Tag: แบคทีเรีย

  • ผับอังกฤษหลายแห่งถูกตรวจพบ แบคทีเรียชนิดเดียวกับ “อุจจาระ” ในก้อนน้ำแข็ง

    ผับอังกฤษหลายแห่งถูกตรวจพบ แบคทีเรียชนิดเดียวกับ “อุจจาระ” ในก้อนน้ำแข็ง

    หลังจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ บาร์ชื่อดังของประเทศอังกฤษหลายแห่งถูกพบว่ามีการเสิร์ฟเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ Faecal Bacteria แบคทีเรียชนิดเดียวกับที่มีในอุจจาระ ผู้รายงานข่าวรายหนึ่งจาก BBC ทำการทดสอบเครื่องดื่มจากบาร์และผับชื่อดังของประเทศอังกฤษหลายๆ ร้านผ่านรายการ Watchdog ร้านดังกล่าวได้แก่ ร้าน Waterspoon, Slug and Lettuce, Harvester, Hungry Horse และร้าน Two For One ผลปรากฏว่าในเมนูเครื่องดื่มของทุกๆ ร้านมีร่องรอยของอุจจาระปนเปื้อน กระทั่ง สถาบันสุขภาพสิ่งแวดล้อม ออกมาเตือนว่าอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค     Tony Lewis จากสถาบันสุขภาพสิ่งแวดล้อมได้ออกมากล่าวถึงผลการวิเคราะห์ว่า ระดับมาตรฐานความสะอาดของบาร์หลายแห่งนั้นต่ำลงมาก ซึ่งมันอาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้บริโภคต่ำลง “หากก้อนน้ำแข็งเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่ผิดประเภท มันจะทำให้พวกเราป่วยได้” ขณะเดียวกันบาร์และผับหลายแห่งที่ถูกตรวจสอบก็ออกมาแจ้งว่าได้ดำเนินการควบคุมความสะอาดอย่างเข้มงวดแล้ว ยกเว้นร้าน Harvester ที่มีข้อกังขาในกระบวนการตรวจสอบแบคทีเรียของรายการ Watchdog   ตัวแทนของร้าน Harvester ยืนยันว่าทางร้านมีการตรวจสอบความสะอาดที่จริงจัง โดยกล่าวว่า “ความสะอาดและสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร้านเรา เพราะนั่นคือสวัสดิภาพของลูกค้าและพนักงานของเราด้วย”   บางครั้งเราไม่อาจรู้ได้ถึงที่มาของอาหารหรือเครื่องดื่มที่เราบริโภค ซึ่งมันก็อาจทำให้เราต้องป่วยโดยที่ไม่รู้สาเหตุนั่นเอง   ที่มา: ladbible และ thesun

  • 10 สุขนิสัยที่คุณอาจจะคิดว่าดี แต่มันอาจจะทำร้ายสุขภาพของคุณโดยไม่รู้ตัว!!

    10 สุขนิสัยที่คุณอาจจะคิดว่าดี แต่มันอาจจะทำร้ายสุขภาพของคุณโดยไม่รู้ตัว!!

    การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันของเรานั้นเราอาจจะคิดว่ามันดีและปลอดภัยกับสุขภาพของเราแล้ว แต่รู้ไหมว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่าทำแล้วดีต่อสุขภาพแต่ว่าในความจริงนั้นมันกลับส่งผลร้ายให้กับร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว เหล่าบรรดานักวิทยาศาสต์และนักวิจัยหลายท่าน ได้ช่วยกันหาข้อมูลเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่สุด โดยการศึกษารวบรวมข้อมูลจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทำกันบ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เราทำมันอาจถูกสุขลักษณะ เหมือนดังพฤติกรรมต่อไปนี้   1. แช่จานชามไว้ในอ่างนานๆ ซิงค์ล้างจานเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียชั้นเยี่ยม คุณสามารถพบเจอแบคทีเรียได้แทบทุกชนิด ซึ่งอาจจะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อทานอาหารเสร็จควรจะล้างโดยทันที ไม่ควรแช่ทิ้งไว้นะจ๊ะ     2. ล้างมือด้วยน้ำร้อน นักวิจัยได้กล่าวว่าอุณหภูมิของน้ำไม่ส่งผลต่อการฆ่าเชื้อโรค การล้างมืออย่างถูกวิธีต่างหากที่จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ และควรล้างมืออย่างน้อย 30 วินาที การใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นล้างมือบ่อยๆ จะลดการทำงานของผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวหนังอักเสบได้     3. แต่งหน้าไปออกกำลังกาย หลายๆ คนอาจจะใช้เวลาหลังการเลิกงานเพื่อไปเข้ายิมโดยที่ไม่ได้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้า การออกกำลังกายโดยที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวจะทำให้ผิวเกิดการอุดตันและไม่ส่งผลดีต่อใบหน้าเท่าไหร่นัก เนื่องจากผิวต้องการอากาศหายใจตอนออกกำลังกาย ลองหน้าสดไปยิมดูก็ไม่เสียหายนะ     4. ใช้เครื่องเป่าลมร้อน เครื่องเป่าลมร้อนสำหรับทำให้มือแห้งอาจจะดูเหมือนว่าเป้นเครื่องที่ทำให้มือของเราปราศจากเชื้อโรค แต่รู้ไหมว่า ในเครื่องเป่าลมร้อนนั้นเป็นแหล่งรวมแบคทีเรียจำนวนมากและกระจายแบคทีเรียเหล่านั้นด้วยอากาศ ถ้าอยากจะให้มือแห้งจริงๆ เลือกใช้กระดาษทิชชูซับมือจะดีกว่า     5. ใช้ถุงเดิมซ้ำๆ การใช้ถุงผ้าซ้ำๆ ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคจากสิ่งของที่คุณซื้อมา และมันจะสะสมไปเรื่อยๆ ปนเปื้อนสิ่งของที่คุณซื้อมาใหม่ไปอีกโดยเฉพาะผักและผลไม้ หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ควรจะซักก่อนใช้ทุกครั้ง…

  • แบคทีเรียกินเนื้อคร่าชีวิตเด็กชาย หมอพยายามยื้อสุดหนทาง ตัดจนไม่เหลืออะไรให้ตัดแล้ว…

    แบคทีเรียกินเนื้อคร่าชีวิตเด็กชาย หมอพยายามยื้อสุดหนทาง ตัดจนไม่เหลืออะไรให้ตัดแล้ว…

    แบคทีเรียนั้นมีอยู่ตามที่ต่างๆ แม้รอบๆ ตัวของพวกเราเองก็มีแบคทีเรียซ่อนอยู่ในที่ที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างสะอาดเท่าที่ควร และเมื่อคนเราได้รับแบคทีเรียมากๆ เข้า ก็จะส่งผลกับร่างกายของเรา และมนุษย์เราเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจะมีแบคทีเรียชนิดไหน อยู่ที่ไหนบ้าง และอาจจะโชคร้ายแบบเด็กชายรายนี้ที่ชื่อว่า Liam Flanagan เขาเป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุ 8 ปี ที่ดันขี่จักรยานล้มขณะกำลังจะปั่นไปหาครอบครัว ในวันที่ 13 มกราคม 2018 ที่ผ่านมา     จากอุบัติเหตุทำให้คันบังคับหรือแฮนด์ของจักรยานนั้นไปเกี่ยวกับ “ต้นขา” ของเขาเข้า จึงต้องถูกนำตัวไปส่งโรงพยาบาลเพื่อทำแผล หลังจากกลับบ้านมาได้ไม่กี่วันเขาพบว่า ที่แผลบนหน้าของเขานั้นเกิดเจ็บปวดและม่วงแดง เหมือนกับว่ามันเริ่มเน่า เข้าจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อแพทย์วินิจฉัยจึงพบว่า เขาเป็น “โรคเนื้อเน่า” ที่เกิดจาก “แบคทีเรียกินเนื้อ” นั่นเอง     จากนั้นหนูน้อย Liam จึงเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดเนื้อออกโดย 3 โรงพยาบาลด้วยกัน แต่แบคทีเรียตัวร้ายกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “พวกเขาตัดเนื้อของ Liam ออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า” Scott Hinkle พ่อบุญธรรมของ Liam กล่าว Sara Hebard แม่ของ Liam กล่าวว่า “เนื้อขาขวาถูกตัดออกเกือบทั้งหมด แต่ก็ทำได้แค่ตัดและก็หวังว่ามันจะหาย…

  • สาวจีนไม่ซักปลอกหมอนมานานกว่า 5 ปี จนทำให้ใต้ขนตามีไรอาศัยอยู่กว่า 100 ตัว!!

    สาวจีนไม่ซักปลอกหมอนมานานกว่า 5 ปี จนทำให้ใต้ขนตามีไรอาศัยอยู่กว่า 100 ตัว!!

    การดูแลตนเองให้มีสุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะมันคือตัวช่วยหลักที่ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากเชื้อโรค ดังนั้นความเป็นอยู่ทั่วๆ ไปและความสะอาดของสิ่งต่างๆ ภายในบ้านก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคุณอาจต้องเจอปัญหาเหมือนกับเธอคนนี้ได้ เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2015 หญิงสาวแซ่ Xu ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน เธอรู้สึกระคายเคืองและมีอาการตาแดง จึงไปปรึกษากับแพทย์ แต่ด้วยอาการของเธอแพทย์จึงไม่ได้แนะนำวิธีใดๆ ให้มากนัก นอกจากการให้เธอใช้ยาหยอดตาช่วยบรรเทาอาการไป     พอเวลาผ่านไป ในเดือนพฤศจิกายน 2017 เธอต้องกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะเธอรู้สึกว่าตาเธอแห้งมาก และขนตาของเธอก็เริ่มที่จะติดกันไปเป็นยวง เมื่อแพทย์ได้ตรวจอีกครั้งก็พบว่า มีไรจำนวนมากอาศัยอยู่ในรูขุมขนบริเวณขนตาของเธอ และนั่นจึงทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม เพราะแม้มันจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นปัญหาที่ไม่ควรปล่อยผ่านไปได้ หลังจากตรวจผ่านกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เห็นว่ามีไรกว่า 10 ตัวอาศัยอยู่ในรูขุมขนของขนตาหนึ่งเส้น นั่นหมายความว่าบริเวณขนตาของเธอมีไรมาอาศัยอยู่มากกว่า 100 ตัวเลยทีเดียว แล้วลองคิดดูว่าไรพวกนั้นอาศัยอยู่ตรงนี้มานานถึง 2 ปีอีกต่างหาก     สุดท้ายเธอได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคตาแดงและ Blepharitis หมายถึงสภาพที่เปลือกตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวไร แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้ว หญิงสาวก็กลับมาหายเป็นปกติในที่สุด หมอบอกว่ากรณีของ Xu นั้นมาจากการถ่ายเทอากาศภายในห้องของเธอที่ไม่เพียงพอ รวมถึงสุขอนามัยส่วนตัว ซึ่งนั่นหมายถึงปลอกหมอนของหญิงสาวที่ถูกใช้มากกว่า 5 ปี…

  • สาวใหญ่ตัดสินใจฉีดแบคทีเรียอายุกว่า 3.5 ล้านปีเข้าผิวหน้า เพื่อความอ่อนเยาว์

    สาวใหญ่ตัดสินใจฉีดแบคทีเรียอายุกว่า 3.5 ล้านปีเข้าผิวหน้า เพื่อความอ่อนเยาว์

    อาจมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณดูอ่อนวัยและไร้ริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกครีมดีๆ มาบำรุงผิวหน้า การฉีดโบท็อก หรือการพอกหน้าด้วยขมิ้น แต่คุณผู้หญิงท่านนี้กลับเลือกวิธีเพื่อความอ่อนเยาว์แตกต่างออกไป นั่นก็คือเธอเลือกที่จะฉีดแบคทีเรียอายุโบราณเข้าไปในผิวหน้าตัวเอง!! คุณ Manoush ได้ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง This Morning ถึงเคล็ดลับความอ่อนเยาว์ของเธอว่า เธอเลือกที่จะใช้เจ้าแบคทีเรีย Bacillus F แบคทีเรียที่มีอายุกว่า 3.5 ล้านปี ที่ค้นพบในเขตหนาวเย็นของประเทศรัสเซีย ฉีดเข้าไปในผิวหน้าเพื่อทำให้ดูเด็กลง     คุณ Manoush สาวใหญ่วัย 48 ปีใช้เงินกว่า 2 ล้านบาทในการทำศัลยกรรมครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามเธอยอมรับว่าหน้าของเธอนั้นไม่ได้ดูเด็กลงถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ “พวกเขาค้นพบแบคทีเรียตัวนี้ มันเป็นตัวที่ช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอของคุณ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองโดยฉีดมันเข้าไปในหนู แล้วพบว่าพวกมันดูอ่อนเยาว์ลง” คุณ Manoush นอกจากนี้คุณ Manoush ยังได้บอกอีกว่าเธอเองนั้นผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับใบหน้า การศัลยกรรมดวงตา ทำตาสองชั้น ทำจมูกอีก 2 ครั้ง ผ่าตัดหน้าอก 6 ครั้ง ทำปาก 6 ครั้ง และทำผิวหน้าอีกหลายครั้ง เมื่อถูกสัมภาษณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ทำการฉีดแบคทีเรียตัวดังกล่าว คุณ Manoush ให้สัมภาษณ์ว่า “มันค่อนข้างอธิบายได้ยาก แต่ฉันรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น ฉันสามารถทำงานได้นานขึ้นและนอนหลับได้สบายขึ้น และนอกจากนี้ปัญหาไทรอยด์ของฉันยังดีขึ้นอีกด้วย”   และนี่คือบทสัมภาษณ์ของเธอในรายการ This Morning  …

  • นักวิทย์เผย ใน “ฟองน้ำล้างจาน” มีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากกว่า 54,000 ล้านเซลล์!!

    นักวิทย์เผย ใน “ฟองน้ำล้างจาน” มีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากกว่า 54,000 ล้านเซลล์!!

    เวลาล้างจานแล้วไม่มีฟองน้ำล้างจานเราจะรู้สึกเหมือนมันไม่สะอาดยังไงก็ไม่รู้ ดังนั้นทุกครั้งที่ล้างจานเราจึงต้องใช้ฟองน้ำอยู่เสมอ แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าใช้ฟองน้ำแล้วจากจะสะอาดจริงๆ? จากการวิจัยพบว่าในฟองน้ำ 1 ชิ้น มีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากกว่า 54,000 ล้านเซลล์     หลังจากทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง DNA จากฟองน้ำที่แตกต่างกัน 14 ชิ้น นักวิจัยพบว่าในฟองน้ำมีชนิดของแบคทีเรียที่เรียกว่า Gammaproteobacteria รวมทั้งแบคทีเรียที่พบในมนุษย์ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดไข้ไทฟอยด์ อหิวาตกโรคและโรคอาหารเป็นพิษ การวิจัยดังกล่าวนี้ดำเนินการโดยนักวิจัยจากประเทศเยอรมนี พบว่า ฟองน้ำล้างจานเป็นแหล่งรวบรวมและแพร่เชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้เกิดโรคได้     ทั้งนี้เป็นเพราะว่าฟองน้ำล้างจานมีรูพรุนที่สามารถกับเก็บน้ำได้ มันจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะที่เหมาะสำหรับการก่อตัวของจุลินทรีย์ นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ในฟองน้ำล้างจานขนาดเท่าก้อนน้ำตาลจะมีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากสูงสุดถึง 54,000 ล้านเซลล์     ด้วยเหตุนี้ห้องครัวจึงสกปรกมากกว่าห้องน้ำซะอีก โดยมีฟองน้ำล้างจานนี่แหละที่เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุด ฟองน้ำล้างจานไม่เพียงแต่เป็นแหล่งก่อตัวของจุลินทรีย์ แต่ยังส่งผลให้มีแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหารได้ จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคที่มาจากอาหาร ทั้งนี้การวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า ไม่มีวิธีทำความสะอาดฟ้องน้ำล้างได้อย่างสะอาดหมดจน แม้กระทั่งการเอาฟองน้ำไปต้มในไมโครเวฟก็ลดแบคทีเรียได้แค่ 60% เท่านั้น       ในการสังเกตนั้น นักวิจัยใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อส่องดูฟองน้ำล้างจานในระยะใกล้ พบว่า ฟองน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อเป็นประจำ ไม่ได้มีแบคทีเรียน้อยไปกว่าฟองน้ำที่ไม่ได้ทำความสะอาดเลย นั่นหมายความว่าฟองน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วจะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียทันที ดังนั้นนักวิจัยจึงแนะนำว่าไม่ควรใช้ฟองน้ำซ้ำ แต่เราควรจะเปลี่ยนฟองน้ำทุกครั้งที่ล้างจาน เพื่อป้องกันแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหาร     สิ่งที่เราคิดว่าสะอาดที่สุดกลับเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่น่ากลัวซะงั้น ที่มา dailymail

  • สะพรึงเลยสิ!! ผลสำรวจเผยออกมาว่า ‘อุปกรณ์ในยิม’ กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียขนาดใหญ่

    สะพรึงเลยสิ!! ผลสำรวจเผยออกมาว่า ‘อุปกรณ์ในยิม’ กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียขนาดใหญ่

    ทุกวันนี้คนเราหันมาใส่ใจสุขภาพและออกกำลังกลายกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเมืองที่นิยมไปออกกำลังกายกันในฟิตเนสหรือยิมต่างๆ แต่หารู้ไม่ว่าในแต่ละวันที่มีคนวนเวียนเข้าไปใช้อุปกรณ์ต่างๆ นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ยิมดูสกปรกไปในทันใด     ทางด้าน FitRated จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างแบคทีเรียจากอุปกรณ์ที่ใช้ในยิมจาก 3 แห่ง แล้วก็ทำการเปรียบเทียบดูว่าปริมาณแบคทีเรียในอุปกรณ์ออกกำลังกายต่างๆ นั้นมีมากหรือน้อยกว่าสิ่งอื่นๆ ที่เราใช้กันเป็นประจำหรือไม่ สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้     อย่างจักรยานออกกำลังกายมีปริมาณแบคทีเรียมากกว่า ถาดอาหารพลาสติกในโรงอาหารถึง 39 เท่า ที่หนักไปกว่านั้นคือดัมเบลนั้นมีปริมาณแบคทีเรียมากกว่าชักโครก 362 เท่า!! ทั้งนี้สาเหตุก็น่าจะมาจากเหงื่อที่ไหลออกมาจากร่างกายของผู้ที่มาใช้อุปกรณ์ ซึ่งถ้าหากยิมไม่ได้ทำความสะอาดอุปกรณ์เป็นประจำ ก็จะกลายมาเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดีเลยนะ ที่มา : nydailynews, airiters

  • ทฤษฎีกฏ 5 วินาที หลังจากอาหารตกพื้น ยังกินได้หรือไม่? มาพิสูจน์เพื่้อคลายข้อสงสัยกันเถอะ!!

    ทฤษฎีกฏ 5 วินาที หลังจากอาหารตกพื้น ยังกินได้หรือไม่? มาพิสูจน์เพื่้อคลายข้อสงสัยกันเถอะ!!

    นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ค้างคาในใจหลายคนมากๆ อย่างในกรณีของอาหารที่ตกพื้นแล้วยังสามารถนำมารับประทานได้หรือไม่? บางคนก็บอกว่าไม่ได้ เพราะมันปนเปื้อนเชื้อโรค แบคทีเรียและพยาธิที่อยู่บนพื้นแล้ว บางคนก็บอกว่าได้ เพราะว่าพยาธิยังไม่ทันเห็น อะไรประมาณนี้     เอาล่ะ ทีนี้เราลองมาคิดกันดูว่าถ้าอาหารตกลงบนพื้น ในแง่ของเวลา 3 วินาที 5 วินาที หรือมากกว่านั้น ยังจะมีความสะอาดปลอดภัยอยู่หรือไม่ หรือว่าอาหารที่ตกพื้นแล้วยังไงก็รับประทานไม่ได้ เสี่ยงต่อสุขภาพทันที อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะ?     วิศวกรจาก NASA นามว่า Mike Meacham ออกไปทำการทดลองที่ว่านี้ โดยนำคุ๊กกี้ไปแจกให้กับผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนน ซึ่งในขณะที่กำลังจะยื่นคุ๊กกี้ให้ ก็แกล้งทำตกพื้น     โดยหลายคนปฏิเสธที่จะรับประทานคุ๊กกี้ชิ้นที่ตกพื้น เพราะมันสกปรกไปแล้ว แต่บางคนกลับยินดีที่จะกิน เพราะมันตกพื้นแห้งๆ แค่ไม่กี่วินาทีเอง     โดยปกติแล้ว แบคทีเรียที่อยู่บนพื้นจะกระโจนเข้าหาอาหารทันทีที่มันสัมผัสกับพื้น ซึ่งถ้าหากว่าเป็นพื้นเปียกๆ จะมีอัตราเสี่ยงที่สูงกว่าพื้นแห้ง     ‘อาหารที่ถูกทิ้งไว้ให้ตกพื้นและได้รับความชื้นมากกว่า 30 วินาทีจะมีแบคทีเรียสะสมเป็น 10 เท่าของอาหารที่ตกพื้นเพียงแค่ 3 วินาที…

  • ผู้เชี่ยวชาญแนะ อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมติดต่อกัน นอกจากจะไม่สะอาด ยังเสี่ยงกับเชื้อโรคอีก

    ผู้เชี่ยวชาญแนะ อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมติดต่อกัน นอกจากจะไม่สะอาด ยังเสี่ยงกับเชื้อโรคอีก

    ว่ากันด้วยเรื่องของผ้าเช็ดตัวผืนน้อยที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ จะขาดไปก็ไม่ได้ เพราะว่าหลังอาบน้ำเสร็จก็ต้องใช้เช็ดตัวให้แห้ง ทำความสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการอาบน้ำ แต่ส่วนมากก็จะใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมเป็นประจำ อาบน้ำทุกครั้งก็ใช้ผืนนี้     หากว่าใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป โดยที่ไม่ได้นำไปซักหรือทำความสะอาดเลย ทางผู้เชี่ยวชาญแนะเลยว่านอกจากจะเช็ดตัวไม่สะอาดหมดจด แถมยังเสี่ยงต่อโรคทางผิวหนังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งสะสมของเหล่าเชื้อแบคทีเรียชั้นเยี่ยม     วิธีการหลีกเลี่ยงง่ายๆ เลยก็คือให้นำผ้าเช็ดตัวที่ใช้หลังอาบน้ำเสร็จแล้วประมาณ 3 ครั้ง ไปซักให้สะอาดซะ หรือถ้ายังไม่ว่างซัก ก็นำไปตากให้โดนแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไม่ควรที่จะตากทิ้งไว้ให้ห้องน้ำ ห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท หรือทิ้งไว้บนพื้นห้องน้ำ     มันอันตรายร้ายแรงแค่ไหนกับการใช้ผ้าขนหนูที่ไม่สะอาด เหตุผลก็คือผ้าขนหนูที่ยังเปียกน้ำหมาดๆ นั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจากการสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ส่วนมากมักจะพบโคลิฟอร์มแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง     ทั้งนี้จากการใช้ผ้าเช็ดตัวนั้น เราจะทำการเปลี่ยนผ่านสสารต่างๆ มากมายระหว่างผ้าเช็ดตัวกับผิวหนัง เช่น เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เชื้อรา ปัสสาวะ เศษอุจจาระและอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนมีแบคทีเรียด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้ในที่อับ หรือบนพื้นห้องน้ำเชื้อแบคทีเรียก็จะขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แค่นึกภาพตามก็อี๋แล้ว!! ผู้เชี่ยวชาญยังบอกด้วยว่า หากได้กลิ่นอับจากผ้าเช็ดตัวเมื่อไหร่ ก็ควรที่จะเลิกใช้แล้วนำไปซักทันที เพราะนั่นเป็นสัญญาณเตือนจากแบคทีเรียนั่นเอง     ศาสตราจารย์…

  • สุดยอดการคิดค้น พลาสเตอร์ชนิดใหม่ที่จะ ‘เรืองแสง’ ทันที เมื่อตรวจพบแบคทีเรียในแผลของคุณ!!!

    สุดยอดการคิดค้น พลาสเตอร์ชนิดใหม่ที่จะ ‘เรืองแสง’ ทันที เมื่อตรวจพบแบคทีเรียในแผลของคุณ!!!

    เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่น่าสนใจเลยทีเดียว เมื่อล่าสุดได้มีรายงานว่า ได้มีการพัฒนาพลาสเตอร์แบบใหม่ ที่สามารถเรืองแสงได้ เมื่อมันตรวจจับได้ว่ามีการติดเชื้อในแผลของคุณ!!! ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับบาดแผลแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับอาการติดเชื้อแล้วล่ะ เพราะนอกจากทำให้แผลหายช้าแล้ว ยังอาจเกิดอาการเป็นหนองอีกด้วย อี๋ แค่คิดก็ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย ><   โดยจะมีสีเรืองแสงที่ไม่ก่อเกิดสารพิษแก่มนุษย์ เป็นตัวตรวจจับอาการติดเชื้อ   ซึ่งพลาสเตอร์แบบใหม่นี้ เป็นผลงานของโรงเรียนทางการแพทย์ของ Cardiff University โดยมีศาสตราจารย์ Keith Harding เป็นผู้กำกับในการวิจัยนี้ กล่าวว่า ‘พลาสเตอร์แบบใหม่นี้ ถือเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์เลยทีเดียว เพราะหนึ่งในเรื่องยากของการรักษาบาดแผล ก็คือการติดเชื้อในบริเวณบาดแผลนั่นเอง’ ในส่วนของบาดแผล การที่มีแบคทีเรียสะสมอยู่บ้างนั้น อาจไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดออกได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดติดในปริมาณมากขึ้นมาล่ะก็ เป็นเรื่องแน่นอน   พลาสเตอร์ด้านซ้าย ไม่พบแบคทีเรีย ส่วนด้านขวาตรวจพบแบคทีเรีย   สำหรับประโยชน์ของพลาสเตอร์ชนิดใหม่นี้ หลักๆ แล้วก็คือการตรวจพบแบคทีเรียในบาดแผลในระยะเบื้องต้น เพื่อให้แพทย์ป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อ ซึ่งทางศาสตราจารย์ Toby Jenkins แห่ง University of Bath ได้พูดถึงประโยชน์ของพลาสเตอร์ชนิดนี้ ว่าจะได้ใช้ประโยชน์อย่างมากในการรักษาผู้ป่วยที่โดนไฟลวก หรือไฟคลอกมา และโดยเฉพาะบาดแผลใหญ่จากการผ่าตัด…

  • การลวกช้อนส้อม ในน้ำที่ร้อนไม่พอ ไม่ได้ช่วยกำจัดเชื้อโรค แถมยังเพิ่มจำนวนให้มากกว่าเดิม!?

    การลวกช้อนส้อม ในน้ำที่ร้อนไม่พอ ไม่ได้ช่วยกำจัดเชื้อโรค แถมยังเพิ่มจำนวนให้มากกว่าเดิม!?

    เวลาที่เราไปรับประทานอาหารตามโรงอาหารต่างๆ หรือตามศูนย์อาหารภายในห้างสรรพสินค้า จะสังเกตได้ว่ามีการตั้งหม้อน้ำร้อนไว้ให้บริการลวกช้อนส้อม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อโรคที่ติดอยู่กับช้อนส้อมที่มีไว้ให้บริการนั่นเอง     งานนี้ก็กลายมาเป็นประเด็นกันอีกครั้งเมื่อมีการแชร์ข้อความจาก Facebook ส่วนตัวของ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ที่ได้มีการโพสต์ข้อความเตือนเกี่ยวกับการลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งการลวกช้อนส้อมเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่างๆ นั้นจะต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 98 องศาเซลเซียส และใช้เวลาประมาณ 4 นาที   ผมขอบอกว่า ผมไม่เคยลวกช้อนส้อมด้วยหม้อหุงข้าวเลย เหตุผลคือ เราต้องการทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสต่างๆใช่มั้ยครับ เช่น ไ… Posted by ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน on Wednesday, March 12, 2014   โดยการที่จุ่มช้อนส้อมลงในหม้อตามศูนย์อาหารต่างๆ นั้นไม่มีอุณหภูมิที่สูงพอ และพฤติกรรมการจุ่มช้อนส้อมลงในหม้อนั้นก็ทำเพียงแค่ไม่กี่วินาที ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยทำให้ช้อนส้อมสะอาดและปราศจากเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการเพิ่มเชื้อโรคทั้งในน้ำภายในหม้อและติดขึ้นมากับช้อนส้อมมากกว่าเดิมอีก     อย่างไรก็ตาม ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่าหากลวกในน้ำร้อนที่เดือดพอ ก็น่าจะโอเคกว่าการที่จุ่มช้อนส้อมในน้ำร้อนปกติและใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ที่มา : ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน

  • รู้ไว้ใช่ว่า!? จุดต่างๆ ภายในบ้าน มีความสกปรกมากกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีก!!

    รู้ไว้ใช่ว่า!? จุดต่างๆ ภายในบ้าน มีความสกปรกมากกว่าที่คุณคิดไว้ซะอีก!!

    รู้หรือไม่ว่าจุดต่างๆ ภายในบ้านของเรา ที่เราสัมผัสทุกวัน มีจำนวนแบคทีเรียมากกว่าที่คุณคิด มาดูกันว่ามีจุดไหนบ้างที่เราควรระวังและทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น เพื่อสุขอนามัยห่างไกลแบคทีเรีย หลายคนคงคิดว่าสิ่งที่ดูสกปรกน่าจะเป็นที่อยู่ของเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด แต่รู้หรือไม่ว่าบางสิ่งที่คุณมองข้ามไปกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่มากกว่าเสียอีก มีอะไรบ้างลองมาดูกัน   ตู้เย็น แหล่งเก็บรักษาเสบียงอาหารของพวกเรา กลับกลายเป็นแหล่งเติบโตของเชื้ออีโคไลมากที่สุด คีย์บอร์ด คอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน และเกือบทั้งวัน กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีมากกว่าฝาส้วมถึง 200 เท่า โทรศัพท์มือถือ / โทรศัพท์บ้าน เครื่องมือสื่อสารที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ที่เราต้องสัมผัสทั้งฝ่ามือและใบหน้า กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีมากกว่าฝาส้วมถึง 10 เท่า ก๊อกน้ำฝักบัวอาบน้ำ แหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่ามายโคแบคเทอเรียม เอเวียม ซุกซ่อนอยู่มากมาย และจะไหลออกมาตามสายน้ำสัมผัสกับร่างกาย ผิวหนัง และใบหน้าของเราโดยตรง อ่างล้างจาน คราบเศษอาหารต่างๆ ตกค้างเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียที่เกาะติดตกค้างอยู่ตามอ่างล้างจาน มีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว ซึ่งมาจากเชื้อแบคทีเรียจากเนื้อสัตว์ จุลินทรีย์จากเศษอาหาร สวิตช์ไฟ / ลูกบิดประตู มีแบคทีเรียมากถึง 200 ตัว / ตารางนิ้ว ของเล่น ที่เด็กต้องคลุกคลีแทบทุกวันเป็นแหล่งเชื้อโรคที่มากับคราบน้ำลาย น้ำมูก หรือคราบโคลนที่เด็กๆ…