Tag: บริษัท

  • บริษัทจีนเริ่มมาตรการชูแบรนด์ ลงโทษคนใช้ iPhone และให้รางวัลคนใช้ Huawei

    บริษัทจีนเริ่มมาตรการชูแบรนด์ ลงโทษคนใช้ iPhone และให้รางวัลคนใช้ Huawei

    กลายเป็นประเด็นร้อนระดับโลกเลยทีเดียว เมื่อทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ทำการแบนอุปกรณ์ไอทีจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Hauwei และ ZTE จนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเกิดความตึงเครียดขึ้นมา ล่าสุด บริษัทในประเทศจีนเริ่มมีการตอบโต้มาตรการดังกล่าว ด้วยการแบนสินค้าไอทีจากสหรัฐอเมริกาบ้างแล้ว     บริษัทแห่งหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ได้ออกมาตรการที่ว่าจะมีการ ให้รางวัล แก่ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือของค่าย Huawei และขณะเดียวกันก็จะมี บทลงโทษ สำหรับผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จาก Apple มาตรการดังกล่าวถูกร่างขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังในบริษัท Zhejiang Kangjiesi New Material Technology Co. และถูกเผยแพร่ออกสู่โลกออนไลน์อย่างลับๆ     มาตรการสนับสนุน Huawei ของบริษัทได้กล่าวเอาไว้ว่า พนักงานคนใดที่ถือครอง iPhone จะ ไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลื่อนขั้น ส่วนพนักงานที่ใช้โทรศัพท์มือถือของ Huawei นั้นจะได้เงินค่าเครื่องกลับคืนในอัตราดังต่อไปนี้ -ผู้บริหารจะได้เงินค่าเครื่องคืน 50 เปอร์เซ็น (หรือครึ่งหนึ่งของราคาเต็ม) -ผู้จัดการจะได้ค่าเครื่องคืน 25 เปอร์เซ็นต์ -พนักงานทั่วไปจะได้ค่าเครื่องคืน 20 เปอร์เซ็นต์   ชมคลิปวิดีโอจาก Vocativ   …

  • สาวตั้งกระทู้ถาม ทางบริษัทกำลังจะไล่เธอออก เพราะเธอมัก “กลับบ้านตรงเวลา” เป็นประจำ…

    สาวตั้งกระทู้ถาม ทางบริษัทกำลังจะไล่เธอออก เพราะเธอมัก “กลับบ้านตรงเวลา” เป็นประจำ…

    สำหรับการทำงานในแต่ละวัน กว่าจะผ่านมันไปได้มันก็ยากลำบากมากอยู่แล้ว ไหนจะต้องกลับไปใช้ชีวิตส่วนตัวอีก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คงไม่มีใครอยากทำงานต่อยามที่เวลาเลิกงานมาถึง จริงไหมล่ะครับ… แต่หัวหน้างานหรือผู้บริหารบางคนกลับมองว่า การทำงานล่วงเวลา เป็นคุณสมบัติที่ดีของพนักงานซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทที่มีให้กับงานของพวกเขาและของบริษัท และความคิดแบบนี้ก็ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพนักงานที่มัก เลิกงานตรงเวลา เช่นหญิงสาวเจ้าของกระทู้ต่อไปนี้ ที่ออกมาเล่าว่าเธอกำลังจะ “ถูกไล่ออก” เพียงเพราะเธอเลิกงานและกลับบ้านตรงเวลาอยู่เสมอ   กระทู้ “เลิกงานกลับบ้านตรงเวลามันผิดมากเหรอคะ? เป็นหนึ่งในเหตุผล ถึงกับต้องเชิญออกเลยเหรอคะ”   เจ้าของกระทู้เล่าว่า ตัวเธอเองเลิกงานและกลับบ้านตรงเวลา 18.00 น. ทุกวัน แต่ถูกเชิญออกเพราะเจ้านายมองว่าไม่ทุ่มเทให้กับงาน   เราลองไปดูคอมเมนต์ของชาวเน็ตที่เข้ามาตอบกันดีกว่า เผื่อจะเป็นแนวทางแก้ปัญหาสำหรับใครหลายคนที่เจอสถานการณ์แบบเดียวกับเจ้าของกระทู้   บทพูดจากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง กล่าวว่า “งานล่วงเวลา เป็นงานสำหรับคนที่ทำงานช้า และเงินเดือนไม่พอใช้ค่ะ มันไม่ได้แสดงถึงการทุ่มเท แต่มันคือความไม่เอาใจใส่งานต่างหาก”   คนนี้ถามว่าเจ้าของกระทู้ว่า หัวหน้างานเลิกจ้างหรือบังคับให้เขียนใบลาออก เพื่อจะแนะแนวทางให้ในฐานะ ฝ่ายบุคคล   เจ้าของกระทู้ก็มาตอบว่า จะให้เซ็นลาออก ไม่ได้จะเลิกจ้าง   คนเดิมก็มาตอบว่า ไม่ต้องเซ็นลาออกให้แจ้งแรงงานพื้นที่แล้วหาพยานมาให้การว่าถูกบังคับให้เซ็นลาออก ซึ่งอาจจะทำให้ได้รับเงินชดเชย   แต่ว่าวิธีนี้ใช้ได้ในกรณีถูกบังคับให้เขียนใบลาออกด้วยเหตุผลกลับบ้านตรงเวลาเท่านั้น หากมีความผิดอื่นๆ ก็อีกเรื่อง…

  • บ. จีนโหด ‘โบย’ ลูกน้องด้วยเข็มขัด บังคับดื่มฉี่ หลังลูกน้องทำ “ยอดขาย” ไม่ถึงเป้า

    บ. จีนโหด ‘โบย’ ลูกน้องด้วยเข็มขัด บังคับดื่มฉี่ หลังลูกน้องทำ “ยอดขาย” ไม่ถึงเป้า

    ผู้จัดการ 3 รายในบริษัทแห่งหนึ่งของจีน ถูกควบคุมตัวโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังมีการแจ้งใช้ “เข็มขัด” ฟาดลูกจ้าง บังคับให้ดื่มปัสสาวะและบังคับให้กินแมลง พนักงานผู้เป็นเหยื่อ เป็นลูกจ้างในบริษัทพัฒนาบ้านเรือนแห่งเมืองจุนอี้ มณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน พวกเขาให้การว่าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เพราะพวกเขาทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้า หลังมีคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเผยออกมาบนอินเทอร์เน็ตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนสอบสวนอย่างรวดเร็ว   ชมคลิปวิดีโอ    ภายในวิดีโอเผยให้เห็นว่าหัวหน้างานมีการโบยลูกน้องด้วยเข็มขัด ประกอบกับมีการบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มสีเหลืองอีกด้วย ยังมีคำให้การเพิ่มอีกว่านอกจากการลงโทษแบบนี้ยังมีวิธีการอื่นอีกเช่น สั่งให้คุกเข่า กินมัสตาร์ด และสั่งให้โกนผม เป็นต้น มีการพบหลักฐานเป็นข้อความที่ผู้จัดการส่งมาถึงลูกจ้างว่า หากไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายทุกคนจะต้อง “กินแมลงสาบ” คนละ 3 ตัว     ขณะนี้ผู้จัดการที่ก่อเหตุ 2 คนซึ่งมีสกุลว่า Guo และ Cai ตามลำดับถูกกักตัวไว้เป็นเวลา 10 วัน ส่วนอีกคนหนึ่งสกุล Huang ถูกกักตัวไว้เป็นเวลา 5 วัน มีหลายเสียงที่ถามพนักงานเหล่านี้ว่าทำไมต้องทน ทำไมถึงไม่ยอมลาออกจากบริษัทแบบนี้ หนึ่งในลูกจ้างก็ออกมาตอบว่า “บริษัทนี้ค้างจ่ายเงินเดือนพวกเขามา 2 เดือนแล้ว แถมขู่ว่าถ้าไม่ยอมรับโทษหรือลาออกก็จะถูกตัดเงินเดือนไปเลย”  …

  • CEO เกาหลี “ตบหน้า” พนักงาน ลงโทษที่ ‘แอบอ้าง’ เป็นผู้บริหารแล้วไปตอบคอมเมนต์

    CEO เกาหลี “ตบหน้า” พนักงาน ลงโทษที่ ‘แอบอ้าง’ เป็นผู้บริหารแล้วไปตอบคอมเมนต์

    การทำงานในบริษัท หลายครั้งก็ต้องเสี่ยงต่อการถูกลงโทษหากเรามีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ตัดเงินเดือน พักงาน หรือกระทั่ง ถูกตบหน้า     อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัทไอที K-Technology และ WeDisk ในประเทศเกาหลี เมื่ออดีตลูกจ้างคนหนึ่งได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ออนไลน์โดยแอบอ้างตนว่าเป็น CEO หรือผู้บริหารบริษัท และด้วยความที่เป็นบริษัทไอที การจะหาว่าใครเป็นทำเรื่องนี้นั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่แกะรอยจาก IP Address เท่านั้น และเมื่อพบตัวผู้กระทำผิด ผู้บริหารบริษัท Yang Jin-ho จึงเรียกตัวเขามาที่บริษัท และลงโทษลูกจ้างคนดังกล่าวด้วยการ ชกต่อย และ ตบหน้า ท่ามกลางสายตาพนักงานคนอื่นๆ พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้   คลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว    ลงโทษจนกระทั่งชายผู้กระทำผิดยอมคุกเข่าขอโทษกับ CEO ของบริษัท   แม้ว่าต้นเหตุของเรื่องจะเป็นความผิดของพนักงานคนนี้ แต่ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเรื่องนี้ก็กล่าวว่า Yang นั้นเคยมีประวัติบังคับให้พนักงานชายไปย้อมผมสีแดงและเขียวเพื่อให้ตนเองหัวเราะ และยังเคยมีการบังคับให้พนักงานดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากโดยไม่อนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำ ทำให้หลายคนต้องอาเจียนออกมาบนโต๊ะ     นอกจากนี้ Yang ยังชอบทารุณกรรมสัตว์อีกด้วย มีรายงานว่าเขาเคยใช้ธนูยิงไก่ และใช้ดาบซามูไรฟันคอพวกมันอีกด้วย ปัจจุบันอดีตพนักงานรายดังกล่าวต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เกาะห่างไกล เนื่องจากกลัวอิทธพลของ Yang และบริษัทที่มีมากในเมืองหลวง…

  • ย้อนอดีตชม 22 แบรนด์ดังกับ “โลโก้ยุคแรก” ของพวกเขา บอกเลยว่า…มาไกลมาก!!

    ย้อนอดีตชม 22 แบรนด์ดังกับ “โลโก้ยุคแรก” ของพวกเขา บอกเลยว่า…มาไกลมาก!!

    เมื่อเห็นโลโก้ของ แบรนด์ดังระดับโลก หลายคนต้องนึกออกแน่ๆ ว่าโลโก้นั้นๆ เป็นของแบรนด์อะไร เพราะว่าแบรนด์ดังส่วนมากจะมีโลโก้ที่ติดตราตรึงใจผู้คน จนใครเห็นก็ต้องจำได้ แต่หารู้ไม่ว่าโลโก้แบรนด์ดังที่เห็นกันในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เวอร์ชั่นออริจินัลหรอกนะ เพราะถ้าหากย้อนกลับไปยัง โลโก้ยุคแรกเริ่มของมัน จะเห็นได้ว่ามันต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง วันนี้เราจึงจะพาไปชม โลโก้ยุคแรกเริ่มของแบรนด์ดังระดับโลก ที่ต่างจากสมัยนี้มาก จนคุณๆ ทั้งหลายอาจจำไม่ได้ว่ามันมาจากแบรนด์อะไรกันแน่…   1. Playboy กับยุคแรกที่เป็นเจ้าต่ายแบบเต็มตัว   2. Adidas กับยุคเก่าพร้อมชื่อเต็มๆ ว่า Adolf Dassler   3. Burger King กับโลโก้ยุคแรกที่มีพระราชาบนเบอร์เกอร์   4. Ford กับโลโก้ยุคแรกที่ดูคลาสสิก   5. Lego กับโลโก้ที่แปลกตา แต่มันก็คือโลโก้จริงในยุคแรกของแบรนด์   6. Nestle กับโลโก้ยุคแรกที่มีเกราะอัศวินอยู่บนนั้น   7. Adobe กับโลโก้ยุคแรกที่มาพร้อมชื่อเต็ม   8. โลโก้ยุคแรกของ Canon มาเป็นองค์เทพกวนอิมพร้อมชื่อเดิมว่า Kwanon  …

  • หนุ่มเดินไปทำงานวันแรก 35 กิโลฯ CEO เลยซื้อรถใหม่ให้ เพื่อตอบแทนความทุ่มเท!!

    หนุ่มเดินไปทำงานวันแรก 35 กิโลฯ CEO เลยซื้อรถใหม่ให้ เพื่อตอบแทนความทุ่มเท!!

    เรื่องราวดีๆ มักจะเกิดขึ้นกับคนดีๆ เสมอ…   ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ Walter Carr ผู้อยู่อาศัยในรัฐแอลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา และเขากำลังจะได้เป็นพนักงานในบริษัทที่ชื่อว่า Bellhops ที่เป็นบริษัทรับจ้างขนของ     แต่ก่อนจะเริ่มงานวันแรก ชีวิตก็ต้องพบเจอกับความซวย เพราะรถของเขาเกิดพังขึ้นมาซะงั้น!!   แต่แทนที่จะขอลางาน Walter กลับตัดสินใจที่จะเดินออกจากบ้านตอนเที่ยงคืน เป็นระยะทางกว่า 20 ไมล์ หรือราวๆ 32 กิโลเมตร เพื่อไปทำงานขนของให้กับลูกค้าชื่อว่า Jenny Hayden Lamey  โชคดีที่เขาเดินไปได้แค่ 14 ไมล์ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาพบตัวเสียก่อน ทางตำรวจจึงช่วยพาเขาไปส่งที่ทำงาน     จากรายงานของเว็บไซต์  CBS42 ระบถว่า “Walter ต้องเดินเป็นระยะทางอย่างน้อยกว่า 23 กิโลเมตร ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาพบเขาระหว่างทางตอน 4.00 น. และจะพาเขาไปส่งที่หมาย” “ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พูดคุยกับเขา ทำให้ทราบเรื่องราวต่างๆ เจ้าหน้าที่จึงเลี้ยงมื้อเช้ากับเขาเพื่อเป็นการปลอบใจ” “เมื่อไปถึงยังบ้านของครอบครัวของคุณ Lamey นาย Walter…

  • ญี่ปุ่นเผยเซตข้อคำถามที่ตัดสินแล้วว่า “ไม่เหมาะสม” ในการใช้ถามในการสัมภาษณ์งาน

    ญี่ปุ่นเผยเซตข้อคำถามที่ตัดสินแล้วว่า “ไม่เหมาะสม” ในการใช้ถามในการสัมภาษณ์งาน

    ประเทศญี่ปุ่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เข้มงวดในเรื่องของการทำงานอย่างมาก การทำงานนั้นจะต้องตรงเวลาและมีความรับผิดชอบสูง พนักงานจะต้องมีความสามารถในการทำงานที่หัวหน้าสั่ง ฉะนั้น การว่าจ้างพนักงานในบริษัทของประเทศญี่ปุ่นก็จะมุ่งเน้นไปที่ตัวผู้สมัครว่าสามารถเข้ากันกับวัฒนธรรมขององค์การได้หรือไม่ การสัมภาษณ์จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ     แต่หลายครั้งการสัมภาษณ์ก็มีคำถามต่างๆ ที่อาจดูเป็นการคุกคามตัวผู้สมัครงานและอาจดูไม่เหมาะสม ล่าสุดกระทรวงแรงงานของจังหวัดคุมะโมโตะ ประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกังวลถึงเรื่องนี้และขอให้แต่ละองค์การมีการสัมภาษณ์งานด้วยข้อคำถามที่เหมาะสม ทางกระทรวงแรงงานได้เผยข้อคำถามต่างๆ ที่มองว่า “ไม่เหมาะสม” ในการสัมภาษณ์หรือเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น ครอบครัว สถานะทางบ้าน ภูมิลำเนา และปรัชญาทางการเมืองของผู้สมัคร เป็นต้น     โดยตัวอย่างข้อคำถามที่ไม่เหมาะสมในการสัมภาษณ์งานมีดังนี้: -คุณเกิดที่ไหน? -พ่อแม่ของคุณทำงานประเภทไหน? -คุณเป็นลูกคนเดียวหรือไม่? -รถที่คุณขับเป็นรถประเภทใด? -คุณนับถือศาสนาพุทธหรือไม่? -พรรคการเมืองใดมีความคิดใกล้เคียงกับคุณมากที่สุด? -คุณต้องการแต่งงานในวันใดวันหนึ่งหรือไม่? -บุคคลในประวัติศาสตร์คนใดที่คุณชื่นชอบ? -คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับลัทธิมากซ์ -คุณเป็นสมาชิกกลุ่มหรือองค์กรใดอยู่หรือไม่? -หนังสือพิมพ์ของสำนักข่าวใดที่คุณอ่าน?     คำถามเหล่านี้ บางข้อเป็นการถามถึงความเชื่อและค่านิยมทางศาสนาและการเมืองโดยตรง บางครั้งคำตอบของผู้สมัครอาจทำให้ผู้สมัครถูกตัดสิทธิ์ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีคำถามที่เกี่ยวกับรถที่ขับ และบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ชื่นชอบ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สามารถพูดคุยกันได้ในชีวิตประจำวัน หากคำถามเหล่านี้มีส่วนตัดสินการเข้ารับทำงาน จะสามารถแปลได้ว่าบริษัทดังกล่าวประเมินค่าของผู้สมัครที่สถานะทางสังคมและอุดมคติ ซึ่งไม่เกี่ยวกับฝีมือและความสามารถในการทำงานเลยแม้แต่น้อย   การสัมภาษณ์งานนั้นสำคัญอย่างมากที่จะทำให้บริษัทได้รับคนที่มีความสามารถเข้าทำงานตามที่ต้องการ ฉะนั้น ควรมีผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบข้อคำถามในการสัมภาษณ์โดยเฉพาะ ที่มา: soranews24

  • บริษัทจีนใจป้ำ แจกเงินโบนัสให้ CEO ที่นำพาให้บริษัทประสบความสำเร็จกว่า 50,000 ล้าน!!

    บริษัทจีนใจป้ำ แจกเงินโบนัสให้ CEO ที่นำพาให้บริษัทประสบความสำเร็จกว่า 50,000 ล้าน!!

    การทำงานหนักแล้วได้รับผลตอบแทนย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับพนักงาน….   เช่นเดียวกันกับ CEO ของบริษัทมือถือค่ายยักษ์ใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง Xiaomi ที่ทำงานอย่างหนัก จนได้รับโบนัสที่มากที่สุดเป็นประวัติกาลของบริษัท     คุณ Lei Jun CEO ของบริษัท Xiaomi ได้กลายเป็นคนที่สร้างความมั่งคั่งให้กับบริษัท จนกลายมาเป็นบริษัทสมาร์ตโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก เขาได้รับเงินมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบแทนในความสามารถของเขา  โดยจำนวนเงินนี้เป็นส่วนหนึ่งของยอดขายที่บริษัททำได้ ทางบริษัท Xiaomi ได้บอกเหตุผลของการให้เงินก้อนใหญ่ก้อนนี้ว่า “เป็นรางวัลสำหรับการสนับสนุนของเขา”     ซึ่งโบนัสที่ได้นี้ไม่ได้อยู่ภายใต้แผนการปฏิบัติงานใดๆ ในอนาคตของบริษัท และที่สำคัญคุณ Lei เองก็ทำงานอย่างหนักมาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา และยังไม่มีรายงานว่าเขาเคยได้รับโบนัสมาก่อนเลยด้วย ในเดือนมิถุนายนบริษัท Xiaomi เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้มีมูลค่าสูงถึง 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 2.3 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว     นับว่าเป็นความสำเร็จที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเอง การได้รับโบนัสมหาศาลขนาดนี้ก็ถือเป็นการตอบแทนที่คุ้มกับค่าเหนื่อยแล้วล่ะนะ   ที่มา…

  • การ์ตูนคูลๆ ที่ทำให้เห็นว่า “เจ้านาย (Boss) VS หัวหน้า (Leader)” มันต่างกันอย่างไร!?

    การ์ตูนคูลๆ ที่ทำให้เห็นว่า “เจ้านาย (Boss) VS หัวหน้า (Leader)” มันต่างกันอย่างไร!?

    ทุกวันนี้ในโลกของการทำงาน บุคคลสำคัญที่เราหลีกเลี่ยงที่ไม่ได้ก็คือ หัวหน้างานหรือเจ้านาย นั่นเอง แค่พูดคำว่า “หัวหน้า” หรือ “เจ้านาย” ออกมาหลายคนก็ถึงกับขนลุกซู่ แต่ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร คำสองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่ โดยคำว่า เจ้านาย (Boss) นั้นว่ากันตามตรงมักใช้ในเชิงลบ ความหมายก็คือผู้ที่ใช้อำนาจควบคุมทุกคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่คำว่า หัวหน้า (Leader) นั้นจะหมายถึงผู้ที่เข้าใจในผลประโยชน์ของการกระตุ้นให้พนักงานเกิดความสามัคคีแข็งขัน และทำงานจนบรรลุผลสำเร็จ อ่านข้อความอาจเข้าใจได้ยาก วันนี้เราจึงขอนำภาพการ์ตูนสุดเจ๋งจาก yukbisnis.com ที่วาดขึ้นเพื่ออธิบายความแตกต่างระหว่าง “หัวหน้า VS เจ้านาย” ได้เข้าใจง่ายสุดๆ แถมน่ารักอีกด้วย เราไปชมพร้อมกันเลยดีกว่า…   เจ้านาย (Boss) จะเอาแต่ผลประโยชน์ให้ตัวเอง แต่ หัวหน้า (Leader) จะคอยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของลูกทีมให้ทำงานได้ดีขึ้น   เจ้านาย (Boss) มักจะดุด่าว่ากล่าวหากผิดพลาด แต่ หัวหน้า (Leader) มักจะสอนและหาทางแก้ไข   เจ้านาย (Boss) มักออกคำสั่ง เช่น “ไปทำให้สำเร็จ!” แต่ หัวหน้า (Leader) มักจะชักชวนหรือกระตุ้น เช่น “เรามาทำให้สำเร็จกันเถอะ!”…

  • 9 ประโยคไม่ควรพูดกับ “เจ้านาย” ในที่ทำงาน เพราะมันอาจส่งผลต่ออนาคตคุณเลยก็ได้

    9 ประโยคไม่ควรพูดกับ “เจ้านาย” ในที่ทำงาน เพราะมันอาจส่งผลต่ออนาคตคุณเลยก็ได้

    ในบริบทของการทำงานในบริษัทหรือว่าองค์กรต่างๆ ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ นั้นเป็นสิ่งที่ควรมี โดยเฉพาะระหว่างตัวคุณกับหัวหน้าก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ให้ดี เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีฝีมือและผลงานที่ยอดเยี่ยม แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับผู้อื่นอาจทำให้เกิดอคติในตัวเราได้ โดยเฉพาะกับหัวหน้างานที่อาจมองว่าเราเป็นพนักงานที่ไม่รู้จักทีมเวิร์กและไม่รู้จักใช้ชีวิตในสังคม วันนี้เราจึงอยากเสนอ 9 ประโยคที่ไม่ควรพูดอย่างแรง หากไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหัวหน้า ไปดูพร้อมๆ กันเลยว่า มีประโยคไหนบ้าง และทำไมถึงไม่ควรพูด…   1. “ผมอยากได้เงินเดือนเพิ่ม เพราะผมต้องใช้มันสำหรับซ่อมแซมบ้าน”   การขอขึ้นเงินเดือนเป็นสิ่งที่ขอได้ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก หากคุณเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวเพื่อขอให้เห็นใจนั่นจะยิ่งทำให้การขึ้นเงินเดือนเป็นไปได้ยาก หัวหน้าจะมองว่าให้เงินไปแล้วทางบริษัทจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ลองเปลี่ยนเป็นเอาความสามารถเข้าสู้ดีกว่า โชว์ผลงานที่เหมาะสมกับการขึ้นเงินเดือนให้หัวหน้าดูเพื่อพิจารณา แน่นอนว่าบริษัทไหนๆ ก็ย่อมอยากได้คนทำงานเก่ง ฉะนั้นมันจะดีกว่าหากเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ผมทำยอดการผลิตได้มากกว่าเดิมถึง 3 เท่าจากรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ผมจึงมาขอให้หัวหน้าพิจารณาขึ้นเงินเดือนครับ“   2. “ช่วงบ่ายผมขอกลับบ้านได้ไหมครับ? งานผมไม่มีอะไรให้ทำแล้ว”   เมื่อคุณทำงานจนครบเป้าหมายในแต่ละวันเรียบร้อยแล้ว คุณก็อาจจะอยากกลับบ้านไปพักผ่อน แต่คุณไม่ควรขอกับหัวหน้าตรงๆ แบบนั้น เพราะมันทำให้คุณกลายเป็นคนที่ไม่สนใจจะทำงาน แถมยังได้งานมาทำเพิ่มอีกด้วย จะดีกว่าหากพูดว่า “ช่วงบ่ายผมขอกลับบ้านได้ไหมครับ?“ เฉยๆ โดยไม่ต้องบอกเหตุผล (แต่งานก็ต้องทำให้เสร็จก่อนนะ) พยายามอย่าพูดหรือแสดงความเบื่อหน่ายออกมา   3. “ทั้งหมดมันเป็นความผิดของนพพลต่างหากครับ”   การยอมรับความผิดโดยไม่ตัดสินผู้อื่นนั้นเป็นคุณสมบัติของผู้ที่มีวุฒิภาวะ…

  • หืมม!? โพลออกมาว่า สาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เคย “ซั่ม” กับพนักงานหนุ่มในที่ทำงานเดียวกัน!!

    หืมม!? โพลออกมาว่า สาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เคย “ซั่ม” กับพนักงานหนุ่มในที่ทำงานเดียวกัน!!

    ในบรรยากาศของการทำงานที่หนักหนาและเคร่งเครียด มันอาจทำให้คุณเหงา เคว้งคว้าง และไร้ที่พึ่ง ยิ่งในสำนักงานของประเทศญี่ปุ่นที่ได้ชื่อเรื่องความเคร่งด้วยแล้ว พนักงานก็อาจขาดความอบอุ่นได้เป็นเรื่องธรรมดา ด้วยเหตุนี้ จากสถิติจึงพบว่า หญิงสาวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากหลงใหลในความอบอุ่นของอ้อมแขนเพื่อนร่วมงานต่างเพศ ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดก็ยังคงพบว่า พนักงานหญิงและชายที่มีสัมพันธ์สวาทต่อกันนั้นเป็นเรื่องปกติ     มีการทำโพลจาก Aikatu เว็บไซต์สำหรับหญิงสาววัย 20-30 ปีขึ้นไป ถามผู้ใช้งานเว็บไซต์ของตนเองว่า “มีความสัมพันธ์ทางกายกับเพื่อนร่วมงาน” บ่อยแค่ไหน?   คำตอบที่ได้คือ จากผู้ใช้ 1,162 คนที่ตอบเข้ามา มากกว่า 3 ใน 4 ตอบว่า เคยหลับนอนกับเพื่อนร่วมงาน   ผู้ตอบแบบสำรวจ 45.5 เปอร์เซ็นต์ เผยว่า ไม่ได้มีเซ็กส์กันกับเพื่อนร่วมงานเพศชายเพียงเท่านั้น บางทียังทำกับคนที่ไม่ได้รู้สึกรักใคร่อีกด้วย ส่วนอีก 32.2 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า พวกเขามีการล้ำเส้นหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์กันแล้วกลายเป็นความรักใคร่เกิดขึ้น แต่อีก 22.3 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า การมีเซ็กส์ที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการงานเลย     แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าสถานที่ทำงานของประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นแหล่งนัดแลกเซ็กส์หรือว่าอะไรก็ตามที่เป็นทำนองเดียวกัน แต่นั่นเป็นเพราะว่าสังคมการทำงานที่จริงจังและเคร่งครัดของญี่ปุ่นทำให้ผู้คนมีเวลาพบปะและสานสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น ตราบใดเท่าที่ผลงานในที่ทำงานยังคงดี เรื่องความรักที่เกิดขึ้นหากจัดการอย่างรอบคอบแล้วก็ไม่ได้เป็นผลเสียในมุมมองของบริษัท     อีกอย่างคือในวัยทำงานสำหรับชาวญี่ปุ่นก็คือวัยที่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้…

  • อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์!! ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์ จะ “เปลี่ยนงาน” ต้องรอบคอบ!!

    อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์!! ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์ จะ “เปลี่ยนงาน” ต้องรอบคอบ!!

    ในชีวิตของการทำงาน โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ด้วยแล้วนั้น การเปลี่ยนงานคงเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าแปลกใจ นักศึกษาจบใหม่ส่วนมากจะมีความกลัวที่ว่า “หางานทำไม่ได้” ฉะนั้นได้งานอะไรก็ทำๆ ไว้ก่อน ผลสุดท้ายกลับมาพบว่า “มันไม่ตรงสาย” แล้วก็ต้องเปลี่ยนงานในที่สุด แต่การจะลาออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมพลาดกันมานักต่อนักแล้วด้วยเช่นกัน     อย่างเช่นตัวอย่างในวันนี้ โดยคุณ รู้หน้าไม่รู้ไต ได้ออกมาตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิปเชิงเล่าประสบการณ์ของตนเองโดยตั้งหัวข้อว่า “บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ช่วยเห็นใจผู้สมัครงานสักนิดนึงเถอะ เจ็บใจแถมเสียความรู้สึกมากๆ”  ซึ่งเรื่องราวที่เล่าผ่านกระทู้นี้ รวมไปถึงชาวเน็ตที่เข้ามาให้ความเห็นนั้นก็ได้เป็นความรู้และอุทาหรณ์ให้กับผู้อ่านที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลย…     เรื่องย่อ เจ้าของกระทู้ลาออกจากงานเก่ามาได้ 2 เดือนเพราะงานไม่ตรงสาย แล้วก็หางานใหม่จนได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง 6-7 วันถัดมาบริษัทก็โทรมาตอบรับเข้าทำงาน แต่พออีก 1 วันก่อนเริ่มงานกลับขอเลื่อนไปอีก 10 วัน อ้างว่าบอสใหญ่ที่ญี่ปุ่นยังไม่อนุมัติ ซึ่งตอนนั้นเจ้าของกระทู้ยังไม่ได้เซ็นสัญญาจ้างเลย พอถามด้วยความสงสัยก็ทราบว่า บริษัทยังไม่รับพนักงานใหม่ตอนนี้ (จขกท. เงิบ) จึงถามต่อว่าวันที่นัดไว้ยังนัดอยู่หรือเปล่า คำตอบที่ได้มาคือไม่แน่ใจ ให้หางานใหม่รอไว้เลย (จขกท. เงิบอีกครั้ง) แล้วก็เล่าว่าตนเองเสียใจและเจ็บใจมากๆ เหมือนโดนหลอกว่าจะรับแต่กลับมาปฏิเสธ ทำให้ตนไม่ได้หางานใหม่รองรับไว้ เจ้าของกระทู้จึงออกมาเตือนบริษัทว่าให้คุยกันให้ดีก่อนรับพนักงาน ไม่งั้นก็จะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานซ้ำซ้อนแบบนี้โดยไม่รับการรับผิดชอบใดๆ เลย  …

  • สาวเอเชียถูกเหยียด “ชอบกินหมาแมวใช่ไหม?” ได้รับเงินชดใช้เกือบ 3 แสนบาท!!

    สาวเอเชียถูกเหยียด “ชอบกินหมาแมวใช่ไหม?” ได้รับเงินชดใช้เกือบ 3 แสนบาท!!

    เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าการกระทำหรือคำพูดแบบใดบ้างถึงจะเรียกว่าเป็นการ “เหยียด” คนอื่น ฉะนั้น มันก็อาจมีบ้างทีที่เราจะพูดอะไรออกไปแล้วไปเหยียดคนอื่นเข้าโดยไม่ได้เจตนา ขณะเดียวกันก็มีคนที่ตั้งใจจะพูดเหยียดคนอื่นจริงๆ คนที่ชอบเหยียดคนอื่น ซึ่งทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ก็สมควรจะชดใช้ในสิ่งที่เขากระทำลงไป อย่างเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้…     หญิงสาวชาวเอเชียที่เข้าไปทำงานยังบริษัทบัญชีแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ เมื่อราวๆ เดือนกรกฎาคม 2017 เพียงเดือนแรกที่เธอเข้าทำงาน เพื่อนร่วมงานเพศชายก็เข้ามาถามด้วยความเหยียดว่า “ผมได้ยินมาว่าแมวและหมาเป็นอาหารจานหลักของชาวเอเชียนี่ คุณชอบทานมันใช่ไหม?”     คำถามนั้นทำให้หญิงสาวเสียความรู้สึกอย่างมาก เธอไปรายงานกับผู้จัดการด้วยน้ำตา จากนั้นผู้จัดการจึงรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ โดยการทำให้ชายที่เหยียดเธอต้องออกมาขอโทษ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน หญิงสาวคนนี้ก็ลาออกจากตำแหน่งงานเดิม และก็ได้ยอมรับคำขอโทษของเพื่อนร่วมงานที่เคยพูดจาเหยียดเธอ แต่เรื่องราวกลับใหญ่โตไปถึงองค์กร Workplace Relations Commission (WRC) ที่ขอให้บริษัทชดใช้ให้เธอเป็นจำนวนเงินราว 296,000 บาท     ขณะในระหว่างการสอบสวน ทางองค์กรก็ทราบมาอีกว่า เพื่อนร่วมงานชายคนดังกล่าวยังมีพฤติกรรมเหยียดแบบอื่นอีก เขาได้แอบถ่ายรูปของสาวเอเชียคนนี้และส่งไปให้เพื่อนของเขาดู แถมเธอยังบอกว่า บางครั้งแอบเห็นเพื่อนของเขาคนหนึ่งเรียกเธอว่า “แม่สาวร่องสวย”     นอกจากนี้ ชายคนเดิมยังมีพฤติกรรมเหยียดอื่นๆ อีกมากมาย เช่น พูดว่า “ผมคงจะได้หญิงสักคนในคืนที่คุณไปเที่ยว เพราะที่ที่คุณไปผมก็จะไปด้วยเหมือนกัน”…

  • เบื้องหลัง 11 แบรนด์ดังระดับโลก กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ พวกเขามีอดีตอย่างไรกันบ้าง!?

    เบื้องหลัง 11 แบรนด์ดังระดับโลก กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ พวกเขามีอดีตอย่างไรกันบ้าง!?

    แบรนด์ดังระดับโลกทั้งหลาย แน่นอนว่ากว่าจะมีชื่อเสียงอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ได้ พวกเขาย่อมมีเคยมีประวัติทั้งดีและแย่กันมาทั้งนั้น บางแบรนด์ก็มีอดีตอันขมขื่น ขณะเดียวกันบางแบรนด์ก็อาจจะมีอดีตที่ทำให้เราต้องตกใจก็เป็นได้ ฉะนั้นวันนี้เราจึงขอนำเสนอ เบื้องหลัง 11 แบรนด์ดังระดับโลก ที่อาจทำให้คุณต้องตกใจก็เป็นได้…   1. Häagen-Dazs ที่จริงแล้วเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันแท้ๆ ส่วนชื่อของแบรนด์ที่ดูไม่เหมือนภาษาอังกฤษนั้น เป็นคำพูดลอยๆ ที่ทำให้ฟังดูเหมือนเป็นบริษัทของประเทศฝั่งยุโรปเท่านั้นเอง   2. Corn Flakes นั้นถูกผลิตมาเพื่อหยุดยั้งการช่วยตัวเองและการมีเซ็กส์ที่มากเกินไป John Harvey Kellogg นายแพทย์ที่ต่อต้านการมีเซ็กส์และการช่วยตัวเอง ได้พยายามช่วยเหลือ “ผู้ป่วย” ที่เสพย์ติดเซ็กส์ด้วยการใช้โภชนาการบำรุงสุขภาพ เขาจึงสร้างธัญญาหารที่ทำจากข้าวโพดมาช่วยยับยั้งอาการเหล่านี้   3. Coca Cola ปัจจุบันก็ยังคงผลิตมาจากใบโคคาใช้แล้วที่มีสารโคเคน บริษัทนี้เป็นเพียงบริษัทเดียวในอเมริกาที่ได้รับอนุญาตให้สกัดโคเคนออกมาจากใบโคคาได้ สารโคเคนนั้นจะถูกจำหน่ายให้กับวงการแพทย์ ส่วนใบโคคาที่ใช้แล้วก็ถูกจำหน่ายให้กับบริษัท Coca Cola นั่นเอง   4. Puma และ Adidas ถูกก่อตั้งขึ้นโดยสองพี่น้องท้องเดียวกัน ทั้งคู่เริ่มก่อตั้งบริษัทผลิตรองเท้าด้วยกันแต่สุดท้ายก็แตกหักกันกลายเป็น 2 แบรนด์นี้นั่นเอง   5. เครือ Marriott กว่าจะมาเป็นโรงแรมหรูยักษ์ใหญ่นั้นเริ่มจากการเป็นแบรนด์แผงตั้งขายเบียร์มาก่อน  …

  • คนขับรถเมล์ประท้วงคู่แข่ง วิ่งเส้นทางทับซ้อนกัน ค่าโดยสารก็ถูกกว่า งั้นขับให้ฟรีก็แล้วกัน!?

    คนขับรถเมล์ประท้วงคู่แข่ง วิ่งเส้นทางทับซ้อนกัน ค่าโดยสารก็ถูกกว่า งั้นขับให้ฟรีก็แล้วกัน!?

    กลายมาเป็นเรื่องที่แทบจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว เมื่อการเกิดใหม่ของคู่แข่งทางธุรกิจบริการรถโดยสารประจำทางของเมืองโอกายามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่เพิ่งจะมาใหม่เพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่เริ่มจะแซงหน้าด้านบริการเจ้าเก่าไปแล้ว… กลุ่มผู้ขับรถประจำทางของเมืองโอกายามะจากบริษัท Ryobi Group ที่ได้ครองถนนหนทางภายในเมืองมาอย่างยาวนาน จึงทำการประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการขับรถไปตามเส้นทางของตน และปฏิเสธการเก็บค่าโดยสารในทุกกรณี (ขึ้นฟรี!!)   ไม่รับค่าโดยสารค่ะ!!   เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ Megurin บริษัทเดินรถเกิดใหม่อันเป็นคู่แข่งโดยตรง ได้เปิดให้บริการในเส้นทางทับซ้อนกับรถบริการของบริษัท Ryobi Group ในวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา อัตราค่าโดยสารก็ถูกกว่า แถมหน้าตาของรถก็ดูน่ารักกว่าด้วย!!   รถโดยสารประจำทางดำเนินการโดยบริษัท Megurin .   ด้วยเหตุนี้ทางด้านพนักงานขับรถของบริษัท Ryobi จึงรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคามอยู่ หากปล่อยแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ ก็เลยทำการประท้วงไปยังฝ่ายบริหารผ่านพื้นที่สาธารณะ จากกรณีคู่แข่งใหม่ที่เกิดขึ้น     แต่แทนที่จะนัดกันหยุดงาน กลับนัดกันมาเดินรถตามปกติ อีกทั้งได้นำผ้าขาวมาคลุมเครื่องเก็บค่าโดยสาร คนขับประกาศชัดเจนหลายต่อหลายครั้งบนรถโดยสารว่า จะไม่รับค่าโดยสารใดๆ ทั้งสิ้น กี่ป้ายก็ไม่ต้องจ่าย โดยสารฟรีตลอดเส้นทาง!!     แม้ว่าการเดินรถโดยไม่เก็บค่าโดยสารนั้น จะส่งผลดีต่อผู้โดยสาร เป็นการกระทำที่ได้ใจประชาชนแถมยังได้พื้นที่โฆษณาไปฟรีๆ แต่ก็ยังมีชาวเน็ตบางส่วนที่มองว่าเป็นการประท้วงที่ผิดจุด และอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์บริษัทในระยะยาว แถมยังเป็นการประท้วงที่อาจจะไปไม่ถึงระดับผู้บริหารเลยด้วยซ้ำไป…  …

  • ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ “จดหมายปฏิเสธรับเข้าทำงาน” สุดละมุน แถมมีของขวัญปลอบใจให้…

    ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ “จดหมายปฏิเสธรับเข้าทำงาน” สุดละมุน แถมมีของขวัญปลอบใจให้…

    การเอาใจใส่ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามนับว่าเป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะมองเห็น ยิ่งเป็นเรื่องของบริษัทที่กำลังมองหาคนมาร่วมงานด้วย แต่ต้องตอบปฏิเสธกลับไป เนื่องจากเหตุผลร้อยแปด มักจะจบสั้นๆ เพียงแค่บอกว่าไม่รับ หรือไม่ติดต่อกลับเลย… สำหรับบริษัท Kagome บริษัทผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเขือเทศ (ซอสมะเขือเทศและน้ำมะเขือเทศ) กลับมีวิธีการปฏิเสธผู้มาสมัครงานที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง และดูน่ารักซะด้วยสิ     ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @tutuanna888 ออกมาเปิดเผยว่า ได้รับการตอบกลับจากบริษัท Kagome โดยที่ไม่ได้มาในรูปแบบของอีเมล แต่บริษัทส่งกล่องพร้อมกับโน้ตข้อความภายในกล่อง และของขวัญปลอบใจมาให้แทน!!     โน้ตดังกล่าวมีใจความดังต่อไปนี้… “พวกเราอยากจะขอขอบคุณอย่างจริงใจ สำหรับการมาสมัครร่วมงานกับบริษัท Kagome พวกเรารู้สึกซาบซึ้งในความสนใจของท่านที่มีต่อเราในฐานะพนักงานคนหนึ่ง และสำหรับเวลาที่ใช้ไปกับการกรอกแบบฟอร์มสมัครงานและเตรียมความพร้อมของเรซูเม่ เพื่อเป็นตัวแทนความขอบคุณ เราจึงขอส่งผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมาให้ท่านโดยเฉพาะ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะคิดถึงบริษัท Kagome ในทางที่ดีต่อไปในอนาคตภายภาคหน้า”     ภายในชุดกล่องแห่งความห่วงใยนี้ ประกอบไปด้วยจดหมายแสดงความขอบคุณ ที่มาพร้อมกับไก่ปรุงรสมะเขือเทศ และขวดน้ำมะเขือเทศ 100% ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมด และยังมีข้อความเล็กๆ ที่เขียนติดบนกล่องไว้ว่า… “ของเหล่านี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากนัก แต่ขอให้มีความสุขกับสิ่งเหล่านี้พร้อมครอบครัว เพื่อน หรือคนที่คุณรัก”     โดยก่อนหน้าที่จะได้รับกล่องนี้…

  • โปรเจ็กต์ Siren เมื่อตัวละครที่เห็นไม่ใช่คนจริง แต่เป็นร่างจำแลงมนุษย์ดิจิทัล!!

    โปรเจ็กต์ Siren เมื่อตัวละครที่เห็นไม่ใช่คนจริง แต่เป็นร่างจำแลงมนุษย์ดิจิทัล!!

    นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างไม่สิ้นสุดจริงๆ โดยเฉพาะในวงการอุตสาหกรรมเกม ที่กำลังผลักดันให้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) สามารถจับต้องได้มากขึ้น… และเพื่อเป็นการผลักดันทางด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วย สิ่งที่สามารถสร้างจากคอมพิวเตอร์ได้ก็คือการทำแอนิเมชั่นให้สมจริง ซึ่งล่าสุดนี้ทางบริษัท Epic Games ร่วมกับ Cubic Motion, 3Lateral, Tencent และ Vicon ได้ทำโปรเจ็กต์ชิ้นใหม่ขึ้นมา   โปรเจ็กต์ Siren   โปรเจกต์ตัวใหม่นี้ชื่อว่า Siren ตัวตนของมนุษย์ดิจิทัล ทำการจำลองภาพแบบเรียลไทม์ ด้วยขุมพลังจากเทคโนโลยี Unreal Engine 4 พร้อมด้วยเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหวจากบริษัทคู่ค้า ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ช่วยลดเวลาในการสร้างแอนิเมชั่นบนใบหน้าและร่างกาย พร้อมกับลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก     “ทุกอย่างที่คุณเห็นนั้นถูกสร้างอยู่บน Unreal Engine ในระดับ 60 เฟรมต่อวินาที การสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลที่คุณสามารถตอบโต้และกำกับได้ในทันที คือสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่เคยเกิดขึ้น กับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กราฟิกในช่วงปีที่ผ่านมา” Kim Libreri หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท Epic Games กล่าว     สำหรับตัว…

  • Edward Snowden: เฟซบุ๊กก็เป็นแค่บริษัทสอดส่องผู้ใช้ ที่เรียกตัวเองว่า “โซเชียลมีเดีย”

    Edward Snowden: เฟซบุ๊กก็เป็นแค่บริษัทสอดส่องผู้ใช้ ที่เรียกตัวเองว่า “โซเชียลมีเดีย”

    สื่อออนไลน์ในยุคปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว หากมองเพียงผิวเผินแล้วอาจจะคิดว่าเป็นเพียงแค่พื้นที่สาธารณะที่ให้อิสระแก่ผู้คน ในการนำเสนอหัวข้อต่างๆ และการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นนั้น แต่ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งของ Edward Snowden อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมากล่าวผ่านแพลทฟอร์มทวิตเตอร์ เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของสื่อโซเชียลมีเดียระดับโลกนั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดเท่าไหร่นัก…   Edward Snowden   นาย Snowden ได้กล่าวไว้ในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “ธุรกิจที่ทำเงินจากการเก็บและขายข้อมูลส่วนตัวนั้น จะถูกจำกัดความว่าเป็น ‘บริษัทสอดส่องและเฝ้าระวัง’… แต่การรีแบรนด์เพื่อเรียกตัวเองว่า ‘โซเชียลมีเดีย’ คือวิธีการลวงที่ประสบความสำเร็จที่สุด ตั้งแต่ครั้งที่กระทรวงการสงครามสหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงกลาโหมสหรัฐ” “เฟซบุ๊กสามารถทำเงินได้ จากการใช้ประโยชน์และขายข้อมูลส่วนตัวรายบุคคลหลายล้านราย ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากความสมัครใจของคุณ และพวกเขาก็ไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นพวกสมรู้ร่วมคิด”     การออกมาทวีตในครั้งนี้ของ Snowden เกิดขึ้นหลังจากที่ทางเฟซบุ๊กได้ทำการยุติบัญชีของ Cambridge Analytica บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำงานด้านแคมเปญให้กับประธานาธิบดี Donald Trump และทางเฟซบุ๊กได้ออกมายืนยันว่าทำแค่เพียงยุติบัญชี แต่ไม่ได้ทำการลบข้อมูลที่ถูกแอบบันทึกออกไปอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งนับเป็นจำนวนข้อมูลของผู้ใช้ทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านราย อันเป็นข้อมูลส่วนตัว รวมไปถึงเพื่อนและรายชื่อผู้ติดต่อ     ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Snowden ชี้เป้ามายังเฟซบุ๊กรวมไปถึงบริษัทอื่นๆ ที่ให้บริการพื้นที่โซเชียลมีเดียกับความชะล่าใจและปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง ในส่วนของบริษัท…

  • ลูกค้าบ่น ‘ข้าวเกรียบเซ็มเบ้’ ไม่ได้คุณภาพ บริษัทตอบกลับด้วยเรียงความ อธิบายให้กระจ่างชัด!!

    ลูกค้าบ่น ‘ข้าวเกรียบเซ็มเบ้’ ไม่ได้คุณภาพ บริษัทตอบกลับด้วยเรียงความ อธิบายให้กระจ่างชัด!!

    ขนมข้าวเกรียบของชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ขนมเซ็มเบ้ เป็นขนมที่สร้างความเพลิดเพลินได้ดีทีเดียวยามขบเคี้ยวเวลาว่าง เนื่องจากความกรอบและความอร่อย แถมเมื่อเราห่อด้วยสาหร่ายด้วยแล้วยิ่งไม่แคล้วที่จะต้องกินแล้วกินอีก เจ้าเซ็มเบ้ชิ้นกลมๆ มักมาในซองขนมขนาดใหญ่ แต่เมื่อหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งใช้ชื่อทวิตเตอร์ว่า @moyu1001 ได้เปิดซองขนมเซ็มเบ้ของเธอ นั่นทำให้พบเจอ “จุดสีดำๆ” จุดดำดังกล่าวอยู่บนเซ็มเบ้ชิ้นหนึ่ง เธอจึงไม่มั่นใจว่านั่นคือรอยไหม้ รอยแต้มสี หรือรา กันแน่ เธอจึงตัดสินใจส่งทั้งซองขนมกลับไปเพื่อแจ้งปัญหาให้กับผู้ผลิต ซึ่งก็คือ Kameda Seika   และเธอก็ได้โพสต์ภาพคำอธิบายปัญหาจากทางฝ่ายบริษัทผู้ผลิตที่ตอบกลับมา   .   เนื้อหาที่ทางบริษัทตอบกลับมานั้น มีใจความว่า… “ถึงคุณผู้หญิงที่เคารพ ทางเราหวังว่าจะได้ยินดีกับความสำเร็จของคุณในอนาคต และต้องขอบพระคุณอย่างสูงที่อุดหนุนผลิตภัณฑ์ของเรา พวกเราเสียใจกับสิ่งที่คุณพบเจอ เช่น ความไม่พึงพอใจที่เกิดจากขนมเซ็มเบ้ยี่ห้อ Magari ทั้ง 18 ชิ้นของพวกเรา และเราต้องขออภัยอย่างสูงพร้อมทั้งต้องขอบคุณจากใจจริงที่บอกกล่าวให้เราทราบถึงปัญหานี้ เราได้รับสินค้าจากคุณในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2018″ มีต่อ   เนื้อหาในจดหมายนั้นเต็มไปด้วยความสุภาพและอ่อนน้อม เป็นใครเห็นก็ต้องยอมให้อภัยแน่นอน   “1. การยืนยันสินค้า ทางบริษัทได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจดูตัวอย่างที่คุณกรุณาจัดส่งกลับมาให้ เราสามารถยืนยันได้ว่าไม่มีร่องรอยของการขึ้นราอย่างแน่นอน และเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทางเราได้ส่งผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ไปยังฝ่ายตรวจสอบคุณภาพสินค้า เพื่อทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีที่เรียกว่า Fourier Transform Infrared (FTIR)…

  • สองหนุ่มพี่น้อง เจ้าของกิจการ ‘ขนย้ายของ’ ฮีโร่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้หลุดพ้นการถูกกดขี่

    สองหนุ่มพี่น้อง เจ้าของกิจการ ‘ขนย้ายของ’ ฮีโร่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้หลุดพ้นการถูกกดขี่

    เรื่องราวน่าประทับใจที่จะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสองพี่น้องชายหนุ่มที่ทำอาชีพรับจ้างขนของแถมยังคอยช่วยเหลือผู้คน ราวกับว่าพวกเขา เป็น “ฮีโร่” กันเลยทีเดียว ในรัฐแคลิฟอร์เนียปี 1997 สองพี่น้อง Aaron Steed และ Evan ได้ก่อตั้งกิจการ “ขนย้ายของ” ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เนื่องจากในขณะนั้นทั้งคู่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ทำให้พวกเขาต้องพบเจอปัญหาในการหางานเสริมที่มีเวลาตรงกับตารางเวลาที่แน่นขนัดของพวกเขา แต่พวกเขายังคงต้องการเงินที่จะมาส่งตัวเองเรียน ทำให้วันหนึ่งหลังจากที่พวกเขาถูกจ้างโดยพ่อของเพื่อนให้ไปช่วยขนย้ายข้าวของออกจากบ้าน พวกเขาจึงตัดสินใจก่อตั้งกิจการขนย้ายของโดยใช้ชื่อว่า “Meathead Movers”     กิจการของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทขนย้ายของที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัวอีกด้วย หลังจากที่ Aaron กับ Evan ก่อตั้งกิจการได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาที่บริษัทจำนวนหนึ่ง ผู้ติดต่อเผยว่าพวกเขาถูกกดขี่และทำร้ายภายในบ้าน ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่มีเงินแถมยังแทบจะไม่มีหวังที่จะออกจากสภาวการณ์ที่ถูกกดขี่เช่นนั้น แต่สองพี่น้องคู่นี้คิดว่าอย่างไรก็ต้องช่วยเหลือคนพวกนั้นให้ได้ หากว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาขอความช่วยเหลือให้สามารถหลบหนีออกจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในบ้านได้ล่ะก็ สองพี่น้องก็จะช่วยเหลือโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และไม่มีคำถามใดๆ ทั้งนั้น “ตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ให้การบริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับเหยื่อของความรุนแรงภายในบ้าน” Evan กล่าว     สองพี่น้องนึกได้ถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่ติดต่อเข้ามาเมื่อหลายปีก่อน เธอเล่าว่าเธอถูกทำร้ายโดยคนรักเก่าของเธอแทบจะทุกวัน และยังถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายลูกสาวและหลานของเธออีกด้วย จากนั้นบริษัท Meathead ก็เข้ามาช่วย พวกเข้าเข้ามานำตัวหญิงสาวพร้อมลูกสาวและหลานของเธอหนีออกจากบ้านหลังเดิม เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังเตรียมที่นอนพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นให้กับที่พักแห่งใหม่สำหรับหญิงสาวและเด็กๆ แถมยังเอาดอกไม้ใส่กระถางมาให้เป็นของขวัญต้อนรับเข้าสู่บ้านใหม่อีกด้วย จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาได้แพร่กระจายออกไป และหนุ่มๆ ในบริษัทก็เข้ามาทำหน้าที่ตามคำปฏิญาณที่ตั้งใจเอาไว้…

  • กราบใจเจ้านาย… ยังคงจ่ายเงินลูกน้องรุ่นแรกทุกเดือน แม้ว่าเขาจะขอลาออกไปแล้วก็ตาม

    กราบใจเจ้านาย… ยังคงจ่ายเงินลูกน้องรุ่นแรกทุกเดือน แม้ว่าเขาจะขอลาออกไปแล้วก็ตาม

    ด้วยยุคสมัยในสังคมปัจจุบัน ที่เพียงแค่ก้าวขาออกจากบ้านก็อาจจะเสียเงินได้แล้ว ทำให้คนส่วนใหญ่จึงต้องทำงานเพื่อแลกกับเงินเอาไว้อยู่ไว้กิน ซึ่งถ้าหากไม่มีงานก็ย่อมไม่มีเงินเอาไว้ใช้สอยเป็นธรรมดา แต่เรื่องนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับชายคนหนึ่ง ที่อาจจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะถึงแม้จะลาออกจากการเป็นพนักงานแล้ว แต่เจ้านายก็ยังจ่ายเงินเดือนเหมือนกับสมัยที่ยังทำงานอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง!!     โดยเรื่องราวอันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นกับนาย Tang Jianguo พนักงานขับรถบัสของบริษัทเดินรถแห่งหนึ่งทางตะวันออกของประเทศจีน โดยจุดเริ่มต้นของการได้รับเงินเดือนแม้ไม่ต้องทำงานที่ว่านี้ เริ่มมาจากเมื่อ 5 ปีก่อนที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกี่ยวกับไตอย่างรุนแรง ซึ่งตัวเขาเกรงว่าจะไม่สามารถทำงานได้เหมือนแต่ก่อน และไม่อยากให้เป็นภาระของทางบริษัท จึงตัดสินใจลาออกเพื่อไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้เจ้านายใจดีของเขา ตัดสินใจจ่ายเงินเดือนให้กับเขาดังเดิม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำงานแม้แต่ชั่วโมงเดียวก็ตาม เพราะเจ้านายคนนี้รู้ดีว่า การรักษาอาการของโรคนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย และ Tang ก็คงไม่สามารถไปทำงานที่อื่นได้อีกต่อไป เขาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ลูกน้องของเขาคนนี้สามารถมีชีวิตอยู่รอดในสังคมนี้ต่อไปได้     ตามการรายงานจากสื่อ China Press ระบุว่าชายสกุล Tang วัย 49 ปี นั้นเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกของบริษัทเอเจนซี่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในเมืองฉางโจว มลฑลเจียงซู ประเทศจีน ในตอนที่เขาเข้าร่วมนั้นบริษัทแห่งนี้มีอายุเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น และ Tang ก็ได้ทำงานให้กับบริษัทนี้ในตำแหน่งคนขับรถ ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ทว่าก็เกิดโชคร้ายขึ้นกับเขาในปี 2012 เมื่อเขาได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นภาวะ Uremia (อาการเป็นพิษในเลือด) จึงทำให้เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลกว่า 3…

  • หนุ่มถูกบริษัทปฏิเสธสมัครงาน “จบป.ตรี 3 สถาบันนี้ บริษัทไม่สะดวกรับ” ชาวเน็ตร่วมดราม่า!!

    หนุ่มถูกบริษัทปฏิเสธสมัครงาน “จบป.ตรี 3 สถาบันนี้ บริษัทไม่สะดวกรับ” ชาวเน็ตร่วมดราม่า!!

    กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางจากประเด็นของภาพอีเมลที่เปิดเผยโดย ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อว่า นับหนึ่ง ครับผม ครับผม ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นการตอบกลับจากบริษัทแห่งหนึ่งในหัวข้อของการสมัครงาน     โดยทั่วไปแล้ว การปฏิเสธรับสมัครงานจากบริษัทนั้นจะใช้รูปประโยคที่ไม่สื่อความหมายโดยตรง ให้เหตุผลแบบรักษาน้ำใจของผู้สมัคร แต่สำหรับบริษัทแห่งนี้กลับระบุชัดเจนให้รู้เลยว่า ‘ไม่สะดวกรับพนักงานวุฒิ ป.ตรี ม.ราชมงคล/ราชภัฏ/เอกชน     โดยหลังจากที่มีการโพสต์รูปภาพดังกล่าวออกไป ก็ถูกแชร์ต่อไปอีกจำนวนมาก และมีชาวเน็ตต่างร่วมแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง อย่างเช่นบริษัทน่าจะให้เหตุผลที่ดีกว่านี้ มีทัศนคติที่แคบ ฯลฯ   . . . .   แต่ก็มีความเห็นจากชาวเน็ตอีกส่วนที่มองว่าเป็นสิทธิ์ของบริษัทที่ตัดสินใจให้เป็นแบบนี้ รวมไปถึงในเรื่องของภาษีจากชื่อของสถาบันการศึกษาที่มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานเช่นกัน   .   ที่มา : นับหนึ่ง ครับผม ครับผม

  • หอการค้าญี่ปุ่นเผย กว่า 60% ของบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ประสบภาวะขาดคนทำงานอย่างหนัก

    หอการค้าญี่ปุ่นเผย กว่า 60% ของบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ประสบภาวะขาดคนทำงานอย่างหนัก

    การมองหางานในประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับชาวต่างชาติ เพราะความแตกต่างของวัฒนธรรมและภาษาที่ใช้ อีกทั้งบริษัทต่างๆ ก็ได้ตั้งมาตรฐานสำหรับพวกเขาเอาไว้สูงมาก แต่ตอนนี้พวกเขาอาจต้องนำเรื่องนี้มาแก้ไขกันใหม่ เมื่อผลสำรวจออกมาว่าบริษัทจำนวนมากในประเทศกำลังขาดแคลนคนทำงานอย่างหนัก จากการศึกษาของฝ่าย หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (หรือเรียกว่า JCCI) บอกว่า กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางของประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนพนักงานอย่างหนัก     Akio Mimura ประธานฝ่ายดังกล่าวได้เสนอให้รัฐบาลลดมาตรฐานการรับคนต่างชาติเข้าทำงาน เพราะการรับสมัครแต่ชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงและเข้มงวด แถมยังต้องมีทักษะการพูดภาษาญี่ปุ่นที่ดีเยี่ยม ทั้งหมดนั้นทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนคนทำงานแบบนี้มากขึ้น     Akio จึงได้แนะนำให้รัฐบาลดึงชาวต่างชาติที่ไม่มีหรือมีทักษะการทำงานต่ำเข้ามาทำในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้างและการขนส่งคมนาคม เพื่อลดช่องว่างของปัญหานี้ให้เล็กลง นายกรัฐมนตรีของประเทศ Shizo Abe ก็ตั้งใจว่าจะลดมาตรฐานในการรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานลง และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายความเป็นอยู่ของประชาชนหรือการบริหารประเทศแต่อย่างใด     ขณะเดียวกันชาวเน็ตญี่ปุ่นกลับคิดว่าปัญหาขาดแคลนคนทำงานเกิดจากเงินเดือนที่น้อยนิดมากกว่าเรื่องของชาวต่างชาติ “ผลลัพธ์จะออกมาดีกว่านี้ถ้าหากมีการขึ้นเงินเดือนให้” “การแก้ปัญหาแบบนั้นก็เหมือนกับเรานำเข้าทาสชาวต่างชาติที่สามารถทนรับเงินเดือนอันน้อยนิดได้” “นี่ก็เพราะไม่มีการขึ้นค่าแรงให้กันบ้างเลย ช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ทีเถอะ” “บริษัทเล็กและกลางจ่ายเงินเดือนให้น้อยมากๆ จึงไม่แปลกที่จะหาคนเข้ามาทำงานไม่ได้” “ทุกคนเข้าใจมั้ย? พวกเขาก็แค่อยากได้ทาสเข้ามาเท่านั้นเอง!”     ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นก็อาจเป็นได้จากทั้งสองเหตุผล แต่นี่ก็อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับชาวต่างชาติผู้ต้องการเข้าไปทำงานในประเทศนี้ก็ได้   ที่มา: rocketnews24

  • ทัวร์โรงงานผลิตกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปลี่ยนจากโรงงานร้าง สร้างงานสร้างรายได้ใหม่!!

    ทัวร์โรงงานผลิตกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปลี่ยนจากโรงงานร้าง สร้างงานสร้างรายได้ใหม่!!

    กัญชายังคงเป็นพืชผิดกฎหมายในบ้านเรา แต่ในบางประเทศมันเป็นสมุนไพรที่สามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างเช่นประเทศแคนาดา ที่มีบริษัทผู้ผลิตกัญชารายใหญที่สุดในโลกตั้งอยู่!! บริษัทนี้มีชื่อว่า Canopy Growth เป็นผู้ผลิตกัญชาออกจำหน่ายเพื่อนำไปใช้ในทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย และบริษัทของเขายังเจาะกลุ่มลูกค้าได้มากถึง 1 ใน 3 จากสถานพยาบาลและผู้ป่วยกว่า 200,000 แห่งในแคนาดา ทำให้กลายเป็นผู้จำหน่ายกัญชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก วันนี้เราจึงมาพาเพื่อนๆ ไปชมบรรยากาศภายในโรงงานหลักที่ตั้งอยู่ในเมือง Smiths Falls รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ภายในโรงงานจะเป็นอย่างไรกันบ้างไปดูกันเลยจ้าาา   บริษัทแห่งนี้มีโรงงานตั้งอยู่หลายแห่งทั่วแคนาดา แต่ที่เราพามาดูคือโรงงานหลักของเขา   ที่นี่เคยเป็นโรงงานบริษัทช็อกโกแลตชื่อดัง Hershey ก่อนที่จะกลายเป็นโรงงานร้าง ต่อมาบริษัทกัญชาจึงเข้ามาปรับปรุงและพัฒนาจนยิ่งใหญ่   โรงงานมีการดูแลผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นให้มีคุณภาพ   Bruce Linton ผู้ก่อตั้งบริษัทในปี 2014 เป็นคนที่สามารถสานต่อแนวทางของตัวเองให้ประสบความสำเร็จ   การตรวจเช็คสินค้าทุกชิ้นก่อนส่งออกไปให้ลูกค้าแต่ละราย   ทางโรงงานจะทำทุกขั้นตอนตั้งแต่ปลูก เก็บเกี่ยว ไปจนถึงแพ็คอย่างดีส่งไปให้บริษัทลูกค้ารายย่อยอื่นๆ   หนึ่งในนั้นคือ Tweed เจ้าของผลิตภัณฑ์กัญชาสำหรับใช้ในทางการแพทย์ ที่มีบรรจุภัณฑ์อันทันสมัยจนอาจเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเจลใส่ผมของผู้ชาย   และยังมีอีกหลากหลายบรรจุภัณฑ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์จากของแต่ละบริษัทย่อย   หากพูดถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทแห่งนี้…

  • ต้นกำเนิดของ “แฟนต้า” ที่ไม่อาจผลิตโคล่าในเยอรมันได้ จากวิกฤตนาซียึดครองประเทศ…

    ต้นกำเนิดของ “แฟนต้า” ที่ไม่อาจผลิตโคล่าในเยอรมันได้ จากวิกฤตนาซียึดครองประเทศ…

    แฟนต้า (Fanta) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มน้ำอัดลมประเภทแต่งกลิ่นและสีเป็นน้ำผลไม้ ที่มีมากกว่า 100 รสชาติทั่วโลก แถมยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลายคนอาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่าปัจจุบัน บริษัท โคลา-โคล่า (Coca-Cola) นั้น เป็นเจ้าของแฟนต้า แต่ความจริงแล้วน้อยคนที่จะรู้ว่าจุดกำเนิดของแฟนต้า ได้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2     เมื่อพรรคนาซีเยอรมันถูกคว่ำบาตรจากกลุ่มพันธมิตร ทำให้น้ำอัดลมโคคาโคล่าที่ผลิตและขายในเยอรมันได้รับผลกระทบอย่างหนักตามไปด้วย และนั่นก็ทำให้ทางบริษัทผู้ผลิตโคคา-โคล่าในเยอรมันต้องพบกับวิกฤตครั้งใหญ่ โดยไม่สามารถนำเข้าไซรัปซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตมาจากอเมริกาได้ ถึงขนาดที่ในตอนนั้นไม่มีโคคา-โคล่าออกวางจำหน่ายเลยแม้แต่ขวดเดียว     ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Max Keith หัวเรือใหญ่ของโคคา-โคล่าในเยอรมัน จึงได้ปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ โดยมีเพียงทางเลือกเดียวก็คือ การคิดค้นเครื่องดื่มใหม่ขึ้นมาทดแทน Max ได้ทำการผลิตหัวเชื้อน้ำหวานจากน้ำตาล ผสมกับกากผลไม้ขึ้นมาเอง พร้อมกันนี้เขายังได้ทำการประกวดตั้งชื่อเครื่องดื่มใหม่นี้จากพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับการประกวดในครั้งนี้ที่ว่า ‘ต้องใช้จินตานาการ’ ในการตั้งชื่อ และคำว่าจินตนาการในภาษาเยอรมันคือคำว่า “fantasie” จนกลายมาเป็นชื่อว่า “แฟนต้า” ที่เราได้ยินมาจนถึงทุกวันนี้     แน่นอนว่าเครื่องดื่มแฟนต้าที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุด ก็ได้รับความนิยมจากผู้คนเยอรมันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวเยอรมันไม่อาจหาเครื่องดื่มโคคา-โคล่า มาดับกระหายได้ นอกจากจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามภายในเยอรมันแล้ว เครื่องดื่มแฟนต้าก็กลายเป็นที่นิยมของชาวยุโรปอย่างรวดเร็ว ถึงกับขนาดที่ว่าใช้ปรุงอาหารแทนน้ำตาลกันเลยล่ะ…  …

  • รู้จักต้นกำเนิดแห่งความยิ่งใหญ่ ของแบรนด์ดังระดับโลกทั้ง 16 ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน…

    รู้จักต้นกำเนิดแห่งความยิ่งใหญ่ ของแบรนด์ดังระดับโลกทั้ง 16 ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน…

    บางครั้งการจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นั้นก็มาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เหมือนกับที่พวกเราเคยได้ยินกันว่า “นกที่ตื่นเช้าจะได้กินหนอนตัวอ้วนๆ “ แฮร่!! ใช่ที่ไหนล่ะเฮ้ย… “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มักมาจะจุดเริ่มต้นเล็กๆ เสมอ” ต่างหากล่ะ ฮ่าๆ และเพื่อนๆ เคยรู้กันบ้างไหมว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั้น บางบริษัทก็มีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจบางอย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงอย่างเช่น 16 บริษัทต่อไปนี้   1. รู้หรือไม่ ก่อนที่จะมาถึงทุกวันนี้ Sony Corporation เคยเป็นโรงงานผลิตหม้อหุงข้าวมาก่อน   2. หรือบริษัทอย่าง LG เองก็เริ่มต้นมาจากการขายผงขัดฟัน   3. ก่อนที่จะมีรายได้หลักจาการผลิตโทรศัพท์ Nokia เองก็เคยขายกระดาษและรองเท้ายางมาก่อน   4. Toyota นั้นเริ่มต้นมาจากการผลิตจักรเย็บผ้านะ และทุกวันนี้พวกเขาก็ยังคงผลิตอยู่   5. หรือเจ้าของ IKEA อย่าง Ingvar Kamprad ก็เริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยการขายไม้ขีดไฟและสินค้าราคาถูกมาก่อน   6. บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Sharp เองก็เริ่มมาจากการผลิตดินสอ   7. น้อยคนนักที่จะรู้ว่า BMW นั้นเคยเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินมาก่อน   8.…

  • พาไปเยี่ยม 9 บริษัทสุดเจ๋งที่ใครๆ ก็อยากเข้าไปทำงานด้วยมากที่สุด สวัสดิการดีเวอร์!!

    พาไปเยี่ยม 9 บริษัทสุดเจ๋งที่ใครๆ ก็อยากเข้าไปทำงานด้วยมากที่สุด สวัสดิการดีเวอร์!!

    ผู้จัดการส่วนใหญ่อาจจะมองเห็นว่ารายได้นั้นสำคัญกว่าพนักงาน แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้มองข้ามความสำคัญหลักไปว่า แท้จริงแล้วความสุขของเหล่าพนักงานก็ช่วยส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัทเหมือนกันนะ เหมือนดังเช่น 9 บริษัทเหล่านี้ ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นบริษัทในฝันที่ใครๆ ต่างก็อยากจะมาร่วมงานด้วย เพราะนอกจากเป็นงานที่มั่นคงแล้ว สวัสดิการยังดี๊ดีอีกด้วย ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่าจะมีบริษัทไหนกันบ้าง   คุณชาตรี ตรีศิริพิศาล ทุ่มเงินกว่า 17 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าทริปให้พนักงานกว่า 100 คนไปพักผ่อนที่มัลดัฟส์ คุณชาตรี ตรีศิริพิศาล นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ได้ทุ่มเงินมากถึง 400,000 ปอนด์ หรือราวๆ 17 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าทริปพักผ่อนประจำปีของบริษัทให้กับพนักงานกว่า 100 ชีวิต ได้ไปท่องเที่ยวที่รีสอร์ทหรูใจกลางทะเลที่เกาะมัลดีฟส์ ทั้งนี้ การที่เขาได้ตัดสินใจพาพนักงานไปเที่ยวพักผ่อนนั้น เพื่อเป็นการมอบความสุขให้กับเหล่าพนักงาน เพราะพวกเขาสามารถเพิ่มรายได้ให้บริษัทในแต่ละปีได้ถึง 30% และนี่ก็ไม่ใช่ทริปแรก เพราะคุณชาตรี ได้จัดเตรียมวันหยุดให้กับพนักงานเอาไว้ล่วงหน้า และเก็บเป็นความลับอยู่เสมอ แต่สิ่งเดียวที่พนักงานรู้ก็คือ พวกเขาสามารถคาดเดาได้เลยว่าทริปต่อไปจะต้องได้ไปพักผ่อนในโรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาวอย่างแน่นอน   บริษัทผู้ผลิตคราฟท์เบียร์ ให้พนักงานสามารถลางานไปดูสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ได้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ BrewDog บริษัทผู้ผลิตคราฟท์เบียร์สัญชาติสก็อตแลนด์ ได้มอบสวัสดิการให้กับพนักงาน…

  • บริษัทไทยอนุญาตให้พนักงาน พาน้องหมามาทำงานด้วยได้ ช่วยสร้างบรรยากาศให้ยิ่งแฮปปี้!!

    บริษัทไทยอนุญาตให้พนักงาน พาน้องหมามาทำงานด้วยได้ ช่วยสร้างบรรยากาศให้ยิ่งแฮปปี้!!

    ในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมในการทำงานต่างๆ มากมาย ด้วยการทำงานในออฟฟิศบริษัทนั้นต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันต่างๆ เพื่อให้ประสิทธิภาพในการทำงาน และแรงจูงใจของพนักงานเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนอย่างบริษัทหนึ่งที่อนุญาตให้พนักงานทุกคนสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาได้ โดยเฉพาะน้องหมาแต่ละสายพันธุ์ ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกลเลยเพราะบริษัทดังกล่าวนั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ บ้านเรานี่เอง     Adyim คือบริษัทรับทำการตลาดในสื่อมีเดียที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน กับเรื่องที่ดูจะไม่น่าธรรมดา เมื่อภาพที่เห็นคือพนักงานหลายคนอุ้มน้องหมามาทำงานในบริษัทด้วย ไม่ว่าจะได้เห็นน้องหมาวิ่งเล่นไปรอบๆ นอนอยู่บนตักเจ้าของ หรือว่าจะเป็นการทำงานไปก็นั่งลูบหัวเหล่าหมาตัวน้อยทั้งหลายไปก็เพลินไปอีกแบบ ช่างเป็นบรรยากาศการทำงานที่ดูน่ารักได้อีกกกก!!     เรื่องนี้นั้นผู้จัดการบริษัทได้รับแรงบันดาลใจมาจากบริษัท Ferray ในประเทศญี่ปุ่น ที่กระตุ้นให้พนักงานพาน้องเหมียวมาทำงานด้วยเหตุผลเดียวกัน เกิดผลลัพธ์ที่ช่วยลดความเครียดและสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยมินนิโซตาพบว่าการมีสัตว์เลี้ยงนั้นจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่บริษัทนี้ได้รับเช่นกัน     ปัจจุบันนั้นสถานที่นี้คือที่แรกของพนักงานหลายๆ คนให้ได้ทำความสนิทสนมกับน้องหมาจนตอนนี้มีน้องหมาในบริษัททั้งหมด 16 ตัว วิ่งเล่นเห็นกันเป็นเรื่องปกติเลยทีเดียว     พนักงานหลายคนก็ได้มาแสดงความคิดเห็นในทางที่ดีต่างๆ มากมาย หรือแม้แต่บางคนที่ก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ไม่ได้เลี้ยงหมา หรืออาจจะไม่ชอบเสียงเห่าของพวกมันซักเท่าไหร่ แต่อยู่ไปอยู่มาก็เปลี่ยนใจและไปหาน้องหมามาเลี้ยง พามาเที่ยวเล่นที่บริษัทด้วยกันเลย     บรรยากาศการทำงานคงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ประสิทธิภาพการทำงานเลย หากเรามีความสุขในขณะที่ทำสิ่งต่างๆ ก็จะทำให้หลายอย่างมันสนุกและสุขไปด้วย ที่มา: odditycentral

  • บริษัทในอินเดียเริ่มปรับตัว ให้พนักงานหญิง ‘ลาช่วงประจำเดือน’ ไม่ต้องทนปวดมาทำงาน

    บริษัทในอินเดียเริ่มปรับตัว ให้พนักงานหญิง ‘ลาช่วงประจำเดือน’ ไม่ต้องทนปวดมาทำงาน

    แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่มีวันได้สัมผัสความเจ็บปวดของการเป็นประจำเดือน แต่เราก็พอจะเข้าใจได้ว่าเมื่อไหร่ที่ช่วงนั้นของเดือนมาถึง เราไม่ควรปล่อยให้สาวๆ ต้องทำงานหนัก และดูเหมือนว่าปัญหาด้านนี้จะเป็นที่ตระหนักถึงมากขึ้นในประเทศอินเดีย เพราะหลายๆ บริษัทเอกชนเริ่มปรับตัวหันมาเพิ่มวันลาหยุดให้แก่พนักงานผู้หญิงในช่วงวันนั้นของเดือน     Culture Machine เป็นหนึ่งในตัวอย่างบริษัทที่เพิ่มนโยบายนี้ให้พนักงานหญิงกว่า 75 ชีวิต หลังจากที่บริษัทได้ปล่อยคลิปวิดีโอเป็นภาพของพนักงานสาวพูดถึงการทำงานในช่วงวันนั้นของเดือน นอกจากนั้นบริษัทดังกล่าวยังส่งเรื่องไปถึงกระทรวงพัฒนาสตรีและเด็ก และกระทรวงเพื่อเรียกร้องให้มีการเพิ่มสวัสดิการดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างทั่วประเทศ     สำหรับเรื่อง ‘ประจำเดือน’ ของหญิงสาวในอินเดียนั้นถือว่าเป็นปัญหาที่ผูกติดอยู่กับประเพณีดั้งเดิมมาอย่างช้านาน ยกตัวอย่างเช่นทางความเชื่อของชาวฮินดู จะมีประเพณี Chhaupadi ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่ยังปฏิบัติกันอยู่ในหลายๆ พื้นที่ชนบทของประเทศ โดยมีความเชื่อที่ว่า ‘หญิงสาวที่เป็นประจำเดือนถือเป็นสิ่งสกปรก’ และพวกเธอจะต้องถูกขับไล่ให้ออกไปนอนนอกบ้าน และนั่นก็นำมาซึ่งข่าวโศกนาฎกรรมการเสียชีวิตของหญิงสาวตามชนบทที่มักจะเห็นได้บ่อยๆ ในสื่ออินเดีย   คลิปวิดีโอที่บริษัทให้พนักงานออกมาพูดถึง ความยากลำบากในการทำงานระหว่างเป็นประจำเดือน   นอกจากเรื่องประจำเดือนแล้ว อินเดียยังขึ้นชื่อในเรื่องของการกดขี่สิทธิทางเพศมาอย่างช้านาน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าจากกระแสดังกล่าวอาจทำให้สังคมอินเดียหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่บางประเทศทางฝั่งเอเชียอย่างเช่น ญี่ปุ่น และไต้หวัน การเพิ่มสวัสดิการลาหยุดช่วงประจำเดือนให้แก่พนักงานสาวถือว่าเป็นสิ่งที่บริษัทต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด     ไหนจะต้องรับมือกับความเจ็บปวด อารมณ์ที่แปรปรวนอีก ถ้ายังต้องมาทำงานอยู่ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะเนี่ย ที่มา: Reuters

  • เทรนด์แปลกๆ เมื่อนักธุรกิจจีนหันมาจ้างหน้าม้า “ฝรั่ง” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ธุรกิจ!?

    เทรนด์แปลกๆ เมื่อนักธุรกิจจีนหันมาจ้างหน้าม้า “ฝรั่ง” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ธุรกิจ!?

    ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาในประเทศจีนมีเศรษฐกิจด้านนิคมอุตสาหกรรม และบ้านจัดสรรผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด และสิ่งหนึ่งที่กลุ่มนักลงทุน (เจ้าของกิจการ) มักจะทำเพื่อสร้างมูลค่า และเพื่อให้บริษัทดูมีความอินเตอร์เนชั่นแนลก็คือการจ้างฝรั่งเข้ามามีส่วนในภาคธุรกิจ เทรนด์ดังกล่าวกลายเป็นที่นิยมอย่างสูงในสังคมจีน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นพนักงานต้อนรับ จ้างมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัว หรือแม้แต่จ้างมาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางมาเปิดงานแบบปลอมๆ!?   เรียกได้ว่าชาวตะวันตกหลายๆ คนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนระยะยาว ต่างก็เคยสัมผัสงานนี้กันมาแล้วทั้งนั้น   David Borenstein หนุ่มชาวตะวันตกผู้ใช้ชีวิตอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ และคร่ำวอดในการเป็นหน้าม้ามาแล้วหลายอีเว้นท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ทุกอย่างมันง่ายครับ เราแค่ติดต่อบริษัทเอเจนซี่และเมื่อไหร่ที่มีงานพวกเขาก็จะโยนมาให้เรา หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมากพวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน หรือจบการศึกษาไหนมา พวกเขาสนแค่รูปพรรณสัณฐาน เราแค่ทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือเหมือนกับว่าเป็นนักธุรกิจจากต่างชาติจริงๆ”   เบื้องหน้าพวกเขาต้องสวมบทบาทเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ หรือหุ้นส่วนบริษัทจากต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทนั้นๆ ดูดีมีความน่าเชื่อถือ   Li Bonchuan นักวิจัยด้านวัฒนธรรมได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า กระแสดังกล่าวสามารถสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในอัตลักษณ์ตนเองของชาวจีน บวกกับโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับมาจากชาติตะวันตก ทำให้เทรนด์ดังกล่าวได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ในโลกของธุรกิจเท่านั้นที่มีการจ้างชาวตะวันตกมาเป็นหน้าม้า เพราะในกลุ่มวัยรุ่นชาวจีนที่ครอบครัวร่ำรวยก็มักจะว่าจ้างชาวต่างชาติวัยใกล้เคียงกันให้ไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนร่วมก๊วน เพื่อให้ตัวเองดูโก้เก๋กว่าคนอื่นๆ   ภาพจากรายของเว็บไซต์ VICE เผยให้เห็นถึงชาวต่างชาติที่ไปรับหน้าที่เป็นเพื่อนนั่งดื่มให้กับวัยรุ่นชาวจีน   Jonathan Zatkin ชาวอเมริกันผู้อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่งมานหลายปี ได้เปิดเผยข้อมูลกับสื่อ CNN…

  • บริษัทในสวีเดน ฝังไมโครชิพให้กับพนักงาน อ้างว่าเพื่อการทำงานที่สะดวกกว่าเดิม!?

    บริษัทในสวีเดน ฝังไมโครชิพให้กับพนักงาน อ้างว่าเพื่อการทำงานที่สะดวกกว่าเดิม!?

    หลังจากที่เราเห็นข่าวเทคโนโลยีล้ำๆ ที่ขยันมีมาอัพเดทกันให้เห็นทุกวันแล้ว เชื่อเถอะว่านี่อาจจะเป็นอีกข่าวการอัพเดทที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของคนเหล็ก เพราะบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสวีเดน Epicenter ได้ออกนโยบายฝังไมโครชิพให้แก่พนักงาน (ที่สมัครใจ) โดยเคลมว่านวัตกรรมสุดล้ำชิ้นนี้ จะช่วยทำให้ชีวิตการทำงานในออฟฟิศสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม!!   โดยไมโครชิพดังกล่าวจะถูกฝังไว้ตามบริเวณที่เห็นในภาพ   อันที่จริงนวัตกรรมการฝังไมโครชิพที่มีขนาดเล็กเท่าเม็ดข้าวสาร ถูกนำมาใช้เพื่อระบุตัวตน หรือข้อมูลของสัตว์เลี้ยงในหลายๆ ประเทศมานานแล้ว จนกระทั่งเมื่อปี 2015 บริษัท Epicenter ก็ได้ออกนโยบายเชิญชวนพนักงานให้ไปฝังไมโครชิพ ซึ่งจะช่วยให้พนักงานสามารถจัดเก็บข้อมูลเวลาการทำงานได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ ในบริษัทที่ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน   เมื่อนำไมโครชิพมาเทียบกับเหรียญ จะเห็นได้ว่ามีขนาดที่เล็กมาก   เรียกได้ว่าพนักงานคนไหนที่ยอมฝังไมโครชิพชิ้นนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องห้อยบัตรประจำตัวเพื่อเข้าออกตึก หรือโรงอาหาร และไม่จำเป็นต้องสแกนบัตรตอนเข้าออกงานอีกต่อไป ‘ประโยชน์สูงสุดที่พนักงานจะได้รับก็คือความสะดวกสบาย เพียงฝังไมโครชิพไว้แค่อันเดียว ก็สามารถทดแทนอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเครดิตการ์ด หรือกุญแจออฟฟิศก็ตาม’ Patrick Mesterton CEO ประจำบริษัทให้สัมภาษณ์     สำหรับที่บริษัทแห่งนี้การฝังไมโครชิพจึงเป็นเหมือนประเพณีอย่างหนึ่ง และทางบริษัทก็ยินดีที่จะมอบนโยบายนี้ให้กับพนักงานทุกคนฟรี (แค่คุณสมัครใจ) Hannes Sjoblad หนึ่งในพนักงานที่สมัครใจฝังไมโครชิพได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ‘ทุกวันนี้รอบตัวเราเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ มากมายเต็มไปหมด และมันก็คงจะดีกว่าถ้าเราเปลี่ยนจากการจำรหัสผ่าน มาเป็นการสแกนชิพในมือเราแทน’…

  • 13 แบรนด์ดัง ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘โรงจอดรถ’ จนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก!!!

    13 แบรนด์ดัง ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘โรงจอดรถ’ จนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก!!!

    ก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าการทำธุรกิจนั้นมันไม่ได้เริ่มต้นมาแล้วประสบความสำเร็จเลย ซึ่งแบรนด์ดังหลายๆ แบรนด์จากทั่วโลกต่างก็มีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งเล็กๆ เช่นเดียวกัน แต่ด้วยความพยายาม และความุมานะ พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ก็เลยทำให้พวกเขากลายมาเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ วันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปชมภาพโรงงานในอดีตของเหล่าแบรนด์ดังทั้งหลายจากทั่วโลก ให้ทุกคนรู้ไว้ว่าก่อนที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างบ้านหลังเก่าๆ เช่นเดียวกัน   1. Amazon ย้อนกลับไปในปี 1994 ที่เป็นยุคบุกเบิกของการใช้อินเตอร์เน็ต คุณ Jeff Bezos ได้ทำการจัดตั้งร้านเช่าหนังสือออนไลน์เล็กๆ ซึ่งในขณะนั้นออฟฟิศของเขายังอยู่ในโรงรถเล็กๆ และใช้ประตูหน้าต่างเก่าๆ มาทำเป็นโต๊ะทำงานอยู่เลย..   แต่ในวันนี้ Amazon กลายเป็นหนึ่งในร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตอนนี้ผู้ก่อตั้งซึ่งก็คือคุณ Jeff Bezos ก็กำลังซุ่มทำบริษัทเกี่ยวกับการบินและยานอวกาศ ที่ชื่อว่า Blue Origin โดยใช้พื้นที่ของตัวเองที่ซื้อมาใน Texas ทำเป็นฐานปล่อยจรวดอีกด้วย   2. Apple Steve Jobbs และ Steve Wozniak ได้ร่วมลงมือกันประกอบคอมพิวเตอร์เครื่องแรกด้วยมือ อยู่ในโรงรถเล็กๆ ที่บ้านของ Steve Jobbs…

  • นี่คือ 10 แบรนด์มหาอำนาจ ที่ควบคุมสินค้าบริโภคทั่วโลก โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว!?

    นี่คือ 10 แบรนด์มหาอำนาจ ที่ควบคุมสินค้าบริโภคทั่วโลก โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว!?

    ลองคิดดูสิว่าทุกวันนี้มีสินค้าบริโภคอะไรบ้าง ที่เรามักจะซื้อทุกครั้งที่แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ บางคนอาจจะชอบซื้อขนมขบเคี้ยวที่มีแต่ลมอย่างเลย์ หรือบ้างก็น้ำอัดลมอย่างโค้ก เป๊ปซี่ แม้ว่าในร้านสะดวกซื้อจะเต็มไปด้วยสินค้านับพันให้เราเลือกซื้อ แต่รู้มั้ยล่ะว่าเกือบทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจาก 10 บริษัทยักษ์ใหญ่มหาอำนาจทั้งหมดนี้ต่างหากล่ะ   ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าบริโภคเช่นขนม น้ำเปล่า อาหารสำเร็จรูป เรียกได้ว่าอาจจะควบคุมนิสัยการบริโภคเราอยู่ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้   1. Kellogg’s นอกจากป้ายยี่ห้อ Kellogg’s ที่เรามักจะได้เห็นบนกล่องซีเรียลแล้ว พวกเขายังเป็นบริษัทแม่ของขนมดังอย่าง Pringles หรือ Eggo ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศตะวันตก   2. Associated British Foods นับว่าเป็นบริษัทที่มีสินค้าบริโภคน้อยที่สุด แต่ก็ค่อนข้างครอบคลุมเลยทีเดียว เพราะนี่คือบริษัทแม่ของ Twinnings Tea ชาจากลอนดอนที่ส่งออกไปทั่วโลก หรืออาหารเช้าซีเรียลยี่ห้อ Dorset   3. General Mills ถ้าพูดชื่อบริษัทนี้อาจจะไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นบริษัทแม่ของไอศครีมชื่อดังอย่าง Haagen-Dazs หลายคนอาจจะร้องอ๋อทันที หรือแม้แต่สินค้าอาหารสำเร็จรูปยี่ห้อ Hamburger Helper ก็มาจากบริษัทนี้เหมือนกัน   4. Danone อีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่น่าจะคุมตลาดโยเกิร์ตเกือบทั่วทั้งโลก เพราะสินค้าที่เค้าส่งออกไปทั่วโลกก็มีทั้ง…

  • ไอเดียดี!! เบียร์ญี่ปุ่นออกรุ่นลิมิเต็ด ให้คุณได้ดื่มด่ำพร้อมร่วมซ่อมแซมปราสาท

    ไอเดียดี!! เบียร์ญี่ปุ่นออกรุ่นลิมิเต็ด ให้คุณได้ดื่มด่ำพร้อมร่วมซ่อมแซมปราสาท

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 เมษายนถึง 16 เมษายน 2016 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก หนึ่งในนั้นคือ ปราสาทคุมะโมะโตะ ซึ่งเป็นปราสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเมืองโออิตะ อีกด้วย และนอกจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ จะทำให้สถานที่ต่างๆ ได้รับความเสียหายแล้ว ยังทำให้ผู้คนเสียชีวิตอย่างน้อยกว่า 50 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 3,000 คนเลยทีเดียว     และเมื่อใกล้จะถึงวันครบรอบของการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทาง Sapporo ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเบียร์ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น จึงได้เกิดไอเดียสุดบรรเจิด โดยการเนรมิตเบียร์รุ่นลิมิเตดขึ้นมา ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งทางบริษัทจะระดุมทุนเพื่อนำไปช่วยในการปรับปรุง และฟื้นฟูปราสาทคุมะโมะโตะที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปีที่ผ่านมานั่นเอง       สำหรับเบียร์รุ่นดังกล่าวจะเริ่มนำออกจำหน่ายในวันที่ 22 มีนาคม 2560 ที่จัดถึงนี้ โดยมีราคาเพียงแค่กระป๋องละ 10 เยน หรือราวๆ 3 บาทเท่านั้นเองจ้า     ถ้าหากใครที่กำลังมองหาเบียร์รุ่นดังกล่าว แต่อาจจะไม่เข้าใจในตัวอักษรคันจิของญี่ปุ่น คุณสามารถมองหากระป๋องเบียร์ที่มีรูปปราสาทคุมะโมะโตะ ประดับไปด้วยดอกเชอร์รี่ที่บานสะพรั่ง พร้อมกับฉากหลังที่เป็นท้องฟ้าสีครามสดใส เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในปลายเดือนนี้…

  • บริษัทเบียร์ ให้พนักงานลาพักได้อาทิตย์นึง เงื่อนไขถ้าพวกเขา “รับเลี้ยงสุนัขตัวใหม่”!!

    บริษัทเบียร์ ให้พนักงานลาพักได้อาทิตย์นึง เงื่อนไขถ้าพวกเขา “รับเลี้ยงสุนัขตัวใหม่”!!

    เรียกว่าเป็นนโยบายแปลกแต่น่าสนใจจริงๆ สำหรับบริษัทเบียร์จากสก็อตแลนด์ที่อนุญาตให้พนักงานสามารถลาหยุดได้หนึ่งสัปดาห์ไปแบบฟรีๆ หากพวกเขารับสุนัขตัวใหม่มาเลี้ยง     บริษัทเบียร์ดังกล่าวมีชื่อว่า BrewDog จากเมืองอันเบอร์ดัน ประเทศสก็อตแลนด์ พวกเขาขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่รักสุนัขมากๆ โดยในสำนักงานใหญ่มีสุนัขอยู่เกือบ 50 ตัว และพวกเขาถือว่าสุนัขเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเช่นกัน ล่าสุดพวกเขากำลังจะเปิดสำนักงานอีกแห่งที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่สำนักงานใหม่นี้เอง พนักงานทุกคนจะได้รับสวัสดิการในการลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์ หากพวกเขารับสุนัขใหม่มาเลี้ยง     James Watt และ Martin Dickie สองผู้บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนตั้งพวกเขาก็เลี้ยงสุนัข และให้พวกมันเป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่แรกด้วย ได้กล่าวว่า “การมีสุนัขในออฟฟิศจะทำให้บรรยากาศในการทำงานผ่อนคลายขึ้น แต่เรารู้ดีว่า เวลาสุนัขที่ต้องย้ายมาอยู่บ้านใหม่ การที่มันยังไม่คุ้นเคย อาจทำให้มันเครียดได้” “เราจึงอนุญาตให้พนักงานของเรา สามารถลาพักร้อนซักหนึ่งสัปดาห์ เพือใช้เวลาช่วงนี้ สานสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”     BrewDog  ถือว่าเป็นบริษัทเบียร์ที่เติบโตเร็วที่สุดบริษัทหนึ่งในโลก โดยพวกเขาก่อตั้งด้วยสมาชิกเพียงสองคนในปี 2007 ด้วยผู้ถือหุ้นไม่กี่ราย แต่ภายในไม่กี่ปีให้หลัง ภายในปี 2015 พวกเขามีพนักงานถึง 540 คน และมีผู้ถือหุ้นกว่า 32,000 รายอีกด้วย…

  • เรื่องราวชีวิต Gabe Newell ศาสดาเกมเมอร์ ผู้หักหลังคนซื้อเกมราคาเต็ม ได้อย่างโหดเหี้ยม

    เรื่องราวชีวิต Gabe Newell ศาสดาเกมเมอร์ ผู้หักหลังคนซื้อเกมราคาเต็ม ได้อย่างโหดเหี้ยม

    ปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน หลายคนก็คงมีความสุขกับการได้สังสรรค์รื่นเริงกับเพื่อนๆ แต่สำหรับเหล่าเกมเมอร์แล้ว การได้เล่นเกมข้ามปีก็กลายเป็นเรื่องปกติไปเลย ในทุกๆ สิ้นปี เกมเมอร์ทั้งหลายคงจะทราบกันดีว่าเราต้องเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะเอามาซื้อเกมในช่วงลดราคา เพราะแต่ละค่ายนั้นก็จะเอาดีลต่างๆ มาล่อตาล่อใจเรา และที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คงเป็นแพลตฟอร์มเจ้าใหญ่อย่าง Steam นั่นเอง     Steam ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายเกม PC ซึ่งตอนนี้พัฒนาไปได้ไกลมากๆ และผู้ใช้ Steam ส่วนใหญ่ก็คงรู้จัก Gabe Newell หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ลอร์ดเกบ” ศาสดาผู้ที่ทำให้เราเจ็บตัวและหลังหักมากที่สุด ว่าแต่ลอร์ดเกบเขามาถึงจุดนี้ได้ยังไง วันนี้ #เหมียวสามสี จะพาทุกท่านมาชมการเดินทางของเขา กว่าจะมาเป็นศาสดาของเหล่าเกมเมอร์ได้นั้น เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง…   Gabe Newell ผู้ก่อตั้งบริษัท Valve และแพลตฟอร์ม Steam   ชีวิตของเขาเหมือนกับ CEO ชื่อดังหลายๆ คนอย่าง Bill Gates หรือ Steve Jobs โดยเริ่มจากการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้ตัดสินใจลาออกหลังจากได้คุยกับ Steve Ballmer ผู้เป็นประธานบริหารของบริษัทไมโครซอฟต์ในเวลานั้น หลังจากนั้นก็เข้าทำงานที่บริษัทไมโครซอฟต์ โดยเขาเป็นพนักงานคนที่ 271 ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกๆ…

  • บริษัทโรงงานญี่ปุ่น จ้างสาวคอสเพลย์ ถ่ายแบบลงปฏิทิน เพื่อจูงใจคนมาสมัครงาน!!

    บริษัทโรงงานญี่ปุ่น จ้างสาวคอสเพลย์ ถ่ายแบบลงปฏิทิน เพื่อจูงใจคนมาสมัครงาน!!

    โดยปกติแล้วการถ่ายแบบลงปฏิทินนั้นเราคงจะเคยเห็นภาพแบบวาบหวิวๆ กันอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวๆ น่ารักๆ นุ่งบิกินี่โพสท์ท่าเซ็กซี่ๆ หรือจะเป็นหนุ่มๆ ที่ออกมาสลัดผ้าถ่ายแบบเพื่อการกุศลลงปฏิทินกันเป็นว่าเล่น     แต่สำหรับบริษัท Ohmiya ที่ตั้งอยู่ในเมือง Higashiosaka ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นของตัวเอง แต่ด้วยความที่รูปแบบของงานในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นมักจะถูกมองว่าเป็นงานที่ต้องเผชิญกับความสกปรก ความอันตราย และ ความหนักหนาสาหัส     จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาสมัครงานที่บริษัทนี้กันเท่าไหร่นัก จนถึงกับต้องไปขอยืมคนงานจากบริษัทอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในเมือง Higashiosaka ด้วยกัน อย่างเช่นบริษัท Bibi Lab ที่ทำเกี่ยวกับหมอนข้างภรรยาเสมือนจริง และชุดนอนที่มีรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายชุดคลุมอาบน้ำ     จึงได้คิดแผนการที่จะเรียกคนมาสมัครงานด้วยการจ้างนางแบบมาถ่ายแบบลงปฏิทินเพื่อหลอกล่อให้คนเข้ามาสมัครงานที่บริษัท แต่ไม่ได้ถ่ายแบบวาบหวิวนะ พวกเขาได้เชิญนางแบบสาว Ayato Nikukyu วัย 21 ปี นักคอสเพลย์ชื่อดัง ที่เคยเป็นนางแบบให้กับบริษัท Bibi Lab เพื่อโปรโมทชุดนอนของพวกเขามาก่อนหน้านี้แล้วและได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี     แต่ในครั้งนี้เธอจะได้รับบทบาทเป็นเด็กสาววัยมัธยมปลายที่แต่งชุดนักเรียนเข้ามาสมัครงานที่บริษัท Ohmiya หลังจากที่ได้รับเข้าทำงานแล้วก็เปลี่ยนชุดมาเป็นนายช่างสาวที่ช่างมีความสุขกับการทำงานซะเหลือเกิน     เผยให้เห็นบรรยากาศที่แสนสนุกในการทำงาน เป็นการแสดงให้เห็นว่าชีวิตการทำงานที่โรงงานของบริษัท Ohmiya นี้ไม่ได้น่ากลัวหรือสกปรกดังที่ทุกคนคิดไว้ และสร้างแรงบันดาลใจกับวัยรุ่นทั้งหลายให้มีความรู้สึกว่าโชคดีที่ได้มาเป็นพนักงานที่นี่ต่อจากเธอ    …

  • แนวคิดจาก CEO บริษัทคาลบี้ เพราะการพัฒนาบุคลากรสำคัญกว่า การให้ทำโอทีจึงไม่จำเป็น…

    แนวคิดจาก CEO บริษัทคาลบี้ เพราะการพัฒนาบุคลากรสำคัญกว่า การให้ทำโอทีจึงไม่จำเป็น…

    พูดถึงในเรื่องของการทำหน้าที่การงานภายในบริษัทเอกชนต่างๆ ผู้บริหาร นายจ้างหรือหัวหน้าใหญ่ มักจะมอบหมายงานให้บุคลากรแต่ละแผนกทำอย่างแข็งขัน แบบชนิดที่ว่ายิ่งทำงานให้บริษัทมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เพราะนั่นหมายถึงปริมาณงานที่สามารถดำเนินการได้อย่างไม่สิ้นสุด แต่ทว่าแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่การทำงานล่วงเวลา โดยในปัจจุบันไม่ว่าบริษัทไหนๆ ก็มีระบบดังกล่าวเข้ามาแล้ว อาจจะเป็นการทำงานที่เร่งด่วน หรืองานสะสมคั่งค้าง แต่มองในอีกมุมหนุึ่งของคนที่ต้องทำงานล่วงเวลา การทำงานแบบนี้ส่งผลดีหรือผลร้ายกับใครกันแน่ พวกเขาเต็มใจที่จะทำหรือไม่? บังคับให้ทำงานเกินเวลาโดยไม่นึกถึงจิตใจของพนักงานเลยรึเปล่า?     ด้วยเหตุนี้เองทางด้านคุณ Akira Matsumoto ประธานบอร์ดบริหาร ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทผลิตขนมในเครือคาลบี้ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวประเด็นการทำงานล่วงเวลาและมุมมองการบริหารงานของบริษัทไว้น่าสนใจมากเลยทีเดียว เนื่องจากตัวเขาเองนั้นมีแนวคิดที่แตกต่างจากการบริหารงานบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ค่อยจะมองกัน นั่นก็คือการลงทุนกับปริมาณงานนั้น แทบจะเทียบกับการลงทุนพัฒนาศักยภาพของพนักงานไม่ได้เลย โดยเฉพาะในสังคมญี่ปุ่นที่มักจะมีภาพติดตาของเหล่าพนักงานบริษัททำงานหามรุ่งหามค่ำ กลับบ้านดึกดื่นเพราะต้องทำงานล่วงเวลา จนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคุณ Akira Matsumoto แล้วเขากลับแย้งว่า ‘เลิกซะเถอะ กับการทำงานล่วงเวลาเนี่ย’     มุมมองของเขานั้น เล็งเห็นว่าถ้าหากให้พนักงานใช้เวลาไปกับการทำงานล่วงเวลาเพียงอย่างเดียว เวลาส่วนนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของพนักงานเลย เพราะนั่นคือเวลาว่างของพวกเขาหลังจากการเลิกทำงานตามเวลาปกติ คุณ Akira Matsumoto ไม่กังวลในเรื่องของการจ่ายค่าโอทีเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่าก็คือ ถ้าให้พนักงานทำโอทีบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นคนที่ด้อยประสิทธิภาพไปเรื่อยๆ…

  • บอสใหญ่ใจดี หยุดงานบริษัท เปย์ 15 ล้านบาท พาพนักงานกว่า 100 คนไปเที่ยวมัลดีฟส์!!

    บอสใหญ่ใจดี หยุดงานบริษัท เปย์ 15 ล้านบาท พาพนักงานกว่า 100 คนไปเที่ยวมัลดีฟส์!!

    เมื่อกล่าวถึง ‘บอส’ หรือหัวหน้างานแล้ว เพื่อนๆ หลายคนก็คงจะนึกถึงภาพของความดุ ความโหด ความเนี้ยบ ที่คอยมาจ้ำจี้จ้ำไชกับเหล่าลูกจ้างตาดำๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปอิจฉาตาร้อนกับเหล่าพนักงานที่มีบอสที่เรียกได้ว่าใจดีมากที่สุดในโลก เพราะบอสของพวกเขาได้ทำการปิดบริษัทพาเหล่าพนักงานทั้งหมดไปเที่ยวที่มัลดีฟส์กันเลยทีเดียว   บิ๊กบอสของบริษัท Evolve Mixed Martial Arts คุณ Chatri Sityodtong ได้ลงทุนกว่า 15 ล้านบาท พาพนักงานทั้งหมด 100 คนของเขาไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ Maldives หลังบริษัทของเขาทำกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% จากปีก่อน     และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บิ๊กบอสแห่งบริษัท Evolve MMA พาพนักงานไปเที่ยวเท่านั้น ในปีก่อนๆ เขาก็ได้พาเหล่าพนักงานที่แสนน่ารักนั่งเครื่องบินเจ็ทสุดหรูไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ มากมาย ทั้ง บาหลี กระบี่ เขาหลัก และเกาะบินตันในประเทศอินโดนีเซีย “รางวัลเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้หัวใจของผมรู้สึกว่า Evolve MMA นั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์” “ในทุกๆ ปี ผมจะพาลูกทีมของผมไปเที่ยว และยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อจองที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวระดับห้าดาว โดยที่ไม่บอกจุดหมายปลายทางให้กับพวกเขา”…

  • บริษัทรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยงที่ออฟฟิศ 2 ตัว เพื่อเพิ่ม เอ้ย!! เพื่อบำบัดความเครียดให้พนักงาน!?

    บริษัทรับเจ้าเหมียวมาเลี้ยงที่ออฟฟิศ 2 ตัว เพื่อเพิ่ม เอ้ย!! เพื่อบำบัดความเครียดให้พนักงาน!?

    เจ้าเหมียว 2 ตัว จากสถานสงเคราะห์สัตว์ถูกรับเลี้ยงมาไว้ที่บริษัทแห่งหนุ่งเพื่อช่วยงานเหล่าพนักงานทั้งหลายด้วยการออดอ้อนและการกอด และจะช่วยคลายความเครียดให้กับพนักงานได้ (จริงหรา!?)   ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเจ้าเหมียว Chomsky และเจ้า Pirate   บริษัท Memrise เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเรียนการสอน ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เหล่าผู้บริหารได้มาประชุมกันหาวิธีในการลดความเครียดของพนักงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน และจู่ๆ การรับเลี้ยงเจ้าเหมียวจากสถานสงเคราะห์สัตว์ก็ปิ๊งขึ้นมา เหล่าผู้บริหารต่างก็หวังว่าการที่มีแมวมาไว้ในบริษัทซัก 1 ตัว เอาไว้ให้เป็นมาสค็อตของบริษัท แต่สุดท้ายก็รับมาสค็อตมาไว้ถึง 2 ตัวด้วยกัน   “เจ้า Pirate และ เจ้า Chomsky นั้น ถูกรับมาจากสถานสงเคราะห์มาได้ประมาณ 1 ปี แล้ว ในช่วงแรกๆ นั้นมันขี้อาย และขี้กลัวมาก” พนักงานในบริษัทกล่าว “พนักงานทุกคนในบริษัท Memrise นั้นต่างก็มอบความรัก และความเอาใจใส่ให้กับพวกมันเป็นอย่างดี ในวันนั้นจึงกลายเป็นวันที่แสนสุขทั้งสำหรับเจ้าเหมียวและพนักงานทุกคน”   ในทุกๆ วันมันจะรอเหล่าทาส (หรือที่มันเข้าใจว่าเป็นที่เปิดกระป๋อง) อยู่ที่ประตูหน้าของบริษัท เพื่อขอให้ที่เปิดกระป๋องนั้นเปิดกระป๋องเอาอาหารมาเสิร์ฟให้กับพวกมัน     หลังจากที่พนักงานแต่ละคนเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานแล้ว เจ้าเหมียวทั้ง…

  • 18 บริษัทระดับโลก ที่มอบวันหยุดให้แบบถล่มทลาย จนเกือบลืมว่า ‘การทำงาน’ คืออะไร!?

    18 บริษัทระดับโลก ที่มอบวันหยุดให้แบบถล่มทลาย จนเกือบลืมว่า ‘การทำงาน’ คืออะไร!?

    เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้เกียจ ไม่งั้นคงไม่พัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อมาทุ่นแรงและเวลาของตัวเองหรอกใช่มั้ยล่ะ ฮร่าาาา   บริษัทต่างๆ ก็ต้องการพนักงานที่ดีและมีคุณภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะลืมไม่ได้เลยนั้นก็คือเหล่าพนักงานก็ต้องการชีวิตที่ดีและวันหยุดพักผ่อนจากการโหมงานอย่างหนักเพื่อบริษัทกันบ้าง และเรื่องที่เหล่าพนักงานมีความสุขกันก็เห็นจะไม่พ้นวันหยุดพักร้อนและวันหยุดที่ทางบริษัทจ่ายเงินให้นี่แหละ ซึ่งทางเว็บไซต์ Glassdoor ก็ได้รวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ เกี่ยวกับคอมเม้นท์และคำติติงต่างๆ ของเหล่าพนักงานต่อนโยบายวันหยุดของบริษัทนั้นๆ สุดท้ายจึงได้ลิสต์รายชื่อ 18 บริษัทที่เหล่าพนักงานมีความสุขและแฮปปี้ที่สุด เพราะมีจำนวนวันหยุดเยอะ แถมยังได้รับเงินเดือนอยู่ และมีวันพักร้อนให้อย่างเหมาะสม ทีนี้เราลองมาดูกันเลยว่าจะมีที่ไหนบ้าง!?   อันดับ 18. Intel บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลและคอมพิวเตอร์แห่งแคลิฟอร์เนีย ในแต่ละปีพนักงานของที่นี่จะได้รับวันหยุด 3-4 สัปดาห์กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะนโยบายที่จะมอบวันหยุดและได้รับเงินเดือนแบบยาวๆ 4 สัปดาห์ทุกๆ 4 ปี หรือจะเลือกวันหยุดยาวแบบ 8 สัปดาห์ทุกๆ 7 ปีของการทำงานก็ได้   อันดับ 17. Federal Express ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งพัสดุ ที่มีสาขากว่า 220 ประเทศทั่วโลก พนักงานหลายๆ คนเขียนรีวิวเกี่ยวกับที่นี่ว่า ‘ทางบริษัทใจดีมากๆ โดยเฉพาะในเรื่องวันหยุดที่จะมีค่าตอบแทนให้’ อายุงาน 5 ปีแรกจะได้วันหยุด 3 สัปดาห์ และ 4…

  • บริษัทอินเดียแจกโบนัส รถเก๋งกว่า 1,000 คันพร้อมแฟลตให้พนักงาน ดีขนาดนี้ใครจะกล้าออก

    บริษัทอินเดียแจกโบนัส รถเก๋งกว่า 1,000 คันพร้อมแฟลตให้พนักงาน ดีขนาดนี้ใครจะกล้าออก

    สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ก็คงรอคอยช่วงเวลาโบนัสปลายเดือนหรือปลายปี ซึ่งส่วนมากก็จะได้มาเป็นเงิน แต่สำหรับบริษัทส่งออกเพชร Hare Krishna Exports ได้มอบโบนัสเป็นอะไรที่อลังการงานสร้างเป็นอย่างมาก Savji Dholakia มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทได้มอบโบนัสให้กับพนักงานในปีนี้เป็นรถยนต์ตำนวน 1,260 คัน และแฟลตอีก 400 หลัง และเครื่องเพชรอีกจำนวนหนึ่งสำหรับพนักงานที่ทำผลงานได้ดี     ถึงบอกไงว่าโบนัสดีขนาดนี้ใครจะกล้าออก? และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแจก เมื่อปีที่แล้ว มีพนักงานได้โบนัสเป็นรถยนต์ 491 คัน และแฟลตอีก 200 หลัง ซึ่งปีนี้แจกหนักแจกมากกว่าเดิมอีก   Dholakia เจ้าของบริษัทแห่งนี้เดิมทีเขาเป็นหนุ่มธรรมดาที่มาจากหมู่บ้าน Dudhala แล้วเข้ามาในเมือง Surat หวังเพื่อที่จะหางานทำ แล้วเขาก็ใช้ความขยัน สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีบริษัทเพชรแห่งนี้และส่งออกไปต่างประเทศอีกกว่า 75 ประเทศ นอกจากนี้เขายังเป็นเหมือนต้นแบบของผู้คนในละแวกนั้นด้วย จากคนที่ไม่มีอะไร กลายมาเป็นผู้บริหารที่มีลูกจ้างมากมายถึง 5,500 คนได้ ถือเป็นความสำเร็จที่ใครหลายคนฝันอยากจะเป็นทั้งนั้น     ที่มา scoopwhoop

  • เมื่อแบรนด์ดังพากันทิ้งอักษร A, B, O จากโลโก้ เพื่อรณรงค์ให้คนไปบริจาคเลือดกันมากขึ้น!!!

    เมื่อแบรนด์ดังพากันทิ้งอักษร A, B, O จากโลโก้ เพื่อรณรงค์ให้คนไปบริจาคเลือดกันมากขึ้น!!!

    A, B และ O เป็นตัวอักษรที่เรียกได้ว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อวงการแพทย์ เพราะมันคือตัวที่บ่งบอกถึงกรุ๊ปเลือดนั่นเอง และถ้าวันหนึ่งมันเกิดหายไปล่ะ โลกเรานี้ก็คงวุ่นวายน่าดู ตอนนี้ก็ได้เกิดแคมเปญหนึ่งขึ้นมา โดยทางบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งได้ทำการเอาตัวอักษร A, B และ O ออกไปจากชื่อแบรนด์ เพื่อให้คนตระหนักว่าตอนนี้เรากำลังขาดตัวอักษรที่สำคัญอยู่ รอให้ทุกคนได้ไปเติมเต็มกลับคืนมา   วิดีโอโปรโมทแคมเปญคราวนี้…   แคมเปญนี้มาพร้อมกับแฮชแท็ก #MissingType ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันขององค์กร NHS Blood and Transplant และกลุ่มประชาสัมพันธ์ Engine Group ในลอนดอน เพื่อให้คนได้ไปบริจาคเลือดในสัปดาห์แห่งการบริจาคเลือดแห่งชาติที่นั่น โดยมีสถิติจาก 10 ปีที่แล้วทำให้เห็นว่ามีคนบริจาคเลือดลดลงไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์เลยด้วย   ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีแบรนด์ดังอย่าง Google, Microsoft, Tesco, Nandos และ Dairy Milk ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยการออกมาโพสต์ในสื่อออนไลน์ เป็นรูปโลโก้ของบริษัทตนเอง ตัดอักษรทั้ง 3 ตัวนี้ออก   1.   2.   3.   4.   5.…

  • บริษัทชั้นในญี่ปุ่น ออกไอเดีย ‘บราคู่’ ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ ถ้ามาอยู่ใกล้กัน!!!

    บริษัทชั้นในญี่ปุ่น ออกไอเดีย ‘บราคู่’ ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ ถ้ามาอยู่ใกล้กัน!!!

    เป็นนวัตกรรมที่ทำให้คน ‘อื้อหือ!!’ กันจริงๆ เมื่อล่าสุดทาง Triumph ผู้ผลิตบราเจ้าหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ได้ผลิตยกทรงที่สามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อเดินไปอยู่ใกล้ๆ กับอีกคนที่ใส่อยู่!!? สินค้าตัวนี้มีชื่อว่า Close Sisters Bras โดยมาในตีมของ Frozen เน้นความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวและน้องสาวนั่นเอง พร้อมตัวอักษรคันจิ พี่สาว (姉) และ น้องสาว (妹) ด้วยนะจ๊ะ   เปลี่ยนสีได้เมื่อเข้าใกล้กัน!!?   ใส่คู่ก็จะออกมาน่ารักแบบนี้เลย   มีเป็นเซ็ทๆ ไป   ในส่วนของบรานั้นจะทำมาจากกระดาษไฟฟ้า ซึ่งเมื่อไหร่ที่มาอยู่ใกล้กันล่ะก็ จะสามารถทำให้มันเปลี่ยนสีได้!!!   จากสีดำๆ มีจุดๆ กลายเป็นเกล็ดหิมะแบบนี้   ลองมาชมวิดีโอกันแบบเต็มๆ ได้ที่นี่   สาวๆ คนไหนที่มีพี่หรือน้องสาวล่ะก็คงอยากได้ไว้ใส่คู่กับแน่เลยใช่ไหม อิอิ ^^   ที่มา: rocketnews24

  • Modibodi กับแนวคิดไม่รีทัชรูปนางแบบ เพราะความสวยไม่ต้อง ‘เพอร์เฟ็คต์’ เสมอไป!!!

    Modibodi กับแนวคิดไม่รีทัชรูปนางแบบ เพราะความสวยไม่ต้อง ‘เพอร์เฟ็คต์’ เสมอไป!!!

    #จ่าสิบเหมียว ก็มีความเชื่อแบบนี้เหมือนกันนะเนี่ย ว่าแท้จริงแล้ว ผู้หญิงทุกคนมีความสวยอยู่ในตัวเองทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อค่านิยมและคำนิยามของความสวยที่สื่อและโฆษณาต่างๆ พยายามยัดเยียดให้เรานะจ๊ะ ^^ ถ้าแบรนด์หรูในด้านชุดชั้นในหญิง ก็คงจะไม่พ้นแบรนด์ดังอย่าง Victoria Secret หลายๆ คนก็คงอยากจะได้หุ่นแบบเหล่านางแบบกันใช่มั้ยล่ะ? แต่กระแสในปัจจุบันนี้ ผู้คนเริ่มแสวงหาความเป็นจริงมากขึ้น Modibodi ก็เช่นกัน ชุดชั้นในหญิงแบรนด์ดังแห่งออสเตรเลียเจ้านี้ก็เลยตัดสินใจออกโฆษณาที่จะสร้างกำลังใจและความภาคภูมิใจในตัวเองให้กับเหล่าสาวๆ ล่ะ!!!   Modibodi   หลักการง่ายๆ ของบริษัทก็คือ ใช้ภาพจริงๆ ของเหล่านางแบบในหลายรูปร่าง และที่สำคัญก็คือไม่ได้ผ่านการรีทัชแม้แต่น้อย Kristy Chong ผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้กล่าวว่า ‘นางแบบแต่ละคนนั้น ดูเหมือนในรูปภาพเป๊ะๆ เลยล่ะ เพราะเราไม่ได้แต่งภาพให้ออกมาดูเว่อร์เกินจริงแต่อย่างใด’ นอกจากนี้ยังใช้นางแบบที่มีรูปร่างแตกต่างกันอีกด้วย เพราะว่าผู้หญิงไม่ได้มีแค่รูปร่างเดียว การโฟโต้ช็อปและรีทัชก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน เพราะว่าเซลลูไลท์ รอยกระ หรือไฝ ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ ‘จริงๆ’ เช่นกัน!!   และที่สำคัญที่สุด ไม่ควรจะถูกมองว่าน่าเกลียด จนต้องถูกลบออกไป   แถมทางบริษัทยังเรียกร้องให้ทางรัฐบาลของประเทศ กระตุ้นการสร้างความมั่นใจในร่างกายและเรือนร่างของตัวเองสำหรับสาวๆ ให้มากขึ้นอีกด้วย สอดคล้องกับการกระทำในหลายๆ ประเทศเลยนะเนี่ย เพราะปีก่อนก็เช่นกันที่ทางประเทศฝรั่งเศสได้ออกมาสั่งห้ามไม่ให้นางแบบที่ผอมจนเกินไปขึ้นไปเดินบนแคทวอล์กด้วยล่ะ   เพราะความสวยงามไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบบเดียว   ‘เป็นเวลานานแสนนานแล้วล่ะที่ผู้หญิงถูกกดดัน…

  • คู่รักนอร์เวย์ ลงทุน 17 ล้าน เนรมิตโดมแก้วครอบบ้าน ทั้งสวยงาม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    คู่รักนอร์เวย์ ลงทุน 17 ล้าน เนรมิตโดมแก้วครอบบ้าน ทั้งสวยงาม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    ใครๆ ก็อยากสร้างบ้านให้ดูสวยโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่ไม่เหมือนใครกันทั้งนั้น เหมือนดังเช่น Benjamin และ Ingrid Marie คู่รักชาวนอร์เวย์ ผู้ที่ได้ทุ่มทุนกว่า 17 ล้านบาท เพื่อทำการสร้างโดมแก้ว ที่สามารถครอบคลุมบ้านได้ทั้งหลัง และพื้นที่บริเวณสวนได้ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังเป็นมิตรกับธรรมชาติอีกด้วย     โดมแก้ว ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุสังเคราะห์ทางเทคโนโลยี ที่สามารถช่วยรองรับกับสภาพอากาศที่รุนแรงได้เช่น พายุหิมะตกหนัก โดยจะมีโครงตาข่ายหกเหลี่ยมอยู่ภายใน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโดมแบบ geodesic     และที่สำคัญ โดมแก้วนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว เพราะมันยังสามารถช่วยควบคุมอุณหภูมิให้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ช่วยลดรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วยลดปริมาณการซ่อมแซม แถมยังใช้เวลาในการสร้างเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น     สำหรับโดมแก้ว สร้างโดยแผ่นกระจกทั้งหมดกว่า 360 แผ่น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 15 เมตร และสูง 7.5 เมตร ส่วนโครงตาข่ายด้านในสร้างจากกรอบอะลูมิเนียมรีไซเคิล ที่สามารถใช้งานได้นานถึง 100 ปีเลยทีเดียว     นอกจากนี้ แผ่นกระจกใสยังช่วยสร้างพลังงานที่เพียงพอต่อการใช้งานในแต่ละวัน…

  • ชาวเน็ตเร่งให้มีการตรวจสอบ กรณีบริษัท รปภ. ปลิดชีพสุนัขดมกลิ่น หลังหมดสัญญาใช้งาน

    ชาวเน็ตเร่งให้มีการตรวจสอบ กรณีบริษัท รปภ. ปลิดชีพสุนัขดมกลิ่น หลังหมดสัญญาใช้งาน

    คำเตือน: เนื้อหาภายในข่าวนี้ อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนรักสุนัข เพื่อนอันแสนดีที่สุดของมนุษย์อย่างสุนัขนั้น ให้ความจงรักภักดีกับมนุษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์รู้สึกว่าหมดประโยชน์ ก็จะทิ้งพวกมัน ชีวิตของสุนัขทั้งหลายจึงไร้ความหมายในสายตาของพวกเขาเหล่านี้     เหล่าสุนัขดมกับระเบิดจำนวนหลายตัวถูกฆ่าทิ้งโดย Eastern Securities บริษัทรักษาความปลอดภัยสัญชาติอเมริกา หลังจากที่หมดสัญญากับทาง Kuwait National Petroleum Company บริษัทขุดเจาะน้ำมันในประเทศคูเวต ภาพดังกล่าวถูกนำมาเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊ก เผยให้เห็นซากของสุนัขดมกับระเบิดอย่างน้อยๆ ประมาณ 24 ตัวกองกันอยู่ โดยมีหนึ่งในคนงานยืนเหยียบซากของสุนัขด้วย     ทางด้านนักสิทธิคุ้มครองสัตว์ Esmail Al Misri ผู้เรียกร้องให้ทางบริษัทรักษาความปลอดภัยดังกล่าวถูกดำเนินคดีนั้น กล่าวว่าอาจจะมีสุนัขถูกฆ่าทิ้งมากถึง 90 ตัวด้วยกัน โดยสาเหตุหลักของการฆ่าสุนัขทิ้งก็คือทางบริษัทรักษาความปลอดภัยไม่ได้รับค่าจ้างมาสองเดือนแล้ว หลังจากที่หมดสัญญากับบริษัทขุดเจาะน้ำมัน   ทางด้านพนักงานของ Eastern Securities เองก็ได้กล่าวไว้ว่าพวกเขาทำการการุณยฆาตสุนัขเหล่านี้จริง แต่ทำเพียงแค่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ในระหว่างที่พนักงานอีกกลุ่มทำการยิงสุนัขที่เหลือทิ้งทั้งหมด และยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างจากบริษัทขุดเจาะน้ำมันจริง   ในส่วนของเรื่องค่าจ้างที่ไม่ได้รับนั้นไม่ใช่สาเหตุหลักของการฆ่าสุนัขทิ้ง พวกเขาอ้างว่าที่ต้องทำการฆ่าสุนัขทิ้งก็เป็นเพราะว่าสุนัขเหล่านี้มีอาการป่วยหรือไม่ก็มีอายุมากแล้ว เพราะบางตัวมีเนื้องอก เป็นต้อกระจก รวมไปถึงปัญหาสุขภาพข้อต่อต่างๆ    …

  • คุณคิดอย่างไร..!? อังกฤษวิจารณ์หนัก ซื้อ ‘ตุ๊กตายาง’ เด็ก 3 ขวบ แบบถูกกฎหมายได้

    คุณคิดอย่างไร..!? อังกฤษวิจารณ์หนัก ซื้อ ‘ตุ๊กตายาง’ เด็ก 3 ขวบ แบบถูกกฎหมายได้

    เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ทางเว็บไซต์ Mirror มีรายงานว่า ปัจจุบันมีบริษัทผลิตอุปกรณ์บำบัดความต้องการทางเพศอย่าง “ตุ๊กตายาง” ออกมาเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็มีการผลิตตุ๊กตาเลียนแบบเด็กหญิงอายุราว 3 ขวบออกมาวางขาย แถมยังสามารถสั่งซื้อได้อย่างถูกกฎหมายอีกด้วย     AliExpress คือเว็บขายปลีกชื่อดังที่มีความปลอดภัยในการซื้อขายสูง โดยเน้นการซื้อปลีกในราคาส่ง ที่ทางเว็บไซต์ Mirror ได้ลองเข้าไปตรวจสอบและพบว่า เว็บไซต์แห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งซื้อขายตุ๊กตายาง ที่ผู้ต้องการสามารถสั่งซื้อมาครอบครองได้     ภายในเว็บจะมีการโฆษณาซื้อขายตุ๊กตายาง ที่มีลักษณะคล้ายกับเด็กสาวอายุ 9 ขวบไปจนถึง 3 ขวบ และมีส่วนสูงตั้งแต่ 100-140 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีคำเชิญชวนให้ซื้อตุ๊กตายางอีกว่า “สาวน้อยไร้เดียงสากำลังรอคุณอยู่” และที่มากไปกว่านั้นก็คือ ทาง AliExpress ยังได้มีการเผยภาพวิธีการแนะนำการใช้งานอุปกรณ์เสริม และท่าทางในการใช้งานให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย   .   อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ Mirror ก็เคยนำเสนอเรื่องกรณีซื้อขายตุ๊กตายางเด็ก ที่ผลิตขึ้นในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว และนั่นก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอย่างมากมาย แต่ภายหลัง ทางบริษัทผู้ผลิตก็ได้ออกมาให้เหตุผลว่า ตุ๊กตายางเหล่านี้ คือเครื่องมือช่วยระบายความใคร่ของพวกชอบเด็กได้…

  • ไปดูการเปลี่ยนแปลงของ 18 โลโก้ “บริษัทยักษ์ใหญ่” ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันนี้!!

    ไปดูการเปลี่ยนแปลงของ 18 โลโก้ “บริษัทยักษ์ใหญ่” ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันนี้!!

    นอกจากชื่อบริษัทแล้ว โลโก้ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำของผู้คน ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาก็ต้องมีโลโก้แล้ว แต่พอถึงตอนนี้โลโก้มันก็ต้องเปลี่ยนไปตามยุคและสมัยด้วย โลโก้นอกจากจะเป็นรูปที่สวยงามแล้ว มันต้องมีความหมายและหลักการคิดบางอย่างที่ทำให้ออกมาเป็นแบบนั้นได้ วันนี้ #เหมียวสามสี ก็เลยจะพาทุกท่านไปย้อนอดีตชมโลโก้ของบริษัทดัง จนถึงโลโก้ปัจจุบันว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน   Shell โลโก้แรกนั้นวาดเมื่อปี 1900 หลังจากนั้นก็พยายามที่จะทำให้โลโก้เป็นที่น่าสนใจโดยการเพิ่มสีสันและทำให้จำง่ายยิ่งขึ้นจนกลายมาเป็นโลโก้ในปัจจุบันซึ่งเริ่มใช้ในปี 1999   Apple โลโก้แรกของ Apple นั้นออกแบบมาในปี 1976 โดย Ronald Wayne โดยเป็นภาพของนิวตันที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล และนี่คือโลโก้ล่าสุดที่ใช้ในปี 2013 อีกทั้งยังใช้โลโก้รูปเดียวกัน แต่เป็นสีดำทั้งหมดในบางครั้ง ซึ่งโลโก้นี้เริ่มใช้ในปี 1998   Discovery Channel โลโก้อันแรกนั้นถูกใช้ในปี 1985 และโลโก้ใหม่ถูกทำให้ทันสมัยยิ่งขึ้นและใช้ในปี 2009   Mozilla Firefox เดิมทีนั้นเป็นรูปนกฟีนิกซ์ ซึ่งใช้ในปี 2002 ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Firefox ในปี 2004 และยังเหลือความเป็นไฟไว้อยู่ ซึ่งโลโก้ล่าสุดนั้นใช้ในปี 2009   General Electric โลโก้แรกถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายในปี 1892…

  • CEO บริษัทขายอุปกรณ์ป้องกันตัวญี่ปุ่นโชว์แมน อัดคลิปทดสอบสินค้าลงเน็ต อะไรจะทุ่มเทปานน้าน!!

    CEO บริษัทขายอุปกรณ์ป้องกันตัวญี่ปุ่นโชว์แมน อัดคลิปทดสอบสินค้าลงเน็ต อะไรจะทุ่มเทปานน้าน!!

    อย่างที่เราทราบกันดีว่า บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างไปจากที่อื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะผู้นำของบริษัทนั้น ต้องมีทั้งความสามารถ ความรับผิดชอบต่องานและสังคม รวมทั้งความทุ่มเทให้กับงานอีกด้วย ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกว่าพวกเขาเป็นยังไง วันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักับสุดยอด CEO คนหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ทุ่มเททั้งกายทั้งใจในการทำงาน จนบางทีก็สงสัยว่า ต้องทุ่มเทขนาดนั้นม้ายยย จะเป็นใคร ไปชมกันเลย คนทีเรากำลังจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักชื่อว่า Koichi Shiraishi เขาเป็น CEO ของบริษัท KSP Self-Defense & Security ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ต่อต้านอาชญากรรมและการจราจลชื่อดังของญี่ปุ่น   ฟังดูแล้ว สิ่งของที่พวกเขาขายนั้นแทบไม่ต่างจากอาวุธดีๆ นี่เอง ไม่ว่าจะเป็นกระบอกช็อตไฟฟ้า โล่ช็อตไฟฟ้า สเปรย์พริกไทย และอื่นๆ อีกมากมาย แม้จะดูอันตราย แต่พวกเขายืนยันว่าอุปกรณ์ของพวกเขาทุกชิ้น ไม่ได้มีความรุนแรงจนถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง คุณ Koichi Shiraishi จึงออกมาอัดคลิปทดสอบผลิตภัณฑ์ของเขาด้วยตนเอง (และใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองด้วย) ว่าไม่มีอันตรายใดๆ ถึงตายนะจ๊ะ   อ๊ะ ลองไปชมกันดูดีกว่า!! อันนี้เป็นคลิปทดสอบกระบองช็อตไฟฟ้า   โอ้โห ทุ่มเทอะไรจะปานนั้น นอกจากกระบองช็อตไฟฟ้าแล้ว โล่ช็อตไฟฟ้าเค้าก็ทดสอบด้วยตนเองเช่นกัน ไปดูกัน…

  • CEO บริษัทไอติมญี่ปุ่น ลงทุนออกโฆษณาขอโทษลูกค้า ที่ต้องขึ้นราคาขนมอีก 10 เยน!?!?

    CEO บริษัทไอติมญี่ปุ่น ลงทุนออกโฆษณาขอโทษลูกค้า ที่ต้องขึ้นราคาขนมอีก 10 เยน!?!?

    หากพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบแล้ว ในประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องทีสำคัญมากเลยทีเดียว อย่างเช่นเวลาคนใหญ่คนโตของประเทศญี่ปุ่น (ประธานบริษัท, นักการเมือง, ข้าราชการ บลาๆ) มีข่าวฉาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ พวกเขามักจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกอยู่บ่อยๆ และวันนี้ #เหมียวอ๊อดโด้ จะพาเพื่อนๆ ไปชมโฆษณาที่จะทำให้เห็นว่า คนญี่ปุ่นนั้น มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมมากขนาดไหน ว่าแล้ว ไปชมกันเลย     เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัท Akaki บริษัทผู้ผลิตไอศกรีมชื่อดังของญี่ปุ่น Garigari-kun ได้ปล่อยโฆษณาชิ้นใหม่ออกมา เพื่อขอโทษเหล่าผู้บริโภค เนื่องจากพวกเขาต้องขึ้นราคาสินค้าจาก 60 เยน (18 บาท) เป็น 70 เยน (22 บาท)     โดยในโฆษณาเป็นภาพของ Hideki Inoue ประธานและซีอีโอของบริษัท Akaki รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงอีกหลายสิบคนมายืนเรียงกัน และทั้งหมดก็คำนับพร้อมกัน เพื่อเป็นการขอโทษเหล่าผู้บริโภคที่ต้องขึ้นราคาสินค้า หลังจากที่ขายมา 25 ปี โดยไม่ปรับราคาแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งโฆษณาดังกล่าว สร้างความประทับใจให้กับผู้คนทั่วโลก เพราะน้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ ออกมาขอโทษผู้บริโภคด้วยตนเองแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความเคารพที่มีต่อลูกค้าของพวกเขาเป็นอย่างมาก   ลองไปชมโฆษณากันดูดีกว่า   สุดยอดไปเลยเนอะเพื่อนๆ…

  • พาไปชมสุดยอด “ออฟฟิศ” สุดหรูจากทั่วโลก เห็นแล้วสงสัยว่าได้ทำงานบ้างป่ะเนี่ย!?!

    พาไปชมสุดยอด “ออฟฟิศ” สุดหรูจากทั่วโลก เห็นแล้วสงสัยว่าได้ทำงานบ้างป่ะเนี่ย!?!

    สถานที่ทำงานถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งานของเราออกมามีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ถ้าใครเคยทำงานที่ห้องเราเองกับไปนั่งทำงานที่ดีๆ ก็คงจะรู้ว่ามันคนละฟีลลิ่งกันเลย ใครๆ ต่างก็อยากจะมีออฟฟิศดีๆ กันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะออฟฟิศของกูเกิลที่เราเคยเห็นตามข่าว แค่เห็นก็รู้สึกอิจฉาพนักงานแล้ว อยากไปเป็นพนักงานทำความสะอาดที่นั่นเลยทีเดียว แต่ช่างเถอะ วันนี้ #เหมียวสามสี จะพาทุกท่านไปเยี่ยมชมออฟฟิศที่ดูหรูจากทั่วโลก เห็นแล้วน่าไปนั่งทำงานมากๆ   White Mountain Office, สต็อคโฮล์ม, สวีเดน   iHeartMedia, นิวยอร์ค, นิวยอร์ค   Selgas Cano Architecture Office, มาดริด, สเปน   Google, Tel Aviv, อิสราเอล   Airbnb, ซาน ฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย   Dropbox, ซาน ฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย   SoundCloud, เบอร์ลิน, เยอรมนี   Beats By Dre Electronics, Culver City, แคลิฟอร์เนีย   Warner Music, ลอนดอน, อังกฤษ…

  • ไม่ต้องเถียงกัน!! ‘จิมิที่สวยงามที่สุดในโลก’ ได้ผลผู้ชนะเลิศแล้ว ตัดสินโดยเหล่านักวิทย์

    ไม่ต้องเถียงกัน!! ‘จิมิที่สวยงามที่สุดในโลก’ ได้ผลผู้ชนะเลิศแล้ว ตัดสินโดยเหล่านักวิทย์

    หากใครยังจำกันได้ เมื่อเนิ่นนานมาแล้วมีข่าวคราวเกี่ยวกับการประกวดเฟ้นหา ‘จิมิที่สวยงามที่สุดในโลก’ (คือมันไม่น่าจะมีการประกวดแบบนี้ขึ้นมาได้ แต่มันก็มีขึ้นจริงๆ) จัดการประกวดโดยบริษัทเซ็กส์ทอยที่ชื่อว่า Autoblow (ข่าวเก่า)     มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะเนี่ย การประกวาดนี้จริงจังมาก มีเงินรางวัลให้กับผู้ชนะด้วย และเหล่ากรรมการทั้งหลายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทางด้านการเก็บและประมวลผลข้อมูล เพื่อทำการวิจัยว่าจิมิแบบไหนที่ได้รับความนิยมจากผู้คนมากที่สุด     โดยเหล่ากรรมการจะต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาด 15 นิ้ว (ซูมให้เห็นหมดทุกรูขุมขน) ถึงกับสามารถนำไม้บรรทัดมาวัดขนาดได้บนหน้าจอกันเลยทีเดียว และจะให้คะแนนจากความซับซ้อนของส่วนซ่อนเร้นและพื้นผิว (แหม่ ถึงกับขนาดนั้นเลย)     จนในที่สุดก็ได้ผลโหวตออกมาปรากฏว่า 51% ชอบแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนหลายชั้นมาก (Class 1-2) ส่วนอีก 49% ชอบแบบหลายๆ ชั้น หนาๆ หน่อย   ประเทศและจำนวนผู้ที่เข้าร่วมประกวด     มาถึงกันขนาดนี้แล้วผู้ชนะการประกวดจิมิสวยก็คือ สาวชาวอังกฤษนามว่า Nell วัย 27 ปี คว้าเงินรางวัล 178,000 บาท ติดไม้ติดมือกลับบ้าน อีกทั้งจิมิของเธอก็ได้นำไปเป็นแบบของเล่นชิ้นใหม่ของบริษัทต่อไป…

  • จากนางแบบอวบที่ถูกปัดสัญญา สู่การเป็นดาวเด่นในแบรนด์คู่แข่งตัวฉกาจของ Victoria’s Secret !!!

    จากนางแบบอวบที่ถูกปัดสัญญา สู่การเป็นดาวเด่นในแบรนด์คู่แข่งตัวฉกาจของ Victoria’s Secret !!!

    แน่นอนว่าทุกๆ คนนั้นย่อมชอบความเพอร์เฟ็คต์ เริ่ด หรู อลังการงานสร้าง แต่สิ่งที่หลายๆ คนอาจจะลืมไปนั่นก็คือ สิ่งเหล่านั้นมันได้แค่ ‘มองและชื่นชม’ รึเปล่า!!? เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วความไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละคือธรรมชาติล่ะ ถ้าจะพูดถึงแฟชั่นชุดชั้นในล่ะก็ แน่นอนว่าแบรนด์ดังเลิศหรูระดับโลกอย่าง Victoria’s Secret คงเป็นชื่อที่ติดหูของทุกๆ คน ด้วยความสวยของเสื้อผ้า และนางแบบแต่ละคนที่มาเดินให้นั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของโลกเลยทีเดียว   เหล่านางฟ้า Victoria   สำหรับ Victoria’s Secret ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆ ครั้ง เกี่ยวกับการนำเสนอภาพที่ผูกขาดเกินไป นั่นคือสาวๆ ต้องมีหุ่นที่ดี แถมยังไม่มีชุดชั้นในแบบ Plus-Size ให้อีกต่างหาก แต่แบรนด์น้องใหม่มาแรงอย่าง Aerie กลับทำสิ่งที่แตกต่างออกไป!? จะว่าไปแล้ว เหล่านางแบบ-นางฟ้า Victoria’s Secret นั้น ก็ขึ้นชื่อไปทั่วโลกเรื่องหุ่นสุดอลังการของพวกเธอ จนเปรียบได้เป็นเหล่านางฟ้าของโลกเลยทีเดียว ทั้งความสูง ความสวยต่างก็เพอร์เฟ็คต์ไปซะหมด ซึ่งนโยบายใหม่ของทาง Aerie ค่อนข้างจะแตกต่างออกไป โดยการที่ไม่ใช้การรีทัชภาพของนางแบบ แถมมีชุดชั้นในให้สำหรับสาวๆ หลากหลายไซส์ ละโปรโมทความงามที่แตกต่างตามธรรมชาติของสาวๆ ทำให้ยอดขายของปีก่อนพุ่งทะยานขึ้นกว่า 9 เปอร์เซ็นต์   Aerie…

  • ลูกเทพหลบไป!! บริษัทจีนแจกโบนัสด้วย ‘ตุ๊กตายาง’ พนักงานชายยิ้มกรุ้มกริ่มเบย

    ลูกเทพหลบไป!! บริษัทจีนแจกโบนัสด้วย ‘ตุ๊กตายาง’ พนักงานชายยิ้มกรุ้มกริ่มเบย

    โดยปกติแล้ว บริษัทมักจะให้โบนัสประจำปีแก่พนักงานเป็นเงินก้อนโตใช่ไหมละ แต่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่งในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน กลับทำในสิ่งที่แปลกออกไปนั่นก็คือ แทนที่จะให้เงิน แต่กลับแจกตุ๊กตายางให้กับพนักงานชายยังไงละเหมียว     และเมื่อภาพการแจกตุ๊กตายางของทางบริษัทได้ถูกโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียของจีน ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก     ซึ่งเหตุที่ทางบริษัทได้ทำการแจกตุ๊กตาแทนเงินโบนัสเป็นเพราะว่า พนักงานส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงปี 1980-1990 ซึ่งตอนนี้คงมีอายุราวๆ 20-30 ปี ดังนั้นทางนายหวัง ยื่อฉี ประธานบริษัท จึงต้องการให้โบนัสในรูปแบบที่แปลกออกไป โดยการแจกตุ๊กตายางเป่าลม แทนเงินโบนัสประจำปีที่ปกติที่ปกติบริษัทจีนจะจ่ายกัน 1-6 เดือนนั่นเอง     ที่สำคัญนอกจากตุ๊กตายางแล้ว ทางบริษัทยังแจกของอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงอาหาร รองเท้าแตะ รวมไปถึงเครื่องดูดความชื้นอีกด้วย     เอ…ว่าแต่เห็นแบบนี้แล้ว หนุ่มๆ บ้านเรา อยากจะให้บริษัทแจกตุ๊กตายางแทนเงินก้อนโตแบบนี้บ้างไหมน้า ที่มา : people, kaixian

  • คนงานตกถังสารละลายเดือดแต่รอดตายมาได้ บริษัทขอให้ทำการุณยฆาตเพราะไม่อยากจ่าย

    คนงานตกถังสารละลายเดือดแต่รอดตายมาได้ บริษัทขอให้ทำการุณยฆาตเพราะไม่อยากจ่าย

    หนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ลูกน้องของบริษัทอยู่ทำงานไปนานๆ ก็คือการเอาใจใส่พนักงาน การดูแลยามที่พนักงานลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เช่นในกรณีของคนงานภายในโรงงานจากยูนนานที่ประสบกับอุบัติเหตุตกลงไปในถังสารละลายเดือดจัดๆ ร่างกายถูกลวกแทบทั้งตัว แต่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด     Yuan Longhua วัย 38 ปี คนงานในโรงงานเครือ CQC Group เกิดพลัดตกลงไปในบ่อสารละลายเดือดจัดหลังจากที่ทำงานต่อเนื่องยาวนานกว่า 13 ชั่วโมง ในวันที่ 1 สิงหาคม 2558 โดยที่เขารอดชีวิตมาได้ แต่จะต้องทำการตัดขาขวาทิ้ง และเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยทางบริษัทเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด   แต่หลังจากเดือนตุลาคมเป็นต้นมาทางบริษัทเริ่มมีทีท่าที่เปลี่ยนไป จากที่เคยจ่ายค่ารักษาให้ ก็เริ่มจ่ายช้า ไม่ตรงเวลา จนถึงขั้นไม่ยอมจ่าย ทำให้อาการทรุดลงต่อเนื่อง อีกทั้งยังทำการโน้มน้าวทางครอบครัวให้ทำการหยุดรักษาและทำการุณยฆาต โดยจะชดเชยให้หลังจากที่เขาเสียชีวิตแทน     ทางด้านน้องชายของนาย Yuan เปิดเผยว่าหลังจากที่พี่ชายของตนประสบอุบัติเหตุ ไม่เคยเห็นหน้าเจ้านายเลย ได้แต่ติดต่อผ่านตัวแทนบริษัท ซึ่งหลังจากที่บริษัทไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ทางครอบครัวต้องจ่ายเองเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้ แม้แต่กระทั่งแพทย์ผู้ดูแลเองก็ยังบอกเลยว่าบริษัทนี้ กระทำในสิ่งที่แย่มากๆ ปัดปัญหาทิ้งแบบไม่ใยดีต่อชีวิตลูกน้องเลย ที่มา : shanghaiist

  • ซวยหนัก บริษัทผลิตยา ISIS จำใจเปลี่ยนชื่อ หลังคนสับสนว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย!!?

    ซวยหนัก บริษัทผลิตยา ISIS จำใจเปลี่ยนชื่อ หลังคนสับสนว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย!!?

    ก็เรียกได้ว่าส่งผลกระทบไปในทุกๆ ภาคส่วนทั่วโลกจริงๆ กับกลุ่มก่อการร้าย Isis และล่าสุดบริษัทผลิตยา Isis Pharmaceuticals Inc. ก็โดนหางเลขกับเขาไปซะด้วย!!! เพราะบริษัทยาดันไปมีชื่อเหมือนกับกลุ่มก่อการร้าย Isis ซะได้ และหลังจากหัวแข็งไม่ยอมเปลี่ยนชื่อมาสักพักได้แล้ว ก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Ionis Pharmaceuticals Inc. แทน เพราะโดนกระแสกดดันหนัก   Isis Pharmaceuticals Inc. (ชื่อเดิม)     Dr. Amy Williford เจ้าของบริษัทได้กล่าวว่า ‘ชื่อเดิมที่คล้ายกับกลุ่มก่อการร้ายทำให้ลูกค้าของเราสับสน แถมนักวิทยาศาสตร์ของเราก็ได้ไปทำวิจัยในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก และแน่นอนนักข่าวก็เข้ามาสอบถามเขามากมาย รวมถึงคนในพื้นที่ด้วย เพื่อเป็นการการันตีในด้านความปลอดภัยของพวกเขา การเปลี่ยนชื่อจึงดูเป็นความคิดที่สมเหตุสมผลที่สุด’ ส่วนกลุ่มรัฐอิสลามนั้นมักถูกเรียกในหลายๆ ชื่อ ทั้ง Islamic State, Isis, IS และ Daesh ซึ่งได้ทำการก่อการร้ายใหญ่ๆ ไปหลายครั้ง รวมถึงการโจมตีกรุงปารีส และสังหารเหล่าตัวประกันอย่างโหดเหี้ยม   กลุ่ม Isis     ‘และการเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้จะทำให้คนรู้สึกดีขึ้นต่อบริษัทของเรา หลังจากที่ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อมาราวๆ 2 ปี เพราะว่าความยุ่งยากในการขอเอกสารต่างๆ…

  • บริษัทในประเทศญี่ปุ่นสร้างใยแมงมุมเทียม ยืดหยุ่นได้ดีกว่าไนลอนแถมแข็งแกร่งกว่าเหล็ก!!!

    บริษัทในประเทศญี่ปุ่นสร้างใยแมงมุมเทียม ยืดหยุ่นได้ดีกว่าไนลอนแถมแข็งแกร่งกว่าเหล็ก!!!

    พอได้ยินข่าวคราวนี้แล้วเหมียวนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Amazing Spiderman ขึ้นมาเลยทีเดียว เมื่อบริษัทหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นพัฒนาเทคโนโลยล้ำยุคตัวนี้ขึ้นมา!!! บริษัทค้นคว้าวิจัยทางด้านชีววิทยาเกี่ยวกับแมงมุม ‘Spiber Inc.’ ได้เปิดเผยเทคโนโลยีชีวภาพล่าสุดแก่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก กล่าวคือ ใยแมงมุมเทียมที่มีระดับความแข็งแรงมากกว่าเหล็กและความยืดหยุ่นมากกว่าไนลอน!!!   ใยแมงมุมสังเคราะห์   ด้วยขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางที่เท่ากัน เจ้าใยแมงมุมสังเคราะห์นี้จะมีระดับความแข็งแรงมากกว่าเหล็กและความยืดหยุ่นมากกว่าไนลอนเสียอีก   ชุดเดรสที่ถูกนำมาเปิดตัวในวันแถลงข่าวของทางบริษัท แถมนวัตกรรมใหม่นี้ยังมีข้อดีคือไม่มีการเจือปนของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค   โดยกรรมวิธีการผลิตก็คือ การดัดแปลงพันธุกรรมจุลินทรีย์และนำมาประยุกต์ใช้เข้ากับการสังเคราะห์ใยแมงมุมเทียม ทำให้สามารถสังเคราะห์ปริมาณโปรตีนที่เท่ากับปริมาณในใยแมงมุมธรรมชาติได้ในเวลาอันสั้น   แต่ปัญหาใหญ่ๆ ของเทคโนโลยีตัวใหม่นี้ก็คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงซึ่งมีผลต่อการผลิตในจำนวนมาก ซึ่งในจุดๆ นี้ก็ต้องพัฒนากันต่อไปเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำลงนั่นเอง     ลองมาชมคลิปการนำเสนอได้ที่นี่เลย   นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจเลยทีเดียว หวังว่าในอนาคตเราจะสามารถเห็นเส้นใยนี้ใช้กันอย่างแพร่เหลายนะจ๊ะ ^^ ที่มา: Anngle

  • บริษัทเมืองผู้ดี ประกาศเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ต เร็วกว่าของเดิมสุดๆ กว่า 230 เท่า!!!

    บริษัทเมืองผู้ดี ประกาศเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ต เร็วกว่าของเดิมสุดๆ กว่า 230 เท่า!!!

    อะไรมันจะรวดเร็วขนาดน้านนนนนน ขนาดที่บางประเทศความเร็วของอินเตอร์เน็ตยังช้าเหมือนหอยทากเป็นตะคริวอยู่ แต่เมืองผู้ดีเขาก้าวล้ำไปไหนต่อไหนแล้วล่ะ!!! Gigaclear บริษัทสัญชาติอังกฤษ ที่สามารถให้คุณใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วจิ๊บๆ 5GB ต่อวินาทีเท่านั้นเอง เห้ยยยย!!! ดูผิดป่าวเนี่ย 5GB เหรอ!!!   ซึ่งความเร็วของอินเตอร์เน็ตตัวใหม่นี้ จะรวดเร็วกว่าของเดิมถึง 230 เท่า!!!   จากผลการสำรวจของทาง Ofcom อัตราความเร็วของอินเตอร์เน็ต เฉลี่ยทั่วสหราชอาณาจักรจะอยู่ที่ราวๆ 22MB ต่อวินาที นั่นหมายถึงบริษัทนี้สามารถให้บริการอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดมากกว่าเดิม 227 เท่า และอัพโหลดถึง 1,000 เท่า!!! บริษัทนี้เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆ ติดตั้งอินเตอร์เน็ตใช้กันเองในกลุ่มพวกเขาเอง ก่อนที่จะขยายตัวมาเรื่อยๆ ถึงอินเตอร์เน็ตจะมีความเร็วแบบสุดๆ แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงเช่นกัน สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ต่อเดือนจะอยู่ที่ราวๆ 399 ปอนด์ หรือ 21,900 บาท และภาคธุรกิจ 82,500 บาทด้วยกัน ซึ่งตอนนี้มีผู้เข้าร่วมใช้บริการนับหมื่นรายแล้วล่ะ   และในขณะเดียวกัน บริษัทดังอย่าง Google ก็ได้ประกาศเปิดตัวอินเตอร์เน็ตความเร็ว 1GB สำหรับผู้ใช้ในประเทศอเมริกาแล้วล่ะ อื้อหือออ   แหม…เหมียวนี่อิจฉาเขาจริงๆ…

  • ปิดตำนานค่ายหนังอารมณ์ดี GTH “ขอบคุณที่รักกัน”

    ปิดตำนานค่ายหนังอารมณ์ดี GTH “ขอบคุณที่รักกัน”

      ในช่วงที่หนังไทยไม่ค่อยได้รับความสนใจนัก ยังมีหนังจากค่าย GTH หรือชื่อเต็มๆว่า “จีเอ็มเอ็ม ไท หับ” ที่ช่วยให้หนังไทยกลับมาน่าดูได้อีกครั้ง ด้วยคุณภาพหนังดีแทบทุกเรื่อง ทำให้ผู้คนเลือกที่จะดูหนังของ GTH เป็นอันดับต้นๆ GTH เกิดขึ้นหลังจากจีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์, ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และหับโห้หิ้น ฟิล์ม จับมือกันสร้างภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” ในปี 2546 และโด่งดังประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ได้ทำภาพยนตร์ดีๆมามากอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, ห้าแพร่ง, รถไฟฟ้า มาหานะเธอ, กวน มึน โฮ และ ลัดดาแลนด์ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน ก็ได้มีแถลงการณ์ออกมาที่เว็บไซต์หลักของ GTH ว่าด้วยการยุติการดำเนินงานของบริษัท ใจความว่า   “ขอขอบพระคุณทุกๆท่านทั้ง แฟนๆ บริษัทคู่ค้า ตลอดจนนักแสดงและศิลปินต่างๆที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและช่วยขับเคลื่อนเราตลอดมา จุดเริ่มต้นของ บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด (GTH) มาจากการรวมตัวของ 3 บริษัท คือ บริษัท…

  • Google มอบรางวัลให้อดีตพนักงานที่ซื้อเว็บบริษัท เพิ่มให้เป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าเขาจะนำไปบริจาค!!

    Google มอบรางวัลให้อดีตพนักงานที่ซื้อเว็บบริษัท เพิ่มให้เป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าเขาจะนำไปบริจาค!!

    เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจกับกรณีของพ่อหนุ่ม Sanmay Ved อดีตพนักงานของบริษัท Google จากข่าวก่อนหน้านี้ที่เหมียวเคยนำเสนอไปแล้ว ซึ่งทาง Google เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ทราบถึงข้อบกพร่องของระบบดังกล่าวต้องรีบแก้ไขโดยด่วน     ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจาก Sanmay Ved เป็นผู้ที่เจอข้อบกพร่องของระบบ ทางบริษัทก็ยินดีมอบเงินรางวัลเป็นการตอบแทน ซึ่งเจ้าตัวก็กล่าวเอาไว้ว่า ‘ผมไม่สนใจเงินรางวัลอะไรนั่นหรอก ผมแค่อยากจะให้กรณีนี้เป็นตัวอย่างในการหาข้อผิดพลาดก็เท่านั้นเอง’   โดยระเบียบทั่วไปของบริษัทนั้นจะมอบเงินรางวัลให้กับผู้ที่สามารถค้นหาข้อบกพร่องเป็นการตอบแทนอยู่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการหาช่องโหว่ความปลอดภัยของระบบ     อย่างไรก็ตามเขาก็เลือกที่จะนำเงินรางวัลที่ว่านี้ มูลค่ามากกว่า 1 หมื่นดอลลาร์ (355,000 บาท) มอบให้องค์กรการกุศลของอินเดียแทน เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษาในสลัม ซึ่งหลังจากบริษัท Google ได้ทราบเรื่องเงินที่เขานำไปใช้ ก็เพิ่มเงินบริจาคให้เป็นสองเท่าไปเลย!! ที่มา : businessinsider

  • ผวาหนัก เมื่อบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ออกมาเผย อีกไม่กี่ปีนี้โลกอาจประสบภาวะ ‘ขาดแคลนกาแฟ’ อย่างหนัก!!!

    ผวาหนัก เมื่อบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ออกมาเผย อีกไม่กี่ปีนี้โลกอาจประสบภาวะ ‘ขาดแคลนกาแฟ’ อย่างหนัก!!!

    ใจเย็นๆ นะทุกคน เรื่องนี้ถือเป็นหายนะร้ายแรงของโลกเลยทีเดียวถ้าเกิดขึ้นจริง เมื่อทางบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลี ได้ออกมาเผยข้อมูลว่าภาวะขาดแคลนกาแฟโลกอาจเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้!!! Andrea Illy ซีอีโอของ Illycafe ได้ออกมากล่าวว่า ‘ภาวะขาดแคลนกาแฟเกิดจากการบริโภคที่มากขึ้น ในทศวรรษหน้าเราอาจต้องใช้เมล็ดกาแฟ 40 – 50 ล้านถุงเลยทีเดียว’   ภาวะขาดแคลนกาแฟ ถ้าสงสัย 40-50 ล้านถุงนี่เยอะขนาดไหน คำตอบคือเยอะกว่าพืชผักทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวได้จากบราซิลเสียอีก!!! แถมสถานการณ์ยังเลวร้ายมากขึ้น จากการที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และราคาของเมล็ดกาแฟที่ไม่ค่อยคุ้มทุนเท่าไหร่ จึงทำให้ผู้ปลูก ล้มเลิกไปหลายราย Andrea Illy ยังกล่าวเสริมอีกว่า ‘ในอีกไม่กี่ปีนี้เราต้องตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหานี้ ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะไปหาส่วนที่ขาดไปจากไหน’   ภาวะขาดแคลนกาแฟ ถ้าสภาพอากาศยังเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ จะทำให้ผลผลิตกาแฟโดยเฉพาะจากบราซิล ลดลงถึง 1 ใน 4 แถมประเทศในแถบนั้นที่ผลิตเมล็ดกาแฟก็จะประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ผกผันกับการผลิต อัตราการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 25 ใน 5 ปีมานี้ จากการสำรวจของ International Coffee Organization (ICO) โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย จีน…

  • บริษัทผลิตหนังโป๊เสนอค่าตัว 356 ล้านบาท เพื่อให้ ‘Kylie Jenner’ เล่นหนังโป๊คู่แฟนหนุ่ม!!

    บริษัทผลิตหนังโป๊เสนอค่าตัว 356 ล้านบาท เพื่อให้ ‘Kylie Jenner’ เล่นหนังโป๊คู่แฟนหนุ่ม!!

    เรียกได้ว่าเพิ่งฉลองวันเกิดอายุครบ 18 ปีได้ไม่กี่เดือน ก็ถูกค่ายผลิตหนังผู้ใหญ่รุมแย่งกันเป็นแถวซะแล้ว สำหรับสาวสวยเซ็กซี่ขยี้ใจอย่าง Kylie Jenner  แห่งตระกูลคาร์เดเชียนคนนี้ ที่ดูเหมือนว่ากำลังเนื้อหอมสุดๆ เพราะเธอได้รับข้อเสนอมากมายจากบริษัทผลิตหนังโป๊ โดยต้องการให้เธอและ ‘Tyga’ แฟนหนุ่ม  มาถ่ายเซ็กส์เทปด้วยกันยังไงละเหมียว     นอกจากนี้ทางบอสใหญ่แห่ง Vivid Entertainment หนึ่งในบริษัทผลิตหนังผู้ใหญ่ จะให้ค่าตอบแทนเธอถึง 356 ล้านบาทกันเลยทีเดียว แถมยังบอกกับเธอด้วยว่าเซ็กส์เทปของเธอ จะทำให้เธอมีชื่อเสียงมากขึ้น     ส่วน BangYouLater บริษัทคู่แข่ง ได้บอกกับเธออีกเช่นกันว่า ถ้า Kylie ตอบรับข้อเสนอทั้งหมด เธอจะมีชื่อเสียง ที่โด่งดังมากกว่า Kim Kardashian และ Paris Hilton เสียอีก     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกระแสข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทางตัวแทนของ Kylie Jenner ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ เลย   ที่มา : mirror

  • CAPCOM ประกาศขอร้องให้หยุดพัฒนา Resident Evil 2 Reborn เพราะเดี๋ยวเรารีเมคเอง!!

    CAPCOM ประกาศขอร้องให้หยุดพัฒนา Resident Evil 2 Reborn เพราะเดี๋ยวเรารีเมคเอง!!

    หลังจากที่ได้มีการเปิดตัวการรีเมคเกม Resident Evil 2 Reborn ด้วยขุมพลัง Unreal Engine 4 ไปแล้ว ทำให้แฟนๆ ทั่วโลกรู้สึกขนลุกและตื่นเต้นไปตามๆ กัน และลุ้นว่าเมื่อไหร่จะปล่อยตัวเต็มให้เห็นกันเป็นบุญตาเสียที!? และล่าสุดนี้ทางบริษัท CAPCOM ผู้เป็นเจ้าของซีรีย์นี้ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า พวกเราจะทำ Resident Evil 2 ฉบับรีเมคเอง!! พอประกาศออกมาแบบนี้แล้วก็เลยเจรจากับทาง Invader Games ทีมผู้พัฒนา Resident Evil 2 Reborn ว่าให้ยุติโครงการนี้เสีย   InvaderGames closes down the project of Resident Evil 2 Reborn and is invited by Capcom to discuss further ideas Hello… Posted by Invader…

  • บริษัทโทรศัพท์ออกโปร ‘พิซซ่าฟรี’ แต่ลูกค้าไม่ได้เลยงอน ต้องตามง้อด้วย ‘พิซซ่าฟรี’ 1 ปี!!

    บริษัทโทรศัพท์ออกโปร ‘พิซซ่าฟรี’ แต่ลูกค้าไม่ได้เลยงอน ต้องตามง้อด้วย ‘พิซซ่าฟรี’ 1 ปี!!

    เรื่องราวอันแสบสันของการแก่งแย่งชิงลูกค้า ด้วยบริการอันเป็นเลิศของสองบริษัทโทรศัพท์จากประเทศสหราชอาณาจักร เริ่มแรกจากบริษัท O2 ที่ออกโปรโมชั่นแถมพิซซ่าฟรีให้กับลูกค้า แต่โชคร้ายสำหรับพ่อหนุ่ม Dan May ที่ไม่ได้รับพิซซ่าฟรีอย่างที่โปรโมตเอาไว้ เขาก็เลยทำการทวีตประชดประชันว่าจะย้ายไปเป็นลูกค้าของบริษัท Three UK แทน ถือเป็นโอกาสทองของทาง Three UK เสนอโปรโมชั่นสมนาคุณต้อนรับให้กับลูกค้าใหม่ทันที พร้อมที่จะมอบพิซซ่าและไอศกรีมให้กับพ่อหนุ่ม Dan May เห็นแบบนี้ก็ท่าจะไม่ดีซะแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง O2 จะต้องเสียลูกค้ารายนี้ไปแน่ๆ ก็เลยแก้เกมด้วยการง้อส่งโปรโมชั่นพิซซ่าฟรี 1 ปีให้ทันที และแล้วพิซซ่าพร้อมกับไอศกรีมอันแสนอร่อยจากบริษัทคู่แข่งก็ส่งให้ถึงกับมือเจ้าตัว ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทั้งสิ้น เขาทวีตโชว์หลักฐานให้ดูเลย!! O2 ก็บอกไปว่ากรุณาตรวจข้อความส่วนตัวด้วย เรามอบสิทธิพิเศษพิซซ่าฟรี 1 ปีให้ไปแล้ว โอ้วววว!! เอ็งทำไมโชคดีอย่างนี้ฟะเนี่ย? ที่มา : thechive

  • ยอด CEO ตุรกี แชร์เงินกว่า 27 ล้านเหรียญกับพนักงาน ด้วยแนวคิดที่น่าชื่นชมสุดๆ

    ยอด CEO ตุรกี แชร์เงินกว่า 27 ล้านเหรียญกับพนักงาน ด้วยแนวคิดที่น่าชื่นชมสุดๆ

    นี่สิ ‘ผู้นำ’ ที่ไม่ได้เป็นแค่เจ้านาย และแน่นอนว่าเขาคงเป็นต้นแบบนายจ้างที่ทุกๆ คนตามหาอยู่อย่างแน่นอน…พบกับ Nevzat Aydin ผู้รั้งตำแหน่ง CEO แห่ง Yemeksepti.com เว็บไซต์ส่งอาหารสัญชาติตุรกี ซึ่งสิ่งที่เขาทำให้คนทั้งโลก ภาคธุรกิจ รวมถึงเหล่าพนักงานตาดำๆ ของเขาให้ต้องอ้าปากค้างก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ที่เขาได้ทำการขายบริษัทของเขาไปเป็นจำนวน 27 ล้านเหรียญ หรือราวๆ กว่า 90 ล้านบาท แล้วมอบทั้งหมดให้กับเหล่าพนักงานและผู้ร่วมงานของเขา!!! โฉมหน้าของ Nevzat Aydin ถ้าเฉลี่ยแล้วแต่ละคนก็จะได้รับเงินราวๆ คนละ 237,000 เหรียญ หรือราวๆ 7 ล้านบาทด้วยกัน โดยจะแบ่งให้กับทั้ง 114 คนที่เป็นพนักงานอยู่ร่วมสู้เคียงข้างเขามาตลอด ซึ่งเปอเซ็นต์แต่ละคนที่จะได้รับขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันมา ความสามารถ และแน่นอนศักยภาพของพวกเขา โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า ‘บริษัทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน หลายๆ คนที่ทำงานร่วมกับผมมาใช้ทั้งความสามารถ พรสวรรค์ ความขยันขันแข็ง และประสบการณ์ของพวกเขา บริษัทเราจึงมีวันนี้ได้ บริษัทนี้จึงเป็นของทุกๆ คน’ ซีอีโอชื่อดังกล่าว ซึ่งปกติแล้วพนักงานจะได้รับเงินอยู่ราวๆ…

  • เมื่อพนักงานร้านกาแฟแห่งนี้ ‘เปลือย’ ทั้งร้าน งานนี้ทำเอาลูกค้าถึงกับตกอกตกใจไปตามๆ กัน

    เมื่อพนักงานร้านกาแฟแห่งนี้ ‘เปลือย’ ทั้งร้าน งานนี้ทำเอาลูกค้าถึงกับตกอกตกใจไปตามๆ กัน

    เมื่อคุณได้เดินเข้าไปภายในร้านกาแฟแห่งนี้ เชื่อว่าถ้าหากไม่ได้สังเกตดีๆ คุณก็อาจจะคิดว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อยใช่ไหมล่ะ แต่…คุณลองสังเกตเหล่าพนักงานในร้านให้ดีๆ ว่าพวกเขามีอะไรผิดปกติไปหรือไม่ หากไม่บอกก็คงไม่รู้แน่นอนว่าพนักงานทั้งหมดในร้านกาแฟ Natural Bliss Cafe แห่งนี้ กำลังเปลือยกายอยู่!!     ใช่แล้ว!! พวกเขากำลังเปลือยกาย โดยการบอดี้เพ้นท์ตัวเองเป็นเครื่องแบบพนักงานอยู่นั่นเอง แถมลูกค้าบางคนที่เป็นหน้าม้าก็เปลือยกายบอดี้เพ้นท์เหมือนกัน งานนี้ทำเอาลูกค้ารายอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงกับงง และตกใจกันเป็นแถวเลยล่ะ     แต่ความจริงแล้ว นี่คือแคมเปญโฆษณาของของผลิตภัณฑ์ครีมเทียมคอฟฟี่เมตตัวใหม่ ที่ได้เหมาร้านกาแฟในนิวยอร์ก เพื่อทำการถ่ายโฆษณาไวรัลสำหรับสื่อออนไลน์นั่นเอง       โดยผลิตภัณฑ์ครีมเทียมตัวใหม่นี้ จะเน้นส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้พนักงานทุกคนในร้านต้องเปลือยกาย เพื่อจะสื่อถึงธรรมชาติยังไงล่ะเมี๊ยว       นอกจากนี้ลูกค้าที่มาใช้บริการยังต้องประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ว่ากาแฟที่เขาสั่งไม่ต้องจ่ายเงินสักบาท แถมยังมีรสชาติที่ดีอีกด้วย ถือเป็นการสร้างงานโฆษณาที่สร้างสรรค์มากเลยทีเดียว ที่มา : adweek

  • 10 นวัตกรรมจากบริษัท Google ที่จะมาเปลี่ยนโลกมนุษย์ในยุคอนาคต!!

    10 นวัตกรรมจากบริษัท Google ที่จะมาเปลี่ยนโลกมนุษย์ในยุคอนาคต!!

    ในหนึ่งวันที่โลกค่อยๆ หมุนไปอย่างช้าๆ แต่เทคโนโลยีไม่เคยหยุดเพัฒนาเลยแม้แต่น้อย กลับพัฒนาไปได้ไกลอย่างก้าวกระโดดเกินจินตนาการที่เคยคาดเดากันเอาไว้แล้ว หนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมมากมายอย่าง Google นั้น หากประสบความสำเร็จและนำมาใช้ได้จริง อาจจะเปลี่ยนโลกนี้ไปเลยก็เป็นได้   Project Loon   โปรเจคบอลลูนลอยฟ้าที่ไม่ใช่บอลลูนธรรมดา จะสามารถเชื่อมคนทั้งโลกไว้ด้วยกันด้วยการปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายให้ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในซีกไหนของโลก   กองทัพหุ่นยนต์ของ Google   Google เองก็แอบซุ่มพัฒนาหุ่นยนต์เหมือนกันนะเออ มีทั้งหุ่นยนต์ทั่วๆ ไปที่สามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ไปจนถึงหุ่นยนต์รบกันเลยทีเดียว   Calico   หนึ่งในโครงการที่จะสร้างความอมตะให้กับมนุษย์ Google ได้ร่วมมือกับ Dr. Arthur Levinson เพื่อคิดค้นกระบวนการชะลอความชราในร่างกายมนุษย์   Google Contact Lens   ในเมื่อมีแว่นแล้ว คนที่ไม่ชอบใส่แว่นก็คงจะเกลียด Google Glass ไปเลย แล้วทำไมไม่ทำคอนแทคเลนส์บ้างล่ะ? เพิ่มฟังก์ชั่นวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเข้าไปด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด มันจะล้ำเกินไปแล้ว!!   Liftware   อุปกรณ์ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (มีความผิดปกติของระบบการเคลื่อนไหว) สามารถทานอาหารเองได้…