กรณีศึกษาสุดหายาก ชายกลางคนญี่ปุ่นเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากการ “ช่วยตัวเอง”

แน่นอนว่าสำหรับผู้ชายหลายๆ คน “การช่วยตัวเอง” คงจะถือเป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาที่ไม่ว่าใครก็ทำกัน และตราบใดที่ทำอย่างพอเหมาะพอดี มันก็ไม่น่าจะมีโทษใดๆ เป็นพิเศษได้เลย

อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการใช้ชีวิต หากเราโชคร้ายมากๆ แม้แต่การช่วยตัวเองของผู้ชายตามปกติก็อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงถึงชีวิตได้เลยเหมือนกัน

นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เองในกรณีศึกษาสุดหายากตัวใหม่ล่าสุดจากประเทศญี่ปุ่น เราก็เพิ่งจะมีข่าวชายกลางคนรายหนึ่งที่ต้องเกือบเสียชีวิต เข้าโรงพยาบาล เนื่องจากเจ้าตัวเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากการช่วยตัวเองมาแล้ว

เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ เมื่อชายวัย 51 ที่ถนัดขวา (ไม่รู้ทำไมแต่ในรายงานระบุไว้แบบเจาะจงมาก) รายหนึ่งถูกส่งตัวเขามายังโรงพยาบาล

หลังจากที่เจ้าตัว “ถึงจุดสุดยอด” จากการช่วยตัวเองแล้วมีอาการปวดศีรษะอย่างมาก และอาเจียนอย่างรุนแรง

และเมื่อทำการตรวจ CT scan ทีมแพทย์ก็พบว่าในสมองของผู้ป่วยรายนี้ มีอาการตกเลือดในพื้นที่รอบ ๆ สมองซีกซ้าย ที่เรียกว่า “Subarachnoid hemorrhage” ซึ่งนี่เป็นประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เลย

อ้างอิงจากการวินิจฉัยโรคของทีมแพทย์ อาการสุดประหลาดของผู้ป่วยรายนี้เป็นไปได้ว่าจะเกิดจาก การช่วยตัวเองของเขาทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และระดับนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) ในพลาสมาเพิ่มขึ้น

โดยในกรณีนี้ด้วยอายุของผู้ป่วยเองปัจจัยทั้งสามจึงมีผลกระทบรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงขั้นทำให้เส้นเลือดในสมองแตกอย่างที่เห็น

มันจึงเป็นโชคดีมากที่ ชายคนนี้มาเข้ารับการรักษาตัวได้อย่างทันช่วงที ทางทีมแพทย์จึงสามารถทำการใส่ขดลวดช่วยหนุนหลอดเลือดและรักษาการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองของเขาได้สำเร็จ

ไม่นานนักชายคนนี้จึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แบบไม่มีปัญหาอะไร

แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้หากดูเผินๆ อาจจะทำให้รู้สึกกว่าการช่วยตัวเองอาจเป็นอันตรายได้ แต่ทางทีมวิจัยก็ระบุไว้อย่างชัดเจนด้วยว่า นี่เป็นเรื่องที่ตามปกติจะเกิดขึ้นได้ยากมาก

ถึงขนาดที่ภายในบันทึกทางการแพทย์ที่นักวิจัยมีเอง มันเคยมีเรื่องคล้ายกันนี้เกิดขึ้นอีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้นเลย ดังนั้นแล้วการช่วยตัวเองตามปกติจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างไร

กรณีศึกษาชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวาร Journal of Stroke and Cerebrovascular Diseases

ที่มา iflscience และ strokejournal