Tag: การรักษา
-
10 วิธีการรักษาทางการแพทย์ “แปลกๆ” ในอดีต โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เกิดมาในยุคนั้น…
โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์เรา แต่โชคดีที่มนุษย์นั้นสามารถหาทางรักษาโรคต่างๆ ได้ แต่กว่าจะค้นหาวิธีการรักษาแต่ละโรคได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ เพียงการรักษาด้วยการฉีดยาหรือผ่าตัดสำหรับบางคนก็อาจจะร้อง “ยี้” แล้ว แต่ลองย้อนกลับไปสมัยก่อนที่การแพทย์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาล่ะก็ รับรองว่าการรักษาโรคไม่ได้ทำง่ายๆ เพียงแค่ฉีดยาแน่นอน ไปชมกันเลยว่าในสมัยก่อนการรักษาโรคต่างๆ กว่าจะประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ต้องผ่าน ความเชื่อผิดๆ แบบไหนมาบ้าง…?? 1. รักษาด้วยการ “มีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์” ครั้งหนึ่งเมื่อคุณมีโรคติดต่อทางเพศ มีความเชื่อว่าหากไปมีเพศสัมพันธ์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ โรคจะถูกส่งต่อไปสู่คนผู้นั้น และคุณก็จะหาย (แถมทุกวันนี้บางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลย) 2. รักษากามโรคด้วย “โรคมาลาเรีย” ครั้งหนึ่ง แพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิสจะทำให้อาการไข้สามารถทำลายเชื้อของทั้งสองโรคได้ แต่ผลสุดท้ายคนไข้ก็ตายด้วยโรคมาลาเรีย 3. หนูตายรักษาได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณซากหนูที่ตายนั้นจะถูกนำมาใช้รักษาอาการปวดฟัน ส่วนในสมัยเอลิซาเบธ ศพหนูจะถูกผ่าครึ่งแล้วนำมารักษาหูด นอกจากนี้หนูตายตามรายงานยังบอกว่าเคยถูกนำมาใช้รักษาอาการไอกรน โรคหัด ฝีดาษ และการฉี่รดที่นอนอีกด้วย 4. เหล็กแหลมร้อนรักษาริดสีดวง ในสมัยโบราณ นักบวชกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อการใช้เหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวารนั้นสามารถรักษาอาการริดสีดวงทวารได้ 5. การใช้ปรอทเหลว ในสมัยกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และมีการใช้เป็นยาวิเศษอีกหลายแห่ง แต่ความจริงแล้วปรอทเหลวมีแต่จะนำความตายมาให้ 6.…
-
หญิงป่วยมะเร็งเผย ‘สารสกัดน้ำมันกัญชา’ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย กำจัดมะเร็งให้หายเป็นปกติได้!!
เรื่องของสุขภาพกับโรคร้ายที่ยากจะรักษา ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะได้ยินเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองหรือแม้แต่กับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ที่สามารถลุกลามไปทั่วร่างกาย และยากต่อการเยียวยาให้หายขาดได้ ดั่งเช่นเรื่องของ Joy Smith หญิงชาวอังกฤษวัย 52 ปี เธอถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ในปี 2016 และเวลาที่เหลือของเธอนั้นมีเพียงแค่ 6 เดือนต่อจากนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี ทุกอย่างกลับกลายเป็นดีขึ้นเรื่อยๆ Joy Smith ในวัย 52 ปี การฟื้นฟูร่างกายอันน่าประหลาดใจนี้ เธอกล่าวว่ามีผลส่วนหนึ่งมาจากการรับ ‘สารสกัดน้ำมันจากกัญชา’ อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสารต้องห้ามและผิดกฎหมายในอังกฤษก็ตาม… เธอเปิดเผยว่า “เมื่อคุณรู้ว่ามีชีวิตเหลือเพียงแค่ 6 เดือน คุณจะหาหนทางเพื่อลองทุกอย่าง เชื่อฉันสิ ในตอนแรกฉันไม่ค่อยมั่นใจกับน้ำมันกัญชาเท่าไหร่นัก เพราะฉันไม่เคยเสพยามาก่อน แต่ฉันรู้แล้วว่าหากไม่มีมันฉันก็คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้” “ฉันอยากจะบอกกับทุกคนว่า น้ำมันกัญชาควรจะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายสำหรับใช้ทางการแพทย์ ผู้คนกำลังล้มตายจากการทำเคมีบำบัด ที่ไม่ได้ช่วยรักษาให้หายดีขึ้นเลย” ก่อนหน้านี้ Joy ได้รับการทำเคมีบำบัดสามวันต่อสัปดาห์ และจะเว้นระยะห่างเป็นทุกๆ สองสัปดาห์ แต่แล้วก็ต้องหยุดรับการรักษาเนื่องจากมีภาวะติดเชื้อ จากนั้นเพื่อนของเธอจึงแนะนำให้รู้จักกับน้ำมันกัญชา หนึ่งในนั้นก็ได้ให้น้ำมันกัญชาในรูปแบบยาเม็ด…
-
14 การกดจุดที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยในชีวิตประจำวันของคุณได้ง่ายๆ
การกดจุด คือหนึ่งในวิธีการรักษาซึ่งเชื่อว่าถือกำเนิดขึ้นในประเทศจีน และถูกสืบทอดต่อๆ กันมาอย่างยาวนาน จนเริ่มมีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้นเหมือนที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ในปัจจุบัน วันนี้เราจึงมาพูดถึงวิธีการกดจุดง่ายๆ ต้องกดตรงไหนยังไง และมันจะดีต่อชีวิตประจำวันของเพื่อนๆ ยังไง เราไปดูกันเลยยย 1. จุดที่เรียกว่า The Three Miles Point มันจะอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของกระดูกหัวเข่าประมาณ 3.8 เซนติเมตร (ตามในภาพ) การกดลงไปบริเวณนี้จะช่วยเรื่องการทำงานของระบบย่อยอาหาร รวมถึงอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และวิงเวียนศีรษะ วิธีการคือให้เพื่อนๆ นั่งงอขาเอาไว้ กดลงไปตรงจุดนี้ด้วยน้ำหนักที่พอดีมือประมาณ 1 นาที 2. บริเวณตาที่สาม มันคือบริเวณกึ่งกลางของคิ้วทั้งสองข้าง ตรงจุดนี้จะช่วยเรื่องของอาการปวดหัว ความกดดัน ความเมื่อยล้าเรื้อรัง และความเครียดได้ วิธีการคือกดลงไปเบาๆ ค้างไว้ประมาณ 1 นาที 3. จุดที่เรียกว่า The Pericardium Point มันคือจุดที่อยู่บริเวณปลายแขน ห่างจากข้อมือขึ้นมาประมาณ 3 นิ้วมือ ตรงกลางระหว่างเส้นเอ็นทั้งสองเส้น มันจะช่วยปลดปล่อยอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน…
-
สัตวแพทย์ใช้หนังปลาทิลาเพีย ช่วยสมานแผลไฟไหม้ให้กับเจ้าหมี ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด
ก่อนหน้านี้ #เหมียวหง่าว เคยรายงานถึงเรื่องที่ทีมแพทย์บราซิลทดลองใช้หนังปลาทิลาเพีย (ปลาจำพวกปลาหมอสี ปลานิล ปลาทับทิม) ในการรักษาแผลไฟไหม้กับคน ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแต่ยังคงไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง อ่านข่าวเก่าได้ที่>> ทีมแพทย์บราซิลทดลองใช้ ‘หนังปลาทิลาเพีย’ เพื่อรักษาแผลไฟไหม้ ให้ได้ผลที่ดีกว่า!! ทว่าตอนนี้ทีมสัตวแพทย์ในสหรัฐอเมริกา สามารถใช้วิธีการเดียวกันในการรักษาแผลไฟไหม้ให้กับหมีได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2017 หลังจากที่ได้เกิดเหตุไฟไหม้ป่าที่ถูกเรียกว่า Thomas Fire ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา ทำให้สัตว์ป่าหลายตัวได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเจ้าหมีเพศเมีย 2 ตัวนี้ เกิดแผลไฟไหม้ขึ้นมาบริเวณอุ้งเท้าและรอบๆ ตัวของเจ้าหมีทั้งสอง จึงทำให้สัตวแพทย์ของกรมดูแลปลาและสัตว์ป่าของรัฐ ตัดสินใจที่จะใช้วิธีการนำหนังปลาทิลาเพียมารักษาแผลให้กับพวกมัน หนังปลาดังกล่าวอุดมไปด้วยคอลลาเจนที่ช่วยสมานแผลไฟไหม้ได้ดี เหมาะแก่การนำมาใช้เป็นผ้าพันแผลให้กับพวกมัน นายแพทย์ Jamie Payton หัวหน้าแพทย์บูรณาการของโรงเรียนการแพทย์ U.C. Davis Veterinary จึงเลือกใช้วิธีการดังกล่าว Jamie ตัดหนังปลาทิลาเพียออกมา ก่อนที่จะนำไปฆ่าเชื้อโรคและเย็บติดเข้าไปรอบๆ บาดแผลของเจ้าหมีทั้งสอง ขณะที่พวกมันกำลังหมดสติอยู่ จากนั้นทีมสัตวแพทย์คนอื่นๆ ก็ใช้กระดาษฟางและเปลือกข้าวโพดมาพันทับเอาไว้อีกชั้น เพื่อซื้อเวลาไม่ให้เจ้าหมีไปกัดโดนหนังปลาในขณะที่แผลยังไม่หาย การช่วยเหลือครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในระหว่างการรักษา…
-
ยาแก้กรรมพันธุ์ตาบอด ฉีดเข้ารักษาลึกระดับยีน หาซื้อได้ในราคากว่า 27 ล้านบาท!!
การรักษาพยาบาลในปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาไปไกลจนมียาที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้แทบทุกโรคอีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย แต่ขณะเดียวกันความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นนี้ย่อมต้องแลกมาด้วยการสูญเสียจากการลงทุนไปไม่น้อย ดังนั้น จึงไม่แปลกที่การรักษาพยาบาลบางครั้งจะมีค่าใช้จ่ายสูง ดังเช่นเรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ บริษัทผลิตยาชื่อว่า Spark Therapeutics ได้ผลิตยาตัวใหม่ขึ้นมาเตรียมวางจำหน่าย เป็นยาที่ใช้ฉีดเข้าร่างกายเพื่อรักษาโรคตาบอดที่เกิดจากพันธุกรรม โดยในครั้งแรกนั้นตั้งราคาไว้สูงเกือบ 32 ล้านบาทแต่ราคาถูกลดลงเนื่องจากบริษัทประกันสุขภาพต่างๆ ไม่สามารถรับประกันครอบคลุมถึงยาตัวนี้ได้ ยาตัวนี้มีชื่อว่า Luxturna เป็นยาชนิดแรกที่สามารถรักษาโรคติดต่อทางพันธุกรรมได้ อีกทั้งมีการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถรักษาผู้ที่มีโรคตาบอดจากพันธุกรรมให้มีสายตาที่ดีขึ้นได้ การรับยา Luxturna นั้นจะเป็นการฉีดลงไปเพียงหนึ่งครั้งเพื่อให้ไวรัสนำยีนไปทดแทนเนื้อเยื่อของจอประสาทตา การฉีดแต่ละครั้งจะมีราคาราวๆ 13 ล้านบาท ซึ่งการฉีดหนึ่งครั้งสำหรับตาหนึ่งข้าง และด้วยความที่ผู้พัฒนาต้องการจะให้เป็นยาฉีดที่ไม่ต้องใช้ระยะรับยายาวนาน มันจึงมีราคาสูงเสียดฟ้า ถึงแม้จะเทียบกับยาที่รักษาระดับพันธุกรรมด้วยกันก็ตาม Marc-André Gagnon นักวิจัยเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Carleton กล่าวว่า “ที่จริงแล้วเราตั้งใจจะผลิตยาที่รักษาพันธุกรรมมานานแล้ว แต่ถ้าผลิตออกมาแล้วตั้งราคาสูงเกินไปมันจะเหมือนเปิดมาตรฐานใหม่ให้กับราคายา และทุกอย่างจะแย่ลง” ที่จริงแล้วการรักษาโรคหายากลักษณะเดียวกันนี้ด้วยวิธีการเดิมอาจจะมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท แต่จำเป็นต้องใช้เวลารักษาระยะยาวซึ่งบางคนเสียค่าใช้จ่ายในการรักษารวมแล้วหลายสิบล้านบาท Luxturna นั้นถือว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายในภาพรวม อย่างไรก็ตามคนก็ยังมองว่ามันแพงเกินไป โดยในทางภาครัฐบาลของสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ออกมาควบคุมราคาแต่อย่างใด เพียงแต่ทางด้านของผู้ผลิตยาจำเป็นต้องออกมาให้คำอธิบายถึงสาเหตุของราคาที่แพงจนทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปของมัน ทางด้านบริษัทยา Spark Therapeutics จึงออกมาโต้ว่ายา Luxturna ควรจะแพงถึง 32 ล้านบาทด้วยซ้ำหากคำนึงถึงทุนที่เสียไปและค่าจ้างผู้ดูแลตัวยา…
-
แพทย์ถึงกับไปไม่เป็นหลังเห็นรอยสักว่า ‘อย่าช่วยชีวิต’ อยู่บนหน้าอกของผู้ป่วยที่ไม่ได้สติ
หมอมีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้ให้สามารถรอดชีวิตจากความตายมาได้ แต่แน่นอนว่าความต้องการของคนไข้เองก็เป็นส่วนสำคัญเพราะปัจจุบันได้มีกฎหมายที่คนไข้สามารถเลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองตายก็ได้ แล้วถ้าคนไข้ไม่ได้พูดกับหมอตรงๆ แต่บอกผ่านรอยสักเหมือนชายคนนี้ล่ะ คุณหมอจะตัดสินใจช่วยเขาดีหรือไม่? สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไมอามี่ สหรัฐอเมริกา เมื่อชายแก่วัย 70 ปีถูกพบในสภาพเมาหมดสติ ก่อนที่จะถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาล แต่ในตอนที่หมอกำลังจะทำการช่วยชีวิตเขาอยู่นั้นเอง ก็ได้เจอกับรอยสักที่เขียนไว้ว่า “อย่าช่วยชีวิต” อยู่บนหน้าอกของเขา รอยสักบอกไว้ว่า “อย่าช่วยชีวิต” ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ Daily Mail วันที่ 30 พฤศจิกายน 2017 นายแพทย์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องช่วยกันตัดสินใจว่าพวกเขาควรทำตามความต้องการของคนไข้หรือควรทำตามหน้าที่ของตนเองกันแน่ นายแพทย์ Greg Holt หนึ่งในหมอผู้อยู่ในเหตุการณ์อธิบายว่าตามกฎหมายแล้ว คนไข้มีสิทธิ์เลือกให้ตัวเองได้ โดยที่หมอจะไม่ทำการช่วยชีวิตใดๆ เลยทั้งสิ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะต้องทำการเซ็นแบบฟอร์มข้อตกลงของคนไข้และแพทย์เสียก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่า รอยสักคือความต้องการของคนไข้จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่การสักเล่นๆ ตอนวัยรุ่นกันแน่ จึงทำให้การตัดสินใจเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะนี่คือเรื่องของความเป็นตายของคนเลยทีเดียว จนกระทั่งนายแพทย์ Greg ตัดสินใจยื้อชีวิตของชายหนุ่มเอาไว้ โดยการควบคุมความดันเลือดที่สูงมากของคนไข้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะยังคงไม่แน่ใจกับความต้องการที่แท้จริงของคนไข้ หลังจากนั้นกลุ่มผู้ให้การปรึกษาด้านจริยธรรมและทีมแพทย์จำนวนมากได้ประเมินสถานการณ์ทุกอย่างทั้งหมดแล้ว และพวกเขาก็ได้เลือกที่จะปล่อยให้ชายแก่คนนี้ตายไปในที่สุด ตามความต้องการที่อยู่บนรอยสัก นายแพทย์ Greg…
-
การทดลอง ‘ผ่าตัดเปลี่ยนหัว’ กับศพ ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น เชื่อมต่อระบบร่างกายได้
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 2016 #เหมียวฟิ้น ได้นำเสนอข่าวของหนุ่มรัสเซีย Valery Spiridonov วัย 31 ปีผู้ป่วยเป็นโรคแปลกประหลาดและได้เป็นอาสาสมัครให้กับการทดลองผ่าตัดเปลี่ยนหัว ซึ่งตอนนี้การผ่าตัดดังกล่าวได้มีความคืบหน้ามากขึ้นหลังจากที่แพทย์สามารถเปลี่ยนถ่ายหัวของศพได้สำเร็จ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2017 สำนักข่าวเดลี่เมล ได้รายงานว่าศาสตราจารย์ชาวอิตาลี Sergio Canavero และทีมแพทย์ชาวจีนที่นำโดยดอกเตอร์ Xioaping Ren สามารถเปลี่ยนถ่ายหัวของศพในประเทศจีนได้สำเร็จ โดยใช้ระยะเวลาการผ่าตัดนานถึง 18 ชั่วโมง ศาสตราจารย์ Sergio Canavero ผู้ผลักดันให้เกิดการผ่าตัดปลูกถ่ายศีรษะ Canavero บอกว่านี่คือการเปลี่ยนถ่ายหัวมนุษย์ครั้งแรกของโลก โดยกระดูกสันหลัง เส้นประสาท และเส้นเลือดต่างๆ ของร่างกายสามารถเชื่อมกับหัวที่ถูกปลูกถ่ายได้สำเร็จ เขาได้พูดกับสื่อว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปจากเดิม ธรรมชาติเคยกำหนดความเป็นตายของเรามาโดยตลอด แต่ในยุคนี้เราจะเป็นคนที่กำหนดโชคชะตาของเราด้วยตัวเอง” เขายังเสริมอีกว่า ตอนนี้เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้ายในการปลูกถ่ายศีรษะและสมองของคนตายที่ได้รับการบริจาคมาให้เข้ากับร่างกายเท่านั้น ซึ่งหากว่าผลออกมาสำเร็จ ในไม่ช้านี้เขาการปลูกถ่ายศีรษะของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีให้เราเห็นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่ Canavero สำหรับศัลยแพทย์ Ren ก็มีความเชื่อเดียวกัน ก่อนหน้านี้เขาและทีมแพทย์ได้เคยทดลองผ่าตัดปลูกถ่ายศีรษะของหนูทดลองไปกว่า 1,000 ตัว…
-
รวม 11 วิธีการรักษาโรคสุดสยอง-อันตรายในอดีต ที่คนยุคนี้ได้ทราบคงจะขนหัวลุก
อย่างที่ทราบกันดีว่า วิทยาการทางการแพทย์ของมนุษย์พัฒนาอย่างรวดเร็วที่ช่วงร้อยปีที่ผ่านมา (ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับค่ายกักกันในช่วยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งของเยอรมันและญี่ปุ่นเลยล่ะ) ทำให้วิธีการรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยต่างๆ นั้นถูกต้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่รู้หรือไม่ ในอดีตเราเคยมีวิธีการรักษาโรคแบบแปลกๆ มากมาย ซึ่งหลายๆ วิธีนั้นต้องบอกว่าสยดสยองจนน่าขนลุกเลยทีเดียว อย่างเช่น 11 วิธีการรักษาโรคในอดีตที่ #เหมียวอ๊อดโด้ นำมาให้เพื่อนๆ ได้ชมวันนี้ ลองไปชมกันเลย!! 1.เอาเลือดออก ย้อนไปเมื่อซักร้อยปีก่อน มีหมอหลายคนเชื่อว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายทำงานผิดปกติหรือเป็นพิษ พวกเขาจึงใช้วิธีการเจาะเอาเลือดเสียออก (รู้ได้ไงว่าอันไหนเลือดเสีย -*-) จนกระทั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 พวกเขาถึงรู้ว่า การเอาเลือดออกจากร่างกายมีแต่ทำให้ผู้ป่วยอ่อนแอลง หรือไม่ก็เสียชีวิตเลยก็ได้ พวกเขาจึงเลิกรักษาด้วยวิธีนี้ไปแต่โดยดี 2. โคเคน หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าโคเคน หรือ ผงขาว เคยใช้เป็นยาแก้ปวดมาก่อน จนตอนหลังแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีอาการเสพติดยาแก้ปวดเหล่านั้น พวกเขาจึงแบนและเลิกใช้ไปในที่สุด 3. ดื่มฉี่ของตัวเอง ในอดีต เคยมีความเชื่อว่าการดื่มฉี่ตัวเองหรือเอาฉี่มาทาตามร่างกายจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ซึ่งปัจจุบันก็น่าจะรู้กันหมดแล้วว่ามันไม่จริง แต่ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนยังเชื่อเรื่องนี้อยู่นะ 4. คลอโรฟอร์ม …