Tag: สวิตเซอร์แลนด์

  • ชีวิตในวันสุดท้ายของนักวิทย์ 104 ปี ไม่ลังเล ไม่มีมื้อสุดท้าย ขอเพลงบีโธเฟ่นบรรเลงปิดฉาก…

    ชีวิตในวันสุดท้ายของนักวิทย์ 104 ปี ไม่ลังเล ไม่มีมื้อสุดท้าย ขอเพลงบีโธเฟ่นบรรเลงปิดฉาก…

    ‘ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือก’ หนึ่งในประโยคที่ใช้กับการเลือกที่จะใช้ เลือกที่จะซื้อ หรือเลือกที่จะกระทำบางสิ่ง และสำหรับนักวิทยาศาสตร์วัย 104 ปี David Goodall เขารู้สึกว่าใช้ชีวิตมามากเกินพอแล้ว และเขาก็เลือกที่จะตาย (ข่าวเก่า)     จากที่ทางแคมดัมบ์ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์ David Goodall ได้เดินทางมาถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2018 ตามเวลาท้องถิ่นสวิตเซอร์แลนด์ 10.00 น. หรือ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย คือเวลาที่เขาจะดับนาฬิกาชีวิตของตัวเองลง ศาสตราจารย์แถลงต่อหน้าสื่อต่างๆ ไว้ว่า ในวาระก่อนจะยุติชีวิตนี้ จะไม่มีอาหารมื้อสุดท้าย ไม่มีความลังเลใดๆ และขอเพียงบรรเลงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟนเป็นการปิดฉากชีวิต     ก่อนหน้านั้นศาสตราจารย์ Goodall ได้ออกมาเยี่ยมชมสวนพฤกษศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบาเซิล พร้อมกับลูกหลานที่เดินทางติดตามมาด้วย เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในวาระสุดท้ายของชีวิต   .   Daniel Goodall วัย 30 ปีกล่าวกับสื่อว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ได้มาร่วมอยู่ตรงนี้…

  • สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่แบนการต้ม “ล็อบสเตอร์” ทั้งเป็น

    สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่แบนการต้ม “ล็อบสเตอร์” ทั้งเป็น

    สัตว์ทั้งหลายถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถคิดได้ และรู้สึกเป็น มันสามารถรู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่มนุษย์เรารู้สึกได้ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ที่ถูกเลี้ยงหรือถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจที่จะเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายแบนการต้มล็อบสเตอร์และสัตว์น้ำอื่นๆ ในตระกูลเดียวกันแบบเป็นๆ เจ้าหน้าที่รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์เชื่อว่าล็อบสเตอร์มันก็มีความเจ็บปวดและนั่นหมายความว่าวิธีการประกอบอาหารดั้งเดิมที่ต้มล็อบสเตอร์เป็นๆ มันโหดร้ายมาก     กฎหมายฉบับใหม่นี้จะทำให้ร้านอาหารและพ่อครัวทั้งหลายต้องหาวิธีประกอบอาหารที่เกี่ยวกับล็อบสเตอร์และสัตว์ตระกูลเดียวกันใหม่ โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลแนะนำเป็นการช็อตไฟฟ้า เพื่อทำให้มันสลบไปก่อนไปเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร George Eustice รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการประมงของสหราชอาณาจักร ได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายที่คล้ายๆ กันนี้ในสหราชอาณาจักร โดยที่เขาบอกว่าพวกสัตว์ตระกูลล็อบสเตอร์มันก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน “เรารู้ว่าพวกสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งจำพวกล็อบสเตอร์ กุ้ง ปู มันสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือนกับที่เรารู้สึก และนี่คือสิ่งที่เราควรจะพิจารณา องค์กรพิทักษ์สัตว์ได้แนะนำการฆ่าล็อบสเตอร์แบบที่ถูกต้องคือค่อยๆ แช่แข็งมัน ทำให้มันค่อยๆ หมดสติไป หรือใช้อุปกรณ์ช็อตด้วยไฟฟ้าทำให้มันสลบไปก็ได้” “ผมใช้เวลาไปหลายชั่วโมงเพื่อหารือกันกับเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญของเรา พวกเราอยากจะแก้ไขปัญหานี้ แต่ว่ามันค่อนข้างซับซ้อน” Eustice กล่าว และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับกฎหมายยกเลิกการต้มล็อบสเตอร์ทั้งเป็น ก็มีชาวเน็ตมากมายออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างล้นหลาม เราจะยกตัวอย่างมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร   “สวิตเซอร์แลนด์ได้แบนการต้นล็อบสเตอร์ทั้งเป็น แต่ดูเหมือนว่าอเมริกาจะยังไม่ก้าวหน้าในการหยุดยั้งการทารุณสัตว์เลยนะ ป่าเถื่อนจริงๆ”   “ล็อบสเตอร์ก็ต้องการมีชีวิตเหมือนกันนะ”   และหากเพื่อนสนใจที่จะสนับสนุนกฎหมายนี้ ตอนนี้ก็ได้มีแคมเปญหาคนลงชื่อร่วมสนับสนุนการปกป้องพวกสัตว์ตระกูลล็อบสเตอร์จากการถูกต้มทั้งเป็นใน Change.org เพื่อนๆ ที่สนใจก็สามารถไปลงชื่อสนับสนุนกันได้นะครับ   ที่มา Unilad

  • รู้จักกับเส้นทางรถไฟที่ชันที่สุดบนทิวเขา Swiss Alps แถมด้วยดีไซน์อันเก๋ไก๋ของห้องโดยสาร

    รู้จักกับเส้นทางรถไฟที่ชันที่สุดบนทิวเขา Swiss Alps แถมด้วยดีไซน์อันเก๋ไก๋ของห้องโดยสาร

    หลังจากที่ใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างนานกว่า 14 ปี ในที่สุดเส้นทางรถไฟขึ้นลงหน้าผาที่ชันที่สุดในโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้มีการประกาศใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เส้นทางรถไฟที่ชันที่สุดในโลกแห่งนี้ใช้ชื่อว่า StoosBahn มันทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านในเมือง Schwyz และหมู่บ้าน Alpine บนยอดเขาที่รถไม่สามารถขึ้นไปได้     จุดที่ชันที่สุดของรถไฟสายนี้มีความชันที่ทำมุมมากกว่า 47.73 องศาเลยทีเดียว โดยงบประมาณในการก่อสร้างทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 53 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,735 ล้านบาทเลยทีเดียว ความยาวของทางรถไฟสายนี้อยู่ที่ประมาณ 1.7 กิโลเมตรและส่วนที่สูงที่สุดนั้นอยู่ที่ 744 เมตร โดยจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 นาทีด้วยกัน     รถไฟที่ทำการวิ่งในลางนี้มีด้วยกันทั้งหมด 3 ขบวน ซึ่งแต่ละขวนจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 ตู้โดยสาร และแต่ละตู้สามารถจุผู้โดยสารได้ 34 คน ในระหว่างการเดินทางนั้น ขบวนรถจะวิ่งในแนวราบและจะมีการปรับกระบอกสูบให้เหมาะกับความลาดชันอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณจะไม่รู้สึกหวาดเสียวเลยถึงแม้ว่ากำลังวิ่งขึ้นหน้าผาที่มีความชันมากๆ ก็ตาม   .   ตู้โดยสารแต่ละตู้ที่สามารถจุผู้โดยสารได้มากถึง 34 คน   ภาพในระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟที่ชันที่สุดในโลก   สัมผัสประสบการณ์จากรถไฟที่ชันที่สุดในโลกได้ที่คลิปวิดีโอด้านล่างนี้เลย…   ที่มา twistedsifter

  • รูปปั้น “Kindlifresser” สัญลักษณ์คนกินเด็กสุดหลอนในสวิสเซอร์แลนด์ ราวกับไททันมีอยู่จริง..!!

    รูปปั้น “Kindlifresser” สัญลักษณ์คนกินเด็กสุดหลอนในสวิสเซอร์แลนด์ ราวกับไททันมีอยู่จริง..!!

    คราวนี้เราจะขอบินลัดฟ้าพากัญชี้ (ห้ามผวนนะ!!) ไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งมีเรื่องราวของตำนานยักษ์กินเด็ก ‘Kindlifresser’ (Children Eater) สุดหลอนราวกับว่ายักษ์กินคนนั้นมีอยู่จริง รูปปั้น ‘คนกินเด็ก’ ดังกล่าว นับว่าเป็นหนึ่งในประติมากรรมที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดแห่งสวิตเซอร์แลนด์ เพราะมันถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 1546 แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ว่า.. เรื่องราวที่แท้จริงของรูปปั้นตนนี้คืออะไรกันแน่!?   รูปปั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง Bern และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ความหลอนแบบยุคกลาง ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ตลอด   ถึงเราจะไม่ทราบตำนานที่แท้จริง แต่ก็มีทฤษฏีสมคบคิด 4 ข้อหลักๆ ดังนี้… ทฤษฏีแรกและดูเป็นทฤษฏีที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุด ได้ให้เหตุผลว่า รูปปั้นดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเพื่อข่มขวัญชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมือง และสังเกตได้จากหมวกของรูปปั้น ที่เดิมทีเป็นรูปทรงหมวกที่ชาวยิวนิยมใส่กันในยุคนั้น     ทฤษฎีที่สองที่ดูเหมือนจะออกทะเลอยู่หน่อยๆ ได้อธิบายไว้ว่า ยักษ์กินเด็กที่ปรากฎอยู่เป็นภาพตัวแทนของยักษ์ ‘Kronos’ ตามตำนานกรีก ซึ่ง Kronos ก็เป็นยักษ์ที่ชอบกินเด็กเป็นชีวิตจิตใจนั่นแหละ ทฤษฎีที่สามดูมีความน่าเชื่อถือขึ้นมาหน่อย เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่ประจำเมืองเล่าต่อกันมาว่า รูปปั้นดังกล่าวเป็นภาพของ Duke Berchtold หนึ่งในผู้ก่อตั้งเมือง Bern ทว่าด้วยความที่ถูกเมินเฉยจากพี่ชาย ทำให้จู่ๆ เขาก็กลายเป็นบ้าและเริ่มจับเด็กในเมืองมากิน    …

  • รู้จักกับ “Europabruecke” สะพานข้ามภูเขาที่ยาวที่สุดในโลก พี่ว่าน่าสนใจมั้ย!?

    รู้จักกับ “Europabruecke” สะพานข้ามภูเขาที่ยาวที่สุดในโลก พี่ว่าน่าสนใจมั้ย!?

    สะพาน สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์เราสร้างขึ้นเพื่อจะเดินข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง โดยในปัจจุบันที่น่าจะเห็นได้บ่อยก็คงเป็นสะพานลอยไว้ข้ามถนน หรือสะพานที่เอาไว้ใช้ข้ามแม่น้ำกว้างๆ แต่ถ้าเป็นสะพานที่ให้คนเดินข้ามภูเขาที่ความพิเศษของมันก็คือ “ยาวที่สุดในโลก” ก็ต้องเป็นเจ้านี่เลย     มาพบกับ The Europabruecke สะพานแขวนที่ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง เป็นการสร้างแทนที่สะพานเก่าที่ได้รับความเสียหายจากดินถล่ม มันมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 493 เมตร และจุดที่สูงที่สุดอยู่สูงราวๆ 84 เมตรข้างใต้คือหุบเขา Grabengufer ซึ่งเป็นบริเวณตีนดอยของภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีความสูงกว่า 4,500 เมตรเลยทีเดียว     สะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางในการปีนเขาข้ามจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง และนอกจากนั้นสามารถทำให้ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาในตำนานอย่าง Matterhorn   . . .   หากใครที่กลัวความสูงก็คงจะแอบหวาดเสียวไปบ้าง แต่ก็เห็นได้เลยว่ามันสวยงามปนความท้าทายอย่างมากจริงๆ   ที่มา: designyoutrust

  • ชาวเน็ตถึงกับอึ้ง กับปรากฏการณ์เปลือกหัวหอมที่สวิตเซอร์แลนด์ ขายแพงกว่าหัวหอมทั้งลูก!!?

    ชาวเน็ตถึงกับอึ้ง กับปรากฏการณ์เปลือกหัวหอมที่สวิตเซอร์แลนด์ ขายแพงกว่าหัวหอมทั้งลูก!!?

    สำหรับชาวตะวันตกเทศกาล ‘อีสเตอร์’ ประจำปีนี้ก็ใกล้จะมาถึงในไม่ช้า แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับช่วงเทศกาลนี้ก็คือวัตถุดิบในการสร้าง ‘ไข่อีสเตอร์’ ฃที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเพณีดั้งเดิมของพวกเขาจะมีการนำเปลือกหัวหอมมาทำเป็นไข่อีสเตอร์ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเปลือกหัวหอม ถึงขายได้ราคาดีกว่าหัวหอมซะอีก!!   ภาพถุงเปลือกหัวหอมวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตราคา 2.80 ฟรังก์สวิส ต่อ 85 กรัม (ประมาณเกือบ 100บาท)   ทางเว็บไซต์ OddityCentral ก็ได้ลงไปสำรวจท้องตลาด และพบว่าในช่วงก่อนเทศกาลอีสเตอร์ เปลือกหัวหอมเป็นสินค้าที่ขายดีมากๆ โดยเปลือกหัวหอมจะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการทำไข่อีสเตอร์นั่นเอง ทางด้านผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของสวิตเซอร์แลนด์ให้สัมภาษณ์ว่า ‘เมื่อเทศกาลอีสเตอร์ใกล้มาถึง แพ็คเกจเปลือกหัวหอมก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะที่นี่การทำไข่อีสเตอร์แบบดั้งเดิมด้วยการใช้เปลือกหัวหอมยังเป็นที่นิยมอยู่ บางบ้านอาจจะมีการเก็บสะสมเปลือกหัวหอมไว้ตลอดทั้งปี ทว่าในยุคสมัยใหม่ผู้คนเลือกที่จะซื้อแบบแพ็คเกจสำเร็จรูปมากกว่า ซึ่งในช่วงเทศกาลทำให้ราคาของมันสูงกว่าหัวหอมจริงๆ ซะอีก’     หลายคนอาจสงสัยว่า ก็ในเมื่อราคาหอมถูกกว่าทำไมไม่ซื้อหอมทั้งลูกแล้วเอาไปแกะเปลือกด้วยตนเองล่ะ? ทีมนักเศรษฐศาสตร์จากสวิตเซอร์แลนด์ ก็ได้วิจัยเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน พวกเขาพบคำตอบที่ว่า ถึงแม้หัวหอมจะมีราคาต่อกิโลกรัมถูกกว่า แต่ชาวเมืองก็เลือกที่จะซื้อแบบเปลือกสำเร็จรูปมาให้ เพราะไม่ต้องเสียเวลามานั่งแกะเปลือก หรือล้างทำความสะอาดอีก   คัดเอาเฉพาะเปลือกแบบนี้แหละ   ใครกำลังมองหาช่องทางธุรกิจ ถ้าหาวิธีส่งออกเปลือกหัวหอมแบบนี้ได้ก็อาจเป็นช่องทางรวยได้เลยนะ ที่มา: OddityCentral

  • ชาวสวิสลงประชามติ ไม่รับแผนแจกเงินเดือนขั้นต่ำ 88,000 บาททุกเดือน หวั่นเกิดพิษเศรษฐกิจ

    ชาวสวิสลงประชามติ ไม่รับแผนแจกเงินเดือนขั้นต่ำ 88,000 บาททุกเดือน หวั่นเกิดพิษเศรษฐกิจ

    กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจเลยทีเดียวหลังจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีการเปิดให้ประชาชนลงประชามติรับแผนประกันเงินเดือนขึ้นต่ำ ซึ่งผลปรากฎว่าประชาชนร้อยละ 78 ไม่เห็นด้วยกับแผนประกันเงินเดือนขั้นต่ำนี้ โดยการลงประชามติดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อมีผู้เสนอต่อรัฐบาลว่า ควรมีการประกันเงินเดือนขั้นต่ำให้กับประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ (ง่ายๆ คือแจกเงินเดือนทุกเดือน) เนื่องจากทุกวันนี้มีการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติภายในโรงงานมากขึ้น ทำให้ตำแหน่งงานสำหรับคนจริงๆ มีน้อยลง     ซึ่งในแผนประกันเงินเดือนขั้นต่ำครั้งนี้ ยังไม่มีการระบุแน่ชัดว่ารัฐบาลต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่คาดการว่าอยู่ที่ประมาณ 2,500 ฟรังค์สวิส หรือราว 88,000 บาท แต่ผลสุดท้ายร่างก็ตกไป เนื่องผลประชามติออกมาไม่เห็นด้วย จริงๆ แล้วนโยบายนี้ไม่ได้รับการเสนอจากนักการเมืองหรือรัฐบาลแต่อย่างใด แต่การลงประชามติเกิดขึ้นเพราะมีคนรวบรวมรายชื่อได้ 100,000 รายตามที่กฎหมายได้ระบุไว้แล้วนำมายื่นแก่รัฐบาล ทำให้รัฐบาลต้องจัดการลงประชามติครั้งนี้ขึ้นมา     อย่างไรก็ตาม ไม่น่าแปลกใจที่คนสวิสส่วนมากไม่เห็นด้วยกับแผนประกันเงินเดือนขั้นต่ำนี้ เพราะดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศกรีซและเวเนซูเอล่าที่เคยมีนโยบายคล้ายๆ กัน ต่างต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักจนประเทศแทบล้มละลาย ชาวสวิสคงไม่อยากเจอเหตุการณ์เช่นนี้แน่ๆ!!!   ที่มา The Guardian

  • ห้ะ!?? สวิตเซอร์แลนด์พิจารณา ‘แจกเงินเดือนฟรี 85,000 บาท’ แก่ประชาชนทั้งประเทศ

    ห้ะ!?? สวิตเซอร์แลนด์พิจารณา ‘แจกเงินเดือนฟรี 85,000 บาท’ แก่ประชาชนทั้งประเทศ

    สำหรับช่วงก่อนเหมียวก็ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับเมืองหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนที่พิจารณาและวางแผนแจกเงินฟรีๆ ให้กับประชาชนในเมือง ลิ้งค์ข่าว และตอนนี้กระแสก็ได้ลามไปยังประเทศในยุโรปอื่นๆ แล้วล่ะ!!! เพราะตอนนี้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นักการเมืองหลายคนได้เรียกร้องต่อสภาสูง ว่าให้มีการโหวตในเรื่องการแจกจ่ายเงินต่อเดือนให้กับเหล่าประชากรประเทศ คนละ 2,500 CHF หรือราวๆ 85,000 บาท แถมเด็กๆ ก็จะได้ด้วยล่ะ จำนวน 625 CHF ราวๆ 20,000 บาท!!! สำหรับไอเดียนี้ก็เป็นความคิดของนักวิชาการของประเทศหลายๆ ท่าน และยังเล็งเห็นกันอีกด้วยว่าถึงประชาชนจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะยังออกมาทำงานอยู่ดี     นอกจากนี้ยังมีการสำรวจความคิดเห็นจากสถาบัน Demoscope แล้ว ในเรื่องที่ว่า ถ้าได้เงินให้เปล่าแล้ว พวกเขายังจะทำงานและหางานทำอยู่หรือไม่?? ประชาชนส่วนมากก็ตอบว่า ‘จะทำอยู่’ ซึ่งถ้าไอเดียนี้โหวตผ่ายสภาสูงล่ะก็ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นประเทศแรกในโลก ที่มีการจ่ายเงินเดือนฟรีๆ ให้กับประชาชน ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหรือไม่ทำก็ได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ในสภาก็ไม่สู้ดีนักเพราะว่ามีหลายฝ่ายเลยล่ะที่ไม่เห็นด้วย เพราะแต่ละปีประเทศจะต้องจ่ายเงินนี้ออกไปถึง 2 แสนล้านฟรังก์สวิสเลยล่ะ!!! (ไม่อยากจะคิดเป็นเงินไทยเลยจริงๆ -*-) ถ้าไอเดียนี้ผ่านล่ะก็ น่าสนใจจริงๆ เพราะประชาชนในประเทศอื่นๆ ก็อาจจะกดดันให้เกิดนโยบายอย่างนี้ในประเทศของตัวเองบ้างนะเนี่ย โดยเฉพาะเหล่าประเทศชีวิตดี๊ดีในยุโรปเนี่ย แต่บอกตรงๆ เลย สู้เงินผู้สูงอายุบ้านเราไม่ได้หรอก เช๊อะะะะ!!! ที่มา:…

  • ความลงตัวระหว่างเมืองกับธรรมชาติ อพาร์ทเม้นท์แห่งแรกในโลกที่ปลูกต้นไม้บนอาคาร!!

    ความลงตัวระหว่างเมืองกับธรรมชาติ อพาร์ทเม้นท์แห่งแรกในโลกที่ปลูกต้นไม้บนอาคาร!!

    ท่ามกลางความเจริญของถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นจากชุมชนเล็กๆ แบบหมู่บ้านตามชนบทเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นตัวเมืองที่ใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งที่หายไปนั่นก็คือธรรมชาติสีเขียวของต้นไม้ต่างๆ จะเห็นได้ว่าตามอาคารสูงๆ หรือตึกต่างๆ แทบจะไม่มีต้นไม้เลย       ด้วยเหุตนี้เอง สถาปนิกชาวอิตาลี Stefano Boeri จึงได้สร้างนวัตกรรมใหม่ของการออกแบบอาคารร่วมสมัยให้เข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ด้วยการสร้างอพาร์ทเม้นท์ที่มีความสูงถึง 117 เมตร ภายในเมือง Lausanne ประเทศ Switzerland     สำหรับอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ จะเป็นอพาร์ทเม้นท์แห่งแรกในโลกที่มีการปลูกต้นไม้จริงๆ อยู่บนอาคาร ส่งเสริมธรรมชาติท่ามกลางชีวิตแบบชาวเมือง ภายใต้ชื่อ La Tour des Cedres (The Tower of Cedars) โดยจะมีต้นไม้ทั้งหมดประมาณ 100 ต้น พุ่มไม้อีก 6,000 พุ่ม และพืชเล็กๆ อีก 18,000 ชนิด กระจายทั่วพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร     ทั้งนี้พืชสีเขียวทั้งหลายจะช่วยปกป้องอาคารจากลมแรง ฝุ่น และมลพิษทางเสียง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมุมมองสีเขียวภายในเมืองอีกด้วย…