เปิดตำนาน 5 เรื่องราวสุดยอดวีรชนในประวัติศาสตร์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยโลกใบนี้ไว้ทั้งใบ

Date:

ว่ากันว่าโลกของเรามีฮีโร่อยู่มากมายหลายคน  และไม่ว่ายุคไหนๆ คนเราก็จะมีเรื่องราวของเหล่าวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือผู้คนอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะในสงคราม หรือแค่ในเวลาที่ผู้คนตกทุกข์ได้ยาก

ถึงอย่างนั้นก็ตามเรื่องราวของฮีโร่ก็ใช่ว่าจะมีความยิ่งใหญ่เท่ากันเสมอไป เพราะในขณะที่คนบางคนอาจจะเป็นฮีโร่ได้จากการช่วยเหลือคนเพียงกลุ่มเดียว ฮีโร่อีกหลายคนก็อาจจะได้ชื่อนี้มาจากการกู้โลกทั้งใบเลย

เรื่องราวทั้ง 5 ต่อไปนี้คือเรื่องราวของเหล่าฮีโร่ที่ทำผลงานยิ่งใหญ่ระดับโลกเหล่านั้น เพราะต่างจากวีรบุรุษทั่วๆ ไป หากไม่มีพวกเขาแล้วโลกของเราก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เลยก็ได้

 

1. Stanislav Yevgrafovich Petrov

เรามาเริ่มกันจากชายผู้ได้ชื่อว่า “The Man Who Saved the World” กับนายทหาร Stanislav Petrov

ชายคนนี้เป็นหนึ่งในทหารอากาศแห่งสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น ซึ่งรับหน้าที่ค่อยฟังสัญญาณตรวจจับขีปนาวุธและรายงานมันให้กับเบื้องบนเพื่อตัดสินใจต่อไปอีกที

โดยผลงาน “การช่วยโลกทั้งใบ” ของชายคนนี้เกิดขึ้นในวันที่ 26 กันยายน 1983 เมื่อ ดาวเทียมของโซเวียตสามารถจับสัญญาณเจอขีปนาวุธจำนวนมากถูกยิงมาจากฝั่งสหรัฐอเมริกาได้

แน่นอนว่าด้วยหน้าที่ของ Stanislav เข้าจะต้องรายงานเรื่องนี้แก่เบื้องบน ซึ่งด้วยสถานการณ์แล้วมันก็คงจะไม่แปลกเลยที่โซเวียตจะยิงขีปนาวุธสวนและนำโลกไปสู่สงครามโลกครั้งที่สาม

 

 

แต่แทนที่จะแค่ทำงานตามหน้าที่ Stanislav ในเวลานั้น กลับตัดสินใจว่าสัญญาณตรวจจับที่เขาพบมันเป็นแค่ความผิดพลาดของระบบ และแจ้งเรื่องความผิดปกติของระบบต่อเบื้องบนแทนที่จะเป็นการพบขีปนาวุธ

ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเอามากๆ เพราะไม่เพียงแต่ในวันนั้นจะไม่มีการยิงขีปนาวุธจากฝั่งสหรัฐอเมริกาจริงๆ

แต่ในภายหลังโซเวียตยังพบด้วยว่าสัญญาณที่พบ แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของดาวเทียม ที่เห็นเงาสะท้อนบนก้อนเมฆเป็นขีปนาวุธ แสดงให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียตได้เป็นอย่างดีด้วย

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องค่อนข้างน่าเศร้าเลยทีเดียวที่เรื่องราวของชายคนนี้ต่อมาก็ถูกโลกลืมไปเนื่องจากการกระทำของเขาไม่ได้รับการบันทึกลงในรายงาน จนเจ้าตัวเกษียณอายุไปด้วยยศแค่นาวาอากาศโท แถมต้องใช้ชีวิตหลายปีไปกับการปลูกมันฝรั่งประทังชีพ

และกว่าที่เรื่องราวของเขา จะกลายเป็นที่รู้จักของโลกจริงๆ มันก็ในช่วงปี 1998 โน้นเลย

 

 

2. Vasili Alexandrovich Arkhipov

หากเราถามว่า Vasily Arkhipov ช่วยโลกอย่างไร? เชื่อหรือไม่ว่าคำตอบก็คงจะเป็น “ด้วยการไม่ทำอะไร”

เรื่องราวของ Vasily Arkhipov เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งที่ประเทศคิวบาอีกหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็น ซึ่งในเวลานั้นเขาได้รับหน้าที่เป็นรองกัปตันของเรือดำน้ำ B-59 ที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ของฝ่ายโซเวียต

ในวันที่ 27 ตุลาคม ปี 1962  ได้เกิดเหตุเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐถูกยิงตกในคิวบา ส่งผลให้สถานการณ์ของประเทศเข้าสู่ช่วงพร้อมเข้าสู่การรบทุกเมื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และมันก็เป็นในวันนั้นเอง ที่ด้วยเหตุผลบางอย่างเรือดำน้ำ B-59 ได้เกิดเข้าใจผิดว่าสงครามระหว่างสหรัฐและโซเวียตเริ่มต้นขึ้นแล้ว (หลายแหล่งข้อมูลบอกว่าเข้าใจผิดเพราะถูกพิฆาตของสหรัฐโจมตี)

 

 

ในระหว่างความโกลาหลนั่นเองกัปตันเรือ B-59 ได้ตัดสินใจที่จะยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ตัวเองมี ซึ่งตามระเบียบแล้วต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทหาร 3 นายบนห้องควบคุม

นี่เป็นช่วงเวลาอันตึงเครียดอย่างมากเพราะหากการยิงขีปนาวุธเกิดขึ้นจริงๆ โลกจะต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สามเป็นแน่ และบนเรือเองนายทหาร 2 นายจาก 3 นายก็เห็นชอบกับการยิงขีปนาวุธแล้วด้วย

นับว่าเป็นโชคดีมากที่ Vasily Arkhipov ซึ่งเป็นนายทหารคนสุดท้าย คัดค้านการยิงหัวรบอย่างเต็มที่

โดยเขายืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องนำเรือขึ้นไปตรวจสอบความจริงก่อน และขอร้องให้กัปตันนำเรือขึ้นเหนือผิวน้ำ แม้มันจะเป็นการยอมจำนนต่อสหรัฐ

การกระทำของเขาทำให้สุดท้าย สงครามโลกครั้งที่ 3 จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่หลายๆ คนกลัว และ Vasily Arkhipov เองก็ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงจากทุกฝ่าย ในฐานะวีรบุรุษผู้หยุดสงครามโลก

เขาจากไปอย่างสงบในปี 1998 ด้วยวัย 72 ปีในประเทศรัสเซียบ้านเกิดของเขา และแม้ร่างกายจะสูญสลาย แต่การตัดสินใจคัดค้านครั้งนั้น ก็ตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไปเลย

 

 

3. Edward Jenner

“วีรบุรุษไม่จำเป็นต้องมาจากสงครามและความขัดแย้งเสมอไป” ไม่แน่ว่าคำคำนี้คงจะเป็นคำพูดที่เหมาะสมกับคนอย่าง Edward Jenner มากๆ เลยก็ได้

Edward คือนายแพทย์ชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคไข้ทรพิษระบาดอย่างรุนแรง ทำให้ตั้งแต่ในปี 1792 เป็นต้นมาชายคนนี้ก็เริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับโรคไข้ทรพิษเพื่อที่จะพยายามทำการรักษามัน

 

 

และก็เป็นในช่วงนี้เองที่เขาสังเกตเห็นว่า คนไข้ของเขาที่เป็นโรคฝีดาษวัวที่ป่วยเป็นโรคฝีดาษวัว ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีแผลพุพองตามตัวนั้น จะไม่มีใครเลยที่เป็นโรคไข้ทรพิษ

ความเกี่ยวข้องนี้ทำให้ Edward เกิดความคิดว่า โรคฝีดาษวัวบางชนิดอาจสามารถป้องกันคนไม่ให้เป็นไข้ทรพิษได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่ม นำน้ำหนองในแผลของคนไข้โรคฝีดาษวัวมาทำเป็น วัคซีนโดยทำให้เชื้ออ่อนแอลง

นั่นทำให้ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1796 Edward ก็ประสบความสำเร็จในการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคไข้ทรพิษ วิธีการรักษาซึ่งในเวลาต่อมาคาดกันว่าช่วยชีวิตคนไว้มากกว่า 530 ชีวิตเลย

 

 

4. Alan Turing

สำหรับคนอย่าง Alan Turing แล้ว เขาเป็นวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ ผู้เคยช่วยชีวิตผู้คนหลายล้านให้รอดพ้นจากไฟสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตเขากลับแทบไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างที่ควรเพียงเพราะเขาเป็นชายรักชายเท่านั้น

ชายชื่อ Alan Turing เป็นวิทยาศาสตร์อัจฉริยะผู้มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์เป็นเลิศ เขาจบการศึกษาเกียรตินิยมด้านคณิตศาสตร์จากคิงส์คอลเลจ และมีประสบการณ์อย่างมากในการคิดค้นกลไกด้านการคำนวณ

ความสามารถทำให้เขาได้เข้ามาร่วมทีม GC&CS  ซึ่งเป็นทีมไขรหัสสัญญาณของฝ่ายนาซีเยอรมัน

โดยในเวลานั้นอุปกรณ์เข้ารหัสของนาซีหรือ “เครื่องอินิกมา” เรียกได้ว่าเป็นปัญหาอย่างยิ่งของฝั่งพันธมิตรเลยก็ว่าได้

เพราะทุกครั้งที่มีการพิมพ์ตัวอักษรด้วยเครื่องมือชิ้นนี้ ตัวอักษรที่พิมพ์จะถูกนำไปสลับเป็นตัวอักษรอีกตัวหนึ่งอย่างละเอียดซับซ้อนจนแทบไม่มีใครที่สามารถไขปริศนาของเจ้าเครื่องมือนี้ได้

 

 

แต่แล้วตั้งแต่เมื่อ Alan Turing เริ่มเข้าไปถอดรหัสเครื่องมือนี้อย่างจริงจัง ไม่นานนัก พวกเขาก็พบว่าทางนาซีที่มักสื่อสารกันด้วยคำว่า “Heil Hitler” อยู่บ่อยๆ ซึ่งต่อมานำไปสู่การสร้างเครื่องถอดรหัสอินิกมาแบบสมบูรณ์

ส่งผลให้ทางกองทัพสัมพันธมิตรสามารถดักจับข้อมูลสำคัญๆ ของนาซีได้หลายต่อหลายอย่าง ถึงขนาดที่เชื่อกันว่าหากไม่มีผลงานของคุณ Alan Turing สงครามโลกครั้งที่สองก็อาจจะจบช้าลงถึง 1-3 ปีเลย

นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าผลงานของคุณ Alan Turing อาจช่วยชีวิตคนไว้มากถึง 14-21 ล้านคน

แถมหลังจากสงครามจบชายคนนี้ก็ยังกลายเป็นหนึ่งในผู้สร้างสรรค์และบุกเบิกคอมพิวเตอร์แบบที่เราใช้กันรุ่นแรกๆ ด้วย

มันจึงถือเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ชายคนนี้ต้องใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการถูกเหยียดเพียงเพราะเขาเป็นชายรักชาย จนต้องจบชีวิตตัวเองลงด้วยการฆ่าตัวตายไปในปี 1954 ด้วยวัยเพียง 42 ปีเท่านั้น

 

 

5. Liquidators และ First Responders

ต่างไปจากฮีโร่ข้างบน Liquidators ไม่ใช่คนคนเดียวแต่เป็นกลุ่มคน ผู้ซึ่งเข้าไปในเชอร์โนบิล หลังเหตุหายนะในปี 1986 และทำให้เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอันหนึ่งในประวัติศาสตร์ไม่เลวร้ายไป “ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่”

ว่ากันว่าในบรรดา Liquidators ร่วม 600,000 ชีวิตที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในพื้นที่เชอร์โนบิล โดยเฉลี่ยแล้วล้วนแต่จะได้รับรังสีถึงราว120 มิลลิซีเวิร์ตสูงกว่ารังสีจากเครื่องเอกซเรย์หน้าอกกว่าพันเท่า

ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ Liquidators ร่วม 40,000 คนจะต้องกลายเป็นผู้เสียสละไปในการทำงาน และอีกกว่า 70,000 ชีวิตต้องพิการหรือเจ็บป่วยจากพิษรังสี

อย่างไรก็ตามแม้ในบรรดา Liquidators เอง พวกเขาก็กลุ่มที่มีผลงานสำคัญกว่าเพื่อนๆ เช่นกัน ซึ่งในกรณีนี้พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในนาม “First Responders” คนกลุ่มแรกที่เข้าไปในโรงไฟฟ้าตอนเกิดเหตุ

โดยเฉพาะกลุ่มชาย 3 คน ที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

 

 

เรื่องราวของพวกเขาเกิดขึ้นในตอนที่เครื่องปฏิกรณ์ 4 ของเชอร์โนบิลกำลังเริ่มละลายผ่านพื้นของโรงไฟฟ้าหลังเหตุหายนะ

ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่โรงงานได้ทราบว่า หากโลหะรังสีจากเครื่องปฏิกรณ์ที่มีความร้อนสูงไหลลงใส่ที่เก็บน้ำใต้เครื่องปฏิกรณ์ ไอน้ำที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นด้วยแรงระเบิดราวๆ 3-5 เมกะตัน

แรงกว่าระเบิด Little Boy ที่ฮิโรชิม่าร่วม 200 เท่า ซึ่งมากพอที่จะทำให้ทุกสิ่งในระยะ 340 กิโลเมตรหายไป และส่งรังสีจากโรงงานลอยไปไกลถึง ครึ่งทวีปยุโรปได้เลย

เรื่องราวหลังจากนี้ถูกเล่าออกมาในรูปแบบต่างๆ กันไป แต่โดยรวมๆ แล้ว ชายสามคนจากกลุ่ม First Responders ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งนักดับเพลิงตำรวจหรือวิศวกร ได้อาสาที่จะลงไปเปิดวาล์วไล่น้ำออกไปจากด้านใต้ของเครื่องปฏิกรณ์

นี่ถือเป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ เพราะที่ด้านใต้เครื่องปฏิกรณ์ได้เริ่มมีน้ำท่วมแล้ว แถมที่นั่นก็มีปริมาณรังสีสูงถึงขั้นที่อาจจะทำให้คนตายได้เลย

ถึงอย่างนั้นก็ตามชายสามคนนี้ก็ยังสามารถเข้าไปเปิดวาล์วน้ำได้สำเร็จ และทำให้หายนะที่เชอร์โนบิลจบลงไปโดยที่ไม่กลายเป็นหายนะที่เปลี่ยนรูปร่างของแผนที่โลกทั้งทวีปเสียก่อน

น่าเสียดายที่ด้วยการปิดข่าวของโซเวียตในเวลานั้นทำให้มันเป็นเรื่องยากมากที่เราจะระบุตัวได้ว่าคนที่อาสาลงไปปิดวาล์วน้ำตกลงแล้วเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่

แต่จากปริมาณรังสีที่พวกเขาน่าจะได้รับแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้สูงเลยที่ ชายทั้งสามคนนี้จะไม่ชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

 

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวศรัทธา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก psiloveyou, thetimes, posttoday, mgronline และ theguardian

Share post:

Subscribe

spot_imgspot_img

Popular

More like this
Related

วัันนี้วันพระใหญ่นะ แนะนำ ดูธรรมะธัมโมบ้าง ดูปรัชญาคำคม ข่มใจ ข่มกิเลศตัณหา กันบ้างดิ๊

เนื่องจากว่าวันนี้ (๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖) เป็นวัน "วันพระใหญ่" ตรงกับวัน แรม ๑๕...

ในหลวง-พระราชินี พระราชทาน แจกันดอกไม้ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 69 ปี

วันนี้ (21 มี.ค. 66) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานแจกันดอกไม้ แก่...

พบภาพหาชมยาก “วาฬฟิน” เป็น “โรคกระดูกสันหลังคด” ที่สเปน กำลังตรวจสอบว่า เกิดจากอะไร

กำลังเป็นภาพหาชมยาก ที่วงการวิทยาศาสตร์กำลังให้ความสนใจเลยครับ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ชายฝั่งทางตะวันออกของสเปนได้มีการค้นพบภาพ และคลิปของวาฬฟินขนาดมหึมาตัวหนึ่ง กำลังว่ายน้ำอย่างทุลักทุเล สร้างความแปลกใจกับผู้พบเห็นมาก (ชมแบบคลิปได้ที่: youtu.be/aqypyQZr2Zo) โดยในตอนแรกหลายๆ ฝ่ายคิดว่าวาฬตัวนี้ แค่ติดอยู่ในอวนจับปลามันจึงว่ายน้ำแปลกๆ...

ดราม่ากลุ่ม Netflix จากโพสต์ “The Glory ทำเวอร์ชั่นไทยไม่ได้” ทำช่องคอมเมนต์เดือดปุดๆ

ดราม่ากลุ่ม Netflix จากโพสต์ "The Glory ทำเวอร์ชั่นไทยไม่ได้" ทำช่องคอมเมนต์เดือดปุดๆ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ซีรีส์เรื่อง The...