เรื่องจริงของ ‘ยูยังซอล’ ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดจากเกาหลีใต้ ที่ถูกนำมาตีแผ่สู่ภาพยนตร์!!

เรื่องราวที่เราจะนำเสนอดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในประเทศเกาหลีใต้ และมันก็น่ากลัวซะจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Chaser (2008) และ Voice (2017) อีกด้วย

ยูยังซอล เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1970 เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน และเต็มไปด้วยปัญหาจากแม่เลี้ยงใจร้ายที่มักจะทุบตี และขู่ฆ่าเค้าอยู่เป็นประจำ

กระทั่งในปี 1984 เขาเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน และสามารถสอบชิงทุนได้ ทว่าสุดท้ายเจ้าตัวก็ไปไม่รอด ด้วยความยากจนทำให้เขาเริ่มลักเล็กขโมยน้อย เขาถูกตำรวจจับได้ และถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักกันในปี 1987

 

ยูยังซอล

 

ต่อมาในช่วงปี 1991 เขาได้แต่งงานกับโสเภณีคนหนึ่ง และอยู่กินร่วมกัน แต่ด้วยความที่เขาไม่สามารถหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้านได้ เขาจึงกลับไปทำนิสัยลักขโมยอีกครั้ง และก็ทำให้ตัวเองถูกจับกุมเป็นเวลานาน 8 เดือน

อาการผิดปกติทางจิตใจของเขาเริ่มแสดงให้เห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ เขาเป็นลมชัก โรคซึมเศร้า มีอาการคลุ้มคลั่ง และพยายามที่จะฆ่าตัวตายอยู่หลายหนแต่ไม่สำเร็จ

จนปี 1995 หลังออกจากเรือนจำ เขาเลือกที่จะกลับเข้าสู่สังคมด้วยเส้นทางอาชญกรรม เขาเริ่มขายสื่อลามก ปลอมแปลงเอกสาร ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเก็บส่วย และโจรกรรม ทำให้ถูกจับกุม และต้องติดอยู่ในเรือนจำต่อไปอีก 2 ปี

 

 

หลังพ้นโทษเขาถูกปล่อยตัวกลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกต่อไป เพราะในปี 2000 เขาก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ทำให้ต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำต่ออีก 3 ปี (อีกแล้ว) และครั้งนี้เองที่ภรรยาได้ยื่นเรื่องขอหย่าร้างกับเขา ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก

เขาเริ่มโทษสังคมที่เลื่อมล้ำ อ้างว่าความผิดทุกอย่างเกิดขึ้นจากคนรวย และคนรวยต้องตายเหมือนสุนัขข้างถนน ด้วยความคิดอันน่ากลัวนี้ ส่งผลทำให้เขาฆาตกรรมเหยื่อไปทั้งหมด 20 ราย ภายในเวลา 11 เดือน (ตั้งแต่ 24 กันยายน 2003 – 15 กรกฏาคม 2004)

 

ศาสตราจารย์ลี และภรรยา สองเหยื่อผู้บริสุทธิ์ที่ถูกยูยังซอลบุกเข้าไปฆาตกรรมถึงบ้าน โดยใช้มีดกระหน่ำแทง จากนั้นก็ใช้ค้อนทุบจนศรีษะจนแตกละเอียด

 

ตลอดระยะเวลาที่เขาออกไล่ล่าฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์ที่มีฐานะร่ำรวย เขาหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการปลอมตัวเป็นตำรวจ เรียกเก็บส่วยจากโสเภณี และแมงดาทั้งหลาย ทำให้เขามีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย

11 ธันวาคม 2003 เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มซื้อบริการทางเพศ เขาได้ไปเจอกับโสเภณีคนหนึ่งและตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง จนถึงกับขอเธอแต่งงาน

ทว่าโสเภณีคนนั้นกลับปฏิเสธ ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้น และลงมือฆาตกรรมเธออย่างโหดร้าย ด้วยการทุบตีด้วยค้อน และใช้สิ่วแทงจนเสียชีวิต (เขาใช้วิธีนี้กับเหยื่อทุกราย)

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกติดใจกับการได้ฆาตกรรมโสเภณี เขามักจะใช้วิธีโทรเรียกพวกเธอมาให้บริการ ที่โรงแรมม่านรูด จากนั้นก็ลวงไปฆาตกรรม โดยชิ้นส่วนของศพจะถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ และนำไปฝังไว้ตามจุดต่างๆ

 

เขาเปลี่ยนเป้าหมายจากคนรวย มาเป็นโสเภณีแทน ด้วยความคิดที่ว่าเป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ ไม่รู้จักพอ และสมควรตายไปให้สิ้นซาก

 

ภาพของอพาร์ทเม้นท์ที่ยูยังซอล ใช้อยู่อาศัยในระหว่างที่ก่อคดี

 

ทว่าในวันที่ 15 กรกฏาคม 2004 ยูยังซอลพลาดท่าถูกจับด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายในห้องเช่า บวกกับความสงสัยในตัวเขาจากกลุ่มแมงดา เพราะที่ผ่านมามีโสเภณีหลายคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ในที่สุดเขาก็เปิดปากรับสารภาพ

16 กรกฏาคม 2004 เขาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมด้วยข้อหาฆาตกรรมอำพรางศพ เขาได้พาทั้งตำรวจ และนักข่าว ไปชี้จุดที่ใช้ทิ้งศพ พร้อมกับให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า ‘ผู้หญิงพวกนี้ทำตัวร่านกับผู้ชาย ผมก็แค่สั่งสอนพวกมันก็เท่านั้น!’ อีกทั้งยังสารภาพด้วยว่า บางทีเขาก็นำชิ้นส่วนของศพมารับประทานเป็นอาหารด้วยเช่นกัน

 

6 กันยายน 2004 ยูยังซอลขึ้นศาล เขาให้การณ์ว่าฆาตกรรมไปทั้งหมดแค่ 2 ศพ และจู่ๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง จะพุ่งไปทำร้ายผู้พิพากษา ทำให้เขาถูกตัดสินว่ามีปัญหาทางจิต

 

9 มิถุนายน 2004 ยูยังซอลถูกศาลตัดสินให้รับโทษประหารชีวิต แต่สมัชชาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการยกโทษประหารชีวิตให้เขาเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าการประหารชีวิตไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น

ทำให้ปัจจุบันยูยังซอล ยังคงมีชีวิตอยู่ในเรือนจำแดนประหาร พร้อมกับนักโทษประหารอีกกว่า 60 ชีวิต และดูเหมือนว่าจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาได้ก่อขึ้นจนถึงทุกวันนี้ เจ้าตัวก็ยังไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย!

 

ภาพจากภาพยนตร์ The Chaser

 

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องน่ากลัวแบบนี้อยู่จริง บรึ๋ยยยยย…..

ที่มา: Murderpedia, Pantip, Wikipedia

Comments

Leave a Reply