คุณแม่เผยภาพอันน่าเศร้าของลูกชายผู้มีบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง จนถึงกับพยายามฆ่าตัวตาย

ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งจะมีลักษณะการแสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างไปจากคนปกติ โมโหร้าย ฉุนเฉียวง่ายและแสดงออกมาเป็นการใช้ความรุนแรง หรือหนักกว่านั้นพวกเขาอาจถึงกับตัดสินใจฆ่าตัวตายเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มคนนี้

เมื่อคุณแม่ที่ชื่อว่า Helen Barnes ได้แชร์เรื่องราวของลูกชายเธอ Jack ผู้ที่มีอาการผิดปกติดังกล่าว และได้พยายามฆ่าตัวตายในวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา

ความผิดปกติของเขาเริ่มต้นขึ้นในเมือง Pembrokeshire ประเทศเวลส์ ตอนที่เขาอายุได้ 13 ปี ในตอนนั้นเด็กหนุ่มต้องเข้ารับการบำบัดเพื่อให้สามารถจัดการกับความโกรธของตัวเอง

 

Helen และลูกชายของเธอ Jack

 

เวลาผ่านไปจนกระทั่งอายุได้ 15 ปีเขาก็เริ่มมีการแสดงออกที่ค่อนข้างรุนแรง หากรู้สึกหงุดหงิดเขาก็จะทำลายข้าวของ กรีดแขนตัวเอง ต่อยกระจกหรือกำแพง ทั้งหมดนั้นทำให้แม่ของเขารู้สึกเป็นห่วงและกังวลอย่างมาก

และถึงแม้เขาจะมีเพื่อนบ้างเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเล่นเกม ไม่ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเหมือนเด็กๆ ในวัยเดียวกัน

ในตอนนั้นความผิดปกติของเขารุนแรงถึงขั้นตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่ช่วยเขาไว้ได้ทันก่อนที่คุณหมอจะวินิจฉัยว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่นี้เป็นผลมาจากความผิดปกติของบุคลิกภาพ

Helen เล่าว่า “ครั้งแรกที่โรงเรียนโทรมาบอกว่าเขาต่อยกำแพง ฉันรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เขาเพราะเขาเป็นเด็กดีมาตลอด เอาใจใส่ดูแลคนใกล้ตัวโดยเฉพาะน้องสาวฝาแฝด Lucy และ Jordan Arthur น้องชายอีกคน”

หลังจากนั้นมาเด็กหนุ่มได้เข้ารับการบำบัดเกี่ยวกับพฤติกรรมและการพูดคุย รวมถึงการบำบัดกันเป็นกลุ่มทุกๆ เดือน

 

 

พออายุ 18 ปีที่เขาเริ่มหาวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและการวางแผนอนาคตไว้ว่าจะไปเที่ยวรอบโลก ช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้

ในตอนนั้นครอบครัวเริ่มคิดว่าเขาสามารถปรับตัวใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างปกติแล้ว แต่ผ่านไปไม่นานสิ่งเลวร้ายที่เกิดจากความผิดปกติก็ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

 

Jordan Arthur (ทางซ้าย) และ Lucy (ทางขวา) พี่น้องของเขา

 

วันที่ 4 มีนาคม 2017 ในตอนที่เขาอายุได้ 19 ปีเขาตัดสินใจออกจากบ้านไปเองคนเดียวตอน 3 ทุ่มครึ่ง เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเขาก็ส่งข้อความหา Helen แม่ของเขาว่า “ฉันรู้สึกอารมณ์มันพลุ่งพล่าน แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”

ด้วยความกังวลและรู้สึกไม่สบายใจกับข้อความดังกล่าวเธอจึงติดต่อผ่านทางเบอร์ปกติไม่ใช่เบอร์ฉุกเฉินกับตำรวจให้ตามไปดูลูกชายของเธอ โดยคิดว่าคงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร

จนกระทั่งตำรวจได้ติดต่อกลับมาก็ทำให้เธอรู้ว่าที่เธอคิดนั้นมันผิด เพราะตำรวจพบว่าเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย แขวนคออยู่ในป่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะรีบตัดเชือกและรีบส่งตัวไปโรงพยาบาล

ในตอนที่รู้ข่าวหัวใจของเธอก็แทบจะแหลกสลายไปในทันที เธอและน้องสาวฝาแฝดของเขาจึงรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน

 

 

แพทย์จากโรงพยาบาล Withybush ได้ออกมาบอกว่าเด็กหนุ่มไม่หายใจไปนานถึง 10 นาที ทำให้ถึงแม้ว่าจะรอดจากความตายมาได้แต่หลังจากนี้เขาก็จะไม่ต่างกับตายทั้งเป็นเพราะการขาดออกซิเจนเป็นเวลานานขนาดนั้นทำให้ร่างกายไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้

เมื่อแพทย์ได้บอกแบบนั้น คนเป็นแม่ถึงกับล้มทั้งยืน เธอบอกว่า “มันเป็นความผิดพลาดของฉันเองที่ไม่โทรไปเบอร์ฉุกเฉินให้ตำรวจรีบตามไปดูเขา ฉันรู้สึกเสียใจมากจริงๆ บอกเลยว่าไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกตัวเองกินอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ไม่มีโอกาสที่จะมีแฟน แต่งงานหรือมีลูกอีกต่อไป ตอนนี้ฉันรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจริงๆ”

 

 

ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายนเขาถูกส่งตัวไปฟื้นฟูระบบประสาทที่โรงพยาบาล Neath Port Talbot ทำให้ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ที่นั่น รวมถึงแม่ของเขาที่ยอมออกงานเพื่อไปดูแลเขาอย่างใกล้ชิด

เขาได้เข้ารับการผ่าตัดที่บริเวณปากเพราะเสียการควบคุมกรามของตัวเองไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มกลับมาพูดได้อีกครั้ง พวกเธอจึงตัดสินใจว่าถ้าเข้าอยากตอบว่า “ใช่” ให้กระพริบตา 1 ครั้ง แต่ถ้า “ไม่” ให้กระพริบตา 2 ครั้งแทน

หลังจากนั้นขณะที่เขากำลังนอนรักษาตัว Helen ถามลูกชายว่ายังอยากตายอยู่มั้ย? เขาจึงกระพริบตา 2 ทีเพื่อเป็นการตอบเธอ และนั่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก

 

 

“แม้จะไม่มีคำพูดออกมาแต่ฉันก็รู้ได้ว่าเขาเจ็บปวดมากขนาดไหน ฉันยังคงกลัวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเราเคยพูดกันว่ากอดของแม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ทำให้เห็นว่าต่อให้พยายามมากขนาดไหนกอดของฉันก็ไม่สามารถลบความเจ็บปวดที่เขาต้องเจอออกไปได้เลย” เธอกล่าว

 

 

จากเหตุการณ์นั้น Jack จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งคือความโชคดีที่เขาอายุยังน้อยจึงทำให้ร่างกายสามารถรอดจากความตายมาได้ แม้ทุกวันนี้เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองก็ตาม

 

ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร ครอบครัวก็จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

 

คุณแม่ตัดสินใจสร้างเพจ GoFundMe เพื่อให้คนเข้ามาบริจาคเงินสำหรับการรักษาของเขา และสำหรับค่าใช้จ่ายซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น เธอบอกว่า “เขาจะอยู่กับฉันไปจนฉันตาย แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะต้องเจอกับความเลวร้ายในการใช้ชีวิตก็ตาม แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

 

เหมียวขอเป็นกำลังใจให้และหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเร็ววันนะ

 

ที่มา: dailymail

Comments

Leave a Reply