ชายหนุ่มเล่าประสบการณ์สุดช็อค รอดชีวิตจากความสูง 14,000 ฟุต หลังกระโดดร่มแล้วไม่กาง!!

บนโลกของเรานั้นมีกิจกรรมกีฬาเอ็กซ์ตรีมอยู่มากมาย ซึ่งกีฬาเหล่านี้มีความเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก หากมีข้อผิดพลาดขึ้นเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว

เช่นเดียวกันกับเรื่องราวของนาย Brad ชายหนุ่มชาวออสเตรเลียที่ได้มีโอกาสไปเล่นกีฬา ‘กระโดดร่ม’ แต่เกิดปัญหาขึ้นไม่สามารถดึงร่มชูชีพออกมาได้ ทำให้เขาต้องดิ่งลงพื้นไปทั้งๆ อย่างนั้น และโชคดีที่ยังเอาขีวิตรอดมาได้

Brad ได้วางแผนที่จะไปโดดร่มในระหว่างการออกทริปครอบครัวที่รัฐ Victoria ประเทศ Australia ในปี 2013 ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุ 22 ปี

 

 

เนื่องจากความล่าช้า จึงทำให้เขาและครอบครัวต้องรออยู่ที่สนามบินนานเป็นชั่วโมง โดยที่เรียกว่าครอบครัวนั้นอยู่กันแทบจะครบเลยทีเดียว ประกอบด้วย แม่ พ่อ พี่สาว 3 คนพร้อมทั้งสามีของพวกเธอ หลานอีก 4 คน และเพื่อนของเขาในตอนนั้น

สิ้นสุดการรอคอย เขาก็ได้ขึ้นเครื่องเพื่อที่จะกระโดดร่ม และปล่อยให้ครอบครัวได้รอดูอยู่ข้างล่าง

Brad ได้เล่าว่า Bill ครูฝึกโดดร่มที่จะกระโดดไปพร้อมกันนั้น หลังจากที่ได้ติดกล้อง GoPro เข้ากับเอวและเตรียมที่จะโดดลงจากเครื่องบินก็ได้ถามเขาว่า ‘อยากพูดอะไรส่งท้ายมั้ย?’

ตัว Brad เองจึงตอบว่า ‘หว้งว่าร่มชูชีพของผมจะสามารถใช้งานได้นะ’

 

 

หลังจากที่ทั้งคู่รัดตัวเองเข้าด้วยกันแล้ว จึงโดดลงมาและเริ่มลอยตัวอย่างอิสระ Brad พูดเลยว่าวิวในตอนนั้นมันสวยงามมาก และในช่วงวินาทีแรกก็สามารถรู้สึกได้ถึงความรู้สึกสบายๆ

แต่หลังจากนั้น Bill ก็ได้พูดขึ้นอย่างตระหนกว่า ‘ใช้ร่มชูชีพนั้นไปแล้ว แต่กลับไม่ลดความเร็วในการร่วงหล่นของพวกเขาได้เลย จึงสงสัยและหันไปดูพบว่าร่มชูชีพนั้นไม่ได้กางออกมา’ ทำให้ทั้งคู่ตกใจอย่างสุดขีด

Bill ได้พยายามที่จะดึงเชือกที่ติดอยู่กับร่มชูชีพให้กางออกเพื่อต้านรับแรงลมไว้แต่ก็ไม่เป็นผล ร่างของทั้งสองที่ติดกันอยู่นั้น เริ่มส่าย และหมุนไปมาอย่างไร้จุดหมายตามแรงลม ในขณะที่กำลังพุ่งเข้าสู่พื้นโลก

 

 

เหมือนจะมีความหวังเมื่อ Brad ได้หันขึ้นไปดูและพบว่าร่มชูชีพฉุกเฉินได้กางออกมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องรู้สึกกลัวจนแทบบ้ามากกว่าเดิมก็คือ ร่มชูชีพทั้งสองมันพันกันเสียจนดับความหวังชั่วพริบตาไป

และด้วยความพยายามในการแก้ปัญหา Bill ก็ได้ลองใช้มีดตัดเอาร่มชูชีพอันใดอันนึงออกแต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย

ในตอนนั้น Brad ก็ได้โดนความเศร้า และความรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวของเขานั้น ต้องมาดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาวิ่งเข้าหาจิตใจของเขา

ประโยคสุดท้ายที่พูดคือ ‘นี่เราจะตายมั้ย?’ Bill จึงตอบกลับว่า ‘ผมไม่รู้’ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ตกลงถึงพื้นด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะกระดอนจากสนามกอล์ฟไปลงทะเลสาบ

สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในตอนนั้นคือ ทั้งคู่รอดชีวิตมาได้!!

 

 

“ความเจ็บในตอนนั้นมากจนเกินกว่าจะอธิบายได้ มันเหมือนกับมีคนที่พยายามจะดึงเอากระดูกสันหลังออกมาจากร่าง มันคือความเจ็บที่ทรมานมากที่สุด กระโหลกมันสั่นไปหมด หายใจไม่ออก หน้าอกรู้สึกกเหมือนกับว่ามันยุบลงไปเอง” Brad ได้กล่าวไว้

เขาพยายามที่จะตะโกนเรียกให้ร่างไร้สติของครูฝึกที่ติดอยู่กับเขานั้นตื่นขึ้น กลุ่มคนเล่นกอล์ฟที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้ามาช่วยทั้งคู่ขึ้นจากทะเลสาบ และปลดชุดที่มัดทั้งสองไว้ออก

Bill ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ในขณะที่ Brad นั้นได้ขึ้นรถฉุกเฉิน โดยก่อนที่เขาจะได้ขึ้นไปนั้น ก็ได้เห็นแม่กับพี่สาวกำลังวิ่งมาพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเต็มใบหน้า เนื่องด้วยว่าสนามกอล์ฟห่างจากสนามบินไปไม่มาก

และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่ได้สร้างความทรงจำที่เลวร้ายให้กับครอบครัวของตัวเอง ทั้งที่ไม่อยากให้คนในครอบครัวจะต้องเสียใจหรือร้องไห้เลย

หมอบอกถึงอาการเจ็บว่า กระดูกสันหลังช่วงบนหักช่วงล่างร้าว เอ็นฉีกขาดบริเวณคอ และกระดูกซี่โครงหักอีกหลายซี่ คืนแรกในการนอนโรงพยาบาลนั้น ทุกครั้งที่หลับตาก็จะเห็นแต่ภาพที่เขากำลังร่วงหล่นมาหลอกหลอนอยู่ซ้ำๆ

หลังจากผ่านไปสี่วัน Brad ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล แต่การรักษาตัวที่แท้จริงก็เริ่มจากตรงนั้น

ใน 5 เดือนแรกเขาไม่สามารถหลับได้อย่างสนิท และยังคงต้องพึ่งยา จากอาการความวิตกกังวลอยู่เสมอ

จากที่เขาเคยเป็นคนที่ น่าดึงดูด รักในการผจญภัย ชอบเข้าสังคม ในตอนนี้คนคนนั้นได้หายไปแล้ว ในใจของเขาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และขังตัวเองเอาไว้ภายในห้อง ปฏิเสธที่จะเจอกับผู้คน เพราะมองว่าตัวเองเป็นภาระ

 

 

เขารับรู้ได้ว่าครอบครัวได้พยายามที่จะช่วยด้วยความเต็มใจอยู่เสมอ เมื่อเวลาผ่านไปเข้าจึงเข้ารับการบำบัด จากการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรค เครียด วิตกกังวล ฝันร้าย และ ความเครียดที่เกิดขึ้นหลังจากการพบกับประสบการณ์ที่สะเทือนใจ (เราเรียกอาการนี้ว่า PTSD)

เขาพิมพ์อาการของเขาเพื่อที่จะหาวิดีโอที่เกี่ยวข้องในการศึกษาถึงผู้ที่เป็น PTSD หรือ โรคเครียดเหมือนกัน มันคงเป็นสิ่งที่ถูกต้องหากเขาต้องการเห็นถึงประสบการณ์ที่คล้ายกันจากผู้อื่นว่าสิ่งที่ต้องเจอเป็นอย่างไร ในเมื่อเขาไม่สามารถมีความอดทนได้เพียงพอ

“ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ต้องการแค่เพียงคนแปลกหน้าจากที่ใดบนโลกก็ได้ ที่จะมาพูดว่า เขาก็เป็น PTSD และนี่ก็คือสิ่งที่ต้องเจอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะช่วยให้ผมรู้สึกมีความหวังอย่างมากที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมปกติ” Brad กล่าว

สิ่งที่เขาต้องการในตอนนั้นคือการกลับไปทำงาน เพื่อเติมเต็มความรู้สึกปกติอย่างเมื่อก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นดั่งที่หวัง และเมื่อต้องออกจากงาน Brad ก็ได้เปลี่ยนให้วิกฤติเป็นโอกาส

เขาได้ซื้อ กล้อง แลปท็อป ไมโครโฟน และหลอดไฟใหม่ ในการช่วยให้เขาได้ลองทำ Vlog ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุเขาก็ยังคงลังเลที่จะเป็น Youtuber แต่ตอนนี้มีอุปกรณ์เครื่องมือครบแล้ว จึงลองที่จะทำวิดีโอตลกๆ ขึ้นมา และได้ช่วยเยียวยาอาการทางจิตของตัวเอง

“ทุกความคิดเห็นที่สนับสนุนผมทำให้ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากกับสังคมเล็กๆ ตรงนี้ ผมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ และ พวกเขาก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวผม’ Brad ยังกล่าวอีกว่า ‘การมองหาคนที่จะพูดคุยด้วยเพื่อหลีกหนีความเงียบ มันไม่ใช่ทางแก้โดยตรง แม้แต่เวลาจะช้านานก็ไม่สำคัญ แต่ว่าสักวันทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”

หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อหา Bill ครูฝึกของเขาที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าเขาหาเบอร์ติดต่อ หรืออีเมล์ไม่ได้ เพียงแต่สภาพจิตใจยังไม่พร้อมที่จะเจอกันในตอนนี้ มันยากที่จะอธิบายความรู้สึก ทั้งความรู้สึกผิด และไม่อยากให้ Bill จะต้องรู้สึกผิดและคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้

แต่ในตอนนี้หลังจากที่สภาพจิตใจได้รับการเยียวยามาบ้างแล้ว เขากลับต้องการที่จะพูดคุยกับ Bill ถึงเรื่องที่เฉยชา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสายสัมพันธ์ และสื่อถึงอารมณ์ได้อย่างมากเรื่องนึง

 

ถ้าใครอยากจะฟังเสียงของเขาให้ได้อารมณ์ ก็ตามวิดีโอคลิปด้านล่างนี้เลยครับ…

 

ที่มา ladbible

Comments

Leave a Reply