ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ “ดาบไวกิ้ง” ตัวแทนแห่งมูลค่า และสัญลักษณ์แห่งอำนาจ…

ดาบยาว (Longsword) หรือสปาตาร์ (Spatha) ไม่ได้เป็นเพียงแค่อาวุธที่น่าเกรงขามเท่านั้น แต่มันยังใช้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่า และมักจะถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดยช่างตีดาบผู้มากฝีมือ

ในบรรดาดาบที่ยังถูกเก็บไว้จนทุกวันนี้ มักจะแฝงไปด้วยเรื่องราวของวัฒนธรรม ศิลปะ สงคราม พิธีกรรมทางศาสนา ประเพณีการฝังศพ กฎหมาย รวมถึงความเกี่ยวข้องทางด้านภาษีด้วย!!

 

 

ในระหว่างการครองราชย์ของกษัตริย์ชาร์เลอมาญ Charlemagne (ค.ศ. 768 – 814) ดาบยาวพร้อมฝักมีมูลค่าเท่ากับ 7 เหรียญ Solidus ซึ่งเป็นสกุลเงินในเวลานั้น

จากการอ้างอิงภายใน Lex Ribuaria ซึ่งเป็นชุดของกฎหมายโบราณจากศตวรรษที่ 7 ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการจ่ายภาษีของผู้คนในยุคสมัยนั้น

การจ่ายภาษีในยุคดังกล่าว มักจะถูกจ่ายด้วยสิ่งของ อย่างเช่น ‘ดาบ’ แทนสกุลเงิน ดังนั้นมูลค่าของสินค้าจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่น่าสนใจคือดาบที่ไม่มีฝัก จะมีมูลค่าเพียง 3 Solidus เท่านั้น แสดงให้เห็นว่ามูลค่าของดาบขึ้นอยู่กับฝักนั่นเอง

ราคานี้เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ ก็เปรียบได้กับม้าที่มีสุขภาพแข็งแรง จะมีราคาเท่ากับ 7 Solidus ในขณะที่วัวสุขภาพดีมีราคาเพียง 1 Solidus เท่านั้น

 

 

ในช่วงแรก นักรบไวกิ้ง จะใช้มีดขนาดใหญ่คล้ายดาบที่เรียกว่า Sax ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นดาบยาวของนักรบไวกิ้ง แต่ Sax จะมีขนาดสั้นกว่า คือยาวไม่เกิน 24 นิ้ว มีคมเพียงด้านเดียว ในขณะที่ดาบยาวจะมีความยาวถึง 43 นิ้ว และมีคมสองด้าน

สำหรับตัวอย่างของดาบยาวนั้น ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งได้รับการกู้คืนมาจากหลุมศพและร้านสะสมของเก่า นอกจากนี้ยังมีการค้นพบตามแม่น้ำ ทะเลสาบ และบึง

ชาวนอร์ส (ไวกิ้ง) มักจะทำพิธีบูชายัญเพื่อเทพเจ้าของพวกเขา โดยจะถวายสิ่งของที่มีค่าอย่างเช่น “ดาบ” โดยการฝังมันไว้ในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์

โดยดาบส่วนหนึ่งที่ถูกค้นพบนั้น ยังมีสภาพดีมากๆ เนื่องจากมันถูกทิ้งอยู่ในที่ที่ไม่มีออกซิเจน ส่งผลให้เหล็กไม่ถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลา

 

 

สำหรับวิธีการและเทคโนโลยีการทำดาบในยุคกลางนั้น ยังไม่เป็นที่เข้าใจและยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามในช่วงศตวรรษที่ 9 เมื่อเหล็กกล้าเกรดสูงมีการเชื่อมแบบใส่ลวดลาย ซึ่งถูกใช้มาอย่างน้อย 600 ปี ได้รับความนิยมน้อยลงกว่าช่วงที่ผ่านมามาก

เนื่องจากมีดาบที่ทำจากเหล็กที่มีคุณภาพสูงเข้าแทนที่ โดยจะมีลักษณะใบมีดที่แคบและเรียวกว่าดาบในยุคที่ก่อนๆ ซึ่งความเรียวที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ความสมดุลอยู่ใกล้กับด้ามจับมากขึ้น นั่นทำให้การใช้งานง่ายขึ้นด้วย

 

 

นอกจากนี้คุณสมบัติที่โดดเด่นของดาบดังกล่าวอยู่ที่ด้ามจับ โดยมีการออกแบบให้จับถนัดมือ มันจะไม่ลื่นหรือทำให้หลุดมือเวลาที่ใบมีดถูกเหวี่ยงแรงๆ ที่สำคัญมักจะถูกตกแต่งด้วยของมีค่า หรือแม้แต่การฝังอัญมณีไว้ที่ด้ามจับด้วย

 

 

สำหรับดาบในช่วงศตวรรษที่ 8 มักจะนิยมสลักลวดลายไว้บนใบมีด ซึ่งลวดลายเหล่านั้นบ่งบอกถึงวิถีชีวิตเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์

การสลักใบมีดได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 12 ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากที่สุด ยกเว้นในศตวรรษที่ 10 ดาบไวกิ้งจะทำด้วยเหล็กธรรมดาทั่วไปและไม่ค่อยมีลวดลาย

 

 

ต่อมาดาบของชาวแฟรงก์ ได้ถูกค้นพบทั่วสแกนดิเนเวีย รวมทั้งทางตะวันออก อย่างโวลก้าและบัลแกเรีย การกระจายของดาบนี้ เป็นการบ่งบอกว่ามันเป็นอาวุธส่งออกที่สำคัญ และมีมูลค่ามากในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม มีคนบอกว่าจริงๆ แล้ว กษัตริย์คาโรแลงเจียนพยายามลดการส่งออก เพราะเกรงว่าดาบจะไปตกอยู่ในมือของศัตรู

 

 

จนกระทั่งสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 2 หรือ ชาร์ลส์เดอะบอลด์ ในปีค.ศ. 864 ได้มีการตั้งกฎให้ประหารชีวิตทุกคนที่ส่งออกหรือจำหน่ายดาบของชาวแฟรงก์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตามบันทึกของ Ibn Fadlan ชาวอาหรับบอกว่า ดาบของชาวแฟรงก์ยังคงหาซื้อได้ในศตวรรษที่ 10 เนื่องจากพบเห็นชาวไวกิ้งในแคว้นโวลก้า ครอบครองดาบชนิดนี้อยู่ ซึ่งคาดว่าอาจจะมีชาวแฟรงก์ฝ่าฝืนคำสั่ง และลักลอบส่งออกดาบอย่างลับๆ

 

 

ในช่วงปี 869 โจรสลัดอาหรับได้จู่โจมบนเกาะ Camargue ซึ่งอยู่ทางใต้ของฝรั่งเศส อาร์คบิชอป Rotland of Arles ถูกจับเป็นตัวประกัน และถูกตั้งค่าไถ่ด้วยดาบจำนวน 150 เล่ม

นั่นหมายความว่าดาบมีความสำคัญต่อคนในยุคนั้นมาก ยิ่งประเทศไหนครอบครองดาบจำนวนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงอำนาจของประเทศนั้น

 

 

ปัจจุบันมีตัวอย่างดาบสปาตาร์จำนวนมากที่ถูกค้นถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ และเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราวในอดีตนั่นเอง

ที่มา thevintagenews

Comments

Leave a Reply