การดิ้นรนเพื่อชีวิต ของเหล่าเด็กๆ ในเหมืองคองโก ยากลำบากไม่ต่างไปจาก ‘ผืนนรกบนดิน’

การใช้แรงงานคนเพื่อการก่อสร้าง ขนย้ายสิ่งของ หรืออย่างการขุดเหมืองควรจะมีความเหมาะสม มีการดูแลจัดการที่ดี และทว่าเหมืองแห่งนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ที่ต้องทำให้คนงานต้องมาทนอยู่กับสภาพเหมือนนรกบนดิน แถมยังมีการใช้แรงเด็กสี่ขวบให้เข้ามารับอันตรายไปด้วย

โดยเหมืองแห่งนี้เป็นแหล่งในการขุดหาแร่โคบอลต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดกาตังกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งความอันตรายนั้นสูงมากเพราะมันจะสร้างหมอกพิษที่ทำลายดวงตาและเสี่ยงที่จะเป็นโรคผิวหนังกับปอดได้

 

หากเด็กๆ ทำงานไม่ดี อาจจะถูกทำร้ายจากผู้คุมงานด้วย

 

แต่เจ้าแร่อันตรายตัวนี้นั้นคือส่วนประกอบหลักของการสร้างรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังพัฒนาและมีอัตราการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากแนวโน้มของรัฐบาลในประเทศอังกฤษ ที่มีการประกาศห้ามขายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันในปี 2040

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในประเทศคองโกที่สามารถหาแร่ชนิดนี้ได้ง่าย ต้องดึงแรงงานมาขุดเหมืองเพิ่มมากขึ้น จนเมื่อทางสำนักข่าว Sky News ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่นี้ก็ได้เจอกับ Dorsen เด็กน้อยวัยแปดขวบ หนึ่งในคนงานเหมือง…

เด็กคนนี้ต้องเจอกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในทุกวัน เพื่อช่วยพ่อหาเงินไปกินข้าวหลังจากที่แม่ของเขาได้เสียชีวิตลง โดยเขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในจำนวนเด็ก 40,000 คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับงานประเภทนี้

 

 

นอกจากนั้นอาหารการกินในที่ปลูกขึ้นบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยสารพิษที่หากกินเข้าไปก็จะทำให้อาเจียน ท้องเสีย อีกทั้งเกิดปัญหากับต่อมไทรอยด์และปอดอีกด้วย ถึงขนาดว่านกหรือปลาแถวนั้นไม่สามารถทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ได้

 

Dorsen คนซ้าย และ Richard เพื่อนของเขา

 

ไม่มีใครรู้ได้ว่ามีเด็กที่ทำงานในเหมืองเหล่านี้ต้องสังเวยชีวิตไปกี่คนแล้ว เนื่องจากตายไปก็จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ที่ถูกทำลาย หากคนที่มีชีวิตรอดก็ยังต้องทนกับความเจ็บปวด เด็กผู้หญิงก็จะถูกคุกคามทางเพศหรืออาจจะท้องตั้งแต่อายุแค่ประมาณ 10 ขวบ

มีคนออกมาพูดว่าถึงแม้การที่ได้มีพลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในคองโกนั้นมันกลับตรงกันข้ามกันเลย แล้วนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วหรือ?

 

 

เมื่อองค์กรที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนได้ทำการตรวจสอบกับโรงงานที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 16 แห่งก็พบว่าไม่มีที่ไหนที่ทำตามข้อบัญญัติพื้นฐานความรับผิดชอบในการขุดหาแร่ชนิดนี้เลย ซึ่งทำให้เห็นว่ายังมีอีกหลายที่ที่มีสภาพอันโหดร้ายแบบนี้

 

 

ถึงอย่างไรเมื่อข่าวนี้ได้ออกอากาศออกไปก็ทำให้ได้มีคนบริจาคเงินสนับสนุนเข้ามาทำให้เด็กน้อยกับเพื่อนของเขาอีกคนได้ออกมาและใช้ชีวิตอยู่ในโบสถ์ ได้ที่พักอย่างมีความสุข

แต่ก็อย่าลืมกันนะครับว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังคงมีเด็กอีกมากมายที่จะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไไปได้หรือไม่ที่จะทำให้ปัญหานี้หมดไปซะที…

ที่มา: dailymail

Comments

Leave a Reply