ในวันที่ 22 กันยายน 1862 หลังจากที่สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาจบลง อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาก็ทำการประกาศการเลิกทาสอย่างเป็นทางการ ปิดฉากการใช้แรงงานทาสของสหรัฐอเมริกาลงอย่างงดงาม…
นั่นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายขนาดนั้น เพราะต่อให้การเลิกทาสเกิดขึ้นแล้วก็ตาม มันก็ยังมีทาสอีกหลายคนที่การใช้ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย
เด็กแอฟริกันอเมริกันยืนอยู่หน้าบ้านของเขา
พวกเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของทาสในสวนของคนขาว แม้จะมีการเลิกทาสไปแล้วก็ตาม
คนจำนวนมากเลือกที่จะกลับไปทำงานที่เดิมกับที่พวกเขาเคยทำ ในสมัยที่ยังเป็นทาส
บางคนก็เช่าบ้านจากเจ้านายคนเก่า
และมีบางส่วนที่เช่าที่ทำกินจากเจ้านายเก่าด้วย
ซึ่งพวกเขาจะต้องมอบพืชผลที่ได้จำนวนหนึ่งคืนให้เจ้านาย
ทาสที่เป็นอิสระเดินไปทำงานรวบรวมฝ้ายที่สวนกับเจ้านายคนเดิม
ในทางกลับกันคนขาวกลับกลัวเรื่องการเลิกทาสมา
ในภาพเป็นโปสเตอร์ที่เตือนคนขาวว่าสักวันเด็กผิวขาวอาจต้องขัดรองเท้าให้คนดำ
ร้านตัดผมบางร้านเริ่มจะบริการเฉพาะคนขาว
คนจำนวนมากมารุมประชาทัณฑ์ Jesse Washington ชายผิวสีที่โดนตัดสินว่าข่มขืนและฆ่าภรรยาของนายจ้าง
ร่างของเขาถูกแขวนกับต้นไม้และเผาทิ้ง
บ้านทรุดโทรมที่ถูกบรรยายว่า “คนดำจนๆ อยู่ที่นี่”
คนดำที่ทำผิดจะถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันก่อนจะนำไปใช้แรงงาน
เรียกกันว่า “Chain Gang” และบางครั้งก็มาจากคนบริสุทธิ์ที่โดนใส่ความ
พวกเขาจะต้องทำงานเหมือนทาสโดยไม่ได้เงิน เป็นการลงโทษ
ครอบครัวคนผิวสีที่ถ่ายภาพกันหลังเป็นอิสระ
พวกเขายังไม่รู้ตัวว่ายังมีการเหยียดผิวรออยู่ในอนาคต
ภาพถ่ายของ “คนผิวสีประเภทอาชญากร”
เด็กผิวสีกวาดถนนในเขตสลัม
คำอธิบายภาพในสมัยก่อนบอกว่า “มันทำให้พวกเขามีงาน และสอนให้พวกเขาภาคภูมิใจ รับผิดชอบต่อสังคม”
70 ปีผ่านไปจากการเลิกทาส วิถีชีวิตของคนผิวสีก็แทบไม่เปลี่ยนแปลง
พวกเขายังคงอาศัยในบ้านโทรมๆ
ทำงานในฟาร์มวันล่ะ 11 ชั่วโมง และได้ค่าแรงต่ำ
จากข้อมูลพวกเขาได้ค่าแรง 1 ดอลลาร์สหรัฐ
กว่าที่พวกเขาจะได้อิสระที่แท้จริง จากการเลิกเหยียดสีผิว
มันก็เป็นเรื่องหลังจากนั้นอีกนานพอสมควร
ที่มา allthatsinteresting
Advertisement