ในโลกของเรา บางครั้งผู้เสียสละก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนที่ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้โดยผู้เสียสละเหล่านั้น จะต้องจดจำพวกเขาเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน
นี่คือเรื่องของ Lepa Radić เด็กสาวผู้เข้าร่วมกองกำลังปาร์ติซานแห่งยูโกสลาเวียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อต่อสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1941
นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฮิตเลอร์บุกโจมตียูโกสลาเวียในวันที่ 6 เมษายน 1941 เพื่อเปิดทางขึ้นไปยังสหภาพโซเวียต แน่นอนว่าประเทศยูโกสลาเวียพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเยอรมันอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นทางเยอรมนีครอบครองได้แค่เพียงตัวเมืองเท่านั้น
ลึกเข้าไปในป่าเขา เหล่าผู้ต่อต้านชาวเซอร์เบียเริ่มที่จะเผยตัวออกมาให้โลกได้เห็นอีกครั้ง พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่กลุ่ม “เชตนิก” และกลุ่ม “ปาร์ติซาน”
เชตนิกเป็นกลุ่มที่ต้องการให้ชาวเซอร์เบียรอดชีวิต และจงรักภักดีต่อระบอบราชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมของยูโกสลาเวีย ในขณะที่ฝั่งปาร์ติซาน หรือนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มีผู้นำคือยอซีป บรอซ หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่น “ติโต” และต่อต้านฝ่ายอักษะอย่างถึงที่สุด
Lepa Radić เข้าร่วมฝั่งปาร์ติซานเมื่อตอนที่เธออายุได้ 15 ปีพร้อมๆ กับคนในบ้านของเธอ หลังจากที่พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากคุก ก่อนที่เด็กสาวจะอาสาเข้าร่วมแนวหน้า โดยรับหน้าที่ขนส่งทหารที่บาดเจ็บออกจากสนามรบ และได้ช่วยชีวิตคนไว้เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของ Lepa Radić มาจากการเสียสละในตอนที่เธออายุได้ 17 ปีต่างหาก เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 เธอถูกทางนาซีจับได้ในระหว่างการช่วยเหลือเด็กและผู้หญิง 150 คนออกจากพื้นที่ของฝั่งอักษะ
ในตอนนั้น Lepa ตัดสินใจยิงปืนใส่ทหารนาซี เพื่อดึงความสนใจจากฝ่ายทหาร ส่งผลให้เธอโดนจับ และโดนทรมานอย่างหนักเพื่อรีดข้อมูลเป็นเวลายาวนานกว่า 3 วัน ก่อนที่จะถูกตัดสินให้ประหารด้วยการแขวนคอ
ตลอดระยะเวลาที่โดนทรมาน Lepa ไม่เผยข้อมูลใดๆ ให้กับทางนาซีทั้งสิ้น และแม้ว่าจะมีการยืนข้อเสนอจากทางนาซีว่าจะปล่อยตัวเธอหากเธอบอกข้อมูลในวินาทีสุดท้ายก่อนการแขวนคอ หญิงสาวก็ตอบกลับไปว่า
“ฉันไม่ใช่คนที่จะทรยศคนของฉัน และคนที่พวกแกถามถึงจะเปิดเผยตัวออกมาเอง ในตอนที่พวกเขากวาดล้างไอ้ชั่วอย่างพวกแก ไปจนถึงคนสุดท้าย”
Lepa ถูกแขวนคอต่อหน้าสาธารณชนหลังจากนั้น แต่ถึงเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ความกล้าหาญของเธอก็ไม่ได้หายไปด้วย หญิงสาวได้รับรางวัลฮีโร่ของประชาชน จากทางยูโกสลาเวียในปี 1951 และภาพร่างของเธอก็กลายเป็นหนึ่งในหลักฐานของความโหดร้ายของนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองสืบไป
ที่มา allthatsinteresting, ww2gravestone
Advertisement