สาวผู้เสพติดการกิน รับว่าการผ่าตัดไม่ใช่ทางลัด ต้องใจแข็งเพื่อเปลี่ยนตัวเอง ถึงจะเห็นผล…

อาหารการกินเป็นสิ่งที่มนุษย์ปฏิเสธไม่ได้เลย แต่สำหรับปริมาณในแต่ละมื้อหรือในแต่ละวันนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน กินน้อยไปก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย กินมากไปก็กลายมาเป็นสารอาหารส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกายอีก

ในเมื่อร่างกายไม่สามารถขับสารอาหารส่วนเกินออกไปได้หมด ก็กลายมาเป็นการสะสมเอาไว้ในร่างกายแทน จนถึงขั้นประสบกับปัญหาโรคอ้วนกันได้เลยทีเดียว

ซึ่งนอกเหนือจากจะเป็นสาเหตุทำให้โรคอื่นๆ ตามมาแล้ว ก็ยังทำให้ระบบภายในนั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย

 

ภาพถ่ายเปรียบเทียบอดีต (ซ้าย) และปัจจุบัน (ขวา) ของ MC Solomon สาววัย 19 ปี

 

ยกตัวอย่างเช่นหญิงสาวนามว่า MC Solomon วัย 19 ปี จากเมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐฯ เป็นผู้ประสบกับปัญหาน้ำหนักส่วนเกินและพยายามที่จะกำจัดออกไป

จนกระทั่งในวันนี้เธอก็สามารถทำได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถลดได้ในทันทีทันใด เพราะเส้นทางการลดน้ำหนักของเธอต่างเต็มไปด้วยอุปสรรคร้อยแปดพันเก้า…

 

 

เธอตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักและทวงคืนสุขภาพของตัวเองเป็นครั้งแรก ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2017 โดยจะต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยของแพทย์ เข้ารับการบำบัด และรับการผ่าตัดกระเพาะอาหารในวันที่ 29 มีนาคม ปี 2017

อย่างที่ #เหมียวเลเซอร์ เกริ่นไปในช่วงแรก เส้นทางการลดน้ำหนักของเธอนั้นไม่ได้ปูด้วยทองคำ มันส่งผลกระทบทางด้านความท้าทายและวิถีชีวิตของเธออย่างรุนแรง

 

 

โดยในช่วงต้นปี 2017 เธอวางแผนจะไปเรียนต่อที่ประเทศสเปน แต่ในระหว่างนั้นก็ได้พบกับศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดกระเพาะอาหารจากศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัย Baylor University ที่ยื่นข้อเสนอผ่าตัดให้กับเธอ จึงทำให้การไปเรียนต่อที่สเปนจำเป็นต้องถูกเลื่อนออกไป

หลังจาการผ่าตัดในครั้งแรก เธอก็ต้องรับการผ่าตัดฉุกเฉินไปครั้งที่สองเพื่อทำการผ่าเอาลิ่มเลือดออกจากผนังช่องท้อง และรับการผ่าตัดครั้งที่ 3 ในเดือนเมษายน ปี 2017 เพื่อลดกรดในหลอดอาหาร อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลืนของเหลวลงไปได้

 

 

ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นได้ 5 สัปดาห์ และน้ำหนักที่ลดลงไป 17 กิโลกรัม เธอก็ต้องเข้ารับการบำบัดด้วยการออกกำลังกายและทำการควบคุมอาหาร

โดยที่แพทย์ผู้ดูแลแนะนำว่าเธอควรรับประทานโปรตีนจำนวน 60 กรัมต่อวัน ประกอบกับไขมันดี พร้อมทั้งดื่มน้ำสะอาดอีกจำนวน 1.7 ลิตรต่อวัน

นอกเหนือจากนั้นแพทย์ยังเสริมเอาไว้ว่า เธอควรรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย อาหารไขมันต่ำ และจะต้องเลือกทานอาหารประเภทย่อยง่ายในช่วงเดือนแรกๆ ด้วย

 

 

ภาพเปรียบเทียบขนาดหน้าท้องระหว่างก่อนและหลังรับการผ่าตัด

 

ซึ่งในช่วงนั้นมื้ออาหารของเธอก็จะประกอบไปด้วย ชีสไขมันต่ำ โยเกิร์ตไขมันต่ำ ฮัมมัส เนื้อปลา และไข่ไก่ พร้อมกับคั่นรายการด้วยกล้วยอีกเล็กน้อย

และการรับประทานอาหารในช่วงนี้ก็ทำให้เธอได้รู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ส่งผลร้ายกับเธอถึงขั้นเป็น Dumping Syndrome (ภาวะที่อาหารผ่านกระเพาะอย่างรวดเร็วเข้าสู่ลำไส้) อันเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดกระเพาะ ที่ก่อให้เกิดตะคริวในช่องท้อง มีอาการสั่นระรัว รวมไปถึงมีอาการเวียนหัวและอาเจียน

 

 

นอกจากนี้เธอยังบอกเล่าถึงผลที่ตามมาของการผ่าตัดไว้อีกว่า เธอเป็นบุคคลที่มีอาการเสพติดอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกปวดใจกับการที่ ‘ไม่สามารถกินอะไรอย่างที่คนอื่นเค้ากินกันได้’

อีกทั้งยังเตือนใจให้กับผู้ที่คิดจะทำการผ่าตัดว่า ‘การผ่าตัดลดน้ำหนักไม่ใช่ทางลัด’ เพราะสิ่งที่เธอเจอมาระหว่างทางนั้น ก็ต้องผ่านการควบคุมจิตใจของตัวเองอยู่ดี

 

กางเกงตัวเดิมที่เธอใส่ไม่ได้แล้ว…

 

“ฉันคิดว่าฉันโชคดีนะ ที่ได้ทำการผ่าตัดให้กับตัวเอง ใช่ พวกเขาอาจจะคว้านหน้าท้องของฉันไป ใช่ มันอาจจะเป็นเครื่องมือที่วิเศษที่ช่วยฉันได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายเหตุผลที่ฉันสามารถลดน้ำหนักลงไปมากโข ก็ด้วยการเลือกที่จะกิน และมีวิถีในการจัดการการออกกำลังกายที่ถูกต้อง” คำกล่าวบางส่วนของเธอจากอินสตาแกรม

ด้วยผลจากการที่เธอต้องตรากตรำลำบากทรมานจิตใจตัวเอง ในที่สุดแล้วมันก็ส่งผลทำให้เธอสามารถลดน้ำหนักลงได้มากถึง 59 กิโลกรัม และพร้อมที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วยความมั่นใจต่อไป

 

นี่แหละคือผลของความพยายาม ใจต้องนิ่งขนาดไหนถึงจะทำแบบนี้ได้
แค่เจอเพื่อนชวนกินหมูกะทะก็เลิกลดน้ำหนักแล้ว ฮร่าาาา

ที่มา: dailymail

Comments

Leave a Reply