Tag: พูดคุย

  • 8 เรื่องน่ารู้ ที่จะทำให้การสนทนาของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น ตามหลักจิตวิทยา

    8 เรื่องน่ารู้ ที่จะทำให้การสนทนาของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น ตามหลักจิตวิทยา

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาคนบางคนพูด เราถึงได้รู้สึกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นมันช่างน่าสนใจ หรือเวลาอาจารย์หยุดพูดเสียกลางคัน เสียงในห้องเรียนถึงได้เงียบลงอย่างไม่น่าเชื่อ… เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่อธิบายได้ในทางจิตวิทยา และบ่อยหลังที่การกระทำที่เราคิดว่าเราทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้นจะมาจากการใช้จิตวิทยาของอีกฝั่งก็เป็นไปได้ อะไรแบบ 8 จิตวิทยาต่อไปนี้ ที่จะทำให้คุณสามารถควบคุมการสนทนาได้ดีขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จในการสื่อสารมากกว่าที่เคยเป็นมาก็เป็นได้   เมื่อกลุ่มคนหัวเราะพร้อมๆ กัน พวกเขาจะมองไปที่คนที่พวกเขาสนิทที่สุด เคล็ดลับนี้สามารถทำให้คุณสังเกตความสัมพันธ์ในกลุ่มได้เป็นอย่างดี คุณจะสามารถบอกได้ว่าสมาชิกในทีมของคุณเชื่อมโยงกันแบบไหน ไม่แน่นะคุณอาจจะจับได้ว่าใครในกลุ่มแอบเดตกันอยู่ หรือใครแอบชอบใครได้เลยด้วย   การที่ใครทำอะไรให้คุณ มันจะทำให้เขาชอบคุณมากขึ้น ฟังดูแปลกใช่ไหมล่ะ แต่เวลาที่คุณสามารถโน้มน้าว (ไม่ใช่บังคับนะ) ให้ใครทำอะไรให้คุณได้ พวกเขาจะหาเหตุผลที่พวกเขาทำสิ่งที่คุณขอโดยไม่รู้ตัว อะไรอย่าง ฉันอยากช่วยเขานะ หรือ เขาดูเป็นคนดีคงไม่เป็นคนลืมบุญคุณหรอก ซึ่งนั่นจะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณในหัวพวกเขาดูดีขึ้นด้วยนั่นเอง สิ่งสำคัญคือเขาต้องทำมันด้วยความตั้งใจของตัวเอง ดังนั้นการโน้มน้าวที่ว่าจึงต้องไม่ใช่การขู่หรือบังคับเด็ดขาด   ความเงียบจะทำให้ได้คำตอบ เมื่อคุณถามคำถามกับคนอื่น และพวกเขาตอบช้ามากๆ แทนที่จะถามซ้ำๆ ลองเงียบดูสิ ช่วงเวลาแห่งความเงียบทำให้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาควรจะพูดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเขาถูกถามอะไรสักอย่างอยู่   การผายมือจะสร้างความเชื่อถือได้ เนื่องจากท่าทางการผายมือ แทนที่จะชี้บอกทิศทางด้วยนิ้ว บ่งบอกถึงความไว้วางใจ ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกำลังพูด และคิดว่าคุณเป็นมิตร ในทางกลับกันการชี้จะถูกเห็นว่าเป็นการก้าวร้าว และไม่สุภาพ   การพยักหน้าในระหว่างการพูดคุย จะทำให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับคุณมากขึ้น คนมักจะทำตามภาษากายของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึก ดังนั้นเมื่อคุณพยักหน้าศีรษะขณะที่คุณพูด คุณจะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง…

  • ชายผู้คุยกับคนแปลกหน้า หวังอยากให้พวกเขาลดความสนใจจากสื่อในสมาร์ตโฟนบ้าง

    ชายผู้คุยกับคนแปลกหน้า หวังอยากให้พวกเขาลดความสนใจจากสื่อในสมาร์ตโฟนบ้าง

    “มันเหมือนกับการสารภาพรักกับใครซักคนที่คุณแอบชอบ” นี่คือความรู้สึกของ Leung Cheuk-lam ชายหนุ่มชาวฮ่องกงวัย 27 ปี ที่ออกไปพูดคุยกับคนแปลกหน้าครั้งแรกในปีที่แล้ว การพูดคุยกับคนแปลกหน้าในทุกๆ วันนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ ChatToStranger ของ Leung การพูดคุยกับคนแปลกหน้าแบบตัวต่อตัวถือเป็นหนึ่งในไอเดียของโปรเจกต์นี้ ซึ่งชายหนุ่มบอกว่าการพูดคุยแบบนี้มักจะพบเห็นได้ยากในยุคที่การสื่อสารมีการพัฒนาไปมาก Leung ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้ามากกว่า 300 คน และเก็บข้อมูลของแต่ละคนไว้ในแฟนเพจของเขา ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คนแล้ว     “ผมได้ยินผู้คนมากมายพูดถึงความเฉยชาของชาวฮ่องกง และผมหวังว่าผมจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นได้” Leung ผู้กำกับอิสระและนักตัดต่อวิดีโอกล่าว การเริ่มต้นพูดคุยกับคนแปลกหน้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชายหนุ่ม เขาเริ่มกล่าวคำทักทายง่ายๆ อบ่าง “สวัสดี” ก่อนที่จะเริ่มบทสนทนา “มันเหมือนกับการพูดคุยกับผู้หญิงที่คุณชอบ และในขณะเดียวกันคุณก็กำลังกลัวเพราะคุณไม่รู้ว่าเธอจะคิดเหมือนคุณหรือเปล่า” Leung ให้สัมภาษณ์ จุดเริ่มต้นของการพูดคุยกับคนแปลกหน้าของชายหนุ่มเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขาเริ่มพูดคุบกับผู้โดยสารบนรถบัสระหว่างทางกลับบ้าน เนื่องจากเขาไม่อยากจะปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ และการได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าก็ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายอย่างมากขึ้น     แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นก็คือ ผู้คนส่วนมากมักจะจดจ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ของพวกเขา และมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมพูดคุยกับเขา ในมหานครอื่นๆ ที่คล้ายกับฮ่องกง Leung บอกว่าผู้คนส่วนมากมักจะใช้เวลาทำงานอย่างยาวนาน ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาเองแทบจะไม่มีแรงหรือเวลาในการพูดคุยเลย ซึ่งนั่นทำให้การเริ่มคุยกับคนแปลกหน้าในช่วง 2-3 นาทีแรกเป็นไปได้ค่อนข้างยาก     ถึงแม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง แต่ชายหนุ่มก็บอกว่ามันทำให้เขารู้สึกสนุก และมีความสุขที่ได้พูดคุยกับผู้คนมากมาย “หลังจากที่ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้ามาเป็นเวลากว่า 1…

  • Faye Roger หญิงสาวชาวนิวซีแลนด์ ที่สามารถสื่อสารและเข้าใจพวกสัตว์ได้

    Faye Roger หญิงสาวชาวนิวซีแลนด์ ที่สามารถสื่อสารและเข้าใจพวกสัตว์ได้

    คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะสื่อสารกับเหล่าสัตว์เลี้ยงของเราได้ เพราะนั่นหมายความว่าเราจะได้เข้าใจกันซักทีว่าจริงๆ แล้วพี่เหมียวที่บ้านนั้นเค้าต้องการอะไรกันแน่!? แน่นอนว่าถ้าหากมีใครบอกกับคุณว่าเขาสามารถสื่อสารกับพวกสัตว์ได้ล่ะก็ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ แต่… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกินไม่เคยเหลืออร่อยเหลือเฟือ แฮ่!! ใช่ที่ไหนล่ะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อหญิงสาวชาวนิวซีแลนด์ผู้นี้สามารถสื่อสารกับเหล่าสัตว์ต่างๆ ในฟาร์มของเธอได้จริงๆ พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจของคุณ Faye Roger หญิงสาวจากนิวซีแลนด์ที่มาทำให้เราเข้าใจว่าพวกสัตว์ต้องการอะไรกันแน่     “มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากที่คุณสามารถพูดคุยกับพวกสัตว์ได้ เพราะคุณจะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ กับพวกมัน พวกมันจะทำให้คุณเห็นมุมมองใหม่ของโลก” คุณ Faye Roger กล่าว หญิงสาวเจ้าของฟาร์มเล่าว่าเธอพูดคุยกับพวกสัตว์ของเธอในทุกๆ วัน ซึ่งหัวข้อในการสนทนาส่วนมากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวแปลกๆ ทั่วไป และจะแปลงเสียงของพวกมันเป็นภาษาอังกฤษ     ระหว่างการถ่ายทำเรื่องราวของเธอ คุณ Faye Roger ได้พาไปชมเหล่าสัตว์ในฟาร์มของเธอ และได้แนะนำให้รู้จักกับเจ้า Thistle เจ้าลาแสนรู้ที่เธอสามารถสื่อสารกับมันได้ คุณ Faye Roger ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเจ้าลาของเธอในขณะที่มันกำลังเดินอยู่ในสนามหญ้าว่า “ตอนนี้มันกำลังสับสน และไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี ถ้าหากว่าเราเปิดทีวีในตอนดึก มันจะเอาแต่พูดถึงรายการข่าวอาชญากรรม และรออยู่ด้านนอกหน้าต่างเพื่อดูรายการโปรดของมัน”     คุณ Faye Roger เล่าว่าเธอเรียนรู้การสื่อสารกับพวกสัตว์เหมือนเด็กๆ มันเหมือนกับว่าเธอได้รับข้อมูลต่างๆ มากมายจากพวกสัตว์ ไม่ว่าจะไปที่ไหนเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าพวกสัตว์กำลังพูดคุยกับเธออยู่ “เมื่อคุณออกมาด้านนอก พวกนกก็กำลังพูดกับคุณ…

  • ทฤษฎีแห่งการ ‘สบตา’ เผยถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมการสบตาในระหว่างสนทนาจึงเป็นเรื่องยาก

    ทฤษฎีแห่งการ ‘สบตา’ เผยถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมการสบตาในระหว่างสนทนาจึงเป็นเรื่องยาก

    หลายคนอาจเคยสงสัยว่าเวลาที่เราคุยกับคนอื่นทำไมเขาถึงไม่ชอบมองตาเราตรงๆ แต่เลือกที่จะมองไปทางอื่นตอนที่พูดกับเรา? คำถามนี้ได้มีคำตอบออกมาอธิบายให้เพื่อนๆ เข้าใจกันว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อนักวิทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยพวกเขาได้ทำ การทดสอบ กับอาสาสมัครจำนวน 26 คน แล้วให้เล่นเกมต่อคำศัพท์โดยขณะที่เล่นต้องมองหน้าของคนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ไปด้วย     ผลที่ได้คือการต้องนั่งสบตากับใบหน้าที่หันมามองเราทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบใช้เวลาในการคิดคำศัพท์นานกว่าการที่ไม่ต้องสบตา นั่นจึงแสดงให้เห็นว่าการมองตากันจะทำให้ยากต่อการคิดคำพูดของเรา โดยเฉพาะกับคำที่เราไม่คุ้นเคย นักวิจัยได้ออกมาบอกว่า “แม้กระบวนการการพูดและการสบตาจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่สบตาอีกฝ่ายขณะที่พูด และจากการทดสอบนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสองอย่างนั้นมีการรบกวนซึ่งกันและกันอยู่”     เมื่อปี 2016 เองก็ได้มี การวิจัยเกี่ยวกับการสบตา ของนักจิตวิทยาชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Giovani Caputo เมื่อเขาได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบสบตากับคนคนหนึ่งเป็นเวลานานถึง 10 นาที ผลที่ได้ก็คือผู้ทดสอบหลายๆ คนถึงกับเห็นภาพหลอนว่าใบหน้าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด เป็นคนรู้จัก หรือแม้แต่เห็นว่าเป็นใบหน้าของตัวเอง ผลลัพธ์ของงานวิจัยนั้นเรียกว่า Neural Adaption หมายถึงการที่สมองเกิดการตอบสนองที่เปลี่ยนไปแม้ว่าสิ่งเร้าตรงหน้าจะยังคงเดิม ยกตัวอย่างการวางมือเอาไว้บนโต๊ะ เราจะรู้สึกทันทีในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เราก็จะลืมความรู้สึกไปว่าเรากำลังเอามือวางไว้บนโต๊ะอยู่     Neural Adaption ก็อาจเป็นสิ่งที่อธิบายให้กับงานวิจัยในมหาวิทยาลัยเกียวโตครั้งนี้ได้ว่าเป็นการตอบสนองที่ผิดเพี้ยนไปของสมองมนุษย์ ถึงอย่างไรนักวิจัยชุดนี้ก็ตั้งใจว่าจะศึกษาเรื่องของการสบตาต่อไป โดยพวกเขาวางแผนเอาไว้ว่าครั้งต่อไปจะศึกษาในเรื่องของการใช้คำพูดและการใช้ภาษากายหรืออวัจนภาษา ว่าการสบตาทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันหรือเปล่า    …

  • งานวิจัยเผย ‘หมาน้อย’ เข้าใจเสียงพูดงุ้งงิ้งแบบที่พูดกับเด็ก มากกว่าเสียงพูดในโทนปกติ

    งานวิจัยเผย ‘หมาน้อย’ เข้าใจเสียงพูดงุ้งงิ้งแบบที่พูดกับเด็ก มากกว่าเสียงพูดในโทนปกติ

    หลายๆ ครั้งที่เวลาเราเล่นกับเหล่าหมาน้อยแล้วมักจะพูดกับมันไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกมันจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดไปหรือไม่ แต่จากงานวิจัยชิ้นใหม่ได้เผยว่าเหล่าหมาน้อยน่ารักนั้นจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่เด็กๆ พูดได้มากกว่าคำพูดของผู้ใหญ่อย่างเราๆ…   ผลการศึกษาวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์ Proceedings of Royal Society B ได้แสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการพูดในโทนเสียงต่างๆ กับเหล่ามะหมาที่มีอายุแตกต่างกันออกไป การศึกษาได้ดำเนินการโดยให้อาสาสมัครผู้หญิงหลายคนมาทำการอัดเสียงเป็นคำพูดไว้ว่า “สวัสดี, ว่าไงเจ้าหมาน้อย, ใครเป็นเด็กดีเอ่ย?, มานี่เร้ววว, เก่งมากกก, มานี่เร็วเด็กน้อยน่ารัก, เก่งมากเลยนะเนี่ยเจ้าหมา” กับรูปภาพหมาที่อยู่ในวัยเด็ก หมาวัยรุ่น และหมาแก่ และกับมนุษย์ด้วยกัน     ซึ่งโทนเสียงก็ได้มีการเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดคุยกับคนปกติ ส่วนกับเหล่ามะหมาในช่วงวัยที่แตกต่างกันเองก็จะมีความแตกต่างกันด้วยเช่นกัน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีค่าเฉลี่ยของระดับเสียงที่สูงขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ดังนี้ 13 % สำหรับภาพหมาแก่, 11 % สำหรับภาพหมาวัยรุ่น, และกระโดดขึ้นไปเป็น 21 % กับภาพหมาเด็ก จากนั้นทีมงานนักวิจัยก็จะนำเสียงเหล่านี้ไปเปิดผ่านเครื่องกระจายเสียงในสถานสงเคราะห์สัตว์ใน New York City ผลปรากฎว่าหลังจากเปิดเสียงไปแล้วลูกหมาเป็นจำนวนมากจะวิ่งตรงดิ่มาที่ลำโพงและนั่งอยู่แถวนั้นต่อเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง     และยิ่งไปกว่านั้นปฏิกิริยาตอบโต้ต่อเสียงที่บันทึกให้กับลูกหมา มีผลมากกว่าเสียงที่บันทึกให้กับคนด้วยกัน เพราะเหล่าลูกหมาจะนั่งอยู่บริเวณลำโพงนานกว่า     หมาวัยรุ่นนั้นจะมีปฏิกิริยาเหมือนกันกับเสียงบันทึกให้กับหมาวัยรุ่น และกับคน ก็คือถูกเมิน พวกมันจะหันมามองยังลำโพงจากนั้นก็กลับไปทำกิจกรรมที่มันกำลังทำอยู่ก่อนหน้านี้ต่อ…

  • ‘บิล เกตส์’ กล่าวชื่นชม ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะนำพาประเทศเป็นหนึ่งเดียว ด้วยการพัฒนานวัตกรรม

    ‘บิล เกตส์’ กล่าวชื่นชม ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะนำพาประเทศเป็นหนึ่งเดียว ด้วยการพัฒนานวัตกรรม

    หลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา เหล่าคนดังและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ต่างได้เข้าพบและพูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงแนวทางการบริหารประเทศในอนาคต และล่าสุดก็เป็นคิวของ บิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์     ล่าสุดทาง บิล เกตส์ ได้เปิดเผยกับทางสำนักข่าว CNBC ว่า เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และดูเหมือนว่าการสนทนาจะเป็นไปด้วยดีซะด้วย “ใช่ ผมมีโอกาสพูดคุยกับเกี่ยวกับนวัตกรรมต่างๆ เขาบอกว่ายังมีอีกหลายสิ่งในประเทศที่เขายังไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา โรคระบาด ปัญหาสุขภาพ แม้กระทั่งปัญหาโปลิโอ”     “และภายใต้การบริหารของเขา ผมเชื่อว่าเขาจะสามารถกำจัดอุปสรรคไปได้ และจะกลายเป็นผู้ที่นำชาติพัฒนาไปด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ” “ผู้คนในอนาคตจะพูดถึงเขาเหมือนกับที่เราพูดถึงประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่เป็นผู้ผลักดันความยิ่งใหญ่ทางด้านอวกาศของสหรัฐฯ” บิล เกตส์ กล่าว     บิล เกตส์ยังบอกอีกว่าหัวข้อหลักที่พวกเขาพูดคุยกันคือเรื่องราวของนวัตกรรมต่างๆ “แน่นอนสิ ตลอดชีวิตของผมก็เกี่ยวข้องเรื่องนี้เสมอ และดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเรื่องราวเหล่านี้ด้วยนะ ผมเชื่อว่าต้องการมีพูดคุยครั้งต่อไปในเร็วๆ นี้แน่”     ล่าสุด…

  • ความรัก 7 ปีพังไปเพราะ ‘นอกใจ’ มานั่งคุยกันอีกครั้ง ‘เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย!?’

    ความรัก 7 ปีพังไปเพราะ ‘นอกใจ’ มานั่งคุยกันอีกครั้ง ‘เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย!?’

    เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านนั้น #เหมียวเลเซอร์ ได้นำเสนอในเรื่องราวความรักอันยาวนานถึง 7 ปีของคู่รัก Andrew และ Ali ที่มานั่งเปิดอกคุยกันอีกครั้งให้หลัง 2 ปีจากที่เลิกรากันไป เพื่อหาสาเหตุที่ว่า ‘ทำไมถึงนอกใจ’ (อ่านเนื้อหาเก่า) ซึ่งหลังจากที่เราได้รับชมไปแล้วนั้น ก็ไม่อาจหาคำตอบจากฝ่าย Andrew ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่เต็มใจที่จะตอบ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ไม่สามารถย้อนคืนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ส่วนที่เหลือก็คือการมองไปข้างหน้า ว่าทั้งสองนั้นจะลงเอยกันแบบไหน ในคลิปภาค 2 ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว   หลังจากที่จบภาคแรกไปแล้วนั้น Andrew ยังคงให้คำตอบไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงคิดนอกใจ Ali แต่ยังพยายามอธิบายเหตุผลแบบอ้อมๆ อยู่อย่างนั้น   Andrew: ผมว่าผมอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ผมต้องฝ่าฟันมันไปในแบบที่ควรจะเป็น Ali: ใช่ Andrew: มันอาจจะฟังดูตลกนะ แบบว่าผมอยากจะไปออกเดทกับคุณอีกครั้ง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าผมควรจะทำยังไง Ali: มันก็ฟังดูดีนะ แล้วจะชวนออกไปเดทเลยมั้ยล่ะ? Andrew: อื้อ จะไปออกเดทกับผมมั้ยล่ะ (เสียงหัวเราะก็ตามมา)   และแล้วก็ตามมาด้วยคำถามที่ว่า อยากจะบอกอะไรกับแฟนใหม่ของ Ali บ้างมั้ย?…

  • คู่รักคบกันมา 7 ปี เลิกรากันไปจากเหตุนอกใจ เปิดอกคุยกันอีกครั้งกับว่าทำไมถึงทำ!!

    คู่รักคบกันมา 7 ปี เลิกรากันไปจากเหตุนอกใจ เปิดอกคุยกันอีกครั้งกับว่าทำไมถึงทำ!!

    เรื่องของความรักนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ ซึ่งการจะคบกับใครซักคนหนึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องให้ความเชื่อใจซึ่งกันและกัน คอยหมั่นดูแลรักษาความรักเอาไว้ให้ยืนยาว แต่บ่อยครั้งเราก็มักจะเห็นว่ามีหลายคู่ที่ถึงแม้จะคบกันมายาวนานแค่ไหน ก็มาจนถึงจุดที่ต้องเลิกรากันอยู่ดี     อย่างเช่นคู่ Ali กับ Andrew ที่คบหากันมายาวนานถึง 7 ปี แต่ก็เลิกกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งในคราวนี้ก็ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เพื่อเปิดอกพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เคยเกิดขึ้น หาต้นเหตุของความรักที่แตกร้าวว่า ‘ทำไมถึงนอกใจ’   ฝ่ายชายพยายามจะอธิบายว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นลงไป ก็เป็นเพราะเขาคิดว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจและมีทางเลือกที่ดีกว่า   Andrew พยายามอธิบายว่า ‘ผมไม่ได้ทำกิริยาที่เรียกว่านอกใจ ไม่เคยหลับนอนกับใครเลยด้วย’ แต่ทางด้าน Ali ไม่ได้เชื่ออย่างสนิทใจจึงถามว่า ‘ไม่เคยจริงๆ เหรอ?’ จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่า ‘ทำ’ เป็นอะไรที่ทำให้ Ali รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที ‘มันเป็นอะไรที่เxี้ยมากเลยนะ รู้ตัวมั้ย แม้จะเลิกกันมานานแล้วมันก็ยังทำให้ฉันรู้สึกหัวเสียเหมือนเดิมเลย’     Ali : เพราะเธออ่อยให้ใช่มั้ย? Andrew: เอ่อออออ Ali : แมร่ง โคตรน่ารังเกียจเลย มันก็คือการนอกใจนั่นแหละ Andrew:…