หญิงสาววัย 24 ปี ฉลองคริสต์มาสกับครอบครัว ด้วย “อาหาร” ที่มาจาก “ถังขยะ”?!

หลายคนอาจมองว่า “ของกินในถังขยะ” เป็นสิ่งสกปรก ทิ้งแล้วทิ้งเลย ไม่สามารถหยิบมากินได้อีก แต่นั่นไม่ใช่ความคิดของเธอคนนี้

เรากำลังพูดถึงหญิงสาวชาวออสเตรเลียวัย 24 ปีที่ชื่อว่า Lauren Mueller เธอผู้เริ่ม “คุ้ยขยะหาของกิน” มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อ 5 ปีก่อน

 

Lauren สาวอนุรักษ์ ผู้คุ้ยขยะหาของกินเป็นประจำ

 

เธอมีความเชื่อที่ว่าหลายๆ สิ่งที่คนทิ้งกันไปนั้น แท้จริงแล้วมันยังสามารถนำกลับมากินได้อยู่ มันไม่ควรที่จะถูกทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ สิ้นเปลืองทรัพยากรของโลก

ด้วยเหตุนั้นเอง เธอจึงเริ่มคุ้ยหาของกินตามถังขยะ จนกลายเป็นสิ่งที่เธอจะต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

อาหารการกินที่เธอได้มาจากถังขยะ

.

 

แน่นอนว่าในตอนแรกคนรอบข้างของเธอก็คงจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่กับการได้เห็นว่าหญิงสาวกินอาหารที่มาจากถังขยะ

แต่สิ่งที่เธอเลือกหยิบมาแต่ละอย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของที่กินได้จริง จะเป็นอาหารที่ยังไม่เน่าเปื่อย ใกล้หมดอายุ หรือยังไม่ได้หลุดออกมาจากบรรจุภัณฑ์เท่านั้น จึงสามารถวางใจได้

 

เธอและน้องสาว

 

Lauren บอกอีกว่าการทำอย่างนี้ช่วยให้เธอสามารถประหยัดเงินไปได้เป็นจำนวนมาก แถมยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะที่ยังไม่ถึงเวลาต้องทิ้งอีกด้วย เธอบอกว่ากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่ตัวเองกิน ล้วนมาจากถังขยะทั้งสิ้น

 

วัตถุดิบในอาหารนี้ ล้วนมาจากถังขยะ

 

เมื่อปี 2017 เธอและครอบครัวก็เคยใช้วิธีการคุ้ยหาของกินจากถังขยะ จนสามารถนำมาฉลองวันคริสต์มาสกับทั้งครอบครัวได้เลย และต้องบอกว่าอาหารที่พวกเธอได้กินนั้นก็น่าทานไม่เบา

การฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวเมื่อปีก่อนก็จะมีตั้งแต่ แซลมอน ชีส แกงปลา ผักนานาชนิด สเต๊ก ผลไม้เช่นมะม่วง สตรอว์เบอร์รี่ เบียร์ หรือแม้แต่ไวน์ก็มี

 

 

ปัจจุบัน Lauren ทำงานเป็นนักอนุรักษ์ โดยในแต่ละสัปดาห์เธอจะใช้เวลาไปคุ้ยขยะหาของกินอยู่ด้วยกันประมาณ 10 แห่ง อาทิเช่น ถังขยะตามห้างสรรพสินค้า ร้านเบเกอรี่ เป็นต้น

 

 

เธอบอกว่า “ฉันต้องการให้ทุกคนลองทำวิธีนี้กันดู เพราะปัจจุบันพวกเราทิ้งอาหารไปอย่างสิ้นเปลืองทุกปี และฉันไม่อยากจะคิดเลยว่ามันเยอะขนาดไหนที่ต้องไปทับถมกันอยู่ที่ลานทิ้งขยะ”

“การคุ้ยขยะนั้นไม่ใช่แค่ช่วยลดปริมาณและส่งต่ออาหารให้กับคนที่ต้องการเพียงอย่างเดียว แต่มันยังช่วยประหยัดเงินของเรา และทำให้เราได้เข้าไปเจอกับรูปแบบสังคมดีๆ อีกด้วย”

 

 

ที่มา: dailymail

Comments

Leave a Reply