แก๊งโจรลงทุน 43 ล้านบาทขุดอุโมงค์ลึก หวังปล้นเงินธนาคารหมื่นล้าน แต่ดันไม่ได้ใช้งานซะงั้น!!

ถ้าหากใครที่เป็นแฟนๆ หนังแนวโจรกรรม อาจจะคุ้นเคยหนึ่งในพล็อตสุดคลาสสิคของหนังแนวนี้กันเป็นอย่างดี นั่นก็คือการขุดอุโมงค์เพื่อไปโผล่ในห้องเก็บตู้เซฟของธนาคาร และกวาดเงินหลายล้านหนีไปอย่างไร้ร่องรอย

ถึงแม้การขุดอุโมงไปโผล่ใต้ตูเซฟในหนังนั้นอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่อันที่จริงแล้วการจะทำแบบนั้นได้แค่มีสกิลพระเอกอย่างเดียวคงไม่พอ และดีไม่ดีอาจะถูกตำรวจจับอย่างหนุ่มชาวบราซิลคนนี้อีกต่างหาก!!

โทษทีนะคะ คุณไม่ใช่เดอะเฟซค่ะ

คุณตำรวจจากเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ได้หยุดยั้งแผนโจรกรรมเงินของธนาคารมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทจากกลุ่มโจรที่พยายามขุดอุโมงค์ใต้ติดเพื่อเข้าไปในธนาคาร

เจ้าหน้าที่พบอุโมงที่มีความยาวถึงครึ่งกิโลเมตรอยู่ใต้ดินในเมืองเซาเปาโล พร้อมกับระบบไฟและเครื่องระบายอากาศอยู่ภายในนั้น เจ้าหน้าที่กล่าวว่าผู้ต้องหารับสารภาพว่าพวกเขาวางแผนที่จะขุดอุโมงดังกล่าวจากบ้านเช่า เพื่อขโมยเงินในธนาคาร Banco do Brasil 

“ถ้าหากแผนการนี้สำเร็จ มันอาจจะเป็นหนึ่งในการปล้นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาเป็นหนึ่งในแก๊งที่อันตรายที่สุดในบราซิล และมีประวัติอาชญากรอย่างโชกโชน “ เจ้าหน้าที่ Fabio Pinheiro Lopes กล่าว

เด็กหนุ่มวัย 16 ปี หนึ่งในผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมได้ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ใกล้ๆ กับโกดังแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเมือง ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขาเริ่มขุดอุโมงค์ดังกล่าว

จากติดตามมาความเคลื่อนไหวของแก๊งนี้มาตลอดระยะเวลา 2 เดือน ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการคนอื่นได้อีกกว่า 20 คน ในการขุดครั้งนี้พวกเขาใช้เงินลงทุนมากถึง 1 ล้าน 3 แสนเหรียญหรือ 43 ล้านบาทเลยทีเดียว

อุโมงค์ดังกล่าวใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 4 เดือน และตอนนี้ตำรวจกำลังเตรียมสอบปากคำของเจ้าของบ้านเช่าที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ดังกล่าว จากการให้สัมภาษณ์ของคุณตำรวจกล่าวว่าแก๊งโจรกลุ่มนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมในธนาคารก่อนหน้านี้

นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ Alceu Céu Gomes Nogueira วัย 35 ปียังถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าของแก๊งนี้ และเขามีส่วนพัวพันกับเหตุโจรกรรมเงินมูลค่ากว่า 13 ล้านเหรียญเมื่อปีที่ผ่านมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตามตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบหาความเชื่อมโยงของแก๊งนี้และกลุ่มก่อการร้ายขนาดใหญ่อย่าง  First Command of the Capital (PCC) และขบวนการค้ายาเสพติดอื่นๆ ว่ามีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่

ที่มา theguardian