Author:

สาวหลายๆ คน มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะใส่ชุดสวยๆ ในวันแต่งงานของตัวเองสักครั้งในชีวิต แต่น้อยคนนักที่มีคนคิดอยากจะตัดชุดแต่งด้วยตัวเอง เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ สำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ Kresha Bajaj แล้ว เธอได้กลายเป็นเจ้าสาวแสนสวยไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา และยังได้สวมใส่ชุดแต่งงาน ที่เธอสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองอีกด้วย สำหรับเธอแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าประทับใจ และน่าจดจำมากแน่ๆ     Kresha มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะออกแบบชุดแต่งงานให้ตัวเอง จนในที่สุดฝันของเธอก็กลายเป็นจริงแล้ว เพราะเธอได้เนรมิตชุด Lehenga ที่มีลักษณะเป็นชุดกระโปรงยาวขึ้นมาได้อย่างงดงาม เพื่อที่จะได้นำมาสวมใส่ในวันสำคัญของเธอ   ผลงานทั้งหมดที่เธอได้สร้างมันขึ้นมานั้น เธอได้ทำการลงมือเย็บปักถักร้อยเรื่องราวความรักของตัวเองลงไปบนชุด และบริเวณตรงกลางของชุด ก็มีลวดลายสุดเก๋เป็นชื่อของเธอและสามี ที่ถูกปักด้วยด้าย Zari นอกจากนี้ รอบๆ ชุดๆ ทั้งหมดก็ถูกถักทอให้เป็นเรื่องราว หรือเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของทั้งคู่เอาไว้     หลังจากที่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลง เธอรู้ว่าคงไม่มีโอกาสได้ใส่ชุดนี้อีกแล้ว ดังนั้น Kresha จึงได้นำชุดแต่งงานแสนสวยไปใส่กรอบและแขวนไว้ในบ้านที่ในเมืองมุมไบ เนื่องจากเธออยากจะทำให้มันเป็นผลงานศิลปะที่ล้ำค่า และมีความหมาย เพราะชุดดังกล่าวถักทอขึ้นมาจากเรื่องราวความรักของเธอนั่นเอง     จะเห็นได้ว่ารอบๆ ชุดมีการเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป  …

ใครจะไปนึกล่ะว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับประเทศที่ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งวงการ AV และเซ็กส์ทอยแบบนี้ (เอ๊ะ…หรือจริงๆ แล้วเพราะการมีสิ่งของเหล่านี้อาจทำให้คนหันไปใช้กันมากขึ้นหรือเปล่า!?) เรื่องนี้กลายมาเป็นประเด็นที่สำคัญในญี่ปุ่นเสมอมา จนถึงกระทั่งมีการคำนวณโดยเหล่านักคณิตศาสตร์ไว้แล้วว่า ถ้าหากประชากรยังคงมี Sex กันในอัตราเท่านี้ และผลิตลูกออกมาได้ในอัตราปัจจุบัน (และมีทีท่าจะลดลงเรื่อยๆ ) จากการคำนวนของเหล่านักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Tohoku ของประเทศญี่ปุ่นเองนั้นกลับพบว่า ประเทศของพวกเขากำลังเผชิญกับภาวะที่จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เลยทีเดียวในอนาคต!!?   จากการคำนวนของพวกเขา วันที่ชาวญี่ปุ่นคนสุดท้ายบนโลกที่จะมีชีวิตอยู่นั้นคือวันที่ 16 สิงหาคม 3766 หรือราวๆ 1,750 ปีนับจากนี้!!!   การคำนวนในครั้งนี้เป็นผลพวงของความกังวลในด้านการผลิตประชากรของคนในประเทศ ที่มีแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆ ทุกๆ ปี จนเกิดเป็น ‘วิกฤตการณ์ทางด้านเซ็กส์’ หรือการที่ชาวญี่ปุ่นมีเซ็กส์กันน้อยเกินไปนั่นเอง วิกฤตินี้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาราวๆ 25 ปีแล้ว แถมตอนนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว จนนักวิจัยหลายรายคิดว่านี่มันคือระเบิดเวลาดีๆ นี่เอง   ระยะเวลาการคำนวนโดยประมาณ เป็นภาพเคลื่อนไหว GIF ภาพไม่ขึ้น สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ   นักวิจัย Hiroshi Yoshida และ Masahiro Ishigaki ได้สร้างนาฬิกานับถอยหลังนี้ขึ้น โดยใช้ข้อมูลจากอัตราการลดลงของประชากร ฐานข้อมูลจากปี 2014…

สำหรับบ้านเราอาจจะมีช่างแอร์ในตำนาน แต่บอกตรงๆ ต้องชิดซ้ายไปเลยทีเดียว เมื่อเจอกับช่างไม้คนนี้ Robert Jenner อดีตทหารผ่านศึกเก่าผู้ผันตัวมาเป็นช่างไม้ ‘สายธรรมชาติ’ เพราะชื่นชอบความปลอดโปร่งโล่งสบายและสายลมอ่อนๆ ล่ะ Robert Jenner หนุ่มใหญ่ในวัย 42 ปี เคยรับใช้กองทัพ ตอนนี้เขากลับอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองที่ Kent ประเทศอังกฤษ ‘ทุกๆ ครั้งที่ผมใช้เครื่องมืออันตราย ผมจะใส่ชุดป้องกันเสมอ เพราะคงไม่อยากได้แผลจากงานหรอกเนาะ แต่ถ้าเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ล่ะก็ ผมชอบที่จะเปลือยกายมากกว่า’ เขากล่าว   เพื่อนบ้านมักจะเห็นช่างไม้คนนี้ทำงานรีโนเวทบ้านของตัวเขาเองอยู่เสมอๆ   ‘ความคิดเกี่ยวกับเนเชอริสท์นั้น ดึงดูดผมเป็นอย่างมากด้วยแนวคิดของความเป็นอิสรภาพโดยแท้จริง แถมคงไม่มีใครปรี่เข้ามาทำร้ายผมหรอก เพราะคงไม่มีใครอยากทำร้ายคนที่กำลังเปลือยอยู่หรอกว่ามั้ย?’ Robert Jenner กล่าวต่อ   โชคร้ายหน่อยที่ล่าสุดมีเพื่อนบ้านแจ้งจับเขาในข้อหาอนาจาร ถึงแม้จะเป็นพื้นที่บ้านของเขาก็ตาม และถูกส่งให้กับหน่วย ASBO  ที่จัดการกับพวกมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมรุนแรง   เขาเลยเขียนป้ายชี้แจงติดไว้หน้าบ้าน ว่าเขาชอบแบบนั้นจริงๆ สายธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนผู้อื่นนะ   ‘แม่ของผมอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากบ้านของผม ไม่ช้าก็เร็วเธอจะรู้แน่ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมรู้สึกอิสระมากๆ’ Robert Jenner กล่าว   ซึ่งตอนแรกตำรวจก็มาตรวจตราตามที่เพื่อนบ้านของเขาแจ้งความ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นเป็นเรื่องขำขันมากกว่า…

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2559 ทางสำนักข่าวเดลีเมล์ รายงานการช่วยชีวิตของ Conquer เจ้าปลาทองตัวน้อย ที่สัตว์แพทย์กำลังช่วยกันรักษาชีวิตของมัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ มันได้เผลอกลืนก้อนกินก้อนใหญ่เข้าไป จนทำให้เข้าไปติดในลำคอซะอย่างนั้นเลย…     Emma Marsh วัย 21 ปี จากกรุงบริสเบน ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเธอเห็นเจ้าปลาทองแสนรักกำลังดิ้นรน และขาดอากาศหายใจ หลังจากที่มันได้กลืนก้อนหินเข้าไป และเริ่มสำลักจนเข้าไปติดอยู่ในลำคอ ดังนั้น เธอจึงรีบนำตัวของเจ้า Conquer ไปพบสัตว์แพทย์ทันที ทางแพทย์ได้ทำการช่วยเหลือมัน โดยการหยอดยาสลบเพื่อให้มันหลับ และจับตัวของเจ้าปลาทองไว้ จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ ใช้คีมคีบก้อนหินอีกมา     ด้าน Emma McMillan สัตว์แพทย์ ได้เผยว่า “เธอรู้สึกประหลาดใจที่เจ้า Conquer กลืนหินลงไป เพราะโดยปกแล้วปลาทองจะไม่กลืนสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าปากของมัน อย่างก้อนหินก้อนนี้แน่นอน” “Conquer หนักแค่ 13 กรัม และยาวเพียง 5 เซนติเมตร ส่วนก้อนหินยาวเกือบ 1…

แม้ว่าในบางครั้งหน้าที่ของการเป็นแม่อาจจะดูเหนื่อย แต่ถ้าขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแม่คนแล้ว ก็ย่อมทำทุกอย่างเพื่อลูกได้เสมอ เหมือนดังเช่น Dr. Megan Meier แพทย์สนามและนักเวชศาสตร์การกีฬา ผู้เป็นสุดยอดคุณแม่ท่านนี้ ถึงแม้ว่าจะเธอจะต้องทำงานหนัก โดยการรับบทเป็นทั้งคุณแม่ และคุณหมอในเวลาเดียวกัน แต่เธอก็ทำหน้าที่แม่ที่ดีไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย….     ข่าวต่างประเทศ ได้นำภาพที่สุดแสนจะประทับใจของ Megan ขณะแบกลูกสาววัย 3 ขวบไว้ข้างหลัง และยังมีทารกน้อยที่อยู่ในท้อง พร้อมกับกำลังรักษานักอเมริกันฟุตบอลจากโรงเรียนมัธยม Putnam City High School ไปด้วย Megan Meier เธอเป็นคุณแม่ที่ในตอนนี้ตั้งท้องลูกคนที่สองได้ 35 สัปดาห์แล้ว ซึ่งในวันที่สามีต้องออกไปทำงานนอกเมือง เธอต้องพาลูกสาวคนโต พร้อมลูกที่อยู่ในท้องไปทำงานด้วย ซึ่งมันไม่ง่ายเลย เธอทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ และหมอไปในเวลาเดียวกัน เพียงแค่ภาพนี้ก็แสดงความแข็งแกร่งออกมาจนหลายคนรับรู้ถึงพลังนั้นโดยไม่ต้องบรรยาย       สำหรับภาพดังกล่าว คุณแม่ Megan ได้นำไปโพสต์ลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอ จนทำให้เธอกลายเป็นผู้ที่โด่งดังไปทั่วโลกออนไลน์เพียงชั่วข้ามคืน ภาพของเธอมีผู้คนเข้ามากดไลค์ กดแชร์ พร้อมทั้งชื่นชมกันเป็นจำนวนมาก   นอกจากนี้ เธอยังได้เผยว่า “มีคนจำนวนมากบอกว่าภาพของฉันคือแรงบันดาลใจของพวกเขา และมันก็ทำให้ฉันได้รู้จักกับผู้คนที่แข็งแกร่งมากมาย…

Reshma Quereshi สาวชาวอินเดียวัย 19 ปี เธอเป็นหญิงสาวที่กำลังอยู่ในวัยสดใส แต่ด้วยความโชคร้าย เธอกลับถูกกระทำด้วยบางสิ่ง จนทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปทันที   ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว Reshma กลับต้องมาสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไป เพราะถูกพี่ชายต่างแม่และผู้ชายอีกสองคน สาดน้ำกรดใส่ ผลจากเรื่องนั้นทำให้ใบหน้าสวยๆ ของเธอเสียโฉม แน่นอนว่าสำหรับผู้หญิงหลายคนนี่จะกลายเป็นตราบาปที่รุนแรง จนถึงขั้นไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ   เธอเองก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายเช่นกัน…. สำหรับสาว Reshma แล้ว แม้ว่าครั้งหนึ่งเธออาจจะเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท่ายเธอก็กล้าที่ออกมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง จนในที่สุดก็ทำให้เธอก็ได้เป็นมาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเดินแบบในงาน New York Fashion Week 2016 เพื่อร่วมรณรงค์โครงการต่อต้านการขายน้ำกรด ที่จะส่งอันตรายต่อเด็ก และผู้หญิง     ซึ่งหลังจากที่เธอได้มาปรากฏตัวบนแคทวอล์คอย่างเฉิดฉายในชุดเดรสยาวสีขาว ก็ทำเอาผู้คนที่มาร่วมงาน ต่างก็พากันปรบมือ และชื่นชมกันอย่างมากมาย และแม้ว่าใบหน้าของเธอจะมีแผลจากการถูกสาดน้ำกรด แต่เธอก็ทำให้หลายคนเห็นถึงความงดงามแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายในตัว “ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุด” เธอยังบอกอีกว่า “ไม่มีใครเข้าใจว่าการถูกน้ำกรดสาดใส่นั้นเป็นอย่างไร ยกเว้นแต่คุณจะโดนเอง และฉันไม่อยากจะเห็นมันเกิดขึ้นกับใครอีก”     ในแต่ละปีนั้นมีรายการสาดน้ำกรดทำร้ายกันมากกว่า 1,500…

นักแสดงดังฮอลลีวู้ดที่มีชื่อเสียง ย่อมผ่านผลงานการแสดงมาแล้วมากมาย จนทำให้พวกเขาได้กลายเป็นที่รู้จัก และโด่งดังไปทั่วโลก แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของความโด่งดัง จะต้องเริ่มมาจากผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา บางคนเข้าวงการ และรับงานแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ บางคนก็เริ่มเข้าวงการในสมัยวัยรุ่นก็มี และในวันนี้เหมียวขี้อ้อน ได้นำ 20 ภาพเหล่านักแสดงดังกับบทบาทการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรงของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะเคยผ่านมาคุณมาบ้างแล้วหรือไม่   1 .Angelina Jolie ในภาพยนตร์เรื่อง Lookin’ to Get Out (1982)   2 .Elijah Wood ในภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future Part II (1989)   3 .Jake Gyllenhaal ในภาพยนตร์เรื่อง  City Slickers (1991)   4 .Robert Downey Jr. ในภาพยนตร์เรื่อง Pound (1970)   5 .Christian…

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายทั่วโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ข่าวการประชุม G20 ที่ดันมีภาพโอบาม่ายืนส่งสายตาอันหวานหยดย้อยให้ปูติน และอื่นๆอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้เอง #เหมียวบ็อบ เลยถือโอกาสตามไปหยิบ 15 ภาพข่าวจากรอบโลกที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเราบ้าง..!?   1. นางแบบสาวชาวอินเดีย Reshma Quereshi ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกสาดน้ำกรด กำลังแต่งหน้าก่อนที่จะขึ้นเดินแบบในชุดคอลเล็คชั่น Spring/Summer 2017 ที่ New York Fashion Week   2. ภาพการเปิดงานการแข่งขันพาราลิมปิคเกมส์ ที่กรุง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล   3. ‘Mutant’ รถดัดแปลงที่ขับมาร่วมงาน Burning Man เทศกาลแห่งดนตรีและศิลปะ ในรัฐเนวาดา คิดถึง Mad Max เหมือนกันไหม!?   4. สองนักบินอวกาศจากสถานีอวกาศนานาชาติ จากอเมริกา (ซ้าย) และรัสเซีย (กลาง,ขวา) กำลังอยู่ในยาน Soyuz TMA-20M ขณะที่กำลังลงจอดสู่พื้นโลก…

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย จากกลุ่มหัวรุนแรง ตามสถานที่ต่างๆทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกาเองเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลายๆคน รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้นับถือศาสนาอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งอันที่จริงเราควรจะแยกกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้ศาสนาเป็นข้ออ้าง ออกจากกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่มีจิตใจศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม ไม่ใช่หรือ?! และสำหรับสังคมแห่งนี้ ที่นี่มีโบสถ์ของชาวคริสต์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดของชาวอิสลาม และพวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันบนความแตกต่าง อย่างมีความสุข…   เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ Memphis Islamic Center ตัดสินใจซื้อที่ดินบนถนนตรงข้ามกับโบสถ์ Heartsong “ครั้งแรกที่เห็นผมกลับรู้สึกแปลกๆ มีทั้งความกลัว และความรู้สึกที่เราบอกกับตัวเองว่า อย่าไปสนใจจะดีกว่า” บาทหลวง Steve Stone กล่าว   นอกจากบาทหลวงแล้ว สมาชิกคนอื่นๆในโบสถ์ก็ต่างรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “ผม และภรรยาเคยคิดว่าจะไม่มาที่โบสถ์นี้อีก เพียงเพราะเราไม่เปิดใจยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง” Mark Sharpe สมาชิกคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ ซึ่งแม้แต่ผู้นำทางศาสนาของอิสลาม Dr. Bashar Shala กลับเข้าใจถึงสถานการณ์ดี ทำให้เค้าไม่แปลกใจที่ใครหลายๆคนอาจรู้สึกไม่ต้อนรับกลุ่มผู้นับถืออิสลาม “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับชาวมุสลิมในอเมริกา ซึ่งผมเข้าใจว่าในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงไม่อยากจะต้อนรับเราสักเท่าไหร่”     ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อช่วงเดือนรอมฏอนของชาวมุสลิมมาถึง… Shala ต้องการที่จะให้มัสยิดแห่งใหม่สร้างเสร็จก่อนช่วงถือศีลอดมาถึง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมในชุมชน ยังไม่มีสถานที่สำหรับการทำพิธีทางศาสนา…

ไม่มีใครรู้ว่าค่านิยมเรื่องความงามของผู้หญิงสมัยใหม่ ที่ถูกนิยามไว้ว่าจะต้องผอม สูง หุ่นดี มีผิวขาว (โดยเฉพาะในเอเชีย) ถูกใครบัญญัติขึ้น และมันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ถึงแม้ว่าปัจจุบันเทรนด์ผู้หญิงหุ่นอวบอึ๋ม มีบั้นท้ายอวบอิ่ม กำลังมาแรงในโลกตะวันตก แต่ตรงกันข้ามในฝั่งเอเชียอย่างเราๆ ที่ยังคงนิยมความงามที่ผูกไว้กับความผอมอยู่ และรู้หรือกันมั้ยล่ะว่า ในอดีตก็มีสินค้าชวนให้ผู้หญิงลดน้ำหนักเหมือนกัน แถมวิธีการโฆษณาของสินค้าเหล่านี้ไม่ได้มาแบบซอฟต์ๆ เตือนให้ลดน้ำหนักแบบอ้อมๆ เหมือนในปัจจุบันซะด้วย เราตามไปดูกันเลยดีกว่า กับโฆษณาชวนเชื่อจากสินค้าในอดีต ดูๆแล้วกะเล่นให้ผู้หญิงร่างอ้วนไม่มีที่ยืนในสังคมเลยเหรอเนี่ย??   1. โฆษณาชวนให้กินน้ำตาล 1 ช้อนชาก่อนทานอาหาร เพราะเชื่อว่ามันช่วยลดน้ำหนัก และทำให้กินได้น้อยลง   2. โฆษณาน้ำตาลลดน้ำหนัก แต่ชื่อของมันไม่น่าใช้เอาซะเลย (อ่านว่า เอดส์ – อีดส์)   3. “ผู้ชายคงไม่มองฉัน ถ้าไม่ลดน้ำหนักไปมากกว่า 135 ปอนด์”  โฆษณาซะคนอ้วนไม่มีที่ยืนในสังคมเลย T_T   4. โฆษณาสบู่ ที่การันตีว่าใช้แล้วไขมันลดลง แถมยังดูเด็กขึ้นอีก   5. การปลูกฝังค่านิยมความผอมในอดีต ไม่ว่าใครๆต่างกังวลในน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น   6. โฆษณาที่จะทำให้คนอ้วนรู้สึกผิด…

คงจะจริงอย่างที่เค้าว่า “เมื่อแรกรัก น้ำต้มผักยังว่าหวาน” ก็แหมตอนคบกันใหม่ๆสมัยวัยรุ่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรมันก็ดูน่ารัก ดูดีไปซะหมด แต่พอนานเข้าๆ จนเริ่มตกลงปลงใจแต่งงานกัน สร้างครอบครัวกันเป็นที่เรียบร้อย ความเคยชินและความเบื่อหน่ายจะค่อยๆคืบคลานเข้ามา สุดท้ายจากคู่รักแสนหวาน เมื่อผ่านไป 10 ปี กลายเป็น อีแก่&ไอ้แก่ ที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมา ทะเลาะกันให้ลั่นบ้าน ยังไงซะ แก๊งแมวเหมียว เราก็ไม่สนับสนุนให้ครอบครัวแตกแยก เพราะฉะนั้นเราไปดูผลสำรวจจากเว็บไซต์ Rocketnews24 ที่ได้ไปสำรวจจากเหล่าพ่อบ้านในญี่ปุ่นทั้งหลาย ว่าประโยคอะไรบ้างจากแม่บ้านที่พวกเขาได้ยินมันทุกวัน ซ้ำไปซ้ำมา แถมได้ยินทีไรละเกิดอาการเบื่อหน่ายยยทู๊กกกที   10. “หยุดเสียเงินไปกับของไร้สาระซักทีเถอะ” เพราะผู้หญิงและผู้ชายมักจะมองโลกต่างกัน และในสังคมประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่ พ่อบ้านมักจะนำเงินเดือนทั้งหมดให้แม่บ้านเป็นคนจัดสรร (ไทยเราก็เป็นกันแหละ) แต่พอทำงานเหนื่อยๆมาทั้งที จะขอซื้อเครื่องเกมส์ หนังสือการ์ตูน เหล้ารสชาดดีๆ ทำม๊ายยถึงได้กลายเป็นโดนด่าทุกทีละเนี่ย   9. “หยุดทำตัวเป็นไอ้อ้วนจอมขี้เกียจได้แล้ว!!” ช่างเป็นคำพูดที่แสนจะโหดร้าย และเย็นชา ก็แหมเหล่าพ่อบ้านอย่างเราๆ พอลงหลักปักฐานกับแม่บ้านคนไหน ก็มักจะลืมดูแลตัวเอง เอาแต่กินอาหาร(ที่แม่บ้านทำ) หรือออกไปฉลองเบียร์กับเพื่อนร่วมงานบ่อยๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่คนเราพุงมันจะใหญ่ขึ้น แถมยังโดนด่าว่าขี้เกียจอีก แบบนี้มันเจ็บจี๊ดๆๆ   8. “ฉันไม่อยากจะแชร์หลุมศพกับเธอหรอกนะจะบอกให้!!” ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่น…

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 ทางเว็บไซต์ต่างประเทศ ได้เผยภาพพร้อมคลิปวีดีโอสุดแสนประทับใจ ขณะที่กลุ่มผู้คน กำลังทำการช่วยเหลือเจ้าวาฬมิงค์แคระที่ติดอยู่บนโขดหิน บริเวณเกาะไดม่อน ในรัฐแทสเมเนีย ประเทศออสเตรเลีย จากภาพเราจะเห็นได้ว่า ผู้ที่พบเห็นเจ้าวาฬตัวดังกล่าว ได้นำผ้าขนหนูชุบน้ำเปียกหมาดๆ มาคลุมตัวให้กับมัน ขณะรอหน่วยกู้ภัย เพื่อเป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว เนื่องจากเจ้าวาฬขาดน้ำและถูกแดดเผามาเป็นเวลานาน     ส่วนสาเหตุที่เจ้าวาฬขึ้นมาติดอยู่บริเวณโขดหิน พวกเขาเชื่อว่าอาจจะเป็นเพราะมันได้ว่ายน้ำย้ายถิ่นจาก Great Barrier Reef (แนวปะการังขนาดใหญ่) เพื่อไปยังจุดหาอาหารในมหาสมุทรแอนตาร์กติก     จากนั้นไม่นาน ทางหน่วยกู้ภัยก็เดินทางมาถึง พวกเขาจึงช่วยกันรีบย้ายเจ้าวาฬตัวนี้ลงสู่ทะเลทันที   และเมื่อได้รับการปล่อยตัว เจ้าวาฬมิงค์ตัวน้อยก็รีบว่ายน้ำออกไปทันที โถๆๆ เจ้าวาฬตัวน้อยคงกำลังรอให้คนมาช่วยเหลืออยู่แน่ๆ แต่ก็ดีใจด้วยนะเจ้าวาฬ ในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือ ทำให้มันได้กลับคืนสู่มหาสมุทรแล้ว   มาชมคลิปขณะกำลังช่วยเหลือเจ้าวาฬมิงค์กันเลย (คลิป)   ที่มา : thedodo

ขณะนี้เรากำลังอยู่ในยุค 2016 ว่ากันว่าเป็นยุคสมัยแห่งทางเลือก ยุคที่ผู้คนเริ่มออกมาแสดงจุดยืนทางด้านดนตรี แฟชั่น แนวคิดทางการเมือง หรือแม้แต่ศาสนา ที่แตกต่างกันออกไป พร้อมทั้งเรียนรู้ที่จะอยู่บนความต่างในสังคมเดียวกัน นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นการยอมรับ และเปิดกว้างมากขึ้นของกลุ่มคน LGBT ทั้งหลาย เช่นเดียวกับเรื่องแฟชั่น ที่พัฒนาก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว และสำหรับแฟชั่นนิสต้าทั้ง 16 คนนี้จาก Instagram ที่ #เหมียวบ็อบ อยากจะแนะนำให้เพื่อนๆเข้าไปส่องกัน เพราะพวกเขาได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า ในโลกยุคสมัยใหม่ ‘เพศ’ จะไม่ถูกนำมาใช้ในการแบ่งประเภทการแต่งตัว เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว อะไรก็ตามที่มันสวยงาม มันก็ย่อมสวยงามเสมอ ไม่ว่าจะสำหรับหญิงหรือชาย ก็ตาม…   1. @sirramoanbruce   2. @jamesrsanders   3. @paslemode   4. @abearnamedtroy   5. @elevexii   6. @juliofz   7. @fonzfranc   8. @ryesq  …

ว่ากันว่า ช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ก็คงหนีไม่พ้นช่วงเวลาในวัยเด็ก ที่เราเปรียบได้ดั่งต้นกล้าต้นน้อย พร้อมจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว และเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต แต่ถ้าหากเราย้อนอดีตกันไปในยุคที่ยังไม่มี คุณแม่สุดฮิป อาหารคลีนฟู๊ด หรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่มากมายเหมือนปัจจุบัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละว่า ในอดีตเขามีวิธีการเลี้ยงดูเด็กกันแบบนี้จริงๆ เราไปพิสูจน์กันด้วยภาพถ่ายเก่าเก็บจาก Chris Wild ซึ่งมันช่างแตกต่างจากการเลี้ยงดูลูกน้อย ในสมัยนี้ซะเหลือเกิน!!!   มีไฟมั้ยพี่? เด็กตัวน้อยสองคนที่ทำท่าดูดบุหรี่เลียนแบบผู้ใหญ่ แหมยังเด็กอยู่เลยนะจ๊ะ   ทุกๆ วันเด็กๆ จะได้พักผ่อนในตู้ไม้แบบนี้ ในที่สถานรับเลี้ยงเด็ก East End of London   เด็กทารกตัวน้อยสองคน กำลังหัดใส่นวม อยู่ในบริเวณที่ทำขึ้นให้เหมือนสนามมวยขนาดจิ๋ว   เด็กๆ ถูกนำมาแขวนตากไว้ให้แห้ง แต่ดูท่าทางแล้วหนูๆ ไม่น่าจะแฮปปี้เท่าไหร่   เด็กกำลังรับการฉายแสง ที่ศูนย์อนามัยเด็กเล็ก ในลอนดอน เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีรักษา ภาวะโลหิตจาง และป้องกันการติดเชื้อในทรวงอก ของเด็กๆ ในอดีต   เด็กทารกกำลังนอนเล่นอยู่ในกรงที่แขวนออกไปนอกหน้าต่าง ในอดีตเชื่อว่าวิธีนี้เด็กจะได้รับอากาศที่สดชื่นและบริสุทธิ์มากที่สุด (แอบเสียวกลัวเด็กตกนะเนี่ย)   เด็กๆ…

หากเราพูดกันถึงเรื่องการหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ประเทศที่มีปัญหาเรื้อรังในด้านนี้ คงหนีไม่พ้น สหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งโอกาสและเสรีภาพ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการโอกาส ในการสร้างชีวิตใหม่ บนดินแดนแห่งใหม่ ที่ๆ ความฝันสามารถกลายเป็นความจริงได้ แต่บางทีมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ เพราะการเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ทำให้พวกเขาต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ John Moore ช่างภาพผู้ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ ผ่านใบหน้าของผู้ที่พยายามหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งเค้าต้องการจะชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สะท้อนอะไรได้หลายๆอย่าง และยังคงรอการแก้ไข..   1. Jorge วัย 62 ปี จากกัวเตมาลา เขาได้หลบหนีเข้ามาทำงานนานถึง 8 เดือน ก่อนที่จะถูกจับและส่งตัวกลับประเทศไปในที่สุด   2. Cruz หนุ่มวัย 18 จากเม็กซิโก ในขณะที่ถ่ายรูปนี้ เขากำลังวางแผนที่จะแอบหลบหนีเข้าไปหางานทำในดินแดนอเมริกา เป็นครั้งแรก   3. Gilberto ชายวัย 28 ปี จากเม็กซิโก เคยเป็นแรงงานให้แก่ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐวอชิงตันเป็นเวลากว่า 5 ปี ก่อนที่จะถูกจับเพราะขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาต   4. Flor สาววัย…

เมื่อรู้ว่าแมวแสนรักหายไปเป็นเวลานานนับเดือน แล้วจู่ๆ คุณก็ได้พบกับมันอีกครั้ง เชื่อว่ามันจะต้องเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ จนบอกไม่ถูกอย่างแน่นอน เหมือนดั่งเช่นเรื่องราวของโทมัส เด็กหนุ่มที่มีภาวะเป็นออทิสติกคนนี้ เขารู้สึกใจสลายเป็นอย่างมากหลังรู้ว่าเจ้าเดฟ แมวแสนรักของเขาตัวหายไป     ด้านครอบครัวของหนุ่มน้อย ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาเจ้าเดฟ และในขณะที่กำลังพยายามตามหานั้น พวกเขาก็คิดว่าอาจจะต้องสูญเสียมันไปแล้วจริงๆ      “พี่ชายของฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเจ้าเดฟถึงไม่กลับบ้าน เขารู้ว่าเจ้าเดฟรักเขาแบบไม่มีเงื่อนไข เขาไม่เหมือนเดิมเลย ตั้งแต่ที่เจ้าเดฟหายไป” Billie-Louise ผู้เป็นน้องชายกล่าว     เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว ที่เจ้าเดฟได้หายตัวไปจากบ้าน จนในที่สุด เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ครอบครัวของโทมัสก็ได้พบเจอกับเจ้าเดฟอีกครั้ง และได้นำตัวของมันกลับมาที่บ้าน ทันทีที่โทมัสเห็นแมวแสนรักของเขา เขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกับเดินเข้าไปหาเจ้าเดฟ และกอดมันด้วยความคิดถึง เพราะมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา     ส่วนสาเหตุที่เจ้าเดฟหายตัวไปนั้น ความจริงแล้วมันเดินหลงทางอยู่แถวๆ บ้านของพวกเขาเท่านั้นเอง จนกระทั่งมีคนไปพบเข้ายังไงละ   มารับชมคลิปน่ารักๆ ของเด็กน้อยกันเลย   น้ำตาแห่งความสุขของเด็กน้อย เมื่อได้เห็นเพื่อนรักที่หายตัวไปกลับมา มันช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ…

ถึงเรื่องเงินจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของใครหลายๆ คน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือปัจจัยหลักในการมอบชีวิตและสิ่งแวดล้อมดีๆ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันนี้ สำหรับวันนี้เราก็มีผลงานของช่างภาพ Johnny Miller เมื่อปี 2016 ที่เขาได้มีโอกาสเข้าไปถ่ายภาพมุมสูงของประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเขาได้เห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน “จะว่าไปมันก็คือความสวยงามแบบหนึ่ง ประเทศแอฟริกาใต้คือส่วนผสมของโลกที่ 1 และประเทศโลกที่ 3” เขากล่าวกับภาพพวกนี้ “ผมพอจะรู้ว่ามันมีเส้นแบ่งความไม่เท่าเทียม แต่ผมไม่รู้ว่ามันมากแค่ไหน จนกระทั่งได้เห็นภาพจากโดรน”   ความไม่เท่าเทียมกันในคุณภาพชีวิต   Cape Town เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแรกของแอฟริกาที่ปรับตัวเข้าสู่โลกาภิวัฒน์ เพราะการเข้ามาของชาวยุโรป   ในอดีตประเทศแอฟริกาใต้นั้นมีการปกครองด้วยระบบเหยียดสีผิวอยู่   มีการเหยียดผิวและชนชาติกันอย่างเนืองๆ ชาวผิวดำนั้นส่วนมากจะถูกกดดันให้ย้ายจากบ้านแถบชานเมืองเข้าไปอยู่ในสลัม และมีเขตกั้นเพื่อแบ่งทั้งสองโซนไว้   ถึงแม้ว่าระบอบการปกครองแบบเหยียดสีผิวและกฎหมายเหล่านั้นจะถูกยกเลิกไปมากกว่า 50 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยของความแตกต่างให้ได้เห็นกันอยู่   ส่วนชาวผิวขาวผู้มั่งมีก็อาศัยอยู่ในบ้านและคฤหาสน์สุดหรู   และนี่คือภาพของความแตกต่างที่ยังคงมีให้เห็นกัน ที่ทาง Miller ได้ไปบันทึกมา… เราสามารถติดตามงานเขาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.unequalscenes.com . . . . . . . . . . .…

เมื่อปลายปีที่แล้ว เหมียวขี้อ้อนได้นำเสนอเรื่องราวของ Lazarus เจ้าเหมียวตัวน้อยที่เกือบจะนอนหนาวตายอยู่ใต้กองหิมะอันหนาวเหน็บ แต่ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ เพราะเจ้าเหมียวผู้น่าสงสารตัวนี้ สามารถรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ หลังจากที่ครอบครัวของ Branden Bigham มาช่วยชีวิตของมันได้ทันเวลา     เมื่อเห็นเจ้า Lazarus นอนตัวแข็งจมอยู่ใต้กองหิมะ Branden และลูกๆ จึงรีบเข้าไปช่วยมันทันที โดยการพาเข้าไปอยู่ใกล้บริเวณเตาผิง เพื่อให้ร่างกายของมันอบอุ่น Branden พยายามช่วยเหลือเจ้าเหมียวโดยการปั๊มหัวใจให้มัน และในที่สุดเขาก็สามารถช่วยชีวิตของเจ้า Lazarus ได้สำเร็จ (ย้อนดูภารกิจช่วยชีวิตเจ้า Lazarus ได้ที่นี่ เจ้าแมวน้อยเกือบแข็งตายอยู่ใต้กองหิมะ แต่โชคดีที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะมีคนมาช่วยไว้ทัน)     หลังจากที่ได้ช่วยชีวิตของเจ้าเหมียวในวันนั้น มันก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Branden ไปในทันที… และมาในวันนี้ทางเว็บไซต์ Lovemeow ก็ได้มาอัพเดทเรื่องราวชีวิต พร้อมภาพน่ารักๆ ของมันอีกครั้ง ถ้าหากใครที่พอจะจำได้ คุณจะต้องรู้สึกประทับใจเมื่อได้เห็นเจ้า Lazarus แน่นอน     ปัจจุบันเจ้า Lazarus เติบโตขึ้นมาก แถมยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง   มันเป็นแมวถูกชุบชีวิตที่น่ารักมากๆ ตัวหนึ่งเลยละ…

Pompeii (ปอมเปอี) ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง และชื่อเสียงโด่งดังอีกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญในยุคนั้นอีกด้วย แล้วมันกลับถูกทำลายลง เพียงเพราะภัยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว….   ในคืนวันหนึ่ง 24 สิงหาคม ค.ศ. 79 ค่ำคืนที่ผู้คนต่างนอนหลับอย่างสบายใจใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆภูเขาไฟ Mount Versuvius เกิดการระเบิด เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เมืองปอมเปอี ถูกเปลี่ยนจากสวรรค์ให้กลายเป็นเหมือนดั่งนรกในทันที ฝุ่นควันจำนวนมากที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่พระอาทิตย์ก็ไม่สามารถส่องแสงผ่านลงมาได้ บวกกับลาวาที่ประทุขึ้นไปบนท้องฟ้า และเกิดการแข็งตัว จึงตกลงมาเป็นฝนหิน บางคนโดนหินตกใส่ บางคนถูกลาวาเผาละลาย ในขณะที่หลายๆคนพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่สุดท้ายพวกเขาก็หนีไม่พ้นก๊าซพิษ จนกลายมาเป็นจุดจบของนครปอมเปอี…   สภาพของเมืองปอมเปอี หลังถูกบูรณะ และถูกแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลก   หนึ่งในชาวเมืองผู้โชคร้ายจากภัยธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดอันแสนสาหัส จากเหตุการณ์ครั้งนี้   ชาวเมืองจำนวนมากถูกฝังลึกลงไป 13 – 20 ฟุต จากลาวา และเถ้าถ่านที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง   ซึ่งเชื่อกันว่าในช่วงเวลานั้น มีชาวเมืองอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 คน ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะหายไปเพียงชั่วข้ามคืน..   อ้างอิงจากผลพิสูจน์เมื่อปี 2010…

ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับประเทศสหรัฐฯ เพราะช่วงหลังมานี้ เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับตำรวจงานผิดพลาด และลงมือรุนแรงกับผู้บริสุทธิ์จนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างหนาหูเหลือเกิน เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ ที่ทำให้คุณแม่ Judy Mckim ต้องยอมเขียนโรงรถของตัวเอง เพราะเกรงว่าตำรวจจะกลับมาทำร้ายลูกชายของเขาอีก เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ Zachary ลูกบุญธรรมหนุ่มวัย 28 ปี ผู้ป่วยเป็นโรคออทิสติก ทำให้เขามีระดับสมองเทียบเท่ากับเด็กทารก เขาไม่รู้แม้แต่คำที่จะใช้สื่อสาร และต้องสวมใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา     คืนหนึ่งเพื่อนบ้านได้โทรแจ้งตำรวจ เพียงเพราะพวกเขากลัว Zachary ในเวลาที่เขาโมโหส่งเสียงดัง  เมื่อตำรวจมาถึงบ้านหลังนี้ที่อยู่นอกเมือง Las Vegas พวกเขาก็เข้ามาชาร์จและระงับอารมณ์ของหนุ่มคนนี้ด้วยการ จับเขากดลงกับพื้นพร้อมกับเอาเข่ากดลงบนอก แต่ด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด และสุดท้ายสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำ ก็คือการหันกระบอกปืนเข้าใส่   “บ้านนี้มีคนป่วยออทิสติก ตำรวจไม่มีข้ออ้างอะไรทั้งนั้น”  ข้อความที่เธอเขียนติดโรงจอดรถ   “ฉันก็แค่อยากจะทำให้มั่นใจว่าตำรวจจะรู้เรื่องพวกนี้ ลูกชายของฉันยังต้องสวมผ้าอ้อม ไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปืนคืออะไร เขาเป็นออทิสติก เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรคือตำรวจ!!” Judy กล่าว แถมเธอยังกล่าวเสริมอีกว่า “มันทำให้ฉันรู้สึกกลัวมากๆ”   “คนป่วยออทิสติก ม่สามารถพูดคุยได้ อาศัยอยู่ที่นี่…

นับตั้งแต่ J.K.Rowling ได้เขียนหนังสือนวนิยายเรื่อง ‘Harry Potter’ กับเรื่องราวของโลกแห่งเวทมนตร์ และถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ความโด่งดังของมันก็ไม่เคยลดลงเลยนับแต่นั้นมา กลับกันก็มีแฟนๆ เพิ่มขึ้นมากมายทั่วโลก ก็แน่นอนล่ะ..เพราะใครๆ ก็อยากจะเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ เลี้ยงสัตว์ในนวนิยาย เดินเล่นในหมู่บ้านฮอกส์มี้ด และได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนฮอกวอตส์ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูเป็นเรื่องเหนือความจริงมากไปซะหน่อย แต่ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะที่เมือง Philadelphia รัฐเพนซิลเวเนีย เขาได้ทำให้มันกลายเป็นความจริงแล้วกับงานเทศกาล ‘แฮร์รี่ พ็อตเตอร์’ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2016     ภายในงานมีอะไรให้เราทำบ้าง!? อีกทั้งภายในงานยังมีสอนการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด การประลองเวทมนตร์ และหมวกวิเศษที่จะมาคัดสรรแฟนๆแต่ละคนว่าเหมาะกับบ้านหลังไหน..   ดูจากสีหน้าแล้ว เพื่อนๆคิดว่าเจ๊คนนี้จะได้อยู่บ้านหลังไหนกันเอ่ย?   และสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การแข่งขันควิดดิช ทัวร์นาเม้นต์ ‘Brotherly Love Cup’ กีฬาประเพณีประจำฮอกวอตส์ เชื่อว่าใครที่เคยดูหนัง ต้องรู้สึกอยากจะลงไปบินเล่นในสนามให้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ!?   เหล่านักกีฬากำลังวิ่งเข้าสู่การแข่งขัน ควิดดิช ทัวร์นาเม้นต์   ในวันงานที่ Chestnut Hill College จะเปิดให้แฟนๆได้เข้าไปใช้ห้องเรียน และห้องประชุมสำหรับการเรียนวิชาเวทมนตร์ต่างๆอีกด้วย ดูจากสถานที่แล้ว ถึงมันจะไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง…

แต่ละประเทศก็มักจะมีธนบัตร และเหรียญกษาปณ์ ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งค่าเงิน ตราสัญลักษณ์ และลูกเล่นต่างๆที่ทางรัฐบาลและผู้ออกแบบได้ใส่ไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าธนบัตรใบนั้นๆ เป็นของจริง และล่าสุดประเทศออสเตรเลีย เพิ่งได้ประกาศเปิดตัวธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์ออสเตรเลีย แบบใหม่ไปหมาดๆ และที่สำคัญมันไม่เหมือนกับธนบัตรอื่นใดในโลก   ธนบัตรแบบใหม่นี้ มีลูกเล่นด้วยกันทั้งหมดถึง 5 จุดเลยทีเดียว   แค่การทำให้ธนบัตรสามารถกันน้ำได้ หรือทนต่อการฉีกขาด กลายเป็นลูกเล่นที่ล้าสมัยไปเลย เมื่อเทียบกับธนบัตรแบบใหม่ใบนี้ รับรองว่างานนี้เหล่าอาชญกรที่มักจะแอบผลิตธนบัตรปลอมมาใช้เอง ได้เจองานยากเข้าให้แล้ว!! และนี่คือลูกเล่นเล็กๆน้อยๆทั้งหมด ที่เพิ่มเข้ามาในธนบัตรแบบใหม่นี้..   ก่อนจะดูคำอธิบายด้านล่าง ชมคลิปวิดีโอลูกเล่นของเจ้าธนบัตรแบบใหม่นี้ก่อน   ส่วนตรงกลางของธนบัตรจะโปร่งแสง สามารถมองทะลุเห็นภาพข้างหลังได้   ด้านมุมบนซ้าย จะมีรูปนกพื้นบ้านอีสเทิร์น สปินบิล ที่เมื่อเราขยับธนบัตรก็จะเห็นมันขยับปีกตาม   ตรงสัญลักษณ์ของสหพันธ์รัฐจะแอบซ่อนเลข 5 ไว้ และเมื่อเราขยับตัวเลขยังสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อีกด้วย   ด้านหลังของธนบัตร ยังมีตราสัญลักษณ์สีทอง เมื่อเราขยับธนบัตรแล้วสีของมันจะเปลี่ยนตามเงาเจ๋งมั้ยล่ะ!!   และที่สำคัญที่สุด ธนบัตรได้เพิ่มส่วนที่เป็นปุ่ม ที่ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาในการมองเห็น สามารถรับรู้ได้ด้วยการสัมผัส ทำให้พวกเขาจำแนกราคาธนบัตรได้ง่ายขึ้น   เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ……

‘เด็กคืออนาคตของชาติ’ เป็นประโยคที่เชื่อว่าหลายๆประเทศ ต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะการปลูกฝังวิธีคิด หรือการศึกษา ให้แก่เด็กๆในวันนี้ มันย่อมหมายถึงระดับคุณภาพของประชาชนในประเทศนั้นๆในอนาคต และรูปภาพเหล่านี้ คือภาพของเด็กๆผู้ที่มีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วย เมตตา และความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่น จากทั่วทุกมุมโลก เราตามไปดูกันเลยดีกว่า รับรองว่าจะใจชื้นทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย ^_^   1. สาวน้อยเข้าไปช่วยหมาจรจัดกลางสายฝน ที่เมืองมุมไบ   2. Lucas และ Noah สองพี่น้อง ที่ช่วยกันฝ่าด่านไตรกีฬา จนเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ   3. หนูน้อยวัย 3 ขวบ ตัดผมเพื่อบริจาคให้เด็กคนอื่นๆ ทั้งคนที่ไม่มีผม และคนที่ป่วยโรคมะเร็ง 4. หนุ่มน้อยในบังคลาเทศ ช่วยเหลือลูกกวางที่กำลังจมน้ำ   5. เด็กน้อยพยายามจะช่วยกระต่าย ให้ขึ้นไปหาเพื่อนของมันได้ (โถ่ววน่ารักจังลูก) 6. หนุ่มหล่อผู้ยอมสะสมเงินกว่า 120 เหรียญ (ราวๆ 3,800 บาท) เพื่อนำเงินไปซื้ออาหารเที่ยงให้ผู้ยากไร้   7. โค้ชเบสบอลหนุ่มคนนี้ รอดตายเพราะได้…

หลายๆครั้งที่เรื่องราวดีๆอย่างการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เด็กน้อยช่วยผู้ใหญ่ คนต่างชาติช่วยเหลือกัน หรือแม้แต่ คนช่วยเหลือสัตว์โลกตัวน้อย ก็มักจะทำให้เรารู้สึกดีอยู่เสมอจริงมั้ย? และเรื่องราวดีๆครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อหนุ่มนักซิ่งและผองเพื่อนของเขา กำลังควบรถมอเตอร์ไซค์สุดเท่ไปเที่ยวยังสถานที่แห่งหนึ่ง แต่จู่ๆเขาก็ต้องหยุดมันกลางทาง และทำสิ่งอื่นแทนที่ทรงคุณค่ามากกว่านั้น… เพราะสิ่งที่เขาเจอก็คือ ลูกแมวตัวน้อยที่กำลังรู้สึกตื่นกลัว และมีบาดแผลเล็กน้อยตามร่างกาย กำลังวิ่งพล่านอยู่กลางถนนที่แสนจะวุ่นวาย และถ้ายังปล่อยให้เจ้าลูกแมววิ่งหาทางเอาชีวิตรอดแบบนี้ มีหวัง.. คงโดนรถชนเละแน่ๆ     เขาและเพื่อนนักซิ่งไม่รอช้า ตัดสินใจที่จะจอดรถและเข้าไปช่วยเหลือเจ้าเหมียวตัวน้อยทันที เพราะงานนี้ถ้าไม่ใช่เขา ก็คงไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสรอดชีวิตจากถนนเส้นนี้หรือไม่ แต่ตอนแรกทั้งคู่ก็ยังเกิดความสับสนว่า เราควรจะปล่อยมันไว้ที่ข้างทางแบบนี้ หรือควรจะรับเลี้ยงมันไว้ดี? และสุดท้ายเขาก็ได้ตัดสินใจว่า ขอรับอุปการะเจ้าเหมียวน้อยไว้เองดีกว่า… “แมวเป็นจุดอ่อนของผม ผมทิ้งมันไว้แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ!!” Desmond Shephard หนุ่มนักขับกล่าว     เหตุการณ์ในตอนนั้นราวกับว่าเป็นพรหมลิขิตที่ให้ทั้งสองได้มาเจอกัน ครั้งแรกสุดที่หนุ่มนักขับพาเจ้าแมวน้อยมาที่บ้าน มันก็พยายามไต่แข้งไต่ขา เหมือนกำลังพยายามเรียกร้องความสนใจ และถามว่า “ช่วยเป็นมนุษย์ผู้ดูแลและอยู่กับหนูไปตลอดเลยได้มั้ย?” Shephard นักซิ่งใจบุญ ก็ได้ดูแลมันอย่างดีราวกับว่าเป็นลูกน้อยในไส้ของตน เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่า เจ้าแมวได้เลือกบ้านของมันแล้ว และทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งสอง..     สุดท้ายแล้วเจ้าเหมียวตัวน้อยก็ค่อยๆกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิม แถมยังได้ความสุขกลับมาอย่างท่วมท้น งานนี้เจ้าเหมียวสบายตัวแล้ว…   เราไปชมคลิปวิดีโอเหตุการณ์ทั้งหมด จากกล้องที่ติดอยู่กับหมวกกันน็อคของหนุ่มนักขับกันบ้างดีกว่า..  …

ว่ากันว่า คุณพ่อ และลูกสาว มักจะมีสายใยความสัมพันธ์บางอย่างที่พิเศษแตกต่างกันออกไป เหมือน คุณแม่-ลูกชาย อย่างนั้นเลยแหละ และส่วนใหญ่คุณพ่อ มักจะยอมใจอ่อนกับลูกสาวตัวน้อย เมื่อเวลาที่เขาอยากจะเล่นอะไร อยากจะกินอะไร สุดท้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ของคุณพ่อ ที่คอยจัดสรรมาให้เสมอ   เรื่องราวดีๆของสองพ่อลูกก็ได้เกิดขึ้น เมื่อคุณพ่อผู้ใช้งานเว็บไซต์ Reddit ได้โพสต์เล่าเรื่องของตัวเอง วันหนึ่งลูกสาวอยากจะได้ชิงช้า แถมเธอยังชอบดิสนีย์มากเป็นพิเศษ แต่ด้วยความที่คุณพ่อมีงบประมาณอย่างจำกัด งานนี้ก็เลยต้องสร้างมันขึ้นมาเองซะเลย…   จู่ๆคุณพ่อก็ปิ๊งไอเดีย ทำชิงช้าด้วยยางรถยนต์เก่าๆ ก่อนอื่นก็ต้องทำความสะอาดกันซะก่อน… แถมชวนลูกสาวมาช่วยกันทำด้วย   จากนั้นก็จับยางรถ มาพ่นสีชมพูใส่ให้น่ารักซะเลย และใช้กระดาษแข็งปิดส่วนที่อยากทำให้เป็นลายไว้   หลังจากนั้นคุณพ่อก็ใช้วิธีเดียวกัน เพื่อเพิ่มสีแดงเข้าไป   เสร็จแล้วใช้พู่กันขนาดเล็ก เพื่อแต่งแต้มสีสันให้โบว์ของมิคกี้เม้าส์   หลังจากนั้นคุณพ่อก็สลักชื่อลูกขึ้นมาจากกระดาษ แถมยังใช้ฟ้อนต์แบบดิสนีย์อีกด้วย   เห็นแบบนี้ในส่วนของชื่อ คุณพ่อวาดด้วยมือของตัวเองนะจ๊ะ เพราะอยากให้ลูกเห็นว่า พ่อตั้งใจจริงๆนะ   ถะแด่มม!! เสร็จแล้วสำหรับชิงช้าจากยางรถยนต์   หลังจากที่สีแห้งหมดแล้ว ก็เชื่อมตะขอ และโซ่ไว้ 3 จุด ก่อนที่จะนำไปแขวนบนต้นไม้  …

อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องงารบริการที่สุภาพนอบน้อมแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าบางทีเข้าไปใช้บริการแล้วรู้สึกเกรงใจเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหากพนักงานคนไหนมีกริยาไม่เรียบร้อยหรือก้าวร้าวรุนแรงเกินไป จะต้องถูกเจ้าของร้านคาดโทษเป็นแน่ๆ และไม่เพียงแค่สำหรับมนุษย์เท่านั้น แม้กระทั่งกับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติก็เช่นกัน!!   เรื่องราวเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟคิตะเซนจู ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อมีผู้ใช้บริการท่านหนึ่งสามารถเก็บภาพเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติสุดก้าวร้าว ที่แจกบัตรโดยสารด้วยความรุนแรง จนผู้ใช้บริการตกใจกันเป็นแถบๆ   นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่ามันไปโกรธใครมา…   เมื่อชาวเน็ตเห็นภาพดังกล่าวก็ได้เข้ามาคอมเมนต์กันมากมาย แต่ละอันนี่ฮาแบบสุดๆ ไปเลยทีเดียวเช่น “ทำไมบริการแย่ขนาดนี้” “สงสัยต้องเอาไปฝึกมารยาทแล้วมั่งเนี่ย” “เอาเจ้าเครื่องนี่เข้าโปรแกรมเทรนพนักงานอีกรอบดีมั้ยเนี่ย” ความฮาของการทำงานผิดพลาด ทำให้มีคนถูกใจและรีทวีตกันไปรวมกว่า 120,000 ครั้ง จนกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์   และล่าสุด เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟได้ดำเนินมาตรการดัดนิสัยของมันแล้ว พวกเขาเอาใจชาวเนร็ตด้วยการเข้ามาปิดเครื่องขายตั๋วสุดก้าวร้าวนี้เป็นที่เรียบร้อย และกำลังทำการดัดนิสัยมันอยู่ ก็ได้แต่หวังว่า เจ้าเครื่องขายตั๋วมารยาทแย่นี้จะนิสัยดีขึ้น กลับมาเป็นปกติในเร็วๆ นี้นะฮะ   .   เอาน่า ทำงานติดต่อกันมาหลายปีไม่เคยได้พัก มันก็ต้องมีหงุดหงิดกันบ้างล่ะ ห๊ะ อะไรนะ ไม่ใช่คนเหรอ โท๊ดๆๆๆ ที่มา Rocketnews24

สำหรับเด็กๆ แล้ว หนึ่งในหน้าที่ที่พวกเขาทุกคนต้องทำคือการร่ำเรียนหนังสือซึ่งก็จะมีระยะเวลาประมาณ 12-18 ปี แน่นอนว่าตลอดระยะเวลานั้น พวกเขาต้องผ่านช่วงชีวิตหลากหลายช่วง จากเด็กสู่วัยรุ่น จากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเมื่อมองย้อนดูแล้ว มันช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตพอดูเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสจัดประกวดภาพถ่ายเปรียบเทียบ “วันแรก-วันสุดท้าย” ของชีวิตการเรียน ว่าแต่ละคนจะเปลี่ยนไปขนาดไหนนั้น #เหมียวอ๊อดโด้ ขอหยิบยกภาพที่ได้คะแนนโหวตสูงมาให้ชมกันสัก 15 ภาพล่ะกันครับ…   จากตัวนิดเดียว ตอนนี้พ่ออุ้มแทบจะไม่ไหวแล้ว   เธอต้องเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวแน่นอน   เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน   จากกระเป๋าอนุบาล สู่ชุดครุยแห่งความพยายาม   สองเพื่อนซื้ตั้งแต่เด็กจนจบมหาลัย   ที่ต่างคงมีเพียงอายุที่เพิ่มขึ้น     ท่าเดิม รถคันเดิม คนคนเดิม แต่เวลาเปลี่ยนไป   ยิ้มแป้นเหมือนเคย   13 ปีแห่งชีวิตนักเรียน   จนเด็กน้อยในวันนั้น สู่คุณหมอในวันนี้   ไปหากางเกงมาจากไหนเนี่ย ฮา   ยังน่ารักเหมือนเดิม   13 ปีผ่านไป เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย  …

อย่างที่เราเห็นกันเป็นประจำกันเลยทีเดียว สำหรับสินค้าน่ารักๆ จากประเทศญี่ปุ่น ที่เหล่าผู้ผลิตต่างพากันสร้างสรรค์ออกมาดึงดูดเงินจากกระเป๋าผู้บริโภคอย่างเราๆ และอีกครั้งกับกระเป๋ากระต่ายสุดน่ารัก ที่จะมากระชากหัวใจสาวๆ ทุกคน     กระเป๋ากระต่ายอันนี้เป็นผลงานจากบริษัท YOU+MORE! จากประเทศญี่ปุ่น โดยพวกเขาได้ออกแบบกระเป๋าสไตล์พื้นบ้านญี่ปุ่น ให้มีหน้าตาสุดน่ารักเหมือนกับกระต่ายแบบนี้ แน่นอนว่ากระเป๋าสุดน่ารักอันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความน่ารักอย่างเดียว เรายังสามารถใช้งานจริงๆ ด้วย โดยเราสามารถนำมาใช้เก็บขนมหรือข้าวของที่ผ่านการเปิดถุงแล้ว แบบว่าไม่ต้องกลัวข้าวของเหล่านั้นจะสัมผัสกับลมจนเสียคุณภาพไป     จริงๆ แล้วกระเป๋ากระต่ายชนิดนี้ มีพื้นฐานการออกแบบมาจากวิธีการห่อสิ่งของแบบญี่ปุ่นโบราณที่เรียกว่า “ฟุโรชิกิ” สนนราคาอยู่ที่ชิ้นละ 2,678 เยน หรือราว 900 บาท     น่ารักมั้ยล่ะ .   เชื่อว่าสาวๆ หลายคนเห็นแล้วต้องอยากได้แน่นอน ใครสนใจก็ลองสั่งซื้อมาได้นะฮะจากเว็บ felissimo รับรองว่ามีคนอิจฉาแน่นอน อิอิ ที่มา Rocketnews24

เป็นเหมือนเรื่องธรรมดา ที่คนเรามักจะตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และการแข่งขันสูง สำหรับคนบางคน เขาอาจจะก้าวเดินผิดทาง หรือตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในชีวิต จนส่งผลให้ชะตาชีวิตพลิกผัน กลายเป็นผู้อยู่อย่างไร้บ้าน…. แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรานำคนไร้บ้าน มาสลัดคราบตัดผม โกนหนวด ที่แสนจะยาวรุงรัง ให้พวกเขาได้กลับมาดูดี หล่อเหลาขึ้นอีกครั้ง กับรายการ ‘Extreme Homeless Makeovers’     กับตอนแรกสุดของรายการ โดยการนำชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Luke หรือรู้กันในชื่อ(A.K.A) Jesus ชายผู้สูญเสียสิ่งสำคัญหลายๆอย่างในชีวิต จนทำให้เค้าต้องกลายมาเป็นบุคคลไร้บ้าน ไม่ได้ตัดผมหรือโกนหนวดมานานแล้วหลายปี และชายคนนี้ก็ไม่ได้เตรียมตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้… เมื่อจู่ๆรายการก็พาพี่แกไปยังร้านตัดแต่งทรงผมท่านชายแห่งหนึ่งในเมือง Vancouver   โฉมหน้าของชายที่ชื่อว่า Luke สมแล้วที่แกได้รับอีกชื่อหนึ่งว่า Jesus (ดูเหมือนมากจริงๆ)   Luke รู้สึกตื่นเต้นสุดๆที่ไม่ได้มาใช้บริการตัดผม โกนหนวด โดยช่างผมผู้ชำนาญแบบนี้มานานหลายปีแล้ว   และนี่คือสภาพก่อนและหลังการเสริมหล่อในครั้งนี้ ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะเนี่ย..   เราไปชมคลิปวิดีโอเต็มๆจากรายการกันเลยดีกว่า ว่างานนี้พี่แกจะออกมาหน้าตาหล่อเหลาขนาดไหน…   ท้ายที่สุดแล้วคุณ Luke ก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้มีเค้าโครงสภาพความเป็น Jesus…

หลายๆครั้งที่มักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และฮีโร่ที่ไม่ใช่ใครที่ไหนไกลก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นเอง…   เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันหนึ่งในช่วงเวลาประมาณ ตี3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ Dan Whitney จากเมือง Athens รัฐจอร์เจีย ได้รับแจ้งจากสายด่วน 911 ว่าเกิดเหตุรถยนตร์ประสบอุบัติเหตุ และตอนนี้ตัวรถกำลังเกิดไฟลุกไหม้อย่างหนัก อีกทั้งยังมีผู้เสียหายติดอยู่ในรถด้วย!!! “เราเกิดอุบัติเหตุรุนแรงขึ้นที่หน้าบ้านของเรา และรถกำลังจะระเบิดแล้ว เจ้าหน้าที่ช่วยเข้ามาโดยด่วนเพราะไม่อย่างนั้นรถระเบิดแน่ๆ” เสียงจากคนที่แจ้งเหตุด่วนเข้ามา   หลังจากที่เจ้าหน้าที่ Whitney ได้รับแจ้ง เขาก็ไม่รีรอ รีบขับรถประจำการออกตามหาผู้ประสบเหตุทันที   หลังจากที่เจ้าหน้าที่ Whitney ได้รับแจ้งและกำลังรีบเร่งเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พลเมืองผู้แจ้งเหตุมาทาง 911 ได้กล่าวเพิ่มอีกว่า “ผมคงไม่ขอเข้าไปช่วยล่ะ เพราะรถมันกำลังจะระเบิด โอ้ววพระเจ้า!!!…มีคนติดอยู่ข้างใน คุณต้องรีบมาโดยด่วนเลยล่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจ” คนโทรแจ้งกล่าวเพิ่ม   และในที่สุดเขาก็มาถึงยังที่เกิดเหตุ ทุกคนได้แต่หวังว่ามันคงไม่สายเกินไป…   เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ผู้โดยสารคนหนึ่งกำลังพยายามที่จะปีนออกมาทางหน้าต่างรถ ในขณะที่ประตูรถเสียไม่สามารถเปิดออกมาได้ ไฟก็กำลังเผาไหม้รถทั้งคันและโหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่ใช้ถังดับเพลิงเข้าไปช่วยชีวิตผู้โดยสารที่ติดอยู่ในรถ สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าผู้โดยสารจะรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็น่าเศร้าที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนขับไว้ได้ เพราะเขาได้เสียชีวิตตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุไปแล้ว   โฉมหน้าของตำรวจผู้กล้า Dan Whitney   และนี่คือคลิปวิดีโอ…

ก็เป็นเรื่องสยองใน South Carolina ประเทศสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียวกับเหตุการณ์นี้ ที่มีคนแต่งตัวเป็นตัวตลกประหลาดๆ และพยายามที่จะล่อลวงเด็กๆ ในละแวกเข้าไปในป่า ซึ่งไม่มีใครทราบเจตนารมย์ของคนที่ใส่ชุดตัวตลกนี้แม้แต่น้อย… ฝ่ายบริหารของอพาร์ทเม้นท์ Fleetwood Manor แห่ง Greenville ใน South Carolina รายงานว่า ‘มีเสียงบ่นจากลูกค้าหลายท่านเลยทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องตัวตลกประหลาดในละแวก แถมยังพยายามล่อลวงเด็กๆ เข้าไปในป่าอีกด้วย’ โดยขั้นแรกพวกเขาได้ออกประกาศเตือนไม่ให้เด็กๆ อยู่นอกบ้านตามลำพังในยามวิกาล โดยเฉพาะในโซนป่าที่ตัวตลกนิรนามปรากฎตัวขึ้น   ตัวตลกประหลาดพยายามล่อลวงเด็กๆ เข้าไปในป่า   เหตุการณ์นี้กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบและหาหลักฐานของเจ้าหน้าที่ในละแวก Drew Pinciaro นายตำรวจท่านหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับทาง BuzzFeed News ว่าพวกเขาได้รับโทรศัพท์ที่โทรมาแจ้งเรื่องตัวตลกนี้เช่นกัน ราวๆ วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ผู้แจ้งไม่ประสงค์ที่จะทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้ จึงไม่รู้ว่าเป็นการพยายามสร้างสถานการณ์หรือเปล่า   แต่กระนั้นวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาก็มีคุณแม่รายหนึ่งมาแจ้งความว่าลูกของเธอเห็นคนใส่ชุดตัวตลกอยู่บริเวณป่า พยายามกระซิบและส่งเสียงแปลกๆ พอคุณแม่กลับไปดูยังสถานที่เกิดเหตุที่ลูกของเธอเล่าให้ฟัง กลายเป็นว่าตัวตลกนั้นมาไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่มาเป็นกลุ่มราวๆ 2-3 คน ฉายแสงเลเซอร์สีเขียวอยู่สักพักและวิ่งกลับเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว!!?   Donna และ James Arnold ที่อาศุยอยู่ในละแวกก็ให้สัมภาษณ์เช่นกันว่า ‘ลูกของเรามาบอกกับเราว่า เห็นตัวตลกกลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า และพวกเขาพยายามจะให้เจ้าหนูกลับเข้าไปในป่าพร้อมกับพวกเขา ตัวตลกบางตัวมีมีด ตัวตลกบางตัวมีโซ่…

สำหรับประเทศจีน ด้วยความกว้างใหญ่ของพื้นที่และความหลากหลายของวัฒนธรรม ทำให้ประเทศนี้มีอาหารหน้าตาแปลกๆ ประหลาดๆ มากมาย อย่างเมนูที่ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชมวันนี้ รับรองว่าแปลกจนเพื่อนๆ ต้องอึ้งเลยล่ะ เมนูที่เราพาเพื่อนๆ ไปชมวันนี้ก็คือเมนู “เยลลี่หนอนถั่ว” ของว่างสุดแปลกจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ที่อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน กินแล้วดีต่อร่างกาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง     เยลลี่ดังกล่าวทำมาจาก “หนอนถั่ว (Phascoloma Esculenta)” ซึ่งเป็นหนอนที่อาศัยอยู่ตามร่องน้ำ จากนั้นชาวบ้านก็จะจับหนอนมาล้างคราบดินออก แล้วนำไปต้มในน้ำปรุงรส จนเจลาตินในหนอนละลายออกมา เสร็จแล้วก็จะตักใส่ถ้วยขนาดเล็ก แล้วรอจนแห้ง เท่านั้นก็จะได้เยลลี่หนอนอันแสนหนึบหนับออกมาให้รับประทานแล้ว และยิ่งถ้ากินคู่กับผักชีและซีอิ๊วก็ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก     โดยตัวหนอนชนิดนี้อุดมไปด้วยสารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งดีต่อปอดและผิวพรรณ ว่ากันว่าถือเมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยชาวประมงแถบนั้น ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมยิ่งขึ้น จนมีการเสิร์ฟในร้านอาหารแล้ว     ตัวหนอนถั่วที่เราพูดถึง   นี่คือแหล่งที่อยู่ของมัน   ดูกันชัดๆ   จับไปล้างซักหน่อย   นำไปต้มจนเจลาตินละลาย แล้วค่อยนำตัวหนอนที่เหลือ ใส่ลงไปในแต่ละถ้วย…

หลายๆ ครั้งเราอาจจะพบกับเศษขยะ หรือถุงพลาสติก ตามข้างถนน ที่น่าจะมาจากการทิ้งขยะอย่างไร้จิตใต้สำนึกต่อส่วนรวมจากผู้ใช้รถใช้ถนนบางคน และเรื่องราวดีๆ ปนเศร้าในครั้งนี้ ได้ถูกเผยแพร่ลงบนเฟซบุ๊กโดย Malissa Sergent Lewis ซึ่งเธอก็คือผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ เมื่อวันหนึ่งเธอกำลังขับรถอย่างปกติบนเส้นทางหนึ่ง และจู่ๆ ดันไปพบกับถุงขยะสีดำที่วางทิ้งไว้ริมถนน ซึ่งถ้าใครขับรถผ่านไปมาคงไม่ทันได้สังเกต หลายๆ คนอาจคิดว่ามันคือถุงขยะที่มีคนนำมาทิ้ง หรือต้องเป็นถุงใส่ของอะไรซักอย่างที่เผลอทำตกไว้แน่ๆ และเมื่อยิ่งเธอขับเข้าไปใกล้เท่าไหร่ เธอกลับยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก เพราะถุงขยะสีดำมันสามารถขยับได้!!! เอาล่ะสิ และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ที่เป็นเหมือนดั่งนิสัยพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ได้ชักจูงให้เธอเข้ามาหาคำตอบว่า อะไรกันแน่ที่อยู่ภายใต้ถุงดำใบนี้   และนี่คือวิดีโอต้นฉบับจากเฟซบุ๊กของเจ้าตัว ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เราเห็นจริงๆ ว่า ถุงดำที่ถูกปิดสนิท แต่ขยับได้อยู่แบบนี้ มันดูไม่ชอบมาพากลแน่ๆ (คลิป)   เห็นมันขยับได้แบบนี้ แน่นอนว่ามันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตแน่ๆ!! แล้วถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ มันจะเป็นตัวอะไรกันนะ เอ๊ะ..หรือมันอาจจะเป็นปิศาจน่ากลัว จนมีพลเมืองดี ช่วยกันจับมันมัดใส่ถุงแล้วทิ้งไว้รึเปล่านะ? แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ถูกปิดตายไว้ในถุงดำนี้คือ ‘หมาน้อย’ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย มันอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวมันทำอะไรผิด ถึงได้ถูกมนุษย์ใจร้ายทำกับมันแบบนี้ได้ลงคอ “ถ้านี้คือหมาของคุณ โปรดติดต่อกลับมาด้วย!! และถ้าคุณคือคนที่มัดเจ้าหมาน้อยนี้ใส่ในถุง และปล่อยทิ้งมันไว้กลางถนนแบบนี้ ขอบอกเลยว่าคุณมันชั่วได้ใจจริงๆ” Lewis…

Donato Di Camillo คือช่างภาพธรรมดาๆ คนหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เรื่องราวของเขาที่ไม่ธรรมดาเลยก็คือ เขาเป็นช่างภาพที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญ วลาที่เขาร่ำเรียนนั้นคือเวลาที่เขาติดคุกอยู่ซะด้วย!? วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักเรื่องราวของชายคนนี้กัน…. ระหว่างที่เขาถูกจำคุกอยู่ เขาเรียนรู้ทุกๆ อย่างเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ผ่านการอ่านหนังสือต่างๆ เท่าที่เขาสามารถหาอ่านได้ และแน่นอนว่าตอนนี้เขาถูกปล่อยตัวจากข้อหานั้นๆ แล้ว  เขาก็ตระเวณถ่ายภาพในมุมต่างๆ แปลกๆ ในเมืองนิวยอร์กที่เขาอาศัยอยู่   อดีตที่ไม่สวยหรูนัก…   ‘ตั้งแต่เด็กๆ ผมเห็นเรื่องราวร้ายๆ มามาก ผมเคยเห็นเพื่อนของผมเสียชีวิตข้างๆ ผมในวัยแค่ 9 ปี เพราะเขาถูกรถชน ละแวกที่ผมอยู่นั้นค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียวในยุคนั้น หลายๆ ครั้งที่ผมต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด’ Camillo กล่าว   อัลบั้มภาพของเขาชุดนี้ชื่อว่า “People on the fringes of society” หรือผู้คนตามชายของของสังคม (ถูกมองข้าม)   ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนมากหน้าหลายตาในนิวยอร์ก . .   ชายที่ถูกคนรอบข้างล้อเรื่องฟันของเขาอยู่ตลอดเพราะมันไม่สวย .   ชายไร้บ้าน…

สำหรับคนที่เคยใช้รถใช้ถนนนั้น เชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์การถูกตัดหน้าโดยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว เต่า งู หรืออื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละคนก็ตอบสนองต่อเหตุการณ์แตกต่างกันไป บางคนอาจหักหลบ บางคนอาจเบรก บางคนอาจตัดสินใจพุ่งชน เพื่อความปลอดภัยของตนเอง   และยิ่งถ้าคุณขับรถแพงๆ ระดับสิบล้านอย่างยี่ห้อ Ferrari แล้วบังเอิญมีสุนัขตัวหนึ่งเดินตัดหน้า คุณจะทำอย่างไร? จะพุ่งชนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง!? หรือว่าจะหักหลบเพื่อช่วยชีวิตเจ้าหมาน้อย!? สำหรับคนขับเฟอร์รารี่สองคนนี้ เขาได้เลือกแล้ว และสิ่งที่เขาเลือก ก็กลายเป็นเสียงชื่นชมบนโลกอินเตอร์เน็ตในทันที     เรื่องราวเกิดขึ้นบนท้องถนนในเมืองลี่เจียง ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ตามข่าวและผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ขณะที่รถหรูเฟอร์รารี่สองคันซึ่งจดทะเบียนจากเซี่ยงไฮ้กำลังขับอยู่นั้น ก็มีสุนัขน้อยตัวหนึ่งโชคร้ายเดินตัดหน้า เจ้าของเฟอร์รารี่มีทั้งสองมีเวลาเพียงชั่ววินาทีเท่านั้นที่จะตัดสินใจ ชนไปเลย หรือหักหลบมัน แต่เขาคิดว่าอย่างหลังน่าจะดีกว่า อย่างน้อยมันก็รอดตายได้ จึงหักหลบในทันที ทำให้รถทั้งสองคันพุ่งชนที่กั้นบนถนน จนรถเสียหายยับเยิน   . .   ซึ่งมีการประเมินมูลค่าความเสียหายต่อรถและทรัพย์สินของทางการแล้ว มีมูลค่ากว่า 2 ล้านหยวนหรือราว 10 ล้านบาทเลยทีเดียว .   ที่น่าเศร้าคือ แม้จะมีความพยายามในการหักหลบ เจ้าหมาตัวนั้นก็ตายในอุบัติเหตุอยู่ดี อย่างไรก็ตามเจ้าของเฟอร์รารี่ก็ยังได้รับคำชื่นชมจากชาวเน็ต…

ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้การศัลยกรรมเสริมดั้งจมูกถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในสังคมไปเสียแล้ว ไม่เพียงเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น เราจะเห็นว่าเริ่มมีท่านชายหลายคน เข้ารับการศัลยกรรมดั้งจมูกเช่นกัน แต่ถ้าใครอยากมีดั้งโด่งๆ เวลาออกงานสังคม แต่ไม่อยากเสียเงินเยอะและเสี่ยงกับมีดหมอ วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชมเทคนิคการเสริมดั้งระดับเทพของสาวจีนคนหนึ่ง ที่ใช้เพียง “แป้ง” กับ “วาสลีน” ก็สามารถมีดั้งที่โด่งดั่งใจหมายได้แล้ว จะเทพขนาดไหน ไปชมกันเลย…     อุปกรณ์ก็มีไม่มาก แค่ผงแป้ง วาสลีน แล้วก็น้ำมันงาแบบมีสี   เริ่มจากผสมวาสลีนเข้ากับผงแป้ง แล้วคลุกให้เข้ากัน จนสามารถปั้นเป็นก้อนได้   เมื่อปั้นเป็นก้อนแล้ว ก็ผสมน้ำมันงาแบบมีสีลงไป กะปริมาณให้สีคล้ายๆ กับสีผิวของตัวเอง แล้วนวดต่อ   เมื่อนวดจนสีเข้ากันแล้ว จะได้หน้าตาออกมาแบบนี้   จากนั้นก็โปะลงบนดั้งจมูกของตนเองเลย   ปั้นดั้งเทียมของเราให้อยู่ในแนวนี้ พยายามเกลี่ยๆ ให้เนียนหน่อย   เริ่มเนียนแล้วใช่มั้ยล่ะ   เพื่อความเนียนยิ่งขึ้นไปอีก ให้แต่งหน้าด้วยแนวทางตามภาพด้านล่างนี้   เสร็จเรียบร้อย   สุดยอดมั้ยละ อย่างกับคนละคนเลยทีเดียว   ใครที่สนใจก็ลองเอาไปปรับใช้กันได้นะฮะ…

เราอาจได้ยินเรื่องราวการขโมยอะไรประหลาดๆ มามากมาย แต่เชื่อว่าคงไม่เคยมีใครได้ยินหรือคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน เมื่อ “รั้วต้นไม้” ของบ้านหลังหนึ่ง ถูกขโมยมือดีแอบขโมยไป จนเจ้าของบ้านงงไปตามๆ กัน?     เรื่องราวดังกล่าวเป็นของสองสามีภรรยา Anthony และ Daphne Hawley วัย 75 ปี ทั้งสองถึงกับเงิบเลยทีเดียว เมื่อต้นลอเรลที่พวกเขาปลูกไว้เป็นรั้วของบ้านจำนวน 25 ต้น ความยาวรวมกันกว่า 10 เมตร ถูกใครไม่รู้ขโมยไปในช่วงกลางดึก เหลือเพียงแปลงดินร่วนๆ ไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น     Anthony กล่าวว่า “เรามีต้นลอเรลสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ประมาณ 25 ต้นอยู่บริเวณรั้วด้านหน้าของบ้าน เราลงแปลงไปเมื่อสองปีก่อนนี้เอง แต่พอวันนี้ผมตื่นขึ้นมา มันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยซะอย่างงั้น”   “เราไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปกติกลางดึกแม้แต่น้อย ลองเช็คกล้องวงจรปิดก็ไม่มีอะไร แต่ต้นไม้หายไปหมดแล้ว”   “เมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็เห็นว่ามีต้นลอเรลของเราหายไปต้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจ ใครที่ทำเรื่องนี้ต้องไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่ๆ เพราะเขาต้องเอารถบรรทุกขนาดใหญ่มาขนต้นไม้เยอะขนาดนี้” “ต้นลอเรลใหญ่ขนาดนี้มีราคาประมาณ 25 ปอนด์หรือราว 1,100 บาท…

ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม ปี 2015 ใครจะคิดว่าการสั่งพิซซ่า สามารถช่วยชีวิตคนให้รอดตายได้!? เราอาจจะเคยเห็นเรื่องราวน่ารักๆ เกี่ยวกับการส่งของกิน ทั้งการรีเควสขอคนส่งหล่อๆ การวาดภาพแปะกล่องมาให้ หรือแม้กระทั่งการขอให้พนักงานส่งซื้อของมาให้ระหว่างทาง แต่เรื่องราวครั้งนี้นั้นไม่เหมือนครั้งไหนๆ …   Cheryl Treadway สาวฟลอริด้าแม่ลูกสาม ถูกแฟนหนุ่มของเธอ Ethan Nickerson จับเป็นตัวประกันไว้ โดยใช้มีดข่มขู่ หลังจากมีปากเสียงกันมาเกือบทั้งวัน เธอรู้ว่าอันตรายมาถึงตัวแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตื่นตกใจอะไร แต่กลับแก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาด!!?   Cheryl Treadway คุณแม่ลูกสาม   เธอรู้ว่าเธอโทรหาตำรวจไม่ได้เพราะเขาอยู่กับเธอตลอด เธอเลยคิดอุบายอันแยบยลว่าจะสั่งพิซซ่าออนไลน์มากินที่บ้าน แล้วแอบส่งข้อความลับให้กับพนักงานร้านพิซซ่า เพื่อให้โทรหาตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ Candy Hamilton ผู้จัดการร้าน Pizza Hut ในละแวกรู้สึกช็อคและแปลกใจกับข้อความลับดังกล่าวมากเพราะ Cheryl มักจะมาซื้อพิซซ่าที่ร้านเป็นประจำ ‘ฉันทำงานที่ร้านพิซซ่าฮัทมากว่า 28 ปีเต็ม และฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต’ Hamilton กล่าว   Candy Hamilton ผู้จัดการร้าน   ได้โปรดช่วยฉันด้วย โทรหาตำรวจ 911 ให้ฉันที…   พอคุณตำรวจมาถึงบ้าน…

เรามักจะเห็นการทดลองทางสังคมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลอมตัวเป็นคนไร้บ้านหรือขอทาน เข้าไปทดสอบจิตใจคนในร้านอาหารดูว่าจะมีใครช่วยเหลือ หรือ ปลอมเป็นคนจนสลับกับคนรวย แล้วเข้าไปดูปฏิกริยาที่มีต่อร้านค้าต่างๆ แต่สำหรับ Andrea Wendel เธอต้องการทดสอบในสิ่งที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือการตระเวนเดินถามผู้ชาย 100 คน เพื่อขอมีเพศสัมพันธ์กับเธอ!!!   ซึ่งแน่นอนล่ะว่า เมื่อเจอสาวสวยขนาดนี้เข้ามาถาม ต้องทำให้ใจของหนุ่มๆ หลายคนเต้นรัวกันเลยทีเดียว   หลายๆ คนต่างเชื่อว่า ผลสำรวจที่ออกมาส่วนใหญ่แล้ว ผู้ชายต้องตอบ ‘ตกลง’ ที่จะมีเซ็กส์ร่วมกับเธอแน่นอน   ซึ่งก่อนหน้านี้รายการ Whatever.com ก็เคยทำการสำรวจแบบนี้มาแล้วเช่นกัน แต่เป็นในรูปแบบให้ผู้ชายเข้าไปถามผู้หญิงก่อน และผลสำรวจจาก 100 คน ปรากฏว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนตอบ ‘ตกลง’ แม้แต่คนเดียว แต่สำหรับคราวนี้ ถึงแม้ว่า Wendel จะได้รับคำตอบเชิงตกลง หรือออกเชิงยอมไปด้วย อย่างสุภาพจากผู้ชายหลายคนก็ตาม   แต่ก็มีผู้ชายอีกหลายคนที่กล้าจะปฏิเสธเธออย่างสุภาพ….   กลายเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ผู้ชายอีกหลายคนกล้าที่จะปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงแปลกหน้าด้วยการอ้างว่ามีแฟนแล้วบ้าง ไม่ว่างบ้าง หรือว่ายังไม่สะดวก   และสำหรับผลสำรวจทั้งหมดจากการทดสอบทางสังคม โดยผู้ชาย 100…

ย้อนอดีตกันไปซักนิด หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ปะทุดุเดือดกันจนเสร็จสิ้นสงคราม สิ่งสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่นอกจากผลกระทบและการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับใครหลายๆ คนแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นเศษซากกองเหล็กที่ถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี และเช่นเดียวกันกับที่ฟยอร์ดแห่งหนึ่งในกรีนแลนด์ ถึงแม้จะเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกล และดูสงบงดงาม แต่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ประจำการณ์ของฝ่ายสหรัฐฯ กับยุทธการ ‘Bluie’ (ระหว่างสงครามกับเยอรมัน)   Ken Bower ช่างภาพแลนด์สเคป ได้ตัดสินใจเดินทางมายังที่แห่งนี้ เพื่อถ่ายภาพเศษซากกองขยะ จากสงครามในอดีตเพียงเพื่อหวังว่า รูปภาพเหล่านี้จะช่วยดึงความสนใจให้ผู้มีอำนาจจากสหรัฐฯ เข้ามาจัดการกับกองเศษเหล็กสนิมเขรอะเหล่านี้…     “ในวันที่แดดจ้า แสงจะตกกระทบลงมาใส่ซากเหล็กเหล่านี้ เมื่อดูไกลๆ ราวกับว่ามันคือดอกไม้” ช่างภาพกล่าว   ชาวบ้านในท้องถิ่นก็มักจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ‘American Flower’ ดอกไม้ที่ชาวอเมริกันทิ้งเอาไว้   “ถ้าหากเราขึ้นไปบนเนินเขาที่สูงประมาณ 100 ฟุต เราจะได้เห็นเศษเหล็กพวกนี้เรียงรายกันอยู่เยอะมากๆ เลยครับ” Ken กล่าวเสริม   และยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ ยิ่งดูเหมือนว่าเศษซากเหล่านี้มีมากขึ้นเท่านั้น   อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเศษซากยานพาหนะของทหารในยุคนั้น ที่ปัจจุบันก็ขึ้นเป็นสนิมหมดแล้ว .   และเศษซากปรักหักพัง ที่ดูแล้วเหมือนว่ามันเคยเป็นโกดัง หรือโรงจอดเครื่องบินมาก่อน จากนั้นก็ถูกธรรมชาติทำให้พังไปตามกาลเวลา…

หลังจากที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่บราซิล ได้ปิดฉากลง มีเรื่องราวดีๆ มากมายเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน และตอนนี้นักกีฬาหลายๆ คน คงกำลังใช้เวลาไปกับการพักผ่อนหลังเก็บตัวซ้อมและแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกกันมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับนักกีฬาขว้างจักรชายจากโปแลนด์คนนี้ เค้าไม่ได้ใช้เวลาไปกับการพักผ่อนอย่างสบายใจอย่างเดียว เพราะนอกจากจะสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีในสนามแล้ว นอกสนามเขาก็ต่อสู้ได้อย่างสมเกียรติลูกผู้ชายเช่นกัน   ปิโอเตอร์ มาลาชอฟสกี ที่ถึงแม้ว่าปีนี้จะไม่ได้เหรียญทอง แต่เค้าก็สามารถคว้าเหรียญเงินกลับบ้านไปได้   และเรื่องราวได้เกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ของหนุ่มน้อย Olek ได้เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือถึงนักกีฬาหนุ่มคนนี้ เนื่องจากอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ตาของลูกเธอเป็นอาการแปลก และหากจะต้องรักษา มีความจำเป็นต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่นิวยอร์กเท่านั้น แน่นอนว่าการรักษาที่ยาก ต้องมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และจดหมายฉบับนี้อาจเป็นความหวังเดียวและเป็นความหวังสุดท้าย ที่เหลืออยู่ของครอบครัวนี้…   หลังจากที่นักกีฬาหนุ่มได้ทราบเรื่องราว เขาก็ตัดสินใจที่จะช่วยเหลือครอบครัวนี้อย่างทันที   ต่อมาองค์กรการกุศลสำหรับช่วยเหลือหนุ่มน้อย Olek ก็ได้ก่อตั้งขึ้น ภายใต้ชื่อว่า ‘Siepomaga’ ซึ่งจำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องการในครั้งนี้สูงถึง 126,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 4,300,000 บาท) “ที่ Rio ผมต่อสู้เพื่อเหรียญทอง แต่วันนี้…ผมขอเชิญชวนทุกท่านให้ออกมาสู้ร่วมกัน สู้เพื่อบางสิ่งที่มีค่ามากกว่าเหรียญโอลิมปิก สู้เพื่อความหวังและอนาคตของหนุ่มน้อยคนนี้” สำนักข่าว ESPN ได้รายงานว่า หลังจากนั้นเขาก็ได้นำเหรียญเงินโอลิมปิกที่ได้มา ออกประมูลสู่ท้องตลาดเพื่อระดมทุนช่วยเหลือ และการประมูลก่อนทุบราคาครั้งสุดท้ายนั้นอยู่ที่ 19,000…

ใครชอบไปเที่ยวสวนสนุกบ้างยกมือขึ้น!!! คงมีคนส่วนน้อยที่ไม่ชอบ แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละ เพราะนอกจากจะได้เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียว จนหัวใจแทบจะเต้นจนหลุดออกมาจากอกแล้ว สถานที่เหล่านี้ยังเต็มไปด้วยประสบการณ์ดีๆ อีกมากมาย เหมาะทั้งมากันเป็นแก๊ง หรือมากับครอบครัว แต่ถ้าจะพาไปสำรวจสวนสนุกของดิสนีย์ในปัจจุบัน ก็ดูจะน่าเบื่อไป คราวนี้เรามาเปลี่ยนอารมณ์กันบ้างดีกว่า…กับสวนน้ำแห่งแรกของโลกจาก Disney และที่สำคัญมันถูกทิ้งร้างไว้มานานกว่า 15 ปีแล้ว!!! กับภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยช่างภาพ Seph Lawless ภายใต้คอนเซ็ปท์ที่ชื่อว่า ‘Dismaland’   ค.ศ. 1976 คือปีที่สวนน้ำดิสนีย์แห่งแรกของโลกได้เปิดตัวขึ้นที่ Orange County รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐฯ อีกทั้งยังได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากมวลชน ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการกันอย่างหนาแน่น   แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด 25 ปีต่อมา มันถูกปิดตัวลงซะงั้น หลังจากนั้นจวบจนปัจจุบัน มันถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ไร้คนดูแล มานานกว่า 15 ปีแล้ว   ซึ่งที่เมือง Orange County มีสวนน้ำถึง 2 แห่ง แต่น่าเสียดายที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้าง และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาทั้งสองที่ สื่ออย่าง Orlando Sentinel ยังประกาศอีกด้วยว่า…

ลึกๆ แล้วในจิตใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ต่างก็ต้องรักลูกผู้เป็นเหมือนดั่งหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองกันทั้งนั้น และการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ทำใจให้ยอมรับความจริงได้ยาก หลายๆ คนอาจเลือกที่จะลืมเรื่องราวร้ายๆ ด้วยการหันหน้าหนี หรือพยายามเก็บไว้ในห้วงลึกสุดของหัวใจ แต่สำหรับคุณพ่อคนนี้ มันช่างแตกต่างออกไป เพราะเขาได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนความโศกเศร้าเสียใจ ให้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ พร้อมกับส่งต่อและช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่มีความผิดปกติทางร่างกายเหมือนลูกตัวเอง   Matthew Stanford Robinson เด็กน้อยผู้โชคร้ายที่กำเนิดมาพร้อมกับตาที่มืดบอด และอวัยวะช่วงล่างที่ไม่สามารถใช้การได้ เดิมทีคุณหมอได้แจ้งว่าเด็กน้อยคนนี้อาจจะอยู่รอดได้ไม่กี่ชั่วโมง   แต่ Matthew ก็ได้ต่อสู้ดิ้นรนจนมีอายุครบ 11 ขวบ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถพูดได้เพียงไม่กี่คำ แต่เรื่องราวของเขาก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่รู้จักมากมาย เขามีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง อีกทั้งยังมีจิตใจที่เผื่อแผ่ความรักให้ผู้อื่น   เหตุการณ์อันน่าสลดใจก็ได้เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งจู่ๆ Matthew ก็หลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีก หลังจากที่จัดพิธีศพแล้ว คุณพ่อ Ernest ตระหนักได้ว่า เขาน่าจะสามารถทำอะไรที่ดีกว่านี้ได้ เพื่อเป็นการระลึกถึงลูกชายที่จากไป   คุณพ่อได้ตัดสินใจสร้างรูปปั้นจารึกบนหลุมฝังศพ เป็นรูปของ Matthew ที่ดูร่าเริง สดใส เป็นอิสระจากความบกพร่องทางร่างกาย   รูปปั้นนี้เองได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน รวมถึงคุณพ่อของหนูน้อย Matthew เองด้วย และนี่คือที่มาขององค์กรการกุศล…

ว่ากันว่าในช่วงที่เด็กผู้ชายอายุประมาณ 13 ปี ถือว่าเป็นอีกช่วงที่หลายๆ คนมักจะออกการซนอย่างรุนแรง ไม่ใช่ซนเหมือนเด็กๆ ที่เล่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ซนได้แบบซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพราะทั้ง โมโหง่าย เริ่มอยากลองอะไรใหม่ๆ และเริ่มไม่เชื่อฟังพ่อ-แม่ ของตัวเอง Aaron เด็กหนุ่มวัย 13 ปี ผู้ที่มีแชแนลและคนติดตาม อีกทั้งยังหารายได้เองจาก YouTube เมื่อวันหนึ่งหนุ่มน้อยเริ่มมั่นใจว่าเขาพร้อมที่จะตัดสินใจเองได้และไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำพูดของแม่อีกต่อไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นความคิดที่เติบโตขึ้นแต่ก็ต้องได้รับคำชี้แนะจากผู้ปกครองอยู่ดีว่าอะไรผิด อะไรถูก ซึ่งวิธีการที่คุณแม่ใช้จัดการกับเด็กซนนั้น เป็นที่ฮือฮากันในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างมาก   วันหนึ่งลูกชายของคุณนาย Heidi Johnson ได้โกหกคุณแม่ของเขาเรื่องการบ้าน อีกทั้งเด็กหนุ่มยังเถียงอย่างออกปากออกคำ ชนิดที่ว่ามั่นใจในความคิดของตัวเองมากกว่าคุณแม่ และนั่นก็ยิ่งทำให้คุณแม่เกรงกลัวว่าลูกของเธอโตขึ้นจะมีพฤติกรรมที่รุนแรงเหมือนอาชญากร เธอจึงตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา และติดมันไว้ที่ฝาผนังห้องของ Aaron “ถึง Aaron ดูเหมือนว่าลูกจะลืมไปแล้วว่าลูกเพิ่งจะอายุ 13 ปี แม่คือผู้ปกครองของลูก และลูกอาจจะคิดว่าไม่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแม่ก็ได้ ดังนั้นแม่คิดว่าลูกน่าจะได้บทเรียนเกี่ยวกับเรื่องอิสรภาพบ้างแล้ว แต่ก่อนอื่น ตอนที่ลูกตะคอกใส่แม่ว่าสามารถหาเงินเองได้ ถ้างั้นลูกลองซื้อทุกอย่างที่แม่เคยซื้อให้ด้วยเงินตัวเองสิว่าจะได้ไหม? และถ้าลูกอยากจะได้โคมไฟ หรืออินเตอร์เน็ต ลูกก็ต้องช่วยแม่จัดการกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ค่าเช่าบ้าน 430 ดอลลาร์ ค่าไฟ 116 ดอลลาร์ ค่าอินเตอร์เน็ต…

เมื่อไหร่ที่อากาศมันแสนจะร้อนอบอ้าว และโดยเฉพาะแดดในประเทศไทย ที่มันแรงซะจนบางทีเผลอคิดไปเองว่าเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในเตาอบยังไงยังงั้น แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยดับร้อนได้นั่นก็คือ ‘ไอศกรีม’!!! ไม่ว่าจะเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ ต่างก็ชื่นชอบการทานไอศกรีมกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนๆ นะ หูยยย ฟินสุดๆ ไปเลยล่ะ แต่ปัญหาที่ทุกคนต้องเจอบ่อยๆ นั่นก็คือ มันจะหยดใส่เสื้อ!! เพราะมันมักจะละลายจนทำให้มือเปื้อน เสื้อเปื้อน เลอะเทอะไปหมด แต่ปัญหานี้จะหมดไปกับนวัตกรรมชิ้นใหม่ที่ไม่ได้มาจาก จอร์จ หรือ ซาร่าห์ แต่มาจากเด็กหนุ่ม 2 คน วัย 14 ปี ที่ปิ๊งไอเดียหาวิธีแก้ปัญหานี้ได้ อีกทั้งเจ้าสิ่งนี้ยังกินได้อีกด้วยนะ…   เจ้าสิ่งประดิษฐ์นี้ก็แสนจะง่ายดาย เพราะมันทำมาจากวาฟเฟิล เป็นรูปทรงวงแหวน เอาไว้ล้อมรอบกรวยไอศครีม แล้วปัญหาเลอะเทอะจะหมดไป   เมื่อนำมาเทียบกับไอศครีมโคนแบบธรรมดาแล้ว นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัด   ไอเดียดีๆ แบบนี้เกิดจากการร่วมกันคิดค้นของ Sam Nassif และ Oliver Greenwald สองหนุ่มน้อยจากเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งต้นแบบไอเดียนี้มีมาตั้งแต่เมื่อทั้งคู่อายุได้เพียง 10 ขวบ เท่านั้นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยนำไอเดียนี้ไปเข้าร่วมประกวดที่รายการ The…

หนึ่งในกระแสการแต่งตัวที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นคงจะหนีไม่พ้น “ฮิปสเตอร์” อย่างแน่นอน เรียกว่าไปทางไหนก็เห็นแต่คนแต่ตัวสไตล์นี้จริงๆ แต่อย่าไปคิดว่าจะมีแต่วัยรุ่นเท่านั้นที่ชื่นชอบกระแสฮิปสเตอร์ เพราะวันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับคุณปู่วัยร่วมร้อยคนหนึ่ง ที่มีความฮิปสเตอร์ไม่แพ้รุ่นหลานๆ เลย     คุณปู่ท่านนี้มีชื่อว่า Günther Krabbenhöft วัย 70 ปี จากประเทศเยอรมนี เขาเริ่มมีชื่อเสียงหลังจากมีคนถ่ายภาพสไตล์การแต่งตัวของเขามาโพสลงอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความฮิปแบบต่างไปจากคนวัยเดียวกันเลยล่ะ เขาบอกว่า เขาไม่ได้เกาะกระแสฮิปสเตอร์ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบันแต่อย่างใด เพราะเขาแต่งตัวแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะไปทำงานหรือออกกำลังกายก็แต่งแบบนี้ ทุกครั้งที่เขาได้แต่งตัวเท่ๆ ก็ทำให้เขามีความสุข แถมยังเป็นการสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาด้วย     .   ที่น่าตลกยิ่งกว่าก็คือ เมื่อชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต สื่อหลายๆ แห่งก็แต่งเติมเรื่องราวมั่วๆ เข้าไปเช่นบอกว่าเขาอายุหลักร้อยบ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียง 68-70 ปีเท่านั้น ซึ่งมันก็ดูน่าตลกดี   ลองไปชมความชิคของคุณปู่กันดีกว่า . . . . . .   รสนิยมไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุจริงๆ สุดยอดไปเลยฮะ ใครสนใจอยากนำสไตล์ของคุณปู่ไปปรับใช้บ้างก็ไม่ว่ากันนะ รับรองว่าเท่ฝุดๆ แน่นอน ใครที่สนใจสามารถไปติดตามคุณปู่กันได้ที่เฟซบุ๊ค www.facebook.com/gunther.krabbenhoft  กันได้เลยนะครับ……

ถ้าหากว่ามีเงินเป็นล้านๆ เพื่อนๆ อยากจะเอาไปทำอะไรกันบ้าง? บางคนอาจจะซื้อบ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยวรอบโลก หรือแม้แต่ทำบุญ ก็ว่ากันไปตามความชอบส่วนตัวของแต่ละคน แต่สำหรับสาวสวยอย่าง Pixee Fox และหนุ่มหล่อ Justin Jedlica ชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีความชื่นชอบและความคลั่งไคล้ในสิ่งที่อาจจะแตกต่างออกไป นั่นก็คือการ ‘ศัลยกรรม’ เราไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของทั้งสองกันเลยดีกว่า…   ทั้งคู่วางแผนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนดั่ง ‘Ken’ และ ‘Barbie’ ในโลกแห่งความเป็นจริง   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทั้งคู่ต่างหลงใหล และเสพติดการทำศัลยกรรมสุดๆ ถึงขนาดที่ว่าลงทุนไปแล้วทั้งหมดคิดเป็นเงินไทยได้ประมาณ 17 ล้านบาท สำหรับฝ่ายชายอย่าง Justin ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้วทั้งหมดดังนี้: ศัลยกรรมหัวไหล่, เสริมกล้ามเนื้ออก, ศัลยกรรมกล้ามเนื้อแขน 3 ครั้ง, ผ่าตัดใบหน้าเรียว, ทำจมูก 5 ครั้ง และเสริมสะโพก รวมแล้วเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาท!! และสำหรับฝ่ายหญิง Pixee เธอก็ได้ผ่านการศัลยกรรมมาแล้วนับไม่ถ้วนเช่นกัน: เปลี่ยนสีนัยน์ตา, ปลูกถ่ายขนตา, ทำจมูก 3 ครั้ง, ศัลยกรรมปากให้ดูอวบอิ่ม, ทำหน้าอก 4…

พึ่งจบไปหมาดๆ กับรายการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติอย่าง โอลิมปิก 2016 ที่ประเทศบราซิล เรียกได้ว่าแต่ละประเทศต่างก็ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกทั้งมีทั้งเรื่องราวดีๆ ที่ซึ้งกินใจคนทั้งโลกเช่นกัน ไม่ว่าผลสุดท้ายการแข่งขันจะเป็นอย่างไร มิตรภาพหลังการแข่งขันย่อมสำคัญกว่าเสมอ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น… เพราะครั้งนี้จะขอพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับ 8 รายการแข่งขันชิงแชมป์ที่โคตรแปลก แถมยังโคตรครีเอทได้เจ๋งสุดๆ ก็ไม่แน่นะว่าในอนาคต การแข่งขันเหล่านี้อาจถูกบรรจุลงในโอลิมปิกก็ได้นะ   1. การแข่งขันโยนโทรศัพท์มือถือชิงแชมป์โลก ฟินแลนด์ คือประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตโทรศัพท์มือถือ และนั่นก็คือที่มาของการแข่งขันรายการระดับประเทศสุดแปลกที่จัดขึ้นในทุกๆ ปี  กฎกติกาในการแข่งขันก็แสนจะง่ายดาย เพียงแค่ผู้เข้าแข่งขันต้องแข่งกันปามือถือไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้ไม่อนุญาติให้นำมือถือส่วนตัวมาโยนเล่นนะจ๊ะ ทางผู้จัดเค้ามีบริการไว้ให้ แค่เลือกมือถือเครื่องที่ถนัดมือที่สุด และปามันออกไปสุดแรงเกิดเท่านั้นเอง!!!   2. การแข่งขันผิวปากชิงแชมป์โลก ในทุกๆ ปี ผู้ที่ชื่นชอบการผิวปากเป็นชีวิตจิตใจ จะมารวมตัวกันที่เมือง Louisburg ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เพื่อเข้าร่วมแข่งชิงแชมป์ผิวปากโลก!!! อาจจะฟังดูแปลก แต่ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนไม่ได้มายืนผิวปากกันเล่นๆ นะ เพราะปากเปรียบเสมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง และก็เป็นหน้าที่ของแต่ละคนว่าจะออกแบบเครื่องดนตรีชิ้นนี้ให้น่าสนใจและน่าตื่นเต้นต่อคนฟังมากขนาดไหน ไปดูคลิปตัวอย่างการแข่งขันกันเลยดีกว่า   3. การแข่งขันซ่อนหาชิงแชมป์โลก!! ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถูกบรรจุลงไปในโอลิมปิก แต่มันก็ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกมากพอที่จะจัดชิงแชมป์โลกด้วยตัวเอง ซึ่งได้จัดมาแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง…

ใครๆ ต่างก็มีความฝันกันทั้งนั้น และเชื่อว่าหลายๆ คนต่างก็ต้องมีฝันที่อยากจะออกเดินทาง ไปท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก เพราะการได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ในประเทศที่ต่างออกไป มันช่างเป็นอะไรที่วิเศษสุดๆ และเช่นกันกับสาวคนนี้ Maria Shaw วัย 26 ปี ชาวลอนดอน ผู้พลิกชะตาชีวิตตัวเองจากคนที่เคยตกอับถึงขั้นไร้ที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นสาวผู้ออกเดินทางไปรอบโลกฟรี ด้วยการหาคู่เดทท่องเที่ยวทางอินเตอร์เน็ต     เดิมทีชีวิตรักของเธอก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว มันกลับแย่จนถึงขั้นเธอต้องกลายสภาพเป็นคนไร้บ้าน แต่หลังจากที่เธอตัดสินใจลาขาดจากความสัมพันธ์ในอดีตได้ เธอก็ไม่ขอจมปลักอยู่กับเรื่องแย่ๆ อีกต่อไป เธอตัดสินใจที่จะทำตามความฝัน ด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป… “หลังจากที่แยกทางกับคนรักเก่า ฉันไม่เหลืออะไรเลย ฉันเคยคิดว่ามันคือความรักที่ดี แต่เปล่าเลย ฉันสูญเสียทุกอย่าง จนถึงขั้นต้องไปอาศัยนอนบนโซฟาในบ้านเพื่อน” “แต่หลังจากที่ฉันได้เริ่มสมัครสมาชิกเข้ามาในเว็บไซต์หาคู่เดทท่องเที่ยว ชีวิตฉันก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยละค่ะ” Maria กล่าว   Maria ถ่ายรูปคู่กับโบสถ์แห่งหนึ่งใน Milan   “สำหรับปีนี้ ฉันก็มีโอกาสได้บินไปท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก กับการเดทผ่านเว็บไซต์ 5 ครั้ง แต่ละคนก็มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป”  ด้วยระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา เธอไปมาแล้วทั้ง…

เราอาจได้ยินบริการแปลกๆ จากประเทศญี่ปุ่นมาหลายอย่างตั้งแต่ ให้เช่าเพื่อน ให้เช่าแฟน ให้เช่าแขกในงานแต่งงาน ให้เช่าสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ อีกมากมายสาธยายได้ไม่หมด #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับอีกบริการสุดแปลกที่หลายๆ คนต้องงงงวยว่ามีไปเพื่ออะไรกับบริการ “เพื่อนร้องไห้” ที่จะส่งหนุ่มหล่อมาเป็นเพื่อนร้องไห้กับคุณ!!     บริการนี้มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรและห้างร้านต่างๆ ซึ่งต้องการให้เหล่าพนักงานหญิงของบริษัทมีความสามัคคีกลมเกลียวกันยิ่งขึ้น โดยพวกเขาจะนำภาพยนตร์ซึ้งๆ เรียกน้ำตามาเปิดให้พนักงานดู 2-3 เรื่อง เมื่อดูจบพวกเขาก็จะส่งหนุ่มหล่อเข้ามาบิ้วอารมณ์และปลอบใจสาวๆ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าการที่คนเราได้ร้องไห้ด้วยกัน จะทำให้เปิดใจให้กันมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้ว ชาวญี่ปุ่นมีความคิดว่าการร้องไห้ที่สาธารณะถือว่าเป็นเรื่องน่าอายและไม่ควรทำ     โดยหนุ่มหล่อที่ทำหน้าที่เข้ามาบิ้วอารมณ์ส่วนใหญ่จะมีอาชีพหลักกันอยู่แล้วเช่น หมอ คุณครู นักยิมนาสติก แต่มาทำอาชีพเพื่อนร้องไห้เป็นอาชีพเสริมเท่านั้น ทางนาย ฮิโรกิ เทไร ผู้ริเริ่มบริการชนิดนี้กล่าวว่า มีผลตอบรับดีมากจากเหล่าผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของพวกเขา เพราะพวกเขาได้ปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกของตนเองออกมา แต่ก็มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมบางคนพยายามทำใจแข็ง ไม่ว่าเพื่อนร้องไห้จะบิ้วยังไง ก็ไม่ยอมร้องไห้ออกมา     อ้อ สุดท้ายสำหรับคนที่อยากทดลองใช้บริการบ้าง สำหรับราคาต่อคอร์สอยู่ที่ครั้งละประมาณ 7,900 เยน หรือราว 2,000 บาท ซึ่งคุ้มหรือไม่คุ้ม ก็อยู่ที่คุณจะตัดสินใจแล้วล่ะนะ!?? ช่างเป็นบริการที่แปลกจริงๆ ใครสนใจอยากลองเอามาประยุกต์ใช้ในบ้านเราบ้างก็ได้นะ…

โลกเรายังมีสถานที่แปลกๆ เจ๋งๆ อีกมากมายที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อน จนบางทีเราก็แอบคิดว่า มันมีของแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอเนี่ย #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชมทะเลสาบน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนๆ เห็นแล้วต้องอึ้งเพราะมันใสกิ๊ง จนนึกว่เดินบนผิวน้ำจริงๆ เลยล่ะ อยากรู้แล้วสิว่าที่ไหน!?     ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขา High Tatras ของประเทศสโลวาเกีย ตั้งอยู่บริเวณชายแดนของสโลวาเกียและโปแลนด์ โดยมียอดเขาที่สูงที่สุดคือยอดเขา Gerlachovský štít ที่มีความสูง 2,655 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ดอยอินทนนท์ของเราสูง 2,565 เมตร) และผู้ที่บันทึกภาพสุดเจ๋งออกมาให้เราชมคือนักปีกเขาชาวสโลวัก Tomas Nunuk วัย 38 ปี นั่นเอง     ในวีดีโอเราจะได้เห็นเขาสาธิตการเดินบททะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งน้ำแข็งเหล่านั้นใสมากเสียจนรู้สึกเหมือนได้เดินบนผืนน้ำจริงๆ เลยทีเดียว   ปกติแล้วเ #เหมียวอ๊อดโด้ ไม่ค่อยตื่นเต้นกับคลิปพวกนี้เท่าไหร่ แต่คลิปนี้เป็นข้อยกเว้นจริงๆ เห็นแล้วถึงกับอุทานว่า “เฮ้ย โครตเจ๋ง” ออกมาเลย ไม่เชื่อลองไปชมกัน (ปรับความละเอียดเป็น 720p 60fps เป็นอย่างน้อยด้วยนะ) รับรองว่าฟินแน่นอน .…

ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เรานั้นไม่มีจุดสิ้นสุด ขอเพียงมีจินตนาการและความพยายามที่มากพอ ไม่ว่าใครก็สามารถทำสิ่งธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ได้ อย่างเช่นศิลปินหนุ่มคนนี้ ที่เปลี่ยนตัวต่อเลโก้ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นศิลปะเงาระดับเทพ เขามีชื่อว่า John V. Muntean เป็นนักวิจัยทางด้านเคมีและกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับสเปคตรัมในห้องทดลองแห่งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังสามารถหาเวลามาสร้างตัดต่อเลโก้สุดเจ๋งได้     โดยตัวต่อเลโก้ของเขาเมื่อถูกส่องไฟจะมุมต่างๆ ก็จะปรากฏเงาแตกต่างกันไปตั้งแต่ ผีเสื้อ เครื่องบิน หรือแม้กระทั่งมังกร!!     เขาบอกว่าในฐานะที่เขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และศิลปิน เขาอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า “การรับรู้” (Perception) ของมนุษย์ จะส่งผลอย่างไรต่อการมองสิ่งต่างๆ เหมือนที่เขาทำให้เห็นว่า แม้แต่เลโก้อันเดียว สามารถทำให้เห็นเป็นอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมอง     ลองไปชมผลงานของเขากันดูดีกว่า อย่างคลิปนี้เขาได้ต่อเลโก้ให้มีเงาเป็น มังกร ผีเสื้อ และเครื่องบินเจ็ท   แบบเรือโจรสลัด อัศวินขี่ม้า แล้วก็นางเงือกก็มี   หรือเป็นภาพการแข่งไตรกีฬาก็มีนะ   เจ๋งมั้ยละ ใครชื่นชอบงานชิ้นนี้ ก็ลองเข้าไปดูในชาแนลของเขาในเว็บไซต์ยูทูปด้านล่างได้เลยนะฮะ มีงานเจ๋งๆ ให้ดูอีกเพียบแน่นอน ที่มา jvmuntean

สำหรับคนเป็นแม่แล้ว การได้เห็นบุตรหลายของตนเองเศร้าเสียใจคงเป็นเรื่องที่พวกเธอไม่อยากเห็นเป็นที่สุด จนบางครั้งพวกเธอยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของพวกเธอมีความสุข อย่างเช่นเรื่องราวคุณแม่คนนี้ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ แดน และ เคีย คุยเปอร์ สองสามีภรรยาสูญเสียบุตรไปเพราะการแท้งระหว่างการตั้งครรภ์มาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จนครั้งสุดท้าย พวกเขาสามารถตั้งครรภ์มาได้ถึง 6 เดือน แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพราะเคียต้องคลอดลูกก่อนกำหนด และเด็กคนนั้นก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา..     ณ ตอนนั้นพวกเขาแทบพังทลายลงไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้น หมอได้ห้ามพวกเขาในความพยายามมีลูกอีก เพราะเนื่องจากมีการตรวจพบอาการลิ่มเลือดในสายสะดือจากการตั้งครรภ์ครั้งก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้ แปลว่าพวกเขาไม่สามารถมีลูกได้เองอีกต่อไป   ท่ามกลางภาวะสับสนและความเสียใจ คุณแม่ก็ก้าวเข้ามา… เมื่อ มิเชล เฮิร์นแดน คุณแม่วัย 47 ปี ได้รับรู้ถึงปัญหาและเห็น แดน ลูกชายของเธอเสียใจแบบนั้น เธอก็เลยอาสามาเป็นแม่อุ้มบุญ เพื่อเติมเต็มความฝันของคนทั้งสอง โดยพวกเขาได้ใช้วิธีผสมเทียมจากภายนอก แล้วนำเซลไปฝากในมดลูกของมิเชล ก่อนหน้านี้เธอมีลูกมาแล้ว 9 คนด้วยกัน รวมถึงแดนก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าเธอจะไม่อยากมีลูกเพิ่มอีก แต่เมื่อลูกชายอยากจะมีลูกมากๆ เธอก็เลยขอช่วยเหลือ “สำหรับคนที่มีลูกมาแล้วเก้าคน ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าความรู้สึกของหญิงสาวที่มีลูกไม่ได้เป็นยังไง และถ้าเป็นฉันเอง ฉันคงไม่มีลูกเพิ่มแล้ว แต่นี่เพื่อลูกชายของฉัน…

เมื่อได้รับชัยชนะในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นก็คือบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง อย่างที่เราเห็นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่รู้หรือไม่ กลับมีนักกีฬาบางคน ที่แม้เขาจะได้เหรียญรางวัลจากการแข่งขัน แต่เขาอาจถูกจับหรือถูกฆ่าเมื่อกลับไปถึงประเทศของเขา…   เรื่องราวดังกล่าวเป็นของ Feyisa Lilesa นักวิ่งมาราธอนทีมชาติเอธิโอเปีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนโอลิมปิก ซึ่งเขาก็เข้าเส้นชัยเป็นที่สอง ทำให้สามารถคว้าเหรียญเงินไปครอบครอง แต่เรื่องราวกลับไม่ชื่นมื่น เมื่อท่าแสดงชัยชนะตอนเข้าเส้นชัย อาจทำให้เขาถูกฆ่าเมื่อกลับไปยังประเทศของเขา     โดยท่าดังกล่าวเป็นการแสดงการประท้วงต่อรัฐบาลเอธิโอเปียที่สั่งสลายการชุมนุมประท้วงของชนเผ่าโอโรโม่ ชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดของเอธิโอเปีย จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน “รัฐบาลเอธิโอเปียกำลังฆ่าชาวโอโรโม่ แย่งชิงทรัพยากรและผืนดินของพวกเราไป เราจึงทำการประท้วง และในฐานะที่ผมเป็นชาวโอโรโม่ ผมสนับสนุนพวกเขาเช่นกัน ญาติผมบางคนถูกจับขังคุก ถ้าใครพูดถึงสิทธิประชาธิปไตยก็จะถูกฆ่า ผมจึงยกมือขึ้นเพื่อสนับสนุนการประท้วงครั้งนี้” “ถ้าผมกลับประเทศไป เขาคงฆ่าหรือไม่ก็จับผมขังคุก ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อจากนี้ บางทีผมอาจจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น” Feyisa ให้สัมภาษณ์หลังจบการแข่งขัน     ล่าสุดมีการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือ Feyisa เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถระดมทุนได้ถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 340,000 บาท เพื่อช่วยให้เขาลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา รวมทั้งพาครอบครัวของเขาลี้ภัยไปยังสหรัฐด้วยเช่นกัน     ตอนนี้ชาวโอโรโม่กำลังประท้วงรัฐบาลเอธิโอเปีย โดยต้องการให้มีการปฏิรูปทางการเมือง รวมถึงมอบโอกาสที่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ และหยุดความรุนแรงที่สร้างขึ้นโดยรัฐ     เรื่องนี้เราก็คงตัดสินถูกผิดไม่ได้ แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป…

กลายเป็นภาพประทับใจบนอินเตอร์เน็ตเลยทีเดียว สำหรับเด็กหญิงจีนคนหนึ่งที่แม้เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดรักษามะเร็งจนต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง แต่เธอก็ยังมุ่งมั่นตั้งใจเรียน อ่านหนังสือทั้งๆ ที่ยังอยู่ในห้องพักฟื้น เด็กหญิงคนนี้มีชื่อว่า “เฮ่อเหวินเจี๋ย” วัย 15 ปี เธอได้เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลมะเร็งในมณฑลเสฉวน จนต้องตัดขาข้างซ้ายไป ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประจำอำเภอมาก่อน     แม้จะเพิ่งผ่าตัดไปได้ไม่นาน และก็ยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายเหมียนหยาง ในเมืองเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน ตามปกติแล้ว หลังการผ่าตัดเช่นนี้ ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวภายในโรงพยาบาลอีกประมาณ 6 เดือน ซึ่งเธอไม่อยากเสียการเรียน เธอจึงให้พี่สาวซื้อหนังสือเรียนมาให้ เพื่อเธอจะได้ศึกษาด้วยตนเองในห้องพักฟื้น พอพักฟื้นเสร็จเธอจะได้กลับไปเรียนต่อได้ในทันที   .   ความขยันของเธอนั้นน่านับถือจริงๆ ยังไงก็ขอให้แผลเธอหายไวๆ จะได้กลับไปเรียนเหมือนเดิม แล้วก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ดั่งใจหวังนะฮะ . . . ที่มา China Xinhua News 

เอาล่ะสิงานนี้ ถึงว่า #จ่าสิบเหมียว เลยไม่ผอมสักที เพราะแบบนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ เมื่อล่าสุดมีงานวิจัยเล็กๆ ตัวใหม่ออกมาชี้ว่า ‘คนอ้วน’ น่ะ มีแนวโน้มที่จะน่ารักและใจดีมากกว่าคนผอมนะเออ!!? แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ใครๆ ก็ชอบคนผอม คนหุ่นดีประดุจนางแบบ เพราะว่าสื่อต่างๆ ที่พยายามทำให้เราเห็นว่านี่คือสิ่งที่ดี สิ่งที่สวย และสร้างค่านิยมนั้นๆ ให้กับเรา จนบางครั้งรูปลักษณ์เหล่านั้นก็ทำให้เราลืมคุณค่าทางด้านจิตใจไปเสียสิ้น…   คนอ้วนมีแนวโน้มที่จะใจดีและอารมณ์ดีมากกว่า!?   สำนักข่าว Metro ประเทศอังกฤษได้รายงานว่า นักวิจัยชาวเยอรมันได้ทำการทดสอบนี้กับอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยชายอ้วนจำนวน 20 คน (เฉลี่ยน้ำหนักแล้วอยู่ที่ 120 กิโลกรัมโดยประมาณ) และคนผอมอีก 20 คน (ค่าเฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 60 กิโลกรัม) โดยการจับพวกเขามาเล่นเกมที่ต้องแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยมีเงินเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนภายในเกมนั้น ผลออกมาก็คือกลายเป็นว่าคนที่ผอมกลับมีแนวโน้มการตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม (เห็นแก่ตัว) มากกว่าคนอ้วน และคนอ้วนนั้นมีอัตราการมอบเงินให้ผู้อื่นมากกว่าถึงร้อยละ 16 เลยทีเดียว   อุ๊บบบบบบ   อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสังเกตจากการทดลองนี้ก็คือ คนผอมมักจะตัดสินใจให้เงินคนที่ผอมมากกว่า และจะเริ่มมีอาการหงุดหงิดได้ง่ายกว่าเวลาที่น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้สรุปได้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องทางการเงินและผลประโยชน์นั้น (จากลักษณะของเกมที่ใช้ทดสอบ)…

ว่ากันว่าถ้าบรรยากาศภายในออฟฟิศดี จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น นั่นทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ต่างพยายามตกแต่งออฟฟิศของตนเองให้ออกมาดูดีที่สุด เพื่อดึงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานออกมาให้ได้มากที่สุด และวันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชม 20 ออฟฟิศรอบโลกที่ถูกจัดอันดับมาว่ามีความสวยงาม มีความเจ๋ง มีความคูล มีความน่าไปนั่งทำงานด้วย ลองดูกันครับว่าจะมีที่ไหนติดมาบ้าง…   White Mountain Office, Stockholm, Sweden . .   iHeartMedia, New York, USA . .   Selgas Cano Architecture Office, Madrid, Spain .   Google, Tel Aviv, Israel . .   Airbnb, San Francisco, California . .   Dropbox, San Francisco,…

ไม่ว่าพ่อแม่ที่ไหนก็ไม่อยากเห็นลูกตัวเองต้องทุกข์ทรมานจากยาเสพติด เพราะยาเสพติดได้เปลี่ยนบุตรหลานที่น่ารักของพวกเขาให้กลายเป็นอีกคน ซึ่งเราต่างก็รู้ดีว่า ยาเสพติดนั้นให้โทษขนาดไหน… สำหรับ Tina Wells Louden‎ ก็เช่นกัน เธอได้เสียลูกสาว Ashley ไปจากการใช้ยาเสพติดเมื่อสามปีก่อน ด้วยความเศร้าเสียใจ เธอจึงได้โพสภาพในเพจ Heroin KILLS You เพื่อตัดพ้อต่อว่าเหล่าผู้ค้ายา ที่ทำให้เธอต้องสูญเสียลูกสาวไป     “ถึงคนที่ขายยาให้ลูกสาวฉัน นี่คือสภาพฉันในวันที่เคยเป็นวันเกิดของลูกสาว คุณรู้สึกยังไงกับชีวิตของตัวเองเหรอ ฉันอยากรู้จริงๆ ปกติฉันไม่ค่อยโพสต์ภาพเท่าไหร่ แต่ฉันอยากให้ภาพนี้กลายเป็นกระแสให้ได้มากที่สุด ดูสิเหล่าพ่อค้ายาทั้งหลาย นี่คือสิ่งที่คุณทำกับครอบครัวของเรา”     หลังจากนั้นไม่นานภาพเหล่านี้ก็กลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าชาวเน็ตจะมีความเห็นที่แตกต่างออกไปจากเธอนะ   “จริงๆ ถ้าไม่มีคนซื้อ ก็ไม่มีคนขาย ฉันรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเจ็บปวด แต่ลูกสาวของเธอเลือกเอง เธอรู้ว่าการเสพยาจะเป็นยังไง แต่เธอก็ยังทำ เลิกโทษคนอื่นแต่ฝ่ายเดียวเถอะ ทุกคนก็มีส่วนผิดทั้งนั้น”   “มันเป็นความผิดของลูกสาวคุณ คุณสาวคุณต่างหากที่เป็นคนทำลายครอบครัวตัวเอง ไม่ใช่พ่อค้า พ่อค้ายามันต้องการแค่เงิน แต่คนที่อยากเสพคือลูกสาวของคุณ และเป็นเธอที่เสพจนตายไปเอง”   “ฉันเคยติดยามาก่อน มันเป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง ไม่มีใครบังคับ พ่อค้ายาก็ไม่ใช่ ฉันเสียใจกับเรื่องลูกสาวคุณนะ แต่เราสามารถเลือกได้ว่า “ไม่ ฉันจะไม่เสพแล้ว””…

สิ่งหนึ่งที่นักเรียนหลายๆ คนขยาดกันซะเหลือเกินในตอนที่เป็นเด็กๆ คงหนีไม่พ้นเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘การบ้าน’ จะไม่ให้เบื่อก็คงแปลก เพราะหลังจากที่นั่งเรียนกันอย่างหนักทั้งวันแล้ว คงไม่มีใครอยากจะกลับบ้านไปแล้วต้องมาหมกมุ่นกับเรื่องเรียนอีกแน่ๆ และเชื่อว่าคุณพ่อ คุณแม่ สมัยใหม่หลายๆ คนก็อาจไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่นัก ที่ต้องเห็นลูกน้อยวัยกำลังซน ต้องมานั่งทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด แทนที่จะได้ใช้เวลาไปกับการเล่นอย่างสนุกสนานกับเพื่อนๆ ให้เหมาะสมตามวัย และนี่คือวิธีการของคุณครูประจำชั้น ป.2 จากโรงเรียนแห่งหนึ่งรัฐเท็กซัส ที่ต้องการจะลองวิธีการใหม่ๆ นั่นก็คือการ ‘ไม่สั่งการบ้าน’   และนี่คือจดหมายประกาศเกี่ยวกับนโยบายการสั่งการบ้านจากครูสาว Brandy Young โดยมีใจความสำคัญดังนี้…   “ถึง ผู้ปกครองทุกท่าน หลังจากการทำวิจัยอย่างหนักในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ดิฉันขออนุญาติทดลองอะไรใหม่ๆ นั่นก็คือการกำหนดให้นักเรียนจะมีการบ้านก็ต่อเมื่อ พวกเขาทำงานชิ้นนั้นไม่เสร็จภายในชั่วโมงเรียน และจะไม่มีการสั่งงานนอกเหนือจากนี้ เนื่องจากเคยมีงานวิจัยที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการบ้านไม่ได้ช่วยพัฒนาศักยภาพของนักเรียน ในทางกลับกันดิฉันขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองช่วยทำในสิ่งที่ส่งผลต่อความสำเร็จของนักเรียน นั่นก็คือ การทานอาหารเย็นร่วมกับครอบครัว อ่านหนังสือด้วยกัน ออกไปเล่นข้างนอก และพาบุตรหลานของท่านเข้านอนแต่หัวค่ำ จาก Brandy Young“   และวิธีการของคุณครูคนนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ปกครองทั้งหลาย มีการแชร์ต่อกันไปมากถึง 70,000 ครั้ง จากเหล่าผู้ปกครองที่เบื่อหน่ายกับการสั่งให้ลูกทำการบ้าน แทนที่จะได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน “นักเรียนทุกคนต่างเล่าเรียนกันมาหนักมากพอแล้วในหนึ่งวัน เมื่อถึงตอนที่พวกเขากลับบ้าน มันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เรียนรู้อะไรอย่างอื่นบ้าง ฉันพยายามพัฒนาศักยภาพโดยรวมทั้งหมดของนักเรียนค่ะ”…

เนื่องจากการเดินทางไปที่ค่อนข้างจะใช้เวลายาวนาน และค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงแค่ 30,000 คนจากทั่วโลกต่อปีเท่านั้น ที่จะได้มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสวิถีธรรมชาติที่ทวีปแอนตาร์คติกา หรือ ขั้วโลกใต้ Robyn และ Patrick Woodhead สองผู้ก่อตั้งแคมป์ที่พักสุดหรูท่ามกลางความหนาวเหน็บในแบบขั้วโลกใต้ ที่นอกจากแขกจะได้เข้าพักในแคมป์ที่อำนวยความสะดวกได้เพรียบพร้อมที่สุดในแพ็คเกจราคาสูงกว่า 2.5 ล้านบาท ต่อคน ยังรวมถึงโปรแกรมทัวร์ที่พาเราไปใกล้ชิดธรรมชาติได้สุดๆ อีกต่างหาก และที่สำคัญสถานที่แห่งนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวเฉพาะช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่นที่สุด โดยค่าเฉลี่ยอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ -36 ฟาเรนไฮต์ในเดือนพฤศจิกายน และ -16 ฟาเรนไฮต์ในเดือนธันวาคม ส่วนค่าเฉลี่ยอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ -40 ฟาเรนไฮต์ในเดือนพฤศจิกายน และ -20 ฟาเรนไฮต์ในเดือนธันวาคม (นี้ขนาดเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดแล้วนะ!!) เราไปชมรีวิวที่พักและโปรแกรมทัวร์ที่เปิดเผยโดยเว็บไซต์ BusinessInsider กันเลยว่าราคาขนาดนี้ เราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อะไรบ้าง……   แขกที่เข้าพักจะต้องเดินทางจาก Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ เพื่อมาถึงจุดหมายโดยใช้ระยะเวลาเดินทางนานกว่า 5 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว   แคมป์แห่งนี้มีห้องพักที่ออกแบบเหมือนกระท่อมอิกลู คอยให้บริการอยู่ 6 ห้อง…

“สะพานนานกิง” สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีในเมืองนานกิงถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลกตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2006 มีผู้มาก่อเหตุฆ่าตัวตายกว่า 2,000 คน จนทำให้หน่วยงานของทางการต้องให้ความสนใจกับปัญหานี้เลยทีเดียว แต่รู้หรือไม่ ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา จำนวนของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ หากไม่มีชายคนหนึ่งที่ทุ่มเทชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้กำลังคิดสั้น ให้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป เราไปติดตามเรื่องราวของเขากันเลยดีกว่า     คุณลุงคนนี้มีชื่อว่า “เฉินซี” เขาได้รับฉายาว่าเป็น “เทพบุตรแห่งนานกิง” เพราะเขาได้ช่วยชีวิตคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายบนสะพานแห่งนี้ไปหลายร้อยคน จุดเริ่มต้นย้อนไปในปี 2003 เขาเดินทางไปทำงานในเมืองนานกิงและได้พบกับชายแก่คนหนึ่ง ซึ่งชายแก่คนนั้นได้มอบคำแนะนำดีๆ ให้กับเขามากมาย แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายแก่คนดังกล่าวได้ทะเลาะกับลูกชายเรื่องมรดก จนสุดท้ายชายแก่คนนั้นตรอมใจ ไม่ยอมกินอาหาร และเสียชีวิตไปหลังจากนั้นไม่นาน ตอนนั้นเขาคิดว่า ถ้าเขาเข้าไปถามไถ่และพูดคุยกับชายแก่คนนั้น บางทีเขาอาจไม่ตรอมใจจนตายก็เป็นได้ เขาจึงตั้งใจช่วยชีวิตผู้อื่นให้ได้มากที่สุด     นับตั้งแต่นั้นมา ทุกๆ วันหยุด เขาจะขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตนเองมายังสะพานนานกิงแห่งนี้ จากนั้นเขาก็จะเดินลาดตระเวนบนสะพาน หากเขาพบใครที่กำลังจะฆ่าตัวตาย เขาจะเข้าไปพูดคุยและให้กำลังใจเพื่อให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปในชีวิต ซึ่งตลอด 13 ปีที่ผ่านมา เขาได้ช่วยชีวิตคนไปแล้วกว่า 300 ชีวิต อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่อยากรับน้ำใจนี้จากเขา บางครั้งเขาก็ถูกคนที่เขาเข้าไปช่วย…

เราอาจไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสาเหตุใดถึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมต่างๆ ขึ้นมา หลายๆ คนอาจคิดว่าเหล่าฆาตกรต่อเนื่อง มักจะมีปัจจัยหรือสาเหตุในการก่อเหตุที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง บางคนอาจจะดูปกติทั่วไปเมื่อมาอยู่ในสังคม และในขณะที่บางคนก็อาจจะดูผิดปกติชอบเก็บตัวและชอบวางตัวอยู่นอกกรอบของสังคม แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราไปดูคำพูดที่ออกจากปากของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องที่เคยเป็นคดีดังในอดีตกันเลยดีกว่า เผื่อว่าจะช่วยให้เราได้เรียนรู้และเข้าถึงจิตใจของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น…   1.“ผมเกิดมาคู่กับปีศาจ” – H.H.Holmes ในช่วงปี 1893 ที่รัฐชิคาโก Holmes ได้ทำให้บ้านตัวเองเป็นเหมือนศูนย์รวมของการฆาตกรรมขึ้น โดยทำทีว่าเป็นเหมือนเกสเฮาส์ทั่วไป แต่เขาได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่า 200 คน!!!   2. “ผมไม่เชื่อในพระเจ้า มนุษย์ หรือปีศาจ อะไรทั้งนั้น ผมเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงตัวผมเองด้วย” – Gary Ridgway ชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักฆ่าแห่ง Green River ประจำรัฐยูทาห์ ในช่วงยุค 80s – 90s เขาได้สังหารผู้บริสุทธิ์ไปมากถึง 48 คน แต่กลับให้การสารภาพกับศาลว่าจำนวนผู้เสียชีวิตมีมากกว่านี้ถึง 2 เท่า!!!   3. “ขอให้เมียและลูกๆ ของเธอถูกข่มขืนอย่างหนักทางทวารนั่นแหละ!!!” – Aileen Wuronos…

ถ้าใครเคยไปเมืองใหญ่ๆ อื่นๆ ทั่วโลก จะพบว่าแทบทุกเมืองจะมีรูปปั้น หรือไม่ก็อนุสาวรีย์เจ๋งๆ ตั้งอยู่อย่างน้องหนึ่งหรือสองแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการระดับเทพของเหล่าศิลปินที่เห็นแล้วต้องสงสัยว่า พวกเขานั้นคิดได้ยังไง วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชม 22 “สถาปัตยกรรม” ระดับเทพจากทั่วโลก ที่เปิดทุกมิติแห่งจินตนาการให้กว้างไกลยิ่งขึ้น   Fairy Sculpture Dancing With Dandelion โดย Robin Wight ในประเทศอังกฤษ   Colossus ในเมือง Florence ประเทศ Italy   The Force Of Nature โดย Lorenzo Quinn   ความเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ โดย Alexander Milov   Mihai Eminescu เมือง Onesti ประเทศ Romania   The Caring…