Tag: ให้อภัย

  • ช่างภาพจับ “ฆาตกรและผู้สูญเสีย” มา ‘ถ่ายรูปร่วมกัน’ หลังให้อภัย เป็นคุณจะทำได้ไหม???

    ช่างภาพจับ “ฆาตกรและผู้สูญเสีย” มา ‘ถ่ายรูปร่วมกัน’ หลังให้อภัย เป็นคุณจะทำได้ไหม???

    คุณจะยอมให้อภัยกับฆาตกรที่ฆ่าครอบครัวคุณหรือไม่ หากได้เปิดใจคุยกับเขา??   สำหรับพวกเราแม้แต่กับคนที่มีความคิดขัดแย้งกับเรา เราก็คงไม่อยากที่จะถ่ายรูปร่วมด้วยแล้ว คนบางคนที่เคยมีปากเสียงกับเรา การจะให้อภัยคนๆ นั้นยังทำได้ยาก หากถามว่าจะให้อภัย “ฆาตกร” ที่ฆ่าคนรักของเราได้หรือไม่ คำตอบคงมีแนวโน้มออกมาทางเดียวกันว่า “ไม่ได้” อย่างแน่นอน   (ซ้าย) François Sinzikiramuka – ผู้กระทำผิด (ขวา) Christophe Karorero – ผู้รอดชีวิต ผู้กระทำผิด: “เพราะผมพี่ชายเขาถึงต้องตาย” ผู้รอดชีวิต: “ผมได้รับการขออโหสิจากใจจริง อีกอย่าง ความแค้นจะทำให้เราเสียตัวตน การให้อภัยจะทำให้เราได้ตัวตนกลับคืนมา”   แต่ชุดภาพถ่ายล่าสุดของ Pieter Hugo ช่างภาพชาวแอฟริกาใต้ ที่ได้เดินทางไปเก็บภาพของผู้คนในประเทศรวันดาเป็นเวลาครบ 20 ปีหลังสงครามล้างเผ่าพันธุ์รวันดาที่มีผู้คนถูกเข่นฆ่าราวหนึ่งล้านคน โปรเจกต์ของเขาครั้งนี้ก็คือการนำ ฆาตกร และ ผู้สูญเสีย มาพูดคุย ให้อภัย และถ่ายรูปอยู่เคียงข้างกัน ราวกับว่าพวกเขาได้รับคำสอนจากพุทธศาสนาเฉกเช่นประเทศไทยอย่างไรอย่างนั้น…   (ซ้าย) Jean Pierre Karenzi – ผู้กระทำผิด (ขวา)…

  • สองหนุ่มซิดนีย์เปิดศึกสู้กันบนรถไฟ ซัดกันอลเวง สุดท้ายหักมุมจบลงด้วยกอดสุดอบอุ่น

    สองหนุ่มซิดนีย์เปิดศึกสู้กันบนรถไฟ ซัดกันอลเวง สุดท้ายหักมุมจบลงด้วยกอดสุดอบอุ่น

    การใช้ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหา สิ่งที่เราควรทำคือการให้อภัยต่างหาก … การใช้ชีวิตในสังคมทำให้เราจำเป็นต้องเจอคนที่มีความคิดแตกต่างจากเราในหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะทำให้เราเกิดความขัดแย้งกันก็ได้ แต่เราไม่ควรจะใช้กำลังเข้าแก้ไขความไม่เข้าใจในตัวอีกฝ่าย การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นไม่ได้ต้องการผู้ชนะ แต่ต้องการให้คนในสังคมประนีประนอมต่อกันต่างหาก ชาย 2 คนในคลิปวิดีโอนี้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าแม้จะขัดแย้งกันขนาดไหนสุดท้ายก็สามารถให้อภัยแก่กันได้   เฮ้ย จะหาเรื่องกันเหรอไงวะ แบบนี้ต้องโดน   คลิปวิดีโอนี้เผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก Judita Aku-wei Winter เขาบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวพอดีจึงสามารถถ่ายคลิปนี้ไว้ได้ เรื่องเกิดขึ้นที่รถไฟสายหนึ่งภายในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ในตอนเริ่มต้นจะเห็นว่าชายแก่ที่สวมเสื้อสีน้ำเงินและชายหนุ่มที่สวมเสื้อสีชมพูกำลังมีปากเสียงกันอยู่ แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาทะเลาะเรื่องอะไรกันเพราะเริ่มคลิปมาก็ด่ากันเสียแล้ว หลังจากที่ชายแก่ชี้นิ้วด่าชายหนุ่มได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็หมดความอดทนแล้วลุกขึ้นมาแลกหมัดกัน พวกเขาตีกันนัวเนียจนทำให้คนรอบข้างหนีไปหมดเลย คงเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงนั่นแหละ   คลุกวงในกันจนข้ามไปถึงที่นั่งอีกฝั่งเลยทีเดียว   แต่คนถ่ายคลิปก็ยังคงตั้งใจถ่ายทั้งคู่ต่อไม่ได้วิ่งหนีไปเหมือนคนอื่น ชายทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันชนิดที่ว่าฝ่ายชายหนุ่มถูกจับล็อกขาชี้ฟ้าเลย แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ถีบชายแก่จนกระเด็นออกจากกันไปคนละทาง จากนั้นเหมือนว่าชายหนุ่มจะได้สติขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ควรจะมาต่อยตีกันเหมือนเด็กๆ แบบนี้เลย เขาจึงพยายามหาทางประนีประนอมกับชายแก่ ชายหนุ่มบอกว่า “เอาล่ะ ตอนแรกคุณเป็นคนเริ่มหาเรื่องผมก่อนนะ แต่ผมไม่อยากให้วันนี้กลายเป็นวันแย่ๆ ไป ผมแค่พยายามจะกลับบ้านไปพักผ่อนเพื่อเอาแรงไปทำงานพรุ่งนี้แค่นั้นเอง ผมอยากให้คุณรู้ว่าถ้าคุณยอมจบเรื่อง ผมก็จะจบเหมือนกัน”   เอาล่ะใจเย็นนะพวก ฉันว่าเรามาคุยกันดีกว่า   พอชายแก่ได้ฟังดังนั้นแล้วเขาเองก็ใจเย็นลงบ้างเหมือนกัน ทั้งคู่คงสำนึกได้ว่าการกระทำของตัวเองช่างโง่เขลาและไร้ประโยชน์สิ้นดี สุดท้ายทั้งคู่ก็เลยยอมขอโทษกัน แล้วก็กอดกันเพื่อคืนดีด้วย ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคนเพิ่งจะตีกันไปหมาดๆ จะคืนดีกันได้ง่ายขนาดนี้…

  • หญิงที่รอดชีวิตจากการถูกแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด ใช้เวลา17 ปี ตามหาแม่จนเจอ…และเรียนรู้ที่จะให้อภัย

    หญิงที่รอดชีวิตจากการถูกแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด ใช้เวลา17 ปี ตามหาแม่จนเจอ…และเรียนรู้ที่จะให้อภัย

    หลายคนที่ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด มักจะกลายเป็นความโกรธแค้นจนไม่อยากเจอหน้าผู้ให้กำเนิดอีก แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่อยากเจอหน้าบุพการีสักครั้ง แม้จะรู้ว่าถูกพวกเขาทิ้ง เหมือนกับ Melissa Ohden วัย 40 ปี ที่ถูกแม่แท้ๆ ทิ้งลงถังขยะตั้งแต่เกิด แต่เธอก็ยังออกตามหาแม่จนเจอ และยังได้ให้อภัยเธอด้วย Melissa เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 1977 ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม ทีี่ร้ายกว่านั้นเธอถูกพบอยู่ในถังขยะโดยมีสายไฟพันรอบตัว แต่ไม่มีแม้แต่เงาผู้ให้กำเนิด     จริงๆ แล้ว แม่ของ Melissa พยายามจะทำแท้งตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ 8 เดือน แต่ไม่สำเร็จ จนในที่สุดแม่ก็คลอดลูกออกที่โรงพยาบาลในรัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากคลอดแล้วแม่ของ Melissa ก็หนีออกจากโรงพยาบาล พร้อมนำลูกน้อยไปทิ้งในขยะ และเธอก็คิดไม่ถึงว่าลูกจะรอดจากการถูกทิ้้ง เมื่อโตขึ้น Melissa ก็ได้รับรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นชีวิตที่แสนเจ็บปวดของเธอ เธอจึงใช้เวลาเกือบ 20 ปี ในการหาคำตอบว่าทำไมแม่ถึงทำกับเธอเช่นนั้น แล้วก็ได้รู้ว่าเธอเกิดจากความไม่ตั้งใจและแม่ก็ไม่อยากให้เธอเกิดมาด้วย     Melissa ยังรู้อีกว่าที่ยังมีชีวิตมาจนทุกวันนี้ เป็นเพราะพยาบาลได้ยินเสียงร้องของเธอดังมาจากถังขยะ พวกเขาได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้จนได้รับการรักษาฉุกเฉิน ความเจ็บปวดที่เธอรู้อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อถูกช่วยเหลือแล้วกลับมีพยาบาลคนหนึ่งบอกกับคนอื่นๆ ว่า ‘ปล่อยให้เด็กคนนี้ตายดีกว่า’ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือเธอมารู้ที่หลังว่าพยาบาลคนนั้นคือยายแท้ๆ…

  • หญิงกลายเป็นเพื่อนฆาตกรผู้สังหารพ่อของเธอเมื่อ 36 ปีก่อน และเขาก็อยากชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป….

    หญิงกลายเป็นเพื่อนฆาตกรผู้สังหารพ่อของเธอเมื่อ 36 ปีก่อน และเขาก็อยากชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป….

    การเป็นเพื่อนกับฆาตกรฆ่าคนไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ยิ่งเป็นฆาตกรที่เคยพรากชีวิตคนสำคัญในครอบครัวไป มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ญาติผู้สูญเสียจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฆาตกร แต่นั่นไม่ใช่กับเธอคนนี้ เพราะเธอสามารถให้อภัยและกลายเป็นเพื่อนฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอได้ หญิงคนนี้มีชื่อว่า Margot Van Sluytsman วัย 55 ปี จากเมืองโทรอนโต ปัจจุบันเธอเปิดสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในแคนาดา จู่ๆ วันหนึ่งก็มีบุรุษปริศนาบริจาคเงินเข้าบริษัทของเธอ ทันทีที่เธอเห็นชื่อผู้บริจาคเธอก็จำได้ในทันที เพราะชื่อนั้นคือชื่อของฆาตกรผู้สังหารพ่อของเธอ     เมื่อ 36 ปีก่อน Theodore พ่อของ Margot ในวัย 40 ปี ได้ออกเดินทางไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายที่เขาทำงานอยู่ เพื่อเตรียมของสำหรับเทศกาลลดราคาที่กำลังจะมาถึง เขาบอกกับลูกสาวว่าเขาจะกลับมาในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย…     เย็นวันนั้นเอง ตำรวจได้แจ้งกับครอบครัว Van Sluytsman ว่า มีโจรก่อเหตุปล้นร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายดังกล่าว และ Theodore ถูกหนึ่งในแก๊งโจรยิงเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Margot และครอบครัวเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เธอบอกว่าได้ตอนที่ได้ยินข่าว เหมือนเธอกำลังอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นเลยทีเดียว     หลังจากนั้นไม่นาน Glen Flett ฆาตกรที่สังหารพ่อของ Margot และแก๊งโจรอีกสองคนก็ถูกจับ เขาถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนอีกสองคนก็โดนโทษหนักไม่ต่างกัน…

  • คู่สามีภรรยา ยอมช่วยเหลือฆาตกรผู้พรากชีวิตลูกเขา ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่หลังพ้นคุก

    คู่สามีภรรยา ยอมช่วยเหลือฆาตกรผู้พรากชีวิตลูกเขา ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่หลังพ้นคุก

    เป็นอีกเรื่องราวดีๆ ที่อยากจะนำมาเล่าสู่ให้กันฟัง เมื่อคู่สามี-ภรรยา ได้สูญเสียลูกชายอันเป็นที่รัก ผู้เปรียบดั่งตัวแทนความรักของพวกเขาทั้งสอง และยังเป็นความหวังอันหนึ่งเดียวของครอบครัว… เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1993 ขณะที่คุณแม่ Mary Johnson กำลังทำงานอยู่อย่างปกติเฉกเช่นทุกๆ วัน จู่ๆ เธอก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งให้เธอได้ทราบว่า Laramiun ลูกชายคนเดียวของเธอได้เสียชีวิตลงแล้ว จากเหตุทะเลาะวิวาทกันในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง     ส่วนผู้ที่ลงมือก่อเหตุจนทำให้มีผู้เสียชีวิต คือเด็กหนุ่มอายุเพียง 16 ปี Oshea Israel และแน่นอนว่าหัวอกคนเป็นแม่ ณ ห้วงเวลานั้น Mary คงเหลือเพียงความรู้สึกเศร้าโศก ความเกลียดชัง และความโกรธแค้น “ตอนที่ขึ้นศาล ฉันมอง Oshea เป็นเหมือนสัตว์ป่าเถื่อนตัวนึง” แถมแม่ของเขายังกล่าวเสริมอีกว่า “ความรู้สึกอันขมขื่นมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความโกรธเริ่มเข้ามาแทนที่ และมันทำให้ฉันรู้สึกเกลียดทุกคน เป็นแบบนี้อยู่หลายปี มีผู้คนมากมายตีตัวออกห่างจากฉัน”   เวลาล่วงเลยไปกว่า 12 ปี วันหนึ่งเธอได้อ่านบทกวีบางอย่างเข้าและมันกลายเป็นแรงบันดาลใจ เปลี่ยนความคิดของเธอไปตลอดกาล   “Tell me the name of the son you love…