Tag: คนผิวสี

  • สาวเหยียดครอบครัวผิวสี  บอก ‘พวกแกไม่ควรอยู่ที่นี่’ สุดท้ายโดนตำรวจจับใส่กุญแจมือ!!

    สาวเหยียดครอบครัวผิวสี บอก ‘พวกแกไม่ควรอยู่ที่นี่’ สุดท้ายโดนตำรวจจับใส่กุญแจมือ!!

    เรื่องของความหลากหลายทางเชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ ถือเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับแล้วในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ยอมรับกับความหลากหลาย และพยายามที่จะทำพฤติกรรม ‘เหยียด’ กันต่อไป เช่นเดียวกันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2018 ที่ผ่านมา มีครอบรัวผิวสีครอบครัวหนึ่งกำลังเดินอยู่บนทางเท้าในเมืองเบิร์กเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงวันหยุดยาว     เนื่องจากเป็นครอบครัวใหญ่ทำให้ต้องใช้พื้นที่บนทางเท้ามากเป็นธรรมดา จู่ๆ ก็มีหญิงสาวผิวขาวคนหนึ่งเดินสวนมาพอดี แต่แทนที่เธอจะหลบหรือเลือกเดินทางอื่น กลับไม่ยอมและเริ่มกระทำการตามรังควานครอบครัวผิวสี มีการถ่ายคลิปวิดีโอเหตุการณ์เอาไว้ หญิงสาวผิวขาวพูดออกมาว่า “พวกแกไม่ควรอยู่ที่นี่ ออกไปจากเบิร์กเลย์ซะ พวกแกไม่ควรที่จะอยู่ที่ไหนทั้งนั้นบนโลกใบนี้” คนในครอบครัวผิวสีพยายามที่จะบอกให้เธอใจเย็นก่อน แต่กลับทำให้เหตุการณ์ยิ่งเดือดขึ้นกว่าเดิม เพราะหญิงสาวผิวขาวคนนั้นเริ่มใช้ความรุนแรงด้วยการตบตี จากรายงานระบุว่าหญิงสาวผิวขาวนั้นมีชื่อว่า Lauren Milewski วัย 31 ปี เธอพยายามทำร้ายร่างกายหลานสาวคนเล็กของครอบครัวผิวสีที่มีอายุ 24 ปี ด้วยการดึงผม และกระชากกระโปรง เหตุการณ์ความรุนแรงเริ่มบานปลาย สมาชิกครอบครัวผิวสีพยายามที่จะมองหาคนช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าหลายๆ คนเลือกที่จะไม่สนใจ และในที่สุดก็มีครอบครัวผิวขาวครอบครัวหนึ่งหยุดและเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาด้วยการโทรแจ้งตำรวจ และบอกว่าหญิงผิวขาวกำลังกระทำการก่อกวนครอบครัวผิวสีอยู่ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง Lauren ก็กลับลำบอกว่าครอบครัวผิวสีนั้นเป็นม็อบก่อกวน และพยายามที่จะทำร้ายเธอ   แต่กลายเป็นว่า…

  • หนุ่มมะกันบุกบ้านชาวเอเชีย สั่งให้เอาป้ายด่า Trump ออก พร้อมเหยียดว่า “Ni**er”

    หนุ่มมะกันบุกบ้านชาวเอเชีย สั่งให้เอาป้ายด่า Trump ออก พร้อมเหยียดว่า “Ni**er”

    กลายเป็นเรื่องราวของการเหยียดเสียอย่างนั้น เมื่อชายผู้หนึ่งบุกเข้ามายังสนามหญ้าหน้าบ้านของครอบครัวชาวเอเชียน-อเมริกัน เพื่อ “สั่ง” ให้นำป้ายที่มีข้อความโจมตีประธานาธิบดี Donald Trump ออก ป้ายดังกล่าวมีข้อความที่เขียนว่า “F**k Donald Trump” ทำให้ชายจากนอร์ธแคโรไลนาเกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกับเจ้าของบ้านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จนสุดท้ายชายที่เข้ามาบุกบ้านของครอบครัวชาวเอเชีย-อเมริกันก็ลั่นวาจาเหยียดพวกเขาออกมาว่า “Ni**er” ซึ่งเป็นคำด่าคนผิวสีนั่นเอง     คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปที่ 1 ในคลิปที่แรกนี้ จะเห็นได้ว่าชายเสื้อสีน้ำเงินพร้อมกางเกงยีนได้มีปากเสียงกับชายที่ไม่ได้สวมเสื้อซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน https://twitter.com/Freeyourmindkid/status/1018632667158532096?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1018632667158532096&ref_url=https%3A%2F%2Fnextshark.com%2Fracist-man-storms-asian-american-familys-yard-calling-nr-fk-donald-trump-sign%2F   เจ้าของบ้านตะโกนออกมาว่า “ออกไปจากบ้านตรูเดี๋ยวนี้เลย แกจะมาสนใจอะไรในบ้านฉันวะ?”   ชายบุกบ้านตอบว่า “ฉันลงคะแนนให้ Bernie Sanders โว้ยไอ้งั่ง ฉันไม่ได้สนใจอะไรของบ้านแกหรอก!” แต่เขาบอกว่าป้ายหน้าบ้านของครอบครัวเอเชีย-อเมริกันนี้ดันไปทำให้ลูกๆ ของเขาไม่พอใจ “ฉันจอดรถอยู่ใกล้ๆ แล้วดันได้กลิ่นคล้ายๆ กัญชาออกมาจากบ้านของแกไง” ชายบุกบ้านกล่าวต่อ     จากนั้นชายบุกบ้านก็ขู่ว่าจะแจ้งความกับตำรวจ แล้วเขาก็เดินจากไปยังรถของเขาพร้อมกับชูนิ้วกลางบนมือของเขาอีกด้วย   “เห็นทะเบียนรถมันมั้ย? ถ่ายเอาไว้นะ ฉันจะตามตัวมันให้เจอให้ได้เลยไอ้ห่านี่” เจ้าของบ้านพูดกับหญิงที่เป็นผู้ถือกล้องถ่ายคลิปวิดีโอ จากนั้นเจ้าของบ้านก็เรียกชายผู้บุกรุกคนนี้ว่า “Cracker” ที่แปลว่า “ไอ้เฮงซวย” พร้อมๆ กัน อีกฝ่ายก็ก่นด่ากลับมาว่า “Ni**er” ที่เป็นคำด่าเหยียดชาวผิวสีเช่นกัน จากนั้นชายผู้บุกรุกก็ตอบว่า…

  • ‘ชาวผิวสี’ สองคนกลายป็นแพะ ติดคุกฟรี 26 ปี หลังถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวและข่มขืน

    ‘ชาวผิวสี’ สองคนกลายป็นแพะ ติดคุกฟรี 26 ปี หลังถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวและข่มขืน

    เรื่องของการตัดสินผิดพลาดจนทำให้คนบริสุทธิ์ต้องติดคุก ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในบ้านเราเท่านั้น ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ เองก็มีเหตุการณ์แบบนี้ให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของชายหนุ่มผิวสีสองคนที่ถูกตัดสินจำคุกฟรีเป็นเวลา 26 ปี ในข้อหาข่มขืน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้ก่อเหตุแต่อย่างใด     จากรายงานของเว็บไซต์ นิวยอร์กไทม์ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2018 ระบุเอาไว้ว่านาย VanDyke Perry และ นาย Gregory Counts ถูกศาลตัดสินให้พ้นข้อกล่าวหาแล้วในวันจันทร์ที่ผ่านมา ย้อนกลับไปในปี 1991 ในวันเกิดเหตุ ขณะที่นาย Perry อายุ 21 ปี และ Counts อายุ 19 ปี ถูกกล่าวหาว่าลักพาตัวและข่มขืนหญิงสาวที่ Central Park ร่วมกันกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ในขณะที่ไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึง Perry และ Counts กับการกระทำดังกล่าว แต่กลับกลายเป็นว่าฝ่ายหญิงที่ตกเป็นเหยื่อไม่ได้ให้ความร่วมมือกับทางอัยการเท่าไหร่นัก และหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ตกเป็นผู้ต้องหา และต้องรับโทษชั้นหนึ่งของคดีข่มขืน ส่วนชายอีกคนไม่ได้รับข้อกล่าวหาแต่อย่างใด     Perry…

  • สาวถูกตำรวจเรียกสอบสวนเพราะเป็น ‘คนอ้วนและผิวสี’ หลังทำให้ ผดส. ข้างๆ ไม่พอใจ

    สาวถูกตำรวจเรียกสอบสวนเพราะเป็น ‘คนอ้วนและผิวสี’ หลังทำให้ ผดส. ข้างๆ ไม่พอใจ

    ในทุกวันนี้โลกเรานั้นถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นยุคแห่งความเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นเพศชายเพศหญิงก็มีสิทธิเหมือนๆ กัน จะผิวดำผิวขาวหรือจะผิวเหลืองก็สามารถทำอะไรได้เท่าเทียมกัน แต่ในคำบอกเล่าแสนสวยงามนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีคนบางคนที่ไม่ยอมรับในความเท่าเทียมที่กำลังเกิดขึ้น บางคนยังยึดติดกับกฎแบบเดิม เหมือนอย่างง Amber Phillips หญิงอายุ 28 คนนี้ ในขณะที่เธอนั่งเครื่องบินสายการบิน American Airlines จาก North Carolina กลับไปยัง Washington DC เธอมีปัญหากับผู้โดยสารผิวขาวคนหนึ่ง ซึ่งถึงขั้นต้องเรียกตำรวจมาจับเลยทีเดียว     ในวันที่ 26 เมษายน 2018 Amber ได้ทวีตเรื่องราวที่เธอประสบมาลงในทวิตเตอร์โดยมีใจความดังนี้ ‘นี่เป็นมุมมองของฉันคืนนี้นะเพราะฉันไปทำให้ผู้หญิงผิวขาวรู้สึกไม่สบายใจเพราะไปบันทึกเหตุการณ์ที่เธอพยายามจะฉีกหน้าฉันบนเครื่องบิน และนำชีวิตของฉันรวมถึงผู้โดยสารท่านอื่นไปเสี่ยงอันตราย’  โดยที่เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เธอนั่งติดกับผู้โดยสารผิวขาวคนหนึ่งซึ่งเนื่องจาก Amber ตัวค่อนข้างใหญ่จึงทำให้แขนของเธอไปชนกับแขนของผู้หญิงผิวขาวคนดั่งกล่าว โดยเธอถูกบอกอย่างเสียงดังว่าให้เธอย้ายไปนั่นที่อื่นได้มั้ย นั่นทำให้เธอกลัวมากๆ Amber จึงได้ทำการถ่ายรูปและวิดีโอของหญิงคนดังกล่าวไว้หลังจากที่เครื่องบินมาถึงที่หมายแล้ว แต่เมื่อเธอลงมาแล้วนั่งรถรับส่งเพื่อจะไปยังสถานีเธอกลับต้องถูกตำรวจเรียกไปสอบสวน เพราะผู้หญิงผิวขาวนั้นโกหกว่าเธอถูก Amber ทำร้าย     โดยที่ตำรวจคนแรกนั้นไม่ยอมให้เธอพูดโต้ตอบแม้แต่จะอธิบายว่าในเหตุการณ์จริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น และเมื่อตำรวจคนที่เธอเข้ามาหาเธอและพูดว่ากล่าวตักเตือนเธอเหมือนกับเธอเป็นเด็ก และเมื่อเธอถามว่าเธอจะถูกจับกุมมั้ย เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่าไม่ แต่เมื่อเธอถามอีกว่าเธอไปได้หรือยัง เจ้าหน้าที่กลับตอบว่าคุณต้องรอก่อนเพราะว่าเราไม่สามารถปล่อยให้คุณออกไปตอนนี้ได้ มันจะอันตรายกับคนอื่น ซึ่งหลังจากที่เธอได้โพสต์เรื่องนี้ลงในทวิตเตอร์ก็สร้างความถกเถียงกันอย่างมากในโลกออนไลน์และ American Airlines ก็ได้เข้ามาแสดงความรับผิดชอบโดยตอบว่า “พวกเราอยากทำให้โลกนี้มันเล็กลงและครอบคลุมสถานที่มากขึ้น…

  • แม้ทั่วโลกชอบ แต่จีนไม่ชอบ กับหนังราชาเสือดำเพราะตัวหนังมันดำเกินไป ทั้งคน ทั้งฉาก!!

    แม้ทั่วโลกชอบ แต่จีนไม่ชอบ กับหนังราชาเสือดำเพราะตัวหนังมันดำเกินไป ทั้งคน ทั้งฉาก!!

    แม้ว่าหนังเร่ือง Black Panther จะมีกระแสตอบรับที่ดีในหลายๆ ประเทศๆ ทั่วโลกแถมทำเงินไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่กระแสมันกลับไม่ดีอย่างที่ควรเมื่อหนังเริ่มฉายในประเทศจีน… รายงานดังกล่าวนั้นเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รีวิวหนังหลายสำนักของจีน ซึ่งคนจีนส่วนใหญ่ล้วนให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ตัวหนัง Black Panther มันมีความดำที่มากจนเกินไป ไม่ว่าจะฉากในเรื่องหรือนักแสดงเองก็ตาม     ยกตัวอย่างคอมเมนต์จากทางเว็บไซต์ Douban ที่มีมีชาวเน็ตเข้ามารีวิวหนังว่า “บางทีคนจีนคงจะไม่เหมาะกับหนังที่มีแต่คนดำ” และ “หนังมีแต่คนดำเต็มไปหมด แล้วไหนจะโทนหนังที่มีสีมืดๆ อีก มันเล่นเอาทรมานสายตามากๆ สำหรับฉันที่ดูในแบบ 3มิติ”     หรือจากเว็บไซต์ Quartz ที่บอกว่า “Black Panther ก็ดำ นักแสดงหลักก็ดำ ฉากส่วนใหญ่ก็ดำ ยิ่งซีนที่วิ่งไล่ตามรถก็ดำ คือตรงไหนก็ดำไปหมดมันเล่นเอาฉันดูแล้วง่วงนอนมาก”     ยังไม่หมดเท่านั้น ในเว็บเดียวกันยังมีรีวิวที่เขียนไว้ว่า “ตอนที่ฉันเข้าไปดูหนังซึ่งมันตรงกับฉากที่ตัวละครผิวสีสู้กันอยู่นั้นมันมืดมากๆ มืดซะจนฉันไม่เคยรู้สึกมืดจนหาที่นั่งไม่ได้แบบนี้มาก่อน” ยังไม่หมดเท่านั้น ในเว็บไซต์ Hip-Hop Wired ก็ยังคงมีชาวจีนเข้ามาคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ขนาดโรงหนังทำให้จอสว่างมากๆ แล้ว หนังก็ยังดูมืดอยู่ดี”…

  • ภาพแห่งความอัปยศจากอดีต ความรุนแรงของขบวนการ ‘ค้าทาส’ ราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์

    ภาพแห่งความอัปยศจากอดีต ความรุนแรงของขบวนการ ‘ค้าทาส’ ราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โลกของเราในอดีตนั้นมีความรุนแรงรวมถึงความไม่เที่ยงธรรมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของกลุ่มคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็น ‘ทาส’ โดยทาสส่วนใหญ่นัั้นจะเป็นคนผิวสีที่ถูกนำมาใช้แรงงานราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ รวมถึงยังมีการทารุณกรรมต่างๆ อีกด้วย แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีของมนุษยชาติที่เรื่องเหล่านี้ได้เลือนหายไปเป็นเวลานานแล้ว และฝากไว้เพียงความทรงจำอันเป็นบทเรียนสำหรับคนรุ่นหลังเท่านั้น เช่นเดียวกับรูปภาพเหล่านี้ที่สะท้อนให้เห็นถึงความลำบากของทาสในยุคนั้นอีกด้วย   ชีวิตประจำวันของทาสในอเมริกา ที่ต้องเก็บฝ้ายหามรุ่งหามค่ำ ก่อนที่จะมีการประกาศเลิกทาส   โดยชุดภาพที่ทุกท่านกำลังจะได้เห็นนี้ เป็นภาพที่ถูกถ่ายขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 150 ปีก่อน ซึ่งจะเผยให้เห็นถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ที่กลุ่มทาสในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องทนทุกข์ทรมานกับการกดขี่ ทำร้ายร่างกายและใช้แรงงาน ภาพเหล่านี้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในวันครบรอบ 153 ปีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1865 เป็นการประกาศเลิกทาสท่ามกลางสงครามกลางเมือง โดยใช้อำนาจยามสงครามของตน มิใช่กฎหมายที่ผ่านรัฐสภาคองเกรส และนี่คือภาพในสมัยก่อนที่จะประกาศเลิกทาส ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าทาสนั้นมีความลำบากขนาดไหน…   การทำร้ายทาสเป็นเรื่องที่ดูธรรมดามากในสมัยนั้น และนี่คือภาพของคนงานเก็บฝ้ายคนหนึ่งในรัฐจอร์เจีย   ทาสหลายคนต้องอดทนทำงานหนักทั้งวัน ในการเก็บฝ้ายในพื้นที่ของบางรัฐอย่างเช่น ในรัฐจอร์เจีย   ประธานาธิบดีลินคอล์นได้เซ็นสัญญาปลดปล่อยทาสทั้งหมดในสหภาพตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1863 แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ในปี 1865 นั้นทำขึ้นเพื่อจะขยายอาณาเขตของกฎหมายให้ครอบคลุมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา   ทาสส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเป็นคนผิวสี   การเก็บฝ้ายกลายเป็นงานหลักของทาสไปโดยปริยาย…

  • เรื่องราวของทนายผู้ต่อสู้เพื่อ ‘ความรัก’ จนทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติในอเมริกาถูกกฎหมาย!!

    เรื่องราวของทนายผู้ต่อสู้เพื่อ ‘ความรัก’ จนทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติในอเมริกาถูกกฎหมาย!!

    ย้อนไปในอดีตนั้น ในบางประเทศจะมีธรรมเนียมหรือกฎหมายที่ห้ามไม่ให้คนต่างชาติหรือคนต่างสีผิวแต่งงานกัน เนื่องจากมีแนวคิดเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวอยู่นั้นเอง แต่ในปัจจุบันเราสามารถแต่งงานกับคนที่มีความแตกต่างกันได้อย่างอิสระ ไม่ว่าเราจะมีความแตกต่างกันทางสัญชาติ อายุ สีผิว หรือภาษาก็ตาม แม้แต่คนเพศเดียวกันก็ยังสามารถแต่งงานกันได้เลย ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณผู้ชายคนหนึ่ง ที่ลุกมาต่อสู้เพื่อสิทธิเหล่านี้อย่างนาย William Marutani จนทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติและสีผิว สามารถทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย   William Marutani   William Marutani เป็นทนายของกลุ่มประชาชนชาวญี่ปุ่นอเมริกัน ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เขามีจิตใจรักคุณธรรม และมักจะยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างผู้ที่ควรจะได้รับความยุติธรรมเสมอ ในคดีของ Milfred และ Richard Loving คู่รักข้ามสีผิวจากรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็เช่นกัน ชายผิวขาวและหญิงผิวสีถูกจับเมื่อปี 1958 เพราะว่าพยายามจะแต่งงานกัน แต่กฎหมายในขณะนั้นไม่ยอมให้คนผิวสีแต่งงานกับคนผิวขาว วันที่ 10 เมษายน 1967 นาย Marutani จึงได้ช่วยสู้คดีในศาลให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน ทั้งที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย     เราเริ่มการต่อสู้ในศาลโดยการโต้เถียงว่าคำว่า ‘คนผิวขาว’ นั้นหมายถึงอะไรกันแน่ ซึ่งเมื่อดูตามกฎหมายแล้วพบว่าคนผิวขาวคือคนที่มีเชื้อสายคอเคเชียนบริสุทธิ์ ส่วนคนอื่นๆ ที่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของเชื้อสายอื่นอยู่ในตัวถือว่าเป็นคนผิวสี จากนั้นเขาจึงโจมตีต่อว่า ตามประวัติศาสตร์แล้ว ยุโรปถูกรุกรานบ่อยครั้ง คนส่วนมากในรัฐเวอร์จิเนียจึงไม่น่าจะถือว่าเป็นคนผิวขาว และวิธีการจะพิสูจน์ว่าเป็นคนผิวขาวแท้จริงหรือไม่ ก็ทำได้ยากด้วย นอกจากนี้กฎหมายยังบอกอีกว่า…

  • โปรดิวเซอร์ 007 เผย ‘James Bond’ คนต่อไปอาจเป็นคนผิวสีหรือผู้หญิง อะไรก็เป็นไปได้!?

    โปรดิวเซอร์ 007 เผย ‘James Bond’ คนต่อไปอาจเป็นคนผิวสีหรือผู้หญิง อะไรก็เป็นไปได้!?

    เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังใหม่ๆ จากตระกูล James Bond แต่ไม่นานมานี้ก็ได้มีข่าวว่าหนังจากตระกูลดังกล่าวในภาค 25 จะกลับมาอีกครั้งในปี 2019 ซึ่งยังคงได้ Daniel Craig มารับบทเดิม แต่ว่าหลังจากนั้นล่ะ? ปกติแล้วเราจะเห็นบท James Bond ในรูปลักษณ์ของคนผิวขาวที่ต้องหล่อเท่และเข้มสุดๆ ซึ่งถ้าใครจำได้ ช่วงก่อนหน้านี้ได้มีสำนักข่าวมากมายต่างพากันเดาว่าคนจะมารับบทนี้ต่อจะเป็น Tom Hiddleston, Tom Hardy, James Norton, Henry Cavill และอื่นๆ อีกมากมาย     แต่ทาง Barbara Broccoli ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ของหนังตระกูลดังกล่าว ก็ได้ออกมาว่าบอกว่าคนที่จะมารับบท James Bond คนใหม่ต่อจาก Daniel Craig อาจจะไม่ใช่คนขาวอีกต่อไป… โดยที่เธอบอกว่า คนที่จะมาแทนอาจจะเป็นคนผิวสีหรือไม่ก็ผู้หญิงก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเกย์ก็เป็นไปได้เช่นกัน     Barbara ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “หนังเรื่องนี้มันควรจะสะท้อนยุคสมัยนั้นๆ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงพยายามที่จะดันให้มันไปในทิศทางใหม่ที่ดูเป็นไปได้เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ฉันโอเคกับ Daniel Craig และหนังภาคที่ 25 แต่ว่าหลังจากนั้นในอนาคตล่ะ? ใครจะมารับช่วงต่อ…” เรื่องการเปลี่ยนแนวทางของพยัคฆ์ร้ายนั้นยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ทาง Sir Roger Moore ผู้เคยรับบท James…