จากชีวิตจริง “แจน โบรเบิร์ก” จิตซ่อนเงื่อน เพื่อนบ้านมหาภัย จนถูกนำไปสร้างสารคดี

เมื่อไม่นานมานี้ เน็ตฟลิกซ์ได้นำเสนอภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Abducted in Plain Sight” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “จิตซ่อนเงื่อน เพื่อนบ้านมหาภัย” ถ่ายทำมาจากเรื่องจริงของแจน โบรเบิร์ก

ครอบครัวโบรเบิร์กมีกันทั้งหมด 5 คน ประกอบไปด้วย พ่อชื่อบ็อบ แม่ชื่อแอนน์ แจนเป็นลูกสาวคนโต และมีน้องสาว 2 คน คือคาเร็น และซูซาน ทั้งหมดได้ย้ายบ้านมาอยู่เมืองไอดาโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ที่เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้น

 

ครอบครัวโบรเบิร์ก

 

ที่นี่เองที่ครอบครัวโบรเบิร์กได้พบกับครอบครัวเบิร์ชโทลด์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้แจนถูกลักพาตัวถึง 2 ครั้ง และถูกทารุณกรรมทางเพศอยู่หลายปี

เนื่องจากโรเบิร์ต เบิร์ชโทลด์ ได้ใช้หลักจิตวิทยาสร้างความสนิทสนมกับครอบครัวโบรเบิร์ก และได้รับความไว้วางใจให้ใกล้ชิดกับลูกๆ ได้ นั่นเป็นเพราะเขาหวังอยากได้แจนเป็นภรรยา

 

แรกพบระหว่างครอบครัวเบิร์ชโทลด์และครอบครัวโบรเบิร์ก

 

ทั้ง 2 ครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ลูกสาวทั้ง 3 ของครอบครัวโบรเบิร์ก รวมถึงแจนนั้นเรียกโรเบิร์ตว่า “พ่อ” หรือ “บี” (ชื่อกลางของเขา) เพื่อแสดงถึงความสนิทสนม

แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือแผนการในการลักพาตัวแจน เพราะเขาเชื่อว่าการได้พบเธอเป็นพรหมลิขิต

เขาใช้โอกาสที่ได้รับความไว้วางใจนอนบนเตียงแจนพร้อมกับแจน โดยอ้างว่าเป็นหนึ่งในการรักษาโรคของเธอ และด้วยท่าทีที่แสดงออกมามีความใจดี มีเมตตา ทำให้บ็อบ และแอนน์ไม่ระแคะระคายเลยว่าโรเบิร์ตนั้นจะเป็นคนร้ายได้

 

การลักพาตัวครั้งแรก – 17 ตุลาคม 1974

 

เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นในปี 1974 หลังจากโรเบิร์ตขออนุญาตแอนน์ไปรับแจนที่โรงเรียนและพาไปขี่ม้า โรเบิร์ตเริ่มแผนการลักพาตัวแจนทันที โดยจัดฉากให้เหมือนทั้ง 2 คนถูกลักพาตัวโดยคนร้าย

ทั้งที่ความจริงแล้วโรเบิร์ตเป็นคนลักพาตัวแจนไปประเทศเม็กซิโก เพื่อแต่งงานกันในขณะที่เธอมีอายุแค่ 12 ปี (ขณะนั้นประเทศเม็กซิโกให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปแต่งงานได้อย่างถูกกฎหมาย)

 

 

แจนไร้เดียงสากว่าที่จะรู้อะไรมากนัก ซ้ำเธอยังถูกล้างสมองให้เชื่อว่าเธอเป็นลูกครึ่งเอเลี่ยน โดยโรเบิร์ตได้สร้าง “ภารกิจ” ต่างๆ ให้เธอทำ อ้างว่าเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนของเธอ

โดยหนึ่งในภารกิจนั้นคือมีลูกกับเขาก่อนอายุ 16 ปี ไม่เช่นนั้นน้องสาวต้องทำภารกิจนี้แทนเธอ และมันอาจส่งผลกระทบให้ครอบครัวเธอตาบอด หรือเสียชีวิตได้หากทำไม่สำเร็จ นั่นทำให้เธอยอมมีเพศสัมพันธ์กับเขา เพราะคำขู่จอมปลอมพวกนี้เอง

 

 

ต่อมา โรเบิร์ตต้องการกลับมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และอยากได้การยอมรับเรื่องการแต่งงานของเขาและแจนจากครอบครัวโบรเบิร์ก

แน่นอนว่าครอบครัวโบรเบิร์กไม่มีทางยอมรับ ทั้งบ้านเลยตัดสินใจไปประเทศเม็กซิโกเพื่อรับตัวแจนกลับมา และแจ้งตำรวจจับโรเบิร์ตข้อหาลักพาตัว

 

ผลกระทบจากการลักพาตัวครั้งแรก

 

แจนมีความสับสน และเธอเชื่อว่าระหว่างโรเบิร์ตกับเธอนั้นคือความรักอย่างแท้จริง นั่นทำให้ทั้งคู่ยังติดต่อกันอยู่ทั้งทางโทรศัพท์ และเขียนจดหมาย

ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่แต่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอปลอดภัยจากโรเบิร์ตน้อยลงเลย คืนหนึ่ง โรเบิร์ตได้นำเทปเพื่อล้างสมองเธอ นั่นทำให้แจนเชื่อว่าเธอยังต้องทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาจึงมีเพศสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง

และไม่น่าเชื่อว่าแอนน์ผู้เป็นแม่ของแจนนั้นก็มีความสัมพันธ์ลับๆ กับโรเบิร์ตด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าโรเบิร์ตนั่นปั่นหัวทุกคนในครอบครัวโบรเบิร์กเลยทีเดียว

โรเบิร์ตถูกตัดสินจำคุก 5 ปี แต่ก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 45 วัน และท้ายที่สุด เขาใช้เวลาอยู่ในคุกแค่เพียง 10 วันเท่านั้น ซึ่งขณะที่เขาถูกจำคุก เขาได้โน้มน้าวนักโทษจำนวน 2 คนให้ไปเผาร้านค้าของครอบครัวโบรเบิร์กด้วยเงิน 1,000 ดอลลาร์

 

การลักพาตัวครั้งที่สอง – เดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 1976

 

ช่วงฤดูร้อนปี 1976 ตำรวจถูกแจ้งความว่าแจนหนีออกจากบ้าน ทั้งนี้ FBI เชื่อว่าโรเบิร์ตรู้ว่าแจนอยู่ที่ไหน และในเดือนพฤศจิกายนนี้เองที่ความจริงถูกเปิดเผยหลังจาก FBI ได้ติดตามโรเบิร์ตมาหลายเดือน จนพบว่าแจนถูกโรเบิร์ตลักพาตัว

โรเบิร์ตติดต่อให้แจนเข้าเรียนในโรงเรียน โดยบอกกับทางโรงเรียนว่าเขาเป็น CIA อยู่ระหว่างการหลบหนี และเพื่อให้แจนปลอดภัย เขาใช้ทักษะทางจิตวิทยาบอกโรงเรียนให้ปิดข้อมูลของแจนเป็นความลับกับทุกคนที่ถามถึงแจน เพราะคนเหล่านั้นอาจเป็นคนร้ายได้

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อ FBI ติดต่อเข้าไปจึงไม่ได้รับความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลของแจน เพราะทางโรงเรียนเชื่อว่าสิ่งที่โรเบิร์ตบอกเป็นความจริง

ทั้งนี้ FBI ก็สามารถช่วยแจนออกมา และพาเธอกลับบ้านในไอดาโฮได้สำเร็จ โดยแจ้งจับโรเบิร์ตในข้อหาลักพาตัวอีกเช่นกัน

 

ผลกระทบจากการลักพาตัวครั้งที่สอง

 

โรเบิร์ตถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตัดสิน ทั้งนี้ เขากลับถูกตัดสินให้อยู่ในสถานบำบัดทางจิตในปี 1997 แต่เขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น

 

แจนยังเชื่อว่าเธอต้องทำ “ภารกิจ”

 

ในที่สุด เมื่อแจนอายุ 16 ปี เธอก็เริ่มระแคงใจว่า “ภารกิจ” ที่โรเบิร์ตสร้างนั้นอาจไม่มีจริง เธอจึงขอพ่อกับแม่ไปแคมป์เหมือนวัยรุ่นทั่วไป และเริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาว จนเธอเกือบตัดสินใจจบชีวิตของตนเองและน้องสาว

แต่แจนก็ตระหนักได้ทันท่วงทีว่าชีวิตเธอมีค่า และเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่โรเบิร์ตหลอกนั้นไม่มีจริง เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดจากการกระทำของโรเบิร์ตให้ครอบครัวเธอฟัง

 

ชีวิตใหม่ของแจน และจุดจบของโรเบิร์ต

 

เธอเริ่มเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองในชื่อว่าStolen Innocence: The Jan Broberg Story และออกเดินทางพูดถึงสิ่งที่เธอต้องพบเจอ

อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตยังปรากฏตัวให้เธอเห็นตามงานต่างๆ ของเธอ และเริ่มออกสื่อเพื่อปกปิดความผิดของตัวเองโดยอ้างว่าทั้งสองแม่ลูกนั้น “โกหก” แจนได้ฟ้องร้องโรเบิร์ต และในที่สุดเขาก็ถูกสั่งห้ามเข้าใกล้เธอไปตลอดชีวิต

 

แจนในปัจจุบัน

 

ในปี 2005 ที่ด้านนอกของงานพูดของแจน โรเบิร์ตถูกกลุ่ม BACA (Bikers Against Abuse) กลุ่มนักบิดผู้ต่อต้านการทารุณกรรมเข้าจับกุม เขาถูกตัดสินว่ามีความผิด และมีกำหนดถูกพิพากษาในศาล

ทั้งนี้ โรเบิร์ตไม่อยากเข้าคุกอีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจใช้ยา และเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด ซึ่งเรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยโดยพี่ชายของเขา

 

Abducted In Plain Sight – Trailer

ติดตามสารดคีเรื่อง”Abducted in Plain Sight” (จิตซ่อนเงื่อน เพื่อนบ้านมหาภัย) ทาง Netflix ได้แล้ววันนี้

 

ที่มา: refinery29, idahostatejournal, thesun, theatlantic, vulture, netflix


Tags:

Comments

Leave a Reply