Tag: วิจัย

  • พบกับ ‘ลูกสิงโตหลอดแก้ว’ สองตัวแรกของโลก ความสำเร็จที่ช่วยให้รอดจากการ ‘สูญพันธุ์’

    พบกับ ‘ลูกสิงโตหลอดแก้ว’ สองตัวแรกของโลก ความสำเร็จที่ช่วยให้รอดจากการ ‘สูญพันธุ์’

    ถึงแม้เหล่าแมวยักษ์อย่างเสือและสิงโตจะเป็นสัตว์ป่าดุร้ายและอันตรายต่อมนุษย์ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ที่ไม่มีใครอยากให้มันต้อง “สูญพันธุ์” ไป ช่วงระยะหลังสัตว์จำพวกนี้มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราจะสามารถช่วยเหลือเหล่าเสือสิงโตจากการสูญพันธุ์ได้แล้วด้วยการ เพาะเลี้ยงทารกในหลอดแก้ว เจ้า Victor และ Isabella เป็นลูกสิงโตสองตัวแรกที่ถูกเพาะเลี้ยงจากหลอดแก้วได้สำเร็จ นอกจากทั้งคู่จะเป็นความภาคภูมิใจของแม่สิงโตแล้วยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า “สปีชีส์ของมันยังไม่สูญพันธุ์” อีกด้วย   เจ้า Victor และ Isabella (น่ารักมากเลย)   นักวิจัยเผยว่าความสำเร็จในการเพาะลูกสิงโตสองตัวนี้เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ หลังพยายามหาวิธีรักษาเผ่าพันธุ์ของแมวยักษ์เหล่านี้มาเนิ่นนาน ทั้งคู่กำเนิดขึ้นมาได้หลังทำการปฏิสนธิเทียมกับแม่สิงโตเป็นเวลาครึ่งเดือน โดยปัจจุบันสามแม่ลูกนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงและปกติดีในศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าประเทศแอฟริกาใต้   เจ้าสิงห์น้อยเพิ่งคลอดอายุได้ราวหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง   ก่อนหน้านี้ สิงโตกำลังมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีภาวะคงตัวมากขึ้นในแอฟริกาใต้ ทำให้พวกมันกลายเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการทดลองเพาะเลี้ยงในหลอดแก้ว ซึ่งหากสำเร็จจะสามารถนำไปใช้กับสัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ได้ Dr. Isabel Callealta หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า “การวิจัยของเรา ในอนาคตตั้งใจจะใช้วิธีเดียวกันนี้กับสัตว์สายพันธุ์แมวยักษ์ชนิดอื่นๆ เช่น เสือดาวหิมะและเสือโคร่ง เป็นต้น”     ปัจจุบันเป็นที่คาดว่ามีเสือโคร่งในทวีปเอเชียอยู่ไม่ถึง 4,000 ตัว และมีเสือดาวหิมะอยู่ไม่ถึง 7,000 ตัวในเอเชียกลาง ส่วนลิงซ์สเปนเองก็มีไม่ถึง 300 ตัวในประเทศสเปน ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ได้ผลิตตัวอ่อนของสิงโตแอฟริกันจากรังไข่แช่แข็งเป็นที่สำเร็จแล้ว…

  • มาดู! งานวิจัยทางสถิติเผย จำนวนครั้งของการ “มีเซ็กส์” ที่เหมาะสมกับช่วงอายุคุณ!

    มาดู! งานวิจัยทางสถิติเผย จำนวนครั้งของการ “มีเซ็กส์” ที่เหมาะสมกับช่วงอายุคุณ!

    การมีเซ็กส์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะนั่นคือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตต้องกระทำเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองให้อยู่รอด อย่างไรก็ตาม เซ็กส์ ก็ยังคงเป็นปัญหาในสังคมมนุษย์อยู่อย่างต่อเนื่อง อาจจะด้วยสาเหตุที่ว่าคนเรามีพฤติกรรมการมีเซ็กส์ที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้าหากคนเรารู้จักป้องกันตัวเองจากผลเสียที่จะตามมา การมีเซ็กส์ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว วันนี้เราลองมาดูสถิติของ ผู้คนในแต่ละช่วงอายุ กันดีกว่า ว่าพวกเขามีเซ็กส์โดยเฉลี่ย บ่อยขนาดไหน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่า อายุอย่างเราๆ ควรมีเซ็กส์บ่อยครั้งเท่าไหร่ถึงจะอยู่ในค่าเฉลี่ยได้     ข้อมูลการศึกษาจากสถาบันวิจัยทางเพศ Kinsey Institute เผยว่าคนวัยรุ่นหนุ่มสาวใน ช่วงอายุ 18-29 ปี นั้นมีอัตราการมีเซ็กส์โดยเฉลี่ยบ่อยครั้งที่สุด นั่นคือ 112 ครั้งต่อปี หรือประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รองลงมาก็จะเป็น ช่วงอายุ 30-39 ปี ที่มีอัตราการมีเซ็กส์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 86 ครั้งต่อปี หรือเท่ากับราวๆ 1.6 ครั้งต่อสัปดาห์ และใน ช่วงวัย 40-49 ปี นั้นจะมีอัตราการมีเซ็กส์ลดลงมาเหลืออยู่ที่ 69 ครั้งต่อปี ถือว่าน้อยกว่ากลุ่มวัยรุ่น 18-29 ปีเกือบครึ่งเลยทีเดียว     อย่างไรก็ดี ผู้ที่อยู่ในวัย 40 อัปไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของค่าสถิติไป…

  • 12 สิ่งที่ควรเปลี่ยนจากทำตอนเช้า มาเป็นทำ “ก่อนเข้านอน” แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น

    12 สิ่งที่ควรเปลี่ยนจากทำตอนเช้า มาเป็นทำ “ก่อนเข้านอน” แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น

    หลายคนอาจคิดว่า เวลากลางคืนก่อนจะนอนนั้นควรเป็นเวลาพักผ่อนจากกิจกรรมต่าง แล้วค่อยเริ่มใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ที่จริงแล้ว บางอย่างหากว่าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามันควรทำในเวลา “กลางคืน” งานวิจัยในยุคปัจจุบันแนะนำว่ามี 12 สิ่งที่คนเราควรทำ แทนที่จะเป็นเวลาเช้า ให้เปลี่ยนมาทำในเวลากลางคืนจะดีกว่า 12 สิ่งที่ว่า จะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลย…   1. การทานเนื้อหรือคอทเทจชีส   หลายคนอาจทราบว่าการทานอาหารก่อนนอนนั้นทำให้นอนหลับได้ยาก แต่ถ้าหากเป็นอาหารให้โปรตีนสูงอย่างเนื้อหรือชีสสด (Cottage Cheese) นั้นจะ ทำให้การนอนหลับของคุณดีขึ้น เพราะว่าอาหารเหล่านี้นอกจากจะมีโปรตีนสูงแล้วยังมีสาร Tryptophan ที่ช่วยในเรื่องของการนอนหลับอีกด้วย ผัก ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักสำหรับทานก่อนเข้านอนเพราะอาจทำให้ลงพุงได้ และไม่ควรปล่อยให้ตัวเองหิว เพราะความหิวก็อาจทำให้คุณนอนไม่หลับได้เช่นกัน   2. เดิน   การเดินก่อนเข้านอนจะทำให้คุณมีสมาธิอยู่กับตัวเองและ ลืมความกังวลที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ส่วนการเดินตอนเย็นนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ได้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กและ แจ็ค ดอว์ซีย์ ผู้บริหารทวิตเตอร์ ชื่นชอบการเดินตอนเย็นมาก เพราะไอเดียและวิธีใหม่ๆ ในการแก้ปัญหามักจะเกิดขึ้นในใจขณะกำลังเดิน   3. คิดแผนที่ต้องทำสำหรับวันต่อไป   การคิดแผนในตอนเช้าจะทำให้เรารีบและอาจหลงลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่าย แต่การคิิดวางแผนในตอนกลางคืนนั้นจะทำให้เรา…

  • งานวิจัยคอนเฟิร์มแล้วว่า “คนมีคู่…จะอ้วนขึ้น” มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

    งานวิจัยคอนเฟิร์มแล้วว่า “คนมีคู่…จะอ้วนขึ้น” มาดูกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

    การมีคนรักหรือมีแฟนนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ เพราะว่าเมื่อคุณมีคนรัก อะไรๆ ก็ดีไปหมด คุณจะไม่เหงา มีคนคอยอยู่ข้างๆ มีคนให้นอนจับมือกันเล่นๆ อะไรก็ว่าไป แต่หารู้ไม่ว่า การมีแฟนก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ ซึ่งเจ้าข้อเสียนี้เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ค่อยชอบเสียด้วย นั่นคือ “ความอ้วน” นั่นเอง     ผลงานการศึกษาชิ้นใหม่จาก University of Queensland ในออสเตรเลีย ได้ผลลัพธ์ออกมาว่า การที่คนเรามีคู่รักนั้นจะทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น การศึกษาดังกล่าว เก็บข้อมูลมาจากผู้คนจำนวน 15,000 คน โดยพบว่าผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่รักนั้นจะมีน้ำหนักมากกว่าคนโสดโดยเฉลี่ยถึง 5.8 กิโลกรัม     ที่ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าผู้ที่มีแฟนแล้ว มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8 กิโลกรัมต่อปี โดยทางผู้วิจัยกล่าวว่า “ผู้ที่แต่งงานหรือว่ากินอยู่กัน จะมีการทานอาหารร่วมกันบ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เถอะ แต่ว่าพวกที่มีคู่นั้นจะมีแนวโน้มที่จะทานอาหารมากขึ้นกว่าตอนที่ทานคนเดียว ฉะนั้น เขาจึงรับพลังงานเข้าร่างกายมากขึ้น” ทั้งนี้ งานศึกษาวิจัยยังพบอีกว่า คู่ที่แต่งงานแล้ว หรือคู่ที่อยู่ด้วยกันยังมีการส่งเสริมพฤติกรรมทำลายสุขภาพมากขึ้นอีกด้วย เช่น กิน ดูทีวี และดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน เป็นต้น    …

  • อยากรู้มั้ย…ว่าผู้หญิงมีอะไรที่ดึงดูดผู้ชายบ้าง? มาดูคำตอบที่นักวิทยาศาสตร์ให้มากันเถอะ

    อยากรู้มั้ย…ว่าผู้หญิงมีอะไรที่ดึงดูดผู้ชายบ้าง? มาดูคำตอบที่นักวิทยาศาสตร์ให้มากันเถอะ

    ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องอยากสวย อยากหล่อ อยากดูดีกันทั้งนั้นแหละจริงไหมล่ะ? ในแง่หนึ่ง ก็จริงอยู่ที่ว่าการที่เราหน้าตาดีนั้นอาจจะช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่ว่ามันก็ไม่จริงเสมอไป สำหรับคุณผู้หญิง นักวิทยาศาสตร์ได้เผยออกมาแล้วว่า ที่จริง ผู้ชายน่ะ ไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยใบหน้าสวยๆ ของคุณผู้หญิงเสมอไปนะ มันอยู่ที่หลายๆ อย่างประกอบกัน แล้วไอ้หลายๆ อย่างที่ว่านั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ ถ้าอยากรู้ เชิญไปรับชมพร้อมๆ กันเลย!!   1. รูปร่าง   โดยปกติแล้วยามที่ผู้ชายมองผู้หญิง ก็มักจะเกิดความคิดเกี่ยวกับการมีลูกกับคนๆ นั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น สมองของผู้ชายส่วนใหญ่จึงมักสั่งให้พวกเขามองหาผู้หญิงที่มี สะโพกผาย และ เอวคอด ดูสุขภาพดีและสมบูรณ์   2. รอยยิ้ม   ผู้หญิงที่ยิ้มเก่งนั้นย่อมเป็นจุดสนใจ และดึงดูดผู้ชายได้ดีเลยล่ะ เพราะผู้ชายมักจะคิดว่าการยิ้มนั้นถือเป็นการเปิดช่องทางให้เพศชายเข้าหาได้ แต่ที่จริงมันมีรายละเอียดมากกว่านั้น เพราะผู้ชายมักมองที่ “ฟัน” ของผู้หญิงด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะไม่จำเป็นจะต้องฟันสวยแบบดารา แค่เพียงไม่มีกลิ่นปากที่แย่ และฟันไม่เหลืองก็พอแล้ว เพราะสุขภาพของฟันสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพร่างกาย และวิธีการดูแลร่างกายยังไงล่ะ   3. สัดส่วนใบหน้าที่สมมาตร   ใบหน้าที่สมมาตรนั้นถือเป็นปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเพศชายได้เลยทีเดียว เพราะสมองของคนเรานั้นจะรับรู้ได้ถึงใบหน้าที่สมมาตรได้รวดเร็วกว่าใบหน้าที่ไม่สมมาตร…

  • รู้หรือไม่ว่า การอาบน้ำพร้อมๆ กับจิบเบียร์ไปด้วย อาจช่วยให้คุณฉลาดขึ้น!?

    รู้หรือไม่ว่า การอาบน้ำพร้อมๆ กับจิบเบียร์ไปด้วย อาจช่วยให้คุณฉลาดขึ้น!?

    หลังจากเครียดและเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน แน่นอนว่าคนเราย่อมต้องการการพักผ่อนที่ดี เช่น การอาบน้ำให้สบายตัว หรือการหาเครื่องดื่มเย็นๆ มานั่งดื่มให้สบายใจ แหม่ พูดแล้วก็อยากจะไปอาบน้ำพร้อมกับหาเบียร์เย็นๆ มาจิบเสียหน่อย     งงล่ะสิว่าทำไมไม่อาบน้ำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาจิบเบียร์ แสดงว่ายังไม่รู้สินะ ว่าปัจจุบันได้มีผลการทดลองออกมาแล้วว่า การดื่มเบียร์ขณะที่อาบน้ำนั้นนอกจากจะเป็นการผ่อนคลายแล้ว มันยังทำให้คนเรา “ฉลาด” มากขึ้นด้วย!! อ่านไม่ผิดหรอกครับ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ การทดลองจาก มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ที่นำชาย 40 คน มาเข้าร่วมทดลองโดยการ ให้พวกเขาแก้ปัญหาลับสมองหลายๆ ข้อ ผลปรากฏออกมาว่ากลุ่มชายที่ดื่มเบียร์ 1-2 แก้วก่อนทำ จะสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มถึง 40 เปอร์เซ็นต์     อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยา Jennifer Wiley ได้ออกมาชี้แจงว่าการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่ได้ทำให้มีความฉลาดมากขึ้นโดยตรง เธอกล่าวว่า “ผู้คนที่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 0.07 จะมีความจำที่แย่ลง แต่จะมีความคิดการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์ขึ้น” แต่เธอก็ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี เธอบอกว่า “สรุปก็คือ การตั้งใจและจดจ่ออยู่กับปัญหา หรือการมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ จะทำให้มีการแก้ไขปัญหาที่ดี แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก ความคิดใหม่ๆ บางที่ก็มาจากการที่ไม่ได้ตั้งใจหรือจดจ่อ การสูญเสียสมาธิบางทีมันก็ดีนะ”    …

  • นักวิทย์ฯ เผยเราสามารถช่วยให้คนตาย “ฟื้น” ขึ้นมาได้ หากทำในช่วงเวลาที่ถูกต้อง…

    นักวิทย์ฯ เผยเราสามารถช่วยให้คนตาย “ฟื้น” ขึ้นมาได้ หากทำในช่วงเวลาที่ถูกต้อง…

    ความตาย เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะต้องพบเจอทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่คนเราพบเจอกับ “ความตาย” นั่นหมายถึงว่า เราต้องสิ้นสุดการใช้ชีวิตบนโลกนี้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กลัวความตายมากๆ เรามีข่าวดีมาฝาก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองแล้วพบว่า หลังจากที่มนุษย์สิ้นสุดลมหายใจไปแล้วนั้น ระบบสมองของมนุษย์ยังทำงานต่อได้อีกราว “ห้านาที” ฉะนั้น มันจึงหมายถึงว่า คนตาย มีโอกาสถูกช่วยให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้     กลุ่มนักประสาทวิทยาได้เฝ้าสังเกตสัญญาณไฟฟ้าในสมองของคน 9 คน ในช่วงเวลาที่เขาตายลง พบว่าเซลล์ต่างๆ เองก็เริ่มตายลง เมื่อไม่มีการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงใช้พลังงานทดแทนเลือดเติมเข้าไป ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายนั้นยังคงทำงานต่อได้ในระยะเวลาหนึ่งหลังหัวใจหยุดเต้น     ผลคือมันทำให้เซลล์ประสาทมีพลังงานหล่อเลี้ยงอย่าเหลือล้น แต่หลังจากนั้นมันก็จะนิ่งเงียบและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างถาวร ซึ่งอาการนิ่งเงียบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และทางกลุ่มผู้ทดลองเองก็พบว่ามันเป็นช่วงเดียวที่สามารถช่วยให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งได้ หัวหน้าผู้วิจัย Dr. Jens Dreier จาก วิทยาลัยการแพทย์ชาริเต้ กล่าวว่า “หลังจากที่ไม่มีเลือดหมุนเวียน มันจะเกิดการกลับขั้ว ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานเคมีไฟฟ้าในเซลสมองไป ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษในร่างกาย จนกระทั่งตายในที่สุด แต่ที่สำคัญก็คือ มันสามารถย้อนกลับได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราให้พลังงานคืนแก่ร่างกายผู้ตายตอนไหน”      สรุปก็คือ ขณะที่คนเราสิ้นชีวิตลง…

  • ผลวิจัยเผย ‘คนหัวล้าน’ จะดูดี มีความมั่นใจ แถมดูแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอีกต่างหาก!!

    ผลวิจัยเผย ‘คนหัวล้าน’ จะดูดี มีความมั่นใจ แถมดูแข็งแรงกว่าคนทั่วไปอีกต่างหาก!!

    ปัญหาหัวล้านกลายเป็นปัญหาที่น่าลำบากใจสำหรับผู้คนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเริ่มมีอายุมากขึ้น เพราะว่า การที่ผมหลุดร่วงออกไปนั้นมันเป็นเรื่องที่แก้ไขค่อนข้างยาก อีกทั้งเมื่อคนเราหัวล้านแล้ว มันยังทำให้รูปลักษณ์ของเราไม่เหมือนเดิมอีกด้วย     ผู้คนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาเส้นผมให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ถึงแม้มันจะยากลำบากก็ตาม แต่สำหรับทุกวันนี้ ใครที่รู้ตัวว่าหัวเริ่มล้านไม่ต้องพยายามทำอะไรให้ยากลำบากอีกแล้ว เพราะผลการวิจัยล่าสุดได้เผยออกมาแล้ว ว่าคนหัวล้านจะมีความมั่นใจ และมีความแข็งแกร่งมากกว่าคนปกติ โดยงานวิจัยดังกล่าวเป็นของนักจิตวิเคราะห์ที่ชื่อว่า Steve McKeown ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท MindFixers และเป็นเจ้าของคลินิก McKeown Mckeown กล่าวว่า “จากงานวิจัย 50 เปอร์เซ็นต์ของชายวัย 50 ปีจะมีอาการผมร่วง มันจึงทำให้มีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ บางทีอาจซึมเศร้า พร้อมกับความคิดที่ว่า ‘เราแก้ไขอดีตไม่ได้’ จึงไม่แปลกใจที่ทำให้มีชายหลายคนยอมเสียเงินไปเข้ารับการปลูกผมหรือปกปิดหัวล้าน”     ในการศึกษาวิจัยแรกนั้น เหล่าชายที่โกนหัวถูกให้คะแนนว่ามีความโดดเด่นมากกว่าชายที่มีผมเต็มหัวแบบคนปกติ ต่อมาในการศึกษาวิจัยครั้งที่สอง เหล่าชายที่ผมของพวกเขาถูกโกนออกด้วยวิธีดิจิตอล จะถูกมองว่าโดดเด่น ตัวสูง และแข็งแรงกว่าตัวตนจริงของพวกเขา McKeown อธิบายต่อว่า “การที่คุณหัวล้าน มันไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ในการศึกษาวิจัยผู้วิจัยพบว่า ชายหัวล้านจะถูกมองว่ามีความโดดเด่น มีความมั่นใจ มีความเป็นชายชาตรี มีความแข็งแรง และตัวสูงมากกว่าปกติ ในการศึกษาเขาให้ผู้ที่เข้าร่วมทำการวิจัย มีการให้คะแนนต่างๆ กับภาพของชายสองกลุ่ม ภาพกลุ่มแรกก็คือผู้ชายปกติ ส่วนภาพกลุ่มที่สองนั้นก็คือภาพชายกลุ่มแรกที่ใช้ระบบดิจิตอลตัดต่อผมออก…

  • นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่แล้วว่า ‘ดวงจันทร์’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่แล้วว่า ‘ดวงจันทร์’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    มนุษย์โลกรู้จัก “ดวงจันทร์” มานานแสนนานแล้ว มีความเชื่อเกี่ยวกับพระจันทร์มากมายทั้งตำนานที่แต่งขึ้นหรือจะเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบริวารดวงน้อยของโลกนี้ ถือกำเนิดเกิดมาได้อย่างไร     วิทยาการต่างๆ ของมนุษย์นั้นสามารถนำพาเราขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้ และทำให้เกิดทฤษฎีที่ว่า ดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารในอวกาศที่ล่องลอยอยู่รอบดวงอาทิตย์ โดยเกิดขึ้นพร้อมกับโลก หรืออีกทฤษฎีหนึ่งที่บอกว่า ดวงจันทร์เกิดจากการปะทุของโลกที่กำลังประกอบตนเองขึ้น และทำให้มีมวลวัตถุจำนวนมากล่องลอยออกไปโคจรเป็นวงรอบโลก และประกอบตัวกันเป็นดวงจันทร์     ทั้งสองทฤษฎีที่กล่าวมานั้นมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่าโลกและดวงจันทร์นั้นประกอบขึ้นจากสสารและวัตถุที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องราวต้นกำเนิดของพระจันทร์ทั้งหมด ถึงแม้ทั้งโลกและดวงจันทร์จะมีวัตถุประกอบที่เหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่โดดเด่นพอที่จะมั่นใจได้ว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกัน จึงมีช่องโหว่ให้สงสัยได้ว่า ที่จริงแล้วดวงจันทร์อาจประกอบตัวเองขึ้นอย่างอิสระ Journal of Geophysical Research จึงมีงานวิจัยออกใหม่มาอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นของดวงจันทร์ แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ในเอกสารงานวิจัย นักวิจัยเชื่อว่าดวงจันทร์เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ Synestia ที่เมื่อวัตถุขนาดเท่าดวงดาว 2 ดวงปะทะกันแล้วเศษซากต่างๆ กลายเป็นไอระเหย รวมไปถึงหินหลอมเหลวร้อนจัดที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปวงแหวน แล้วหินเหล่านั้นก็รวมกันเป็นทรงกลมพร้อมกับลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว มันจึงเกิดเป็นดาวเคราะห์     การสันนิษฐานดังกล่าวนี้นักวิจัยเพียงเชื่อว่าสามารถอธิบายถึงการกำเนิดขึ้นและความสัมพันธ์ของโลกและดวงจันทร์ได้ โดยการชนกันของสองดาวเคราะห์นั้นทำให้เกิดการรวบรวมเอาหินหลอมระเหยไปประกอบเป็นดวงจันทร์ และส่วนที่เหลือซึ่งมีสถานะเป็นของแข็งก็รวมตัวกันเป็นโลก ทฤษฎีนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่งว่าทำไมดวงจันทร์และโลกจึงมีลักษณะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว   ที่มา: BGR

  • ผลการวิจัยเฉลยออกมาแล้วว่า คนรักหมา VS คนรักแมว ใครจะฉลาดกว่ากัน!!?

    ผลการวิจัยเฉลยออกมาแล้วว่า คนรักหมา VS คนรักแมว ใครจะฉลาดกว่ากัน!!?

    การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวหนึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบเลี้ยงเจ้าตูบ แต่บางคนอาจจะชอบเลี้ยงเจ้าแมวเหมียว ทั้งนี้การเลี้ยงหมาหรือแมวนั้นเองกลับมีสาวกเป็นสองกลุ่มที่ค่อนข้างชัดเจน นักวิจัยหลายคนจึงคิดว่า กลุ่มคนเลี้ยงหมา กับกลุ่มคนเลี้ยงแมวอาจจะไม่ได้แตกต่างกันเฉพาะเรื่องของความชอบของเท่านั้น ทำให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั้งสองกลุ่มนี้ขึ้นมา เช่น ความบุคลิกภาพระหว่างคนชอบเลี้ยงหมา กับคนชอบเลี้ยงแมว เป็นต้น     แต่วันนี้ได้มีการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ เกี่ยวกับคนที่ชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยง คำถามของงานวิจัยนี้ก็คือ คนเลี้ยงหมากับคนเลี้ยงแมว ใครฉลาดกว่ากัน? ทั้งนี้การศึกษาวิจัยจากคลินิก McKeown ได้เผยว่า “ผู้ชอบเลี้ยงแมว” นั้นจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกอ่อนไหว และยึดมั่นในความเชื่อของตนเองมากกว่า ในขณะที่ “ผู้ชอบเลี้ยงหมา” จะมีความเป็นกันเอง และจะชอบเข้าสังคมมากกว่า แถมจะสะท้อนนิสัยของสัตว์แต่ละตัวที่เขาเลี้ยงอีกด้วย     Steve McKeown จากคลินิก McKeown กล่าวว่า “คนชอบเลี้ยงแมวจะเป็นพวกหัวแข็ง เป็นพวกที่จะยึดมั่นในความเชื่อของตนเองมากๆ แม้ว่าจะมีความคิดของคนอื่นเสนอเข้ามาก็ตาม แถมยังสะท้อนนิสัยที่ไม่ค่อยยุ่งกับใครเหมือนกับเจ้าแมวอีกด้วย นอกจากนี้ คนชอบเลี้ยงแมวยังสามารถทำข้อสอบวัดสติปัญญาแล้วได้คะแนนสูงกว่า และดูจะมีการศึกษามากกว่าอีกด้วย พวกเขามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัยได้มากกว่าคนชอบเลี้ยงหมา แถมยังสามารถทำงานได้นานกว่า และยังสามารถเลือกเลี้ยงสัตว์ที่ส่งเสริมให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้อีกด้วย”     Denise Guastello ผู้ชวยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Carroll ซึ่งมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่า “มันก็สมเหตุสมผลนะที่คนชอบเลี้ยงหมาจะมีชีวิตชีวามากกว่า เพราะว่าเขาจ้องแต่จะออกไปเที่ยวข้างนอก พบเจอผู้คน และพาหมาของเขาไปเดินเล่น ขณะที่…

  • นักจิตวิทยาใช้เวลา 3 ปี หา ‘โรคจิต’ ในหนังกว่า 400 เรื่อง ที่เหมือนจริงมากที่สุด!!

    นักจิตวิทยาใช้เวลา 3 ปี หา ‘โรคจิต’ ในหนังกว่า 400 เรื่อง ที่เหมือนจริงมากที่สุด!!

    คำว่า “โรคจิต” หากว่าอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือคนที่มีพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนมากจะสังเกตเห็นได้ว่า คนโรคจิตจะจิตใจเย็นชา ชอบใช้ความรุนแรง และมักจะหาความสุขให้ตัวเองในวิธีแปลกๆ การสังเกตคนโรคจิตจะแบ่งได้เป็นสองประเภท ก็คือผู้ที่เป็นโรคจิตที่เห็นได้ชัดเจน (Classic) กับผู้ที่เป็นโรคจิตแบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic) ซึ่งบางครั้งอาการโรคจิตก็สังเกตได้ยากเนื่องจาก อาการสามารถถูกกลบฝังไว้ได้ ภายใต้พฤติกรรมที่ดูปกติ ทั้งนี้ในปี 2014 ก็ได้มีนักจิตวิทยาชาวเบลเยี่ยมท่าหนึ่งนามว่า Samuel Leistedt ต้องการจะค้นหาภาพยนตร์ที่ภายในเรื่องมีตัวละครโรคจิตที่เสมือนจริงที่สุด Leistedt จึงรวบรวมพรรคพวก 10 คนมาช่วยกันดูภาพยนตร์จำนวน 400 เรื่อง ซึ่งใช้เวลาไปกว่า 3 ปีด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดูจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1915 จนถึง 2010 ซึ่งหลังจากที่พวกเขาชมภาพยนตร์ทั้ง 400 เรื่องเสร็จเรียบร้อย ทำให้พบตัวละครที่มีความเป็นโรคจิต 126 ตัว และผลลัพธ์ที่พวกเขาค้นพบครั้งนี้หากเรียงตามความสมจริงของอาการโรคจิต จะพบว่า…   อันดับที่ 6 นับทศวรรษ ภาพยนตร์ฆาตกรนักเชือดทั้งหลายได้แสดงออกถึงการเป็นโรคจิตที่ ไม่สมจริงสุดๆ   ภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง A Nightmare on Elm Street และ Friday the…

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมเผย การดื่มชาผลไม้ และวิธีการดื่มชาที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อฟัน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมเผย การดื่มชาผลไม้ และวิธีการดื่มชาที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อฟัน

    เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะชอบดื่มชากันพอสมควร แต่อาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่าชาที่ดื่มนั้นมันช่างธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนรสชาติชาที่เราดื่มไปเป็นชาผลไม้บ้างก็น่าสนใจดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ จริงอยู่ว่าการที่นานๆ ดื่มชาผลไม้ทีมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าดื่มชาพวกนั้นบ่อยๆ เข้า ชาเหล่านั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียกับฟันได้เลยทีเดียว     ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมของ King’s College London ออกมาเตือนว่า การดื่มชาผลไม้นั้นมีโอกาสทำให้ฟันเสียมากกว่าปกติถึง 11 เท่า โดยการแจ้งเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ทำการทดลองวัดระดับกรดในอาหารและเครื่องดื่ม และพบว่าการเลือกชา และวิธีดื่มชาของคนบางกลุ่มนั้นสามารถนำไปสู่การกัดเซาะฟันได้ จากการตรวจสอบนั้น พบว่าว่าชาผลไม้นั้นเต็มไปด้วยกรดอันตรายซึ่งมี ชาขิง ชามะนาว ชาเบอร์รี่ และชากลิ่นกุหลาบนั้น มีระดับของกรดที่สูงที่สุด โดยเฉพาะการดืมชาเปล่าๆ ที่ไม่มีการทานอาหารควบคู่ไปด้วยนั้น อาจทำการเกิดการกัดกร่อนของเนื้อฟันได้มากเป็นสองเท่าของการดื่มชาในระหว่างการทานอาหารเลยทีเดียว     นักวิจัยยังบอกอีกว่าการดื่มชาแบบที่อันตรายที่สุดนั้นคือการดื่มชาแบบที่มีการรับรสชาติอย่างละเมียดละมัยเนื่องจากมีการค่อยๆ จิบชา กลั้วชาในปาก หรืออมน้ำชาไว้ จนทำให้กรดมีการสัมผัสกับฟันเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกลืนลงไป Dr. Saoirse O’Toole กล่าวว่า “เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารที่เป็นกรดนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกับการสึกหรอของฟันจากการกัดกร่อน อย่างไรก็ตามการศึกษาของเราได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของ ‘วิธีการ’ บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นกรด การลดปริมาณกรดในอาหารเป็นกุญแจสำคัญในการชะลอการกัดเซาะฟัน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินทั้งหมดเลยอาจเป็นเรื่องยาก แต่การแทรกแซงทางพฤติกรรมที่เป็นบางอย่าง อาจประสบความสำเร็จก็ได้”     ยังถือว่าโชคดีที่ชาธรรมดาๆ ไม่ได้มีฤทธิ์กัดกร่อนฟันขนาดนั้น แต่สำหรับคนที่ชอบเครื่องดื่มที่ออกรสเปรี้ยวนิดๆ อย่างชามะนาวแล้ว…

  • “3 วิธีการพูด” ที่เป็นสัญญาณว่าคุณมีแนวโน้มของ “โรคซึมเศร้า” ลองไปสังเกตกันดู…

    “3 วิธีการพูด” ที่เป็นสัญญาณว่าคุณมีแนวโน้มของ “โรคซึมเศร้า” ลองไปสังเกตกันดู…

    ในสังคมปัจจุบันนี้เราสามารถพบเห็นผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าในสมัยก่อน โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เหมือนกับความรู้สึกเศร้าของคนทั่วไปที่เกิดขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว พวกเขาจะรู้สึกซึมเศร้าเป็นประจำและแต่ละครั้งก็ยาวนานกว่าปกติ แถมบ่อยครั้งยังไม่รู้สาเหตุของความเศร้าด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะสังเกตว่าเราหรือคนรอบตัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางคนก็เป็นโรคซึมเศร้าโดยที่ไม่รู้ตัว หากอยากทราบแน่ชัดต้องไปให้จิตแพทย์วินิจฉัยเท่านั้น แต่ในวันนี้มีอีกหนึ่งวิธีสังเกตที่ได้ผ่านผลการรับรองจากนักวิจัยแล้ว ด้วยการสังเกตจากวิธีพูดของแต่ละคนนั่นเอง     งานวิจัยที่ว่านี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Clinical Psychological Science โดยทำการทดลองจากการอ่านบันทึก และฟังบทสนทนาจำนวนมากของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า และคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า จึงสังเกตเห็นว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีการใช้ภาษาที่แตกต่างออกไปดังนี้   1. มักจะใช้สรรพนามบุคคลที่หนึ่งที่เป็นเอกพจน์   คนเป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้สรรพนามกล่าวถึงตัวเองเช่น ฉัน ผม หรือเรา(ในกรณีที่หมายถึงตัวเองคนเดียว) อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมากนัก อาจจะเป็นเพราะเพวกเขาชอบปลีกตัวมาอยู่คนเดียวมากกว่าจะอยู่คนจำนวนมากก็ได้ อีกทั้งการใช้สรรพนามแบบนี้ ยังทำให้เราเห็นว่าคนที่เป็นโรคซีมเศร้ามักจะให้ความสนใจกับตัวเองและแนวคิดของตัวเองมากเป็นพิเศษ และไม่ค่อยสนใจแนวคิดในแบบของคนอื่นมากนัก   2. พูดถ้อยคำที่มีความหมายในเชิงลบอยู่บ่อยครั้ง   เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไปแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะใช้คำที่มีความหมายเชิงลบมากกว่า โดยคำพูดเหล่านั้นมักจะเกี่ยวกับอารมณ์ในเชิงลบเช่น เศร้า และเหงา เป็นต้น และยังรวมไปถึงคำพูดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของตัวเองด้วย แต่ผลการวิจัยก็ชี้ว่าการใช้สรรพนามบ่งบอกถึงโรคซึมเศร้าได้ดีกว่าการใช้คำพูดในเชิงลบอย่างเห็นได้ชัด   3. ภาษาที่ใช้มักจะมีความสุดโต่ง   เมื่อคนเราอยู่ในภาวะซึมเศร้าก็มักจะใช้ภาษาแบบสุดโต่ง (ถ้าไม่ขาวก็ดำไปเลย ไม่มีระหว่างกลาง) มากกว่าที่คิด อย่างเช่นคำว่า เป็นประจำ ไม่เคย เต็มไปหมด…

  • ทำความรู้จักกับ “นินจา” พวกเขาเป็นใคร? มีคาถาจริงหรือไม่? เชิญชมการทดลองและคำอธิบายเชิงจิตวิทยา

    ทำความรู้จักกับ “นินจา” พวกเขาเป็นใคร? มีคาถาจริงหรือไม่? เชิญชมการทดลองและคำอธิบายเชิงจิตวิทยา

    นักลอบสังหารแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ที่มีความว่องไวและเชี่ยวชาญการต่อสู้หลายรูปแบบ คือคำนิยามที่ผู้เขียนให้กับ “นินจา” นอกจากนินจาจะมีความสามารถด้านการต่อสู้แล้ว ว่ากันว่าพวกเขายังมีคาถาอาคมอีกด้วย แต่ว่าอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ “นินจา” ให้มากขึ้น ด้วยประวัติของพวกเขา และคำอธิบายเชิงจิตวิทยา ว่าที่จริงแล้วนินจาคืออะไรและมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง     ต้นกำเนิดของนินจา   นินจา (Ninja) หรือ ชิโนะบิ (Shinobi) แปลว่า “ทำอย่างลับๆ” เป็นคำที่สามารถบ่งบอกคุณลักษณะของพวกเขาได้อย่างดี เนื่องจากนินจาเป็นกองกำลังสายลับในสมัยเซ็งโงะคุช่วงศตวรรษที่ 15 พวกเขามีทักษะขั้นสูงในด้านการจารกรรม วินาศกรรม การแฝงตัว การลอบสังหาร และการสู้เป็นกลุ่ม อาวุธที่เหล่านินจาใช้ก็จะเป็นอาวุธที่พกพาง่าย ใช้สะดวก น้ำหนักเบา และสามารถใช้ได้ในระยะไกล เช่น มีดสั้น และดาวกระจาย ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ก็คือ “การทำสัญลักษณ์มือโบราณเก้ารูปแบบ” ที่เชื่อว่าเป็นคาถาอาคมของเหล่านักฆ่ากลุ่มนี้ ในช่วงความไม่สงบทางสังคมช่วงศตวรรษที่ 15-17 เหล่านินจานั้นมีบทบาทมากในจังหวัดอิกะ โดยเฉพาะรอบหมู่บ้านโคะกะซึ่งเป็นหมู่บ้านฝึกฝนนินจาด้วยตำราชิโนะบิที่มาจากปรัชญาสงครามของจีน โดยในช่วงปี 1868 สมัยฟื้นฟูเมจิ คำว่า “นินจา” ก็ได้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานและตำนานตั้งแต่นั้นมา และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่เรื่องราวของเหล่านินจาถูกนำมาแต่งเติม เช่นที่ว่า…

  • สาวก “แกงกะหรี่” โปรดทราบ การกินกะหรี่ช่วยคุณให้มีความสุข และความจำดีขึ้นด้วย

    สาวก “แกงกะหรี่” โปรดทราบ การกินกะหรี่ช่วยคุณให้มีความสุข และความจำดีขึ้นด้วย

    แกงกะหรี่เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดจากทางประเทศอินเดีย ด้วยความที่อาหารประเภทนี้ใส่เครื่องเทศปริมาณมากจึงทำให้มันมีกลิ่นหอมถูกใจผู้บริโภค แต่หลายคนก็ยังคงหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เพราะมันมักจะมีรสจัด แถมพอทานแล้วก็ทำให้กลิ่นตัวแรงด้วย ทว่าตอนนี้นักวิจัยมีข่าวดีเพิ่มเติมมาบอกกับคนชอบทานแกงกะหรี่ มี ผลวิจัย จากเว็บไซต์รวมงานวิจัย American Journal of Geriatric Psychiatry ออกมาแล้วว่า การทานแกงกะหรี่นอกจากจะได้ความอร่อยก็ยังทำให้เรามีความสุขมากกว่าเดิม และก็ช่วยเสริมสร้างความจำที่ดีอีกด้วย     โดยพระเอกในงานวิจัยที่ทำให้เราแฮปปี้และไม่ขี้ลืมก็คือ ขมิ้น นั่นเอง เครื่องเทศชนิดนี้มักจะใช้เป็นส่วนผสมของแกงหลากหลายประเภท ในขมิ้นก็จะมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เคอร์คิวมิน อยู่ซึ่งมันมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ทั้งยังสามารถต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีด้วย แต่นักวิจัยก็คิดว่าสารเคอร์คิวมินน่าจะช่วยให้คนมีความจำดีเช่นกัน เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าประชาชนในประเทศอินเดียที่บริโภคสารตัวนี้เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ต่ำกว่าในพื้นที่อื่น     Dr.Gray Small เป็นผู้อำนวยการด้านจิตเวชในผู้สูงอายุของศูนย์ศึกษาอายุยืน จากมหาวิทยแคลิฟอร์เนียในรัฐลอสแองเจลิส และยังเป็นผู้นำการวิจัยในครั้งนี้กล่าวถึงการทำงานของเคอร์คิวมินว่า “แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเคอร์คิวมินทำงานอย่างไร แต่การที่มันช่วยลดการอักเสบในสมองซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์และโรคซึมเศร้า น่าจะเป็นสาเหตุที่มันช่วยพัฒนาความจำของผู้บริโภคได้”     Small ได้ทำ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ศึกษาเกี่ยวกับการช่วยเรื่องความจำของเคอร์คิวมิน โดยให้อาสาสมัครผู้ใหญ่ 40 คนในช่วงอายุ 50-90 ปี สุ่มได้รับสารเคอร์คิวมิน 90 กรัม และยาหลอกเป็นเวลานาน 18 เดือน เขาวัดผลโดยการใช้เครื่อง Positron Emission Tomography (PET) อ่านคลื่นสมองของอาสาสมัครทั้งก่อนและหลังจากการได้รับสารเคอร์คิวมิน แล้วให้พวกเขาทำแบบทดสอบความจำก่อนและหลังรับสารที่ว่านี้ด้วย…

  • งานวิจัยไขข้อสงสัยว่า ‘เงิน’ สามารถซื้อความสุขให้เราได้จริงๆ หรือเปล่า

    งานวิจัยไขข้อสงสัยว่า ‘เงิน’ สามารถซื้อความสุขให้เราได้จริงๆ หรือเปล่า

    หลายคนคงเคยได้ยินใช่ไหมว่า “เงินนั้นไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง” หรือ “เงินนั้นซื้อความสุขไม่ได้” และเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็คงใช้ประสบการณ์ของตนเองตอบได้ทันทีว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นจริงดังว่าหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะต้องมีคำตอบเป็นของตัวเอง และเกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในที่สุด วันนี้ คำถามที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้หรือไม่?” ได้มีการศึกษากันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ ที่ได้ทำการศึกษาว่า ต้องใช้เงินมากขนาดไหนถึงทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสุข ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Emotion โดย American Psychological Association อีกด้วย     มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ศึกษาถึงรูปแบบการเข้าสังคมแบบมุ่งเน้นตนเอง หรือมุ่งเน้นผู้อื่น จำแนกตามแต่ละชนชั้นทางสังคม โดยภายหลัง นักวิทยาศาสตร์ชื่อว่า Paul K. Piff กลุ่มนักศึกษา และผู้ช่วยวิจัย จึงพยายามจะขยายผลโดยการใช้ข้อมูลรายได้ในครอบครัวของแต่ละคนจากงานวิจัยก่อนหน้ามาใช้เทียบกับการเกิดอารมณ์ต่างๆ ทั้ง 7 ที่เป็นองค์ประกอบของความสุข ได้แก่ อารมณ์ขัน ความกลัว ความเห็นอกเห็นใจ ความพึงพอใจ ความกระตือรือร้น ความรัก และความภาคภูมิใจ     ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ การที่ได้รายได้สูงนั้นสัมพันธ์กันกับอารมณ์พึงพอใจ ภาคภูมิใจ และอารมณ์ขัน ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มุ่งเน้นไปยังตนเอง ในขณะที่การมีรายได้ต่ำนั้นสัมพันธ์กันกับอารมณ์ที่มุ่งเน้นไปยังผู้อื่น…

  • ว่าไงนะ… งานวิจัยเผย ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้!?

    ว่าไงนะ… งานวิจัยเผย ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้!?

    งานนี้สายเมาแบบ Trippy คงต้องมีเฮกันบ้าง หลังมีงานวิจัยจากสถาบัน Imperial College London ที่ค้นพบว่า… เห็ดขี้ควาย (Magic Mushroom) ช่วยรีเซ็ทสมอง และบรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้จริง!? ถ้าจะให้อธิบายคุณสมบัติแบบหยาบๆ ก็คือ เจ้า Psilocybe Cubensis (เห็ดขี้ควาย) เป็นเห็ดที่มีพิษส่งผลต่อระบบประสาท โดยส่วนใหญ่ผู้ที่รับประทานเข้าไปจะมีอาการ.. เห็นภาพ แสง สี ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิด และอารมณ์คล้ายคลึงกับ LSD ซึ่งเราจะเรียกสสารในหมวดที่สร้างภาพหลอน และมีการเปลี่ยนแปลงเชิงจิตใต้สำนึกนี้ว่า ‘Psychedelic Drugs’   ตัวเห็ดมักขึ้นอยู่ตามกองมูลแห้งของควาย สามารถพบได้ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก และในแต่ละพื้นที่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยทางสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป (รวมถึงอาการที่ได้รับด้วย)   มาเข้าเรื่องของเรากันต่อ… โดย Dr. Robin Carhart-Harris หัวหน้าทีมวิจัยสาร Psychedelic ประจำสถาบัน Imperial College London ได้ให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์จากงานวิจัยว่า “เราได้ค้นพบครั้งแรกว่า อาการที่เกิดขึ้นจากการรับประทาน ‘เห็ดขี้ควาย’ ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือคนที่มีปัญหากับอาการเครียดได้..”    …

  • เอ๊า.. ผลการศึกษาล่าสุด เผย “คนหน้าเหลี่ยม” อาจจะมีแนวโน้มเป็นคนคิดไม่ซื่อได้มากกว่า!?

    เอ๊า.. ผลการศึกษาล่าสุด เผย “คนหน้าเหลี่ยม” อาจจะมีแนวโน้มเป็นคนคิดไม่ซื่อได้มากกว่า!?

    ต้องบอกก่อนว่าผลจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ต้องการแขวะบุคคลทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหนึ่งในผลวิจัยที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Archives of Sexual Behavior โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nipissing ประจำประเทศแคนาดา ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมจากคน 2 กลุ่ม โดยเน้นไปที่การจับสังเกตบทบาทของค่าความกว้าง-สูง ของใบหน้า (FWHR) เพื่อหาความสอดคล้องที่มีต่อพฤติกรรมการหาคู่ และพฤติกรรมความไม่ซื่อสัตย์     สำหรับกลุ่มแรก… ทีมวิจัยได้นำอาสาสมัครจำนวน 145 คน (วัยนักเรียน) มาวัดขนาดความกว้าง – ยาว ของใบหน้าตามหลัก FWHR ซึ่งมีวิธีการวัดโดยนำขนาดความกว้างของใบหน้า ลบกับขนาดความยาวของใบหน้า นอกจากนั้นทีมวิจัยยังได้เก็บแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมความสัมพันธ์ทางเพศ แรงขับทางเพศ และได้นำข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์ประมวลผล และน่าแปลกใจมากที่ทีมวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างขนาดความเหลี่ยมของใบหน้า และพฤติกรรมความสัมพันธ์ทางเพศ     ในการศึกษาขั้นที่ 2 ทีมวิจัยได้นำอาสาสมัครจำนวน 314 คน ไปทำการทดสอบ โดยมีการเพิ่มบททดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องของเพศสัมพันธ์นอกความสัมพันธ์แบบผูกมัด (Sociosexuality) และความไม่ซื่อสัตย์ที่เกิดอย่างจงใจ (intended infidelity) จากการทดสอบทั้ง 2 ขั้นตอน ทีมวิจัยได้ผลสรุปออกมาว่า ค่าสัดส่วนใบหน้า FWHR มีผลต่อการกระตุ้นทางเพศทั้งหญิงและผู้ชาย……

  • นักวิทย์เผยการค้นพบ “ตัวฆ่า HIV” หลังพัฒนาแอนติบอดี้ ที่สามารถจัดการเชื้อได้ถึง 99%!!

    นักวิทย์เผยการค้นพบ “ตัวฆ่า HIV” หลังพัฒนาแอนติบอดี้ ที่สามารถจัดการเชื้อได้ถึง 99%!!

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า HIV ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าปีละหลายล้านคน เช่นเดียวกับการพัฒนาในด้านการแพทย์ ที่เหล่านักวิจัยพยายามค้นหาแอนติบอดี้เพื่อฆ่าเชื้อ HIV ที่ได้ผลมากที่สุด ล่าสุดดูเหมือนว่าการแพทย์ใกล้จะเอาชนะเชื้อ HIV ได้แล้ว เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับทีมวิจัยจากบริษัท Sanofi และได้ค้นพบแอนติบอดี้ที่สามารถต้านเชื้อไวรัสได้สูงถึง 99% เลยทีเดียว   โดยทีมวิจัยเชื่อว่าการทดลองกับลิงในครั้งนี้ จะนำไปการพัฒนายาต้าน HIV ให้แก่มนุษย์ได้   ก่อนหน้านี้ทีมวิจัยได้ทดสอบกับลิง 24 ตัว ด้วยการฉีดไวรัส HIV เข้าสู่ร่างกายของพวกมัน และเมื่อนักวิจัยได้ทำการฉีดแอนติบอดี้ตัวใหม่เข้าไป ก็พบว่าไม่มีเชื้อ HIV ในลิงเหล่านั้น ที่สามารถเกิดการกลายพันธุ์ต่อไปได้ สำหรับระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในปัจจุบัน คือจะไม่สามารถรับมือกับคุณสมบัติการกลายพันธุ์ของเชื้อ HIV ได้ ทำให้หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันเราจึงเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสในเวลาต่อมา ทว่ามีเพียงผู้ป่วยจำนวน 1% เท่านั้น ที่ร่างกายมีคุณสมบัติสามารถพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ในร่างกายที่เรียกว่า ‘Spikes’ ได้ ซึ่ง Spikes (หรือ broadly neutralising antibodies) มีคุณสมบัติที่ไม่สามารถกลายพันธุ์ ทีมนักวิจัยจึงชี้ว่าอาจนำส่วนนี้มาใช้ในการพัฒนาแอนติบอดี้ได้ต่อไป…     จากการวิจัยทั้งหมดทำให้ทีมวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบวิธีการที่จะนำเอาแอนติบอดี้ทั้ง…

  • งานวิจัยเผย “ปลา” เป็นสัตว์ที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันกับมนุษย์!?

    งานวิจัยเผย “ปลา” เป็นสัตว์ที่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกันกับมนุษย์!?

    “ปลาไม่มีความเจ็บปวดเหมือนมนุษย์” นี่คือหนึ่งในข้อสรุปจากงานวิจัยวิจัยที่ประกอบไปด้วยนักประสาทวิทยา นักพฤติกรรม และผู้เชี่ยวชาญทางด้านปะมง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการตกปลารู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยก็ได้ การศึกษาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผลศึกษาในขั้นต้นนั้นบอกว่าปลาไม่ได้มีระบบประสาทและสรีระร่างกายที่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดได้เหมือนกับมนุษย์     อาการความเจ็บปวดโดยทั่วไปของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากกระตุ้น Nociceptor หรือเซลล์ประสาทรับรู้ความรู้สึก โดยเมื่อมันได้รับการกระตุ้นแล้วจะทำการส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองและกระดูกสันหลัง จากนั้นจึงแปลงเป็นความรู้สึกเจ็บออกมา และในระดับความรู้สึกทางด้านอารมณ์ ความเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้นจากความหวาดกลัวและสามารถสร้างอาการทางจิตใจได้ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้เราเลยก็ตาม นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บปวดที่สามารถเกิดขึ้นได้เองอย่างเช่นอาการชาอีกด้วย     และจากการศึกษาพบว่าพวกปลานั้นไม่ได้มีระบบการรับรู้ความเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ โดยเส้นประสาท c-nociceptors ที่มีส่วนต่อระดับความรุนแรงของความเจ็บปวดที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปนั้น ไม่พบในพวกปลาชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปลากระดูกอ่อนอย่างพวกฉลาม กระเบน ไปจนถึงปลากระดูกแข็งอย่างพวกปลาคาร์ฟและปลาเทราท์ ดังนั้นในทางสรีระวิทยาแล้วพวกปลาแทบจะไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้เลย แต่อย่างไรก็ตามพวกปลากระดูกอ่อนนั้นมีเซล์ประสาทรับความรู้สึก ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถตอบสนองต่อความเจ็บปวดและสิ่งที่มากระทบกับตัวมันได้ แต่ก็ไม่อาจจะยืนยันได้ว่าพวกมันสามารถรับรู้ถึงความเจ็บนั้นได้เช่นกัน     การศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงการศึกษาความเจ็บปวดของปลาที่ได้รับจากการกระตุ้นอย่างเช่นการถูที่รอยแผลบนตัวปลา หรือการอดอาหารพวกมันเท่านั้นอย่างไรก็ตามการทดลองนี้ไม่ได้ศึกษาถึงความรู็สึกเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับระบบเซลประสาทรับรู้ความรู้สึกของพวกมัน และการแสดงความรู้สึกทางด้านอารมณ์ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่การศึกษานี้ไม่ได้กล่าวถึง โดยสรุปแล้วงานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าปลาไม่มีการรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่สามารถตีความพฤติกรรมของพวกปลาโดยใช้มนุษย์เป็นเกณฑ์ได้   ถึงแม้ว่าผลศึกษาจะออกมาอย่างไร แต่การเบียดเบียนสัตว์ ก็เป็นการผิดศีลข้อแรกนะโยม ที่มา sciencedaily

  • งานวิจัยชี้… “ความเหงา” ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ร้ายแรงเทียบเท่าได้กับโรคอ้วน..!!

    งานวิจัยชี้… “ความเหงา” ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ร้ายแรงเทียบเท่าได้กับโรคอ้วน..!!

    ครั้งหนึ่ง #เหมียวหง่าว เคยกล่าวเอาไว้แบบลอยๆ ว่า “ความเหงาไม่เคยฆ่าใคร” ซึ่งดูเผินๆ ก็เหมือนกับคำพูดเท่ๆ ที่เอามาปลอบประโลมคนไม่มีคู่นั่นแหละ… แต่น่าเสียใจสำหรับคนโสดและคนขี้เหงาเป็นอย่างยิ่ง เพราะล่าสุดนี้มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้เผยออกมาแล้วว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยว ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร..!!     โดยก่อนหน้านี้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brigham Young University ได้ทุ่มเทเวลาหลายปี ไปกับการเก็บข้อมูลพฤติกรรมอาสาสมัครกว่า 3,400,000 คนทั่วโลก ผลจากการสำรวจก็ทำให้ทีมวิจัยแปลกใจมากๆ เมื่อพวกเขาพบว่าในกลุ่มคนที่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะมีตัวเลขการเสียชีวิตที่ต่ำกว่ากลุ่มคนที่มักจะแยกตัว และอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากถึง 50% นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบว่าในกลุ่มคนที่เข้าสังคมน้อยกว่า หรืออยู่อย่างโดดเดี่ยว มีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเทียบเท่ากับคนที่ป่วยเป็นโรคอ้วนได้เลยทีเดียว     แม้ว่างานวิจัยดังกล่าวจะไม่ได้ชี้ชัดว่า ความเหงาเป็นตัวแปรสำคัญในการคร่าชีวิตผู้คน แต่ทางนักวิจัยก็ได้ค้นพบเหมือนกันว่า การเข้าสังคมเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง “เราได้ค้นพบว่า การเข้าสังคมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ซึ่งส่งผลไปถึงพฤติกรรมในระยะยาว ในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมปิดกั้นตัวเอง หรือมักปลีกแยกตัวออกจากสังคม มักจะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพต่างๆ มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยู่ในวัยชรา หรือวัยเกษียณ สังคมควรตระหนักถึงปัญหาเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ผู้คนเริ่มสนใจในโลกออนไลน์ มากกว่าการหันมาให้ความสนใจกับคนที่อยู่ข้างๆ กัน” Dr. Holt-Lunstad ให้สัมภาษณ์     สรุปแล้ว.. จากพื้นฐานที่เราทราบกันดีว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเหงา…

  • งานวิจัยพบ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณพอเหมาะ เสี่ยงสมองเสื่อมน้อยกว่าคนดื่มหนัก…

    งานวิจัยพบ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณพอเหมาะ เสี่ยงสมองเสื่อมน้อยกว่าคนดื่มหนัก…

    ต้องบอกก่อนว่าสำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ ทีมวิจัยไม่ได้ค้นพบว่าการดื่มมากจะช่วยให้สุขภาพดีแต่อย่างใด หากแต่นี่เป็นงานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 30 ปี ในการสำรวจพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูงอายุ… อ้างอิงจากงานวิจัยของ University of California พวกเขาได้ข้อสรุปมาแล้วว่า ในกลุ่มผู้สูงอายุวัยประมาณ 65 ปีขึ้นไป ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณ 2 – 3 แก้วต่อวัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมในระยะยาวน้อยกว่า     โดยกลุ่มวิจัยได้เข้าไปบันทึกพฤติกรรมของกลุ่มผู้มีอายุ 1,344 คน ซึ่งประกอบไปด้วยหญฺิง 728 คน ชาย 616 คน ตั้งแต่ปี 1984 – 2013 ในทุกๆ 4 ปี ทีมวิจัยจะทำการสำรวจหลายๆ ด้าน เช่น พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงมีการวัดผลการทำงานของสมอง โดยมีการแบ่งพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์เป็น 2 ระดับ คือกลุ่มคนที่ดื่มปานกลาง (1 – 2 แก้วต่อวัน) และคนที่ดื่มอย่างหนัก (3 – 4…

  • วิทยาศาสตร์เผยสาเหตุที่… ‘แมวเหมียวทำเสียงกรน’ มันต้องการจะสื่ออะไรกับเรากันแน่?

    วิทยาศาสตร์เผยสาเหตุที่… ‘แมวเหมียวทำเสียงกรน’ มันต้องการจะสื่ออะไรกับเรากันแน่?

    สำหรับทาสแมวทั้งหลายแล้ว คงไม่มีสิ่งใดจะทำให้เราเป็นสุขได้มากกว่าเสียงกรนเพลินๆ ของเจ้านายเหนือหัว (คร๊อกก.. คร๊อกก…) หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า เพราะเหตุใดแมวเหมียวผู้น่ารักทั้งหลายชอบทำเสียงกรนใส่ทาสมนุษย์อย่างเราๆ และเพื่อเป็นการไขข้อสงสัย วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน     นายเหนือหัวเราทำเสียงกรนได้ยังไงกัน? ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกลไกการทำงานของเจ้านายเราซะก่อน ซึ่งเสียง ‘คร่อก.. คร่อก..’ ที่เราได้ยินนั้น มันเริ่มต้นมาจากกล้ามเนื้อกล่องเสียงที่เกิดการสั่นสะเทือน และผลักเอาลมจากในช่องท้องออกมา ก่อนที่จะกระทบกันจนเป็นเสียงที่เราได้ยิน กล้ามเนื้อส่วนนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ 20-30 ครั้ง/นาที ซึ่งหลังจากที่เจ้าเหมียวสูดอากาศหายใจเข้าไป ลมหายใจจะเข้าไปสัมผัสกับกล้ามเนื้อที่สั่นสะเทือน จนออกมาเป็นเสียงกรน     แมวอาจส่งเสียงกรน/เรียก เฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น เรียกว่าเป็นหนึ่งในพรสวรรค์การเอาชีวิตรอดของพวกมันเลยก็ว่าได้ เพราะเสียงกรนของพวกมันสามารถบ่งบอกได้ว่ามันต้องการอาหาร หรือแค่อยากจะอ้อนเราเท่านั้น เสียงกรนของแมวดังกล่าว เราจะเรียกว่า ‘solicitation purr’ (กรนเรียกร้องความสนใจ) บวกกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของมนุษย์และแมวเหมียวที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้นักวิจัยสันนิษฐานว่าพวกมันเรียนรู้ที่จะส่งเสียงนี้ให้มนุษย์ เพราะมีความคล้ายคลึงกับเสียงของเด็กทารก และนั่นอาจทำให้พวกมันได้เรียนรู้ว่า ‘เสียงกรน’ เป็นเสียงที่ช่วยทำให้มันสื่อสารกับเราได้ เนื่องจากมีย่านความถี่อยู่ที่ประมาณ 220-520 เฮิรทซ์ ซึ่งใกล้เคียงกับของเด็กทารกที่มีย่านความถี่อยู่ที่ 300-600 เฮิรทซ์     ทาสแมวอย่างเราควรทำยังไงดี? เราต้องยอมรับว่าความอัจฉริยะอย่างหนึ่ง…

  • สาวอเมริกันครองแชมป์อกใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 101 จาก 108 ประเทศ

    สาวอเมริกันครองแชมป์อกใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 101 จาก 108 ประเทศ

    อกใหญ่เรื่องเล็ก อกเล็กสิเรื่องใหญ่ กับสิ่งที่รบกวนใจสาวๆ มากมายมาโดยตลอด ทำไงได้ก็มารดาหนูให้มาแค่นี้ จบความสงสัยไร้ซึ่งข้ออ้าง เพราะตอนนี้งานวิจัยได้ออกมาชี้ชัดแล้ว!! เมื่อ Journal of Female Health Sciences ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาขนาดหน้าอกของผู้หญิง จากข้อมูลของสาววัย 28-30 ปีจำนวน 11,682 คน จาก 108 ชนชาติทั่วโลก     ผู้วิจัยได้กล่าวว่า “ผลการศึกษาทำให้เห็นได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าขนาดหน้าอก กับประเทศที่เกิดนั้นมีความสัมพันธ์กัน เช่น ผู้หญิงที่เกิดในอเมริกาจะมีขนาดหน้าอกที่ใหญ่มากที่สุด ในขณะที่หากเกิดในแอฟริกาและเอเชีย โดยเฉพาะฝั่งเอเชียตะวันออก ก็จะมีขนาดหน้าอกที่เล็กที่สุด”     โดยเฉลี่ยแล้วขนาดหน้าอกของสาวอเมริกันจะอยู่ที่คัพ D (ระบบขนาดอเมริกัน) และผู้หญิงจากหลากหลายประเทศในแอฟริกาและเอเชียจะเฉลี่ยอยู่ที่แค่คัพ A หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งประเทศไทยเราไม่น้อยหน้าชิงอันดับ 101 จาก 108 มาได้     ถึงเราจะได้อันดับต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ หรือลาวก็แทบจะไม่ได้ต่างกันเลย เมื่อดูตามขนาดหน้าอกที่ว่าแล้ว แต่อย่างอเมริกาที่มีค่าเฉลี่ยสูงมากนั้นก็เพราะว่า หน้าอกสาวอเมริกันมีแนวโน้มที่จะมีทรงกลม ซึ่งสามารถเติมเต็มขนาดของหน้าอกได้มากกว่าทรงอื่นๆ นั่นเอง  …

  • ผลวิจัยใหม่ล่าสุด พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ สามารถช่วยให้ผู้คนเลิกบุหรี่ได้จริง..!!

    ผลวิจัยใหม่ล่าสุด พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ สามารถช่วยให้ผู้คนเลิกบุหรี่ได้จริง..!!

    ดูเหมือนว่าในหลายๆ ประเทศ เทรนด์การหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะมาแรงซะจนรัฐบาลหลายๆ ประเทศต้องเริ่มหันมาเปลี่ยนมาตรการรองรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปของประชาชน ในขณะที่บ้านเราอาจจะยังเถียงกันอยู่ว่ามันดีจริงหรือไม่ ล่าสุดนี้ The BMJ (British Medical Journal) วารสารการแพทย์แห่งบริติช ได้ตีพิมพ์เนื้อหาจากผลวิจัยที่พิสูจน์มาแล้วว่า บุหรี่ไฟฟ้าสามารถช่วยให้เราเลิกบุหรี่ได้จริง!!     โดยทีมวิจัยได้เข้าไปศึกษาพฤติกรรมของทั้งผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่จริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลสำรวจจาก 160,000 คนทั่วสหรัฐฯ พบว่า ตัวเลขของประชากรวัยผู้ใหญ่ที่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากนั้นในงานตีพิมพ์ยังระบุว่า นโยบายรณรงค์ให้คนเลิกบุหรี่ของรัฐบาล และภาษีบุหรี่ที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2009 ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มหันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น     Christopher Bullen หัวหน้าทีมวิจัยได้ชี้แจงว่า “จากการศึกษาของเราร่วมกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ พบว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยทำให้ผู้บริโภคได้รับสารนิโคตินโดยตรงในราคาที่ถูกกว่าบุหรี่ธรรมดา ซึ่งนั่นก็เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้คนหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น”   ตารางเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่สามารถเลิกบุหรี่ได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา   แม้ว่าการเข้ามาของเทรนด์บุหรี่ไฟฟ้า อาจจะทำให้เยาวชนเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แต่ผลจากงานวิจัยกลับได้สิ่งที่น่าแปลกใจตรงกันข้าม เมื่อพบว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน หลังจากได้ลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วพวกเขามีเปอร์เซนต์ที่จะไม่แตะต้องบุหรี่จริงสูงกว่า Independent British Vape Trade Association ก็ได้ชี้ชัดเช่นกันว่า บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ผู้บริโภคได้รับสารนิโคตินโดยไม่ต้องรับสารที่เกิดจากการเผาไหม้เข้าสู่ร่างกาย และทำให้ร่างกายปรับตัวจากการเสพติดบุหรี่ได้ดีขึ้นในระยะยาว    …

  • ชาวเน็ตถึงกับเดือด เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จับแพนด้าน้อย ทั้งลากและโยนอย่างรุนแรงภายในกรง

    ชาวเน็ตถึงกับเดือด เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จับแพนด้าน้อย ทั้งลากและโยนอย่างรุนแรงภายในกรง

    ผู้ดูแลแพนด้าจากศูนย์วิจัยการผสมพันธุ์ของแพนด้าในเมืองเฉิงตู ถูกกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงกับพวกลูกหมี หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอการดูแลลูกหมีแพนด้าของเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์แห่งนี้ คลิปวิดีโอความยาวประมาณ 2 นาที ถูกโพสต์ลงบนสื่อโซเชียล Weibo ของประเทศจีนโดยชาวเน็ตท่านหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2017 ภายในคลิปเผยให้เห็นภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังลากแพนด้าและทุ่มพวกมันลงกับพื้น สร้างความไม่พอใจให้ชาวเน็ตที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก   วินาทีที่ชายหนุ่มสองคนกำลังลากและทุ่มเจ้าหมีลงกับพื้น   ชาวเน็ตผู้เป็นเจ้าของคลิปวิดีโอดังกล่าวบอกว่าเขารับไม่ได้กับการกระทำของชายทั้งสอง แต่ทางด้านศูนย์วิจัยได้ออกมาอธิบายนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า การกระทำของผู้ดูแลนั้นเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นเป็นการป้องกันไม่ให้พวกแพนด้าหลุดออกจากกรง     คลิปวิดีโอความยาว 2 นาที ของเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลแพนด้าด้วยความรุนแรง   หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยกล่าวว่า ในวันนั้นลูกหมีมีอาการตื่นตระหนกและได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนด้วย ดังนั้นทั้งคู่จึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อควบคุมพวกมันให้สงบลง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้เผยให้เห็นผลที่ถูกเจ้าหมีทำร้าย     แต่อย่างไรก็ตามทางด้านผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยก็ได้ออกมาตำหนิการกระทำของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน และขอโทษต่อการกระทำดังกล่าวด้วย พร้อมกันนี้ทางผู้อำนวยการยังบอกอีกว่าจะมีการอบรมวิธีการดูแลที่อ่อนโยนและถูกต้องให้กับเจ้าหน้าที่ใหม่   เหตุการณ์เจอเรื่องแบบนี้ก็พูดยากเหมือนกันนะ แต่อย่างไรก็ตามการดูแลที่ถูกต้องและการมีความรู้ในการจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่เจ้าหน้าที่ไม่ควรละเลยนะ ว่าไหม?? ที่มา shanghaiist

  • ผลวิจัยชี้… “ลูกคนที่สอง” มีแนวโน้มจะเป็นผู้สร้างปัญหา มากกว่าลูกพี่น้องคนอื่นๆ!?

    ผลวิจัยชี้… “ลูกคนที่สอง” มีแนวโน้มจะเป็นผู้สร้างปัญหา มากกว่าลูกพี่น้องคนอื่นๆ!?

    เมื่อไหร่ที่พูดถึงเรื่องความเป็นพี่น้อง หลายคนอาจจะเคยถูกถามว่าระหว่างตัวเราเองกับพี่น้องเราใครดื้อมากกว่าเกิน แน่นอนละว่าคงไม่มีใครยอมรับหรอกว่าตัวเองหน่ะดื้อ และสร้างปัญหาให้มากกว่าคนอื่นๆ ทว่างานวิจัยล่าสุดของ Joseph Doyle จากสถาบัน MIT สาขาเศรษฐศาสตร์ ได้ค้นพบแล้วว่า ลูกคนที่สอง (โดยเฉพาะผู้ชาย) มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดคนอื่นๆ     โดย Joseph Doyle ได้ทำการสำรวจและพบว่า พฤติกรรมของลูกคนโตในวัยเด็กส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกคนที่สองด้วยเช่นกัน อีกทั้งนักวิจัยยังพบว่าส่วนใหญ่แล้วในช่วงวัยเด็ก พ่อแม่มักจะทุ่มทุนในการเลี้ยงลูกคนแรกมากกว่า ซึ่งอาจทำให้ลูกคนที่สองรู้สึกได้ถึงการถูกปฏิบัติที่แตกต่างกัน แต่ที่น่าสนใจก็คือพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลมาถึงพวกเขาในตอนโต   สองพี่น้องคู่ป่วนโลก   หลังจากค้นพบสมมุติฐานที่อาจนำไปสู่คำตอบแล้ว Joseph Doyle จึงได้ทำการสำรวจพฤติกรรมจากคู่พี่น้องกว่า 1,000 คู่ทั่วสหรัฐอเมริกาและในโซนยุโรป ผลปรากฎว่ากว่า 25 – 40% ของลูกคนที่สอง มีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหาที่โรงเรียน หรือทำผิดกฎหมายมากกว่า     ทั้งนี้ทั้งนั้นงานวิจัยไม่ได้ระบุว่าลูกคนที่สองจะต้องเป็นเด็กไม่ดี หากแต่เป็นเพียงผลสำรวจจากคนส่วนใหญ่เฉยๆ เท่านั้น ที่มา: Ladbible

  • เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ อธิบายว่าทำไมคุณถึงรู้สึก “เหงา” และจะส่งผลอย่างไรบ้าง!?

    เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ อธิบายว่าทำไมคุณถึงรู้สึก “เหงา” และจะส่งผลอย่างไรบ้าง!?

    เป็นธรรมดาที่เราอาจจะรู้สึก ‘เหงา’ ในบางเวลา น่าแปลกเหมือนกันนะ… เพราะโลกเรามีประชากรตั้งไม่รู้กี่หลายล้านคน แถมในชีวิตเราได้รู้จักผู้คนก็อีกตั้งมากมาย ทว่าสุดท้ายความเหงาก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ในใจเราเสมอ แต่ใช่ว่าเรื่องของความเหงาจะเป็นเพียงความรู้สึกลอยๆ ที่จับต้องไม่ได้เท่านั้น เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่ศึกษากันมาตั้งแต่ปี 2006 จะมาช่วยอธิบายให้เราเห็นภาพว่าทำไมเราถึงรู้สึกเหงา และจะแก้ไขความอ้างว้างที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร     งานวิจัยของ Stephanie Cacioppo และ Hsi Yuan Chen นักประสาทวิทยาที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin โดยทีมวิจัยได้ได้ใช้เวลานานกว่า 11 ปี ในการเก็บข้อมูลระดับความรู้สึกเหงา และสังเกตระดับนิสัยการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ของอาสาสมัครชาวเมืองชิคาโก 230 คน ซึ่งอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 50 – 68 ปี     จากการตามเก็บข้อมูลเป็นประจำทุกปีทีมวิจัยได้ค้นพบว่า กลุ่มคนที่มีระดับความเหงาเพิ่มขึ้นในแต่ละปี มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะนิสัยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้นในปีต่อๆ ไป นอกจากนั้นในกลุ่มคนที่มีลักษณะนิสัยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว ทีมวิจัยพบว่าในปีต่อๆ ไประดับความเหงาของคนกลุ่มนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน     ความเหงาในระดับที่พอดีอาจเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้สมาธิส่วนตัวสูง แต่กลับกันถ้าความเหงาที่มากเกินไปก็อาจจะส่งผลต่อทั้งสภาพจิตใจ ร่างกาย สมอง ฮอร์โมน หรือแม้กระทั่งในระดับพฤติกรรมได้เลย…

  • งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้… “เตกีลา” มีส่วนผสมของต้นอะกาเว ช่วยลดน้ำหนักและคุมน้ำตาลได้!!

    งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้… “เตกีลา” มีส่วนผสมของต้นอะกาเว ช่วยลดน้ำหนักและคุมน้ำตาลได้!!

    ใครที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มอ้วน พุงเริ่มย้วย แถมไข่ก็เริ่มยาน (ไม่ใช่แล้ว!!) แล้วกำลังจะหาสูตรลดน้ำหนักละก็ วันนี้เรามีงานวิจัยชิ้นใหม่มาบอกต่อ โดยทีมวิจัยได้ทำการสำรวจสารประกอบของ “เตกีลา” ส่วนผสมสำคัญในการทำค็อกเทลที่หลายคนรู้จักดี และได้ค้นพบว่ามันมีส่วนผสมของต้นอะกาเวอยู่!!   นอกจากจะเป็นการค้นพบสารสำคัญที่ในเตกีลาแล้ว ยังนับว่าเป็นงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานในอนาคตอีกด้วย   จากการศึกษาทำให้ค้นพบว่าน้ำตาลที่ได้จากต้นอะกาเว เป็นน้ำตาลธรรมชาติแท้ที่เรียกว่า ‘Agavins’ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยหลักการทำงานของน้ำตาลตัวนี้ มันจะไม่ถูกย่อยสลายโดยน้ำย่อยในร่างกาย แต่มันจะทำหน้าที่เป็นเส้นใยอาหาร และไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มได้นานขึ้น และส่งผลทำให้เรากินได้น้อยลง “เราเชื่อว่า Agavins จะเป็นสารให้ความหวานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในอนาคต ถึงแม้ว่าน้ำตาลจากโรงงานจะให้รสชาติที่ดีกว่า แต่สิ่งเหล่านั้นกลับส่งผลเสียต่อร่างกายเรามากกว่า” Dr. Mercedes G. López ให้สัมภาษณ์   และทีมวิจัยจะนำสารตัวนี้ ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ต่อไป   จะว่าไปแล้วจริงๆ ต้องบอกว่างานนี้เป็นการค้นพบสารให้ความหวานจากต้นอากาเว่ซะมากกว่า แต่ก็คงไม่มีใครอยากเสียเวลาซื้อต้นไม้มาสกัดทำน้ำตาลกินกันเองหรอกจริงไหม? และตอนนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าน้ำตาลธรรมชาติแท้ที่ดีต่อสุขภาพของเรา มันบรรจุอยู่ในขวดเตกีลาที่เราคุ้นเคยกันดีนี่เอง เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ถ้ามีคนมาด่าว่าขี้เมา เราก็อ้างกลับได้เลยว่า “นี่ตูกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยน้ำตาลธรรมชาติแท้อยู่นะโว้ยย!!”     ที่มา: Dailymail

  • งานวิจัยยืนยัน การหลับนอนไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้สมองมีประสิทธิภาพที่ด้อยลง..!!

    งานวิจัยยืนยัน การหลับนอนไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้สมองมีประสิทธิภาพที่ด้อยลง..!!

    สำหรับใครที่ชอบอดหลับอดนอนอยู่เป็นประจำ หรือชอบทำกิจกรรมถึงดึกดื่น พอตอนเช้าก็ตื่นไปทำงานสายทู๊กกที วันนี้มีงานวิจัยออกมายืนยันถึงผลเสียของพฤติกรรมดังกล่าว ที่มีผลต่อสมองของเราแล้วนะ อ้างอิงผลทีมวิจัยจาก Marche Polytechnic University ประเทศอิตาลี พวกเขาพบว่าสมองส่วนที่เรียกว่า ‘ซิแนปส์’ จะถูกเซลล์ที่เรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ กลืนกินจากสาเหตุเพราะการหลับนอนที่ไม่เพียงพอ     โดยทีมวิจัยได้ทำการศึกษากับหนูทดลอง เกี่ยวกับประสิทธิภาพสมองของพวกมัน โดนเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มหนูทดลองที่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ และกลุ่มหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ พวกเขาค้นพบว่า.. เซลล์ส่วนที่เรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ ซึ่งใช้สำหรับการจัดการกับสมองจะส่งผลร้ายมากกว่า ในสภาวะของหนูที่ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เซลล์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า ‘แอสโทรไซต์’ ซึ่งมันจะทำหน้าที่คอยกำจัดเซลล์ส่วนอื่นๆ และส่งผลให้สมองอ่อนแอลง มีประสิทธิภาพการทำงานที่น้อยลง     “ในสมองส่วน ซิแนปส์ ก็เปรียบได้กับเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่ต้องได้รับการดูแล และทำความสะอาด เพื่อการทำงานของสมองที่ดีในระยะยาว” Michele Bellesi หัวหน้าทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ เมื่อพวกเขาได้ลองวิจัยกับสมองของอาสาสมัคร 1,344 คน โดยมีการตรวจวัดระดับความดันในเลือด ระดับน้ำตาล และระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ทำให้พบว่าการนอนหลับไม่ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน จะส่งผลเสียในระยะยาวต่อทั้งสมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายจริง   จากสถิติพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนที่หลับนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเป็นประจำ…

  • บริษัทวิจัยเยอรมัน ประกาศหาอาสาสมัครมาสูบกัญชาฟรี เพื่อกรณีศึกษาทางการแพทย์!!

    บริษัทวิจัยเยอรมัน ประกาศหาอาสาสมัครมาสูบกัญชาฟรี เพื่อกรณีศึกษาทางการแพทย์!!

    นี่อาจเป็นโอกาสทองของสายเขียวทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะบริษัทวิจัยทางการแพทย์จากเยอรมัน กำลังประกาศหาอาสาสมัครมาสูบกัญชา เพื่อนำข้อมูลไปวิจัยทางการแพทย์แบบฟรีๆ!! ข่าวดีก็คือ… โครงการนี้รับสมัครอาสาสมัครทั้งหมด 25,000 ชีวิต และตอนนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมเพียงแค่ 2,000 คนเท่านั้น   โดยบริษัทจะมอบกัญชาให้อาสาสมัครฟรี 30 กรัมต่อเดือน   Marko Dörre หัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าว ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ‘ในเยอรมันมีประชาชนนับล้านที่ใช้กัญชา และถือว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่เราจะนำกัญชามาศึกษาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในอนาคต’ ทางด้านของ Dr. Thomas Schnel หนึ่งในทีมวิจัยได้อธิบายเสริมว่า ‘กัญชาถูกจัดให้เป็นสิ่งเสพติดที่ได้รับความนิยมสูงไปทั่วโลก อ้างอิงข้อมูลจาก World Drug Report แต่นอกเหนือจากการนำมาใช้ในเชิงสิ่งเสพติดแล้ว คุณจะพบว่ากัญชาเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์มากมาย และควรค่าแก่การวิจัยอย่างยิ่ง’     ในส่วนของ Hermann Gröhe รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพ ก็ได้ออกมาให้ความเห็นสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา ในเยอรมันไว้ว่า ‘ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด… ปัจจุบันมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้น และเคสของผู้ป่วยหลายกรณีที่ชี้ให้เห็นว่า เราสามารถนำประโยชน์จากสารสกัดกัญชามาใช้รักษาผู้ป่วยได้จริง และนี่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน’      ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลเยอรมัน ก็ได้มีการออกกฎหมายให้ผู้ป่วยสามารถใช้กัญชาเพื่อการรักษาตามใบสั่งแพทย์ได้แล้วเช่นกัน และสำหรับใครที่สนใจอยากจะสมัครละก็ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดไปใบสมัครได้ที่ CannabisResearch หน้าเว็บสามารถแปลเป็นอังกฤษได้อยู่ แต่ส่วนใบสมัครคงต้องหาเพื่อนที่รู้ภาษาเยอรมันมาช่วยแปลแล้วล่ะ……

  • นักวิจัยค้นพบ สายพันธุ์หนอนผีเสื้อกลางคืน ที่สามารถกัดกินและย่อยพลาสติกได้!!

    นักวิจัยค้นพบ สายพันธุ์หนอนผีเสื้อกลางคืน ที่สามารถกัดกินและย่อยพลาสติกได้!!

    นี่อาจเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีสำหรับมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ เมื่อปัญหาเกี่ยวกับขยะพลาสติกที่ล้นโลก กำลังจะถูกแก้ไขได้ด้วยตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อกลางคืน โดยเว็บไซต์ Telegraph ได้รายงานว่าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ได้ค้นพบแล้วว่าตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อกลางคืนสายพันธุ์ ‘Galleria mellonella’ สามารถกัดกิน และย่อยสลายพลาสติกได้จริง     อ้างอิงข้อมูลจากวารสาร Current Biology ทีมวิจัยได้อธิบายไว้ว่า พวกมันมีกลไกการย่อยสลายที่น่าอัศจรรย์มากๆ เพราะเดิมทีพวกมันจะกินขี้ผึ้งในรังผึ้งเป็นอาหาร ซึ่งมีพันธะเคมีใกล้เคียงกับพลาสติก เมื่อนักวิจัยได้นำหนอนชนิดดังกล่าวมาทดสอบ โดยให้พวกมันกัดกินแผ่นขยะพลาสติก ก็พบว่ามันสามารถกัดกินถุงพลาสติกให้กลายเป็นรูเล็กๆ หลายรูได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง   น่าแปลกใจที่พวกมันสามารถย่อยสลายพลาสติกประเภทโพลีเอทิลีนได้   Dr. Paulo Bombelli หนึ่งในทีมวิจัยให้สัมภาษณ์ว่า‘มันน่าสนใจมากครับ ผมเชื่อว่านี่อาจจะพลิกโฉมการกำจัดขยะของมนุษย์ในอนาคตได้เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะยังไม่รู้แน่ชัดว่ากลไกการย่อยสลายทางชีวภาพทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราเชื่อว่าถ้าเรานำการค้นพบครั้งนี้ ไปต่อยอดเข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราจะสามารถแก้ปัญหาขยะได้แน่นอน’ และตอนนี้ทีมวิจัยก็ได้ร่วมกันจดทะเบียนสิทธิบัตรการค้นพบครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทีมวิจัยจะมุ่งศึกษาระบบการย่อยอาหารเชิงลึกของหนอนชนิดนี้ต่อไป   ตัวอย่างของพลาสติกที่ถูกย่อยสลายด้วยหนอน 10 ตัว ภายในเวลา 30 นาที   มาครับ… เรามาเพาะหนอนขายกันดีกว่าครับแบบนี้ ที่มา: Telegraph

  • งานวิจัยชี้ ในช่วงวัยเด็กของลูกคนแรก จะมีสติปัญญาและความฉลาด สูงกว่าน้องๆ ทุกคน!?

    หมดปัญหาความน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สักที เมื่อล่าสุดกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Edinburgh ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่า ลูกคนแรกในครอบครัวจะมีระดับ IQ ที่สูงกว่าบรรดาน้องคนอื่นๆ ในช่วงวัยเด็ก โดยทีมวิจัยได้อธิบายเพิ่มว่า จากการทดสอบพบว่าลูกคนแรกจะได้รับการกระตุ้นทางจิตใจ ซึ่งส่งผลให้ในช่วงขวบปีแรกของเด็ก จะมีพัฒนาการด้านความคิดได้ดีกว่า     การวิจัยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเด็กช่วงวัยแรกเกิด ไปจนถึงอายุ 14 ปี จำนวน 5,000 คน โดยทุกๆ 2 ปี จะมีการประเมินทักษะด้านการอ่าน โดยทีมวิจัยได้นำข้อมูลที่พวกเขาได้รับจากการสำรวจ มาเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงเศรษฐศาสตร์ และสถิติ ของครอบครัวนั้นๆ เพื่อเชื่อมโยงพฤติกรรมต่างๆ ของพ่อแม่     สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะว่า หลังจากที่ลูกคนแรกเกิดมา พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะยอมทุ่มเทเวลาเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับลูกคนแรก ในขณะที่กิจกรรมที่คล้ายกันนี้จะลดน้อยลงหลังจากที่ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สอง หรือที่สามตามมา จากการสำรวจยังพบว่าช่วงเวลาที่พ่อแม่จะเห่อลูกคนแรกนั้น จะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 2 – 3 ปีแรกเท่านั้นเอง Dr Ana Nuevo-Chiquero หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า ‘จากการวิจัยดังกล่าว เราพบว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกคนแรกมีระดับ IQ สูงกว่าในช่วงวัยเด็ก นั้นก็มาจากพฤติกรรมของตัวพ่อแม่เอง และดูเหมือนความสนใจที่จะกระตุ้นจิตใจ หรือทักษะต่างๆ…

  • ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก

    ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก

    หลายคนอาจจะคิดว่า ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน มักมีชุดความคิดเกี่ยวกับเกมในด้านลบๆ อยู่หน่อย ยิ่งเป็นเกมออนไลน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือสิ่งมอมเมาเยาวชนโดยแท้จริง แต่#เหมียวฟิ้นจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปนะ เพราะมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศบอกว่าการเล่นเกมออนไลน์นี่แหละ ช่วยให้เราเรียนได้ดีขึ้น!?     รองศาสตราจารย์ Alberto Posso จากโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ การเงินและการตลาดในออสเตรเลีย ได้ใช้โปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนในระดับนานาชาติเพื่อประเมินเด็กออสเตรเลียวัย 15 ปี กว่า 12,000 คน ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์     ศาสตราจารย์ Posso กล่าวว่าวิดีโอเกมสามารถช่วยให้นักเรียนฝึกฝนความสามารถในการเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ “นักเรียนที่เล่นเกมออนไลน์สม่ำเสมอ ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 15 คะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ และ 17 คะแนนสำหนับวิชาวิทยาศาตร์” “เมื่อคุณเล่นเกมออนไลน์ คุณจะได้แก้ปัญหาปริศนาอยู่บ่อยๆ นั่นนำคุณไปสู่การพัฒนาการใช้ความรู้ทั่วไป และความสามารถในคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ที่คุณได้รับการสอนโดยคุณครูที่โรงเรียน ครูในโรงเรียนควรพิจารณาการผสมผสานวิดีโอเกมดังๆ เข้าไปในการเรียนการสอน ตราบเท่าที่มันไม่ได้มีความรุนแรงอยู่ในเกมนั้นด้วย”     ในทางกลับกัน ศาสตราจารย์ Posso บอกว่าวัยรุ่นที่ติด Facebook หรือโปรแกรมแชททุกวันๆ จะทำคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ได้น้อยกว่านักเรียนที่ไม่ติดสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ เลยถึง 20 คะแนน ทั้งหมดนี้อาจบ่งชี้ว่าพวกเขามีปัญหาในการคิดคำนวน…

  • สาวอเมริกัน ครองแชมป์หน้าอกใหญ่อันดับ 1 ของโลก ส่วนไทยอยู่ที่ 8 (จากท้าย!!)

    สาวอเมริกัน ครองแชมป์หน้าอกใหญ่อันดับ 1 ของโลก ส่วนไทยอยู่ที่ 8 (จากท้าย!!)

    เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ อยากมีหน้าอกแบบตุ้มๆใช่มั้ยล่าาาา แต่ลองสังเกตดูดีดี คนหน้าอกใหญ่ก็หญ้ายยยยยยใหญ่ คนไม่มีหน้าอกก็แบ๊นนนนนแบน เฮ้อออออ แล้วสาวๆรู้มั้ยว่า คนประเทศไหนหน้าอกเล็ก ประเทศไหนหน้าอกใหญ่?? เอ๊ะ แล้วของบ้านเรานี่จะจัดอยู่ในหมวดไหนละ… นี่เลย วันนี้ #เหมียวขี้ส่อง มีข้อมูลน่าสนใจมาฝากกัน     อาจารย์และนักศึกษาจำนวน 7 คน จาก 6 สถาบัน  ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ “ขนาดหน้าอกของผู้หญิง” โดยศึกษาจากผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปีจำนวน 11,682 คน จาก 108 ประเทศทั่วโลก (sciencedatabaseonline) เพื่อทำการศึกษาว่า ผู้หญิงจากทวีปไหนหน้าอกใหญ่สุด และที่ไหนหน้าอกเล็กสุด     การวิจัยพบว่า “ผุ้หญิงที่เต้านมเล็กที่สุด คือผู้หญิงที่เกิดในทวีป แอฟริกา และเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในแถบเอเชียตะวันออก โดยขนาดหน้าอกประมาณ คัพ A หรือเล็กกว่านั้น ซึ่งนี่เป็นขนาดหน้าอกโดยเฉลี่ย”   จากกราฟจะเห็นว่าประเทศที่มีหน้าอกขนาดเล็กสุดก็คือ ฟิลปปินส์ ด้วยขนาดหน้าอกเล็กสุด 111 มิลลิตร และขนาดใหญ่สุด 179…

  • งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Texas เผย… ผู้หญิงหุ่นแบบนี้แหละ คือหุ่นในอุดมคติ!!

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Texas เผย… ผู้หญิงหุ่นแบบนี้แหละ คือหุ่นในอุดมคติ!!

    วันนี้ #เหมียวสามสี จะมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ Kelly Brook เธอเป็นนางแบบ นักแสดง และตอนนี้เธอก็ได้เป็นเจ้าของเรือนร่างที่เรียกได้ว่า “สมบูรณ์แบบ” ที่สุด     อ้างอิงจากการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Texas ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปร่างของผู้หญิงโดยวัดจาก ส่วนสูง น้ำหนัก ความยาวของผม และรูปหน้า ซึ่งหลายคนอาจจะกำลังคิดว่าต้องอดอาหารแค่ไหนนะ ถึงจะผอมได้ ซึ่งจริงๆ แล้วความงามในอุดมคตินั้นไม่ใช่ความผอม แต่เป็นรูปร่างที่ดูสุขภาพดีและสวย ซึ่งนั่นจะดึงดูดสายตาของผู้ชายมากกว่า Kelly Brook เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการศัลกรรมเลย รูปร่างของเธอนั้นดูสวยและสุขภาพดีมากๆ ใบหน้าของเธอก็ดูแล้วมีความสุข แต่ Kelly เล่าว่าเธอเคยโดนล้อเกี่ยวกับหุ่นของเธอด้วยว่าเธออ้วนเกินไป   เราไปชมว่ารูปร่างของเธอนั้นงดงามเพียงใด . . . . . .   ปัจจุบันสาวๆ ต่างก็หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ นอกจากจะสวยแล้วยังได้เรื่องสุขภาพไปเต็มๆ ที่มา brightside

  • งานวิจัย Harvard นานที่สุดในโลกเพื่อหา ‘ความสุข’ ที่แท้จริงของมนุษย์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 75 ปี!!

    งานวิจัย Harvard นานที่สุดในโลกเพื่อหา ‘ความสุข’ ที่แท้จริงของมนุษย์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 75 ปี!!

    พูดกันถึงเรื่องศึกษาค้นคว้างานวิจัยต่างๆ นั้นจะใช้เวลาค้นคว้ายาวนานซักแค่ไหนกัน? อาจจะเป็นซัก 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นจำนวนเวลาที่ยาวนานมากๆ สำหรับงานวิจัยซัก 1 ชิ้น แต่เชื่อมั้ยว่ามีงานวิจัยที่ใช้เวลาเยอะกว่านั้นเสียอีกแหนะ!!     งานวิจัยที่ว่านี้คือ Harvard Study of Adult Development การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาของผู้ใหญ่จากมหาวิทยาลัย Harvard ที่ใช้ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าทั้งสิ้น 75 ปีเต็ม เปลี่ยนผ่านผู้ควบคุมงานวิจัยมาถึง 4 รุ่น!!     โดยงานวิจัยชิ้นนี้ริเริ่มจากการติตามศึกษาชีวิตของวัยรุ่นชาย 2 กลุ่มคือนักศึกษาชายชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัย Harvard 268 คน และวัยรุ่นชายอายุ 12 – 16 ปี เติบโตแบบตามมีตามเกิดในเมือง Boston ทั้งหมด 456 คนด้วยกัน     ทุกๆ 2 ปี ทีมวิจัยจะให้ทั้ง…

  • จบซักที!! ชายหนุ่มพา “งานวิจัยตัวจบ” เที่ยวถ่ายรูปสั่งลา ไหนๆก็อยู่ด้วยกันมาทั้งปี…

    จบซักที!! ชายหนุ่มพา “งานวิจัยตัวจบ” เที่ยวถ่ายรูปสั่งลา ไหนๆก็อยู่ด้วยกันมาทั้งปี…

    ไม่ว่าใครต่างก็มีฝันร้ายกับงานวิจัยหรือการทำตัวจบกันทั้งนั้น เพราะมันคือความรู้ของเราที่สั่งสมกันมาตั้งแต่เรียนปี 1 แล้วกลั่นมาเป็นหนังสือ 1 เล่มที่เราอดหลับอดนอนทำมันขึ้นมา เชื่อว่าหลายคนก็รู้สึกภูมิใจที่เราเขียนหนังสือขึ้นมาได้ตั้ง 1 เล่ม เกิดมาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน หลายคนก็ไปฉลองกันหลังทำเสร็จ แต่สำหรับชายคนนี้ เขากลับพางานวิจัยของเขาไปเที่ยวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก Morris Vanegas จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ใช้เวลาหลายเดือนในการทำวิจัยตัวจบการศึกษา และเมื่อเขาทำเสร็จ ก็อยากจะมีความจริงจำดีๆ กับมันซะหน่อย จึงออกมาเป็นชุดภาพถ่ายเหล่านี้   เขาคิดว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นเหมือนเพื่อน และเหมือนลูกที่อยู่กินกับเขามานาน มันสอนเขาให้เติบโต และเขาก็เป็นคนทำให้มันเติบโตด้วยเช่นกัน . . . .   “ผมบอกล่าไม่ค่อยเก่ง เลยอยากจะทำให้มันเร็วๆ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง ตอนที่นางกลายเป็นบทอ้างอิงในงานต่อไปของฉันนะ ลาก่อน..”   ถึงแม้เขาจะเสียเพื่อน(ใช่เหรอ) คนหนึ่งไป แน่นอนว่าเขาต้องไปเจออะไรที่ใหญ่กว่านี้แน่ และอาจจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เป็นได้ ที่มา distractify

  • นักวิจัยค้นพบวิธียืดอายุแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง มีความอึดถึกทนต่อการชาร์จถึง 200,000 ครั้ง

    นักวิจัยค้นพบวิธียืดอายุแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง มีความอึดถึกทนต่อการชาร์จถึง 200,000 ครั้ง

    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะใช้งานได้ก็ต้องมีไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าก็ต้องอาศัยแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่จำเป็นที่จะต้องแบกรับประจุไฟฟ้าเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งใช้งานหนักและนานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้นเท่านั้น     หลายคนมักจะประสบกับปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะการใช้งานอันหนักหน่วงในโลกยุคดิจิตอล สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่ใครๆ ก็มีติดตัว และมักจะชาร์จแบตเตอรี่กันทุกวัน วันละหลายครั้ง     Mya Le Thai นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเออร์ไวน์ (UCI) ค้นพบว่าการใช้เส้นใยสายไฟนาโนเป็นวัสดุผสมในแบตเตอรี่จะช่วยเพิ่มพื้นที่และการถ่ายเทประจุไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิม แต่สภาพของมันบอบบางมาก ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการคลายและเก็บประจุไฟฟ้าแบบซ้ำไปซ้ำมา   เส้นใยสายไฟนาโนขนาดอันบางเฉียบยิ่งกว่าเส้นผมมนุษย์   ด้วยเหตุนี้จึงนำเส้นใยสายไฟนาโนมาเคลือบกับแมงกานีสไดออกไซด์แล้วนำไปเคลือบกับเจล Plexiglas อีกที ผลที่ได้ก็คือมันสามารถช่วยทำให้แบตเตอรี่ Lithium-Ion สามารถรองรับการชาร์จได้มากกว่าเดิมหลายพันเท่า ประมาณ 200,000 ครั้ง ตลอดการทดลองสามเดือน โดยที่ไม่มีอาการเสื่อมแต่อย่างใด   แบตเตอรี่ Lithium-Ion   โดยปกติแล้วแบตเตอรี่ทั่วไปจะรองรับการชาร์จอย่างเต็มประสิทธิภาพตั้งแต่ 5,000 – 7,000 ครั้ง หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไป ที่น่าตกใจก็คือการค้นพบในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ และไม่แน่ว่าอาจจะนำไปใช้กับแบตเตอรี่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตก็เป็นได้ ส่วนใครที่อยากจะอ่านเปเปอร์งานวิจัยนี้ สามารถตามมาอ่านกันได้ ที่นี่ เลย ที่มา…

  • ตำนานมวยปล้ำหญิง Chyna บริจาคสมองของเธอเพื่อวิจัยหาผลกระทบจากการเล่นมวยปล้ำ

    ตำนานมวยปล้ำหญิง Chyna บริจาคสมองของเธอเพื่อวิจัยหาผลกระทบจากการเล่นมวยปล้ำ

    ข่าวคราวการสูญเสียบุคคลชื่อดังระดับตำนานในวงการมวยปล้ำ WWE นั้นนับว่าเป็นอะไรที่น่าใจหายมากๆ ล่าสุดนี้หากใครได้ติดตามข่าวคราวกันมาบ้างแล้วจะทราบว่า นักมวยปล้ำหญิงระดับตำนานอย่าง Chyna นั้นได้เสียชีวิตลงแล้ว     Chyna หรือชื่อจริง Joanie Laurer ถูกพบเสียชีวิตอยู่ภายในบ้านของตัวเอง โดยที่ผู้พบศพของเธอก็คือผู้จัดการส่วนตัว Anthony Anzaldo เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา   Chyna กับผู้จัดการส่วนตัวของเธอ Anthony Anzaldo   ทั้งนี้ทางผู้จัดการเองไม่อยากจะติดตามในเรื่องของสาเหตุการเสียชีวิตมากนัก และพยายามที่จะพูดคุยกับครอบครัวของเธอเพื่อทำการบริจาคสมองในการค้นคว้าวิจัยหาผลกระทบของสมองจากการเล่นมวยปล้ำ และหาทางรับมือกับมันในอนาคต     โดยในทีมงานวิจัยนี้จะมี Dr. Bennet Omalu ผู้ค้นพบ Central Traumatic Encephalopathy โรคความเสี่ยงทางสมองของนักกีฬาเข้าร่วมด้วย เพื่อที่จะสร้างความตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมองของนักกีฬามวยปล้ำ     ทั้งนี้นักมวยปล้ำชื่อดังอย่าง Mick Foley, Kevin Nash และ Jeff Hardy ได้ยืนยันแล้วว่าพวกเขายินยอมที่จะบริจาคสมองหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตลงไปแล้ว และ John Cena กำลังพิจารณาอยู่ว่าถ้าหากการวิจัยนี้เป็นประโยชน์จริงๆ…

  • งานวิจัยเคมบริดจ์ชี้ชัด ‘เงิน’ สามารถซื้อความสุขได้ ถ้าคุณใช้จ่ายให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพของคุณ!!!

    งานวิจัยเคมบริดจ์ชี้ชัด ‘เงิน’ สามารถซื้อความสุขได้ ถ้าคุณใช้จ่ายให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพของคุณ!!!

    หลายๆ ครั้งหลายๆ ครา เราก็มักจะได้ยินคำกล่าวติดหูที่ว่า ‘เงินน่ะ ไม่สามารถซื้อความสุขได้หรอก’ หรือ ‘ความสุขไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงิน’ แต่วันนี้ #จ่าสิบเหมียว ก็มีอีกหนึ่งทฤษฎีที่จะมาย้อนแย้งกันล่ะ ว่าที่จริงแล้วเงินน่ะสามารถซื้อได้!!? ล่าสุดทาง University of Cambridge ก็ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ กับสังคมและบริบทในปัจจุบันกลับได้คำตอบว่า เงินสามารถซื้อความสุขได้ ถ้าผู้ใช้ใช้ในทิศทางที่เหมาะสมกับความชอบของตนเองล่ะ!!!   เงินสามารถซื้อความสุขได้!?   โดยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการโอนเงินกว่า 76,800 ครั้ง จากผู้เข้าร่วมการสำรวจกว่า 625 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือนเต็ม ในกว่า 59 ประเภทของการโอนเงิน และนอกจากนี้ยังให้ผู้เข้าร่วมการสำรวจทำแบบทดสอบด้านบุคลิกภาพ อารมณ์ และความพึงพอใจเกี่ยวกับชีวิตแบบออนไลน์ซะก่อน และแบ่งพวกเขาเป็น 5 กลุ่มคือ กลุ่มเปิดกว้าง กลุ่มจิตสํานึก กลุ่มสังคม กลุ่มประนีประนอม และกลุ่มที่มีความมั่นคงทางอารมณ์   การใช้เงิน   กล่าวคือกลุ่มสังคมจะใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการสังสรรค์ ส่วนกลุ่มจิตสำนึกจะใช้เงินไปในด้านสุขภาพและการออกกำลังกายซะมากกว่า และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยอีกอย่างหนึ่งก็คือ แบบทดสอบความสุขที่บ่งบอกว่าผู้ที่ใช้เงินสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจะมีความสุขกับชีวิตมากกว่า นอกจากนี้นักวิจัยยังได้สอบถามล้วงลึกไปอีกในกรณีต่างๆ เช่นลองให้กลุ่มจิตสำนึกกับกลุ่มสังคมมาตอบคำถามในข้อเดี่ยวกับที่ว่า ‘คุณยอมเสียเงิน 500 บาทไปกับการกินเหล้าในบาร์ไหม?’…

  • จริงดิ!? ผลวิจัยต่างประเทศชี้ ผู้หญิงต้องการเวลานอนมากกว่าผู้ชาย หากนอนน้อยจะเหวี่ยงวีนมาก!!

    จริงดิ!? ผลวิจัยต่างประเทศชี้ ผู้หญิงต้องการเวลานอนมากกว่าผู้ชาย หากนอนน้อยจะเหวี่ยงวีนมาก!!

    มีสาวๆ หลายคนรู้สึกว่าตัวเองตื่นยากตื่นเย็น แม้ว่าคนอื่นๆ ในบ้านจะตื่นกันไปหมดแล้วแต่ตัวเองก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงดูดวิญญาณสักที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกนะ เพราะมีผลวิจัยจากต่างประเทศออกมาแล้วว่าหญิงสาวต้องการเวลาพักผ่อนมากกว่าผู้ชายจริงๆ   ในปี 2008 มีการศึกษาโดยศูนย์การแพทย์ Duke Medical Center รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการสำรวจชายและหญิงวัยกลางคนกว่า 210 คนเพื่อศึกษาพฤติกรรมการนอนของพวกเขา     โดยเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ก็คือ จะต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้ยาประเภทต่างๆ และไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ   แรกเริ่มนักวิจัยจะมีการเก็บแบบสอบถามกับผู้เข้าร่วมทุกคน จากนั้นก็นำเอาตัวอย่างเลือดของพวกเขาไปตรวจสอบเพื่อดูว่ามีใครเป็นโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจหรือไม่     ผลสรุปออกมาว่า ราวๆ 40% ของผู้เข้าร่วมโครงการ มีภาวะพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศด้วย เพราะผู้หญิงที่นอนหลับไม่เพียงพอ มีแนวโน้มที่จะโมโหง่าย ซึมเศร้าและเกลียดชังกว่าผู้หญิงที่นอนหลับเพียงพอ   แต่พฤติกรรมเหล่านี้กลับไม่ปรากฏในเพศชายเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าพวกเขาจะหลับได้น้อยก็ตาม ฉะนั้นจึงสรุปได้ง่ายๆ ว่า หญิงสาวที่นอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลให้สมองของพวกเธอทำงานหนักขึ้นในวันถัดไป และเหวี่ยงวีนคนรอบข้างได้ง่ายกว่า     เรื่องนี้น่าจะบอกหนุ่มๆ ได้ว่า หากวันไหนสาวๆ นอนมาน้อย คุณอย่าได้ไปแหยมกับพวกเธอเชียว เพราะอาจจะโดนแยกเขี้ยวใส่ได้นะ ที่มา lifehack

  • อุบ๊ะ กำเนิดใหม่!! นักวิทย์สามารถชุบชีวิต ‘ทาร์ดิกราดา’ สัตว์ที่ถูกแช่แข็งนานกว่า 30 ปีได้แล้ว

    อุบ๊ะ กำเนิดใหม่!! นักวิทย์สามารถชุบชีวิต ‘ทาร์ดิกราดา’ สัตว์ที่ถูกแช่แข็งนานกว่า 30 ปีได้แล้ว

    ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ เมื่อนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยแถบขั้วโลกแห่งชาติญี่ปุ่นสามารถชุบชีวิตให้กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่ชื่อว่า ‘ทาร์ดิกราดา’ ให้กลับมาได้ โดยทำการเก็บมันมาจากทวิปแอนตาร์กติกา สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วนี้ รู้จักกันในอีกชื่อว่า ‘หมีน้ำ’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ โดยมีขนาดตัวที่เล็กมาก ความยาวขนาดตัวน้อยกว่า 1 มิลลิเมตร และอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาวรุนแรงมากซะด้วย   ทาร์ดิกราดา หรือ หมีน้ำ   ความสามารถพิเศษของพวกมันก็คือสามารถสั่งให้ระบบร่างกายทำงานให้ช้าลงหรือหยุดทำงานไปเลยก็ได้ (จำศีล) เพื่อช่วยยืดระยะเวลาชีวิตออกไปอีกได้เป็นเวลานาน อ้างอิงการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน นิตยสาร Cryobiology เจ้าหมีน้ำตัวน้อยถูกค้นพบอยู่ในพืชมอสในทวีปแอนตาร์กติกาในปีค.ศ. 1983 และถูกนำมาเก็บเป็นตัวอย่างด้วยอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส และถูกชุบชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014     ทั้งไข่และเจ้าหมีน้ำที่เก็บมาถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง มันสามารถเคลื่อนไหวและกินอาหารตามปกติ อีกทั้งยังวางไข่ 19 ฟอง ซึ่งฟักออกมาเป็นตัวได้สำเร็จ 14 ฟอง และไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้นกับเจ้าหมีน้ำน้อยเกิดใหม่ด้วย     สำหรับการชุบชีวิตหมีน้ำในครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 30 ปีกันเลยทีเดียว และไม่น่าเชื่อว่ามันยังสามารถใช้ชีวิตต่อได้หลังจากที่ถูกแช่แข็งมาเป็นระยะเวลานานขนาดนี้   ที่มา…

  • ผลสำรวจทางวิทย์ฯ ระบุ การใช้กัญชาไม่ทำให้ IQ และผลการเรียนลด แต่บุหรี่ทำ!!!

    ผลสำรวจทางวิทย์ฯ ระบุ การใช้กัญชาไม่ทำให้ IQ และผลการเรียนลด แต่บุหรี่ทำ!!!

    งานวิจัยใหม่อีกแล้วล่ะครับผ๊มมมมมม สำหรับงานนี้ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าไม่ได้โม้มาคุยนะเออ มีการเก็บข้อมูลและสถิติตามระบบวิทยาศาสตร์มาแล้วล่ะ ลองมาฟังดูกัน งานวิจัยใหม่ชี้ว่า การสูบกัญชานั้น ไม่ได้ทำให้ไอคิวของผู้สูบลดลงแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้าม การสูบบุหรี่กลับทำให้ไอคิวลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ!!!   ไอคิวลด!!?   สำหรับงานวิจัยนี้ก็เก็บข้อมูลจากประชากรของเด็กจำนวนทั้งหมด 2,235 คน ที่ใช้ทั้งกัญชาและบุหรี่ในวัย 15 ทำการเก็บข้อมูลไว้ และมาเก็บผลการทดสอบไอคิวอีกครั้งในอายุ 16 ปี ในวารสารวิทยาศาสตร์ Psycopharmacology นักวิจัยกล่าวว่า ‘จากการทดลองและเก็บข้อมูลทั้งหมดพบว่า ผู้ที่ใช้กัญชามีโอกาสน้อยกว่าถึง 50 เท่าจากบุหรี่เลยทีเดียว คือแทบจะไม่ต่างจากผู้ไม่สูบเลยล่ะ’ แต่ในขณะที่การสูบบุหรี่ ทำให้ไอคิว และความสามารถในการเรียนลดลง…   กัญชา vs. บุหรี่   แต่จะว่าไปแล้วเหมียวคิดว่าไม่ใช้นะจ๊ะ ดีที่สุดแล้วล่ะ เพราะเสียสุขภาพทั้งสองอันเลย หันมาออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดี รับรองสุขภาพของเราจะดี และเรียนได้อย่างเต็มที่แน่นอนจ้าาา ที่มา: Metro

  • วิจัยใหม่ชี้ เก็บมือถือในกระเป๋ากางเกงหรือชั้นใน เสี่ยงได้รับอันตรายจากรังสี!!!

    วิจัยใหม่ชี้ เก็บมือถือในกระเป๋ากางเกงหรือชั้นใน เสี่ยงได้รับอันตรายจากรังสี!!!

    ก็เรียกได้ว่าสำหรับมือถือและสมาร์ทโฟนต่างๆ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างดีสำหรับการถูกสอดใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าต่างๆ หรือกระทั่งที่อย่าง ‘ร่องนม’ และ ‘ในบรา’ ก็มีสาวๆหลายคนชอบเอาเหน็บไว้ (แม้ว่าสาวไทยบางคนจะเหน็บแล้วร่วงลงไปก็ตามที)   แต่ล่าสุดงานวิจัยใหม่ของทาง Dr. Devra Davis ได้ชี้ให้เห็นว่า การเก็บอุปกรณ์เหล่านี้ใกล้กับผิวหนังของคุณมากเกินไป จะทำให้ผิวดูดซับรังสีจากตัวโทรศัพท์มากขึ้นในอัตราที่น่ากลัวกว่าปกตินั่นเอง   รังสีจากโทรศัพท์งั้นหรือ!?   ตอนเธอไปบรรยายที่ Australia’s National Institute of Environmental Health Sciences ทาง Dr. Devra Davis ก็ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเน้นย้ำประเด็นหลักๆก็คือเหล่าสาวๆ ที่ชอบเก็บไว้ในยกทรงนั้น เป็นการเพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งและเนื้องอกในเต้านมอย่างมากเลยทีเดียวล่ะ และที่สำคัญหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ในคู่มือการใช้ iPhone 4 ก็เคยระบุถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย โดยข้อความระบุ ‘ไม่ควรนำเข้าใกล้ร่างกายเกิน 15 มิลลิเมตร’   Dr. Devra Davis   นอกจากนี้ ต้นฉบับยังกล่าวไว้ว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ระบุรังสีเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับ DNA และความสามารถในการสืบพันธุ์ของท่านชายอีกด้วย!!! (ทีนี้ก็ระวังกันไว้นะจ๊ะเหล่าท่านชาย -*-)   คลิปเต็มๆของเธอความยาวกว่า 1 ชั่วโมง…

  • สงสัยก็คลายซะ!! เมล็ดกาแฟต่างสูตร มีผลต่อสมองแตกต่างกันมั้ย งานวิจัยล่าสุดเผยว่า ‘ต่าง’

    สงสัยก็คลายซะ!! เมล็ดกาแฟต่างสูตร มีผลต่อสมองแตกต่างกันมั้ย งานวิจัยล่าสุดเผยว่า ‘ต่าง’

    สำหรับคอกาแฟจะต้องชื่นชอบแน่นอนกับผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีคนชื่นชอบดื่มกาแฟกันมากขึ้น โดยเฉพาะกาแฟสดในสูตรต่างๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย เพื่อตอบสนองความชื่นชอบแต่ละคนที่เลือกดื่มเพื่อผ่อนคลายหรือเป็นแรงกระตุ้นในการทำงาน     ทั้งในเรื่องของกาแฟร้อนและกาแฟเย็น แต่ละสูตรมีส่วนผสมที่ต่างกัน ให้กลิ่นที่ต่างกัน เนื่องจากเมล็ดกาแฟนั้นเป็นคนละชนิด บางคนอาจจะไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ มันก็ไม่แตกต่างจนเห็นได้ชัด แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้มีงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากญี่ปุ่น ออกมาเปิดเผยแล้วว่าเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดจะส่งผลต่อคลื่นอัลฟาในสมองในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน     โดยคลื่นอัลฟาในสมองนี้จะมีอัตราส่วนที่สูงมากเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลาย นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ากลิ่นจากกาแฟนี่แหละช่วยกระตุ้นได้ โดยเฉพาะการดมกลิ่นของเมล็ดกาแฟ Guatemalan และ Jamaican Blue Mountain รวมไปถึงการคั่วเมล็ดกาแฟก็มีส่วนเช่นกัน   สีน้ำตาลเข้มและสีแดงคือระดับของคลื่นอัลฟาในสมอง   ถ้าหากว่าคุณอยากมีสมาธิมากขึ้น เมล็ดกาแฟสูตร Brazilian Santos, Hawaiian Kona และ Sumatra จะมาช่วยกระตุ้นในส่วนนี้ได้ โดยจะช่วยในส่วนของการประมวลผลในสมอง (การตัดสินใจ, การจดจ่อ) โดยอ้างอิงจากผลการทดสอบในอาสาสมัครที่มีการตอบสนองต่อคลื่นความถี่สูงหลังจากที่ได้ดมกลิ่นเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกัน   กราฟอ้างอิงผลการทดสอบการตอบสนองต่อคลื่นความถี่ ยิ่งกราฟแท่งต่ำเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงการประมวลผลที่รวดเร็ว   แล้วคุณล่ะ อยากจะดื่มกาแฟจากเมล็ดแบบไหนเอ่ย?   การดมกลิ่นช่วยส่งผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างนี้ ถ้าหากว่าต้องอยู่ดึกเพื่อทำงานหรืออ่านหนังสือ เมล็ดกาแฟ…

  • นักวิจัยเผยวิธีเอาชนะโรคกลัวแมงมุมได้ภายในสองนาที ‘ถ้ากลัวมัน ก็เข้าไปอยู่กับมันซะเลยสิ’

    นักวิจัยเผยวิธีเอาชนะโรคกลัวแมงมุมได้ภายในสองนาที ‘ถ้ากลัวมัน ก็เข้าไปอยู่กับมันซะเลยสิ’

    สัตว์โลกที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับขนลุกขนพองผยองเดชมานักต่อนัก มันก็คือ ‘แมงมุม’ นั่นเอง ด้วยจำนวนขาที่มีมากว่าสี่ บางตัวก็ขายาวเป็นก้าง มีหนวด บางตัวก็อ้วนตุ๊บขาเป็นปล้อง แถมยังมีขนตามตัวอีก อี๋!! แค่นึกภาพก็สยองจะแย่แล้วววววว     แล้วความกลัวแมวมุมเหล่านี้ คุณเคยคิดที่จะเอาชนะมันบ้างรึเปล่า? ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นซะเหลือเกิน ทั้งนี้นักวิจัยจากภาควิชาจิตวิทยาคลินิก มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ได้เสนอทางเลือกอันสุดแสนจะวิเศษที่จะทำให้คุณสามารถเอาชนะความกลัวแมงมุมได้ภายในสองนาทีเท่านั้น     แต่การที่จะเอาชนะมันในระยะเวลาอันแสนสั้นนี้ กลับกลายเป็นวิธีการที่ดูเหมือนจะทรมานเสียมากกว่า ดั่งสุภาษิต ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’ กลัวแมงมุม ก็ต้องไปอยู่กับแมงมุมภายในห้องเดียวกัน ซึ่งนักวิจัยก็เชื่อว่าการกระทำแบบนี้ภายในเวลาสองนาที กับการนำตัวกระตุ้นความกลัวเข้าไปด้วย จะช่วยทำให้เกิดการต่อสู้กับความกลัว     โดยที่สองนักวิจัย Marieke Soeter และ Merel Kindt ได้ทำการทดลองกับผู้ที่มีอาการกลัวแมงมุม 45 ราย ไปขังเดี่ยวพร้อมกับแมงมุมทารันทูล่า พร้อมกับให้ยา Propranolol หรือ Placebo เพื่อลดความเครียดและกดดันของผู้ทดสอบ     ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือบางคนอาการกลัวแมงมุมหายไปในทันที ในขณะบางส่วนก็ยังคงมีอาการกลัวแมงมุมอยู่ โดยอาศัยระยะเวลาผ่านไปประมาณปีกว่าๆ ความกลัวแมงมุมก็เริ่มหายไป  …

  • อุรุกวัยอนุญาตให้ 2 บริษัทสามารถขายกัญชาได้อย่างเสรี เพื่อป้องกันการค้าแบบผิดกฏหมาย!!

    อุรุกวัยอนุญาตให้ 2 บริษัทสามารถขายกัญชาได้อย่างเสรี เพื่อป้องกันการค้าแบบผิดกฏหมาย!!

    ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากๆ กับพืชสีเขียวที่มีผู้คนร้องเรียนให้กลายเป็นสิ่งที่สามารถค้าขายกันได้ถูกต้องตามกฏหมาย แต่ก็ยังมีอีกฝ่ายที่มองว่าเจ้ากัญชาเนี่ย ยังไงก็คือสิ่งเสพติด ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อื่นใดได้นอกจากการดึงดาว     ซึ่งในบางประเทศก็ได้อนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายแล้ว สามารถซื้อขายกันได้อย่างสะดวก อย่างเช่นในประเทศอุรุกวัย ที่ยอมให้บริษัท 2 แห่งค้าขายกัญชาได้อย่างเสรี แต่ทั้งนี้ก็ต้องควบคุมปริมาณในการเพาะปลูกด้วย แต่ไม่ได้ควบคุมถึงลักษณะของพันธ์ุและความเข้มข้น     อย่างไรก็ตามผู้ที่คัดค้านก็เชื่อว่าการที่เปิดให้มีธุรกิจกัญชาถูกกฏหมายนั้นไม่ถือว่าเป็นทางออกที่ดี อาจจะส่งผลทำให้เกิดสิ่งที่ตรงกันข้ามซะมากกว่า ทางฝั่งผู้ที่สนับสนุนธุรกิจกัญชาก็กล่าวว่าการอนุญาตให้ธรุกิจกัญชาถูกกฏหมายนั้นเป็นวิธีการแก้ไขการค้าอย่างผิดกฏหมาย ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพมาแสวงหาผลประโยชน์จากกัญชา รวมไปถึงปลอดภัยต่อผู้ใช้กัญชาด้วย     มองในอีกมุมหนึ่งก็คือกัญชายังเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตยาเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์อีกด้วย ทั้งนี้นักวิจัยต่างก็สนับสนุนให้นำกัญชามาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเผื่อในอนาคตจะสามารถมาใช้ในทางการแพทย์ต่อไป     และอาจจะสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาลอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่คัดค้านต่างก็เห็นเพียงแค่ว่ามันไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากเป็นสารเสพติด   ที่มา : BBC Thai

  • สาระน่ารู้กับ 10 เรื่องราวอันน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในรอบเดือนตุลาคม 2558

    สาระน่ารู้กับ 10 เรื่องราวอันน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ในรอบเดือนตุลาคม 2558

    เหมียวเองถึงแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์มากมายซักเท่าไหร่ แม้จะเรียนวิทยาศาสตร์ได้เกรด 1 มาบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ชอบที่จะเรียนรู้ว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์มันพาเราไปไกลถึงไหนแล้ว อิอิ ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานี้ มีทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเยอะแยะเลย     15 ตุลาคม – ดวงดาวที่มีระยะห่างไกลกว่า 1,500 ปีแสง มีการส่องแสงสว่างระยิบระยับเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจจะมีวัตถุขนาดมหึมาโคจรรอบๆ มันอยู่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งกำลังทำการวิจัยสำหรับคลื่นวิทยุจากสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในอวกาศอันไกลโพ้นอยู่     2 ตุลาคม – จากผลการศึกษาใหม่ สามารถสนับสนุนสาเหตุการสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์นั้นมาจากการรวมตัวกันของภูเขาไฟขนาดใหญ่ และได้รับผลกระทบจากดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งชนโลก     5 ตุลาคม – นักวิทยาศาสตร์จาก NASA ยืนยันแล้วว่ามีของเหลวที่ลักษณะคล้ายกับน้ำอยู่บนดาวอังคาร จากการสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ จากแนวลาดชันบนดางอังคาร     8 ตุลาคม – จากผลการสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร NASA ยืนยันว่า Gale Crater บนดาวอังคารนั้นเคยเป็นทะเลสาปเมื่อ 3,800,000,000…

  • ประกาศผลรางวัล Ig Nobel Prize ล้อเลียน Nobel Prize กับผลงานความสำเร็จสุดฮา!!

    ประกาศผลรางวัล Ig Nobel Prize ล้อเลียน Nobel Prize กับผลงานความสำเร็จสุดฮา!!

    หลายๆ คนก็คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการประกาศรางวัล Nobel Prize กันมาบ้าง มันก็คือการมอบรางวัลให้กับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านสาขาวิชาการต่างๆ การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ     แต่แล้วก็มีการประกาศผลรางวัล Ig Nobel Prize ตามมาด้วย เป็นการล้อเลียนการประกาศผลรางวัลดังกล่าว ทั้งทางวิทยาศาสตร์และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในโลกใบนี้ แต่ช่วยสร้างความฮาและช่วยทำให้คนฉุกคิดขึ้นมาได้ (แบบว่า เออ!! แบบนี้ก็มีด้วยแฮะ) แล้วจะมีสาขาวิชาไหนบ้าง ตามมาอ่านกันเถอะ!!   สาขาฟิสิกส์ – การค้นพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะใช้เวลา 21 วินาที ในการทำให้กระเพาะปัสสาวะว่าง   สาขาชีววิทยา – การทำไก่ให้เดินเหมือนกับไดโนเสาร์   สาขาการวินิจฉัยโรค – การกำหนดค่าความเจ็บปวดของโรคไส้ติ่งอักเสบ จากการกระทบเนินชลอความเร็ว   สาขาการจัดการ – การค้นพบว่าผู้นำทางด้านธุรกิจส่วนมาก ได้รับการพัฒนาทักษะการยอมรับความเสี่ยงมาจากประสบการณ์พบเจอภัยพิบัติธรรมชาติในวัยเด็ก   สาขาแพทยศาสตร์ – การทดลองจูบอันหนักหน่วง เพื่อศึกษาผลประโยชน์ทางการแพทย์และผลกระทบที่จะตามมา   สาขาวรรณกรรม – การค้นพบคำว่า ‘ห๊ะ!?’ หรือ…

  • สามีสานต่อความฝันของภรรยาผู้ล่วงลับ ขายเมล็ดทานตะวันเพื่องานวิจัยกำจัดโรคมะเร็ง!!

    สามีสานต่อความฝันของภรรยาผู้ล่วงลับ ขายเมล็ดทานตะวันเพื่องานวิจัยกำจัดโรคมะเร็ง!!

    ความตั้งใจของคุณนาย Babbette Jaquish หรือในอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ‘คุณนายทานตะวัน’ (Sunflower Lady) โดยที่เธอนั้นมีเป้าหมายในการขายเมล็ดทานตะวันเพื่อใช้เป็นทุนในการวิจัยกำจัดโรคมะเร็ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและความฝันของเธอก็คงจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่สามีของเธอ Don จะไม่ยอมให้ความฝันของเธอสูญเปล่า เขาตัดสินใจปลูกดอกทานตะวันเพื่อสานต่อความฝันของภรรยา เขาปลูกดอกทานตะวันในพื้นที่ประมาณ 1,600,000 ตารางเมตร (400 เอเคอร์) และได้ตั้งเป็นบริษัท Babbette’s Seeds of Hope โดยเน้นการขายเมล็ดทานตะวันเพื่อเป็นทุนในการวิจัยโรคมะเร็ง ‘ทัศนคติและความคิดของเธอคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ผมมีขีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ และวันที่เธอฝันถึง วันที่การรักษาโรคมะเร็งให้หายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว’ Don ผู้เป็นสามีกล่าว หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไปแล้ว หลายเดือนต่อมาเขาก็ได้พบกับจดหมายที่ภรรยาทิ้งไว้ให้ก่อนจะเสียชีวิต มีใจความว่า ‘เธอจะต้องสู้และก้าวต่อไปในแต่ละวัน สัมผัสฉันผ่านอากาศยามเช้า และเมื่อใดก็ตามที่เธอตื่นขึ้นและชงกาแฟ ฉันก็จะอยู่ที่นั่นกับเธอตลอดไป’ ที่มา : thechive

  • สามีปลูกทานตะวัน 1,000 ไร่ เพื่อภรรยาผู้ล่วงลับด้วยมะเร็งร้าย หวังขายเมล็ดเอาเงินช่วยวิจัยมะเร็ง

    สามีปลูกทานตะวัน 1,000 ไร่ เพื่อภรรยาผู้ล่วงลับด้วยมะเร็งร้าย หวังขายเมล็ดเอาเงินช่วยวิจัยมะเร็ง

    นาง Babbette Jaquish หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Sunflower Lady” ในเมือง Eau Claire, Wisconsin เธอได้จากไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วหลังจากสู้กับโรคมะเร็งมานาน สามีของเธอ Don Jaquish จึงตัดสินใจที่จะเติมเต็มความฝันของเธอด้วยการปลูกต้นดอกทานตะวันกว่า 1,000 ไร่ และก่อตั้งบริษัท Babbette’s Seeds of Hope เพื่อหาเงินไปช่วยการทำวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เขาบอกกับสำนักข่าว ABC ว่า “เธอตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัยทางการแพทย์”   ไม่กี่เดือนหลังจากที่เธอจากไป เขาก็เจอจดหมายลับที่เธอเขียนไว้ให้กับเขา   “จงก้าวไปข้างหน้า และใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับว่าฉันเป็นอากาศในยามเช้า แต่เมื่อคุณตื่นมาและชงกาแฟ ฉันจะอยู่ที่นี่เสมอ”   ชมคลิปความยิ่งใหญ่ของทุ่งดอกทานตะวันได้ในคลิปนี้เลย ที่มา boredpanda

  • นักศึกษาใจกล้าทำเปเปอร์ไม่ทัน เมาส่งอีเมลขอเลื่อน อาจารย์ตอบกลับได้จี๊ดสุดๆ!!

    นักศึกษาใจกล้าทำเปเปอร์ไม่ทัน เมาส่งอีเมลขอเลื่อน อาจารย์ตอบกลับได้จี๊ดสุดๆ!!

    ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายเป็นช่วงที่พีคที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าจะต้องเจอกับมหกรรมการปั่นงานวิจัยที่เรียกกันในวงการวิชาการว่า “เปเปอร์” นั่นแหละ หากใครที่เคยผ่านมาก็คงจะรู้กันดีว่ามันยากมากมายแค่ไหน ที่กว่าจะได้มาแต่ละหน้า ไหนจะต้องแก้แล้วแก้อีก!?     และแล้วชะตากรรมอันย่ำแย่ของนักศึกษานามว่า Patrick Davidson ก็มาถึง เขาไม่อาจทำเปเปอร์ส่งตามกำหนดของอาจารย์ได้ เพราะดันลืมวันกำหนดส่ง เขาไม่มีทางเลือกมากนัก ก็เลยทำการส่งอีเมลไปหาอาจารย์เพื่อขอเลื่อนส่ง แต่สภาพข้อความที่พิมพ์ไปหาอาจารย์นี่มันอาการของคนเมาชัดๆ     ข้อความของ Patrick Davidson มีใจความประมาณว่า “ถึงคุณ Martin ผมอยากจะบอกให้คุณรู้ว่าคุณมันเลวจริงๆ และผมเสียใจกับหัวล้านๆ ของคุณด้วย แต่ถ้าคุณอยากมีผมดกดำ ผมสามารถหาสาวๆ ทีพาไปปลูกผมได้นะ แต่ที่ผมจะพูดก็คือผมอยากขอเลื่อนส่งเปเปอร์ ตอนนี้ผมย่ำแย่สุดขีดแล้วก็จะป่วยในวันพรุ่งนี้ด้วย เพราะผมลืมกำหนดส่ง รักนะจ๊ะแล้วเจอกันวันจันทร์”   เจอลูกศิษย์ส่งข้อความหยาบๆ มาแบบนี้ อาจารย์ Martin ก็เลยตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าคืนที่ผ่านมาคุณคงจะสนุกสุดเหวี่ยงไปเลยสินะ ผมจะเลื่อนกำหนดส่งไปเป็นวันพุธ เวลา 23.59 น. ดูวิธีการส่งเปเปอร์ในประมวลการสอนด้วยนะ และผมขอขอบใจกับความห่วงใยเรื่องหัวล้านของผม เมียผมชอบหัวล้านด้วยและผมก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปปลูกผม ปล. ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนคุณดื่มอะไร? ครั้งหน้าที่คุณส่งอีเมลมาหาผม ผมก็จะกรึ๊บเหมือนกับคุณ…