อาศัยอยู่ในเซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ได้พบกับสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ที่มีขนาดลำตัวยาว 5 นิ้วคืบคลานอยู่ที่ระเบียงบ้านของเธอ   วิดีโอสิ่งมีชีวิตดังกล่าวจากช่อง News Confused    นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายไส้กรอกที่มีหาง หรือหนูที่มีแต่ตัว มันเคลื่อนที่ด้วยการคลานคล้ายกับหนอน และสร้างความตื่นตกใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก     หญิงสาวบอกว่ามันมีรูปร่างเหมือนกับตัว Demogorgon ตอนเด็กในเรื่อง Stranger Things ไม่มีผิด และเธอไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเจ้าสิ่งที่เธอพบนั้น แท้จริงแล้วมันคือตัวอะไร     หญิงสาวตัดสินใจที่จะนำวิดีโอที่เธอถ่ายโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กหลังจากนั้น และมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นการอย่างท่วมท้น “นี่เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดที่ฉันเคยเห็นเลย” ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งคอมเมนต์ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตัวตนจริงของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกแต่อย่างใด     หลังจากที่มีการพูดคุยกันในหมู่ชาวอินเตอร์เน็ต ในที่สุดพวกเขาก็ลงความเห็นกันว่าสิ่งที่หญิงสาวพบนั้นน่าจะเป็น “Rat-tailed maggot” ซึ่งเป็นตัวอ่อนของแมลงวันดอกไม้ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในน้ำที่สกปรกนั่นเอง     เจ้านอนชนิดนี้จะใช้หางของมันในการหายใจเมื่ออยู่ในน้ำ (คล้ายๆ นินจาหายใจใต้น้ำ) เนื่องจากมันไม่มีเหงือก และมีชีวิตอยู่ด้วยการกินซากพืชและซากสัตว์ในน้ำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพบตัวอ่อนของแมลงวันดอกไม้แล้วคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก เพราะเมื่อปี 2016 ที่อาร์เจนตินาเอง ก็เคยมีการแชร์ภาพเจ้าหนอนตัวนี้มาแล้ว โดยในตอนนั้นมีผู้ที่เข้าไปชมเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียว  …

  • ปรสิต Toxoplasma gondii มาอีกแล้ว คราวนี้เปลี่ยน “ทาสแมว” ให้เป็นคนกล้าเสี่ยงมากขึ้น

    ปรสิต Toxoplasma gondii มาอีกแล้ว คราวนี้เปลี่ยน “ทาสแมว” ให้เป็นคนกล้าเสี่ยงมากขึ้น

    สำหรับหลายๆ คนที่เลี้ยงแมว หรือติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวกันมา อาจจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับปรสิตที่ชื่อ Toxoplasma gondii กันมาบ้าง เจ้าปรสิตตัวนี้แม้จะสืบพันธุ์ได้เฉพาะในร่างกายสัตว์ตระกูลแมว แต่ก็สามารถพบได้ในตัวสัตว์อื่นๆ เช่นหนูและมนุษย์ โดยเจ้าปรสิตชนิดนี้เมื่อหลายปีก่อนก็มีข่าวออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้คนที่เลี้ยงแมวมีรสนิยมทางเพศรุนแรงขึ้น หรืออาจจะทำให้มนุษย์ป่วยได้     แต่ล่าสุดนี้เองในงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร “Proceedings of the Royal Society B” ได้ออกมาเปิดเผยว่าปรสิต Toxoplasma gondii นั้นจะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อมีพฤติกรรมกล้าได้กล้าเสียมากขึ้นต่างหาก!! นี่เป็นผลการวิจัยที่มาจากผลวิเคราะห์น้ำลายของนักศึกษาชาวอเมริกา 1,300 คน ซึ่งได้ผลออกมาว่า ผู้มีปรสิต Toxoplasma gondii นั้นมีแนวโน้มจะเลือกเรียนในสายบริหารธุรกิจมากกว่าคนปกติถึง 1.4 เท่า รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะลงเรียนด้านการบริหารและการลงทุนมากกว่าคนทั่วไปอีกถึง 1.7 เท่า ซึ่งทั้งสองสายวิชานี้เป็นสายวิชาที่ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงจากทางสังคม     นอกจากนี้จากข้อมูลของ 42 ประเทศทั่วโลก ยังมีการพบอีกว่า ประเทศที่มีการแพร่ของปรสิต Toxoplasma gondii สูงมักจะมีตัวเลขการลงทุนใหม่ๆ ที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าได้กล้าเสียของผู้คนที่มีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าตามปกติแล้วหากสัตว์จำพวกหนูติดปรสิต Toxoplasma gondii เจ้าปรสิตตัวนี้จะทำให้หนูมีความกล้ามากขึ้นจนไม่เกรงกลัวแมว จนหนูตัวดังกล่าวถูกแมวจับกิน เพื่อให้ปรสิตสามารถเข้าไปผสมพันธุ์ในตัวแมวได้ต่อไป แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการยืนยันว่าปรสิต Toxoplasma gondii…

  • รวม 5 ฮีโร่ร่างยักษ์แห่งศตวรรษที่ 20 ที่ไม่ใช่อุลตร้าแมน ยังจำตัวไหนได้บ้างมาดูกัน!!

    รวม 5 ฮีโร่ร่างยักษ์แห่งศตวรรษที่ 20 ที่ไม่ใช่อุลตร้าแมน ยังจำตัวไหนได้บ้างมาดูกัน!!

    เวลาที่พูดถึงฮีโร่ตัวใหญ่ที่สู้กับสัตว์ประหลาด ชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึงก็คงไม่พ้นอุลตร้าแมนนั่นเอง ด้วยขนาดตัวที่เป็นเอกลักษณ์ การต่อสู้ที่โดดเด่นแถมด้วยเจ้าปุ่มสีฟ้าๆ ที่จะกลายเป็นสีแดงเวลาที่ใกล้จะหมดสามนาทีอีก เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะยังจำสิ่งเหล่านั้นได้ไม่ลืมเลือน แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วฮีโร่ยักษ์ใหญ่ที่ปกป้องโลกจากสัตว์ประหลาดนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่อุลตร้าแมนเท่านั้น เพราะเมื่อนานมาแล้ว ยังมีเหล่าฮีโร่ร่างยักษ์อีกมากมาย ที่คอยปกป้องโลกของเราอยู่นั่นเอง เหมือนอย่างเหล่าฮีโร่ร่างยักษ์ทั้ง 5 คนต่อไปนี้   Spectreman (1971) มีชื่อในบ้านเราว่า “กาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์” นี่เป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวจากเนบิวลา 71 และเดินทางมายังโลกเพื่อปกป้องโลกจากมลพิษ และสัตว์ประหลาดของดร.โกริ ที่หวังจะยึดครองโลก โดยชื่อกาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์นั้นได้มาจากชื่อของร่างปลอมตัวของตัวเอกที่ชื่อกาโม่นั่นเอง นี่ยังเป็นที่มาของ “เงินกาโม่” หรือ “แบงค์กาโม่” ที่เรารู้จักกันอีกด้วย   Megaloman (1979) เรื่องนี้มีชื่อในบ้านเราว่า “เดช เมกาโล่แมน” โดยนี่เป็นเรื่องของห้าพี่น้องที่หนีมายังโลกมาจากดาวบ้านเกิดเนื่องจาก ดาวของพวกเขาถูกทำลายและทั้งห้าถูกตามล่า นั่นทำให้ทาเคชิพระเอกของเรื่องต้องแปลงร่างเป็น เมกาโล่แมนฮีโร่ร่างยักษ์ที่มีจุดเด่นที่ผมยาวสลวยเข้าต่อกรกับเหล่าปีศาจเพื่อปกป้องน้องๆ (และโลก) นั่นเอง   Giant Robo (1967) ชื่อไทยของเรื่องนี้ก็ตรงๆ ตัวเลย “ไจแอนท์โรโบ” โดยในเรื่องนี้โลกถูกคุกคามโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายจากนอกโลก Big Fire และนั่นทำให้ ไดสุเกะ…

  • หนุ่มอังกฤษ โดนจับใส่กุญแจมือ แก้ผ้า ทำร้ายร่างกาย แถมยังถูกรถชน โชคยังดีที่รอดชีวิต

    หนุ่มอังกฤษ โดนจับใส่กุญแจมือ แก้ผ้า ทำร้ายร่างกาย แถมยังถูกรถชน โชคยังดีที่รอดชีวิต

    ไม่รู้ว่าจะบอกว่าเป็นโชคดีหรือว่าโชคร้ายของชายชาวอังกฤษคนหนึ่งดี เพราะเขาถูกจับใส่กุญแจมือ จับแก้ผ้า โดนทำร้ายร่างกาย แถมยังถูกรถชน ทั้งหมดในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์   วิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก The Mirror นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับภาพไว้ได้โดยกล้อง CCTV ที่ถนนเบอร์มิงแฮม ในเวสต์มิดแลนส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2018 ในคลิปวิดีโอจะเห็นว่ามีชายคนหนึ่งซึ่งถูกใส่กุญแจมือโดนชายอีกคน ลากมาทำร้ายร่างกายด้วยการกระแทกเข่าใส่ใบหน้าของเหยื่อหลายครั้ง นอกจากนี้เขายังทำการจับชายหนุ่มถอดกางเกงออกอีกด้วย   ผู้ก่อเหตุลากเหยื่อเขามาในมุมกล้อง   นั่นเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่ ชายผู้เป็นเหยื่อจะถูกรถที่เสียหลักพุ่งขึ้นทางเท้ามาชนเข้าอย่างจังจนร่างของเขากระเด็นหลุดออกจากมุมกล้องไป หลังจากที่วิดีโอดังกล่าวถูกแพร่ภาพไปบนโลกโซเชียล ทางตำรวจของเวสต์มิดแลนส์ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในทันที   เหยื่อถูกชนเข้าอย่างจังจากด้านข้าง   โดยในเบื้องต้นทางตำรวจได้เข้าจับกุมชายหนุ่มวัย 27 ปีที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคลิปด้วยข้อหาพยายามฆ่า เนื่องจากหลายๆ ฝ่ายบอกว่าจากในคลิปชายผู้ลงมือมีการผลักเหยื่อเข้าไปหารถที่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว จากรายงานของทางตำรวจดูเหมือนว่าเหยื่อของเหตุการณ์ในครั้งนี้จะรอดชีวิตมาได้ โดยในปัจจุบันเขาได้ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย   ชายผู้ก่อเหตุเดินออกจากที่เกิดเหตุไปแบบไม่สะทกสะท้าน   ส่วนชายที่ขับรถเข้ามาชนเหยื่อถูกควบคุมตัวได้โดยทางตำรวจหลังจากที่เขาพยายามหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยรู้จักกับเหยื่อหรือผู้ลงมือมาก่อนเลย และอ้างว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุล้วนๆ   ที่มา dailymail, thesun, mirror

  • 13 สิ่งของสมัยก่อนที่น่ากลัวสุดๆ ดีจริงๆ ที่ในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่งั้นท่าจะหัวใจวาย

    13 สิ่งของสมัยก่อนที่น่ากลัวสุดๆ ดีจริงๆ ที่ในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่งั้นท่าจะหัวใจวาย

    เมื่อนึกถึงเรื่องราวในสมัยก่อน แม้ว่าหลายๆ คนอาจจะมีภาพในหัวที่ต่างๆ กันไป แต่หนึ่งในหัวข้อที่หลายๆ คนจะนึกถึงก็คงไม่พ้นสิ่งลี้ลับและความน่ากลัวของอดีตกันอยู่เสมอๆ หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น อาจเพราะในอดีตมีความเชื่อน่ากลัวๆ อยู่มาก อีกทั้งสิ่งของในอดีตมีอยู่บ่อยครั้งที่ได้รับการออกแบบที่แปลกประหลาดน่ากลัวในสายตาคนในปัจจุบันก็เป็นได้ อย่างสิ่งของในอดีต 13 อย่างต่อไปนี้ ที่ดูแล้วโล่งใจเลยที่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้หน้าตาแบบนั้น   Mickey และ Minnie รุ่นแรกๆ ด้วยความที่ชุดตุ๊กตาแบบปัจจุบันยังไม่แพร่หลายนัก ตัวการ์ตูนที่ควรจะน่ารักก็เลยกลายเป็นน่าผวาอย่างที่เห็น ไม่เชื่อดูหน้าเด็กได้   หน้ากากยางสำหรับขจัดริ้วรอยในปี 1921 ความงามกับผู้หญิงเป็นสิ่งคู่กัน ว่ากันว่าเพื่อความงามแล้วมีเหล่าสตรีที่พร้อมจะทำทุกสิ่งอยู่เป็นจำนวนมาก ใช่แล้ว… แม้แต่ใส่หน้ากากนี้ก็ตาม   ชุดดำน้ำจากปี 1924 แบบว่าใส่แล้วแทบไม่ต้องกลัวฉลาม   ภาพตัวตลกสมัยวิกตอเรีย ไม่แปลกใจเลยที่คนจะกลัวตัวตลก   เครื่องเป่าผมแบบไม่ต้องใช้มือจับ เกือบมองเป็นเครื่องดูดสมองแล้วไง   กระต่ายเพลย์บอย 1978 จะโดนจับกินจริงๆ ไหมเนี่ย ดูตาสีแดงนั่นสิ   ตัวตลกที่ ‘น่ากลัวมากกว่าตลก’ อีกตัว คราวนี้มาจากยุค 1950   งานเต้นรำหน้ากาก เพราะแบบนี้ไงเขาเลยเอาไปทำหนังฆาตกรรม  …

  • “ต่อต้านวัคซีนจงอ่าน” ป้ายนี้โด่งดังทั่วอินเตอร์เน็ต เตือนใจพ่อแม่ที่กลัวการฉีดวัคซีนให้ลูก!!

    “ต่อต้านวัคซีนจงอ่าน” ป้ายนี้โด่งดังทั่วอินเตอร์เน็ต เตือนใจพ่อแม่ที่กลัวการฉีดวัคซีนให้ลูก!!

    กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังไปในโลกออนไลน์ไปแล้ว เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sunni Mariah ได้ไปพบกับป้ายอันหนึ่งในโรงพยาบาลเข้า และรู้สึกชอบใจป้ายที่ว่ามากจนต้องถ่ายภาพดังกล่าวมาแชร์ในโลกออนไลน์ มันเป็นภาพของป้ายรณรงค์ให้คนพาลูกหลานมาฉีดวัคซีน ที่มีจุดเด่นด้านการเสียดสีกลุมต่อต้านการฉีดวัคซีนอย่างเจ็บแสบ   ภาพของป้ายรณรงค์ที่กำลังโด่งดัง (คำแปลอยู่ข้างล่าง)   การไม่ฉีดวัคซีนให้ลูก จะทำให้เขาเสี่ยงกับโรคร้ายไปตลอดชีวิต ตอนที่ลูกสาวของคุณเป็นหัดเยอรมันระหว่างท้อง คุณจะอธิบายให้ลูกฟังยังไงว่าคุณเป็นคนเลือกให้เธอต้องเสี่ยง? คุณจะพูดอะไรเมื่อเธอบอกคุณว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูก เพียงเพราะคุณคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน HPV? คุณจะบอกกับลูกชายของคุณอย่างไร ในตอนที่เขาบอกคุณว่าเขามีลูกไม่ได้ เพราะเขาเป็นคางทูมตอนวัยรุ่น? และคุณพูดอะไรกับลูกในตอนที่ไข้หวัดใหญ่ของเขาไปติดคุณยาย? คุณจะอธิบายอย่างไรในตอนที่คุณยายไม่กลับมาจากโรงพยาบาลอีกต่อไป? คุณจะบอกว่าคุณไม่คิดว่าไอ้โรคร้ายพวกนี้มันจะรุนแรงขนาดนี้อย่างนั้นเหรอ? จะบอกว่าคุณเชื่อว่าอาหารปรุงสะอาดที่บ้านอย่างเดียวจะเพียงพอที่จะปกป้องพวกเขางั้นรึ? จะบอกว่าขอโทษรึเปล่า? นี่เป็นคำพูดที่ดร. ราเชล ฮีพ แห่งสมาคมการฉีดวัคซีน Northern Rivers เคยกล่าวเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน และได้กลายเป็นป้ายรณรงค์ที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน โดยในโพสต์ของ Sunni Mariah นั้นมีคนแชร์ไปแล้วกว่า 2 แสนครั้ง และมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นอีกกว่า 48,000 ราย   หนึ่งในนั้นคือ Jessi ผู้ที่เล่าว่า พ่อของเธอเป็นโปลิโอก่อนที่จะมีวัคซีน ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าการเป็นโปลิโอมันลำบากมากๆ การที่จะสามารถป้องกันโปลิโอได้ด้วยการฉีดวัคซีน ทำให้เธอเชื่อมั่นในวัคซีนมากๆ และเธอจะให้ลูกๆ ฉีดวัคซีนให้ครบแน่นอน  …

  • โฆษณายาทาเล็บเกาหลี โดนหาว่า “แบ่งแยกสีผิว” หลังลงรูปมือสาวผิวดำที่ “ผิวไม่ดำจริง”

    โฆษณายาทาเล็บเกาหลี โดนหาว่า “แบ่งแยกสีผิว” หลังลงรูปมือสาวผิวดำที่ “ผิวไม่ดำจริง”

    บางครั้งความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของรายละเอียดในการโฆษณาสินค้าก็อาจจะนำมาซึ่งความไม่พอใจของผู้ชมจำนวนมากได้เหมือนกัน เพราะเมื่อคนเห็นความผิดพลาดพวกนั้นแล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ไปเลย   เห็นสิ่งแปลกๆ ในภาพนี้ไหม   นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อแบรนด์แฟชั่นมีชื่อของเกาหลีใต้อย่าง “Stylenanda” ได้ทำการออกสินค้าใหม่ “Layering Nail Lacquer” ยาทาเล็บสีใหม่ที่ทางบริษัทบอกว่ามีจุดขายอยู่ที่ความ “ดูดี” ทั้งกับคนผิวขาวและคนผิวดำ อย่างไรก็ตามโฆษณาตัวนี้มีจุดที่ผิดพลาดอยู่หนึ่งจุด เนื่องจากว่าฝ่ามือของสาวผิวดำในภาพนั้น เป็นสีโทนเดียวกันทั้งมือเลยนั่นเอง     ตามปกติแล้วที่ฝ่ามือของคนจะมีเซลล์ “Melanocytes” น้อยกว่าบริเวณอื่นๆ ซึ่งทำให้การผลิตเมลานินบนฝ่ามือเกิดขึ้นน้อยกว่าหลังมือมาก ส่งผลให้ฝ่ามือของคนส่วนใหญ่จะขาวกว่าหลังมือ โดยเฉพาะกับคนผิวสีด้วยแล้ว นั่นทำให้ชาวเน็ตรู้ความลับของโฆษณาชิ้นนี้ในทันที นั่นคือแทนที่ทาง Stylenanda จะจ้างโมเดลสาวผิวสีมาถ่ายทำโฆษณา พวกเขากลับเลือกที่จะทาสีมือของโมเดลสาวผิวขาวแทนเสียอย่างนั้น     การที่เรื่องในครั้งนี้ถูกเปิดเผยออกไปในโลกออนไลน์ทำให้ทางบริษัทถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเดิมทีแล้วนี่เป็นสินค้าที่ออกแบบมาให้คนผิวสองรูปแบบสามารถใช้สินค้าร่วมกันได้ ดังนั้นการไม่จ้างนางแบบผิวสีจึงทำให้ตัวสินค้ามีภาพลักษณ์ที่ “แบ่งแยก” ขึ้นมาทันที     เรื่องที่เกิดขึ้นร้อนไปถึงทางบริษัท Stylenanda จนถึงขั้นที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องออกมาขอโทษเกี่ยวกับโฆษณาที่ออกมา พร้อมกับทำการลบภาพทั้งหมดที่เกี่ยวกับมือทั้งสองข้างนั้นออกไป     อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าบนตัวสินค้าที่นำออกมาขายจะยังมีภาพที่ว่าอยู่ แต่นั่นก็เป็นเพียงสินค้าชุดแรก ไม่แน่ว่าในการผลิตสินค้าชุดต่อๆ อาจจะมีการเอารูปนี้ออกก็เป็นได้    …

  • ผลวิจัยเยอรมนีชี้ คนเราจะสามารถโกหกในภาษาต่างประเทศ ได้เนียนกว่าภาษาแม่

    ผลวิจัยเยอรมนีชี้ คนเราจะสามารถโกหกในภาษาต่างประเทศ ได้เนียนกว่าภาษาแม่

    ว่ากันตามตรงแล้ว การโกหกแท้จริงแล้วทำได้ยากกว่าที่คิดมาก เพราะนอกจากที่จะต้องปั้นเรื่องให้น่าเชื่อถือแล้ว ยังต้องคอยระวังไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยในคำโกหกที่พูดออกไปอีก เอาเข้าจริงๆ จะบอกว่ามันทำได้ลำบากกว่าการพูดความจริงมากๆ ก็ไม่ผิดนัก ดังนั้นถ้ามีคนมาบอกให้คุณโกหกเป็นภาษาต่างประเทศมันก็ไม่แปลกเลยที่คุณจะคิดว่าการโกหกมันต้องทำได้ยากขึ้นแน่ๆ เพราะแค่โกหกให้เนียนมันก็ยากพอแล้ว นี่ยังจะต้องมาแปลภาษาอีก ใครมันจะไปทำไหวใช่ไหมล่ะ แต่เชื่อไหมล่ะว่าการโกหกเป็นภาษาต่างประเทศนั้นง่ายดายกว่าที่เราคิด     เพราะผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยวูร์ซบวร์ก ในประเทศเยอรมนี ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Experimental Psychology บอกว่า คนเราจะโกหกได้ดีขึ้นหากพูดโกหกเป็นภาษาต่างประเทศ การทดลองนี้จัดทำขึ้นโดยมีผู้เข้าร่วม 50 คน ซึ่งแต่ละคนจะต้องตอบคำถามที่กำหนดให้ ในรูปแบบความเป็นจริง และด้วยการโกหก ซึ่งการตอบคำถามจะแบ่งเป็นสองรอบ ได้แก่รอบภาษาแม่ และภาษาต่างประเทศ หลังจากนั้นข้อมูลที่ได้มาจะถูกนำไปเปรียบเทียบเกี่ยวกับความว่องไวในการตอบคำถาม อัตราการเต้นของหัวใจ รวมทั้งปฏิกิริยาการนำไฟฟ้าที่ผิวหนัง     ผลการทดลองพบว่าการตอบคำถามในภาษาต่างประเทศนั้นกินเวลามากกว่าภาษาแม่มาก แต่การโกหก และพูดความจริงในภาษาต่างประเทศกลับใช้เวลาใกล้เคียงกันมาก ทั้งที่ตามปกติแล้ว การพูดโกหกมักกินเวลานานกว่าการพูดความจริง ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าจับการโกหกในภาษาต่างประเทศจะทำได้ยากกว่าในภาษาแม่ เนื่องจากไม่สามารถจับการโกหกด้วยเวลาที่ใช้ในการพูดได้ โดยทางทีมวิจัยได้อธิบายผลการทดลองที่ออกมาว่า คนเรามักไม่รู้สึกผูกพันกับภาษาต่างประเทศ ทำให้สมองมีภาระในการพูดโกหกน้อยลง และสามารถพูดโกหกออกมาได้เร็วขึ้น     นี่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับผลการวิจัยก่อนๆ ที่บอกว่าคนส่วนมากมักจะเชื่อคำพูดที่พูดด้วยภาษาแม่ของตนมากกว่าภาษาต่างประเทศก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ต้องติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติบ่อยๆ ข้อมูลนี้อาจจะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ เพราะนี่หมายความว่าในการติดต่อธุระกันด้วยภาษาต่างประเทศนั้น อาจจะนำไปสู่ปัญหาความน่าเชื่อถือก็เป็นได้   ที่มา bbc, languagemagazine, psycnet

  • 5 ยอดวีรบุรุษนักรบในตำนานเรื่องเล่า ต้นแบบนักรบที่เราพบในเกม การ์ตูน หรือภาพยนตร์

    5 ยอดวีรบุรุษนักรบในตำนานเรื่องเล่า ต้นแบบนักรบที่เราพบในเกม การ์ตูน หรือภาพยนตร์

    มนุษย์เรานั้นอยู่คู่กับเรื่องเล่าและตำนาน ไม่ว่ายุคไหนๆ คนเราก็จะมีตำนานอยู่เสมอ ทั้งตำนานของความรัก ภูตผีปีศาจ และที่ขาดไม่ได้เลย “วีรบุรุษนักรบ” ดังนั้นในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จึงได้นำสุดยอดวีรบุรุษนักรบในเรื่องเล่าและตำนานทั้ง 5 มาให้เพื่อนได้รู้จักกัน เพราะพวกเขานี่เอง ที่เป็นต้นแบบของนักรบมากมายหลากหลาย ที่เพื่อนๆ พบในเกม การ์ตูน หรือภาพยนตร์   เบวูล์ฟ มหาวีรบุรุษแห่งสแกนดิเนเวีย เคยได้ยินตำนานที่ว่าผู้กล้าไปปราบมังกรแล้วได้เจ้าหญิงมาเป็นรางวัลไหม? จะบอกว่าเบวูล์ฟเป็นเรื่องจำพวกนั้นเรื่องแรกๆ เลย เนื้อเรื่องคร่าวๆ ของเรื่องนี้คือเกรนเดลบุกมาที่อาณาจักรแห่งหนึ่ง ราชาจึงเรียกเบวูล์ฟนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดที่หาได้ไปปราบ ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จก่อนที่จะได้ครองเมืองเป็นรางวัล ต่อมามีมังกรมาบุกเมือง เบวูล์ฟจึงออกไปต่อสู้อีกครั้ง เขาฆ่ามังกรได้ก็จริง แต่ก็ต้องตายเพราะบาดแผลจากการต่อสู้ เรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ตั้งแต่ต้นจนจบชีวิตก็ไม่ผิดนัก   กรรณะ จากมหาภารตะ กรรณะเป็นบุตรชายของเทพแห่งดวงอาทิตย์ ผู้ถูกมารดาทอดทิ้งและกลายเป็นนักรบ เขาออกรบเพื่อรวบรวมโลกทั้งใบให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน และได้ชื่อว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา กรรณะได้ถูกสังหารโดยอรชุนที่เป็นน้องตนเองในระหว่างที่ล้อรถม้าติดหล่ม ปิดตำนานของยอดนักรบผู้มีคุณธรรมลงเพียงเท่านั้น   เดร์มุด โอ เดน่า ยอดนักรบชาวไอริช เดร์มุดมีฉายาว่า “เดร์มุดผู้มีไฝมหาเสน่ห์” จากการที่เขาได้รับพรให้สตรีทุกคนที่เห็นไฝของเขาจะต้องหลงรักเขาหมดใจ เขามีชื่อเสียงในฐานะนักรบที่เก่งกาจและสหายสงครามที่ดีของเพื่อนทหาร นอกจากนี้เขายังแกร่งพอที่จะสามารถสังหารทหารกว่า 3,400 นายได้ด้วยตัวคนเดียวเลยด้วย   ซิเกิร์ด…

  • 20 ภาพหายากของประวัติศาสตร์ สิ่งที่เก็บไว้ในภาพ และส่งต่อข้ามกาลเวลาเพื่อคนรุ่นหลัง

    20 ภาพหายากของประวัติศาสตร์ สิ่งที่เก็บไว้ในภาพ และส่งต่อข้ามกาลเวลาเพื่อคนรุ่นหลัง

    ตั้งแต่ที่กล้องถ่ายรูปถูกคิดค้นขึ้น มนุษย์เราก็เก็บความทรงจำมากมายไว้ในรูปภาพ แม้หลายๆ ภาพอาจจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีอีกหลายภาพที่กลายเป็นหลักฐานสำคัญของมนุษยชาติ และนี่คือภาพหายากอีก 20 ภาพของประวัติศาสตร์โลก สิ่งที่เก็บไว้ในรูปภาพ และส่งต่อๆ กันมาข้ามกาลเวลาเพื่อคนรุ่นหลัง   นิโคลา เทสลานั่งอยู่ข้างเครื่องส่งไฟฟ้าเมื่อมันสร้างไฟฟ้าเป็นล้านๆ โวลต์   โครงกระดูกคู่รักที่กำลังกอดจูบกัน และมีอายุมากกว่า 2,800 ปี   กลุ่มคนกำลังยืนอยู่บนชิ้นส่วนของเขื่อนฮูเวอร์ ระหว่างการสร้างเขื่อนในช่วงยุค 1930   การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ที่บิกีนีอะทอลล์ ประเทศไมโครนีเซีย   มาร์ก ทเวน นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน กำลังเล่นกับผลงานของนิโคลา เทสลา   การทดสอบเสื้อเกราะกันกระสุนในวอชิงตัน 1923 ราวๆ 40 ปีก่อนที่จะมีการคิดค้นเส้นใยเคฟลาร์   ภาพถ่ายภาพแรกของอับราฮัมลินคอล์น ในปี 1846   ภาพสุดท้ายของเรือไททานิค ก่อนที่มันจะจม   โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ตอนเปิดเข้าไปในสุสานฟาโรห์ในปี 1923   ลินคอล์นหลังจากรบที่แอนตีทึม วันที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกา   ระเบิดปรมาณูลูกแรกกับชายไร้นาม…

  • รู้จักกับ “หลินชิ่วฮุย” ผู้คิดค้น “ชานมไข่มุก” คนแรกของโลก พวกเราจึงมีกินทุกวันนี้!!

    รู้จักกับ “หลินชิ่วฮุย” ผู้คิดค้น “ชานมไข่มุก” คนแรกของโลก พวกเราจึงมีกินทุกวันนี้!!

    ขึ้นชื่อว่า “ชานมไข่มุก” เชื่อว่าในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก มันเป็นเครื่องดื่มที่ฮิตของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ด้วยมุกเม็ดเล็กพอดีคำ เหนียวนุ่ม เคี้ยวสนุก ของแบบนี้ใครกันจะไปทนไหว ว่าแต่เพื่อนๆ เคยสงสัยกันไหมว่าไอ้เจ้าชานมไข่มุกแสนอร่อยนี่มันเกิดขึ้นมายังไง วันนี้ #เหมียวศรัทธา ไขข้อข้องใจของทุกคนเอง     ชานมไข่มุกเชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศไต้หวัน ด้วยชื่อ “Boba Tea” หรือ 波霸奶茶 ส่วนคนคิดค้นสูตรชานมไข่มุกเป็นคนแรกนั้น จากผลการโหวตของประชาชนในประเทศ ได้ผลออกมาเป็นคุณ “หลินชิ่วฮุย” แห่งร้านชา “ชุนสุ่ยถัง” นั่นเอง   คุณหลินชิ่วฮุย แห่งร้านชาชุนสุ่ยถัง   โดยจากคำบอกเล่าของคุณหลินชิ่วฮุย ชานมไข่มุกเกิดขึ้นจากการที่ในปี 1988 ที่ร้านชุนสุ่ยถังได้มีการประชุมหาไอเดียชาเย็นแบบใหม่ๆ มาขาย และคุณหลินชิ่วฮุย กำลังทำขนมแบบใหม่อยู่พอดี เจ๊แกก็เลยลองเทขนมที่ทำลงใส่ในชาเย็นเสียเลย เกิดเป็นชานมไข่มุกแบบที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง คุณหลินชิ่วฮุยเล่าว่า “ทุกคนในที่ประชุมชอบมันมาก และหลังจากวางขายมันก็ขายได้แซงชาแบบอื่นๆ ทั้งหมดในเวลาแค่สองเดือน และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบๆ ปี ชานมไข่มุกก็ยังทำรายได้เป็น 80-90% ของยอดขายทั้งหมดอยู่ดี”     และแม้ว่าในตอนนี้ชานมไข่มุกจะโด่งดังไปทั่วโลกแล้วก็ตาม แต่คุณหลินชิ่วฮุยก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนาและคิดค้นชารูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอๆ และเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะคิดค้นชานมไข่มุกแบบใหม่ขึ้นมาอีกก็เป็นได้ เพราะสำหรับเธอ…

  • เด็กอินโดนีเซียวัย 15 ปีโดนสั่งจำคุก เพราะไปทำแท้ง หลังจากโดนพี่ชายข่มขืน

    เด็กอินโดนีเซียวัย 15 ปีโดนสั่งจำคุก เพราะไปทำแท้ง หลังจากโดนพี่ชายข่มขืน

    การทำแท้งเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเรื่องของความเหมาะสม สิทธิของสตรี หรือสิทธิ์ในการมีชีวิตของเด็กในท้อง อย่างไรก็ตามการถกเถียงเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สามารถจบลงได้ง่ายๆ เมื่อที่ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2018 มีเด็กสาววัย 15 ปีคนหนึ่งถูกศาลสั่งจำคุก จากการที่เธอไปทำแท้ง หลังจากถูกพี่ชายของตัวเองข่มขืน     แม้ว่าที่อินโดนีเซียจะมีกฎหมายห้ามทำแท้ง แต่ก็มีข้อยกเว้นให้ในกรณีที่ชีวิตของผู้เป็นแม่จะตกอยู่ในอันตราย หรือในกรณีที่ผู้เป็นแม่ถูกข่มขืนมา อย่างไรก็ตามข้อยกเว้นเหล่านี้จะส่งผลในกรณีที่มีการทำแท้งกับแพทย์มืออาชีพ อายุครรภ์ไม่เกินกว่า 6 สัปดาห์ และผู้หญิงมีการเข้ารับการปรึกษาโดยตรงจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เด็กสาวผู้ที่ไปทำแท้งเมื่ออายุครรภ์ได้ 6 เดือนต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลาหกเดือน ในขณะที่พี่ชายวัย 17 ปีผู้ลงมือข่มขืนเธอ ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปีในข้อหาพรากผู้เยาว์   หากจะทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมายอายุครรภ์ต้องไม่เกินกว่า 6 สัปดาห์   การตัดสินในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางตำรวจพบร่างของไร้ศีรษะของทารกถูกทิ้งอยู่ที่ฟาร์มเพาะปลูกปาล์มน้ำมันที่เมืองจามบี ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะถูกข่มขืนโดยพี่ชายของเธอเป็นจำนวน 8 ครั้งในช่วงเดือนกันยายน 2017 ก่อนที่แม่ของเธอจะพบว่าเธอท้องและช่วยเหลือเธอในการทำแท้ง การตัดสินของศาลในครั้งนี้ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากหลายๆ ฝ่ายที่บอกว่าเด็กสาวผู้ถูกข่มขืนนั้นไม่ควรจะถูกตัดสินจำคุก เนื่องจากเธอนั้นเป็นเพียงเหยื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในเวลานี้พี่น้องทั้งสองคนได้ถูกส่งตัวไปยังสถานพินิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนหญิงสาวผู้เป็นมารดากำลังถูกสอบสวนในข้อหาสมรู้ร่วมคิดและอำนวยความสะดวกในการทำแท้งอย่างผิดกฎหมายต่อไป     ที่มา straitstimes, abcnews, nextshark, asiaone

  • อดีตตำรวจออกมาเปิดเผย วิธีง่ายๆ ที่จะหลอกเครื่องจับเท็จ ก็แค่เกร็งร่างกายนิดหน่อย

    อดีตตำรวจออกมาเปิดเผย วิธีง่ายๆ ที่จะหลอกเครื่องจับเท็จ ก็แค่เกร็งร่างกายนิดหน่อย

    ในช่วงที่มีการคิดค้นเครื่องจับเท็จขึ้น มันถูกมองว่าเป็นไพ่ตายสำหรับจัดการกับคนโกหก ที่ไม่ว่าคนจะพูดอะไรมา เจ้าเครื่องนี้ก็จะสามารถจับเอาการโกหกออกมาได้ไม่ยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนเราก็มีข้อสงสัยกับการทำงานของเจ้าเครื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นหากคนที่พูดความจริงกังวลจนเครื่องจับเท็จบอกว่าเขาโกหก และจะเกิดอะไรขึ้นหากคนโกหกเชื่อมั่นในคำโกหกของเขาจริงๆ     นั่นทำให้ ดั๊ก วิลเลียมส์ ชายผู้เข้าร่วมกรมตำรวจโอกลาโฮมาในปี 1972 ผู้ซึ่งได้รับใบรับรองในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบเครื่องจับเท็จ ต้องออกมาบอกว่า เครื่องจับเท็จไม่สามารถเชื่อถือได้เสมอไป เพราะเขามีวิธีที่จะหลอกเครื่องโกหกอย่างง่ายๆ อยู่นั่นเอง “ผมสงสัยในตัวเครื่องหลังจากเข้าร่วมการทดลองได้ระยะหนึ่ง ผมรู้ว่าคนเราควบคุมการหายใจได้ แต่ผมคงไม่สามารถควบคุมการเต้นของหัวใจ หรือความดันโลหิตได้หรอก” ดั๊ก วิลเลียมส์เล่าถึงเหตุผลที่เขาค้นพบวิธีการหลอกเครื่องโกหก “แต่ในวันหนึ่งเพื่อนของผมจู่ๆ ก็เข้ามาพูดเรื่องที่ว่าคนเราจะเกร็งกล้ามเนื้อที่รูทวารในตอนที่เครียด”     ใช่แล้วเทคนิคง่ายๆที่ดั๊ก วิลเลียมส์ใช้ในการหลอกเครื่องจับเท็จ ก็คือการเกร็งรูทวารหนักนั่นเอง เขาบอกว่าการเกร็งรูทวารแบบการหยุดอุจจาระกลางคันนั้น จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และการตอบสนองทางผิวหนังโดยการนำกระแสไฟ (GSR) เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าดั๊ก วิลเลียมส์จะไม่ได้บอกว่าการทำเช่นนั้นจะได้ผลในการเปลี่ยนคำโกหกให้กลายเป็นความจริง หรือเปลี่ยนความจริงให้กลายเป็นคำโกหก แต่ดูเหมือนว่าการออกมาเปิดเผยของดั๊ก วิลเลียมส์ในครั้งนี้ จะทำให้เขาถูกฟ้องร้องในข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และฉ้อฉลจากทางกรมตำรวจไป     อย่างไรก็ตามดั๊ก วิลเลียมส์ได้บอกว่าการจะหลอกเครื่องจับเท็จอย่างสมบูรณ์นั้นต้องใช้ ปัจจัยหลายอย่าง และการเกร็งรูทวารเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น คนที่จะผ่านเครื่องจับเท็จได้นั้นจำเป็นต้องมีการฝึกฝน และใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้นั่นเอง   ที่มา mirror, mamamia, thesun

  • ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า!! ร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นป้ายสุดเจ๋ง เพื่อบอกให้ลูกค้าสุภาพกันหน่อย

    ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า!! ร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นป้ายสุดเจ๋ง เพื่อบอกให้ลูกค้าสุภาพกันหน่อย

    ว่ากันว่าการบริการของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีคุณภาพในระดับที่สูงมากๆ จนถึงขนาดที่จะเปรียบเทียบลูกค้าเป็นพระเจ้าก็ไม่ผิดนัก พนักงานจะนอบน้อมมากแถมยังบริการกันในระดับที่แทบจะถวายตัวรับใช้เลยทีเดียว แต่การที่ดูแลกันดีมากขนาดนั้นบางครั้งก็ไม่ได้มีแต่สิ่งดีๆ เสมอไป เพราะในบางครั้งร้านพวกนี้ก็ต้องพบกับการถูกลูกค้าบางกลุ่มเอารัดเอาเปรียบอยู่เป็นนิจ และยังไม่นับร่วมถึงกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติตัวอย่างหยาบคายกับพนักงานอีก นั่นทำให้ร้านคอนโรยะ ตัดสินใจขึ้นป้ายสุดสร้างสรรค์ป้ายหนึ่งขึ้น   ป้ายของร้านคอนโรยะ (คำแปลอยู่ข้างล่าง)   “เฮ้ย! เบียร์! – 1,000 เยน” “ขอเบียร์หน่อย – 500 เยน” “ขอโทษนะครับ/คะ ขอเบียร์หนึ่งที่ 380 เยน” ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า และพนักงานของเราก็ไม่ใช่ทาสด้วย ที่ร้านนี้ ทุกๆ คนคือทาส สมบัติที่สำคัญ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ด้วยรัก ร้านคอนโรยะ   มันเป็นป้ายที่มีเนื้อหาบอกว่าทางร้านจะคิดเงินค่าบริการเพิ่มหากลูกค้าทำตัวไม่สุภาพ (หรือไม่ลดราคาหากทำตัวสุภาพ สามารถมองได้สองแบบ) และขอร้องให้ลูกค้ามองพนักงานว่าเป็นคนคนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันนั่นเอง   หน้าร้านคอนโรยะ   ภาพป้ายที่ว่านี้ปรากฏขึ้นบนโลกโซเชียลผ่านการโพสต์ของผู้ใช้ทวิตเตอร์ @gin_shiru และได้รับผลตอบกับอย่างอบอุ่นจากชาวเน็ต โดยมีผู้เข้าไปกดไลก์ถึง 267,000 ครั้ง และมีการแสดงความเห็นกว่าแสนครั้งหลังจากที่โพสต์ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน “ทำแบบนี้กับทุกร้านในญี่ปุ่นไปเลย!!”  “ถ้าสุภาพกว่าที่เขียนจะได้ลดราคาเพิ่มไหม?” “ถ้าเป็นฉันสั่งตามปกติคงจะโดนเป็นหมื่นเยน ฮาฮาฮา” อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงร้านคอนโรยะที่คิดอะไรแบบนี้ ดูเหมือนป้ายรูปแบบนี้จะสามารถพบได้ในหลายที่พอสมควร…

  • พบพยาธิตัวตืดขนาด 5 เซนติเมตร ในเบ้าตาสาวจีน หลังเธอเปิบพิสดาร และทานของดิบ

    พบพยาธิตัวตืดขนาด 5 เซนติเมตร ในเบ้าตาสาวจีน หลังเธอเปิบพิสดาร และทานของดิบ

    เชื่อว่าเราคงเคยได้ยินคำเตือนเกี่ยวกับการทานเนื้อดิบกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ท้องเสีย หรือพยาธิชนิดต่างๆ อย่างก่อนหน้านี้เองก็เคยมีข่าวพบพยาธิยาว 1.5 เมตร ในร่างกายของหนุ่มชาวอเมริกามาแล้ว ล่าสุดนี้เองที่มณฑลเจียงซู ประเทศจีนก็ได้เกิดเหตุการณ์สุดสยองจากการทานเนื้อดิบขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “หยาง” หญิงสาวผู้รักในการทานของดิบคนหนึ่งต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากมีการพบพยาธิตัวตืดขนาด 5 เซนติเมตรอยู่ด้านในเบ้าตาของเธอ!!   วิดีโอเหตุการณ์จาก Netizen Watch  ตามคำบอกเล่าของทีมแพทย์ พยาธิตัวนี้เดินทางออกมาจากที่บริเวณท้องของหญิงสาว ก่อนจะเร่ร่อนไปทั่วร่างกายของเธอ และหากปล่อยไว้มันมีโอกาสจะขึ้นไปถึงสมองเลยด้วย คุณหยางบอกว่าเธอรู้สึกว่าตาเริ่มบวมตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน และทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตาเป็นอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจทำการเข้ารักการรักษากับจักษุแพทย์ในหนานทง     แพทย์ผู้ดูแลการของเธอ คุณหมอกง อีกัง แนะนำให้เธอเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากเขาเชื่อว่าการบวมของดวงตานั้น เกิดจากการอักเสบหรือเนื้องอก อย่างไรก็ตามระหว่างการผ่าตัดผ่าตัด คุณหมอกงก็พบว่าสิ่งที่เป็นต้นเหตุของการบวมในครั้งนี้ ไม่ใช่การอักเสบหรือเนื้องอก แต่เป็นพยาธิตัวตืดต่างหาก     จากคำให้การของหญิงสาว เธอเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารเปิบพิสดาร ทานของดิบ และเคยทานงูมาก่อนด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่จะมีพยาธิอยู่ในตัวเธอ ในเวลานี้การผ่าตัดได้จบลงแล้ว แต่คุณหยางก็ยังต้องอยู่ในโรงพยาบาลต่อไป เนื่องจากเธอต้องเข้ารับการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีพยาธิตัวอื่นๆ ตกค้างอยู่ในศีรษะของเธอนั่นเอง     ที่มา nextshark, dailymail

  • ตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ ผู้เปิดตำนาน “คําสาปร้ายแห่งฟาโรห์”

    ตุตันคาเมน ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ ผู้เปิดตำนาน “คําสาปร้ายแห่งฟาโรห์”

    ถ้าหากว่าพูดถึงฟาโรห์ของอียิปต์ หลายๆ คนอาจจะมีชื่อของฟาโรห์ในใจต่างๆ กันไป แต่ถ้าหากพูดถึง “คำสาปฟาโรห์” แล้วล่ะก็หลายๆ คนคงจะนึกออกเพียงแค่ฟาโรห์ “ตุตันคาเมน” (หรือ ตุตันคามุน) เท่านั้น ว่าแต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้? ทำไมฟาโรห์องค์หนึ่งถึงได้มีชื่อเสียงต่างไปจากฟาโรห์องค์อื่นๆ ได้มากมายขนาดนั้น ในวันนี้ #เหมียวศรัทธา จะพาเพื่อนๆ ไปพบกับเบื้องหลังของความโด่งดังของฟาโรห์ตุตันคาเมนเอง   ภาพใบหน้าของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่สร้างขึ้นด้วยระบบจำลองใบหน้าจากกะโหลก   เดิมที่แล้วฟาโรห์ตุตันคาเมน มีพระนามในยามประสูติว่า “ตุตันคาเตน” โดยเป็นการตั้งชื่อตามเทพอเตนที่พระบิดาของพระองค์นับถือ หลังจากที่พระบิดาของพระองค์สวรรคต พระองค์ก็เปลี่ยนพระนามเป็น “ตุตันคาเมน” อย่างที่ทราบกันในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตฟาโรห์ตุตันคาเมนกลับไม่ได้มีผลงานใดๆ ที่โดดเด่นมากนัก พระองค์ครองราชย์เพียงแค่ 10 ปี แถมยังสวรรคตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อีกด้วย     อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านสวรรคตต่างหาก ด้วยความที่สาเหตุการสวรรคตของท่านนั้นยังเป็นปริศนา บวกกับการทำมัมมี่ของพระองค์แตกต่างจากมัมมี่อื่นๆ อยู่มาก ร่างของพระองค์ถูกทาเป็นสีดำ อีกทั้งยังไม่มี “หัวใจ” อวัยวะชิ้นเดียวที่ตามปกติจะถูกใส่ไว้ในร่างขณะมีการทำมัมมี่ นอกจากนี้พระองค์ยังถูกฝังพร้อมกับอวัยวะเพศที่ตั้งชูชัน โดยเชื่อกันว่าเป็นการทำให้ท่านเป็นตัวแทนของเทพโอซิริส     นอกจากนี้ตัวสุสานของพระองค์เองก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะด้วยความที่ตัวสุสานมีความสมบูรณ์มากแม้ว่าจะมีคนแอบเข้ามาขุดเป็นบางครั้ง ทำให้สุสานของพระองค์กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่มีค่าในทางประวัติศาสตร์ไป แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่พระองค์มีชื่อเสียงที่สุดหลังจากสวรรคตก็คงไม่พ้น “คำสาปฟาโรห์”…

  • 5 วิธีการตาย ที่ว่ากันว่าทรมานและเลวร้ายที่สุด จะตายทั้งทียังจะทรมานอีกเหรอ?

    5 วิธีการตาย ที่ว่ากันว่าทรมานและเลวร้ายที่สุด จะตายทั้งทียังจะทรมานอีกเหรอ?

    สำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลกที่มีชีวิตอยู่เพื่อความอยู่รอด จะบอกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดอย่างหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์แล้วด้วย เพราะมนุษย์สามารถเข้าใจในความเจ็บและความทรมานของความตายได้เป็นอย่างดี และเข้าใจว่าความตายนั้น ไม่ใช่เรื่องที่แค่จู่ๆ จะดับวูบไปเลย แต่ในบรรดาการตายที่เราหวาดกลัวกันนั้นมันก็ยังมีความตายบางอย่างที่มันโหดร้ายกว่าการตายแบบอื่นมาก เหมือนอย่าง 5 วิธีการตายที่ว่ากันว่าทรมานและเลวร้ายที่สุดต่อไปนี้   การโดนเผา หนึ่งในการสังหารที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะในยุคล่าแม่มด แต่ถึงจะเป็นการตายที่พบเห็นกันบ่อยๆ การโดนเผาตายก็ยังเป็นการตายที่ทรมานมากๆ อยู่ดี โดยในทางการแพทย์แล้ว เหยื่อที่ถูกเผาส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ก่อนที่ไฟจะเผาร่างพวกเขาจนหมดเสียอีก ซึ่งว่ากันตามตรงนั่นอาจจะถือเป็นความโชคดีก็เป็นได้ เพราะผู้ที่ถูกเผานั้นไม่สามารถหมดสติได้ แถมยังแทบไม่มีโอกาสเลือดหมดตัวตายเสียด้วย หากกองไฟที่ใช้เผามีขนาดเล็กแล้วล่ะก็ เหยื่ออาจจะต้องทนเจ็บปวดเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะตายเลยทีเดียว     ค่อยๆ โดนแล่ นี่เป็นการประหารอย่างหนึ่งของจีน เรียกกันว่า “หลิงฉี” (凌遲) หรือที่เรียกกันว่าเชือดพันครั้ง โดยวิธีการก็สมกับชื่อจะเป็นการใช้มีดค่อยๆ แล่ร่างกายของเหยื่อไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากจุดที่ไม่สำคัญ เพื่อให้เหยื่อทรมานมากที่สุด ในบางครั้งจะมีการให้ฝิ่นแก่เหยื่ออีกด้วย โดยบ้างก็ว่าเพื่อให้เหยื่อไม่เจ็บปวดมากด้วยความเมตตา แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมองได้ว่าฝิ่นจะป้องกันเหยื่อไม่ให้หมดสติ และต้องทนทรมานเช่นกัน   โดนประหารด้วยโคสัมฤทธิ์ นี่เป็นเครื่องประหารในยุคกรีซโบราณ โดยจะเป็นการนำตัวนักโทษใส่เข้าไปในรูปปั้นวัวที่ทำจากสัมฤทธิ์ ก่อนที่จะเอาวัวทั้งตัวไปจุดไฟเผา อบตัวผู้ที่อยู่ข้างในจนตาย ส่วนเหตุผลที่ต้องทำให้เป็นรูปวัวก็เพราะตัวโคสัมฤทธิ์จะทำให้เสียงร้องทุรนทุรายของคนข้างใน เปร่งออกมาคล้ายเสียงของวัวนั่นเอง   โดนจับทำเรือมนุษย์ Scaphism หรือเรือมนุษย์ เป็นการประหารของชาวเปอร์เซีย โดยเหยื่อจะถูกจับอดอาหารจนผอม ก่อนที่จะจับขึงไว้กับเรือ…

  • “Gumshoe” รองเท้าสนีกเกอร์สายเลือดใหม่ ทำจากหมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว 20%

    “Gumshoe” รองเท้าสนีกเกอร์สายเลือดใหม่ ทำจากหมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว 20%

    ในยุคที่หมากฝรั่งกลายเป็นของหาได้ง่าย ใครๆ ก็เคี้ยวกัน สังเกตหรือไม่ว่าเราจะพบเศษหมากฝรั่งที่คนบางคนบ้วนทิ้งไว้เต็มท้องถนน (และใต้โต๊ะใต้เก้าอี้) ของพวกนี้นอกจากจะทำให้เมืองสกปรกแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีกต่างหาก     จะมีวิธีอะไรมาช่วยลดปริมาณขยะหมากฝรั่งเหล่านี้บ้างไหมนะ? หมากฝรั่งพวกนี้เอาไปรีไซเคิลได้รึเปล่า? ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ คิดก็ขอให้ดีใจไว้ได้เลย เพราะล่าสุดนี้มีรองเท้าสนีกเกอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทำมาจากหมากฝรั่งรีไซเคิลออกมาแล้ว     นี่เป็นรองเท้าที่ชื่อว่า “Gumshoe” ผลงานจากการร่วมมือกันขององค์กรการตลาด Iamsterdam นักออกแบบจาก Explicit Wear และบริษัท Gumdrop โดยนี่เป็นรองเท้าที่สร้างขึ้นจากวัสดุรีไซเคิลที่ชื่อ Gum-Tec วัสดุที่มีส่วนประกอบจากหมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว 20% Anna Bullus กรรมการผู้จัดการและนักออกแบบของ Gumdrop กล่าวว่า “เราพบว่าหมากฝรั่งทำจากยางสังเคราะห์ ที่หากนำมาแยกองค์ประกอบ เราจะได้ยางรูปแบบใหม่ขึ้นมา”     หมากฝรั่งที่ใช้ในโปรเจกต์ นี้มาจากหมากฝรั่งที่ถูกบ้วนทิ้งตามถนนที่กรุงอัมสเตอร์ดัม และหมากฝรั่ง 1 กิโลกรัมจะสามารถนำไปทำเป็นรองเท้ารูปแบบใหม่ได้ถึง 4 คู่ โดยเจ้ารองเท้าที่ออกมาจะมีความทนทานเหมือนยางทั่วๆ ไป มีกลิ่นหมากฝรั่ง แต่จะไม่เหนียวเหนอะหนะ Gumshoe นับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้วัสดุอย่างหมากฝรั่งเคี้ยวในการทำรองเท้าสนีกเกอร์ และเชื่อกันว่าจะช่วยลดปัญหาเศษหมากฝรั่งของเมืองได้เป็นอย่างดี โดยทางผู้ผลิตรองเท้านี้เอง ก็หวังว่าจะมีการผลิตรองเท้าแบบนี้ในเมืองอื่นๆ และกำลังคิดหาวิธีที่จะทำให้ประชาชนได้รับวิธีการทิ้งหมากฝรั่งเคี้ยวอย่างเป็นที่เป็นทางมากกว่าเดิม    …

  • แรคคูนที่นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์คตายร่วม 26 ตัวหลังมีอาการคล้าย ‘ซอมบี้’ แพทย์รุดตรวจสอบ

    แรคคูนที่นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์คตายร่วม 26 ตัวหลังมีอาการคล้าย ‘ซอมบี้’ แพทย์รุดตรวจสอบ

    ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2018 ได้มีการพบซากแรคคูนรวม 26 ตัวเสียชีวิตอยู่ใน นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์ค สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และแม้ว่าตัวเลขการตายจะสูงก็ตาม แต่ปัญหาจากการตายในครั้งนี้กลับอยู่ที่พฤติกรรมก่อนตายของเหล่าแรคคูนต่างหาก   นิวยอร์กเซ็นทรัลปาร์ค ที่เกิดเหตุ   ดูเหมือนว่าก่อนที่จะตาย แรคคูนเหล่านี้มีพฤติกรรมที่แปลกไปจากที่เคยมาก พวกมันดูงุนงง สับสน ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว และมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้นมากๆ Dr. Sally Slavinski ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกสาธารณสุขของเมืองกล่าวว่า “พวกมันเหมือนกับว่ากำลังเดินวนเป็นวงกลมอย่างไร้จุดหมาย และมีอาการชักเป็นพักๆ”     เรื่องในครั้งนี้ดูเหมือนจะยิ่งลึกลับขึ้นไปอีก เมื่อมีการตรวจโรคเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ และพบว่าในบรรดาแรคคูนที่ตายไปนั้น ไม่มีตัวใดเลยที่เป็น “โรคพิษสุนัขบ้า” โรคที่มักตกเป็นที่สงสัยมากที่สุด ในกรณีที่จู่ๆ สัตว์ก็ดุร้ายขึ้น กลุ่มอาการที่พบนั้นใกล้เคียงกับอาการของซอมบี้ในภาพยนตร์มากจนมีคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่านี่อาจจะเป็นไวรัสซอมบี้ที่เราไม่เคยพบมาก่อนก็เป็นได้     อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตัดสินใจส่งชิ้นเนื้อของแรคคูนที่เสียชีวิตสองตัวไปยังห้องแล็บของรัฐ ในที่สุดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ก็ทราบสาเหตุของอาการคล้ายซอมบี้ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าแรคคูนเหล่านี้จะติดโรคไข้หัด (Distemper) ซึ่งตามปกติจะทำให้สัตว์ มีไข้สูง ซึม อ่อนแรง เบื่ออาหาร และเป็นอันตรายถึงชีวิต     แม้ว่าโรคไข้หัดในสัตว์จะไม่ติดต่อสู่คนก็ตาม แต่ในขณะนี้ได้มีการเตือนภัยไปยังกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากโรคไข้หัดในแรคคูนมีโอกาสที่จะติดต่อไปยังสัตว์เลี้ยงได้ ทั้งทางน้ำลาย ปัสสาวะ…

  • รวม 22 ภาพคอสเพลย์สุดเจ๋ง จากคอมมิคคอนที่ซานดิเอโก สีสันที่ขาดไม่ได้ของงานการ์ตูน

    รวม 22 ภาพคอสเพลย์สุดเจ๋ง จากคอมมิคคอนที่ซานดิเอโก สีสันที่ขาดไม่ได้ของงานการ์ตูน

    หลังจากที่มีการจัดงานกันไปอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงวันที่ 22 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา งานคอมมิคคอน ที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสวยงามอีกปีแล้ว และราวกับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของงานแบบนี้ เมื่องานจบลงเหล่าผู้เข้าร่วมงานก็จะนำภาพสีสันในงานมาให้ชาวโลกได้ชื่นชมกัน ไม่ว่าจะเป็นเทรลเลอร์เปิดตัวหนังใหม่ ภาพงานที่มีคนเดินกันพลุกพล่าน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเหล่าคอสเพลย์นั่นเอง โดยในปีนี้ที่งานคอมมิคคอนก็มีคอสเพลเยอร์มากหน้าหลายตาเข้าไปร่วมกันแต่งกายถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเหมือนเคย ว่าแต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามดูกันได้เลยที่ข้างล่างนี้   Edna Mode (และ Jack Jack)   รองกัปตัน Amilyn Holdo ก็มา   รู้จักครอบครัว Recess กันไหม?   แกรนด์มาสเตอร์ดูเปลี่ยนไปนะ   ฝ่าบาทมากันเป็นทีมเลย   Kuzco ไงจะใครล่ะ   Peggy Carter ของ Marvel   คู่หูคู่ฮา น่ารักไหมล่ะ   ถ้าข้างบนน่ารัก อันนี้ก็เท่   ยอดไปเลยคุณหมอ   Hagrid!! น่ากอดอะไรป่านนั้น   Maui…

  • 12 สิ่งประหลาดที่ชาวเน็ตค้นพบภายได้แฮชแท็ก “นี่มันอะไร” + ตัวตนที่แท้จริงของมัน

    12 สิ่งประหลาดที่ชาวเน็ตค้นพบภายได้แฮชแท็ก “นี่มันอะไร” + ตัวตนที่แท้จริงของมัน

    การใช้ชีวิตบนโลกของเรานั้นบางครั้งเราก็พบกับอะไรที่อธิบายไม่ได้อยู่เหมือนกัน เวลาเจอของเหล่านั้นบางครั้งผู้ค้นพบก็มักที่จะรวบรวมมันมาเป็นแฮชแท็ก “นี่มันอะไร” #whatisthething เพื่อหวังว่าสักวันจะมีคนมาไขความกระจ่างให้กับมัน และก็ถือเป็นโชคดีของคนต่อไปนี้จริงๆ ที่สิ่งที่พวกเขาพบนั้น มีผู้รู้มาให้คำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   ผมเจอเจ้านี่ในห้องเซิร์ฟเวอร์ มันคืออะไร? ทำไมดูเหมือนระเบิดเลย จากข้อมูลของชาวอินเตอร์เน็ตส่วนมาก สิ่งที่ใกล้เคียงกับเจ้านี่มากที่สุดคือ “9M14 Malyutka” จรวดนำวิถีต่อต้านรถถัง โดยล่าสุดเจ้าของภาพได้ติดต่อไปยังทางตำรวจแล้ว และมีการเก็บกู้เจ้าสิ่งนี้ในเวลาต่อมา     พบขวดแก้วเหล่านี้ตอนเราขุดสนามหญ้าในไอร์แลนด์ มันคืออะไร ขวดเหล่านี้ถูกใช้เพื่อขนน้ำมันพิเศษสำหรับแบตเตอรี่   เจอปุ่มที่ เมื่อคุณกดทั้งสองปุ่ม ปากเล็กๆ ตรงกลางจะสว่างขึ้นมันคืออะไร? มันคือปุ่มฉุกเฉิน ใช้เพื่อเรียกตำรวจ หรือความช่วยเหลืออื่นๆ ดูเหมือนว่าเจ้าของรูปจะทราบเรื่องนี้เนื่องจากมีตำรวจจำนวนมากมาที่ที่ทำงานของเขา   ดูเหมือนรถบรรทุกกำลังขน UFO เลย มันคืออะไรเหรอ? จากคำบอกเล่าของชาวเน็ต ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเครื่องบินรบ F-35 นั่นเอง   เจอเจ้านี่บนหิ้งที่ยายใช้เก็บของตอนเดินทางไปทั่วโลกคืออะไรเหรอ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นส้อมที่ใช้ในพิธีการกินคนของคนบนหมู่เกาะฟิจิ   เจอท่อประหลาดที่เนินเขาคืออะไร นี่เป็นระบบควบคุมและลดความเสี่ยงจากหิมะถล่ม   เจอของเล็กๆ ที่น่าจะทำจากหินอ่อนบนโต๊ะที่บ้านคุณยาย มันใช้ทำอะไรเหรอ จากคำบอกเล่าของชาวเน็ตเชื่อกันว่านี่เป็นที่ทับกระดาษ อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกกลุ่มที่บอกว่าเจ้านี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาโรคท้องผูกต่างหาก   มีเมฆแบบนี้อยู่แถวๆ ที่ทำงานทั้งๆ ที่ท้องฟ้าโปร่ง…

  • 5 เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ เรื่องราวประหลาดๆ แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วบนโลกใบนี้

    5 เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ เรื่องราวประหลาดๆ แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วบนโลกใบนี้

    คนเรานั้นแสวงหาความรู้มาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งมีความรู้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้เปรียบเท่านั้น แต่ความรู้นั้นไม่ได้ใช้เพื่อให้ได้เปรียบคนอื่นเสมอไป เพราะบางครั้งคนเราก็หาความรู้เพียงเพราะสนใจในความรู้เหล่านั้นเฉยๆ เช่นกัน เพราะเวลาเราเห็นอะไรที่น่าสนใจ เราก็มักจะอยากรู้ความจริงเบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้นใช่ไหมล่ะ เหมือนกับเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจทั้ง 5 ข้อข้างล่างนี้ ที่จะมาทำให้คุณสงสัยว่า ของแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงๆ ดิ?   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเคยทำการทิ้งระเบิดตัวหมัดใส่ประเทศจีน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1940 โดยตัวหมัดที่ใช้ในการทิ้งระเบิดครั้งนี้เป็นพาหะของโรคกาฬโรค และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 2,100 คน   ฟาโรห์ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์เพียงองค์เดียวที่ถูกฝังโดยมีอวัยวะเพศแข็งตัว Salima Ikram ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยในอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อียิปต์บอกว่า การกระทำเช่นนี้มาจากความพยายามที่จะให้ฟาโรห์มีลักษณะใกล้เคียงกับเทพโอซิริสที่สุด ดังนั้น ฟาโรห์ตุตันคาเมน (หรือตุตันคามุน) จึงถูกทำเป็นมัมมี่โดยทาผิวเป็นสีดำ ไม่มีหัวใจ และอวัยวะเพศชายแข็งตัว   แผลเป็นบางประเภทนั้น ไม่มีเมลานิน เนื่องจากเซลล์ Melanocytes ที่ผลิตเมลานินถูกทำลายไป นั่นเป็นเหตุผลที่แผลเป็นแบบนี้มักจะมีสีต่างไปจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ซึ่งจะไม่เปลี่ยนเป็นสีแทนเหมือนผิวส่วนอื่นและยังไหม้แดดได้ง่ายอีกด้วย   Armin Meiwes เคยลงโฆษณาในอินเตอร์เน็ตเพื่อหาคนที่จะยอมโดนเขาฆ่าและกิน ไม่น่าเชื่อที่มีชายคนหนึ่งติดต่อมาหาเขาจริงๆ โดยชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า Bernd Brandes โดยหลังจากที่ฆ่าและกินนาย Brandes แล้ว Meiwes ก็ถูกจับเข้าคุกก่อนจะผันตัวไปทานมังสวิรัติ…

  • พบแล้ว.. ชนเฝ่าแห่งป่าแอมะซอนคนสุดท้าย ชายผู้น่าเศร้าที่ต้องเสียทุกคนไป

    พบแล้ว.. ชนเฝ่าแห่งป่าแอมะซอนคนสุดท้าย ชายผู้น่าเศร้าที่ต้องเสียทุกคนไป

    เมื่อไม่นานมานี้มูลนิธิแห่งชาติอินเดียน (FUNAI) ของบราซิลได้ทำการเผยแพร่วิดีโอภาพ ผู้ชายวัยราวๆ 50 ปีสวมชุดผ้าเตี่ยวและไว้ผมยาวห้อยข้างหลัง กำลังยืนตัดต้นไม้ ในผืนป่าดิบชื้น ของรัฐรอนโดเนีย ประเทศบราซิล   วิดีโอต้นฉบับจาก FUNAI   ในรัฐรอนโดเนียสมัยก่อนเกิดการเพาะปลูกและตัดไม้ทำลายป่าผิดกฎหมายอย่างรุนแรงขึ้น นำไปสู่การโจมตีและขับไล่ชนเผ่าพื้นเมืองออกจากพื้นที่ ทำให้จำนวนของประชากรในชนเผ่าลดลงอย่างน่าใจหาย และท้ายที่สุดในปี 1995 แหล่งข่าวจำนวนมากก็ยืนยันข้อมูลที่ว่า ประชากรจากชนเผ่าพื้นเมืองที่ลดลงจนเหลือเพียง 6-7 คนสุดท้ายนั้น ตอนนี้ได้จะหายไปหมดแล้ว หรือถ้าโชคดีก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว   ภาพที่อยู่ของชนเผ่านี้ (ภาพจากปี 2005)   นั่นทำให้ในปี 1996 เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญพบเห็นชาวพื้นเมืองคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากการถูกทำร้ายและขับไล่ ทางรัฐบาลจึงได้มีการกำหนดให้รอบๆ พื้นที่ที่ชายคนดังกล่าวอาศัยอยู่เป็นพื้นที่หวงห้าม และชายคนที่อยู่ในวิดีโอ ก็คือชายผู้รอดชีวิตนั่นเอง เขาโดยได้รับชื่อเล่นว่า “มนุษย์รู ชนพื้นเมือง” เนื่องจากมีร่องรอยการที่เขาขุดหลุมลึกหลายหลุม ซึ่งคาดว่าใช้ในการซ่อนตัวหรือวางกับดักหาเหยื่อ   ภาพของชายคนดังกล่าวมีการถ่ายได้ครั้งแรกในปี 1998   ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่เคยพยายามติดต่อกับชายในวิดีโออยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีความหวาดกลัวต่อคนภายนอก ถึงขั้นที่ว่าชายหนุ่มจะโจมตีใส่คนภายนอกทันทีที่เห็น อย่างไรก็ตามเป้าหมายหลักของทาง FUNAI นั้นได้บรรลุผลแล้ว เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มั่นใจว่าชายที่พบมีสุขภาพแข็งแรง สามารถออกล่าสัตว์และเพาะปลูกพืชได้     “เราไม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเขา” ฟิโอนา วัตสัน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและสนับสนุนองค์กรสากลเพื่อปกป้องชนเผ่าพื้นเมืองกล่าว “แต่เขานั้นเป็นตัวอย่างของ ‘ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์’…

  • “Hobo Signs” สัญญาณกุ๊ยแห่งอเมริกาปลายศตวรรษที่ 19 ของคนจรเครือข่ายรถไฟ

    “Hobo Signs” สัญญาณกุ๊ยแห่งอเมริกาปลายศตวรรษที่ 19 ของคนจรเครือข่ายรถไฟ

    มีเรื่องเล่าในสหรัฐอเมริกาช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ว่าที่รั้วของอาคารและสถานที่ จะมีสัญลักษณ์ลึกลับสลักเอาไว้โดยกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดี มันเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ แต่ก็มีความเป็นมนุษย์มากเกินกว่าจะเป็นสิ่งลึกลับจากต่างโลก นี่เป็นสัญลักษณ์ที่เรียกกันว่า “Hobo Signs” หรือ “สัญญาณกุ๊ย” ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เหล่าคนจน คนไร้บ้าน หรือคนจรจัดใช้ในการสื่อสารตามเครือข่ายรถไฟสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการเตือนภัย แนะนำเหยื่อการทำงานผิดกฎหมาย หรือแม้แต่แยกมิตรศัตรู     มีผู้คนมากมายพยายามที่จะตีความสัญลักษณ์เหล่านั้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บ้างแปลได้ถูกต้อง บ้างก็ยังคงเป็นสัญญาณที่มีความคลุมเครือ อย่างไรก็ตามนี่คือตัวอย่างของ สัญญาณกุ๊ย ที่ได้รับการยอมรับแล้วว่า ถูกถอดความหมายมาได้อย่างถูกต้อง   ผู้หญิงใจดีอาศัยอยู่ที่นี่   ผู้หญิงใจดี (เล่าอดีตน่าเศร้า)   ทำงานแลกอาหารได้ที่นี่   คุยเรื่องศาสนา แล้วจะได้รับอาหารฟรี   ที่นอนมีหลังคา   มีแอลกอฮอล์   โทรศัพท์ฟรี   รักษาฟรี   ที่ที่หากคุณป่วย จะมีคนคอยดูแลคุณ   อย่าส่งเสียง   ระวังคำพูด   สุนัขขี้เห่าอยู่ที่นี่   สุนัขดุอยู่ที่นี่  …

  • บ่อน้ำร้อนในสนามบิน การบริการใหม่สุดสร้างสรรค์ จากสนามบินชิโตเสะแห่งใหม่

    บ่อน้ำร้อนในสนามบิน การบริการใหม่สุดสร้างสรรค์ จากสนามบินชิโตเสะแห่งใหม่

    ถ้าพูดถึงสนามบิน เพื่อนๆ จะนึกถึงอะไร? ตึกขนาดใหญ่เครื่องบินเยอะๆ เหรอ? หรือว่าร้านขายของปลอดภาษี (แต่ดันราคาแพง) แต่ไม่ว่าจะนึกถึงอะไรก็คงไม่มีใครนึกถึงบ่อน้ำร้อนในสนามบินกันหรอกใช่ไหมล่ะ แต่ตั้งแต่นี้ไปหากพูดถึงสนามบินชิโตเสะแห่งใหม่ซึ่งตั้งขึ้นใกล้กับซัปโปโรแล้วล่ะก็ บ่อน้ำร้อนจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องพูดถึงกันขึ้นมาอย่างแน่นอน เพราะที่สนามบินแห่งนี้มีบ่อน้ำร้อนเปิดอยู่ในสนามบินเลย     นี่เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีชื่อแบบตรงๆ ตัวเลยว่า บ่อน้ำร้อนสนามบินชิโตเสะแห่งใหม่ ตั้งอยู่ภายในชั้นสี่ของอาคารผู้โดยสารในประเทศ โดยที่นี่จะมีบ่อน้ำร้อนให้บริการทั้งแบบในร่มและกลางแจ้ง ซึ่งออกแบบมาให้คุณได้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างที่สุด ไม่ว่าบ่อที่คุณเลือกจะเป็นบ่อในร่มหรือกลางแจ้งก็ตาม     และนอกจากจะมีบริการบ่อน้ำร้อนแล้ว ที่นี่ยังมีที่เก็บของ ให้เช่ายูกาตะกับกิโมโน แถมยังมีน้ำชาถึงสามแบบให้คุณดื่มดับกระหายกันแบบฟรีๆ     เท่านั้นยังไม่พอออนเซ็นแห่งนี้ยังมีร้านอาหารให้คุณได้ทานเมื่อยามหิว และหากเครื่องบินของคุณเกิดดีเลย์ข้ามวันขึ้นมา ที่นี่ก็มีบริการห้องพักที่มีทีวีส่วนตัว นอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้องสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับลูกค้าที่รู้สึกไม่สบายใจหากอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้โดยแขกผู้ชายอีกด้วย     ค่าบริการของบ่อน้ำร้อนแห่งนี้อยู่ที่ 1,500 เยนต่อคน (ราวๆ 450 บาท) สำหรับการใช้งานตั้งแต่ 10 โมงเช้ายันตีหนึ่งของอีกวัน และถ้าหากเครื่องบินที่คุณโดยสารมาถึงสนามบินหลังตี 1 คุณจะสามารถใช้บริการบ่อน้ำร้อนที่นี่ได้จนถึง 9 โมงเช้าของอีกวันเลย (ว่าง่ายๆ ก็ 32 ชั่วโมงรวด)     และบอกไว้ก่อนนะว่าการจองห้องพักของที่นี่ไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแถมยังมีอาหารเช้าให้อีกด้วย แต่ถ้าหากว่าใครกระเป๋าหนักมีเงินเยอะก็สามารถเข้าพักในห้องพักส่วนตัวสไตล์โรงแรมได้ด้วย    …

  • ชาวเน็ตร่วมลงนาม “อยากดื่มน้ำสีแดง” จากโลงศพหินที่ค้นพบในเมืองอเล็กซานเดรีย

    ชาวเน็ตร่วมลงนาม “อยากดื่มน้ำสีแดง” จากโลงศพหินที่ค้นพบในเมืองอเล็กซานเดรีย

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังจำกันได้ ว่าเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา มีการเปิดโลงหินสีดำลึกลับในเมืองอเล็กซานเดรีย ท่ามกลางความไม่สบายใจของชาวเน็ตที่กลัวกันว่าภายในโลงนั้นอาจจะมีคำสาป หรือโรคร้ายจากสมัยโบราณอยู่ก็เป็นได้ (อ่านข่าวเก่าได้ที่ เปิดแล้ว!! โลงหินสีดำลึกลับในอเล็กซานเดรีย ท่ามกลางความหวาดกลัวคำสาปโบราณ)     หลังจากที่เปิดโลงออกมาได้ไม่นานเหล่านักโบราณคดีก็ได้พบกับกลิ่นเหม็นสุดทานทนพร้อมกับโครงกระดูกสามร่างที่จมอยู่ในน้ำเสียสีน้ำตาลแดง ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่มาของกลิ่นเหม็นที่พบ เรื่องราวในครั้งนี้มันเกิดขึ้นจากเจ้าน้ำที่ว่านี่เอง เพราะในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หวาดกลัวว่าเจ้าน้ำสีน้ำตาลแดงนี้อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคโบราณที่อาจจะนำมาซึ่งหายนะแก่โลกปัจจุบันก็เป็นได้ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดต่างกันออกไป     กลุ่มคนเหล่านี้นำโดย Innes McKendrick ผู้ผลิตวิดีโอเกมจากกิลฟอร์ด เซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ โดยเขาได้ทำการเปิดการลงรายชื่อในเว็บไซต์ Change.org เพื่อเรียกร้องที่จะให้ผู้คนเข้าไป “ดื่มน้ำสีน้ำตาลแดง” จากโลงศพที่ถูกค้นพบ!! โดยเนื้อความของการลงนามในครั้งนี้มีอยู่ว่า “เราต้องการจะดื่มของเหลวสีแดงจากโลงศพทมิฬต้องสาป ในรูปแบบของน้ำอัดลมชูกำลัง เพื่อรับพลังอำนาจมาเป็นของตน และตายไปได้ในที่สุด”     แม้ว่าจะฟังดูบ้าบอ แต่ในปัจจุบันคำร้องนี้ก็มีผู้เข้าไปสนับสนุนแล้วร่วม 10,000 รายชื่อ ไม่แน่นะว่าในเหล่าคนที่ไปลงชื่อเหล่านั้นอาจจะมีใครสักคนที่คิดจะไปตักน้ำในโลงนั้นขึ้นมาดื่มจริงๆ ด้วยความเชื่อก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันทางอียิปต์ได้ทำการส่งร่างที่พบในโลงหินสีดำทั้งสามไปยังพิพิธภัณฑ์อเล็กซานเดรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีการจัดการน้ำเสียสีน้ำตาลแดงในโลงอย่างไร หรือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีของเหลวอยู่ในโลงที่อายุมากกว่า 2 สหัสวรรษได้นั้น ในปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด     ที่มา ladbible, metro, change

  • ชาวจีนทำบุญปล่อยปลากว่า 10,000 ตัว แต่กลับโดนชาวบ้านจับ ห่างจากฝั่งไม่ถึง 10 เมตร

    ชาวจีนทำบุญปล่อยปลากว่า 10,000 ตัว แต่กลับโดนชาวบ้านจับ ห่างจากฝั่งไม่ถึง 10 เมตร

    ในประเทศไทย เรามักจะคุ้นเคยกับการทำบุญปล่อยนกปล่อยปลากันมาอยู่บ้าง แต่รู้กันหรือไม่ว่าชาวจีนที่มณฑลเสิ่นหยาง ประเทศจีนเองก็มีการปล่อยนกปล่อยปลาในแบบของเขาเช่นกัน พิธีที่ว่านี้มีชื่อในภาษาจีนว่าฟ่างเฉิง (放生) ซึ่งแปลตรงๆ ว่า “ปล่อยชีวิต” ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นการปล่อยปลาครั้งใหญ่ที่มีจำนวนมากมายถึง 10,000 ชีวิตกลับคืนลงสู่แม่น้ำเสียด้วย     และเมื่อพูดถึงการปล่อยนกปล่อยปลา หลายๆ ครั้งในประเทศไทยจะมีคนฉวยโอกาสดักจับปลาที่ปล่อยคืนสู่แม่น้ำเอาไปขายใหม่กันอยู่ใช่ไหม? การปล่อยปลาครั้งใหญ่ครั้งนี้เองก็มีคนดักจับปลาที่ปล่อยออกมาเช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือที่จีนนั้นการดักจับปลาเกิดขึ้น ข้างๆ พื้นที่ปล่อยปลาเลย   ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก Netizen Watch    จากการรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศ ดูเหมือนว่าปลาที่เหล่าชาวบ้านจับได้นั้นจะไม่ได้ถูกนำกลับไปขาย แต่จะถูกน้ำไปสังหารและกลายเป็นอาหารต่อไป และถึงแม้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจจะทำให้คนที่ดูรู้สึกไม่ดีต่อปลาที่ได้รับการปล่อยออกไปอยู่บ้าง แต่จากคำบอกเล่าของชาวบ้านบวกกับนักตกปลาในพื้นที่แล้ว การปล่อยปลาเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาว่าได้บุญเยอะก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำด้วย     เนื่องจากปลาที่ปล่อยไปนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าปริมาณอาหารในแอ่งน้ำ บวกกับมีโอกาสสูงที่ปลาที่นำมาปล่อยจะเป็นปลาต่างถิ่นอีกด้วย ดังนั้นทางชาวบ้านและนักตกปลาจึงได้เข้ามาลดจำนวนปลาที่ถูกปล่อยลงในแหล่งน้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เองก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปล่อยปลาเช่นนี้ในประเทศ เพราะในปี 2013 เองก็มีเหตุการณ์ปลาน้ำหนักรวมกว่า 250 กิโลกรัมตายเกลื่อนที่ชายฝั่งในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งทางรัฐบาลจีนเชื่อว่ามีต้นเหตุมาจากการปล่อยปลาจำนวนมากของชาวจีนนั่นเอง     ที่มา shanghai, nextshark, scmp, todayonline

  • ชายชาวจีนวัย 44 เดินไต่เชือกกลับหัว จนเป็นที่โด่งดังในประเทศ หลังฝึกมากว่าครึ่งปี

    ชายชาวจีนวัย 44 เดินไต่เชือกกลับหัว จนเป็นที่โด่งดังในประเทศ หลังฝึกมากว่าครึ่งปี

    คนเรานั้นหากตั้งใจจะทำอะไร ต่อให้สิ่งที่ทำอาจจะดูไม่มีสาระก็ตามที หากพยายามแล้วล่ะก็ ย่อมต้องมีใครสักคนเห็นค่าเข้าในสักวันอย่างแน่นอน นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับสิ่งที่หลิน เหลียงหวัง ชายวัย 44 ปี จากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน พยายามกว่า 6 เดือนที่จะทำมัน เพราะเขาคือเจ้าของคลิปวิดีโอสุดฮิต “การเดินกลับหัว” ที่กำลังเป็นที่โด่งดังในประเทศจีนนั่นเอง    คลิปวิดีโอที่ว่าจาก South China Morning Post แม้ว่าอาจจะฟังดูธรรมดา แต่การเดินกลับหัวบนเชือกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะนอกจากต้องใช้กำลังขาที่มากแล้ว การทรงตัวยังเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ อีกด้วย ว่ากันตามตรงแม้แต่สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของคุณหลินเอง ก็ยังเป็นการแสดงที่ผิดพลาดเมื่อปี 2017 เลยด้วย     คุณหลินเล่าว่า ในตอนแรกเขาฝึกด้วยการห้อยเชือกสองเส้นจากเพดานห้อง และทำอยู่อย่างนั้นราวๆ 2-3 เดือนก่อนที่จะเริ่มฝึกเดิน และฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในจุดจุดหนึ่งเขาได้ออกแบบรองเท้าที่หนักกว่า 125 กิโลกรัมมาให้ฝึกอีกด้วย     “จุดที่ยากที่สุดคือการไต่ทางลาดชัน” คุณหลินกล่าว “คุณต้องใช้ข้อเท้าของคุณเกี่ยวกับเชือก ขณะปีนทางลาด ทั้งเท้าและร่างของคุณต้องโค้งเพื่อให้ได้แรงกายที่มากที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีทางทำมันสำเร็จ”     ในปัจจุบันสถิติการเดินกลับหัวเหนือพื้นดิน 8 เมตรนั้นมีระยะทางอยู่ที่…

  • วีรบุรุษแห่งเที่ยวบิน นำเครื่องลงฉุกเฉินโดยไม่มีคนเจ็บ ก่อนจะเดินออกมาขอโทษผู้โดยสาร

    วีรบุรุษแห่งเที่ยวบิน นำเครื่องลงฉุกเฉินโดยไม่มีคนเจ็บ ก่อนจะเดินออกมาขอโทษผู้โดยสาร

    เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา ได้มีเหตุเครื่องบิน Airbus A320 เที่ยวบินที่ BA2605 ของสายการบินบริติชแอร์เวย์ซึ่งเดินทางออกจากเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ต้องทำการลงจอดฉุกเฉินหลังจากพบปัญหาทางเทคนิคบนเครื่อง การลงจอดฉุกเฉินในครั้งนี้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานลอนดอนแกตวิกในเวลาประมาณ 0.30 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น     ซึ่งในระหว่างการนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินนี้ ทางสนามบินชะลอการลงจอดของเที่ยวบินที่กำลังจะลงจอดทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้กับเที่ยวบิน BA2605 โชคดีที่จากรายงานของทางสายการบิน การลงจอดฉุกเฉินจบลงโดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ดูเหมือนว่าการลงจอดฉุกเฉินในครั้งนี้จะมาจากการที่กัปตันของเที่ยวบิน พบว่ามีการรั่วไหลของสารไฮดรอลิกในตัวเครื่อง และตัดสินใจที่จะนำเครื่องลงแบบฉุกเฉิน ท่ามกลางความหวาดกลัวของเหล่าผู้โดยสาร     โดยหลังจากที่นำเครื่องลงได้อย่างปลอดภัย กัปตันของเที่ยวบินก็ได้ทำการเดินออกมาปลอบโยนผู้โดยสารที่กำลังขวัญเสียบนเครื่อง เขาขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และบอกกับผู้โดยสารว่า “ผมไม่อยากให้พวกคุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลย ผมขอขอบคุณสำหรับความอดทนและความเข้าใจที่พวกคุณมีจริงๆ”   วิดีโอเหตุการณ์ในครั้งนี้จาก The Mirror    วิดีโอในครั้งนี้ถูกโพสต์ออนไลน์โดยนางแบบชาวอิสราเอลโฮฟิต โกแลน ผู้ซึ่งเก็บภาพของเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในโพสต์ของเธอนั้น เธอได้บอกว่า “แม้จะยังลงจากเครื่องไม่ได้แต่อย่างน้อยพวกเราก็ปลอดภัยแล้ว” ก่อนที่เธอจะเสริมต่อว่า “นักบินในครั้งนี้ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ” นั่นเอง     ที่มา mirror, express, telegraph

  • พนักงานโยนของกินลงโถฉี่ คลุกๆ แล้วหยิบมากิน บอกเชื่อสิที่นี่สะอาดของเปื้อนฉี่ก็กินได้

    พนักงานโยนของกินลงโถฉี่ คลุกๆ แล้วหยิบมากิน บอกเชื่อสิที่นี่สะอาดของเปื้อนฉี่ก็กินได้

    เวลาที่คนทำความสะอาดพยายามยืนยันให้เรามั่นใจว่าการทำงานของเขาเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบนั้น บางครั้งเราก็จะเห็นพวกเขาเอามือยืนเอาไปจับที่ที่ตัวเองทำความสะอาดกันใช่ไหมล่ะ? หรือถ้ามั่นใจหนักหน่อยก็คงเป็นการเอามือจับโถส้วมโชว์     แต่นั่นไม่ใช่สำหรับพนักงานของบริษัทเทียนฝู บริษัทผลิตขนมในมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ความสะอาดของห้องน้ำ เป็นสิ่งที่พวกเขามั่นใจมาก ถึงขั้นที่ว่ากล้าเอาขนมของบริษัท (ตามแหล่งข่าวบอกว่าเป็นโมจิ) ลงไปกลิ้งข้างในโถปัสสาวะ ก่อนที่จะหยิบขึ้นมาทานหน้าตาเฉยเลย   วิดีโอการทานขนมของเหล่าพนักงาน จากช่อง Netizen Watch    “ดูนะ ฉันกลิ้งมันไปมาประมาณ 20 ครั้ง แล้วฉันจะเป็นคนแรกที่กินมัน” ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทกล่าวก่อนส่งขนมเข้าปากไป แต่การกระทำในครั้งนี้ยังไม่จบแค่นั้น เพราะต่อจากผู้จัดการทั่วไปแล้ว เหล่าพนักงานอีกหลายคนก็เดินเข้าไปหยิบขนมดังกล่าวขึ้นมาทานเช่นกัน แถมราวกับตอกย้ำความมั่นใจในการทำความสะอาดของพวกเขา เหล่าพนักงานขึ้นขั้นเอาโต๊ะอาหารมานั่งทานกันในห้องน้ำเลยด้วย     ผู้จัดการบอกว่าการนำเสนอที่ไม่ซ้ำใครเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้บังคับบัญชาของที่นั่น “เราขอให้ผู้บังคับบัญชาของเราทำความสะอาดห้องสุขาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฝึกอบรมที่ว่า” และเราทำแบบนี้มากว่า 25 ปีแล้ว เธอบอกว่าทางบริษัทจะล้างห้องน้ำจนกว่าจะไม่มีกลิ่นจน “ปัสสาวะสะอาดจนกินได้” ถึงขั้นที่หากคุณทำของกินตกลงไป คุณก็แค่หยิบมันขึ้นมาทานต่อ     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิดีโอต้นฉบับใน Weibo จะมีผู้เข้าชมไปมากกว่า 770,000 ครั้งแล้วก็ตาม แต่ชาวเน็ตส่วนมากก็ยังมองว่าการกระทำของคนในบริษัทแห่งนี้เป็นอะไรที่ไม่ถูกหลักอนามัยอยู่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะต่อให้โถปัสสาวะสะอาดขนาดไหน แต่ในปัสสาวะเองก็มีแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ปะปนอยู่เป็นจำนวนมากอยู่ดี…

  • หลุดคลิปเด็กอายุราว 7-8 ขวบขับรถเร็ว 120 บนมอเตอร์เวย์ขณะคนถ่ายเชียร์ให้แซงรถบรรทุก

    หลุดคลิปเด็กอายุราว 7-8 ขวบขับรถเร็ว 120 บนมอเตอร์เวย์ขณะคนถ่ายเชียร์ให้แซงรถบรรทุก

    เมื่อไม่นานมานี้ได้มีวิดีโออันน่าตกใจเผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียล และทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในหมู่ผู้ที่เข้าไปพบเห็น มันเป็นวิดีโอของเด็กชายอายุราวๆ 7-8 ขวบรายหนึ่ง ซึ่งกำลังขับรถด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่บนถนนมอเตอร์เวย์ที่เมืองซีบีอู ทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย    วิดีโอของเหตุการณ์ในครั้งนี้จาก The Mirror    จากมุมกล้องของวิดีโอสามารถวิเคราะห์ได้ว่า คลิปในครั้งนี้ถูกถ่ายโดยผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง โดยเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กชายผู้จับพวงมาลัยรถ และจากตำแหน่งการนั่งที่ขอบเบาะของเด็กชายแล้ว เชื่อว่าเด็กหนุ่มไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยด้วยซ้ำ ในวิดีโอจะเห็นว่าเด็กชายได้ขับรถเข้าใกล้กับรถบรรทุก ก่อนที่ผู้ใหญ่ที่กำลังถ่ายภาพจะตะโกนบอกเด็กชายว่า “แซงเลย!” ก่อนที่จะสอนให้เขาเปิดไฟเลี้ยวก่อนแซง     ทันทีที่การแซงจบลงเหล่าคนที่นั่งอยู่ในรถก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และมีการซูมให้ดูความเร็วที่รถกำลังวิ่งอยู่ในขณะนั้น ก่อนที่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เราจะฝึกกันอีกนิดนะ”     วิดีโอดังกล่าวอยู่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กและมียอดคนเข้าชมมากกว่าห้าแสนครั้ง โดยชาวเน็ตส่วนมากตำหนิพ่อแม่ของเด็กที่ปล่อยให้เด็กชายทำอะไรที่อันตรายขนาดนั้น รวมทั้งแสดงความไม่พอใจกับเหล่าผู้ใหญ่ที่อยู่ในรถด้วย “คนพวกนี้ทำเป็นเล่นกับชีวิตของตัวเองและผู้อื่นอยู่!!” ชาวเน็ตคนหนึ่งกล่าว ในขณะที่ผู้ชมอีกคนเสริมว่า “ผู้ปกครองของเด็กคนนี้สมควรโดนปรับ” อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่มีการออกมาให้ข้อมูลใดๆ จากทางกรมตำรวจโรมาเนียเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น   ที่มา mirror, infosurhoy, dailystar

  • นักเขียนอเมริกา ผู้เคยไปคุยกับลูซิเฟอร์ลั่น “คนดังมีรอยช้ำที่ตา” อาจเป็นสมาชิกอิลลูมินาติ

    นักเขียนอเมริกา ผู้เคยไปคุยกับลูซิเฟอร์ลั่น “คนดังมีรอยช้ำที่ตา” อาจเป็นสมาชิกอิลลูมินาติ

    ช่วงหลังๆ มานี้ดูเหมือนว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับองค์กรลึกลับโผล่ออกมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสปายในสหรัฐฯ หรือข่าวคนจากอนาคตปี 2030 บอกว่าอิลลูมินาตินั้นมีอยู่จริง     ล่าสุดนี้เองเชอร์รี่ ชาร์ยเนอร์ นักเขียนและผู้รายการวิทยุทางอินเทอร์เน็ตชาวอเมริกา เจ้าของผลงานหนังสือ Interview With The Devil (บทสัมภาษณ์กับปีศาจร้าย) หนังสือที่เธอเขียนขึ้นโดยอ้างว่าได้มีโอกาสไปคุยกับลูซิเฟอร์ ก็ได้ออกมาบอกว่า คนดังคนใดมีรอยช้ำที่ตา คนคนนั้นมีโอกาสเป็นสมาชิกขององค์กรลับอิลลูมินาติ   อลิซาเบธ เฮอร์ลีย์ กับรอยช้ำเมื่อปี 2017   ชาร์ยเนอร์ บอกว่ารอยช้ำที่ว่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดของการ “ดูดวิญญาณ” และเหล่าคนดังที่มีรอยช้ำดำที่ตานั้นมีโอกาสสูงมากที่จะขายวิญญาณให้แก่ซาตาน เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในพิธีกรรมการรับสมาชิกใหม่ของอิลลูมินาตินั่นเอง หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นหมายความว่าดาราอย่าง อลิซาเบธ เฮอร์ลีย์ บอย จอร์จ หรือแม้แต่ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ก็ล้วนแต่มีโอกาสที่จะเป็นสมาชิกของอิลลูมินาติ (และขายวิญญาณให้แก่ซาตาน) ทั้งสิ้น   โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กับรอยช้ำเมื่อปี 2005   นอกจากนี้ผู้มีอิทธิพลหลายๆ คนอย่าง จอร์จ ดับเบิลยู…

  • หนุ่มใช้เวลาว่างโฟโต้ชอปตัวเองไปอยู่กับคนดัง เกิดเป็นเรื่องราวสุดฮาของการฆ่าเวลา

    หนุ่มใช้เวลาว่างโฟโต้ชอปตัวเองไปอยู่กับคนดัง เกิดเป็นเรื่องราวสุดฮาของการฆ่าเวลา

    ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาว่างระหว่างทำงานสัก 15 นาที จะใช้เวลาพวกนั้นทำอะไร? บางความอาจจะให้เวลาเหล่านั้นพักผ่อนนอนหลับ เช็กเฟซบุ๊ก หรือไม่ก็ออกไปสูบบุหรี่ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรนี่ก็เป็น 15 นาทีสุดมีค่าของเราใช่ไหนล่ะ แต่สำหรับผู้ใช้อินสตาแกรม Jonesburnout แล้ว เวลาว่างที่น่าเบื่อเหล่านั้นกลับเป็นเวลาการสร้างผลงานสุดฮาอย่างดีเลย เพราะไหนๆ ก็ว่างแล้วทำไมไม่เอาเวลามาทำอะไรสนุกๆ กันบ้างล่ะ เกิดเป็นภาพโฟโต้ชอปสุดฮา ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกออนไลน์ในปัจจุบัน   เปิดมารูปแรกก็หนักแล้ว   เจอหนุ่มน่ากลัวที่ WEF ด้วยละ เห็นว่าชื่อ “โด” อะไรสักอย่าง   นายโดแนะนำเพื่อนให้ผมด้วยล่ะ เขาชื่อคิม   เพื่อนคิมแนะนำให้ผมมาทำงานในธีมพาร์ค น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อ่านว่าต้องแต่งทหาร   ว่าแล้วก็กลับไปเอาชุด แต่ดันเจอคนโมโหใส่ ไม่อยากเป็นมันละ ทหารเนี่ย   ว่าแล้วก็ไปเป็นช่างคอม แต่เพื่อนคิมดันเรื่องมาก ก็เลยขอย้ายงานอีกที   ไปๆ มาๆ ได้มาเป็นคนกวาดถนน แต่เด็กที่ร่วมงานเป็นอะไรไม่รู้ ชอบพูดถึงแต่กาแฟ “เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่” อะไรนี่ล่ะ   ผมมารู้ทีหลังว่าที่เพื่อนคิมเรื่องมาก เป็นเพราะเขาพลัดพรากจากน้องชาย…

  • อาถรรพ์เลข 0 คำสาปร้ายจากสมัยโบราณที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลัวกันมากที่สุด

    อาถรรพ์เลข 0 คำสาปร้ายจากสมัยโบราณที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลัวกันมากที่สุด

    ในอดีตเมื่อนานมาแล้วมีข่าวลือว่าชายคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตโดยลูกน้องของชายผู้ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ชื่อของเขาคือ Tecumseh หัวหน้าของเผ่าอินเดียนแดง Shawnee ผู้ซึ่งว่ากันว่าก่อนตายได้สาปประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเอาไว้     นั่นเป็นที่มาของคำสาปของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาถรรพ์ที่ถูกเรียกกันไปด้วยชื่อต่างๆ นานา ตั้งแต่  Zero Year Curse (คำสาปปีเลข 0) The 20 year curse (คำสาป 20 ปี) หรือ Tecumseh’s curse (คำสาปแห่ง Tecumseh) มันเป็นคำสาปที่จะทำให้ประธานาธิบดีผู้ที่ได้รับเลือกตั้งในปีที่ลงท้ายด้วยเลข 0 ในช่วงเวลาห่างกัน 20 ปี จะต้องเสียชีวิตไปภายในการดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะจากโรคร้าย หรือการลอบสังหาร คำสาปที่ว่านี้ส่งผลมาตั้งแต่ในปี 1840 และคร่าชีวิตของประธานาธิบดีไปแล้ว 7 คนประกอบด้วย   วิลเลียม เฮนรี่ แฮร์ริสัน ชนะการเลือกตั้ง ในปี 1840 เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม   อัลบราฮัม ลินคอล์น ชนะการเลือกตั้ง ในปี…

  • เด็กแอฟริกากับความเชื่อไสยเวทย์ดำ ผู้ตกเป็นเหยื่อการล่าแม่มดแห่งศตวรรษที่ 21

    เด็กแอฟริกากับความเชื่อไสยเวทย์ดำ ผู้ตกเป็นเหยื่อการล่าแม่มดแห่งศตวรรษที่ 21

    ย้อนกลับไปในช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 1500 ในยุคที่คนเรายังคงอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วยไสยศาสตร์ ในช่วงยุคสมัยนั้น มีเหล่าผู้หญิงมากมายที่ต้องเสียชีวิตไป ไม่ว่าจะจากการโดนทรมาน กรีดเลือดกรีดเนื้อ หรือกระทั่งเผาทั้งเป็น นั่นเป็นการกระทำที่เรียกว่าการล่าแม่มด ความโหดร้ายในประวัติศาสตร์ ที่เราหวังกันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ใครจะไปคิดกันว่าแนวคิดอันป่าเถื่อนโหดร้ายนี้ จะยังคงอยู่ในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์ก้าวไกล แถมเหยื่อในครั้งนี้ กับเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้นด้วย     มันเป็นเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 ในบริเวณทวีปแอฟริกา และหนักเป็นพิเศษในประเทศไนจีเรียและคองโก โดยนี่เป็นความเชื่อที่ว่าเด็กกลุ่มหนึ่งจะเกิดมาเป็นผู้มีไสยเวทย์ดำ และเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่พี่น้อง หรือคนใกล้ตัวของพวกเขาเสียชีวิต ไม่ว่าจะจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ หรือด้วยน้ำมือของมนุษย์ สิ่งที่ตามมาของความเชื่อนี้คือเด็กกำพร้าจำนวนมากในประเทศโดนกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นพ่อมดแม่มด มากขนาดที่ว่าในปี 2014 ประชาชนในกินชาซา เมืองหลวงของประเทศคองโกเกือบ 70% บอกว่าตัวเองรู้จักเด็กอย่างน้อย 1 คนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นผู้มีไสยเวทย์ดำ     การกล่าวหาในปัจจุบันนั้นแทบไม่ต่างไปจากที่เหล่าผู้หญิงผู้โดนหาว่าเป็นแม่มดโดนในอดีต บางครั้งก็จะเป็นการทุบตี หรือทรมานจนกว่าจะมีการยอมรับข้อกล่าวหา ส่วนเด็กๆ ที่ยอมรับ (เพราะกลัวถูกทำร้าย) ก็มักจะโดนตีตราด้วยเหล็กร้อน เผาทั้งเป็น ปล่อยให้อดอาหาร หรือในกรณีที่ยังมีพ่อแม่อยู่ พวกเขาก็อาจจะโดนพ่อแม่ทิ้งทันที จากการสำรวจในปี 2008 มีเด็กถูกตีตรากว่า 15,000 คนในรัฐเพียงรัฐเดียวของไนจีเรีย และเชื่อกันว่าตัวเลขของเด็กที่ถูกทารุณจากการกล่าวหาว่าเป็นผู้มีไสยเวทย์ดำจะมีมากกว่าที่เห็นอีกหลายเท่า…

  • หนุ่มนึกว่าคนส่งข้อความมาแกล้งก็เลยด่ากลับไป กลายเป็นว่าคนที่ส่งมาเป็นบอสซะงั้น

    หนุ่มนึกว่าคนส่งข้อความมาแกล้งก็เลยด่ากลับไป กลายเป็นว่าคนที่ส่งมาเป็นบอสซะงั้น

    ตามปกติแล้วเวลามีคนไม่รู้จักส่งข้อความมาในโทรศัพท์ แถมไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นข้อความขยะชัดๆ คนเราจะทำอย่างไร? บางคนอาจจะบอกว่าลบข้อความทิ้งและทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่อาจจะเลือกที่จะตอบข้อความที่ได้รับแบบขำๆ เช่นกัน โชคไม่ดีที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ Cory เป็นคนประเภทหลัง เข้าเป็นชายหนุ่มจากโจเลียต สหรัฐอเมริกาผู้ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง และการตอบข้อความของเขานั้น ทำให้เขาสูญเสียงานไปอีกด้วย เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อ Cory ได้รับข้อความอันหนึ่งจากเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก โดยมันเป็นข้อความว่า “I’m making you come at 12 on Friday” ซึ่งหากแปลตามปกติก็จะแปลได้ว่า “ฉันจะให้นายมาตอนเที่ยงวันศุกร์นะ”     แต่ด้วยความที่เป็นเบอร์จากคนที่ไม่รู้จัก บวกกับรูปแบบข้อความที่ค่อนข้างกำกวม Cory จึงตีความคำว่า Come เป็น Cum และเข้าใจความหลายที่ข้อความจะสื่อว่า “ฉันจะทำให้นายถึง (จุดสุดยอด) ตอนเที่ยงวันศุกร์นะ” และเมื่อความหมายออกมาในทางเพศแบบนั้น Cory จึงแกล้งส่งข้อความกลับไปว่า “อย่างแรกเลยนะ เธอสั่งเควี้ยอะไรฉันไม่ได้หรอก แล้วก็ข้อสองฉันไม่เห็นจำได้เลยว่าไปนัดใครอึ๊บไว้”     ซึ่งนับเป็นโชคร้ายของ Cory จริงๆ ที่ข้อความต่อมาที่เขาได้รับนั้นมีเนื้อความว่า “นี่ Maribel…

  • “ฮัลโหลคิตตี้ แฮปปี้โมริจิโอะเซต” ชุดเกลือไล่สิ่งชั่วร้ายลายคิตตี้ที่จะมาเรียกความสุขให้คุณ

    “ฮัลโหลคิตตี้ แฮปปี้โมริจิโอะเซต” ชุดเกลือไล่สิ่งชั่วร้ายลายคิตตี้ที่จะมาเรียกความสุขให้คุณ

    ถ้าจะมีสินค้าที่กลายเป็นของได้แทบทุกอย่างในโลก เจ้าของที่ว่านี้ก็คงไม่พ้นเจ้าแมวไม่มีปากอย่าง “ฮัลโหลคิตตี้” แน่นอน เพราะที่ผ่านๆ มา ฮัลโหลคิตตี้ ได้กลายเป็นสินค้ามาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเกม หรือแม้กระทั่งกระโถน เรียกได้ว่าแทบจะสร้างบ้านฮัลโหลคิตตี้ได้ทั้งหลังเลยก็ไม่ผิดนัก     และล่าสุดนี้เอง ทางฮัลโหลคิตตี้ก็ได้ออกสินค้าใหม่มาอีกชิ้น เพื่อตีตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจจะไม่เคยสนใจเจ้าแมวตัวนี้มาก่อน สินค้าตัวที่ว่าก็คือ…. “ฮัลโหลคิตตี้ แฮปปี้ โมริจิโอะเซต (Hello Kitty Happy Morijio Set)” หรือชุดเกลือไล่สิ่งชั่วร้าย ฮัลโหล คิตตี้นั่นเอง     ต้องย้อนความกันสักเล็กน้อยว่าที่ประเทศญี่ปุ่น (และในหลายๆ ประเทศ) นั้น เกลือจะจัดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้ในการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีได้ โดยที่ญี่ปุ่นมักมีการทำ โมริจิโอะ หรือการใช้เกลือโรยก่อนเข้าบ้าน หลังมีการไปงานศพ หรือพิธีกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและความตาย     โดยเจ้าแฮปปี้โมริจิโอะเซตอันนี้เอง ก็ใช้คอนเซปต์เกี่ยวกับการขับไล่สิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกัน โดยจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งชั่วร้ายที่มากับการเล่าเรื่องสยองขวัญในฤดูร้อนนั่นเอง (แต่ก็เอาไปใช้เหมือนโมริจิโอะทั่วๆ ไปได้หมดนะ) ฟังดูแล้วน่ารักดีใช่ไหมล่ะ ซึ่งเจ้าเครื่องรางฮัลโหล คิตตี้ชิ้นนี้ 1 ชุดจะมีกรวยแบบมีหูจับสำหรับทำโมริจิโอะ และจานรองเกลือทรงแปดเหลี่ยมสีชมพู…