Tag: เจ็บป่วย

  • หนุ่มมีแฟนเป็น “โรคตื่นตระหนกและโรควิตกกังวล” จึงออกมาแชร์ 7 วิธีรับมือกับอาการ

    หนุ่มมีแฟนเป็น “โรคตื่นตระหนกและโรควิตกกังวล” จึงออกมาแชร์ 7 วิธีรับมือกับอาการ

    ต้องยอมรับว่าความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับมือกับผู้ที่มี อาการทางจิต ของคนทั่วๆ ไปยังถือว่าน้อย หากว่าไม่ได้เป็นผู้ที่รับการศึกษาด้านนี้หรือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับผู้ป่วยทางจิตมาก่อน ก็อาจรับมือได้ยากทีเดียว และวันนี้หนุ่มคนหนึ่งที่แฟนสาวของเขาเคยมีอาการของ โรคแพนิก และ โรควิตกกังวล ก็จะมาเขียนเล่าถึงวิธีการรับมือกับอาการตื่นตระหนกและวิตกกังวล ที่เขาได้เรียนรู้มาจากแฟนสาว     สถิติจาก Anxiety and Depression Association of America เผยว่าในชาวอเมริกันกลุ่มโรควิตกกังวล (รวมโรคแพนิกด้วย) นั่นเป็นความเจ็บป่วยทางจิตที่พบบ่อยที่สุด กระนั้นกลุ่มโรควิตกกังวลนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่รักษาได้ง่าย แต่ก็มีผู้ป่วยเพียง 36.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เข้ารับการรักษา แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคแพนิกและโรควิตกกังวล ลองไปอ่านที่หนุ่มคนดังกล่าวเขียนอธิบายเอาไว้กันเลยดีกว่า…     นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาการแพนิกจากแฟนของผม 1. พยายามอย่ากอดบ่อย มันใช้เวลานานมากนะกว่าแฟนผมจะรู้สึกดีขึ้นเวลาที่ถูกกอดให้ใจเย็นลง เพราะการกอดมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้หยุดตื่นตระหนก 2. เวลาที่พวกเขาไม่ตอบคุณไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจคุณนะ แต่บางครั้งเป็นเพราะพวกเขายังไม่พร้อมคุยเท่านั้นเอง อาการแพนิกบางทีก็มาตอนทะเลาะกันนั่นแหละ หลายครั้งผมก็ใช้วิธีการเงียบใส่และมันผิดพลาดมาก อันที่จริงถ้าคุณอยากคุยแต่เขายังไม่อยากคุย ก็แค่ลองใช้นิ้วสะกิดพวกเขาเบาๆ ดู 3. หายใจให้ดังๆ เข้าไว้ คุณเคยได้ยินไหมว่าหากเรากอดหรือคลอเคลียกับใคร เราจะหายใจพร้อมๆ กันโดยอัตโนมัติ หรือหากมีใครมาสูดหายใจลึกๆ ใกล้ๆ คุณมันก็จะทำให้คุณอยากหายใจตามจังหวะของคนๆ นั้น เช่นเดียวกันเลย เมื่อพวกเขาเกิดอาการแพนิกและหายใจแรงแบบควบคุมไม่ได้ ให้คุณหายใจดังๆ ช้าๆ…

  • วิธีแก้เมื่อพบเจอกับ 11 สถานการณ์อันตราย ต้องทำอย่างไรถึงเอาชีวิตรอดได้!!?

    วิธีแก้เมื่อพบเจอกับ 11 สถานการณ์อันตราย ต้องทำอย่างไรถึงเอาชีวิตรอดได้!!?

    ในชีวิตของคนเราอาจจะต้องพบเจอปัญหาต่างๆ ที่ทำให้เราต้องบาดเจ็บและเสี่ยงต่ออันตราย ซึ่งวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เสี่ยงอันตรายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากหากจำได้ แต่หลายๆ คนนั้นหลงลืมและมองข้ามไป วันนี้เราจึงขอเสนอ วิธีแก้ไขเมื่อพบกับ 11 สถานการณ์อันตราย เมื่อใดที่ร่างกายบาดเจ็บหรือเจออุปสรรคเราก็สามารถนำวิธีเหล่านี้มาใช้ได้ยังไงล่ะ   1. กระแสน้ำย้อนกลับ   เมื่อเราลงเล่นน้ำในทะเล ถึงแม้ว่าจะเป็นบริเวณชายหาด แต่มันก็อาจจะเกิดกระแสน้ำที่พัดตัวเราออกจากฝั่งได้ กระแสน้ำนี้เรียกว่า กระแสน้ำย้อนกลับ ซึ่งทำให้ผู้คนต้องจมน้ำกันมานักต่อนักแล้ว โดยปกติกระแสน้ำย้อนกลับจะเกิดขึ้นเป็นบริเวณแคบๆ ฉะนั้น หากพบเจอ ควรรีบว่ายไปยังกระแสน้ำนิ่งโดยการว่ายขนาบไปกับแนวชายหาด โดยพยายามอย่าว่ายสวนกระแสน้ำย้อนกลับมันทำให้เสียแรงเปล่า เมื่อว่ายออกจากจุดอันตรายได้แล้วจึงค่อยว่ายกลับขึ้นฝั่ง ที่มา: https://www.nytimes.com/2017/07/31/us/riptide-rip-current-drowning-safety.html   2. อาหารติดคอ   ปกติถ้าเพื่อนของเรามีอาการอาหารติดคอเราอาจจะเอามือตบหลัง แต่ที่จริงแล้วมันมีวิธีที่ดีและปลอดภัยกว่านั้น ลองวิธีนี้ดู ให้ไปยืนข้างหลังเพื่อนที่มีอาหารติดคอ โอบกอดจากด้านหลัง สองมือจับกันไว้ โดยที่มือข้างหนึ่งต้องยกนิ้วโป้งขึ้นมาดังภาพด้านล่างซ้าย ค่อยๆ กดลงพร้อมดึงขึ้นที่บริเวณหน้าท้องของเพื่อนอย่างรวดเร็ว ทำซ้ำๆ จนกว่าอาหารที่ติดคอจะหลุดออก   ที่มา: https://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-choking/basics/art-20056637   3. ถูกไฟช็อต   อย่างที่เราทราบกันดีว่าเมื่อเพื่อนถูกไฟฟ้าช็อต เราไม่ควรไปจับตัวหรือดึงเพื่อนออกมาด้วยมือเปล่า เพราะกระแสไฟฟ้าอาจทำอันตรายให้กับเราอีกทอดหนึ่งได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ให้รีบถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออก ใช้สิ่งของไม่นำไฟฟ้าผลักตัวเพื่อนที่ถูกไฟฟ้าช็อตออกห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้า (ใช้ไม้หรือพลาสติก เช่น…

  • 10 อาการเจ็บปวดที่หลายๆ ครั้งคุณอาจมองข้าม แต่ตอนนี้ควรหันมาสนใจมันได้แล้วนะ!!

    10 อาการเจ็บปวดที่หลายๆ ครั้งคุณอาจมองข้าม แต่ตอนนี้ควรหันมาสนใจมันได้แล้วนะ!!

    หากคุณเคยรู้สึกเจ็บปวดร่างกายส่วนไหนเป็นพิเศษ เช่นอยู่ๆ ก็ปวดหัว เจ็บหน้าอก หรือปวดหลัง บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดว่ามันเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรืออาจจะเกิดจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอในช่วงนั้นของเรา เดี๋ยวมันก็คงหายไปเอง ทว่าทางที่ดีแล้วถ้ามีอาการที่ว่ามานี้คุณควรจะไปตรวจร่างกายเสียหน่อยจะดีกว่านะ เพราะอาการเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจจะบ่งบอกได้ว่าร่างกายของคุณกำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่าซ่อนอยู่ก็ได้ ลองไปดูกันว่าอาการไหนที่บ่งบอกว่าคุณอาจจะป่วยได้บ้าง   1. ปวดหัวแบบเฉียบพลัน   ถ้าจู่ๆ คุณก็รู้สึกปวดหัวแบบรุนแรงจนแทบทนไม่ได้ มันอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดในสมองโป่งพอง ถ้าหากคุณเป็นโรคนี้แล้วปล่อยมันทิ้งไว้อาจจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกเลยก็ได้นะ   2. ปวดฟันเมื่อดื่มหรือกินของเย็น   หากคุณเกิดอาการนี้แสดงว่าผิวชั้นนอกของฟันคุณอาจจะถูกทำลาย ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกระทบโดยตรงเวลาคุณกินของเย็นหรือร้อนมากๆ นอกจากจะทำให้คุณปวดจี้ดแล้วคุณยังมีโอกาสติดเชื้อจากแบคทีเรียจนเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายด้วย ควรพบหมอฟันโดยด่วน   3. ปวดหรือชาบริเวณมือหรือแขน   เมื่อคุณรู้สึกเจ็บหรือชาฝ่ามือ ข้อมือ หรือนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลาง คุณอาจจะมีโอกาสเป็นโรคเส้นประสาทกดทับบริเวณข้อมือ และถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้มือของคุณใช้การไม่ได้ไปเลย   4. เจ็บหน้าอก   อาการเจ็บอกเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคหัวใจ มักจะเกิดจากการที่หัวใจมีออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าอาการเจ็บนี้ไล่ไปถึงไหล่ คอ หรือขากรรไกรก็ยิ่งชัดเจนว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง   5. ปวดบริเวณกลางหลัง   ถ้าคุณรู้สึกปวดหลังแล้วยังมีไข้หรือรู้สึกวิงเวียนศรีษะตามมาด้วย ก็แสดงว่าไตของคุณอาจจะติดเชื้อ…

  • 8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ความเครียด’ กำลังเล่นงานคุณเข้าให้แล้วมาลองชมวิธีการแก้กัน

    8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ความเครียด’ กำลังเล่นงานคุณเข้าให้แล้วมาลองชมวิธีการแก้กัน

    คนเราตามธรรมชาติก็จะมีหลากหลายอารมณ์ทั้ง ดีใจ เศร้า ตื้นตันใจ แต่รู้ไหมว่ามีอยู่อารมณ์หนึ่งที่อาจทำร้ายสุขภาพของเราให้ล้มหมอนนอนเสื่อเอาได้ง่ายๆ อารมณ์นั้นก็คืออารมณ์เครียดนั่นเอง ความเครียดเกิดจากการที่เราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานซึ่งความวิตกกังวลนี้อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นตามร่างกายและพาไปสู่ความเจ็บป่วยในที่สุด มาลองดูกันดีกว่าว่าอาการจากความเครียดจะเป็นอย่างไรและมีทางแก้อย่างไรบ้าง   เริ่มมีตุ่มต่างๆ หรือลมพิษขึ้นตามร่างกาย   หากคุณพบตุ่มแดงๆ ขึ้นตามร่างกายนั่นหมายความว่าโรคเครียดกำลังจะเล่นงานคุณแล้วเพราะว่าโลกเครียดจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงทำให้มีจุดแดงๆ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดลมพิษขึ้นอีกทั้งยังทำให้ผิวระคายเคืองต่อสิ่งที่ไม่เคยแพ้มาก่อนอย่าง สบู่ อากาศหนาว โลชั่น หรือผงซักฟอก วิธีการแก้: นำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นหมาดๆ ประคบไว้ในที่ที่มีตุ่มขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรกินยาแก้แพ้   น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ   ความเครียดจะไปกระตุ้นการปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งฮอร์โมนที่ว่านี้จะไปบั่นทอนความสามารถของร่างกายในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและเปลี่ยนแปลงวิธีการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตนั่นจึงให้น้ำหนักเกิดโยโย่นั่นเอง วิธีการแก้: พยายามกินถั่วให้มากขึ้นเพราะว่า โปรตีนจากถั่วสามารถช่วยได้หากคุณกินอาหารน้อยเกินไปและยังมีไฟเบอร์ที่สามารถช่วยได้หากคุณไม่มีเวลาว่างสำหรับกินอาหารมื้อใหญ่   คุณมักจะปวดหัวบ่อยๆ   หากคุณไม่เคยทรมานจากการปวดหัวมาก่อน แต่อยู่ๆ คุณก็รู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดนั่นหมายความว่าความเครียดกำลังจะเล่นงานคุณแล้ว โดยความเครียดจะไปปลดปล่อยสารเคมีบางอย่างในสมองซึ่งสารชนิดนั้นอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของเส้นประสาทแหละเส้นเลือดในสมองจะในที่สุดอาจจะทำให้เกิดโรค “ไมเกรน” ได้ วิธีการแก้: หากไม่ต้องการกินยาแก้ปวดลองทาน้ำมันลาเวนเดอร์หรือน้ำมันเปปเปอร์มินต์บริเวณขมับเมื่อเริ่มปวดหัว   คุณมักจะปวดท้องบ่อยๆ   ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้มากกว่าหนึ่งโรค โดยมันสามารถทำให้ร่างกายผลิตกรดย่อยอาหารมากขึ้นนำไปสู่อาการเสียดท้อง อีกทั้งความเครียดสามารถชะลอการย่อยอาหารที่กระเพาะอาหารซึ่งเป็นสาเหตุของก๊าซและท้องอืดและทำให้เกิดการเกร็งตัวที่ลำไส้ใหญ่ได่อีกด้วย วิธีการแก้: ใช้ยาแก้ท้องเฟ้อหรืออาจจะลองดื่มน้ำขิงก็สามารถช่วยได้  …

  • ช่างภาพสาวสร้างผลงาน เพื่อบอกเล่าความรู้สึก หลังหายป่วยจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ…

    ช่างภาพสาวสร้างผลงาน เพื่อบอกเล่าความรู้สึก หลังหายป่วยจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ…

    การเจ็บป่วยหรือเข้ารับการรักษาครั้งใหญ่ คงจะเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนสำหรับบางคนอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากใครที่ยังไม่เคยป่วยหนักแล้วอยากจะรู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร ลองไปชมผลงานของช่างภาพสาวคนนี้ได้เลย…     ในเดือนตุลาคมปี 2015 ช่างภาพหญิง Savannah Kate Morgan พบว่าตัวเธอเองนั้นป่วยด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากการที่เข้าไปถ่ายภาพในบึงแห่งหนึ่งในรัฐ Louisiana เธอถูกยุงกัดมากถึง 200 แผลและหลังจากนั้นจึงเริ่มมีอาการและต้องเข้ารับการรักษาอยู่นานถึง 2 เดือน     ถึงแม้ว่าจะหายป่วยและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แต่ประสบการณ์อันเลวร้ายเหล่านั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่ คุณ Savannah Kate Morgan ก็ได้ตัดสินใจที่จะทำชุดภาพถ่ายที่บอกเล่าถึงความเจ็บปวดของเธอที่ผ่านมา เพื่อเอาไว้สร้างกำลังใจให้กับตัวเอง และแบ่งปันให้กับผู้ป่วยคนอื่นที่มีอาการเหมือนกับเธอ เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้สร้างภาพถ่ายชุดนี้ขึ้นมาระหว่างที่ฉันป่วย แต่ฉันสร้างขึ้นมาจากความจำของฉันในช่วงที่พักรักษาตัว เพื่อเอาไว้เตือนใจตัวเองว่าฉันผ่านมันมาได้ไกลแค่ไหน ทุกๆ ครั้งที่ฉันมองย้อนกลับไปที่ภาพเหล่านั้นมันทำให้ฉันรู้สึกดีและมีกำลังใจมากขึ้น”   เราไปชมภาพผลงานของเธอกันเลย… (คำเตือน: ภาพบางภาพอาจดูรุนแรงและน่าหวาดเสียว)   ภาพนี้แทนความรู้สึกของเธอที่เหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นหมอนรองเข็ม ที่รองรับทุกความเจ็บปวด   ความเจ็บปวดที่ร่างกายเธอได้รับถูกถ่ายทอดออกมาด้วยภาพนี้ จากรอยถูกเข็มที่เจาะเข้าร่างกายนับครั้งไม่ถ้วน   เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเหลือแต่กระดูก ที่ไม่สามารถทานอะไรได้ แม้แต่จะพยุงตัวเองขึ้นมาก็ยังลำบาก   คุณ ​Savannah บอกว่าภาพนี้แทนความรู้สึกในตอนที่เธอพยายามทำร้ายตัวเองจากภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล   อาการอยากทำร้ายตัวเองของเธอเริ่มดีขึ้นหลังจากได้เรียนเกี่ยวกับ “The…

  • หนุ่มน้อยป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง แม่พาไปหาหมอได้คำตอบว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่เธอเลือกที่จะไม่เชื่อ!?

    หนุ่มน้อยป่วยโรคภูมิแพ้ผิวหนัง แม่พาไปหาหมอได้คำตอบว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่เธอเลือกที่จะไม่เชื่อ!?

    ‘การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ คำกล่าวที่ใครหลายๆ คนเคยได้ยินมาจนติดหู ซึ่งมันก็เป็นความจริง เพราะการป่วยเป็นโรคนั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับมนุษย์เราเป็นอย่างมาก แถมยังต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลแบบสุดแพงอีก เช่นเดียวกับเจ้าหนูน้อย Tyler วัย 6 ขวบที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เจ้าหนูน้อยนี้ต้องทนกับความเจ็บปวดระคายเคืองผิวหนังตลอดเวลาจากผื่นร้ายที่ขึ้นอยู่เต็มตัว   คุณแม่ของ Tyler ได้พาไปหาหมอ แต่คุณหมอที่แรกกลับบอกว่าอาการของเจ้าหนูน้อยคนนี้ก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไปนะ…   แต่คุณแม่ของเจ้าหนูเลือกที่จะไม่เชื่อคุณหมอ เพราะเธอสงสารลูกชายมากเพราะเขาต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา เธอก็เลยศึกษาหาข้อมูลต่างๆ เผื่อจะช่วยลูกของเธอได้ จนมาพบกับคุณหมอ Richard Aron ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนังอักเสบ   คุณแม่ของ Tyler ได้ทำการติดต่อเขาไปและเล่าเรื่องราวของลูกชายให้ฟัง ทางด้านคุณหมอ Aron พอได้ทราบข่าวก็รีบติดต่อกลับมาทันที โดยขั้นแรกนั้นเขาแนะนำให้ทาด้วยยาทา  Corticosteroids และยาปฏิชีวนะ   ซึ่งเธอก็ตัดสินใจที่จะลองทำตามที่คุณหมอ Aron บอก พอผ่านไปประมาณ 1 เดือน ปรากฏว่ามันได้ผล!! ผิวหนังที่อักเสบของเจ้าหนู Tyler ค่อยๆ หายไป และก็ทำให้เจ้าหนูน้อยร่าเริงสุดๆ   ตอนนี้เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้แล้ว โดยเจ้าหนู Tyler นี้ชอบการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ และเขาหวังไว้ว่าเขาจะทำการเต้นเพื่อหาเงิน และจะแบ่งส่วนที่ได้มาครึ่งหนึ่ง ให้กับมูลนิธิเกี่ยวกับโรคผิวหนังอักเสบในเด็ก   และคุณแม่ของเขาก็หวังไว้เช่นเดียวกัน…