ถ้ายังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการขุดพบโลงหินสีดำในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และพบกับโครงกระดูกสามร่าง กับน้ำเสียสีน้ำตาลแดง (อ่านข่าวเก่าได้ที่ เปิดแล้ว!! โลงหินสีดำลึกลับในอเล็กซานเดรีย ท่ามกลางความหวาดกลัวคำสาปโบราณ)
ล่าสุดนี้เองทางนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของการตรวจสอบโลงหินที่ว่านี้แล้ว
นี่เป็นโลงศพที่เชื่อกันว่ามาจากช่วงราชวงศ์ทอเลมี โดยถูกฝังเมื่อราวๆ 304-30 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ลูกหลานของแม่ทัพที่เป็นลูกน้องของอเล็กซานเดอร์มหาราช กำลังปกครองเมืองอเล็กซานเดรียอยู่
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิเคราะห์โครงกระดูกทั้งสามจากในโลงศพ และได้ค้นพบความรู้ใหม่ๆ อยู่หลายข้อ
เรื่องแรกคือหนึ่งในสามกระดูกที่เป็นของหญิงสาวอายุประมาณ 20-25 ปี ซึ่งถูกฝังไว้กับร่างของชายสองคนที่มีอายุประมาณ 35-39 ปี และ 40-44 ปีในตอนที่ตาย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือที่กะโหลกของหนึ่งในโครงกระดูกที่พบนั้นมีร่องรอยโดนเจาะเป็นรูปรากฏอยู่
โดยการเจาะกะโหลกในลักษณะนี่หมายความว่าเจ้าของโครงกระดูกเคยได้รับการรักษาที่เรียกกันว่า “Trepanation” (การเจาะรักษา) ซึ่งในสมัยก่อนเชื่อว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยหลายๆ ชนิดได้
จริงอยู่ว่าการรักษาในรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลาค่อนข้างนานและพบเห็นได้บ่อยๆ ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นการรักษาที่พบได้ไม่บ่อยนักในอียิปต์โบราณ
อย่างไรก็ตามการค้นพบที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์โลงศพครั้งนี้อยู่ที่การค้นพบรูปวาดปริศนาบนแผ่นจารึกทองสามแผ่นในโลงศพต่างหาก โดยทั้งสามแผ่นมีรูปที่แตกต่างกันไปและเชื่อว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับโครงกระดูกทั้งสาม
แผ่นแรกเป็นรูปของงู
ซึ่งเป็นรูปที่ปรากฏขึ้นในอียิปต์โบราณอยู่บ่อยๆ เนื่องจากความเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ (ลอกคราบ) และความเกี่ยวข้องกับเทวีไอสิส
ภาพที่สองเชื่อกันว่าเป็นภาพของฝักข้าวโพดหรือไม่ก็ต้นปาล์ม
ที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเกิดใหม่
และแผ่นที่สามเชื่อกันว่าเป็นภาพของเมล็ดฝิ่น
ฝิ่นเป็นที่นิยมในอียิปต์เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจทราบได้ว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับร่างในโลงหิน
นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบวัตถุที่ทำจากทองคำขนาดเล็กอีกหนึ่งอันถูกผังใส่ไว้ในโลงศพด้วย แต่ยังไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีการใช้งานอย่างไร และนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่มีการออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุที่พบในเวลานี้เช่นกัน
ส่วนที่มาของน้ำสีน้ำตาลแดง กำลังมีการตรวจสอบอยู่ในปัจจุบัน
ที่มา livescience, pravdareport, independent, nzherald
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.