Tag: คริสต์

  • หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์

    หวด…ล้างบาป!! พิธีชำระล้างบาปในเม็กซิโก ผู้คนออกมา “เฆี่ยนแส้” ใส่กันในวันอีสเตอร์

    (มีภาพและเนื้อหาที่ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม)   แต่ละศาสนาหรือแต่ละวัฒนธรรมนั้นก็จะมีพิธีกรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่แต่งต่างกันออกไป แม้ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเอง แต่พิธีกรรมล้างบาปนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในประเทศเม็กซิโก ในวันพระเยซูคริสต์ทรงคืนหรือที่เรียกกันว่า วันอีสเตอร์ (Easter) ของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีพิธีการเฉลิมฉลองที่แตกต่างกัน โดยที่พบเห็นได้บ่อยและดูเป็นที่นิยมที่สุดก็คือการตกแต่งไข่และการค้นหาไข่ที่เรียกกันว่า “ไข่อีสเตอร์” แต่บางพื้นที่ประเทศเม็กซิโกกลับมีพิธีในวันอีสเตอร์ที่แตกต่างกับการค้นหาไข่ยิ่งนัก นั่นก็คือการ ปิดถนนเฆี่ยนตีกัน โดยผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก   ในเมือง Soltepec แห่งประเทศเม็กซิโก ได้มีการจัดพิธีกรรมนี้ขึ้นในวันอีสเตอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพิธีชำระล้างบาปให้กับร่างกาย   ธรรมเนียมปฏิบัตินี้เชื่อว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากผู้เฒ่าเป็นกังวลว่าวัฒนธรรมและความเชื่อทางคริสต์ศาสนาจะเสื่อมสลายไป   พิธีกรรมนี้ถือเป็นการชำระล้างบาปให้ตนเองด้วยการทรมาน   นอกจากชาวเม็กซิโกแล้ว ชาวฟิลิปปินส์บางกลุ่มก็ฟาดแส้ใส่กันในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ในเมือง San Fernando รัฐแคลิฟอร์เนีย   บางครั้งพิธีกรรมนี้ถูกเรียกว่า Magdarame   พวกเขาเชื่อว่า พิธีกรรมนี้จะเป็น “ฆ่า” ความบาปที่พวกเขาเห็นและพบเจอมา   “ปิศาจแห่งความอ่อนแอ ความคิดชั่วร้าย และความศรัทธาอันน้อยนิดที่ครอบงำชีวิตของผู้คนมาเป็นเวลายาวนาน พิธีนี้จะกำจัดมันให้สิ้นซาก” Rev Michael Geisler เขียนเอาไว้   ถึงแม้พิธีเฆี่ยนล้างบาปนี้จะถูกมองว่ารุนแรงเกินไป แต่ก็ยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหลายๆ ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก   ที่มา: Thesun

  • เอ้า รับพร!! มาดู 22 ภาพที่แสดงให้เห็นว่านิกายออร์โธดอกซ์นั้น “เจิม” ได้ทุกสรรพสิ่ง

    เอ้า รับพร!! มาดู 22 ภาพที่แสดงให้เห็นว่านิกายออร์โธดอกซ์นั้น “เจิม” ได้ทุกสรรพสิ่ง

    ปกติแล้ว ประเทศไทยเราในฐานะเมืองพุทธเราจะเห็นกันประจำเลยว่า เมื่อใครบางคน มีรถใหม่เอย บ้านใหม่เอย ก็ต้องทำพิธีกรรมทางพุทธศาสนาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าการ “เจิม” ด้วยความเชื่อที่ว่า จะช่วยป้องกันภยันตรายและเสริมดวงชะตาโชคลาภ พิธีกรรมทำนองนี้ไม่ได้มีแต่บ้านเราหรือว่าผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น ทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์เขาก็มีเช่นกันนะ บางคนอาจจะไม่เชื่อว่ามีการเจิมอย่างหลากหลาย ชาวเน็ตก็เลยช่วยกันรวบรวมภาพที่ยืนยันได้เลยว่า พิธีกรรมให้พรที่เปรียบเสมือนการเจิมของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์นั้น ใช้เจิมได้กับทุกอย่างจริงๆ   เริ่มจาก… รถแข่งแรลลี่   เครื่อง MRI   เจิมคุก   เจิมปืน   ห้องบำบัดฟื้นฟู   ให้น้ำมนต์เหล่าทหาร   เจิมโรงอาหารในโรงพยาบาล   เจิมม้า   สระว่ายน้ำก็ไม่เว้น   เรือ   และก็วนมาที่ ปืน…   ยัง… ยังไม่จบกับปืน   ไร่องุ่น   ศูนย์วิทยาศาสตร์และการวิจัย   ให้พรเหล่าทหาร   หรือจะนักเรียนตำรวจ   เจิมสนามกีฬาหน่อยมั้ยล่ะ?   มหาวิทยาลัยก็มา…

  • มือปืนรัสเซียตะโกน ‘อัลลอหุ อักบัร’ ก่อนจะกราดยิงรอบโบสถ์บาดเจ็บ 5 เสียชีวิต 5 ราย

    มือปืนรัสเซียตะโกน ‘อัลลอหุ อักบัร’ ก่อนจะกราดยิงรอบโบสถ์บาดเจ็บ 5 เสียชีวิต 5 ราย

    วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมาได้เกิดการสังหารหมู่ ณ บริเวณโบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานบูชาของชาวคริสเตียนออร์ทอดอกซ์ ในเมือง Kizlyar ของสาธารณรัฐ จวนพิลที่อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศรัสเซีย โดยมีผู้เสียชีวิตจำนวน 5 ราย พร้อมทั้งประชาชนอีก 5 รายได้รับความบาดเจ็บ นักบวชในโบสถ์กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุขณะที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงได้ตะโกนออกมาว่า “อัลลอหุ อักบัร” ที่แปลว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด”     ผู้ก่อเหตุถูกระบุตัวว่าเป็นชายวัย 22 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อ้างอิงจากคณะกรรมการสืบสวนทำให้ทราบว่า ชายผู้ก่อนเหตุได้เสียชีวิตลงแล้ว เขาถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เมื่อตรวจสอบศพของชายผู้เหตุ ทำให้พบปืนล่าสัตว์ กระสุนปืน และมีด     ทางกระทรวงราชการภายในภูมิภาคกล่าวว่า “ชายนิรนามได้ก่อเหตุกราดยิงด้วยปืนล่าสัตว์บริเวณเมือง Kizlyar ทำให้มีหญิง 4 รายบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ” ขณะที่หญิงคนที่ 5 เสียชีวิตภายหลังที่โรงพยาบาล Russian News Agencies กล่าวว่าการกราดยิงได้เกิดขึ้นขณะที่สมาชิกในโบสถ์กำลังประกอบพิธีเฉลิมฉลอง Maslenitsa ซึ่งเป็นวันหยุดวันสุดท้ายก่อนจะเข้าวันเทศกาลมหาพรต     มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีก 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และ…

  • ประทับใจไม่รู้ลืม… “โป๊ปฟรานซิส” ทรงสั่งหยุดขบวนรถกลางคัน เพื่อลงมาดูตำรวจที่ตกจากหลังม้า

    ประทับใจไม่รู้ลืม… “โป๊ปฟรานซิส” ทรงสั่งหยุดขบวนรถกลางคัน เพื่อลงมาดูตำรวจที่ตกจากหลังม้า

    เกิดเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ขบวนเสด็จพระสันตะปาปากำลังเคลื่อนตัวเพื่อพบปะประชาชนในเมือง Iquique ประเทศชีลี จู่ๆ ม้าของเจ้าหน้าที่อารักขาเกิดคลุ้มคลั่งเสียการควบคุมจนทำให้ตกลงมาที่พื้นอย่างรุนแรง     ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่อารักขาพระองค์ในขบวนต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน รวมไปถึงรถพระที่นั่งของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเองก็ถึงกับเสียหลักไปเล็กน้อย     แต่แทนที่จะขับต่อไป สมเด็จพระสันตะปาปากลับรับสั่งให้คนขับหยุดรถ และทรงดำเนินลงมาเช็กดูอาการบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าว   พระองค์ทรงก้มลงไปสอบถามอาการของเจ้าหน้าที่หญิงด้วยความเป็นห่วง และอยู่รอจนรถพยาบาลมาถึง   ก่อนที่จะดำเนินกลับไปประทับที่รถพระที่นั่ง แล้วทำการทักทายประชาชนต่อไป….   จากรายงานของสำนักข่าว DailyMirror โชคดีที่เจ้าหน้าที่หญิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรมากนัก   คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวอัปโหลดโดยสำนักข่าว BBC   ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นและสร้างความประทับใจให้กับผู้คนมากมาย เมื่อชาวเน็ตได้ชมคลิปวีดิโออันสุดแสนจะประทับใจนี้ ต่างก็แสดงความคิดเห็นชื่นชมสมเด็จพระสันตะปาปาในความมีพระทัยของพระองค์…   คุณ Elizabeth Ford ให้ความเห็นว่า : “หลายๆ ครั้งที่บุคคลสาธารณะสร้างความหวังให้กับปวงประชา สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสนั้นเปรียบเสมือนแสงไฟส่องทาง ในยามมืดมิด”   คุณ Mark Doyle ให้ความเห็นว่า : “ฉันไม่ได้เป็นคนนับถือศาสนานะ แต่การกระทำของพระองค์นั้นช่างน่านับถือยิ่งนัก”   คุณ Ian Yeh ให้ความเห็นว่า : “ในฐานะที่เป็นคนไม่นับถือศาสนา ฉันรู้สึกว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นคนที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์…

  • ฮีโร่ชาวมุสลิม เข้าห้ามปรามกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 ราย ที่จ้องทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ได้สำเร็จ!!

    ฮีโร่ชาวมุสลิม เข้าห้ามปรามกลุ่มวัยรุ่นมุสลิม 3 ราย ที่จ้องทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ได้สำเร็จ!!

    ฮีโร่ในการ์ตูน ในหนัง หรือในจินตนาการของเราสิ่งเหล่านั้นคงเป็นภาพของฮีโร่ที่เคยชินในการนิยามเอาไว้ แต่ไม่ได้แปลว่าในชีวิตจริงนั้นเราจะไม่ได้มีโอกาสเจอเลย เมื่อชายคนนี้ได้กลายเป็นฮีโร่ของใครหลายๆ คน Edris Nosrati หนุ่มมุสลิมวัย 35 ปี เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ฟังดูเหมือนเป็นคนทั่วไป แต่ความไม่ธรรมดาเกิดจากที่เขาจัดการกับกลุ่มวัยรุ่นชาวมุสลิมที่คอยรังควานชาวคริสต์ เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้าน ก็เจอกับกลุ่มวัยรุ่นในอาการเมามายเข้าไปรังควานด้วยภาษาอิสลามกับชายผิวขาวกับแฟนสาว และจ้องจะทำร้ายร่างกายชาวคริสต์ โดยที่เขาคิดว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก     เมื่อเขาได้เข้าไปห้ามก็ถูกรังควานถามเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาตอบด้วยประโยคภาษาอารบิคก็ถูกต่อว่าอย่ามายุ่งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกลัวคนกลุ่มนี้เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้าย ISIS หรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะแอบตามคนเหล่านั้นไป และเพราะกลุ่มวัยรุ่นอิสลามจ้องที่จะทำร้ายผู้ร่างกายผู้อื่นอีก ระหว่างนั้นก็ได้โทรแจ้งตำรวจถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น จนมือถือแบตฯ หมด แต่ก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ว่าสามคนนั้นได้มีการทำร้ายร่างกาย และถ่ายคลิปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของพวกเขาเองด้วย จนเมื่อตำรวจมาถึงสามคนนั้นกลับไหวตัวทัน ทำตัวเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ Faruq หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นพยายามจะลบคลิป Edris ก็ได้สังเกตเห็นและพยายามเข้าไปแย่งมือถือมา ในจังหวะนั้นเขาก็โดนต่อยเข้าที่หน้าไปอย่างจัง     สุดท้ายเขาจึงทำการล็อคคอ Faruq กดลงพื้นและแย่งมือถือมาได้ เมื่อตำรวจได้เห็นคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้ทำการจับกุมชายทั้งสามทันที ผู้ต้องหา Mohmed และ Mohammed โดนตั้งข้อหาโจมตีสร้างความแตกแยกในเรื่องศาสนาจนทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายผู้อื่น ถูกจำคุก 3 ปีครึ่ง…

  • โบสถ์คริสต์ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ มัสยิด ที่นี่ไม่มีความรุนแรง แต่เต็มไปด้วยมิตรภาพ…

    โบสถ์คริสต์ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ มัสยิด ที่นี่ไม่มีความรุนแรง แต่เต็มไปด้วยมิตรภาพ…

    บ่อยครั้งที่เรามักจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย จากกลุ่มหัวรุนแรง ตามสถานที่ต่างๆทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกาเองเช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้หลายๆคน รู้สึกเกรงกลัวต่อผู้นับถือศาสนาอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งอันที่จริงเราควรจะแยกกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้ศาสนาเป็นข้ออ้าง ออกจากกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่มีจิตใจศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม ไม่ใช่หรือ?! และสำหรับสังคมแห่งนี้ ที่นี่มีโบสถ์ของชาวคริสต์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดของชาวอิสลาม และพวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันบนความแตกต่าง อย่างมีความสุข…   เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ Memphis Islamic Center ตัดสินใจซื้อที่ดินบนถนนตรงข้ามกับโบสถ์ Heartsong “ครั้งแรกที่เห็นผมกลับรู้สึกแปลกๆ มีทั้งความกลัว และความรู้สึกที่เราบอกกับตัวเองว่า อย่าไปสนใจจะดีกว่า” บาทหลวง Steve Stone กล่าว   นอกจากบาทหลวงแล้ว สมาชิกคนอื่นๆในโบสถ์ก็ต่างรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “ผม และภรรยาเคยคิดว่าจะไม่มาที่โบสถ์นี้อีก เพียงเพราะเราไม่เปิดใจยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง” Mark Sharpe สมาชิกคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ ซึ่งแม้แต่ผู้นำทางศาสนาของอิสลาม Dr. Bashar Shala กลับเข้าใจถึงสถานการณ์ดี ทำให้เค้าไม่แปลกใจที่ใครหลายๆคนอาจรู้สึกไม่ต้อนรับกลุ่มผู้นับถืออิสลาม “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับชาวมุสลิมในอเมริกา ซึ่งผมเข้าใจว่าในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงไม่อยากจะต้อนรับเราสักเท่าไหร่”     ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อช่วงเดือนรอมฏอนของชาวมุสลิมมาถึง… Shala ต้องการที่จะให้มัสยิดแห่งใหม่สร้างเสร็จก่อนช่วงถือศีลอดมาถึง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมในชุมชน ยังไม่มีสถานที่สำหรับการทำพิธีทางศาสนา…