“9 ศาสตรา” แอนิเมชั่นไทยที่มีส่วนผสมของ “ซุปเปอร์ฮีโร่” ย่อยง่ายและโคตรเท่

นับว่าเงียบเหงาไปพอสมควร สำหรับตลาดแอนิเมชั่นบ้านเรา แทบจะไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้เราได้ชมกันเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าในบ้านเรามีทีมงานที่ทำในส่วนนี้น้อย ใช้ทุนสูงและเวลาค่อนข้างนาน จึงทำให้นานน๊านเราจะเห็นออกมาสักเรื่องนึง

ล่าสุดความหวังใหม่ของคนไทยที่จะได้ดูแอนิเมชั่นเจ๋งๆ สักเรื่องก็เดินทางมาถึงแล้วกับเรื่อง “9 ศาสตรา” แอนิเมชั่นที่ว่ากันว่าใช้ทุนสร้างสูงถึง 200 ล้านบาท และใช้เวลาทำนานถึง 4 ปีทีเดียว

ตัวเลขเหล่านี้อาจจะดูหวือหวา บางคนอาจจะคิดไปว่า “แล้วมันจะสนุกเหรอ?” #เหมียวฟิ้นได้ไปดูมาแล้วและขอยืนยันว่าควรค่าแก่การเสียงตังค์ไปดูมากๆ!!

 

 

9 ศาสตรา เล่าเรื่องราวของ “อ๊อด” เด็กหนุ่มที่มีฝีมือแม่ไม้มวยไทยและเป็นความหวังสุดท้ายในการกอบกู้รามเทพนคร เมืองที่ถูกยักษาแย่งชิงไป โดยหน้าที่ของอ๊อดคือการนำศาตราวุธ ๙ ศาสตรา ไปมอบให้องค์ชายรัชทายาทแห่ง รามเทพนครเพื่อใช้ต่อกรกับยักษา (เรื่องย่อเล่าเท่านี้พอละ)

ในระหว่างการเดินทาง อ๊อดได้เจอกับมิตรสหายและศัตรูหลายคน มีการฝึกฝนร่างกาย การต่อสู้ การสูญเสีย และการเติบโต เรียกได้ว่าครบสูตรการ์ตูนแบบโชเน็น (การ์ตูนต่อสู่ผู้ชาย) ของญี่ปุ่นเลย

 

 

ในระหว่างที่ดูมีทั้งส่วนที่ประทับใจและส่วนที่เรารู้สึกว่าประดักประเดิดบ้างนิดๆ หน่อยๆ เราจะลองมาไล่เรียงไปทีละข้อๆ

 

ส่วนดี

สิ่งที่ชอบมากใน 9 ศาสตรา คือการดีไซน์บ้านเมือง ยานพาหนะ หรือตัวละคร ทุกตัวละครมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะสีสัน เครื่องแต่งกาย หรือการออกแอ็คชั่นต่างๆ ทำให้เราแยกคาแรคเตอร์นั้นๆ ออกได้ง่าย โดยเฉพาะ “เจ้าชายวาตะ” ที่ออกมาสร้างสีสันได้ตลอดทั้งเรื่อง (คนพากย์เสียงสนุกไหลลื่นด้วยนะ)

ในแง่ของการดำเนินเรื่องก็สนุก ดูง่าย ย่อยง่ายด้วย มันมีส่วนผสมของ “Dragon Ball” “หนังซุปเปอร์ฮีโร่” หรือแม้แต่ “ขบวนการเซ็นไต” แล้วใส่ความเป็นไทยลงไป เราคงไม่บอกว่าหนังหยิบเอาแง่มุมไหนมาใช้บ้าง แต่พอมันรวมกันแล้วก็กลายเป็นหนังสูตรที่ดูง่าย แต่มันก็ออกมาเท่และชวนฮึกเฮิมเอามากๆ

 

 

ข้อเสีย

ให้ตายเถอะ #เหมียวฟิ้น ชอบ “9 ศาสตรา” มากจนไม่อยากจะติเลย แต่มันก็ต้องพูดถึงสักหน่อยเพื่อที่ในอนาคตทีมงานจะได้นำไปปรับปรุง ส่วนที่เรารู้สึกขัดใจหน่อยก็คือ “แรงจูงใจ” ของตัวละคร ที่ดันตัดสินใจทำบางอย่างด้วยความรวดเร็วเกินไป หรืออาจจะไม่มีเหตุที่หนักแน่นพอให้เรารู้สึกว่าตัวละครนั้นต้องทำแบบนั้น

ส่วนข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือการ “รวบรัด” เรื่องราวในช่วงต้นเรื่อง ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครออกเดินทางเร็วไป หรือในช่วงกลางเรื่องที่ก็ดูจะมีการเร่งรีบในการเล่าเรื่องบ้างประปราย และอีกนิดหน่อยก็คือหนังมีท่าทีในการสั่งสอนคนดูแบบตรงๆ ไปหน่อย แต่ถ้ามองว่านี่คือแอนิเมชั่นที่ทำให้เด็กๆ ดูได้ง่ายล่ะก็ เราก็พอจะมองข้ามจุดนั้นไปได้นะ

 

 

นอกจากความเห็นของ #เหมียวฟิ้น แล้ว ยังมีของทีมงานเหมียวอีก 2 คนที่ไปดูด้วยนะ

#เหมียวมู่ทู่ “คุณภาพของงานภาพกับเสียงประกอบดีเลยนะ ฉากสู้มันลื่นไหลสุดๆ แต่บทยังไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ งานภาพถือว่าดีมากๆ อาจจะไม่ระดับดิสนีย์ แต่พอมองว่าเป็นของไทยก็มาไกลมาก และยังไปต่อได้อีก แนะนำให้สนับสนุนครับ”

#เหมียวอ๊อดโด้ “หนังดูสนุก ไหลลื่น แต่ติดขัดบทพูดที่มันแปร่งๆ หน่อย เพราะในเรื่องใช้บทพูดแบบไทยโบราณ รู้สึกว่ามันยังไม่เข้ากับปากตัวละคร และเสียงพากย์ยังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

 

 

แต่ไม่ว่าจะมีข้อเสียบ้างยังไงก็ตาม เราก็รู้สึกว่านี่เป็นแอนิเมชั่นที่ควรค่าแก่การไปดูในโรงหนังมาก ควรค่าแก่การสนับสนุน เพื่อที่ว่าในอนาคตเราจะได้ดูแอนิเมชั่นสนุกๆ กันอีก และดูจากทุนสร้างกว่า 200 ล้านบาทแล้ว #เหมียวฟิ้นนี่ตกใจเลย เพราะมันคือเงินก้อนใหญ่มาก ฉะนั้นไปดูกันเยอะๆ นะ (นี่เชียร์แบบไม่ได้ตังค์ด้วยเอ้า) หนังเข้าฉายจริงวันที่ 11 มกราคมนี้นะ

เรียบเรียงโดย เหมียวฟิ้น

Comments

Leave a Reply