การดื่มโค้ก 1 กระป๋องจะทำอะไรกับร่างกายของเราบ้าง หลังจากผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง…

ใครที่ชอบดื่มโค้กเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายสดชื่นจากความซ่าของโค้กแล้ว เคยสงสัยมั้ยว่ามันจะทำอะไรกับร่างกายของเราอีกบ้าง!?

นี่คือข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับการเปิดเผย เกี่ยวกับปฏิกิริยาของร่างกายหลังดื่มโค้กเข้าไปแล้วในเวลา 1 ชั่วโมง

ผลการวิเคราะห์เหล่านี้รวบรวมโดย The Renegade Pharmacist ซึ่งเป็นบล็อกที่ดูแลโดยอดีตเภสัชกรชาวอังกฤษ Niraj Naik โดยชี้ให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ของโค้กถึง 7 จุดด้วยกัน

 

 

ใน 10 นาทีแรก น้ำตาล 10 ช้อนชาจะทำปฏิกิริยากับระบบในร่างกายของคุณ (เป็นปริมาณ 100% ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน)

20 นาทีต่อมา น้ำตาลในเลือดจะทำให้อินซูลินหลั่งออกมา ในขณะเดียวกันตับของคุณจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้โดยการเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นไขมัน

40 นาทีต่อมา ร่างการจะดูดซึมคาเฟอีนเป็นที่เรียบร้อย รูม่านตาของคุณจะขยายออก ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าตับของคุณกำลังส่งน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น นอกจากนี้ตัวรับอะดีโนซีนในสมองของคุณจะเกิดการทำงาน ทำให้คุณไม่รู้สึกง่วง

 

 

45 นาทีต่อมา ร่างกายของคุณจะเพิ่มการผลิตโดปามีน เพื่อกระตุ้นสารแห่งความสุขในสมองของคุณ ซึ่งขั้นตอนนี้ร่างกายจะตอบสนองคล้ายๆ กับเวลาเสพเฮโรอีน

จนกระทั่งนาทีที่ 60 กรดฟอสฟอริกจะทำปฏิกิริยากับแคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีในลำไส้เล็กของคุณเพื่อเพิ่มการเผาผลาญอาหาร

ประกอบกับปริมาณน้ำตาลที่สูงรวมทั้งสารให้ความหวาน ส่งผลให้เพิ่มการขับถ่ายแคลเซียมในปัสสาวะ ซึ่งในนาทีที่ 60 นี้ ในปัสสาวะจะมีคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นให้คุณต้องฉี่

ดังนั้นในขั้นตอนนี้มั่นใจได้เลยว่า คุณกำลังขับถ่ายเอาแคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีที่เชื่อมต่อกับกระดูกของคุณรวมทั้งโซเดียมอิเล็กโทรไลต์และน้ำออกจากร่างกาย

 

 

นอกจากนี้ในระหว่างที่คุณปัสสาวะในช่วง 60 นี้ ระดับน้ำตาลในร่างกายจะเริ่มมีความผิดพลาด อาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดหรือมีความเฉื่อยเพิ่มขึ้น

 

 

จากข้อมูลเหล่านี้ Naik บอกว่า เครื่องดื่มที่มีฟองและน้ำตาลมักจะเป็นตัวการทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับความดัน เช่น โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายคนที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้แล้วอ้างว่าเป็นการกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว แต่แท้จริงแล้วผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การที่เรามีอาการง่วงซึมไม่ได้เกี่ยวกับการขาดคาเฟอีน แต่เป็นเพราะปัจจัยอื่นๆ เสียมากกว่า

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply