Tag: โรมัน

  • เรียนรู้วีถีแห่งทหารโรมัน ทำไมมันถึงเกรียงไกรกว่าชาวบ้านเค้า และพิชิตเมดิเตอเรเนียนได้

    เรียนรู้วีถีแห่งทหารโรมัน ทำไมมันถึงเกรียงไกรกว่าชาวบ้านเค้า และพิชิตเมดิเตอเรเนียนได้

    ก่อนที่ประเทศอังกฤษจะเข้ามาเปลี่ยนประวัติศาสตร์การยึดครองอาณาจักรนั้น อาณาจักรโรมันถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในโลก มีจำนวนประชากรสูงถึง 20% ของจำนวนคนทั้งหมดบนโลก และมีอาณาจักรแผ่ไพศาลไปถึง 3 ทวีปเลยทีเดียว แต่การที่ครอบครองอาณาเขตมากขนาดนั้นจะต้องอาศัยความเป็นระเบียบวินัย และพละกำลังทหารในการปกครองก่อนที่จะความคิดของผู้คนจะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับแนวคิดทางการทหาร   คัดเลือกทหารอย่างไร ในยุคเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน ได้มีการคัดเลือกพลเมืองชนชั้นสามัญซึ่งส่วนใหญ่มาจากแถบชนบท เนื่องจากเป็นคนประเภทที่ทำงานหนักได้ การที่จะเข้าร่วมนั้นต้องมีจดหมายรับรองว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพล ในกรณีที่มีชื่อเสียงในทางที่แย่จะส่งผลต่อหน่วยที่จะได้เข้าร่วม นอกจากนั้นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ต้องเป็นผู้ชายที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และต้องเข้าประจำการอย่างต่ำ 25 ปี   ถ้าไม่ได้เป็นพลเมือง คนที่ไม่ใช่พลเมือง (มาจากอาณาเขตที่ถูกพิชิตโดยกองทัพโรมัน) จะได้เข้าร่วมกองทัพ Auxilia ซึ่งเป็นกองทัพเสริม ส่วนใหญ่จะเป็นพลทหารม้าและพลธนู กองทัพ Auxilia นั้นถือว่าเป็นกองทัพที่สำคัญในการรวบรวมอาณาเขตที่ถูกยึดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับคือเมื่อคนในครอบครัวมีลูกหลาน พวกเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลเมือง   ทำไมถึงต้องเข้าร่วม ในปัจจุบันนั้นก็มีเหตุผลต่างๆ มากมายในการเข้าร่วมกองทัพเหมือนกับสมัยก่อน มีรายได้ที่มันคง มีอาหารการกินที่ดี หลังจากที่ปลดประจำการก็จะได้ที่ดินที่สามารถใช้เพาะปลูกได้ และบางครั้งก็ได้รางวัลเป็นสมบัติที่ยึดมาได้จากสนามรบด้วยเช่นกัน   จะระบุตัวตนของทหารโรมันได้อย่างไร การแต่งกายของทหารโรมันจะเป็นเสื้อสีขาว มีเข็มขัดทหารที่ดูหรูหรา สวมใส่รองเท้าบูท มีผ้าคลุมสำหรับป้องกันสภาพอากาศที่ไม่ดี และมีกางเกงที่ดูเหมือนกับผู้หญิงแต่ว่ามีความป่าเถื่อนในตัว   มีการฝึกอย่างไร…

  • อยู่กันมาตั้งหลายปี เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไม ‘คริสต์มาส’ ถึงต้องฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม?

    อยู่กันมาตั้งหลายปี เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไม ‘คริสต์มาส’ ถึงต้องฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม?

    ถ้าหากมีคนถามว่าทำไมเราฉลองคริสต์มาสกันในวันที่ 25 ธันวาคม เชื่อว่าคนไทยกว่าครึ่งจะต้องตอบว่าเพราะเป็นวันประสูติของพระเยซูกันอย่างแน่นอน แต่เชื่อไหมล่ะว่าความเชื่อนี้ที่ว่าพระเยซูประสูติในวันนี้นั้น ไม่มีเขียนอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเลยแม้แต่น้อย     ถ้าอย่างนั้นมีหลักฐานอะไรมาบอกไหมล่ะว่าวันคริสต์มาสไม่ใช่วันประสูติพระเยซู สารานุกรมคาทอลิกระบุไว้ว่า “ไม่มีเดือนใดในปีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติ ไม่ได้ตั้งให้เป็นวันประสูติพระคริสต์” อีกสาเหตุหนึ่งที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้ประสูติในเดือนธันวาคมคือ คัมภีร์ไบเบิลบท ลูกา 2:8 ที่ว่าในระหว่างที่พระเยซูได้ประสูติ “ไม่ไกลจากที่นั่น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะตอนกลางคืน” ตามปกติแล้วจะไม่มีคนเลี้ยงแกะพาแกะออกมาในฤดูหนาว ลูกา 2:1-4 ยังบอกอีกว่า โยเซฟพามารีย์ไปจดทะเบียนที่เมืองเบธเลเฮมในตอนที่ออกัสตัสซีซาร์ออกคำสั่งให้ทุกคนทั่วอาณาจักรไปจดทะเบียนสำมะโนครัว และเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูประสูติ คำสั่งที่ว่าไม่ได้ออกมาในฤดูหนาว     ถ้าอย่างนั้นแล้ว ในวันที่ 25 ธันวาคม มีอะไรมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ในสมัยของศาสนาโบราณ วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองพระเสาร์และวันประสูติของ เทพแห่งดวงตะวัน Mithra เดิมทีแล้ววันเลี้ยงฉลองพระเสาร์จะเริ่มจากวันที่ 17 ธันวาคม แต่ก็มีการยืดงานไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ชาวโรมันโบราณเชื่อว่างานเลี้ยงฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพแห่งการเก็บเกี่ยวและการเลี้ยงสัตว์     ส่วน Mithra นั้นเชื่อกันโดยชาวโรมันโบราณว่าเขาประสูติในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์จากศาสนาโบราณจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม Mithras แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากทางเปอร์เซีย ในช่วง 6 ศตวรรษก่อนคริสตกาลนั่นเองภาษายุคเก่าเรียกท่านว่า Mitra และเพี้ยนเป็น Mithras ในภาษาโรมันในที่สุด ว่ากันว่าคนโรมันพบเรื่องของเทพองค์นี้ตอนบุกไปเปอร์เซีย ปีใหม่ของผู้นับถือ Mithras และวันประสูติของท่านจะถูกจัดในวันเดียวกันคือวันที่ 25…

  • ความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของ “Baiae” เมืองใต้น้ำยุคโรมันที่เคยมีอยู่จริงเมื่อ 1,700 ปีก่อน

    ความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของ “Baiae” เมืองใต้น้ำยุคโรมันที่เคยมีอยู่จริงเมื่อ 1,700 ปีก่อน

    Baiae คือชื่อเมืองโรมันที่มีอยู่มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 1 ตามประวัติศาสตร์แล้ว นี่คือเมืองที่ยิ่งใหญ่อลังการและมั่งคั่งไปด้วยเงินตรา เปรียบได้กับหมู่บ้านของเหล่าชนชั้นสูงในยุคนั้น ก่อนที่จะจมลงไปใต้ผิวน้ำเพราะการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งและการระเบิดของแผ่นดินไหว จนกระทั่งผ่านมาประมาณ 1,700 ปีนับจากวันที่เมืองนี้หายไป ตำนานของมันก็ได้กลับมาถูกเล่าขานอีกครั้ง หลังจากที่มีการค้นพบเมืองแห่งนี้จมอยู่ใต้น้ำใกล้กับชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศอิตาลี   . . .   ภาพของเมืองโบราณที่ได้รับการค้นพบนี้ถูกถ่ายโดยช่างภาพ Antonio Busiello ที่ได้ลงไปเก็บความสวยงามของมันพร้อมกับทีมนักประดาน้ำ พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่นี้เป็นกลุ่มแรกๆ ข้างใต้นั้นจะพบกับเส้นทางถนน กำแพง กระเบื้องเคลือบ หรือแม้แต่รูปปั้นแกะสลัก ที่สามารถรอดจากช่วงเวลาของการล่มสลายมาได้ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะพวกเขายังได้พบกับอาคารที่คาดว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนรวยในสมัยก่อน แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองนี้   ภาพแผนผังของเมืองที่เชื่อว่ามีอยู่ในยุคโรมัน   รูปปั้นจำนวนมากที่ยังคงรูปร่างเอาไว้ .   ซากของอาคารของคนร่ำรวยในสมัยก่อน   ในต้นปี 2017 นี้ โปรเจกต์ Rome’s Sunken Secrets ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อการเข้ามาสำรวจและเรียนรู้เมืองดังกล่าวที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นการเปิดหูเปิดตาและเป็นที่สนใจของนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทั่วโลก ศาสตราจารย์ Kevin Dicus ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า มีการค้นพบสิ่งที่เหมือนกับท่อน้ำที่สลักคำว่า L’Pisonis แสดงให้เห็นว่าอาคารที่ใช้ท่อน้ำดังกล่าวเป็นบ้านของครอบครัวตระกูล Piso นั่นหมายความว่านี่เป็นบ้านของ…

  • รู้หรือไม่!? ในยุคโรมัน ‘เกลือ’ มีค่ามากกว่า ‘ทองคำ’ ซะอีก แถมยังใช้จ่ายกันแทนเงินตราด้วยนะ!!

    รู้หรือไม่!? ในยุคโรมัน ‘เกลือ’ มีค่ามากกว่า ‘ทองคำ’ ซะอีก แถมยังใช้จ่ายกันแทนเงินตราด้วยนะ!!

    ก็อย่างที่รู้กันดีว่าในปัจจุบันนี้ ‘ทองคำ’ เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและร่ำรวย นอกจากจะเป็นเครื่องประดับที่มีความหรูหราเป็นเอกลักษณ์แล้วยังเป็นหลักประกันของแทบทุกสกุลเงินบนโลก แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ เครื่องปรุงรสราคาถูกหาซื้อที่ไหนก็ได้อย่าง ‘เกลือ’ นั้นเคยมีค่ามากกว่า ‘ทองคำ’ ซะอีก…     เกลือล้ำค่ายิ่งกว่าทองในยุคโรมัน… เราได้เล่าเรียนกันมาในตำราว่าสมัยโบราณกาลมีการใช้สิ่งต่างๆ ในการแลกเปลี่ยน อย่างเช่นเปลือกหอย พืชหายาก หรือแร่ แตกต่างกับปัจจุบันที่ใช้เงินกระดาษหรือเหรียญ ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่อาณาจักรโรมันรุ่งเรือง ‘เกลือ’ ถูกนำมาจับจ่ายใช้สอยแลกเปลี่ยนกับสิ่งของต่างๆ ราวกับว่าเป็นเงินตรากันเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะความหายากของมันจึงทำให้ต้องมีการขุดเหมืองลงไปเอาเกลือขึ้นมา อีกทั้งยังมีกระบวนการขนส่งที่ยุ่งยากที่ต้องทำกันในช่วงหน้าแล้งเท่านั้นเพราะความชื้นจะทำให้เกลือมีเชื้อรา แถมยังต้องคอยระวังเหล่าขโมยขโจรกันอีก นอกจากนี้เกลือยังเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคโบราณอีกมากมาย ทั้งถนอมอาหาร ปรุงรสอาหาร และทำยารักษาโรค จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้มีค่ามากมายขนาดนี้     เท่านั้นยังไม่พอ ‘เกลือ’ ยังถูกนำมาใช้เป็นสิ่งตอบแทนค่าแรงให้กับเหล่าทหาร เวลาที่พวกเขากลับมาจากการทำสงคราม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์จึงได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ว่ารากศัพท์ของคำว่า Salary (เงินเดือน, สินจ้าง) ก็น่าจะมาจากการจ่ายค่าแรงด้วยเกลือ (Salt) ของอาณาจักรโรมันนี่แหละ     ในอดีตที่ผ่านมาต้องขอบอกเลยว่า ‘เกลือ’ นั้นเป็นแร่ที่มีความสำคัญมากจริงๆ มันเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสงคราม อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอาณาจักรมากยิ่งกว่าทองคำ แต่ในปัจจุบันเราสามารถผลิตเกลือออกมาใช้งานกันได้อย่างแพร่หลายด้วยการทำนาเกลือ จึงทำให้การขุดเหมืองเกลือถูกยกเลิก และถูกทิ้งร้างไปมากมาย…

  • ค้นพบกระเบื้องโมเสกโรมันอายุ 1,600 ปี ที่น่าตื่นตามากที่สุดในรอบ 50 ปีของอังกฤษ

    ค้นพบกระเบื้องโมเสกโรมันอายุ 1,600 ปี ที่น่าตื่นตามากที่สุดในรอบ 50 ปีของอังกฤษ

    การค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในอดีตที่มีอายุเก่าแก่นานนับพันๆ ปี นอกจากจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าอัศจรรย์แล้ว ยังทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ล่าสุด มีการรายงานจากสำนักข่าวเดลีเมล์ ในวันที่ 2 กันยายน 2560 ว่า ทีมนักโบราณคดีสมัครเล่นและนักประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบกระเบื้องโมเสกสมัยโรมันในย่านบ็อกส์ฟอร์ด เวสต์เบิร์กเชอร์  ประเทศอังกฤษ งานนี้เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตาให้บรรดาผู้ค้นพบเป็นอย่างมาก     สำหรับกระเบื้องโมเสกที่ถูกพบนี้ มีความยาวมากถึง 6 เมตร และมีอายุมากถึง 1,600 ปี แถมยังเป็นกระเบื้องที่ยังดูสมบูรณ์และเต็มไปด้วยลวดลายของสัตว์ในตำนาน ทาง Antony Beeson ผู้เชี่ยวชาญด้านโมเสกได้ออกมาเผยว่า “การค้นพบกระเบื้องโมเสกในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของอังกฤษในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ “     ขณะที่ Duncan Coe หัวหน้าผู้รับเหมาของโครงการ Cotswolds Archeology ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมการขุดหากระเบื้องได้ออกมากล่าวว่า “กระเบื้องชิ้นนี้ถือว่าเป็นกระเบื้องที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาในประเทศนี้” อย่างไรก็ตาม งานศิลปะบนกระเบื้องได้ปรากฏก็ให้เห็นเป็นภาพของบิลเลโรฟอน วีรบุรุษผู้ขี่ม้าบินปราบอสูรคิเมร่า รวมถึงสัตว์อย่างสิงโต แพะ และมังกร ส่วนอีกภาพหนึ่งคาดว่าเป็นภาพของเฮอคิวลิสขณะกำลังต่อสู้อยู่กับเซ็นทอร์     ทั้งนี้ การขุดค้นกระเบื้องโมเสกในบ็อกส์ฟอร์ดครั้งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 3…

  • พบขวดไวน์ที่ ‘เก่าแก่’ ที่สุดในโลกในสุสานชาวโรมัน บ่มไว้นานจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยเปิด!?

    พบขวดไวน์ที่ ‘เก่าแก่’ ที่สุดในโลกในสุสานชาวโรมัน บ่มไว้นานจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยเปิด!?

    หลายคนอาจจะเคยได้ยินวลียอดฮิตออย่าง “ไวน์ ยิ่งบ่มนานยิ่งรสชาติดี” กันมาบ้างแน่ๆ และคอไวน์หลายๆ คนก็คงอยากจะสรรค์หาไวน์อายุเก่าแก่และรสชาติดีมาลิ้มลองกันบ้าง ถ้าอย่างนั้นขอเชิญพบกับไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกขวดนี้ได้เลย!! ไวน์ขวดที่ว่านี้ถูกค้นพบที่สุสานโรมันแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับเมือง Speyer ประเทศเยอรมนี ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ได้ทำให้มันกลายเป็นขวดไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปในทันที โดยชื่อเต็มๆ ของเจ้าไวน์ขวดนี้ก็คือ The Speyer Wine นั่นเอง   และนี่คือไวน์ขวดที่ว่านี้!! เป็นไงล่ะ เก่าได้ใจมั้ย!?   ขวดไวน์เก่าแก่นี้ถูกค้นพบเมื่อปี 1867 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการบรรจุไวน์ที่ผลิตในพื้นที่หมู่บ้านเก่าแก่ของเมือง Rhineland-Palatine ประเทศเยอรมนี โดยไวน์ที่ถูกบรรจุอยู่ภายในนั้น อาจจะมีการผลิตขึ้นเมื่อประมาณคริสต์ศักราชที่ 325 ถึง 359 และมันก็ถูกขุดพบระหว่างการสำรวจสุสานของชาวโรมันจากศตวรรษที่ 4     ลักษณะทั่วไปของขวดนั้นเป็นแก้วสีเขียวขุ่นขนาด 1.5 ลิตร คล้ายกับภาชนะโบราณ และนอกจากนี้ยังมีหูจับเล็กๆ รูปโลมาอยู่ตรงบริเวณคอขวด มีการคาดการณ์กันว่าปริมาณของแอลกอฮอลที่อยู่ภายในขวดนั้นอาจจะลดลง แต่อย่างไรก็ตามส่วนผสมหลักของมันก็ยังคงเรียกว่าไวน์อยู่ดี     ถึงแม้จะมีความพยายามศึกษาถึงรายละเอียดของแก้วและส่วนผสมของไวน์ในขวด แต่ก็ไวน์ขวดดังกล่าวก็ยังไม่ถูกเปิดออกเพราะเกรงว่าสิ่งแวดล้อมภายนอก อาจจะทำให้ส่วนผสมและไวน์ที่อยู่ภายในเสียหายได้ และตอนนี้มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีด้วยการปิดผนึกปากขวดด้วยขี้ผึ้งและน้ำมันมะกอกไว้ในพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของเมือง Speyer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   อยากรู้เหลือเกินว่าตอนเปิดขวดครั้งแรก กลิ่นจะเป็นยังไงหว่า?   ที่มา abandonedspaces

  • นักวิทย์ค้นพบสาเหตุที่ “คอนกรีตโรมัน” ยังแข็งแกร่งอยู่ได้นับพันปี แม้จะอยู่ริมทะเลก็ตาม!!

    นักวิทย์ค้นพบสาเหตุที่ “คอนกรีตโรมัน” ยังแข็งแกร่งอยู่ได้นับพันปี แม้จะอยู่ริมทะเลก็ตาม!!

    นับว่าเป็นปริศนามานานนับหลายพันปี กับการพยายามตามหาคำตอบที่ว่า… ทำไมเสาคอนกรีตของโรมันยุคโบราณ ถึงมีความแข็งแกร่งมานานนับ 2,000 ปี แม้ว่าจะโดนน้ำทะเลกัดเซาะทุกวันก็ตาม และล่าสุดทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ก็ได้ค้นพบคำตอบของปัญหาดังกล่าวแล้วว่า ทำไมเสาคอนกรีตโรถึงมีความแข็งแรงมากขึ้นตามอายุขัยของมัน..!?     โดยทีมวิจัยได้เดินทางรวบรวมตัวอย่างจากทั้งวิหารพาร์เธนอนและวิหารต่างๆ จากนั้นนำไปศึกษาค่าแร่ธาตุที่ประกอบอยู่ในเสาผ่านการฉายแสงเอ็กซ์เรย์   ทีมวิจัยผู้ค้นพบคำตอบของปริศนา 2,000 ปี   ทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกาได้ค้นพบว่า เสาโรมันยุคโบราณที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเถ้าภูเขาไฟและหินปูนนั้น สามารถที่จะดูดซับเกลือแร่จากน้ำเค็มของทะเลได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ และส่งผลให้เสาคอนกรีตโบราณมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น วิศวกรจากยุคโรมันได้คิดค้นวิธีการสร้างเสาชนิดนี้ ด้วยการผสมเถ้าภูเขาไฟ หินปูนและน้ำทะเลเพื่อสร้างเป็นปูนขาว จากนั้นผสมตามด้วยหินภูเขาไฟก่อนจะนำมาสร้างเป็นเสาวิหารอีกทีหนึ่ง     นอกจากนั้นทีมนักวิจัยยังเชื่อว่า ภูมิปัญญาการสร้างเสาหินของชาวโรมันในยุคนั้นอาจเรียนรู้มาจากปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่เรียกว่า ‘Tuffs’ ซึ่งเป็นการกำเนิดหินภูเขาไฟตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการค้นพบหลักฐานที่บันทึกภูมิปัญญาดังกล่าวเป็นชิ้นเป็นอัน แต่จากการค้นพบครั้งนี้ก็ทำให้ทีมวิจัยได้กลับไปทดลองสร้างคอนกรีตโดยใช้วิธีการที่ค้นพบจากยุคโรมันอีกครั้ง     นักวิจัยเชื่อว่าถ้าหากเราสามารถนำวิทยาการจากยุคโบราณดังกล่าว มาประยุกต์ใช้กับโลกยุคปัจจุบันได้ ภูมิปัญญาจากโรมันชิ้นนี้อาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการก่อสร้างได้เลย “ในยุคโบราณชาวโรมันมักจะมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการใช้ประโยชน์จากหิน พวกเขาค้นพบว่าเถ้าภูเขาไฟสามารถนำมาสร้างเป็นหินที่ดูดซับเกลือแร่จากทะเลได้ดี ทว่าทรัพยากรหินชนิดนี้กลับมีน้อยมาก เราจึงจำเป็นที่จะต้องหาวัตถุดิบชิ้นอื่นแทน” ศาสตราจารย์ให้สัมภาษณ์   และล่าสุดงานวิจัยครั้งนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร American Mineralogist อีกด้วย…   อีกหน่อยถ้านำมาประยุกต์ใช้ได้จริง คงช่วยพัฒนาการก่อสร้างอาคารไปได้อีกขั้นเลยนะ ที่มา: Telegraph

  • หลักฐาน “อุ้งเท้าแมวโบราณ” บนกระเบื้องอายุ 2,000 ปี ชี้ชัดว่าแมวไม่เคยสนใจอะไรเลย!!

    หลักฐาน “อุ้งเท้าแมวโบราณ” บนกระเบื้องอายุ 2,000 ปี ชี้ชัดว่าแมวไม่เคยสนใจอะไรเลย!!

    แมวเป็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์มาอย่างช้านาน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแค่ไหนก็ตาม จนถึงปัจจุบันแมวเป็นสัตว์ที่พยายามครอบครองมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว และลักษณะนิสัยที่ยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันของแมวก็คือมันไม่เคยแคร์อะไรเลย!! หลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้ว่าแมวเป็นสัตว์ที่ไม่เคยแคร์อะไร มาจากนักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์ Gloucester City ได้ทำการตรวจสอบกระเบื้องหลังคาโบราณอายุประมาณ 2,000 ปีจากยุคโรมันในช่วง 100 ปีก่อนคริสตศักราช และก็พบว่ามีรอยอุ้งเท้าแมวโผล่ติดมาด้วย ก็เลยสันนิฐานเอาไว้ว่าลักษณะนิสัยของแมวตั้งแต่อดีตรุ่นยุคบรรพบุรุษเป็นยังไง ก็ยังคงสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ดี ฮ่าฮ่า ที่มา : twistedsifter