หญิงที่รอดชีวิตจากการถูกแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด ใช้เวลา17 ปี ตามหาแม่จนเจอ…และเรียนรู้ที่จะให้อภัย

หลายคนที่ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เกิด มักจะกลายเป็นความโกรธแค้นจนไม่อยากเจอหน้าผู้ให้กำเนิดอีก แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่อยากเจอหน้าบุพการีสักครั้ง แม้จะรู้ว่าถูกพวกเขาทิ้ง

เหมือนกับ Melissa Ohden วัย 40 ปี ที่ถูกแม่แท้ๆ ทิ้งลงถังขยะตั้งแต่เกิด แต่เธอก็ยังออกตามหาแม่จนเจอ และยังได้ให้อภัยเธอด้วย

Melissa เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 1977 ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม ทีี่ร้ายกว่านั้นเธอถูกพบอยู่ในถังขยะโดยมีสายไฟพันรอบตัว แต่ไม่มีแม้แต่เงาผู้ให้กำเนิด

 

 

จริงๆ แล้ว แม่ของ Melissa พยายามจะทำแท้งตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ 8 เดือน แต่ไม่สำเร็จ จนในที่สุดแม่ก็คลอดลูกออกที่โรงพยาบาลในรัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐอเมริกา

หลังจากคลอดแล้วแม่ของ Melissa ก็หนีออกจากโรงพยาบาล พร้อมนำลูกน้อยไปทิ้งในขยะ และเธอก็คิดไม่ถึงว่าลูกจะรอดจากการถูกทิ้้ง

เมื่อโตขึ้น Melissa ก็ได้รับรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นชีวิตที่แสนเจ็บปวดของเธอ เธอจึงใช้เวลาเกือบ 20 ปี ในการหาคำตอบว่าทำไมแม่ถึงทำกับเธอเช่นนั้น แล้วก็ได้รู้ว่าเธอเกิดจากความไม่ตั้งใจและแม่ก็ไม่อยากให้เธอเกิดมาด้วย

 

 

Melissa ยังรู้อีกว่าที่ยังมีชีวิตมาจนทุกวันนี้ เป็นเพราะพยาบาลได้ยินเสียงร้องของเธอดังมาจากถังขยะ พวกเขาได้ช่วยเหลือเธอเอาไว้จนได้รับการรักษาฉุกเฉิน

ความเจ็บปวดที่เธอรู้อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อถูกช่วยเหลือแล้วกลับมีพยาบาลคนหนึ่งบอกกับคนอื่นๆ ว่า ‘ปล่อยให้เด็กคนนี้ตายดีกว่า’ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือเธอมารู้ที่หลังว่าพยาบาลคนนั้นคือยายแท้ๆ ของเธอเอง และยังเป็นคนบังคับให้แม่ของเธอที่มีอายุเพียง 19 ปีในเวลานั้นทำแท้งด้วย

 

 

ต่อมาเมื่อ Melissa ได้มีโอกาสเปิดเผยเรื่องตัวให้กับสื่อ Mail Online เธอเลือกที่จะให้อภัยแม่กับยาย โดยการไม่เอ่ยชื่อพวกเขาผ่านสื่อ

ใครที่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้คงจะอยู่กับความโกรธแค้น แต่ Melissa ที่ตอนนี้อยู่กับครอบครัวบุญธรรม ได้พาแม้แท้ๆ อยู่ด้วย หลังจากที่ตามหาเธอมานานถึง 17 ปี

Melissa ในวัย 40 ปี เล่าว่า “แม่บอกว่าเธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าฉันจะรอด เธอมารู้ความจริงหลังจากที่เหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้ว 30 ปี”

“ฉันได้รู้แม่คลอดฉันตอนอายุ 19 ปี ก่อนหน้านั้นเธอบังคับให้ทำแท้งโดยแม่ของเธอ ซึ่งเป็นพยาบาลที่ทำงานในโรงพยาบาลที่เธอคลอด และเธอคือยายของฉัน” 

 

 

แม่ของ Melissa ตัดสินใจทำแท้งที่โรงพยาบาลของ Saint Luke ใน เมือง Sioux City รัฐไอโอวา ด้วยวิธีฉีดน้ำเกลือเข้าไปทำลายตัวอ่อน ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่นิยมในสหรัฐและอังกฤษ เนื่องจากมีความล้มเหลวสูง ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ลูกในท้องมีพัฒนาการต่อจนกระทั่งเกิด

พอเกิดมาแล้ว เธอก็ถูกทิ้งตามที่กล่าวมา หลังจากนั้นเธอยังประสบกับภาวะตัวเหลือง มีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ และมีอาการชัก

ตอนนี้คุณหมอคาดการณ์ว่าแม้เธอจะรอดไปได้ แต่เธอจะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา สูญเสียการได้ยิน และมีพัฒนาการที่ล่าช้า

 

 

3 สัปดาห์ต่อมา เธอถูกย้ายไปที่โรงพบาบาล University Hospital ใน Iowa City ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่คอยดูแลเด็กที่ถูกทิ้ง ที่นั่นพวกเขาทำเสื้อผ้าและรองเท้าที่น่ารักให้กับเธอ

Mary หนึ่งในผู้ดูแลได้ตั้งชื่อให้เธอว่า Katie Rose กระทั่งสามเดือนต่อมา เธอก็ได้ออกจากโรงพยาบาลจากการรับเลี้ยงของ Linda และ Ron Ohden ซึ่งเป็นคู่รักที่รับเลี้ยงเด็กหญิงอีกคนชื่อ Tammy ที่โตกว่า Melissa 4 ปี

ภายในเวลา 4 ปี หลังจากนั้นพ่อแม่บุญธรรมของ Melissa ก็ได้เขียนจดหมาย ส่งรูปภาพ และติดต่อกับ Mary สม่ำเสมอ เพื่อบอกให้รู้ว่า Melissa เติบโตขึ้นมากแค่ไหนและมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง พอโตขึ้นอีกหน่อย เธอก็ตัดสินใจเขียนจดหมายด้วยตัวเอง

 

 

Melissa ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นลูกบุญธรรมของพ่อแม่ที่อยู่ด้วยตอนนี้ กระทั่งอายุ 14 ปี เธอก็ได้รับรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวดจากพวกเขา

ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ และตลอดชีวิตวัยรุ่นของเธอก็จมอยู่แต่กับเรื่องนี้

หญิงสาวถึงกับทิ้งชีวิตของตัวเองจนมีอาการของโรคบูลิเมีย (เห็นอาหารแล้วอยากกินโดยควบคุมตัวเองไม้ได้) เธอบำบัดตัวเองด้วยการมีเซ็กส์และดื่มแอลกอฮอล์

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน เวลาอยู่ต่อหน้าพ่อแม่บุญธรรม เธอไม่เคยแสดงออกเลย เพราะไม่อยากให้พวกเขาไม่สบายใจ

ต่อมาหญิงสาวก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย University of South Dakota ด้านรัฐศาสตร์ ที่นั่นเธอได้รู้ว่าแม่แท้ๆ ของเธอเคยเรียนที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นยายของเธอก็เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยช่วงที่ Melissa เรียนอยู่ที่นั่นด้วย

ในที่สุดเมื่ออายุ 19 ปี เธอก็ตัดสินใจสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวแท้ๆ ของเธอ ซึ่งมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ระบุอยู่ในเอกสารการรับเลี้ยงบุตรเท่านั้น

 

 

แต่ด้วยความบังเอิญ เธอได้ย้ายไปที่เมือง Sioux City ซึ่งเป็นเมืองที่แม่แท้ๆ พยายามทำแท้ง ที่นั่นทำให้เธอมีโอกาสสืบค้นข้อมูลจากทะเบียนท้องถิ่น

หญิงสาวไล่ดูข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ หนังสือประจำปีในห้องสมุด แม้จะไม่รู้ชื่อแม่ แต่เธอพยายามดูคนที่หน้าคล้ายมากที่สุด

นอกจากนี้หญิงสาวยังประกาศตามหาผ่านหนังสือพิมพ์ด้วย เผื่อใครพอมีข้อมูลช่วยเหลือเธอได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย

 

 

ตลอดเวลาหลายปี แม้ Melissa จะไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะตามหา จนกระทั่งอายุ 30 ปี เธอก็ได้รู้ชื่อสกุลของตา ยาย แท้ๆ และรู้ด้วยว่าพวกเขาทำงานที่ไหน

หญิงสาวตัดสินใจเขียนจดหมายไปหาพวกเขา แต่มีเพียงคุณตาเท่านั้นที่ตอบกลับมา…

เธอได้รู้จักคุณตาว่าตั้งแต่วันที่เธอเกิดมา ความสัมพันธ์ของแม่แท้ๆ กับตายายก็เปลี่ยนไป นั่นทำให้แม่ของเธอหนีไปจากพวกเขาและติดต่อไม่ได้จนถึงตอนนี้

 

 

Melissa ยังคงตามสืบต่อไป จนไปเจอชื่อและที่อยู่ของพ่อแท้ๆ เธอได้เขียนจดหมายไปหาเขา แนะนำตัว่าเป็นใคร และบอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่โกรธเขาเลย… แต่เขาไม่ได้ตอบกลับมา

6 เดือนต่อมาเธอลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบว่าพ่อแท้ๆ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นคนที่อ่านจดหมายของเธอคือครอบครัวของพ่อ แต่พวกเขาไม่ตอบกลับมาเพราะรู้สึกละอายใจต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป

พวกเขาบอกว่า “เรารู้ว่าแม่ของเธอถูกบังคับให้ทำแท้ง แต่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดการกระทำนั้น เรารู้สึกละอายใจจริงๆ ที่ต้องบอกเธอ”

 

 

กระทั่งอายุ 36 ปี Melissa แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แม่แท้ๆ จึงได้ติดต่อมาหาเธอ นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้คุยกับแม่แท้ๆ และเธอก็ตัดสินใจให้อภัยแม่อย่างหมดใจ

ปัจจุบัน Melissa ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ เธอเป็นนักพูดที่ให้แรงบันดาลใจกับผู้คนมากมาย เธอได้เล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิต และสอนพวกเขาถึงบทเรียนที่สำคัญ

เธอบอกว่า “ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัย ฉันไม่โอเคกับสิ่งที่ผ่านมา แต่การให้อภัยจะทำให้คุณออกมาจากความเจ็บปวดนั้นได้ เราทุกคนเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ทำผิดพลาดได้”

 

 

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply