Tag: ผลวิจัย

  • “3 วิธีการพูด” ที่เป็นสัญญาณว่าคุณมีแนวโน้มของ “โรคซึมเศร้า” ลองไปสังเกตกันดู…

    “3 วิธีการพูด” ที่เป็นสัญญาณว่าคุณมีแนวโน้มของ “โรคซึมเศร้า” ลองไปสังเกตกันดู…

    ในสังคมปัจจุบันนี้เราสามารถพบเห็นผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าในสมัยก่อน โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เหมือนกับความรู้สึกเศร้าของคนทั่วไปที่เกิดขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว พวกเขาจะรู้สึกซึมเศร้าเป็นประจำและแต่ละครั้งก็ยาวนานกว่าปกติ แถมบ่อยครั้งยังไม่รู้สาเหตุของความเศร้าด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะสังเกตว่าเราหรือคนรอบตัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางคนก็เป็นโรคซึมเศร้าโดยที่ไม่รู้ตัว หากอยากทราบแน่ชัดต้องไปให้จิตแพทย์วินิจฉัยเท่านั้น แต่ในวันนี้มีอีกหนึ่งวิธีสังเกตที่ได้ผ่านผลการรับรองจากนักวิจัยแล้ว ด้วยการสังเกตจากวิธีพูดของแต่ละคนนั่นเอง     งานวิจัยที่ว่านี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ Clinical Psychological Science โดยทำการทดลองจากการอ่านบันทึก และฟังบทสนทนาจำนวนมากของคนที่เป็นโรคซึมเศร้า และคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า จึงสังเกตเห็นว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีการใช้ภาษาที่แตกต่างออกไปดังนี้   1. มักจะใช้สรรพนามบุคคลที่หนึ่งที่เป็นเอกพจน์   คนเป็นโรคซึมเศร้ามักจะใช้สรรพนามกล่าวถึงตัวเองเช่น ฉัน ผม หรือเรา(ในกรณีที่หมายถึงตัวเองคนเดียว) อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นตัวชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมากนัก อาจจะเป็นเพราะเพวกเขาชอบปลีกตัวมาอยู่คนเดียวมากกว่าจะอยู่คนจำนวนมากก็ได้ อีกทั้งการใช้สรรพนามแบบนี้ ยังทำให้เราเห็นว่าคนที่เป็นโรคซีมเศร้ามักจะให้ความสนใจกับตัวเองและแนวคิดของตัวเองมากเป็นพิเศษ และไม่ค่อยสนใจแนวคิดในแบบของคนอื่นมากนัก   2. พูดถ้อยคำที่มีความหมายในเชิงลบอยู่บ่อยครั้ง   เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไปแล้ว คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะใช้คำที่มีความหมายเชิงลบมากกว่า โดยคำพูดเหล่านั้นมักจะเกี่ยวกับอารมณ์ในเชิงลบเช่น เศร้า และเหงา เป็นต้น และยังรวมไปถึงคำพูดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของตัวเองด้วย แต่ผลการวิจัยก็ชี้ว่าการใช้สรรพนามบ่งบอกถึงโรคซึมเศร้าได้ดีกว่าการใช้คำพูดในเชิงลบอย่างเห็นได้ชัด   3. ภาษาที่ใช้มักจะมีความสุดโต่ง   เมื่อคนเราอยู่ในภาวะซึมเศร้าก็มักจะใช้ภาษาแบบสุดโต่ง (ถ้าไม่ขาวก็ดำไปเลย ไม่มีระหว่างกลาง) มากกว่าที่คิด อย่างเช่นคำว่า เป็นประจำ ไม่เคย เต็มไปหมด…

  • สาวก “แกงกะหรี่” โปรดทราบ การกินกะหรี่ช่วยคุณให้มีความสุข และความจำดีขึ้นด้วย

    สาวก “แกงกะหรี่” โปรดทราบ การกินกะหรี่ช่วยคุณให้มีความสุข และความจำดีขึ้นด้วย

    แกงกะหรี่เป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดจากทางประเทศอินเดีย ด้วยความที่อาหารประเภทนี้ใส่เครื่องเทศปริมาณมากจึงทำให้มันมีกลิ่นหอมถูกใจผู้บริโภค แต่หลายคนก็ยังคงหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เพราะมันมักจะมีรสจัด แถมพอทานแล้วก็ทำให้กลิ่นตัวแรงด้วย ทว่าตอนนี้นักวิจัยมีข่าวดีเพิ่มเติมมาบอกกับคนชอบทานแกงกะหรี่ มี ผลวิจัย จากเว็บไซต์รวมงานวิจัย American Journal of Geriatric Psychiatry ออกมาแล้วว่า การทานแกงกะหรี่นอกจากจะได้ความอร่อยก็ยังทำให้เรามีความสุขมากกว่าเดิม และก็ช่วยเสริมสร้างความจำที่ดีอีกด้วย     โดยพระเอกในงานวิจัยที่ทำให้เราแฮปปี้และไม่ขี้ลืมก็คือ ขมิ้น นั่นเอง เครื่องเทศชนิดนี้มักจะใช้เป็นส่วนผสมของแกงหลากหลายประเภท ในขมิ้นก็จะมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เคอร์คิวมิน อยู่ซึ่งมันมีคุณสมบัติลดการอักเสบ ทั้งยังสามารถต้านทานอนุมูลอิสระได้ดีด้วย แต่นักวิจัยก็คิดว่าสารเคอร์คิวมินน่าจะช่วยให้คนมีความจำดีเช่นกัน เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าประชาชนในประเทศอินเดียที่บริโภคสารตัวนี้เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ต่ำกว่าในพื้นที่อื่น     Dr.Gray Small เป็นผู้อำนวยการด้านจิตเวชในผู้สูงอายุของศูนย์ศึกษาอายุยืน จากมหาวิทยแคลิฟอร์เนียในรัฐลอสแองเจลิส และยังเป็นผู้นำการวิจัยในครั้งนี้กล่าวถึงการทำงานของเคอร์คิวมินว่า “แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเคอร์คิวมินทำงานอย่างไร แต่การที่มันช่วยลดการอักเสบในสมองซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์และโรคซึมเศร้า น่าจะเป็นสาเหตุที่มันช่วยพัฒนาความจำของผู้บริโภคได้”     Small ได้ทำ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ศึกษาเกี่ยวกับการช่วยเรื่องความจำของเคอร์คิวมิน โดยให้อาสาสมัครผู้ใหญ่ 40 คนในช่วงอายุ 50-90 ปี สุ่มได้รับสารเคอร์คิวมิน 90 กรัม และยาหลอกเป็นเวลานาน 18 เดือน เขาวัดผลโดยการใช้เครื่อง Positron Emission Tomography (PET) อ่านคลื่นสมองของอาสาสมัครทั้งก่อนและหลังจากการได้รับสารเคอร์คิวมิน แล้วให้พวกเขาทำแบบทดสอบความจำก่อนและหลังรับสารที่ว่านี้ด้วย…

  • ผลวิจัยเผย สุนัขมักจะเชื่อฟังผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำเสียงไพเราะกว่า!?

    ผลวิจัยเผย สุนัขมักจะเชื่อฟังผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำเสียงไพเราะกว่า!?

    ใครๆ ก็บอกว่าผู้ชายนั้นเหมือนจ่าฝูง ยิ่งกับสุนัขด้วยกันพวกมันก็มักจะเชื่อฟังแล้วเคารพสุดๆ แต่กลับกันในผลวิจัยล่าสุดดันไม่เป็นแบบนั้น เพราะพวกเขาบอกว่าสุนัขจะเชื่อฟังผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย!? ปกติแล้วการฝึกสุนัขนั้นเรามักจะใช้ชุดคำสั่งง่ายๆ ในการสั่ง เช่น นั่ง ลุก ตาม ชิด หมอบอะไรทำนองนี้ หรือเวลาที่สุนัขต้องการอะไรเราก็มักจะสังเกตได้จากพฤติกรรมของพวกมันเช่นการเกาประตู การเห่าขออาหารอะไรทำนองนี้ ซึ่งเราคิดว่าพวกมันแค่ทำตามเราที่เป็นเจ้าของตามปกติโดยไม่ได้แบ่งแยกเพศของเจ้าของอะไร     แต่ว่าผลการวิจัยล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ผ่าน Royal Society of Open Science นั้นได้ออกมาบอกว่า สุนัขนั้นจะเชื่อฟังผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะว่าการเจริญเติบโตของสุนัขนั้นมักจะมาจากความกลัว ความขี้เล่น ความเครียด ความเศร้า ความสุขและอื่นๆ ซึ่งการรักษาอารมณ์ของพวกมันให้อยู่ในระดับดี มนุษย์ผู้หญิงมักจะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีกว่าผู้ชาย     ในผลวิจัยก็บอกว่า สุนัขนั้นมีระบบการทำงานที่รับรู้อารมณ์ของผู้พูดได้จากความสูงต่ำของเสียง โดยทีมวิจัยชี้ว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่จะรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้จากเสียง ฉะนั้นมนุษย์ผู้หญิงที่มีโทนเสียงเล็กกว่า จึงช่วยให้พวกมันเข้าใจอารมณ์ของเจ้าของเสียงได้ง่าย และดีกว่าน้ำเสียงของผู้ชายนั่นเอง ซึ่งนี่อาจจะเป็นที่มาของต้นเหตุที่ว่าทำไมเวลาเราคุยกับสุนัข เรามักจะทำเสียงสูงกับพวกมันเสมอๆ อย่าง “มีมี่กินอะไรหรือยังลูก หงำๆ หงุงงิงๆ” อะไรทำนองนี้     ที่มา unilad

  • ผลวิจัยพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยทางชีวภาพแล้ว ‘ผู้หญิง’ มีความแข็งแรงกว่าผู้ชาย!?

    ผลวิจัยพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยทางชีวภาพแล้ว ‘ผู้หญิง’ มีความแข็งแรงกว่าผู้ชาย!?

    แม้ว่าตั้งแต่อดีตกาล เราจะได้ยินมาเสมอว่าผู้ชายนั้นมีร่างกายกำยำ จึงมีพละกำลังมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นหากมีงานที่ต้องลงมือลงแรงอย่างเช่น ยกของ ตัดไม้ หรือแม้แต่ต่อสู้ เราก็จะเข้าใจว่าผู้ชายมักจะทำได้ดีกว่าผู้หญิง แต่ในวันนี้ มีผลวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาออกมาแล้วว่าผู้หญิงมีความแข็งแกร่งทางชีวภาพมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มว่าจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เลวร้ายได้มากกว่าผู้ชายด้วย     ผลวิจัยนี้เผยแพร่มาจาก Proceedings of the National Academy of Scientists (PNAS) ซึ่งเป็นวารสารชื่อดังเกี่ยวกับงานจิวัยทางวิทยาศาสตร์ โดยนักวิจัยศึกษาข้อมูลจากการเปรียบเทียบอัตราการตายระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เมื่อต้องต่อสู้กับความอดอยาก โรคระบาด และการเป็นทาส จากข้อมูลพบว่า นอกจากข้อมูลของทาสในศตวรรษที่ 19 และการปลดปล่อยทาสชาวลิไบเรีย ในสาธารณรัฐตรินิแดดซึ่งเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันแล้ว ข้อมูลที่เหลือทั้งหมดระบุว่าผู้หญิงมีอัตราการอยู่รอดมากกว่าผู้ชายทั้งสิ้น     โดยในกลุ่มทาสระหว่างปี 1813 ถึง 1816 อายุคาดเฉลี่ยของทาสชาย หรือก็คือตัวเลขอายุที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงนั้นอยู่ที่ 15.18 ปี ส่วนอายุคาดเฉลี่ยของทาสผู้หญิงเท่ากับ 13.21 ปี ซึ่งต่ำกว่าของผู้ชาย และในส่วนของการปลอดปล่อยทาสชาวไลบีเรีย อายุคาดเฉลี่ยของคนในช่วงอายุ 35 ถึง 49 ปี ก็พบว่าผู้ชายมีอายุคาดเฉลี่ยสูงกว่าผู้หญิงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงอายุอื่นๆ ของกลุ่มตัวอย่างนี้ ผู้หญิงมีค่าอายุคาดเฉลี่ยสูงกว่าผู้ชายหมดเลย…

  • งานวิจัยเผย… การเป็นคน ‘หัวดื้อ’ กับ ‘ทำงานหนัก’ อาจทำให้คุณมีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น

    งานวิจัยเผย… การเป็นคน ‘หัวดื้อ’ กับ ‘ทำงานหนัก’ อาจทำให้คุณมีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น

    เคยได้ยินกันบ้างไหมว่าคนทำงานหนักและหัวดื้อจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุยืนยาว? คุณอาจจะคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ แต่ว่ามันคือเรื่องจริง!! เพราะล่าสุด ทางทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังได้ทำการสำรวจและพบว่าคนที่อายุเยอะส่วนใหญ่ จะเป็นคนประเภทดังกล่าวจริงๆ ผลวิจัยดังกล่าวนั้นมาได้รับการยืนยันจากมหาวิทยาลัย California San Diego และมหาวิทยาลัย Sapienza โดยเผยแพร่ผ่านวารสาร International Psychogeriatics  ซึ่งข้อมูลดังกล่าว เป็นผลวิจัยที่ได้มาจากการที่พวกเขาออกไปสำรวจกลุ่มผู้สูงอายุ 29 คนจากหมู่บ้านที่ห่างไกลในเขต Cilento ของประเทศอิตาลี     ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผลวิจัยนี้มันเป็นไปตามที่รายงาน ก็เพราะผู้สูงอายุในผลสำรวจเป็นคนประเภททำงานหนักและหัวดื้อ แต่นั่นก็ส่งผลระยะยาวกับพวกเขาในด้านสุขภาพจิตดีกว่าคนอายุน้อยในครอบครัวเดียวกันเอง พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ไม่แน่นอนหรือความมั่นคงในอนาคต แถมยังมีบ้านเป็นของตัวเองด้วย ฉะนั้นจึงไม่ต้องมานั่งเครียดกับปัญหาในอนาคตมากเท่าคนรุ่นใหม่ๆ หรือคนที่ไม่ได้เป็นคนประเภทดังกล่าว     จากผลการวิจัยด้านจิตวิทยายังพบว่า ข้อดีของการเป็นคนหัวดื้อนั้นยังส่งผลกระทบในอีกหลายๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเอาใจใส่คนอื่น เพราะคนหัวดื้อและปากแข็งมักจะมีนิสัยในการใส่ใจและอยากดูแลคนอื่นๆ มากกว่าคนปกติ นอกจากนั้น เพื่อความแม่นยำขึ้น ทีมวิจัยระบุว่าลักษณะนิสัยของผู้สูงอายุที่ทำการสำรวจ ก็ไม่ใช่นิสัยที่ได้รับการยืนยันจากตัวผู้สูงอายุเอง แต่มาจากคนรอบข้างของพวกเขา เพราะคนเราจะไม่ค่อยบอกนิสัยเราตามจริงเท่าไรนัก     Dilip V. Jeste ศาสตราจารย์จากภาควิชาประสาทวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ก็ได้บอกว่า California San Diego “ผลวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุในปัจจุบันนั้นมีเยอะมากๆ แต่ว่าการวิจัยส่วนใหญ่ก็จะมุ่งเน้นไปที่กายภาพเสียมากกว่าการวิจัยสภาพจิตใจและลักษณะนิสัย”   เขาคนนี้แหละ ศาสตราจารย์ Dilip…

  • จริงไหมที่เขาว่ากันว่า…คนเกิดเดือนกันยายนมักจะมีแนวโน้มฉลาดมากกว่าคนเกิดเดือนอื่น!!?

    จริงไหมที่เขาว่ากันว่า…คนเกิดเดือนกันยายนมักจะมีแนวโน้มฉลาดมากกว่าคนเกิดเดือนอื่น!!?

    หลายคนคงจะเคยเห็นคำพูดที่ว่าคนเกิดเดือนนั้นจะเป็นแบบนี้ คนเกิดเดือนนี้จะเป็นอย่างนั้นกันใช่ไหมล่ะ แล้วเคยได้ยินทฤษฎีที่เขาว่ากันว่าคนเกิดเดือนกันยายน มีแนวโน้มจะฉลาดกว่าคนอื่นบ้างหรือเปล่า? คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นคำที่ยกขึ้นมาลอยๆ เพื่อยกหางตัวเองหรอกนะ เพราะ #เหมียวมู่ทู่ ก็ไม่ได้เกิดเดือนนี้ แต่มันมีผลวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการสำรวจและวิเคราะห์มาแล้ว ว่ามันได้ผลแบบนี้จริงๆ     นักวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่ผลวิจับดังกล่าวผ่าน National Bureau of Economic Research โดยได้สำรวจผ่านนักเรียนกว่า 1.2 ล้านคนในรัฐฟลอริด้าที่มีอายุระหว่าง 6 ถึง 15 ขวบ โดยแต่ละคนก็จะเกิดเดือนและวันแตกต่างกันไป ผลวิจัยก็พบว่า เด็กที่เกิดในช่วงเดือนกันยายนจะมีความฉลาดที่มากกว่าเด็กที่เกิดเดือนสิงหาคม เหตุผลนั้นไม่ได้มาจากด้านพันธุกรรมแต่อย่างใด แต่มาจากผลของการเกิดก่อนเกิดหลังต่างหาก     เด็กที่เกิดในช่วงกันยายนจะได้เข้าเรียนในช่วงเดียวกับเด็กที่เกิดต่อๆ ไปและปีถัดไป ซึ่งพวกเขาจะมีโอกาสเจริญเติบโตและได้เรียนรู้เร็วมากกว่าเด็กที่เกิดสิงหาคม ที่ต้องรอโตขึ้นอีกนิดและเขาเรียนช้ากว่าคนเกิดกันยายนนั่นเอง ส่วนเรื่องของเดือนเกิดนั้นยังส่งผลกับความเชื่อของพ่อแม่ด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเด็กที่เกิดมาในช่วงต้นปีหรือปลายปีจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะถูกพ่อแม่ดึงไว้ให้เข้าเรียนช้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งพ่อแม่ที่มีลูกเกิดในเดือนนี้ก็จะโอเคและสนับสนุนการเข้าเรียนมากกว่า     นอกจากนั้นนักวิจัยยังพบอีกว่า เด็กที่เดือนกันยายนที่มีโอกาสได้เข้าเรียนและมีการเรียนรู้ที่ไวกว่าเด็กอื่นๆ จะมีโอกาสที่มีความคิดแบบผู้ใหญ่และลดอัตราการเป็นอาชญากรลง สุดท้ายยังไงก็ตาม ทุกอย่างก็ยังอยู่ที่การตัดสินใจและการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลัก ฉะนั้นนี่จึงเป็นส่วนเสริมเพียงเล็กๆ เท่านั้นเอง…   ที่มา independent

  • นักสถิติเผย มนุษย์ไม่สามารถมีอายุยืนได้ถึงหมื่นๆ ปี แต่สูงสุดได้แค่ 115 ปีเท่านั้น!!

    นักสถิติเผย มนุษย์ไม่สามารถมีอายุยืนได้ถึงหมื่นๆ ปี แต่สูงสุดได้แค่ 115 ปีเท่านั้น!!

    หนึ่งในคำถามที่หลายๆ คนมักจะสงสัยเกี่ยวกับชีวิตของคนเรา นอกจากตายแล้วไปไหน ก็น่าจะเป็นคำถามที่ว่าคนเราสามารถมีอายุอยู่บนโลกใบนี้ได้นานแค่ไหน และเพื่อเป็นการคลายข้อสงสัยที่ว่านี้ วันนี้เราก็มีผลการศึกษาเกี่ยวกับอายุของมนุษย์ที่น่าสนใจมาฝากกัน จากการศึกษาของ John Einmahl ศาสตราจารย์ทางสถิติได้ชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เรานั้นสามารถมีอายุยืนได้สูงสุดถึง 115 ปีเลยทีเดียว!!     โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับอายุขัยของชาวดัตช์ถึง 75,000 คนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และพวกว่าจริงๆ แล้วคนเราสามารถมีอายุยืนได้ร้อยกว่าปีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าในช่วงกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยของอายุมนุษย์จะมีการเพิ่มขึ้น แต่เขาเชื่อมนุษย์นั้นมีอายุยืนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นอกจากนี้ในการศึกษายังพบว่าผู้หญิงสามารถมีอายุยืนได้ถึง 115.7 ปี ในขณะที่ผู้ชายนั้นสามารถมีอายุยืนได้ที่ 114.1 ปี     “โดยเฉลี่ยแล้ว มนุษย์สามารถมีอายุที่ยืนยาว และค่าเฉลี่ยของอายุคนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด คนที่มีอายุยืนที่สุดในตอนนี้ ก็มีอายุพอๆ กับเมื่อ 30 ปีก่อน” ศาสตราจารย์  John Einmahl กล่าว แต่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าคุณปู่ Mbah Gotho จากประเทศอินโดนีเซียท่านหนี่งมีอายุมากถึง 146 ปีเลยทีเดียวโดยจากข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารบอกว่าคุณปู่ท่านนี้เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคมปี 1870 แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เพราะทางอินโดนีเซียนั้นเพิ่งเริ่มมีการเก็บข้อมูลประชากรเมื่อปี 1900…

  • ผลวิจัยเผย “พักเล่นเกม” ระหว่างทำงาน ดีกว่าการ พักเบรกเฉยๆ เป็นไหนๆ ไม่เชื่อลองดู…

    ผลวิจัยเผย “พักเล่นเกม” ระหว่างทำงาน ดีกว่าการ พักเบรกเฉยๆ เป็นไหนๆ ไม่เชื่อลองดู…

    เชื่อว่าในชีวิตการทำงาน หลายคนเวลาที่รู้สึกอยากจะพักผ่อนนั้น คงจะเลือกที่จะไปกินกาแฟสักแก้ว เพราะคิดว่ามันจะช่วยผ่อนคลายสุดๆ แต่จากการวิจัยล่าสุดนั้นได้ออกมาแล้วว่า ถ้าจะพักให้พักไปเล่นเกมจะสบายตัวกว่า… Rupp หนึ่งในทีมวิจัยจาก University of Central Florida ได้บอกว่าจากผลสำรวจทั้งหมด 66 คน ที่ได้เข้าร่วมทดสอบการเบรกจากงานด้วยวิธีต่างๆ  คนที่เล่นเกมจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นและผ่อนคลายมากกว่าการทำอย่างอื่น     ซึ่งการวิจัยนั้นแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลักๆ ด้วยกัน โดยกลุ่มแรกจะได้เล่นเกมที่ชื่อว่า Sushi Cat กลุ่มที่สองจะได้รับการแนะนำให้ทำสมาธิ ส่วนกลุ่มสุดท้ายนั้นให้พักเบรกเฉยๆ 5 นาที     โดยผลที่ได้นั้นพบว่าคนที่ไปพักเฉยๆ จะมีอาการเครียดเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแต่อย่างใด เพราะในขณะที่พักเฉยๆ พวกเขาก็จะยังคงคิดเรื่องงานหรือเรื่องอื่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด     ส่วนคนที่ทำสมาธิก็จะมีผลที่ดีกว่าเพราะจิตใจปลอดโปร่ง แต่กลุ่มที่ได้ผลดีที่สุดกลับเป็นกลุ่มคนเล่นเกม เพราะจากผลชี้ว่าหลังจากที่พวกเขาพักเล่นเกม พวกเขาจะจดจ่ออยู่กับเกมและลืมเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ ไปในทันที ซึ่งนั่นทำให้ความเครียดลดลงอย่างเห็นได้ชัดมากๆ     ฉะนั้นไปแนะนำเจ้านายซะ ว่าเนี๊ยะ เขาบอกว่าเล่นเกมคลายเครียดกว่าเป็นไหนๆ เวลาพัก ฉะนั้นก็โหลดเกมแคชชวลเบาๆ มาเล่นกันที่ทำงานช่วงพักดู หายเครียดแน่นอน…แต่อย่าชวนกันตี ROV หรือ เกมที่ชวนหัวร้อนนะ จากจะผ่อนคลายเครียดกว่าเดิมเห็นๆ…

  • ผลวิจัยชี้ การให้ลูกเล่น “สมาร์ทโฟน” ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากการให้ลูกเสพโคเคน!!

    ผลวิจัยชี้ การให้ลูกเล่น “สมาร์ทโฟน” ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากการให้ลูกเสพโคเคน!!

    ในปัจจุบันนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีถือเป็นสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งไปแล้วก็ว่าได้ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ หรือที่เราเรียกกันว่า สมาร์ทโฟน… ถ้าใครที่ติดตามข่าวก็จะรู้ว่า ปัจจุบันนั้นสมาร์ทโฟนถือเป็นปัจจัยหลักๆ ของมนุษย์และสามารถเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแต่คนแก่สูงอายุก็ตาม ที่สำคัญเมื่อเข้าถึงและใช้จนเป็น ทุกคนก็จะเสพติดมันมากๆ     Mandy Saligari ผู้เป็นเจ้าของคลินิค Harley Street ในประเทศอังกฤษได้บอกว่า คนไข้ส่วนใหญ่ของเธอมักจะเป็นเด็กๆ อายุราวๆ 12 ถึง 15 ขวบ และเด็กๆ ราวนี้ก็มองว่าเรื่องเพศกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว…     เธอยังบอกว่า จากผลสำรวจส่วนใหญ่ พบว่าการเสพติดโทรศัพมือถือนั้นมีระดับความเสี่ยงที่สูงพอๆ กับยาเสพติดหลายชนิดเลยทีเดียว เพราะคนที่อยู่ในขั้นเสพติดนั้น จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการจ้องมองมือถือ เล่นอินสตาแกรมหรือสแนปแชต แต่ที่ทำให้การเล่นโทรศัพมือถือมันโหดร้ายกว่าการเสพสารเสพติดคือ เมื่อเด็กๆ เสพติดมันและเล่นสื่อโซเชียลจนมันไปไกลขึ้นพร้อมคิดว่า การส่งรูปหรือการเข้าถึงสื่อลามกเป็นเรื่องปกติ ก็จะทำให้เด็กๆ หันไปส่งรูปโป๊เปลือยให้คนอื่นมากขึ้น ซึ่งมันส่งผลเสียต่อเด็กๆ ในอนาคต นี่ยังไม่รวมถึงภัยอื่นๆ อีกมากมาย     สุดท้าย เธอยังบอกว่าผลเสียนี้มันไม่ได้อยู่แค่กับเด็กที่โตแล้วหรือกำลังโตเท่านั้น เธอยังพบว่าเด็กวัย 6 ขวบลงไปก็เริ่มจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโทรศัพมือถือเฉลี่ย 6 ชั่วโมงต่อวันแล้ว ซึ่งมันอาจจะเป็นสัญญานที่ว่าสิ่งเสพติดชนิดใหม่ ที่มาในคราบโทรศัพท์มือถือนั้น…

  • จากผลวิจัยพบว่า “คนหัวล้าน” มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนผมดก

    จากผลวิจัยพบว่า “คนหัวล้าน” มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนผมดก

    “ผม” ปัญหาสุดยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกับทั้งชายทั้งหญิง ที่คิดไม่ตกตลอดเวลาว่าผมจะร่วงไหม วันนี้จะทำผมทรงอะไรดี หรือกลัวว่าหัวจะล้านหรือเปล่า แต่เชื่อไหมว่าปัญหาหัวล้านนั้นไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป… จากการวิจัยพบว่าคนหัวล้านนั้นจะมีอัตราการประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนปกติ ซึ่งเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เราก็คงรู้สึกว่า “บ้า!! ปลอบใจตัวเองหรือเปล่า”     แต่ถ้าเราลองย้อนมองดูดีๆ คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ก็ล้วนหัวล้านหรือเกือบจะล้านกันทั้งนั้น ให้ยกตัวอย่างก็มีมากมายเลยเช่น The Rock, Bruce Willis, Samuel L. Jackson เห็นภาพไหม คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่หน้าตาดีสักเท่าไหร่ แต่พวกเขากลับหัวล้าน ที่สำคัญประสบความสำเร็จมากๆ ด้วย ซึ่งจากผลวิจัยของ Mannes ซึ่งเป็นนักวิทยาศาตร์ให้กับรัฐบาลอเมริกา ก็ยังยืนยันว่าคนที่หัวล้านจะมีความน่าเคารพมากกว่าคนปกติมากๆ     ซึ่งทุกผลการสำรวจและการวิจัยล้วนมาจากประสบการณ์ของเขาเองล้วนๆ เพราะเขารู้สึกว่าหลังที่ตัวเขาโกนหัวแล้วคนก็ให้ความเคารพเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะตัดสินใจโกนหัวทันทีนะ ใจเย็นๆ     Mannes บอกว่า แม้มันจะเพิ่มความน่าเคารพขึ้นก็ตาม แต่ว่าการที่คุณหัวโล้นจะทำให้คุณดูแก่ขึ้นถึง 4 ปี และยังทำให้ตัวคุณดูไม่น่าสนใจด้วย     นอกจากนั้นจากการสำรวจและวิจัยของเขาก็ยังพบอีกว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้หัวล้านแต่ต้น พวกเขามักจะประสบปัญหาผมร่วงผมบางและพยายามหาวิธีรักษาหลากหลายรูปแบบ ถ้าคนไหนประสบความสำเร็จในการรักษาก็จะไม่มีปัญหาอะไร ทว่าถ้าพวกเขาแก้ไม่ได้ คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกแก้ปัญหาโดยการโกนหัวเป็นวิธีสุดท้าย ฉะนั้นถ้าใครจะจัดการโกนหัวก็คิดดูให้ดีๆ…

  • ผลวิจัยเผย ผู้ชอบโพสต์ “ความสัมพันธ์ของตัวเอง” ลงโซเชียล ที่จริงแล้วมีปมเรื่องความรัก??

    ผลวิจัยเผย ผู้ชอบโพสต์ “ความสัมพันธ์ของตัวเอง” ลงโซเชียล ที่จริงแล้วมีปมเรื่องความรัก??

    ต้องยอมรับเลยนะว่า ในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็เป็นอันต้องโพสต์ภาพต่างๆ อวดเพื่อนๆ บนโลกโซเชียลอยู่เสมอ นั่นอาจจะเป็นเพราะหลายคนอยากจะเผยไลฟ์สไตล์และชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันของตัวเองให้คนอื่นได้รู้ หรือบางคนก็โพสต์อะไรหลายๆ อย่างเพื่อแอบแฝงเจตนาเอาไว้ เช่น การอวดของกิน อวดสิ่งของเครื่องใช้ รวมไปถึงอวดแฟน ก็มีเช่นกัน     และเมื่อไม่นานมานี้ มีผลการวิจัยร่วมจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin ซึ่งได้กล่าวถึงกลไกทางจิตวิทยาว่า… การที่ผู้คนเหล่านั้นได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาลงบนสื่อออนไลน์ นั่นหมายความว่า พวกเขากำลังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตน อีกทั้งพวกเขายังต้องการย้ำเตือนให้คนรู้จักได้เห็นว่า ความสัมพันธ์ของเขากับคนรักยังดีอยู่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย     ทางด้านผู้วิจัยได้ออกมาเผยว่า “ในชีวิตประจำวันหากผู้คนรู้สึกไม่มั่นใจในความรักของตัวเอง พวกเขาก็จะมีแนวโน้มในการทำให้ความสัมพันธ์ของตัวเองสามารถมองเห็นได้ ซึ่งเหมือนกับเป็นการวาดภาพตนเองในแบบที่อยากให้ผู้อื่นมองเห็นนั่นเอง”   และก่อนที่จะสรุปเป็นผลการศึกษาดังกล่าว ทางด้านนักวิจัยเคยได้ทำการทดสอบถึง 3 ครั้ง โดยในการทดสอบครั้งแรกเกี่ยวข้องกับผู้ที่รู้สึกกังวลใจ และแรงจูงใจที่ทำให้พวกเขาโพสต์ความสัมพันธ์ของตัวเองลงบนเฟสบุ๊ค ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงความกังวลเหล่านี้ได้ เพราะคิดว่าความสัมพันธ์ของตนกำลังไม่มั่นคง ดังนั้น จึงต้องทำการโพสต์อวดความสัมพันธ์ของตัวเอง อวดความรักกันดี เพื่อเน้นย้ำให้ผู้อื่นรู้ว่าความรักของตนยังคงดีอยู่ อีกทั้ง Lydia…

  • จากผลวิจัยใหม่ พบว่าเด็กที่ฉลาดมักจะโตไปเป็น “นักดื่มแอลกอฮอล์” และ “ใช้กัญชา”!?

    จากผลวิจัยใหม่ พบว่าเด็กที่ฉลาดมักจะโตไปเป็น “นักดื่มแอลกอฮอล์” และ “ใช้กัญชา”!?

    เว็บไซต์แลดไบเบิล จากประเทศอังกฤษ รายงานข่าวจากผลสำรวจในสหราชอาณาจักร จากคน 6,000 คน พบว่าเด็กที่ฉลาดมีโอกาสที่จะดื่มแอลกอฮอล์ และสูบกัญชามากกว่าคนทั่วไปสูงพอสมควร ผลวิจัยที่ถูกเผยแพร่ผ่าน วารสารการแพทย์ของอังกฤษ พบว่าเด็กๆ ที่เข้าทำสอบช่วงอายุราวๆ 11 ปี และได้รับคะแนนที่สูงมีโอกาสจะเป็นนักดื่มและสูบกัญชามากกว่าคนปกติ แต่เด็กฉลาดเหล่านั้นจะมีโอกาสสูบบุหรี่น้อยลงด้วย!?     James Williams และ Gareth Hagger-Johnson ผู้ทำงานวิจัยนี้ขึ้นมาได้บอกว่า “วัยรุ่นที่มีความสามารถสูง มีโอกาสเปิดรับต่อกัญชาได้มากกว่า แต่อย่างน้อยพวกเขาก็กังวลกับมันอยู่ โดยเฉพาะตอนเป็นวัยรุ่นช่วงต้น ซึ่งพวกเขากังวลว่ามันจะส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงกลัวทำผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน”     จากการวิจัยยังพบอีกว่าเด็กๆ ที่มีความฉลาดและก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นในช่วงอายุ 18-20 ปี จะเริ่มหันมาสนใจกัญชามากขึ้นเพราะว่าด้วยความอยากรู้ที่มีมากกว่าเด็กทั่วไป รวมถึงเพื่อที่จะแสดงให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเขาโตพอที่จะรับอะไรพวกนี้เขามาแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า เด็กในชั้นมัธยมศึกษาช่วงอายุ 11 ปี มีโอกาสที่จะสูบบุหรี่น้อยลงเรื่อยๆ แต่ทว่ากลับมาโอกาสที่จะดื่มเบียร์และสูบกูญชาเพิ่มมากขึ้น     แต่ถึงยังไงซะผลจากการวิจัยนี้ทางผู้เผยแพร่ยังบอกว่า ทั้งหมดยังคงเป็นข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยเบื้องต้น แถมการใช้สารเสพติดเหล่านี้จะอยู่แค่ในช่วงที่อยากรู้อยากลองเท่านั้นนั่นเอง ยังไงซะทั้งหมดก็มาจากผลการวิจัยเท่านั้น ไม่ได้ความว่าการดื่มหรือสูบจะเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ เพราะยังไงซะทุกอย่างล้วนมีทั้งคุณและโทษ อะไรที่มันเกินพอดีย่อมไม่ดีแน่นอน   ที่มา theladbible

  • ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก

    ผลวิจัยต่างประเทศ ‘การเล่นเกมออนไลน์’ ช่วยพัฒนาการเรียน – ดีกว่าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์ก

    หลายคนอาจจะคิดว่า ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน มักมีชุดความคิดเกี่ยวกับเกมในด้านลบๆ อยู่หน่อย ยิ่งเป็นเกมออนไลน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือสิ่งมอมเมาเยาวชนโดยแท้จริง แต่#เหมียวฟิ้นจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปนะ เพราะมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในต่างประเทศบอกว่าการเล่นเกมออนไลน์นี่แหละ ช่วยให้เราเรียนได้ดีขึ้น!?     รองศาสตราจารย์ Alberto Posso จากโรงเรียนเศรษฐศาสตร์ การเงินและการตลาดในออสเตรเลีย ได้ใช้โปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนในระดับนานาชาติเพื่อประเมินเด็กออสเตรเลียวัย 15 ปี กว่า 12,000 คน ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์     ศาสตราจารย์ Posso กล่าวว่าวิดีโอเกมสามารถช่วยให้นักเรียนฝึกฝนความสามารถในการเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ “นักเรียนที่เล่นเกมออนไลน์สม่ำเสมอ ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 15 คะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ และ 17 คะแนนสำหนับวิชาวิทยาศาตร์” “เมื่อคุณเล่นเกมออนไลน์ คุณจะได้แก้ปัญหาปริศนาอยู่บ่อยๆ นั่นนำคุณไปสู่การพัฒนาการใช้ความรู้ทั่วไป และความสามารถในคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ที่คุณได้รับการสอนโดยคุณครูที่โรงเรียน ครูในโรงเรียนควรพิจารณาการผสมผสานวิดีโอเกมดังๆ เข้าไปในการเรียนการสอน ตราบเท่าที่มันไม่ได้มีความรุนแรงอยู่ในเกมนั้นด้วย”     ในทางกลับกัน ศาสตราจารย์ Posso บอกว่าวัยรุ่นที่ติด Facebook หรือโปรแกรมแชททุกวันๆ จะทำคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ได้น้อยกว่านักเรียนที่ไม่ติดสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ เลยถึง 20 คะแนน ทั้งหมดนี้อาจบ่งชี้ว่าพวกเขามีปัญหาในการคิดคำนวน…

  • ผลวิจัยจากสหรัฐฯ เผยว่าการเลือกงานที่ไม่ชอบตั้งแต่เรียนจบ ส่งผลให้สุขภาพแย่ตอนแก่!??

    ผลวิจัยจากสหรัฐฯ เผยว่าการเลือกงานที่ไม่ชอบตั้งแต่เรียนจบ ส่งผลให้สุขภาพแย่ตอนแก่!??

    หากคุณรู้สึกจิตตกทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเย็นของวันอาทิตย์ เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องฝืนตัวเองตื่นนอนแต่เช้าเพื่อไปตอกบัตรเข้าทำงานล่ะก็ นี่คือข่าวร้ายสำหรับคุณล่ะ นักวิจัยในมหาวิทยาลัย Ohio State University ได้นำข้อมูลจากชาวอเมริกัน 6,432 คนที่มีการเข้าร่วมกับ National Longitudinal Survey of Youth 1979 (หน่วยงานสำรวจผลระยะยาวของเยาวชนนานาชาติ) ที่จะติดตามวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 14 – 22 ปี เมื่อปี 1979     ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะถูกถามเพื่อให้คะแนนงานที่ทำอยู่ในระหว่างที่พวกเขามีอายุระหว่าง 25-39 ปี ตั้งแต่ 1 (ไม่ชอบเลย) ถึง 4 (ชอบมาก) และจากนั้นพวกเขาก็จะถูกถามเพื่อให้รายงานปัญหาสุขภาพเมื่อพวกเขามีอายุย่างเข้า 40 ไปแล้ว   ผู้คนถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม 1. พึงพอใจงานที่ทำในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง 2. พึงพอใจในงานที่ทำในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง 3. ชอบน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มความชอบในตอนหลัง 4. ชอบมากในตอนแรกและเริ่มไม่ชอบในเวลาต่อมา     ในกลุ่มคนที่ให้คะแนนความชอบงานต่ำช่วงตอนเริ่มต้นทำงานนั้น จะมีปัญหาในด้านสุขภาพจิต มีรายงานเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลในช่วงชีวิตหลังจากนั้น ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ต่ำกว่านั้น…

  • นักวิจัยต่างประเทศกล่าว… ครอบครัวที่เข้มงวดกับลูกมากไป อาจทำให้เด็กเป็นคนขี้โกหก

    นักวิจัยต่างประเทศกล่าว… ครอบครัวที่เข้มงวดกับลูกมากไป อาจทำให้เด็กเป็นคนขี้โกหก

    ในวัยเด็กของเราทุกคนคงจะเคยถูกเลี้ยงดูมาโดยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป พ่อแม่บางคนอาจจะเลี้ยงลูกแบบถนุถนอม บางคนเลี้ยงด้วยเหตุผล บางคนเลี้ยงด้วยไม้เรียว บางคนอาจจะสร้างกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดมากๆ นั้น จะส่งผลเสียกับพฤติกรรมของลูกในระยะยาวได้นะ     เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลีเมล์ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของนักจิตอายุรเวทและนักเขียนหนังสือชื่อดังชาวอังกฤษ Philippa Perry บอกว่าการที่พ่อแม่เข้มงวดกับลูกมากเกินไปนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่อยากบอกความจริงกับพวกคุณ   Philippa บอกว่าทุกๆ คำโกหก ล้วนก่อตัวมาจากสถานการณ์ที่บังคับให้พวกเขาไม่สามารถพูดความจริงทั้งหมดได้ หากลูกๆ ของพวกเขากลายเป็นคนขี้โกหกล่ะก็ พ่อแม่ควรจะโทษการเลี้ยงดูของพวกเขาเอง การให้ความเห็นของเธอไม่ได้เป็นการกล่าวขึ้นมาลอยๆ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยของนักจิตวิทยาชาวแคนาดา Dr. Victoria Talwar ที่วัดและทำการทดลองกับเด็กโกหกมาแล้ว     Dr. Talwar ได้ทำการทดลองกับเด็กๆ ในโรงเรียนสองแห่งในประเทศแอฟริกาตะวันตก โดยในโรงเรียนแรกจะไม่มีการตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ ปล่อยสบายๆ ส่วนอีกโรงเรียนจะตั้งกฎไว้อย่างเข้มงวดและมีบทลงโทษด้วย การทดสอบนี้ก็ง่ายๆ แค่ให้เด็กๆ เดาว่าวัตถุอะไรที่ทำให้เกิดเสียง โดยห้ามมองวัตถุนั้น เธอเรียกการทดลองนี้ว่า Peeping Game     เมื่อการทดลองเริ่มขึ้น พวกเขาให้เด็กๆ เข้าไปในห้อง แล้วผู้ทำการทดลองก็โยนบอลพลาสติกลงกับพื้น (ซึ่งมีเสียงแตกต่างจากบอลจริงๆ จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดา) จากนั้นผู้ทำการทดลองก็ทำทีเป็นเดินออกไปข้างนอก แล้วกลับเข้ามาถามว่าเสียงที่ว่านั้นคืออะไร Dr.…

  • นักวิทย์ฯ ชี้ วิตามิน D นี่แหละ จะทำให้คุณกลายเป็น Superman ตัวเป็นๆ !!!

    นักวิทย์ฯ ชี้ วิตามิน D นี่แหละ จะทำให้คุณกลายเป็น Superman ตัวเป็นๆ !!!

    หลายๆ คนอาจจะไม่ค่อยรู้ประโยชน์ของวิตามิน D กันซักเท่าไหร่นัก แต่เชื่อเหมียวเถอะ ขนาดชื่อก็เรียกว่าวิตามิน ‘ดี’ อยู่แล้ว กินเข้าไปน่ะดีแน่นอนเลย อิอิ ซึ่งได้มีงานวิจัยใหม่จากทางสหราชอาณาจักรชี้ชัดกันไปเลยทีเดียวว่า การบริโภควิตามิน D ที่เพียงพอนั้น จะทำให้คุณกลายเป็น Superman กันได้เลยทีเดียว!!!   วิตามิน D ทำให้คุณกลายเป็น Superman!!?   จากงานวิจัยหลายๆ ชิ้นพบว่า วิตามิน D ที่ได้รับจากแสงแดดยามเช้านั้น ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ ทำให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น สร้างความอดทนให้กับร่างกายได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่อ่อนล้าง่ายๆ ทำไมวิตามิน D ทำให้คุณกลายเป็นซุปเปอร์แมนน่ะเหรอ?? เพราะว่าการที่ได้รับวิตามินนี้มากพอจะทำให้คุณออกกำลังกายได้ดีขึ้น เหนื่อยยากขึ้น และแน่นอนแข็งแรงมากขึ้นนั่นเอง   วิตามิน D   ทางนักวิจัยแห่ง University in Edinburgh ได้ทำการทดลองโดยการให้อาสาสมัครส่วนหนึ่งรับประทานวิตามินดีจำนวน 50 ไมโครกรัมทุกๆ วันเป็นเวลาสองอาทิตย์ พอครบกำหนดก็นำมาทดสอบทางด้านร่างกาย ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเลยล่ะว่า พวกเขามีความดันเลือดที่ต่ำลง แถมมีฮอร์โมน Cortisol…

  • จริงรึเปล่า!!? ผลวิจัยใหม่ชี้ชัด เหล่าพี่ๆ มีโอกาส ‘ฉลาด’ และมี ‘IQ’ สูงกว่าน้องๆ

    จริงรึเปล่า!!? ผลวิจัยใหม่ชี้ชัด เหล่าพี่ๆ มีโอกาส ‘ฉลาด’ และมี ‘IQ’ สูงกว่าน้องๆ

    สำหรับงานนี้ก็เรียกได้ว่าเหล่าพี่ๆ มีเฮกันอย่างแน่นอน เมื่อสำนักข่าวเมโทร ประเทศอังกฤษได้รายงานถึงผลวิจัยล่าสุดที่ว่า เหล่าพี่ๆ มีโอกาสฉลาดสูงกว่าน้องที่เกิดมาทีหลัง ยิ่งลูกคนโต พบว่าจะได้รับ IQ ที่สูงกว่า เพราะอะไรน่ะเหรอ หลักๆ เห็นจะเป็นในเรื่องที่ตนเองเกิดก่อน และมีโอกาสได้สอนสิ่งต่างๆ ให้กับน้องๆ ที่เกิดมาทีหลัง   พี่จะฉลาดกว่าน้องเพราะได้มีโอกาสสอนให้น้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ!!?   แต่ไม่ต้องกังวล งานวิจัยนี้เป็นของเหล่านักวิทยาศาสตร์จาก Leipzig University ที่ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้ แต่ไอคิวเริ่มแรกนั้นก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าเป็นลูกอันดับรองลงมา ไอคิวจะน้อยกว่าเพียง 1.5 เท่านั้น (เป็นส่วนมาก)     แต่ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกน่ะ คล้ายคลึงกันแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   สำหรับผลการทดสอบนี้ไม่ได้ตายตัวเสมอไป เหล่าน้องๆ ที่เกิดมาทีหลังอย่าพึ่งน้อยใจ เพราะเหล่าพี่ๆ มีโอกาส 6 ใน 10 เท่านั้น ที่จะเกิดมาแล้วมีไอคิวเยอะกว่า เหล่าน้องๆ ก็มีโอกาสไอคิวสูงกว่าอยู่นะจ๊ะ     พี่มีโอกาสมีไอคิวสูงกว่าเหล่าน้องๆ ??   แต่ในส่วนของการทดสอบในเรื่องพลังในการรับรู้ของสมอง พบว่าสมองของเหล่าพี่ๆ นั้นมีอัตราการรับรู้ที่สูงกว่า…