Tag: ตกงาน

  • อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์!! ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์ จะ “เปลี่ยนงาน” ต้องรอบคอบ!!

    อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์!! ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์ จะ “เปลี่ยนงาน” ต้องรอบคอบ!!

    ในชีวิตของการทำงาน โดยเฉพาะนักศึกษาจบใหม่ด้วยแล้วนั้น การเปลี่ยนงานคงเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าแปลกใจ นักศึกษาจบใหม่ส่วนมากจะมีความกลัวที่ว่า “หางานทำไม่ได้” ฉะนั้นได้งานอะไรก็ทำๆ ไว้ก่อน ผลสุดท้ายกลับมาพบว่า “มันไม่ตรงสาย” แล้วก็ต้องเปลี่ยนงานในที่สุด แต่การจะลาออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมพลาดกันมานักต่อนักแล้วด้วยเช่นกัน     อย่างเช่นตัวอย่างในวันนี้ โดยคุณ รู้หน้าไม่รู้ไต ได้ออกมาตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิปเชิงเล่าประสบการณ์ของตนเองโดยตั้งหัวข้อว่า “บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ช่วยเห็นใจผู้สมัครงานสักนิดนึงเถอะ เจ็บใจแถมเสียความรู้สึกมากๆ”  ซึ่งเรื่องราวที่เล่าผ่านกระทู้นี้ รวมไปถึงชาวเน็ตที่เข้ามาให้ความเห็นนั้นก็ได้เป็นความรู้และอุทาหรณ์ให้กับผู้อ่านที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลย…     เรื่องย่อ เจ้าของกระทู้ลาออกจากงานเก่ามาได้ 2 เดือนเพราะงานไม่ตรงสาย แล้วก็หางานใหม่จนได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง 6-7 วันถัดมาบริษัทก็โทรมาตอบรับเข้าทำงาน แต่พออีก 1 วันก่อนเริ่มงานกลับขอเลื่อนไปอีก 10 วัน อ้างว่าบอสใหญ่ที่ญี่ปุ่นยังไม่อนุมัติ ซึ่งตอนนั้นเจ้าของกระทู้ยังไม่ได้เซ็นสัญญาจ้างเลย พอถามด้วยความสงสัยก็ทราบว่า บริษัทยังไม่รับพนักงานใหม่ตอนนี้ (จขกท. เงิบ) จึงถามต่อว่าวันที่นัดไว้ยังนัดอยู่หรือเปล่า คำตอบที่ได้มาคือไม่แน่ใจ ให้หางานใหม่รอไว้เลย (จขกท. เงิบอีกครั้ง) แล้วก็เล่าว่าตนเองเสียใจและเจ็บใจมากๆ เหมือนโดนหลอกว่าจะรับแต่กลับมาปฏิเสธ ทำให้ตนไม่ได้หางานใหม่รองรับไว้ เจ้าของกระทู้จึงออกมาเตือนบริษัทว่าให้คุยกันให้ดีก่อนรับพนักงาน ไม่งั้นก็จะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานซ้ำซ้อนแบบนี้โดยไม่รับการรับผิดชอบใดๆ เลย  …

  • พนง. โดนขู่หาคนมาแทน เหตุจะไปดูแลเมียป่วย เซย์โนแคร์เพราะ ‘ไม่มีใครแทนที่เมียได้’

    พนง. โดนขู่หาคนมาแทน เหตุจะไปดูแลเมียป่วย เซย์โนแคร์เพราะ ‘ไม่มีใครแทนที่เมียได้’

    เรื่องของการดูแลคู่ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้ว่าหน้าที่การงานจะต้องมาก่อนเสมอ แต่มองในอีกมุมหนึ่งแล้วคนที่คอยอยู่เคียงข้างนั้นจะอยู่สนับสนุนและกำลังใจในชีวิต ที่ใครก็ไม่อาจแทนที่ได้… และเป็นที่รู้กันว่าสภาพของสังคมการทำงานในญี่ปุ่น เหล่าพนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนฝ่ายชายส่วนใหญ่ จะต้องทำงานแบบถวายหัว จะมองงานมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยที่ทิ้งความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นอันดับรอง     แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องสำคัญกับคนในครอบครัว มนุษย์เงินเดือนจะแปรเปลี่ยนไปได้หรือไม่? และเรื่องเล่าจาก @Rakshasa_JP ชาวเน็ตญี่ปุ่น ที่ได้แชร์เรื่องราวสามีของเพื่อนตนเองว่า เหล่ามนุษย์ออฟฟิศญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก เขาเล่าว่า วันหนึ่งฝ่ายสามีได้พูดคุยกับผู้จัดการว่า ‘ภรรยาของผมป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เพราะฉะนั้นผมขอกลับบ้านก่อนเวลานะครับ’ ก็เพื่อที่จะได้ไปดูแลภรรยาที่กำลังนอนป่วยอยู่บ้าน แต่ทว่าฝั่งผู้จัดการไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่กล่าวมา พร้อมตอบกลับด้วยความโมโห ‘รู้มั้ยว่า… เราหาคนมาแทนที่แกได้ง่ายมากเลยนะ’ เป็นการพูดในเชิงว่าจะไล่เขาออก     ด้วยบทสนทนาที่ดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายสามีจึงตอบไป ‘เมียของผมจะหาใครมาแทนไม่ได้ทั้งนั้น ไอ้งั่ง’ ด้วยประโยคคำขาดเขาก็กลับบ้านไปทำหน้าที่สามีดูแลภรรยา และคิดว่างานในบริษัทครั้งนี้คงจบสิ้นแล้ว… ในตอนจบที่แท้จริง คุณ @Rakshasa_JP ได้เผยว่า ฝ่ายสามีไม่ถูกไล่ออก แต่กลับกันคือผู้จัดการคนดังกล่าวตกงานไปเรียบร้อย โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า ทางบริษัทไล่ผู้จัดการออกด้วยเหตุผลอะไร อาจจะเพราะการใช้อำนาจโดยมิชอบ (ซึ่งที่ญี่ปุ่นกำลังตื่นตัวเรื่องมาตรการในการจัดการกับการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) และการใช้อำนาจในทางมิชอบ (Power Harassment) ในที่ทำงานอยู่) หรือประสิทธิภาพในการทำงานของตัวผู้จัดการเอง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม…

  • ชายหนุ่มโดนปฏิเสธงานกว่า 30 ครั้งเพราะรอยสักที่สักไว้เพื่อระลึกถึงคุณตาที่เสียไป

    ชายหนุ่มโดนปฏิเสธงานกว่า 30 ครั้งเพราะรอยสักที่สักไว้เพื่อระลึกถึงคุณตาที่เสียไป

    การสักลายบนเรือนร่างนั้นไม่ใช่แค่เพื่อความงามเท่านั้น แต่รอยสักสำหรับบางคนมันแฝงไปด้วยความหมายสำคัญและความทรงจำดีๆ ในชีวิต อย่างไรก็ตาม คนมีรอยสักนั้นมักถูกมองในเชิงลบ จนทำให้โอกาสทางสังคมสำหรับพวกเขามีน้อยลงไปด้วย เหมือนกับหนุ่มคนนี้ที่โดนปฏิเสธงานเพราะมีรอยสักที่คอ Joe Parsons วัย 21 ปี ได้สักลายที่คอเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2016 เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณตาที่เสียไป ขณะที่ทำงานอยู่ในโรงงาน     แต่เพราะลายสักนี้ทำให้เขาถูกปฏิเสธงานกว่า 30 ครั้ง… แม้ว่าชายหนุ่มจะใส่เสื้อคอเต่าเพื่อปิดรอยสัก แต่ลายสักส่วนที่เป็นปีกอยู่สูงเกินจะปิดได้มิด Joe บอกว่า “ตอนที่ผมสักลายนี้ใหม่ๆ ผู้คนคิดว่าผมมีความสุขและมีความมั่นใจในตัวเอง แต่สำหรับผมแล้ว ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องมีงานดีๆ ทำ” “ผมรู้สึกว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะผมมีทักษะและมีคุณสมบัติทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการ แต่ผมกลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะลายสักที่คอ” ชายหนุ่มบอก อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ไม่ได้เสียใจและไม่อยากลบรอยสักนี้ออก เพราะมันมีความหมายสำหรับเขามาก แต่ที่เขาเสียใจคือทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อรอยสัก     Joe เคยทำงานอยู่ที่ McVites แต่แล้วก็ต้องลาออก เพื่อกลับไปดูแลแม่ที่ประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ลาออกจากงานได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าเขาต้องทำงานเพื่อหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้าน เขาจึงเริ่มสมัครงานในเดือนมกราคม แต่กลับถูกปฏิเสธงานถึง 30 ครั้ง แม้แต่งานที่เขาเคยทำก่อนสัก ก็ไม่ยอมรับเขาเช่นกัน นับว่าเป็นความโชคร้ายของ Joe เพราะเขาเคยมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว 4 ปี…

  • หนุ่มฝรั่งโวย ‘ไม่มีงานทำ’ หลังไปออกรายการเรียลลิตี้โชว์ แล้วตัวเองดังเกินไป..!!

    หนุ่มฝรั่งโวย ‘ไม่มีงานทำ’ หลังไปออกรายการเรียลลิตี้โชว์ แล้วตัวเองดังเกินไป..!!

    กลายเป็นกระแสโด่งดั่งไปทั่วโลกยิ่งกว่าเดิม หลังจากที่หนุ่มชาวอังกฤษ Grant Coulson ออกมาโวยผ่านรายการ This Morning ว่า… ตัวเองตกงานเพราะชื่อเสียงโด่งดังเกินไป!! คงจะคล้ายๆ กับกรณีรายการ Take Me Out ของบ้านเรา ซึ่งหนุ่ม Grant เล่าว่าก่อนหน้านี้ตนเองได้ไปออกรายการเรียลลิตี้โชว์หาคู่รายการหนึ่ง และชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังซะจนเจ้าตัวต้องตกงาน   Grant Coulson กับรอยยิ้มกระชากใจสาว   จากบทสนทนาในรายการ This Morning พิธีกรคู่ขวัญ Rylan และ Sarah ได้เชิญชายหนุ่มผู้ตกงานเพราะชื่อเสียงโด่งดัง (มันมีด้วยเร๊อะ?) มาสัมภาษณ์ออกรายการ โดยเจ้าตัวเล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาได้ไปร่วมเป็นผู้สมัครในรายการ Geordie Shore หลังจากที่ปรากฎตัวบนจอทีวี เจ้าตัวก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาติดตามมากขึ้นเป็นประวัติการณ์   พิธีกรคู่ขวัญ (พี่ฉ้อยพี่ออด)   หลังจากถ่ายทำรายการจบแล้ว เจ้าตัวก็รู้สึกตนเองน่าจะได้รับเงินค่าตอบแทนที่มากกว่านี้ เพื่อที่จะได้เอาไปทำฟันใหม่เวลายิ้มจะได้ไฉไลกว่าเดิม ทว่าไม่ได้รับการติดต่อกลับจากทีมงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว “คือ… ตอนนั้นผมไปออกรายการเรียลลิตี้หาคู่ แล้วมันก็มีคนเข้ามาติดตามในทวิตเตอร์ผมมากขึ้นจริงๆ นะ แต่ดูเหมือนพนักงานและผู้จัดการจะไม่เข้าใจจุดนี้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ไปงานเลี้ยงพนักงาน อีกทั้งยังถูกห้ามถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมงานด้วย…