15 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ‘เบียร์’ ที่แม้แต่นักดื่มเบียร์ตัวยงก็อาจไม่เคยทราบกันมาก่อน!?

หนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พวกเราหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ เบียร์ น้ำเมาที่ใช้ดื่มกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งในวันที่ 7 เมษายนของทุกปี ถูกตั้งให้เป็น “วันเบียร์แห่งชาติ” เพื่อเป็นการระลึกถึงช่วงที่สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ผลิตและขายเบียร์ภายในประเทศได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1933

นอกจากประเทศมหาอำนาจแล้ว หลายๆ แห่งรวมถึงบ้านเราก็สามารถบริโภคเครื่องดื่มชนิดนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ถึงแม้ว่าเราจะดื่มมันบ่อยแค่ไหน แต่ความจริงเราอาจยังรู้จักกับมันได้ไม่ดีพอเลยด้วยซ้ำ วันนี้เราเลยมาจะพูดถึง 15 เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเบียร์ มีอะไรบ้างนั้นลองไปอ่านกันได้เลย

 

 

1. อียิปต์ขึ้นชื่อว่าเป็นอารยธรรมแรกที่มีการเก็บภาษีเบียร์ โดยราชินีคลีโอพัตรา บอกว่าการเก็บภาษีมีขึ้นเพื่อลดจำนวนขี้เหล้าให้น้อยลง แต่หลายๆ คนกลับเชื่อว่าการเก็บภาษีในครั้งนั้นมีไว้หารายได้ในการทำสงครามกับกรุงโรม

2. เบียร์ คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่คนนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา จากสถิติปี 2016 มีถึง 43 เปอร์เซ็นต์ของเหล่านักดื่ม ที่ยกให้เบียร์เป็นที่หนึ่งในดวงใจ และในปี 2015 รัฐบาลได้เงินจากการเก็บภาษีเบียร์ภายในประเทศและเบียร์นำเข้า เป็นจำนวนเงินกว่า 114,000 ล้านบาท

3. ในปี 1695 สหราชอาณาจักรทำการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เบียร์แพงที่สุด ในขณะที่เหล้าจินถูกที่สุด โดยภาษีเหล้าจินอยู่ที่ประมาณ 2 เพนนี (ประมาณ 1 บาท) แต่เบียร์จะอยู่ที่ราวๆ 57 เพนนี (ประมาณ 24 บาท) ซึ่งความแตกต่างในเรื่องราคา กลายเป็นปัญหาใหญ่ของนักดื่มทั้งหลายในยุคนั้นเลย

 

 

4. ในสหรัฐอเมริกา มีการคิดภาษีการผลิต การแจกจ่าย และจำหน่าย คิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีก ซึ่งจะอยู่ที่ราวๆ 1.5 บาทต่อหนึ่งขวดหรือหนึ่งแก้ว โดยตามความเป็นจริงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อเบียร์หนึ่งออนซ์

5. เบียร์เยอรมันมักจะติดป้ายที่เขียนว่า “Gebraut nach dem Bayerischen Reinheitsgebot von 1516” หมายความว่า “นี่คือเบียร์ที่ผลิตขึ้นตามหลักกฎหมายบาวาเรียในปี 1516” เป็นกฎหมายที่ทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมวัตถุดิบที่ใช้ทำเบียร์ และช่วยให้สามารถเก็บภาษีได้

6. เพื่อช่วยเหลือสงครามการเมือง ในปี 1862 ทางสภาคองเกรสจึงเสนอให้มีการเก็บภาษีจากเบียร์ทุกชนิด และเครื่องดื่มที่ใกล้เคียง จนทำให้มีรายได้จากภาษีดังกล่าวในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 1.5 ล้านล้านบาท

 

 

7. Arthur Guinness II บิดาของเบียร์ Guinness เจ้าของสูตรการใช้ข้าวบาร์เลย์คั่วแทนการใช้มอลต์ดำ ซึ่งทำให้รสชาติของเบียร์มีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เขาได้เป็นเจ้าของโรงเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

8. สถาบันเบียร์แห่งชาติบอกว่า พนักงานชาวอเมริกันในบริษัทเบียร์กว่า 1,750,000 คน ได้รับเงินค่าจ้างรวมกันมากกว่า 2.5 ล้านล้านบาท และบริษัทเหล่านั้นจ่ายภาษีให้กับภาครัฐเป็นเงินมากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

9. ในปี 1991 ประธานาธิบดี George H.W. Bush ทำการขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจำพวกขนสัตว์ เรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว เพชรพลอย หรือรถราคาแพง ซึ่งภาษีที่เพิ่มขึ้นมาคิดเป็นสองเท่าของภาษีเบียร์ สองปีผ่านไปภาษีดังกล่าวถูกยกเลิก ในขณะที่ภาษีเบียร์ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน

 

 

10. รัฐเทนเนสซี เป็นรัฐที่มีค่าภาษีของเบียร์สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา คือประมาณ 40 บาทต่อหนึ่งแกลลอน ในขณะที่รัฐไวโอมิง มีภาษีของเบียร์ถูกที่สุด คือประมาณ 6 บาทต่อแกลลอนเท่านั้นเอง

11. รัฐที่มีการบริโภคเบียร์เยอะที่สุดคือรัฐเนวาดา มีภาษีเบียร์บวกเพิ่มจากภาษีค้าขายอีกประมาณ 5 บาทต่อแกลลอน ในขณะที่รัฐยูทาห์ เบียร์ได้รับความนิยมน้อยที่สุด ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐที่มีภาษีเบียร์สูงที่สุดในประเทศ

12. D.G. Yuengling & Son คือหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเบียร์ที่เก่าแก่มากที่สุดในอเมริกา ติดหนึ่งใน 5 บริษัทเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จากสถิติปี 2015 พวกเขาสามารถทำรายได้ในปีนั้นได้สูงถึงราวๆ 17,000 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทตั้งอยู่ในฟลอริด้า แม้ว่าจะมีถิ่นกำเนิดในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่เพราะภาษีที่สูงมากจึงทำการย้ายออกมา

 

 

13. ข้อมูลของ Infogroup บอกไว้ว่า ตามสถิติในแต่ละเมืองจะมีธุรกิจเกี่ยวกับเบียร์อยู่ประมาณ 1.54 ราย โดยเฉพาะกับเมืองแห่งนักดื่มในอเมริกาอย่าง Oregon หนึ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยเหล่าคนที่ชื่นชอบในเบียร์ พวกเขาจึงไม่มีการเก็บภาษีค้าขาย ทำให้ราคาของเบียร์ไม่สูงมากนัก

14. จากข้อมูลล่าสุดของสมาคมผู้ผลิตเบียร์ บอกว่าเบียร์คราฟต์นั้นคิดเป็น 22 เปอร์เซ็นต์ของตลาดเบียร์ในอเมริกา ทำรายได้มากกว่า 800,000 ล้านบาท ซึ่งเบียร์เหล่านั้นผลิตน้อยกว่า 2 ล้านถังต่อปี ทำให้เสียภาษีน้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ

15. มีอาการหนึ่งที่ชื่อว่า Cenosillicaphobia ซึ่งเป็นอาการของคนที่กลัวแก้ว (เบียร์) ว่างเปล่า เพราะฉะนั้นหากใครเป็นนักดื่มตัวยงก็อย่ารอช้า ออกไปเติมพลังกันเลยดีกว่า เย้!!

 

ที่มา: forbes

Comments

Leave a Reply