จีนสั่งแบนนักท่องเที่ยว ไม่ให้ขึ้น ‘ยอดเขาเอเวอร์เรส’ ฝั่งทิเบต เพื่อจัดการศพ-ขยะ

ปัญหาเรื่องและขยะรวมถึงสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งโลก แม้ว่ากับ ‘ยอดเขาเอเวอเรสต์’ ยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในโลกก็ต้องเผชิญกับปัญหานี้เช่นเดียวกัน

จนทำให้ตอนนี้ประเทศจีนได้สั่งแบนนักท่องเที่ยวไม่ให้ขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์จากฝั่งดินแดนของทิเบตแล้ว!?

 

 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับยอดเขานี้ก็ต้องขออธิบายคร่าวๆ ว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแนวเทือกเขาหิมาลัย อยู่ระหว่างเขตแดนของประเทศเนปาลและเขตปกครองตนเองทิเบต สาธารณรัฐประชาชนจีน…

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (15 ก.พ.) แถลงการณ์จากทางการของประเทศจีนได้กล่าวว่า ในตอนนี้ประเทศจีนได้ห้ามไม่ให้ ‘นักท่องเที่ยวทั่วไป’ ขึ้นสู่ยอดเขาจากฝั่งเขตปกครองตนเองทิเบตแล้ว

 

 

สำหรับ ‘นักท่องเที่ยวทั่วไป’ ในที่นี้หมายถึงนักท่องเที่ยวที่ไม่มีใบอนุญาตในการปีนเขานั่นเอง และจุดที่พวกเขาจะสามารถขึ้นไปได้สูงที่สุดก็คือจุดพักบริเวณวัด Rongpo Monastery ที่อยู่ในระดับสูงกว่าน้ำทะเลประมาณ 5,200 เมตร

ส่วนนักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาตปีนเขาก็ยังสามารถขึ้นไปยังบริเวณที่อยู่เหนือจากจุดนี้ได้ตามปกติ

 

Rongpo Monastery คือจุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้สูงสุด

 

ทั้งนี้จุดประสงค์ของการห้ามนักท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็คือ การจัดการกับปัญหาด้านขยะรวมถึงเป็นการให้เวลาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในบริเวณเทือกเขาที่เสื่อมโทรมไปมากจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นในแต่ละปี

โดยปกติแล้วนักท่องเที่ยวจะไปเที่ยวชมเทือกเขานี้จากทางตอนใต้ของประเทศเนปาล แต่ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวได้เลือกใช้เส้นทางของฝั่งทางทิเบตเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เพราะว่าเส้นทางของทิเบตสามารถเข้าถึงได้ด้วยการใช้รถยนต์ ขณะที่เส้นทางในประเทศเนปาลจะสามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้นและต้องใช้เวลานานหลายวันด้วย

 

 

อย่างในปี 2018 ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปบนเทือกเขาหิมาลัยก็เพิ่มมากกว่าเดิมเกือบๆ 25% เลยทีเดียว

นอกจากนี้การสั่งแบนที่ในครั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งแผนที่ทางการจีนวางเอาไว้ก็คือ จะไปเก็บกู้ ‘ซากศพ’ ของนักปีนเขาที่บริเวณความสูงมากกว่า 8,000 เมตรหรือที่เรียกกันว่า Death Zone อีกด้วย

เพราะด้วยความหนาวเย็นและความสูงของที่นี่ จึงทำให้มีหลายศพที่ยังอยู่บนนั้นมาเป็นเวลาหลายปีหรือบางคนก็เป็นเวลานานนับ 10 ปีเลยนั่นเอง

 

ที่มา: ctvnews, bbc, scmp


Tags:

Comments

Leave a Reply