รู้จักกับ “ปูมะพร้าว” สัตว์ขาปล้องที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่ากันว่ามีเนื้อหอมเหมือนดั่งกะทิ!?

อย่างที่รู้กันว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเรามันช่างมากมายซะเหลือเกิน แต่ที่เด่นๆ และน้อยคนจะรู้จักด้วยเหตุผลที่พบได้ยากในประเทศเรา วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับมันกัน

สัตว์ที่ได้รับวิวัฒนาการมาจากปูเสฉวน และเป็นสัตว์ขาปล้องขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นดิน เจ้านั่นคือ ปูมะพร้าว ตรงตัวกับภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Coconut Crab ซึ่งมีความสามารถในการใช้ก้ามของมันเจาะลูกมะพร้าวได้อย่างสบายๆ

 

 

ขนาดทั่วไปของมันลำตัวจะยาวแค่ 40 เซนติเมตร กับน้ำหนักอีก 4 กิโลกรัม แต่ที่มันได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดเพราะมีคนไปเจอกับเจ้าปูชนิดนี้ ที่มาพร้อมกับขนาดลำตัวยาว 1 เมตร และหนักถึง 17 กิโลกรัมเลยทีเดียว

มันมีขา 10 ขา ซึ่งขาคู่หน้าก็คืออาวุธคู่ใจที่ใช้เจาะลูกมะพร้าว อีกทั้งยังสามารถยกของหนักได้ถึง 29 กิโลกรัม และอวัยวะในการหายใจแบบครึ่งปอดครึ่งเหงือก ลักษณะเหมือนเหงือกแต่แลกเปลี่ยนก๊าซจากในอากาศไม่ใช่ในน้ำ

 

 

และถึงแม้จะวิวัฒนาการมาจากปูเสฉวนแต่การใช้เปลือกหอยป้องกันส่วนท้องนั้นจะใช้แค่ตอนเป็นตัวอ่อน หลังจากนั้นส่วนท้องของมันจะเป็นเปลือกแข็งโดยช่วยลดการเสียน้ำขณะอยู่บนพื้นดินได้ด้วย

อาหารหลักของมันคือมะพร้าว แต่มันก็ยังสามารถกินอาหารชีวภาพได้หมดอย่างใบไม้ ผลไม้เน่า ไข่เต่า ซากสัตว์ หรือสัตว์เป็นๆ ที่เคลื่อนไหวช้าอย่างเต่าที่เพิ่งฟักออกจากไข่

 

 

การหาอาหารโดยการปีนต้นมะพร้าวนั้นนอกจากจะทำให้ลูกมะพร้าวหล่นลงมาให้ได้กินแล้ว ก็ยังสามารถช่วยหลีกเลี่ยงความร้อนและอันตรายโดยรอบได้อีกด้วย

นอกจากนั้นมันก็ยังมีฉายาว่า ปูปล้น หรือ ปาล์มขโมย จากเหตุผลที่ว่ามันมักจะขโมยเครื่องใช้ภายในบ้านที่ส่องประกายอย่างเช่น หม้อ หรือของใช้สแตนเลส นอกจากนั้นมันยังชอบขโมยอาหารจากปูมะพร้าวตัวอื่นอีกต่างหาก

 

 

ในหลายประเทศมีการนำปูมะพร้าวไปประกอบอาหารเนื่องจากอาหารหลักของมันคือมะพร้าว จึงมีรสชาติเหมือนมะพร้าวหรือกะทิ อีกทั้งยังมีเนื้อที่เยอะ เหมาะแก่การทำแกง

ปูมะพร้าวสามารถพบได้ตามหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย และทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยจะมีลักษณะสีแตกต่างกันไปในแต่ละเกาะเช่น สีม่วงอ่อน สีม่วงเข้ม หรือสีน้ำตาล

 

 

ถึงอย่างไรก็ตาม ได้มีการค้นพบปูมะพร้าวในไทยอยู่บ้างแต่ก็นับว่าน้อยมาก เคยมีการพบเจอมันจริงๆ จังๆ อยู่ 3 ครั้งเท่านั้นเอง

แต่ในบางประเทศซึ่งมีปริมาณมาก สามารถกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่แตกต่างกันนี้เองทำให้พวกเขาสามารถบริโภคมันได้ ไม่อย่างนั้นเราคงได้ลิ้มลองรสชาติของมันกันไปบ้างแล้วก็เป็นได้

ที่มา: wikipedia

Comments

Leave a Reply